หมอดูยอดอัจฉริยะ 468-473
ตอนที่ 468 แขนขาด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฝูเจ๋อเหลียงแม้จะตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว แต่คาโต้ ทาคุมิกลับมีประสบการณ์มากกว่า จึงรู้ข้อแตกต่างระหว่างทวนยาวและดาบซามูไร หลังจากฟันลงไปหนึ่งดาบแล้ว ร่างก็ตามติดไปราวกับหนอนตอมซาก สองมือถือดาบซามูไรฟันออกไปอีกสามดาบปานสายฟ้าแลบ
“เคร้ง…เคร้งๆ!”
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นสามครั้ง ร่างเงาทั้งสองคนพลันแยกออกจากกัน ฝูเจ๋อเหลียงถอยหลังไปเจ็ดแปดก้าวติดๆ กัน จนหลังไปชนกับราวกั้นเวทีมวยแล้วถึงจะหยุดลงได้
“บาดเจ็บหรือ?”
คนอยู่ด้านล่างเวทีที่ตาดีๆ จะเห็นว่า มือซ้ายของฝูเจ๋อเหลียงกำลังสั่นไม่หยุด บริเวณบ่าซ้ายบนชุดฝึกสีขาวถูกโลหิตย้อมเป็นสีแดงไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าบ่าถูกฟันไปหนึ่งดาบ แต่อาการบาดเจ็บจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น คงมีแต่ฝูเจ๋อเหลียงเท่านั้นที่จะรู้ดี
“ขายหน้าชาวบ้านจริงๆ ขนาดฝึกวิชาทวนตระกูลเยวี่ยมานะเนี่ย ถ้าเยวี่ยเฟยยังมีชีวิตอยู่ละก็ คงโมโหตายเลยละ!”
เมื่อเห็นการประมือกันเมื่อครู่ หูหงเต๋อก็แค่นเสียงดังฮึ ตัวเองถือทวนอยู่ในมือแท้ๆ ยังปล่อยให้คนอื่นจู่โจมจนไม่อาจปกป้องความปลอดภัยของตัวเองได้ ช่างเป็นความอัปยศของผู้ฝึกใช้ทวนจริงๆ
ทวนนั้นมีสมญานามว่าเป็นราชาในหมู่ร้อยศาตราวุธ เวลากองทัพสองฝ่ายปะทะกัน อาวุธที่ใช้ได้มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือทวน แม้แต่ดาบหรือไม้พลองก็สู้ไม่ได้
ทวนนั้นหากใช้ได้ดี ก็จะราวกับมีชีวิต ในระหว่างเคลื่อนพลม้าตั้งค่ายนั้น ‘ทวนเปรียบดั่งมังกรทะยาน’ ทวนใหญ่ยาวสามเมตรเศษเล่มเดียวสามารถปกป้องทั้งคนทั้งม้าได้อย่างครอบคลุม เมื่อประกายเย็นเยียบของหัวทวนไปถึงที่ใด ก็จะต้องเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวน แม่ทัพใหญ่ผู้รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งนั้น ก็อาศัยทวนเล่มเดียวกวาดล้างข้าศึก มันเป็นอาวุธที่ถูกใช้ในการเปลี่ยนราชวงศ์และกวาดล้างศัตรู ซึ่งดาบหรือไม้พลองไม่อาจเทียบได้เลย
แต่ทวนจงผิงที่ทำจากเหล็กบริสุทธิ์เล่มนี้เมื่อไปอยู่ในมือของฝูเจ๋อเหลียง กลับกลายเป็นอ่อนแอไร้พลัง ปกป้องช่องโหว่ไม่ได้เลยสักแห่ง จนหูหงเต๋อเห็นแล้วเกือบจะด่าทอออกไป
ตอนนี้จู้เหวยเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กำลังมีสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง เท้าไร้เงาจางซานที่ส่งออกไปก่อนหน้านี้ถูกอันเดรวิชฉีกร่างกลางเวทีไปแล้ว เมื่อเห็นว่าในการต่อสู้ประเภทอาวุธโบราณนี้ แค่เพิ่งจะประจันหน้ากัน ฝูเจ๋อเหลียงก็ได้รับบาดเจ็บไปอีก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจากนี้ไปควรจะตอบรับอย่างไรดี
การที่ส่งฝูเจ๋อเหลียงขึ้นไปสู้นั้น อันที่จริงจู้เหวยเฟิงเองก็ไม่มีทางเลือก เพราะปัจจุบันนี้ในยุทธภพอาจมีคนฝึกหมัดมวยอยู่มากก็จริง แต่คนที่ฝึกอาวุธนั้นกลับมีอยู่น้อยและยิ่งกว่าน้อย สาเหตุสำคัญเป็นเพราะอาวุธต่างๆ ถูกรัฐจัดเป็นประเภทของมีคมที่ต้องควบคุม ไม่สามารถพกพาออกจากบ้านได้ ดังนั้นจึงมีคนฝึกน้อยลงไปมาก
“แกน่ะ…ฝีมือใช้ไม่ได้ สมัยก่อนอาจารย์ฉันเคยฟันแขนคนจีนอย่างพวกแกขาดไปข้างหนึ่ง ตอนนี้…ฉันก็จะทำตามอย่างอาจารย์บ้าง แค่ขอแขนแกไปแค่ข้างเดียว ไม่เอาชีวิตแกหรอก!”
สิ่งที่ทุกคนต่างคาดไม่ถึงคือ หลังจากคนทั้งสองบนเวทีแยกจากกันแล้ว คาโต้ ทาคุมิก็ไม่ได้เร่งรุดเข้าไปโจมตีอีก แต่กลับพูดออกมาเป็นภาษาจีนสำเนียงแปร่งๆ ด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งเป็นการยั่วยุฝูเจ๋อเหลียง และเก็บดาบซามูไรกลับเข้าฝักไป ซึ่งเป็นการกระทำที่แสดงถึงความดูแคลนอย่างยิ่ง
“อาจารย์มันเป็นใครน่ะ?”
หลังจากเยี่ยเทียนที่อยู่ล่างเวทีได้ยินคำพูดของคาโต้ ทาคุมิ ก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ตั้งแต่รู้ว่าแขนของศิษย์พี่ใหญ่ถูกคนญี่ปุ่นฟันขาดไป เยี่ยเทียนก็เริ่มเพ่งเล็งคนญี่ปุ่นที่ใช้ดาบซามูไรมากขึ้น
“ผมก็ไม่รู้ว่าอาจารย์มันเป็นใคร” จู้เหวยเฟิงส่ายหน้า “ผมรู้แต่ว่ามันมาจากสำนักเคนโด้แห่งหนึ่งที่ญี่ปุ่น เดิมทีก็เป็นนักเคนโด้ที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นอยู่มาก แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ จู่ๆ ถึงมาเข้าร่วมองค์กรมวยใต้ดินได้?”
ที่ญี่ปุ่น ศิลปะการใช้ดาบและกระบี่เรียกรวมกันว่าเคนโด้ เคนโด้มีประวัติความเป็นมาในญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ผู้ที่ฝึกวิชาเคนโด้จะมีสถานะที่สูงมาก การที่คาโต้ ทาคุมิละทิ้งโอกาสที่จะได้ก้าวหน้าขึ้นไปเป็นปรมาจารย์เคนโด้ในอนาคต แล้วตัดสินใจเข้าสู่องค์กรการต่อสู้ที่ไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าสงสัยจริงๆ
เมื่อวานซืนนี้เองคาโต้ ทาคุมิเป็นฝ่ายขอเข้าร่วมการแข่งขันมวยใต้ดินที่จัดขึ้นภายในประเทศจีน โดยมีองค์กรญี่ปุ่นแห่งหนึ่งช่วยแนะนำมา เนื่องจากเวลากระชั้นชิด จู้เหวยเฟิงจึงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับคาโต้ ทาคุมิเพียงคร่าวๆ ผ่านทางเพื่อนที่เป็นคนญี่ปุ่น จึงไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์ของเขาเป็นใคร
“สำนักเคนโด้ที่มันเคยอยู่นั่นน่ะชื่ออะไรนะ?” เยี่ยเทียนหันหน้าไปมองจู้เหวยเฟิง “เรื่องนี้ประธานจู้คงจะรู้อยู่หรอกนะครับ?”
คำพูดของเยี่ยเทียนมีน้ำเสียงเสียดสีอย่างค่อนข้างชัดเจน จนซาซาที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วเม้มปาก แต่จู้เหวยเฟิงกลับหัวเราะเจื่อนๆ เขารู้ว่า การที่ตัวเองไปเชิญนักมวยต่างชาติมาสองคนโดยที่ไม่ได้สืบสาวข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายให้ละเอียดนั้น ทำให้ผู้อื่นเสียความเชื่อมั่นไปจริงๆ
“เรื่องนี้ผมรู้อยู่น่ะเยี่ยเทียน เหมือนจะชื่อสำนักคิตะมิยะอะไรนี่แหละมั้ง ที่เขาฝึกอยู่เป็นวิชาดาบสายตระกูลคิตะมิยะ ที่ญี่ปุ่นก็ถือว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงเลยละ!”
ตอนที่คาโต้ ทาคุมิเปิดตัวครั้งแรกในการแข่งขันศึกไร้กฎเกณฑ์ที่ญี่ปุ่นนั้น ก็คว้าตำแหน่งราชาแห่งอาวุธโบราณมาได้ ต่อมายังได้เดินทางไปประเทศเกาหลี ภายในสิบวันชนะติดต่อกันไปยี่สิบรอบ ดังนั้นข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเขาในระดับผิวเผินนั้น จู้เหวยเฟิงจึงพอรู้อยู่บ้าง
“วิชาดาบสายตระกูลคิตะมิยะ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วอึ้งไป จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “โลกใบนี้นี่มันแคบจริงๆ แฮะ ให้ฉันมาเจอคนของตระกูลคิตะมิยะสองคนเลยรึเนี่ย?”
“ทำไมรึ? เยี่ยเทียนคุณรู้จักหรือ?” เมื่อเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าของเยี่ยเทียน จู้เหวยเฟิงก็อดรู้สึกเกร็งขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเยี่ยเทียนมีสัมพันธไมตรีอะไรกับเจ้าคนที่อยู่บนเวทีประลองนี้ อย่างนั้นคราวนี้เขาก็เชิญหูหงเต๋อไปขึ้นเวทีสู้กับคาโต้ ทาคุมิอีกไม่ได้น่ะสิ
“ผมไม่รู้จักเขาหรอก แต่ผมรู้จักอาจารย์ของเขา…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยเทียนนั้นออกมาจากใจจริง เหตุการณ์ที่คาโต้ ทาคุมิคนนี้จะนำมาคุยโวได้อย่างภาคภูมิเช่นนี้ ก็คงมีแต่เรื่องเมื่อครั้งอดีตที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะฟันแขนของโก่วซินเจียขาดในดาบเดียวนั่นเอง ในเมื่อตอนนี้ยังไม่เจอตัวจริง คิดดอกเบี้ยเอากับคาโต้ ทาคุมินี่เสียหน่อยก็คงไม่เลวเหมือนกัน
“เวรเอ๊ยเวร ใครกันวะสอนลูกศิษย์ออกมาแบบนี้ มันเล่นอะไรของมันเนี่ย?”
ขณะที่จู้เหวยเฟิงกำลังแอบบ่นตัดพ้ออยู่ในใจ การต่อสู้บนเวทีก็เริ่มขึ้นอีก แต่เมื่อหูหงเต๋อเห็นฝูเจ๋อเหลียงเล่นท่าส่ายทวนหลอก ก็อดลุกขึ้นมายืนด่าทอไม่ได้ ทำให้คนอื่นที่อยู่รอบๆ ต่างส่งสายตามองมา
ตอนที่แยกจากกันไปเมื่อครู่นี้ ฝูเจ๋อเหลียงและคาโต้ ทาคุมิเว้นระยะห่างจากกันเจ็ดแปดเมตร ตามหลักการแล้วระยะห่างขนาดนี้ก็เหมาะที่จะให้เขาสำแดงฤทธิ์ของทวนออกมาได้พอดี และข่มศัตรูให้อยู่ห่างกว่าสามเมตรได้
ยอดฝีมือวิชาทวนที่เที่ยงแท้นั้น ยามโจมตีจะต้องให้ความสำคัญแก่การจู่โจมจุดอ่อนของศัตรู เมื่อแทงทวนออกไปแล้ว พู่แดงบนทวนจะพลิ้วกระจายดั่งดอกเหมยนับหมื่น และจะต้องตีเกราะส่วนที่ปกป้องหน้าอกของศัตรูไว้ให้แตก จากนั้นจึงทะลวงเข้าไป ส่ายทวนจนพู่แดงบานเป็นดอกดวง แต่ละดอกล้วนมีพิษสูง ศัตรูจึงไม่รู้จะปัดป้องดอกไหนดี ในคัมภีร์มวยกล่าวไว้ว่า ‘ไม้พลองน่ากลัวที่ปลายจี้ ทวนน่ากลัวเป็นวงกว้าง’ ซึ่งก็หมายความว่า หากทวนใหญ่สั่นพลิ้ว หัวทวนส่ายสะบัดขึ้นมาเมื่อใด ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากที่จะป้องกันได้
แต่ฝูเจ๋อเหลียงดันมาใช้ทวนเหล็ก ซึ่งขาดความยืดหยุ่น ตอนที่ส่ายทวนหลอกไปเมื่อครู่นี้ อย่าว่าแต่ดอกเหมยนับหมื่นเลย แม้แต่ดอกเหมยสักสามดอกก็ยังไม่มี พอคาโต้ ทาคุมิใช้ฝักดาบปัดป้องไว้ ด้ามทวนหนักหลายสิบชั่งนั้นก็ถึงกับเอียงไปเลย
เมื่อเห็นแบบนี้ เยี่ยเทียนก็ถอนหายใจ “ประธานจู้ นักสู้แบบนี้น่ะ ต่อไปไม่ต้องให้มาขึ้นเวทีแล้วนะครับ คนที่จะขายหน้าก็มีแต่คนจีนเราเนี่ยแหละ!”
หลังจากเยี่ยเทียนพูดจบ มือขวาของคาโต้ ทาคุมิที่กุมด้ามดาบอยู่ก็ชักออกมาอย่างฉับพลัน ดาบซามูไรคมกริบนั้นหลุดออกจากฝัก แล้วครูดลงไปกับด้ามทวน เสียงโลหะเสียดสีกันดังเสียดแก้วหูสะท้อนก้องไปทั่วสนาม
ตั้งแต่ตอนที่ปัดป้องทวนของฝูเจ๋อเหลียงไว้จนถึงตอนที่ดาบซามูไรออกจากฝัก ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาชั่วไฟแลบเท่านั้น หลังจากที่เสียงโลหะเสียดสีกันนั้นเพิ่งจะดังกระจายออกไปจากระบบเสียงบนเวทีประลอง เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา
ฝูเจ๋อเหลียงผู้เคยฝึกทวนตระกูลเยวี่ยมาไม่กี่วันนั้นนึกไม่ถึงเลยว่า ทวนเหล็กหนักหลายสิบชั่งของตัวเองจะถูกฝ่ายตรงข้ามต้านไว้ได้ ชั่วขณะที่กำลังอึ้งและยังไม่ทันได้ตอบโต้ ก็รู้สึกว่ามีประกายเย็นวาบขึ้นตรงหน้า แล้วความเจ็บปวดแสนสาหัสก็แล่นมาจากมือขวา
เมื่อก้มหน้าลงไปดู ฝูเจ๋อเหลียงก็ถึงจะตระหนักว่า นิ้วมือทั้งห้านิ้วบนมือขวาของตนนั้น นอกจากนิ้วหัวแม่มือที่ยังอยู่ นิ้วอื่นๆ อีกสี่นิ้วกลับขาดไปตั้งแต่โคนนิ้วแล้ว หลังจากความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้นแล่นมาถึงประสาทในสมอง ทวนจงผิงที่อยู่ในมือของฝูเจ๋อเหลียงก็หล่นลงไปที่พื้นดัง “เคร้ง”
แต่ฝันร้ายของฝูเจ๋อเหลียงยังไม่จบสิ้น ขณะที่เขากำลังร้องโหยหวนโดยลืมสภาพแวดล้อมรอบตัวไปจนหมดสิ้นแล้ว ดาบซามูไรที่ฟันนิ้วทั้งสี่ของฝูเจ๋อเหลียงขาดไปเมื่อครู่นั้น ยามนี้ได้เงื้อชูขึ้นสูงแล้ว และฟันลงไปที่ไหล่ขวาของฝูเจ๋อเหลียงปานสายฟ้าแลบ
“อ๊ะ?!”
เสียงกรีดร้องของฝูเจ๋อเหลียงหยุดชะงักไปทันทีเมื่อดาบนี้ฟันลงมา เห็นแขนร่วงหล่นลงไปบนพื้นเวทีประลอง ฝูเจ๋อเหลียงก็ยังมองดูอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แต่เมื่อโลหิตพุ่งออกมาจากตำแหน่งบนไหล่ราวกับน้ำพุ พี่แกก็หลับตาปี๋ แล้วเป็นลมล้มไปทั้งอย่างนั้นเลย
“ไอ้ระยำเอ๊ย!” เมื่อเห็นฉากนี้ จู้เหวยเฟิงก็นั่งไม่ติดที่แล้ว ลุกขึ้นมาปาแก้วที่ถืออยู่ในมือลงไปบนพื้นอย่างแรง
ที่สนามมวยใต้ดินของเขา ในสามปีมานี้ไม่ได้จัดการประลองอาวุธโบราณบ่อยครั้งนัก มีเพียงสามสี่ครั้งเท่านั้น ฝูเจ๋อเหลียงก็อาศัยน้ำหนักของอาวุธ ใช้ทวนเหล็กแบบเดียวกับพลองเหล็ก ฟาดปัดคู่ต่อสู้จนกระเด็นไปได้จริงๆ
สิ่งที่จู้เหวยเฟิงไปฝึกมาที่ต่างประเทศก็มีแต่ทักษะในการอำพรางตัวและการสะกดรอยเท่านั้น ที่ฝึกส่วนมากก็เป็นกระบวนท่าที่ใช้สยบศัตรู จึงไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับอาวุธโบราณต่างๆ มากนัก ตอนแรกก็นึกว่าวิทยายุทธของฝูเจ๋อเหลียงสูงส่งแล้ว ดังนั้นถึงจะเป็นช่วงที่ไม่มีการแข่งขัน จู้เหวยเฟิงก็ยังคงออกเงินก้อนโต้ชุบเลี้ยงฝูเจ๋อเหลียงขึ้นมา
แต่ศึกในวันนี้ เพิ่งจะประมือกันไปได้ไม่กี่ครั้ง ฝูเจ๋อเหลียงก็กลับถูกคนญี่ปุ่นคนนี้ฟันแขนขาดไปแล้ว เหมือนคำพังเพยที่ว่า ทวนเหล็กข้างในเป็นขี้ผึ้งไม่มีผิดเลย ทำให้จู้เหวยเฟิงที่กำลังหน้าซีดเผือดโมโหจนหน้าเริ่มเป็นสีม่วงขึ้นมาทันที
“ให้ใครขึ้นไปสักสองคนซิ หามไอ้ตัวน่าขายหน้านี่ลงมาเดี๋ยวนี้เลย”
หลังจากปาแก้วทิ้ง จู้เหวยเฟิงก็สงบอารมณ์ลงไปได้บ้าง และพูดต่อไปว่า “ส่งไปโรงพยาบาลเลย พยายามเชื่อมแขนมันให้ติดกลับเข้าไปก็แล้วกัน!”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฝูเจ๋อเหลียงก็เป็นนักมวยในสังกัดของเขา ถ้าปล่อยไปตามเวรตามกรรมโดยไม่แยแสสนใจเลย จู้เหวยเฟิงก็กลัวว่าจะเป็นที่ครหาของผู้คน วันหน้าถ้าจะหานักมวยมาอยู่ด้วยอีก ก็คงจะยากเสียยิ่งกว่ายากแล้วละ
หลังจากได้ยินจู้เหวยเฟิงสั่ง คนสี่ห้าคนก็หามเปลขึ้นไปบนเวทีประลอง สองคนช่วยกันแบกฝูเจ๋อเหลียงขึ้นเปล ส่วนคนอื่นที่เหลือก็เริ่มใช้น้ำสะอาดล้างทำความสะอาดพื้น เคราะห์ดีที่ด้านข้างเวทีประลองมีร่องน้ำอยู่ ไม่อย่างนั้นวันนี้น้ำเลือดคงได้ไหลนองไปครึ่งสนามมวย
“ทวนตระกูลเยวี่ย มันก็ได้แค่นี้แหละนะ เปรียบเทียบกับเคนโด้ของญี่ปุ่นเราแล้ว ยังสู้ไม่ได้เลยสักนิด!”
ระหว่างที่กำลังทำความสะอาดเวทีมวยกันอยู่ คาโต้ ทาคุมิก็ยังไม่ได้ลงจากเวที แต่รอจนทุกคนลงจากเวทีไปแล้ว เขาก็ใช้เท้ากระทืบลงไปบนทวนจงผิงของฝูเจ๋อเหลียงเล่มนั้นอย่างแรง!
…….
ตอนที่ 469 ยั่วยุ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตบหน้า…แบบนี้มันตบหน้ากันชัดๆ หนำซ้ำยังเป็นหน้าของคนจีนทุกคนที่อยู่ที่นั่นอีกด้วย มันกำลังตบหน้าของคนจีนอยู่!
วิชาทวนตระกูลเยวี่ยนั้นคิดค้นขึ้นโดยเยวี่ยเฟย (งักฮุย) แม่ทัพผู้เกรียงไกรในอดีต เมื่อครั้งกระโน้นท่านอาศัยวิชาทวนนี้สังหารชาวจินจนกลายเป็นที่หวาดหวั่นพรั่นพรึง ต่อมาชีจี้กวงได้ปรับปรุงวิชาทวนตระกูลเยวี่ย จนเกิดเป็นวิชาทวนแบบชี เข่นฆ่าพวกโจรเตี้ย…ซึ่งก็คือชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันไปมากมายเหลือคณานับ
คาโต้ ทาคุมิรู้ภาษาจีนเป็นอย่างดี ก็ต้องรู้เกี่ยวกับชื่อเสียงของวิชาทวนตระกูลเยวี่ยอยู่แล้ว และก็คงจะรู้ที่มาของวิชาทวนตระกูลเยวี่ยด้วย การที่เขากระทืบลงไปนี้ ก็เท่ากับเหยียบย่ำลงไปบนใบหน้าของคนจีนทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนไฟลุกขึ้นมาทันที
“เวรตะไล ข้าเหล่าหูจะฉีกร่างแกทั้งเป็น!”
ความเหิมเกริมของคาโต้ ทาคุมิทำให้หูหงเต๋อที่ตอนแรกก็เลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นหน้าอยู่แล้ว ยิ่งแดงขึ้นมาอีกราวกับท่านกวนอู มือขวาตบลงไปบนที่เท้าแขนของเก้าอี้โซฟาอย่างแรงดัง “ป้าบ” ฟองน้ำที่บุไว้ภายในที่เท้าแขนนั้นถูกเขาฟาดจนแหลกไปทันที
เมื่อเห็นหูหงเต๋อโมโหขึ้นมาเช่นนี้ จู้เหวยเฟิงก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที วันนี้เขาไม่อาจจะเชื่อใจนักมวยในสนามมวยของตัวเองได้อีกแล้ว แต่คุณตาหูผู้ทำให้อันเดรวิชจนยอมสยบราบคาบได้ในลูกถีบเดียวนั้น กลับกลายเป็นยอดของยอดฝีมือในสายตาของจู้เหวยเฟิง
แม้จะไม่เคยเห็นหูหงเต๋อใช้อาวุธมาก่อน แต่หนึ่งวิชาสามารถประยุกต์ได้ร้อยวิชา สำหรับบุคคลระดับอาจารย์อย่างหูหงเต๋อ ย่อมจะใช้อาวุธทั่วๆ ไปได้อย่างคล่องมืออยู่แล้ว และสามารถถ่ายเทพลังเข้าสู้อาวุธได้ กระทั่งยังร้ายกาจกว่าพวกที่ฝึกใช้อาวุธโบราณมาโดยเฉพาะเสียอีก
“เหล่าหู อย่าวู่วามสิ จะไปฟังมันพูดทำไมเล่า?” เมื่อเห็นร่างของหูหงเต๋อลุกพรวดขึ้นมา เยี่ยเทียนก็กดมือลงไปบนไหล่ของเขา แล้วลอบปล่อยพลังภายในออกมา ทำให้ร่างของเขานั่งกลับลงไปทันที
หลังจากที่หูหงเต๋อได้อัญเชิญเจ้ามาทรงร่างเมื่อก่อนหน้านี้ พลังเทพที่ขอยืมมาก็เพิ่งจะสลายหายไป ร่างกายกำลังอยู่ในช่วงที่อ่อนแอที่สุด พลังที่มีอยู่ดั้งเดิมก็เหลืออยู่เพียงสองถึงสามในสิบส่วน หูหงเต๋อในตอนนี้อย่าว่าแต่จะสู้กับคาโต้ ทาคุมิเลย ต่อให้ไปปะทะกับบาทาไร้เงาจางซานเมื่อก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้
มิหนำซ้ำในศึกประลองอาวุธยังอันตรายยิ่งกว่าศึกหมัดมวยมากหนัก หากประมาทไปเพียงครั้งเดียวก็อาจจะกลายเป็นศพอยู่กลางเวทีได้เลย เยี่ยเทียนจึงไม่อาจปล่อยให้หูหงเต๋อไปออกศึกได้
“อาจารย์ หรือว่า…ให้ผมขึ้นไปดี?” โจวเซี่ยวเทียนก็ลุกขึ้นมาอย่างโมโหฮึดฮัดเช่นกัน “ไอ้คนญี่ปุ่นคนนี้มันจะจองหองเกินไปแล้ว ผมจะขึ้นไปอบรมสั่งสอนมันสักหน่อย!”
สมัยที่จีนและญี่ปุ่นมีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นที่สุดนั้นเป็นสมัยราชวงศ์ถัง ในช่วงแรกชาวญี่ปุ่นก็มาเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากจักรวรรดิแห่งสวรรค์นี้ดั่งเป็นนักเรียน แต่เมื่อถึงสมัยราชวงศ์หมิง ญี่ปุ่นก็รู้สึกว่าประเทศหมู่เกาะมีจุดด้อยอยู่ที่การขาดแคลนทรัพยากร ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายบุกโจมตีอดีตอาจารย์ของตัวเอง
ตั้งแต่ช่วงกลางสมัยราชวงศ์หมิงไปจนถึงช่วงปลาย โจรเตี้ยที่มาจากญี่ปุ่นนี้เป็นปัญหาใหญ่ของราชสำนักมาตลอด ถึงขั้นที่หากเมืองตามแถบชายฝั่งบางแห่งได้ยินใครเอ่ยถึงชื่อโจรเตี้ยขึ้นมา ก็จะอพยพทิ้งเมืองไปเลย โดยปกติโจรเตี้ยหรือคนเถื่อนจากญี่ปุ่นสักยี่สิบสามสิบคนก็สามารถยึดครองเมืองเมืองหนึ่งได้แล้ว ทำให้เศรษฐกิจทางทะเลในสมัยราชวงศ์หมิงตอนปลายได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
จนกระทั่งหลังจากชีจี้กวงได้ขึ้นปกครองกองทัพ สภาพการณ์ถึงได้เปลี่ยนเป็นทิศทางตรงกันข้าม แต่ความคิดที่ว่าประเทศจีนเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่และมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์นั้นได้ฝังลึกลงไปในจิตใจของญี่ปุ่นจำนวนมาก ซึ่งทำให้คนเหล่านี้มีความคิดที่จะรุกรานประเทศจีนอยู่เสมอ
เมื่อถึงสมัยราชวงศ์ชิงตอนปลาย ราชสำนักอ่อนแอลง ชาวญี่ปุ่นจึงเปิดเผยจิตใจอันทะเยอทะยานเหิมเกริมออกมาอีกครั้งโดยไม่ได้พยายามปกปิดเลย สงครามทางทะเลในปีเจี๋ยอู่ทำให้กองทัพเรือของมณฑลชายฝั่งตอนเหนือในสมัยนั้นแทบจะถูกกวาดล้างไปจนเกลี้ยง เขตหลี่ว์ซุ่นในมณฑลเหลียวหนิงถึงกับถูกคนญี่ปุ่นฆ่าล้างไปจนหมดเมือง
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดเป็นประวัติศาสตร์อันน่าอัปยศของประเทศจีนยุคใหม่ และความแค้นที่มีต่อญี่ปุ่นก็พัฒนาไปถึงระดับประเทศ คนจีนแทบทุกคนที่รู้ความอยู่ต่างก็จดจำประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไว้ในใจ
ในสงครามทัพญี่ปุ่นบุกจีนเมื่อหลายสิบปีต่อมา ก็ยิ่งทำให้ทั้งสองประเทศกลายเป็นคู่อริกัน นอกจากพวกที่เป็นโจรขายชาติแล้ว คนจีนทุกคนต่างก็นึกอยากจะกินเลือดกินเนื้อของคนญี่ปุ่นทั้งเป็น และกำจัดคนญี่ปุ่นเสียให้สิ้นซาก
แม้ว่าในช่วงทศวรรษที่ 70 เนื่องจากความจำเป็นทางการเมือง ประเทศจึงต้องตกลงทำสนธิสัญญากับญี่ปุ่น แต่สำหรับคนในประเทศแล้ว ญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นประเทศที่ไม่สมควรได้รับการให้อภัย มีคนจำนวนมากที่ไม่คิดจะปกปิดความแค้นที่มีต่อคนญี่ปุ่นเลย
โลหิตแค้นหลั่งไหลไปทั่วประเทศ ในสมัยสงครามต่อต้านญี่ปุ่นเมื่อครั้งกระโน้น ก็มีบุคคลในยุทธจักรเข้าร่วมกองทัพต้านญี่ปุ่นเช่นกัน คนเหล่านี้จึงมีความแค้นต่อคนญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าคนอื่น ปู่ของโจวเซี่ยวเทียนเดิมทีมีน้องชายอยู่สองคน หลังจากเข้าร่วมแล้วก็ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย ดังนั้นในตอนนี้พอเห็นคาโต้ ทาคุมิเหิมเกริมถึงเพียงนี้ โจวเซี่ยวเทียนจึงลุกขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว
“บัดซบเอ๊ย ฆ่าไอ้ญี่ปุ่นนี่ให้ตายไปซะ!”
“จู้เหวยเฟิง แล้วคนของสนามมวยล่ะ? ตายไปหมดแล้วรึไง?”
ไม่ใช่แค่โจวเซี่ยวเทียนเท่านั้น แม้แต่บรรดาเศรษฐีนักธุรกิจที่มาเสาะหาความตื่นเต้นเหล่านั้น ก็ยังพากันลุกขึ้นมาด้วย บางคนซึ่งไม่ได้มีเบื้องหลังต่ำต้อยไปกว่าจู้เหวยเฟิงเลย ก็ถึงกับตะโกนโวยวายขึ้นมา ทำให้สีหน้าของจู้เหวยเฟิงยิ่งย่ำแย่มากกว่าเดิม
“อาจารย์ ให้ผมขึ้นไปเถอะ!” โจวเซี่ยวเทียนพูดขึ้นอีกครั้ง
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “เซี่ยวเทียน การต่อสู้ด้วยมือเปล่ากับการต่อสู้ด้วยอาวุธมันแตกต่างกันมากนะ มันมีประสบการณ์มาเยอะมาก แกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันหรอก…”
อาวุธนั้นเรียกได้อีกอย่างว่าเครื่องมือสังหาร โดยเฉพาะเครื่องมือสังหารจำพวกดาบและกระบี่นี้ ด้านคมจะคมกริบอย่างที่สุด เมื่อปาดผ่านก็เกิดบาดแผล เมื่อกระทบก็ถึงแก่ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนที่ฝีมือหมัดมวยร้ายกาจแค่ไหน ถ้าต้องปะทะกับอาวุธโบราณก็ต้องรู้สึกหมดหนทางเช่นกัน อย่างที่โบราณกล่าวไว้ว่า ถึงวรยุทธจะสูงส่ง เพียงฟันดาบเดียวก็ล้มนั้น ไม่ใช่คำกล่าวที่ไร้เหตุผลเลย
ทักษะหมัดมวยของโจวเซี่ยวเทียนแม้จะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว แต่ปกติเขาก็ได้เจอกับคนที่ใช้อาวุธอยู่น้อยครั้งมาก ถ้าขึ้นไปสงสัยใช้ไม่ถึงสามกระบวนท่าก็คงจะถูกคาโต้ ทาคุมิฟันบาดเจ็บแล้ว
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่เพียงห้ามปรามหูหงเต๋อ แต่ยังรั้งตัวชายหนุ่มที่ดูท่าทางเป็นนักสู้เต็มตัวคนนั้นไว้อีก จู้เหวยเฟิงก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ เมื่อเห็นบรรยากาศในสนามมวยเริ่มคุกรุ่นขึ้นมา เขาจึงกระทืบเท้าแล้วเดินตรงไปทางห้องพักผ่อน
ภาษิตว่า เมื่อมีรางวัลใหญ่ก็จะต้องมีผู้กล้า ต่อให้จู้เหวยเฟิงต้องทุ่มสักร้อยล้าน ก็จะต้องกระตุ้นนักมวยในค่ายมวยเหล่านั้นให้เลือดร้อนขึ้นมาให้ได้ เสียคนได้แต่ไม่อาจเสียค่ายทัพ ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ราบคาบ จู้เหวยเฟิงก็ไม่ยอมให้เหตุการณ์ที่นักมวยไม่กล้าขึ้นเวทีอย่างก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด
“ผู้แข็งแกร่งย่อมเจรจากันด้วยพละกำลัง ผม…คาโต้ ทาคุมิ คือผู้สืบทอดสำนักเคนโด้คิตะมิยะจากญี่ปุ่น ผมไม่ได้จะมายั่วยุพวกคุณ แต่มาเพื่อพิสูจน์ว่า วิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นเรา ตอนนี้เหนือกว่าวิทยายุทธประเภทใช้อาวุธของจีนโดยสิ้นเชิงแล้ว!”
วาจาของคาโต้ ทาคุมิกระจายไปทั่วสนามมวยผ่านเครื่องขยายเสียงบนเวทีประลอง “จุดประสงค์ที่ผมมาประเทศจีน ก็เพื่อที่จะท้าสู้กับยอดฝีมือผู้ใช้อาวุธของประเทศจีน หากทุกท่านในที่นี้ยังไม่ยอมแพ้ ก็ขึ้นมาบนเวทีได้เลย!”
หลังจากเสียงของคาโต้ ทาคุมิประกาศออกไป ในสนามมวยก็เงียบกริบไปทันที คนจำนวนเกือบร้อยในสนามมวยต่างก็ถึงกับพูดไม่ออก ยามนี้ในใจของทุกคนอาจจะกำลังคุกรุ่นอยู่ก็จริง แต่ความเป็นจริงคือ…พวกเขาก็สู้ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
เมื่อเห็นว่าในสนามมวยเงียบกันไปหมด บนใบหน้าของคาโต้ ทาคุมิก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาจางๆ สิ่งที่คนญี่ปุ่นเชื่อถือก็คือ พลังอยู่เหนือทุกสิ่ง ทุกเรื่องล้วนตัดสินกันด้วยพลัง และจุดประสงค์ที่เขามาปรากฏกายที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อที่จะใช้พลังอันไร้เทียมทานข่มขู่องค์กรมวยใต้ดินของประเทศจีนให้สะท้านสะเทือน!
การที่คาโต้ ทาคุมิออกจากสำนักเคนโด้คิตะมิยะและเข้าสู่องค์กรการแข่งขันประลองแบบไร้กฎเกณฑ์ที่ญี่ปุ่นเมื่อสองปีก่อนนั้น ไม่ใช่การกระทำที่ไร้จุดประสงค์เลย หลังจากที่เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่นได้ในสองปีนี้ ก็มุ่งหน้าไปสู้ที่ประเทศเกาหลีและประเทศจีน ซึ่งแท้จริงแล้วทั้งหมดมีความลับอยู่เบื้องหลัง
ทุกคนต่างก็รู้ว่า วิชายูโดและคาราเต้ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ทุกวันนี้ มีสำนักยูโดและคาราเต้อยู่ทั่วทุกแห่งในโลกนี้ ไม่ว่าที่ไหนที่มีคนอยู่ ก็จะต้องมีสองวิชานี้อยู่ทั่วถึงแทบทั้งนั้น
และการเติบโตของยูโดและคาราเต้นี้ ในแต่ละปีก็ได้สร้างรายได้ให้แก่สำนักยูโดหรือคาราเต้ของญี่ปุ่นเป็นจำนวนถึงหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ จนกระทั่งเกิดกลุ่มการเงินระดับสูงของญี่ปุ่นขึ้นหลายแห่ง
แต่วิชาเคนโด้ซึ่งมีประวัติศาสตร์ในญี่ปุ่นมายาวนานที่สุด และใช้ในการรบจริงได้ผลมากที่สุดนั้น กลับประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในการเผยแพร่สู่มุมต่างๆ ในโลก อย่าว่าแต่จะหาเงินเลย แค่เงินต้นทุนที่ลงทุนไปก็ยังไม่ได้กลับคืนมา ตระกูลคิตะมิยะซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนของวิชาเคนโด้ของญี่ปุ่น จึงยิ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก และเสียหายอย่างรุนแรง
หลังจากคนกลุ่มหนึ่งในตระกูลคิตะมิยะวิเคราะห์ดูก็พบว่า สาเหตุที่การเผยแพร่วิชาเคนโด้เป็นไปอย่างลำบากนั้นมีอยู่สองประการ ประการแรกคืออาวุธโบราณหรืออาวุธที่ไม่ใช้ดินปืนนั้นได้ถอนตัวออกจากเวทีแห่งประวัติศาสตร์ไปแล้ว ผู้คนจึงไม่ค่อยรู้พิษสงของมัน ประชาชนทั่วๆ ไปก็ยิ่งไม่อยากไปศึกษา
ประการที่สองก็คือ ในบางแห่งที่มีการเผยแพร่วิชาเคนโด้นั้น มักจะพบกับการยั่วยุจากกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่น ภาษิตว่า มังกรแกร่งมิอาจข่มอสรพิษเจ้าถิ่น ต่อให้ตระกูลคิตะมิยะจะร้ายกาจเพียงใด ก็ไม่มีทางต่อสู้ผ่านด่านงูเจ้าถิ่นเหล่านี้ไปได้แน่ หนำซ้ำเมื่อต้องเผชิญกับอาวุธปืนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิชาดาบหรือกระบี่ที่ร้ายกาจแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
ดังนั้นเมื่อขบคิดใคร่ครวญดูแล้ว ผู้วางยุทธศาสตร์ของตระกูลคิตะมิยะจึงตัดสินใจใช้วิธีการต่อสู้แบบไร้กฎเกณฑ์ ทำให้องค์กรใต้ดินประเทศเหล่านั้นรู้จักความร้ายกาจของวิชาเคนโด้เสียก่อน หลังจากนั้นการเผยแพร่วิชาก็จะไม่ประสบกับอุปสรรคอีก
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ พวกเขาจะให้การแสดงวิชาดาบสายตระกูลคิตะมิยะนี้ ทำให้บรรดามหาเศรษฐีที่มาเข้าร่วมการพนันมวยใต้ดินเหล่านั้นรู้จักวิชาเคนโด้มากยิ่งขึ้น หากคนกลุ่มนี้ยอมรับวิชาเคนโด้ เชื่อว่าจะต้องเป็นประโยชน์ต่อการเผยแพร่วิชาเคนโด้อย่างมากแน่นอน
และความเป็นจริงก็เป็นไปตามที่พวกเขาคาดไว้ หลังจากคาโต้ ทาคุมิเดินทางไปประเทศเกาหลี สำนักเคนโด้ห้าแห่งที่ตระกูลคิตะมิยะก่อตั้งขึ้นในประเทศเกาหลีก็มีกิจการดีขึ้นมาทันที กระทั่งยังมีนักลงทุนชาวเกาหลีบางคนเข้าร่วมฝึกเคนโด้อีกด้วย ซึ่งทำให้สมาชิกส่วนหนึ่งในตระกูลคิตะมิยะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเดินหมากถูกทางแล้ว
ดังนั้นหลังจากที่ทราบว่าองค์กรจัดการแข่งขันต่อสู้แบบไร้กฎเกณฑ์ในประเทศจีนได้เชิญราชามวยจากรัสเซียคนหนึ่งมาร่วมแข่งขันที่จีน คนกลุ่มหนึ่งในตระกูลคิตะมิยะจึงเริ่มเกิดความคิดขึ้น ประเทศจีนมีประชากรมากกว่าหนึ่งพันล้านคน หากสามารถเปิดตลาดที่นี่ได้ อย่างนั้นรายได้ก็จะมากจนสุดเกินที่จะจินตนาการได้เลย
ดังนั้นคาโต้ ทาคุมิจึงได้เดินทางมายังประเทศจีน แต่คนญี่ปุ่นเหล่านั้นกลับลืมไปประเด็นหนึ่งคือ ความแค้นระหว่างจีนและญี่ปุ่นนั้น ทำให้การกระทำของคาโต้ ทาคุมิกลับกลายเป็นการยั่วยุอย่างหนึ่งในสายตาของผู้ชม และยังเป็นการยั่วยุคนจีนทั้งประเทศอีกด้วย
“วิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นน่ะ ก็แค่วิชาที่เกิดมาจากวิชาดาบกับกระบี่ของจีนเท่านั้นแหละ แล้วยังฝึกแค่พละกำลัง แต่ไม่ได้ฝึกกำลังภายใน แบบนี้ยังจะกล้ามาคุยโตโอ้อวดที่ประเทศจีนอีกเรอะ!”
ขณะที่ทุกคนในสนามมวยกำลังมีสีหน้าอับอายอยู่นั้นเอง เสียงหนึ่งก็พลันพูดขึ้น จากนั้นชายหนุ่มที่ดูน่าจะอายุเพียงยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งก็เดินขึ้นไปบนเวทีมวย
……
ตอนที่ 470 ขอเพียงศึกเดียว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คนนี้เป็นใครเนี่ย? ทำไมไม่เคยเห็นเลย?”
“ไม่รู้สิ ไม่น่าจะใช่นักมวยของสนามมวยละมั้ง?”
“เมื่อกี้เขานั่งอยู่กับประธานจู้น่ะ เหมือนจะเป็นเพื่อนของประธานจู้นี่แหละ!”
“คนนี้ไม่ไหวหรอกมั้ง? ขนาดราชาทวนฝูเจ๋อเหลียงเมื่อกี้ยังโดนฟันแขนขาดเลย แล้วเขาจะสู้ได้เหรอ?”
หลังจากเยี่ยเทียนซึ่งนุ่งชุดฝึกสีขาวแบบเดียวกับฝูเจ๋อเหลียงขึ้นไปบนเวทีประลอง บรรดาผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมาทันที ต่างวิพากษ์วิจารณ์ซักถามกันเกี่ยวกับเยี่ยเทียน เพราะถึงเยี่ยเทียนจะมีส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร แต่ดูแล้วท่าทางจะอ่อนแอ ไม่ได้ดูแข็งแกร่งกำยำเหมือนนักสู้คนก่อนๆ เลย
ดังนั้นแม้ฝูงชนจะรู้สึกโมโหกับการยั่วยุของคาโต้ ทาคุมิ แต่ก็มีคนที่มองเยี่ยเทียนในแง่ดีอยู่แค่ไม่กี่คน เพราะเมื่อขึ้นเวทีประลองไปแล้วจะเป็นหรือตายก็ไม่รู้ ต่อให้เป็นครูมวยอาวุโสบางคน ในยามที่ต้องต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกัน ก็ยังไม่แน่ว่าจะสุขุมเยือกเย็นอยู่ได้หรือไม่
และคนหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งอย่างเยี่ยเทียนนี้ ยิ่งไม่น่าจะเคยแข่งมวยใต้ดินมาก่อน จึงถูกฝูงชนดูถูกเป็นธรรมดา ไม่แน่ว่าพอจบไปหนึ่งรอบแล้ว อาจจะต้องลงจากเวทีด้วยสภาพที่อนาถยิ่งกว่าฝูเจ๋อเหลียงอีกด้วยซ้ำ
ที่ด้านล่างเวทีเริ่มมีคนส่ายหน้าถอนหายใจแล้ว คนหนุ่มจะอย่างไรก็คือคนหนุ่ม รู้จักแต่เลือดร้อน ไม่รู้จักขบคิดถึงผลที่จะตามมา นี่คือการต่อสู้แบบชี้เป็นชี้ตาย ถ้าถูกอีกฝ่ายฆ่าตายไปจริงๆ ก็มีแต่จะตายเปล่าเท่านั้น
“แกเป็นใครกัน?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนขึ้นมาบนเวที คาโต้ ทาคุมิก็อึ้งไป แล้วขมวดคิ้วมองดูเยี่ยเทียนอย่างพินิจพิเคราะห์ “พวกแกคนจีนมีคำพังเพยโบราณอยู่อย่างหนึ่ง ที่ว่าผู้ชนะเป็นราชา ผู้แพ้เป็นโจร การที่ฉันเอาชนะเจ้าคนใช้ทวนเมื่อกี้ไปได้ ก็น่าจะอธิบายปัญหาได้ชัดเจนอยู่แล้วนะ”
แม้จะเป็นคนจองหอง แต่คาโต้ ทาคุมิก็ตั้งใจฟังคำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่นี้อยู่เหมือนกัน เพราะจุดอ่อนของวิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นนั้น เขาเองก็รู้ดีเป็นที่สุด ที่เยี่ยเทียนบอกว่าวิชาเคนโด้ฝึกแค่พละกำลัง แต่ไม่ฝึกกำลังภายในนั้น ก็ไม่ได้กล่าวผิดไปเลย
วิชาดาบของญี่ปุ่นเน้นไปที่การรุกหน้าอย่างเด็ดขาดดุดัน แต่พลิกแพลงได้น้อยเกินไปจริงๆ มุ่งแสวงแต่ความเร็วในการลงดาบและความรุนแรงของพลังในการฟาดฟัน อย่างที่มีคำพังเพยว่า ปล่อยได้แต่ชักกลับไม่ได้ ช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดก็คือไม่ได้พิจารณาว่า หากฟันออกไปพบกับความว่างเปล่าแล้วควรจะทำอย่างไร
สำหรับประเด็นนี้ บุคคลระดับปรมาจารย์เคนโด้ของญี่ปุ่นก็ตระหนักได้มานานแล้ว เพียงแต่คนฝึกวิชาอาวุธยุคใหม่นั้นมีน้อยเหลือเกิน และยอดฝีมือที่แท้จริงก็มักจะมาเร้นกายอยู่ในหมู่บ้านตามป่าเขาในประเทศจีน หลายสิบปีที่ผ่านมา เคนโด้ของญี่ปุ่นก็กลายเป็นวิชาอาวุธโบราณที่ใช้ในการต่อสู้จริงที่มีวิธีสังหารเหี้ยมโหดที่สุดในโลก
ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงจงใจมองข้ามข้อบกพร่องในวิชาเคนโด้ของพวกตน หลังจากผ่านชัยชนะมาติดต่อกัน จึงเกิดนิสัยจองหอง คิดว่าข้าเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าขึ้นมา ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน คาโต้ ทาคุมิจึงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย และแสดงความไม่เห็นด้วยออกมา
เยี่ยเทียนเลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดตอบว่า “ชนะคือราชาแพ้คือโจร? แกหมายความว่า ถ้าฉันเอาชนะแกได้ แกก็จะยอมรับว่าผิดงั้นรึ?”
“ไม่ วิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นน่ะ เหนือกว่าวิชาอาวุธโบราณของจีนเยอะ ต่อให้แกเอาชนะฉันได้ ฉันก็ไม่ยอมรับหรอก…”
คาโต้ ทาคุมิมองไปยังเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าอย่างขันๆ แล้วพูดต่อไปว่า “แล้วแกก็ไม่มีทางเอาชนะฉันได้หรอก วิชาการต่อสู้โบราณของจีนน่ะตกต่ำไปแล้ว คนจีนสมัยนี้ไม่มีใครยอมทนลำบากเรียนศิลปะการต่อสู้ของบรรพบุรุษกันอีกแล้ว เพียงแค่ข้อนี้ พวกแกก็สู้พวกเราไม่ได้แล้วล่ะ!”
“ความเด็ดเดี่ยวของคนจีนน่ะ ชนชาติป่าเถื่อนอย่างพวกแกจะมาเข้าใจได้ยังไงกัน?”
เยี่ยเทียนฟังแล้วหัวเราะออกมา ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คนญี่ปุ่นอย่างพวกแกนี่ก็ไม่รู้จักจำบทเรียนเสียบ้างเลย สมัยก่อนเคยบุกรุกประเทศจีน จนสุดท้ายเป็นฝ่ายแพ้สงครามเอง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้จักสำนึกกลับตัว ยังจะมาสำแดงอานุภาพบนแผ่นดินจีนอีก นึกว่าไม่มีใครฆ่าแกได้แล้วรึไงหา?!”
“พูดได้ดี กำจัดไอ้เด็กเปรตนี่ซะ!”
“ฆ่ามันเลย ล้มคนญี่ปุ่นให้ได้!”
หลังจากคำพูดนี้กระจายออกไปผ่านเครื่องขยายเสียงในสนามมวย ทั้งสนามก็คุกรุ่นขึ้นมาทันที ความแค้นระหว่างจีนและญี่ปุ่นนั้นฝังลึกถึงไขกระดูก แม้ว่าในสถานที่นั้นจะมีหลายคนที่ทำธุรกิจแลกเปลี่ยนกับญี่ปุ่นอยู่ แต่ในใจของพวกเขา ก็ยังคงรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ต่อประเทศญี่ปุ่นอยู่ดี
เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องจากด้านล่างเวที บนใบหน้าของเยี่ยเทียนกลับปรากฏรอยยิ้มขมขื่นขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่เห็น เพราะถึงปากเขาจะพูดแย้งคาโต้ ทาคุมิอยู่ แต่กล่าวจากบางมุมแล้ว คาโต้ ทาคุมิก็ไม่ได้พูดผิดไปเลยจริงๆ คนจีนรุ่นหนุ่มในปัจจุบันนั้น ต่างก็รักสบายกลัวเหนื่อยกันจริงๆ อย่าว่าแต่จะบากบั่นฝึกวิชายุทธเลย แม้แต่จะกินข้าวก็สงสัยยังต้องให้พ่อแม่ตักมายื่นให้ถึงมือ
แต่คำพูดเหล่านี้ก็ใช้ได้แค่กับคนทั่วไปเท่านั้น ตระกูลสายศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงนั้นก็ยังมีการสืบทอดวิชาอยู่ อย่างโจวเซี่ยวเทียนที่เกิดในตระกูลที่ตกต่ำลงไปแล้ว ก็ยังมุมานะฝึกวิชาการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ถ้าพูดถึงวิชาหมัดมวยละก็ ต่อให้มีคาโต้ ทาคุมิสามคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโจวเซี่ยวเทียนแน่
“เจ้าหนุ่ม แกแน่ใจนะว่าจะสู้กับฉัน?”
คาโต้ ทาคุมิฟังภาษาจีนรู้เรื่อง หลังจากได้ยินคนทั้งสนามโห่ร้องให้ฆ่าเขาและล้มญี่ปุ่นให้ได้ สีหน้าของคาโต้ ทาคุมิก็กลับกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที การที่เยี่ยเทียนขึ้นมาบนเวทีนี้ ทำให้ความน่ายำเกรงจากการที่เขาฟันแขนฝูเจ๋อเหลียงขาดไปเมื่อครู่นั้นสลายหายไปหมดเลย
ที่คาโต้ ทาคุมิมาประเทศจีนครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อสร้างสัมพันธไมตรี แต่เขาต้องการจะใช้วิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นทำให้บรรดาเศรษฐีเหล่านี้ยอมสวามิภักดิ์ ขณะเดียวกันก็แสดงการข่มขู่องค์กรมวยใต้ดินของจีนรวมถึงคนในยุทธภพ แต่คำพูดของเยี่ยเทียนกลับทำให้ความพยายามของเขาเมื่อก่อนหน้านี้เสียเปล่าไปหมดเลย
เยี่ยเทียนพยักหน้า “ถูกต้อง ตามหลักการของญี่ปุ่นอย่างพวกแก ใครหมัดหนักกว่า คนนั้นก็เป็นลูกพี่ วันนี้ฉันจะให้แกได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คนแคระอย่างพวกแกจะได้ไม่มานั่งละเมอหลงตัวเองไปวันๆ อีก!”
“บังอาจ แก บังอาจดูหมิ่นพวกเราชาวญี่ปุ่น!” เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น คาโต้ ทาคุมิก็โมโหเดือดดาลขึ้นมา มือขวากุมด้ามดาบซามูไร มองไปที่เยี่ยเทียนพลางพูดอย่างดุดัน “หยิบอาวุธของแกออกมา ฉันจะให้แกรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของวิชาเคนโด้ของญี่ปุ่น!”
คาโต้ ทาคุมิอยากจะฟันเยี่ยเทียนขาดเป็นสองท่อนในดาบเดียวไปเสียเดี๋ยวนั้นเลย เพียงแต่เขาเพิ่งจะใช้วิธีลอบโจมตีเป็นฝ่ายรุกก่อน ถ้าตอนนี้ยังใช้อาวุธทำร้ายเยี่ยเทียนซึ่งกำลังมือเปล่าอยู่อีก เกรงว่าวิชาเคนโด้ที่เขานำมาเผยแพร่นี้ อาจจะกลายเป็นตัวแทนของความไร้ยางอายไป
แต่พอคาโต้ ทาคุมิเพิ่งจะพูดจบ เสียงร้องอุทานเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากประตูห้องพักผ่อนที่อยู่ห่างไปยี่สิบกว่าเมตร “เยี่ยเทียน? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมถึงขึ้นไปบนเวทีล่ะ?”
จู้เหวยเฟิงเพิ่งจะเกลี้ยกล่อมนักสู้คนหนึ่งที่ฝึกกระบี่ไทเก๊กมาตั้งแต่เด็กได้ และกำลังพาเขาออกมาจากห้องพักผ่อน แต่กลับพบว่าเยี่ยเทียนขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลองแล้ว ทำให้เขาตื่นตระหนกไปไม่ใช่น้อย และรีบสาวเท้าวิ่งไปจนถึงข้างเวทีมวย
ทุกคนที่ขึ้นสู่เวทีประลองนี้ ต่างก็เซ็นข้อตกลงรับความเสี่ยงที่จะตายแล้ว ถึงแม้อาจจะไม่มีหน่วยงานทางกฎหมายยอมรับ แต่เมื่อมีข้อตกลงฉบับนี้แล้ว จู้เหวยเฟิงก็หมดปัญหาวุ่นวายไปได้มาก แต่เยี่ยเทียนไม่เหมือนกับนักมวยเหล่านั้น อย่าว่าแต่เขายังไม่ได้เซ็นข้อตกลงรับความเสี่ยงเลย ต่อให้เซ็นไปแล้ว จู้เหวยเฟิงก็ไม่กล้าให้เขามาแข่งมวยใต้ดินอยู่ดี
ควรทราบว่า เยี่ยเทียนเป็นหลานนอกตระกูลแท้ๆ เพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลซ่งคนนั้น มารดาของเขากุมทรัพย์สินต่างประเทศอยู่เป็นมูลค่ามหาศาล และเยี่ยเทียนก็มีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นผู้สืบทอดทรัพย์สินก้อนนี้ในอนาคต
สมมติถ้าเยี่ยเทียนเกิดเรื่องขึ้นในที่ของเขา ต่อให้จู้เหวยเฟิงมีเจ้าพ่อคอยหนุนอยู่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ อย่าว่าแต่สนามมวยแห่งนี้จะเปิดกิจการต่อไปได้หรือไม่ แม้แต่ตัวเขาเอง ก็คงจะถูกกดดันให้ออกจากประเทศ และใช้ครึ่งชีวิตที่เหลือต่อไปโดยต้องปกปิดชื่อเสียงเรียงนามไว้เป็นความลับ
ดังนั้นถึงจู้เหวยเฟิงจะกล้าให้หูหงเต๋อขึ้นเวที แต่ไม่มีทางกล้าให้เยี่ยเทียนไปปะทะกับคาโต้ ทาคุมิเด็ดขาด จีนมีคำพังเพยโบราณหนึ่งกล่าวว่า บุตรผู้ร่ำรวยไม่นั่งใต้ชายคากระเบื้อง ซึ่งก็หมายถึงคนอย่างเยี่ยเทียนนี่เอง แน่นอนว่า ตัวจู้เหวยเฟิงเองก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทนี้เช่นกัน
เมื่อเห็นจู้เหวยเฟิงซึ่งกำลังมีสีหน้าร้อนรนอยู่ด้านล่างเวที เยี่ยเทียนก็ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ประธานจู้ สหายญี่ปุ่นคนนี้ดูถูกวงการศิลปะการต่อสู้ของประเทศจีน เยี่ยเทียนเองก็อยู่ในแวดวงนี้เหมือนกัน จึงไม่อาจทนนิ่งดูดายได้ ก็เลยต้องขึ้นเวทีมาขอรับคำชี้แนะดูสักตั้ง!”
“เยี่ยเทียน คุณ…คุณลงมาก่อนนะ นี่…นี่มันไม่ใช่ศึกที่จะมาแข่งอุดมการณ์กันนะ!”
จู้เหวยเฟิงสนใจที่ไหนกันว่าเยี่ยเทียนจะพูดอย่างไร? ตอนนี้เขาคงได้แต่ลากเยี่ยเทียนลงมาจากเวทีมวย เพราะถ้าเยี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บหรือบุบสลายไปละก็ เขาคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่นอน
เมื่อสบตากับหูจวินที่อยู่ข้างๆ จู้เหวยเฟิงก็อดโมโหไม่ได้ “หูจวิน น้องเยี่ยเขาทำเรื่องวู่วามตามประสาคนหนุ่ม ทำไมนายไม่ช่วยเตือนหน่อยเล่า?”
“ฉัน? ก็ฉันเตือนเขาไม่ได้น่ะสิ!” หูจวินยิ้มเจื่อนๆ “ขนาดท่านถังที่ฮ่องกงเวลาอยู่ต่อหน้าเขายังต้องเกรงอกเกรงใจเลย แล้วฉันจะไปกล้าหือกล้าอือได้ยังไงเล่า?”
ที่จริงตอนที่เยี่ยเทียนจะขึ้นไปบนเวที หูจวินก็ได้รั้งเยี่ยเทียนไว้แล้ว แต่อาศัยกำลังของเขาจะไปรั้งเยี่ยเทียนไหวได้อย่างไร? นอกจากนี้ดูจากเหตุการณ์ที่เยี่ยเทียนซ้อมหวงซือจื้อและอาละวาดสถานีตำรวจไปก่อนหน้านี้ หูจวินก็รู้แล้วว่าเยี่ยเทียนเป็นคนประเภทที่หากตัดสินใจแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนใจได้
“แบบ…แบบนี้ไม่ได้นะ!” จู้เหวยเฟิงส่ายหน้า ชี้ไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธปืนแล้วสั่งว่า “พวกนายมานี่ซิ ไปเชิญคุณเยี่ยลงมาที!”
เยี่ยเทียนและคาโต้ ทาคุมิที่อยู่บนเวทียืนอยู่ห่างกันเพียงห้าเมตร จู้เหวยเฟิงกลัวว่าคาโต้ ทาคุมิจะหุนหันทำร้ายคนขึ้นมา ดังนั้นถึงได้ให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธปืนขึ้นไปบนเวที ขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนคาโต้ ทาคุมิไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่าม
เมื่อได้ยินจู้เหวยเฟิงพูดอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็ทำหน้าเย็นชา สายตากวาดผ่านไปทางจู้เหวยเฟิงแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ประธานจู้ นี่เป็นการประลองระหว่างผมกับคนญี่ปุ่น คุณโปรดอย่ามาก้าวก่ายจะได้ไหม?”
หากคาโต้ ทาคุมิเป็นเพียงลูกศิษย์ของคิตะมิยะ ฮิเดโอะ เยี่ยเทียนก็อาจจะไม่ลงมือ ปล่อยให้เจ้าคนญี่ปุ่นนี่ยั่วยุพวกคนจีนด้านล่างเวทีที่ไร้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเหล่านี้เสียหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพราะในส่วนลึกของคนเหล่านี้ก็ขาดความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญอยู่ดี
แต่คาโต้ ทาคุมิกลับนำเรื่องที่คิตะมิยะ ฮิเดโอะเคยฟันแขนซ้ายของโก่วซินเจียขาดไปมาเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วอย่างเหิมเกริม เยี่ยเทียนจึงไม่อาจทนรับได้ มิหนำซ้ำวาจาของคาโต้ ทาคุมิยังทำให้ในใจของเยี่ยเทียนเกิดจิตสังหารขึ้นมา คราวนี้อย่าว่าแต่จู้เหวยเฟิงเลย ต่อให้เป็นท้าวจตุโลกบาลเสด็จมา ก็อย่าหวังว่าจะรั้งเยี่ยเทียนไว้ได้
“แบบ…แบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ?” เมื่อถูกเยี่ยเทียนจ้องไปแวบหนึ่ง จู้เหวยเฟิงก็รู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาในใจอย่างไร้สาเหตุ แล้วก็ไม่กล้าให้คนขึ้นไป ‘เชิญ’ เยี่ยเทียนบนเวทีอีกเลย
“ประธานจู้ คุณก็ไม่ต้องห่วงอะไรหรอกครับ ผมเยี่ยเทียนเวลาทำเรื่องอะไร ไม่เคยทำให้มิตรสหายต้องลำบากไปด้วยหรอก!”
เยี่ยเทียนอ่านความคิดของจู้เหวยเฟิงออก จึงเงยหน้าขึ้นอย่างยิ้มแย้ม มองไปที่กล้องตัวหนึ่งซึ่งติดตั้งไว้เหนือเวทีมวย แล้วพูดเน้นย้ำทุกคำว่า “วันนี้กระผมแซ่เยี่ยขึ้นสู่เวทีประลองแห่งนี้ เป็นตายแล้วแต่ฟ้าลิขิต แต่ขอสู้เพียงศึกเดียว!”
…….
ตอนที่ 471 อัปยศ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เยี่ยเทียนเข้าใจว่าจู้เหวยเฟิงกังวลเรื่องอะไรอยู่ ที่ทำลงไปเช่นนี้ก็เพื่อที่จะให้เขาวางใจลงได้เท่านั้น เขาจะได้ไม่ให้ รปภ. ติดอาวุธปืนพวกนั้นมาลากเขาลงไปจากเวที แบบนั้นคงได้กลายเป็นเรื่องตลกให้คาโต้ ทาคุมิขำไปเปล่าๆ แน่
ในพื้นที่ใต้ดินอันใหญ่โตนี้ ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้อย่างแน่นขนัดหลายสิบตัว ถึงเยี่ยเทียนจะมองไปที่กล้องเพียงตัวเดียว แต่ระหว่างที่เขาพูดอยู่นั้น อันที่จริงก็ถูกบันทึกภาพไว้จากทุกมุมแล้ว
จู้เหวยเฟิงนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะทำแบบนี้ หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “นี่…เยี่ยเทียน นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ ผมว่า ให้อาจารย์หงขึ้นไปแทนดีกว่าไหม?”
จู้เหวยเฟิงรู้อย่างแจ่มแจ้งดีว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเยี่ยเทียนในที่ของเขานี้ คนที่อยู่เบื้องหลังเขาก็คงจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพลิงโทสะที่มีอยู่เต็มอกก็คงจะมีแต่เขานี่แหละที่ต้องเป็นผู้รับ ดังนั้นไม่ว่าเยี่ยเทียนจะพูดอย่างไร เขาก็ไม่กล้ารับความเสี่ยงนี้อยู่ดี
“ประธานจู้ ถ้าให้ผมลงไปแล้ว อย่างนั้น…คุณจะขึ้นมาไหมล่ะ?”
เยี่ยเทียนสีหน้าขรึมลง ในใจกลับเกิดเพลิงโทสะขึ้นมา คนญี่ปุ่นมาเย้ยหยันถึงขนาดนี้แล้ว จู้เหวยเฟิงยังจะมัวคิดถึงเรื่องพวกนั้นอยู่อีก ถึงแม้สาเหตุจะเป็นเพราะหวังดีต่อเขา แต่เยี่ยเทียนไม่ได้ต้องการที่จะรับน้ำใจนี้เลยสักนิด
“คุณ?” จู้เหวยเฟิงหัวเราะอย่างขมขื่น ขณะกำลังจะพูดอะไรอีก ก็กลับถูกหูหงเต๋อฉุดกลับไป “นี่เจ้าหนุ่ม แกน่ะจะไปยุ่งวุ่นวายอะไรนักหนาเล่า? ที่เยี่ยเทียนยอมขึ้นไปสู้น่ะเป็นวาสนาของแกแล้ว ดูการแข่งอยู่เฉยๆ ข้างล่างนี่แหละ!”
เมื่อถูกหูหงเต๋อใช้วิชากรงเล็บอินทรีย์ตะปบไหล่ขวาไว้ จู้เหวยเฟิงก็รู้สึกอ่อนแรงไปครึ่งร่างทันที จึงได้แต่นั่งลงไปบนเก้าอี้ แล้วตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ “คุณตาหูครับ แต่ว่า…เยี่ยเทียนเขาไม่ใช่คนธรรมดาๆ นะ??”
พอได้ยินจู้เหวยเฟิงพูดแบบนั้น หูหงเต๋อก็เบะปาก “แกนี่ไม่รู้อะไร…แล้วยังมายุ่งไม่เข้าเรื่องอีก ไม่เป็นไรหรอกน่ะ ถ้าเยี่ยเทียนแพ้ไอ้ญี่ปุ่นนั่นละก็ ฉันเหล่าหูจะเด็ดหัวออกมาให้แกเตะเป็นลูกบอลเลย!”
ถึงหูหงเต๋อจะไม่เคยเห็นเยี่ยเทียนใช้อาวุธมาก่อน แต่ระดับที่ใช้มีดสั้นเล่มเดียวก็ปลิดชีวิตคนได้แล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาวุธอะไร เมื่อมาอยู่ในมือของเยี่ยเทียนก็ต้องสำแดงอานุภาพอันร้ายกาจออกมาได้ทั้งนั้น ต่อให้เขาเอาทวนมาใช้เป็นกระบอง ก็ต้องฟาดไอ้ญี่ปุ่นบนเวทีจนล้มกลิ้งตายคาเวทีได้แน่นอน
“เยี่ย…เยี่ยเทียนร้ายกาจขนาดนั้นเลยรึ?”
จู้เหวยเฟิงมองหูหงเต๋ออย่างไม่อยากจะเชื่อ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งจะเอาชนะอันเดรวิชไปได้ จู้เหวยเฟิงก็คงจะนึกว่าหูหงเต๋อกำลังคุยโวแน่ๆ รูปร่างของเยี่ยเทียนไม่ได้มีลักษณะของนักสู้เลยสักนิด ไม่ว่าอย่างไรจู้เหวยเฟิงก็ไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนความสามารถเอาไว้อยู่
แต่จู้เหวยเฟิงไม่รู้ว่า เยี่ยเทียนฝึกมวยพลังภายในมาตั้งแต่สมัยอยู่ประถม ร่างกายจึงไม่เหมือนกับพวกที่ฝึกมวยพลังภายนอก พลังที่เขาสะสมมานั้นเป็นพลังปราณในจุดตันเถียน เมื่อปราณแผ่ไปถึงที่ใด พลังก็จะปะทุออกมาในชั่วพริบตา และมีอำนาจทำลายล้างสูงในระดับที่พลังแข็งกร้าวสายมวยพลังภายนอกไม่อาจเทียบได้เลย
“ร้ายกาจ? ไอ้ญี่ปุ่นนี่กับอันเดรวิชร่วมมือกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียนเลยด้วยซ้ำ!”
หูหงเต๋อท่าทางจะรู้สึกว่าการที่นำอันเดรวิชกับคาโต้ ทาคุมิมาเปรียบเทียบกันนั้นออกจะไม่เหมาะสมอยู่ จึงแค่นเสียงออกมาดัง “ฮึ” แล้วพูดต่อไปว่า “อันเดรวิชยังถือว่าเป็นชายชาตรีอยู่ ไอ้เด็กเปรตนี่นับเป็นตัวอะไรกัน? นี่แกน่ะ อยู่รอดูเรื่องสนุกตื่นเต้นไปเถอะน่า!”
“งั้น…งั้นก็ได้ครับ!” จู้เหวยเฟิงพยักหน้าอย่างจนปัญญา เขาได้แต่เลือกที่จะเชื่อคำพูดของหูหงเต๋อ
แต่หลังจากครุ่นคิดดูครู่หนึ่ง จู้เหวยเฟิงก็ลุกขึ้นเดินไปจากที่นั่ง แล้วแอบหยิบเครื่องวิทยุสื่อสารออกมาสั่งการ เขาสั่งให้มือปืนแอบซุ่มอยู่ในที่ลับ และคอยจับตาดูสถานการณ์บนเวทีไว้ตลอดเวลา ถ้าเยี่ยเทียนมีความเสี่ยงถึงชีวิตละก็ ต่อให้สนามมวยแห่งนี้จะไม่ได้เปิดกิจการต่อไปอีก ก็ต้องรักษาชีวิตเยี่ยเทียนไว้ให้ได้
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเกลี้ยกล่อมจู้เหวยเฟิงได้แล้ว คาโต้ ทาคุมิที่เริ่มรำคาญมานานแล้วก็ชี้นิ้วไปที่เยี่ยเทียน “เวลาคนจีนจะทำอะไร ก็ชอบอ้อยสร้อยกันแบบนี้แหละนะ แกน่ะ…จะใช้อาวุธอะไร?”
“แกจะรีบไปเกิดใหม่รึไงล่ะหา?”
เยี่ยเทียนเหลือบตามอง แต่ในใจนั้นกำลังครุ่นคิด บอกตามตรง เขายังไม่เคยเรียนใช้อาวุธโยราณอะไรอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อนเลย จะดาบ ทวน พลองหรือกระบองก็ใช้ไม่เป็นสักอย่าง อันที่จริงแทนที่จะถืออาวุธ สู้ด้วยมือเปล่าไปเลยยังอาจจะง่ายเสียกว่าด้วยซ้ำ
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะตอบว่าจะไม่ใช้อาวุธ ก็พลันเหลือบไปเห็นทวนจงผิงที่คาโต้ ทาคุมิเหยียบไว้ใต้เท้าเล่มนั้น หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นมาวูบหนึ่ง “แกบอกว่าวิชาทวนตระกูลเยวี่ยสู้เคนโด้ของญี่ปุ่นไม่ได้ไม่ใช่รึ? ฉันก็จะใช้ทวนเล่มนี้แหละ!”
ระหว่างพูดไปเยี่ยเทียนก็สาวเท้าเดินเข้าไปหาคาโต้ ทาคุมิ ไม่ทราบเพราะเหตุใด คาโต้ ทาคุมิจึงถึงกับต้องถอยหลังไปหลายก้าวอย่างอดไม่ได้ และปล่อยทวนเหล็กที่เหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าออกมา
“แย่ละสิ ไอ้หนุ่มนี่เลือกอะไรไม่เลือก ทำไมดันมาเลือกทวนเล่มนี้ด้วยเล่า?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนก้มลงไปหยิบทวนจงผิงเล่มนั้นขึ้นมา หูหงเต๋อก็อดบ่นพึมพำขึ้นมาไม่ได้ ควรทราบว่า ‘พลองเรียนเป็นเดือน ดาบเรียนเป็นปี ทวนนั้นต้องเรียนตลอดชาติ’ ทวนนั้นเรียนยากที่สุด ในความคิดของหูหงเต๋อ สู้เลือกใช้กระบี่ยาวประมือกับคาโต้ ทาคุมิยังจะดีกว่าอีก
“บังอาจ ฉันจะให้แกรู้จักความร้ายกาจของวิชาเคนโด้ของเรา!”
คาโต้ ทาคุมิไม่พอใจที่ตัวเองถอยหลังไปเมื่อครู่นี้ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยิบทวนขึ้นมา เขาก็เกร็งไปทั้งร่างทันที มือขวากุมด้ามดาบซามูไรแน่น เตรียมจะชักออกจากฝักมาฟาดฟันศัตรูได้ทุกเมื่อ
“อาศัยแกเนี่ยนะ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วหัวเราะเย้ยหยัน “คนญี่ปุ่นอย่างพวกแกน่ะอะไรก็เลียนแบบมาจากจีนทั้งนั้นแหละ เรียนแล้วก็ทำไม่ได้อย่างต้นตำหรับ ทำตามได้แค่ภายนอก แต่ไม่เข้าถึงแก่นแท้ภายใน จริงสิ คนจีนเราไม่ได้นอนกับพื้นมาตั้งนานแล้วนะ แต่พวกแกหลังจากเลียนแบบไปตั้งพันกว่าปีแล้วก็ยังไม่เคยเปลี่ยน ช่างเป็นพวกที่สมองตายด้านจริงๆ เลย!”
ที่เยี่ยเทียนพูดมานี้ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ เท่านั้น วัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นก็วิวัฒนาการมาจากวัฒนธรรมจีนทั้งนั้น ตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัยและการเดินทาง ไปจนถึงธรรมเนียมปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ต่างก็เป็นฉบับที่ลอกเลียนไปจากคนจีนสมัยโบราณแทบทั้งนั้น
เสื่อทาทามิที่คนญี่ปุ่นในปัจจุบันใช้นอนกันอยู่นั้น แท้จริงแล้วก็คือซากวัฒนธรรมเครื่องนอนของจีนอันสมบูรณ์แบบจากเมื่อหลายพันปีก่อนนั่นเอง เสื่อทาทามิมีที่มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน จนถึงปัจจุบันก็มีประวัติศาสตร์มาเกือบสองพันปีแล้ว ในสมัยที่ราชวงศ์ถังรุ่งเรืองได้มีการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เช่นญี่ปุ่นและเกาหลี ในสุสานราชวงศ์จักรพรรดิที่ซีอานก็มีการใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกเสื่อทาทามิอยู่ด้วย
“ไอ้ญี่ปุ่น ที่นั่งอยู่ตรงนี้น่ะเป็นบรรพบุรุษแกทั้งนั้นแหละ เคนโด้ก็เป็นของจีนเหมือนกัน รีบไสหัวไปซะเถอะ”
“นั่นน่ะสิ ญี่ปุ่นสมัยก่อนก็เป็นแค่พวกลิงไร้อารยธรรมฝูงหนึ่งเท่านั้นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะสวีฝูพาคนไปที่ญี่ปุ่น ตอนนี้พวกแกก็คงยังกินเนื้อสัตว์ดิบๆ กันอยู่เลยมั้ง”
“ฮี่ๆ ญี่ปุ่นน่ะมันเป็นประเทศเสื่อมทราม นี่พวกนายรู้รึเปล่า ที่โน่นน่ะลูกชายชอบ OOXX กับแม่ตัวเองอยู่บ่อยๆ เลยละ!”
คำพูดของเยี่ยเทียนกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองอย่างครึกโครมขึ้นที่ล่างเวที หลังจากเกิดเสียงหัวเราะดังสนั่นหวั่นไหว บรรดาคนที่รู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่บ้างเล็กน้อยก็พากันแสดงความคิดเห็นขึ้นมา เสียงเยาะเย้ยเสียดสีดังขึ้นมาถึงบนเวทีประลอง
“บัดซบ แกนะแก พูดบ้าๆ!”
คาโต้ ทาคุมิเห็นได้ชัดว่าไม่รู้เกี่ยวกับที่มาของเสื่อทาทามิของประเทศตัวเอง เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนและฝูงชนด้านล่างเวทีหัวเราะเยาะเย้ย ก็โมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที ชักดาบซามูไรออกมาดัง “ชิ้ง” แล้วโยนฝักดาบทิ้งไปด้านข้าง ใช้สองมือถือดาบชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ
ตั้งแต่เยี่ยเทียนขึ้นมาบนเวทีประลอง คาโต้ ทาคุมิก็ยังประฝีปากชนะเขาไม่ได้เลย ทำให้ในใจคาโต้ ทาคุมิเคียดแค้นนัก และตัดสินใจแล้วว่าจะใช้โลหิตของเยี่ยเทียนชำระล้างความอัปยศที่เขามอบให้แก่ตน
“เข้ามาเลย ฉันจะให้แกได้เห็นว่าอะไรคือวิชาทวน!”
เปรียบเทียบกับคาโต้ ทาคุมิที่ขมวดเกร็งไปทั้งร่างแล้ว เยี่ยเทียนในตอนนี้กลับดูผ่อนคลายผิดปกติ เขายืนอย่างมั่นคงดั่งเหล็กกล้า มือข้างหนึ่งถือทวน มืออีกข้างหนึ่งกลับยื่นนิ้วชี้ออกไปกวักเรียกคาโต้ ทาคุมิเหมือนจะยั่วยุ สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
เมื่อเห็นภาพนี้ บรรดาคนที่อยู่รอบๆ เวทีประลองก็อดปาดเหงื่อแทนเยี่ยเทียนไม่ได้ เพราะพวกเขาเพิ่งจะได้เห็นความโหดเหี้ยมของคาโต้ ทาคุมิไป คราบเลือดบนผ้าขาวที่อยู่ข้างเวทีประลองนั้น ก็เช็ดมาจากดาบซามูไรเล่มนี้นี่เอง
แต่หูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนกลับยิ้มแย้ม ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ที่หันมาฝึกมวยพลังภายในหลังจากที่เคยฝึกมวยพลังภายนอกมาก่อน จึงเข้าใจดีว่าท่าทาง ‘ผ่อนคลาย’ ของเยี่ยเทียนนี้มีอะไรแฝงอยู่
มวยพลังภายในไม่ว่าสำนักไหนก็เน้นที่การ ‘ผ่อนคลาย’ ซึ่งจะต้องผ่อนคลายจนเหมือน ‘ใต้ผิวหนังมีแต่กระดูก’ แบบนั้นถึงจะเข้าถึงความหมายที่แท้จริงของมวยพลังภายใน
แต่ผ่อนคลายกับหละหลวมนั้นแตกต่างกัน เวลาผ่อนคลายจะต้องแฝงการควบคุมไว้ด้วยเล็กน้อย ซึ่งก็เหมือนกับหนอนตัวหนึ่ง ตลอดหัวจรดเท้าจะต้องเคลื่อนไหวไปทั้งร่าง ถ้ากล้ามเนื้อขมวดเกร็งไปหมดหรืออ่อนปวกเปียกไปหมด อย่างนั้นก็คือหละหลวม
ยอดฝีมือสายพลังภายในยามปกติดูเหมือนเอื่อยเฉื่อย สีหน้าสงบนิ่ง ไม่เคยเกิดโทสะเลย แต่หากตัดสินใจเมื่อใด ก็จะเคลื่อนไหวดั่งกระต่าย เด็ดหัวพิฆาตได้ในฉับพลัน ตอนนี้เยี่ยเทียนก็เป็นเช่นนั้น เห็นเขาท่าทางเหมือนไม่สนใจอะไรแบบนี้ แท้จริงแล้วพลังปราณภายในกำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง รอจนคาโต้ ทาคุมิเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไร เยี่ยเทียนก็จะสามารถตอบโต้ได้ในทันที
แต่การที่เยี่ยเทียนทำเช่นนี้ ที่จริงแล้วเป็นเพราะเขาไม่รู้วิธีใช้ทวน ถ้าเป็นฝ่ายรุกเข้าไปก่อนก็จะเกิดช่องโหว่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็คงแทงทวนออกไปทะลุหัวใจของคาโต้ ทาคุมิแล้ว คงไม่เอาเวลามาอ้อยสร้อยอยู่กับมันแบบนี้หรอก
“ฮึ่ยย่ะ!”
หลังจากเดินวนรอบเยี่ยเทียนไปได้ครึ่งรอบ ทันใดนั้นคาโต้ ทาคุมิก็สาวเท้าออกไปก้าวใหญ่ด้วยความเร็วสูงสุด ดาบซามูไรที่ชูขึ้นสูงเหนือศีรษะฟันตรงลงไปที่หว่างคิ้วของเยี่ยเทียนปานสายฟ้าแลบ เขาเกิดจิตสังหารขึ้นมาเพราะคำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่นี้
เยี่ยเทียนอยู่ห่างจากคาโต้ ทาคุมิไปสี่ห้าเมตร หลังจากคาโต้ ทาคุมิสาวเท้าออกไปก้าวเดียว ร่างก็ไปอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนแล้ว พลังทั่วร่างก็ถ่ายเทเข้าไปอยู่ในดาบเล่มนี้ทั้งหมด
ดาบนี้ทำให้บรรดาผู้ชมล่างเวทีต่างใจหายวาบ จู้เหวยเฟิงจับมือของซาซาไว้แน่น ถ้าเยี่ยเทียนถูกดาบนี้ฟันเข้าไปจริงๆ ละก็ คงต้องจบชีวิตกลางเวทีแน่
คาโต้ ทาคุมิแม้จะเคลื่อนไหวรวดเร็ว แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนกลับดูช้าไปมาก เท้าซ้ายเขาไม่เคลื่อนไหว เท้าขวาวาดเป็นวงออกไปด้านข้างเบาๆ แม้กระทั่งทวนยังคร้านจะชูขึ้นมา ดาบซามูไรซึ่งเปล่งประกายเย็นเยียบออกมานั้นก็ฟันเฉียดผ่านจมูกของเยี่ยเทียนไป
หลังจากฟันดาบออกไปเจอความว่างเปล่า ร่างของคาโต้ ทาคุมิก็โถมตามไปข้างหน้าด้วย แต่เขามีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน ขณะเดียวกันกับที่ร่างโถมออกไป ก็เปลี่ยนจากถือดาบสองมือเป็นมือเดียว มือซ้ายจึงว่างมาป้องกันการโจมตีของเยี่ยเทียนได้
“วิชาดาบห่วยแตก เคนโด้ของพวกแกทำได้แค่นี้น่ะเรอะ?”
ตั้งแต่ได้ประมือกับพัคจุนฮีเป็นต้นมา เยี่ยเทียนก็มีความรู้เกี่ยวกับวิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมาก เคนโด้ที่ตอนแรกดูเหมือนเป็นศาสตร์ที่แข็งแกร่งอย่างลึกลับนี้ ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงของลอกเลียนแบบอาวุธสมัยโบราณของจีนเท่านั้นเอง
ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่ได้มีความคิดที่จะลงมืออย่างจริงจังเลย ปกติเขาก็ไม่ใช่คนใจกว้างอะไรอยู่แล้ว และคาโต้ ทาคุมิก็ยั่วโทสะของเยี่ยเทียนออกมาได้สำเร็จ วันนี้เขาตัดสินใจแล้วว่า หลังจากทำให้เจ้าคนญี่ปุ่นผู้ยโสโอหังคนนี้อับอายขายหน้าไปแล้ว ก็จะต้องให้มันได้รู้ว่า เพราะอะไรพู่ประดับถึงต้องแดงแบบนี้
…….
ตอนที่ 472 ฆ่า!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“สารเลว แกมันไม่มีคนสั่งสอน ไม่ใช่นักรบ!” หลังจากได้ฟังเยี่ยเทียนกล่าว คาโต้ ทาคุมิโมโหจนหน้าแดงก่ำ นี่ไม่ว่าภาษาอะไร คำด่ามักจะเรียนรู้ได้ง่ายที่สุด
ดังนั้นเยี่ยเทียนตะโกน “สารเลว” สองคำนี้ ทำให้คาโต้ ทาคุมิรู้สึกว่าความมั่นใจของตัวเองถูกลบหลู่อย่างรุนแรง
“สั่งสอนเหรอ เด็ก ๆ วิ่งมาท้าสู้กับผู้อาวุโสตา แล้วผู้อาวุโสจะด่าสั่งสอนหน่อยไม่ได้หรือไง”
เยี่ยเทียนยิ้มเย็น “กลับไปถามบรรพบุรุษของแก ว่าดาบคาตานะมีที่มาจากไหน อย่าให้ความไม่รู้กลายเป็นความสนุก ปากก็บอกว่าวิถีดาบญี่ปุ่น ของพวกแกนั่นน่ะเค้าเรียกว่าวิชาดาบที่ไม่ได้รับความนิยมเท่านั้นแหละ!”
ดาบซามูไรของญี่ปุ่น เดิมทีก็มาจากดาบราชวงศ์ถัง หากพูดถึงตรงนี้แล้วก็ต้องพูดถึงความล้าหลังของญี่ปุ่น หลังจากราชวงศ์ถัง ดาบฮั่นก็มีการเปลี่ยนแปลง แต่ดาบซามูไรกลับสืบต่อกันมาแบบนี้เรื่อยๆ ไม่ได้มีการดัดแปลงใดใด
จนกระทั่งในปัจจุบัน ในบรรดาอาวุธต่อสู้ของประเทศจีน มีเพียงแต่ดาบแม้วที่เป็นดาบแหลมสองมือจับ แต่ดาบแม้วนั้นอาศัยทิศทางการออกแรงจากล่างขึ้นบน อาศัยการกระโดดในการส่งแรงและขณะเดียวกันก็ใช้การหมุนร่างกายในการกลบช่องว่าง โบราณเรียกว่า “ดาบกระโดดแม้ว”
แต่วิถีดาบของญี่ปุ่นนั้นกลับไม่ได้มีการใช้ร่างกายใดใด หากว่าเกิดช่องว่างก็ต้องตายสถานเดียว ชาวแม้วและกษัตริย์ราชวงศ์หมิงรบรากันมาสามร้อยปี ภายใต้ความยิ่งใหญ่ของจีน มีแต่ชาวแม้วเท่านั้นที่ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองแบบเผด็จการของจักพรรดิจูหยวนจาง ชาวแม้วกล้าหาญจริง ๆ แล้วประสบการณ์การรบรานั้นก็เต็มเปี่ยม ไม่ใช่ว่าญี่ปุ่นอยากจะทำอะไรก็ได้ตามใจ
คาโต้ ทาคุมิที่ยกดาบขึ้นขนานกับไหล่เป็นเส้นตรง มีท่าทางและเสียงดูน่ากลัว แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนแล้ว กลับเป็นแค่เรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น
คนญี่ปุ่นไม่เข้าใจจริงๆ การฟันจากบนลงล่างดูไปแล้วน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก แต่ว่าช้าเกินไป! การฟันจากบนลงล่าง ไม่ว่าอย่างไงก็จะต้องยกดาบขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงทิ้งแรงฟันลงไป ในตอนที่ปล่อยออกไปนั้นให้พลังทำลายมากจึงเกิดการบาดเจ็บหนัก เมื่อเทียบกับน้ำหนักของเอวและขาแล้ว การปล่อยพลังมากนั้นก็มีอัตราความเร็วเป็นขีดจำกัด
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะได้สัมผัสกับอาวุธพลังโบราณไม่มากนัก แต่เขาก็รู้ว่า ผู้มีฝีมือภายในนั้น การใช้กระบอง ใช้ดาบจะไม่ออกแรงมั่ว ฟันมั่ว พลังล้วนมาจากจุดศูนย์ถ่วงทั้งนั้น เก็บรวบรวมเป็นจุดเดียวปล่อยออกไปเร็วและเก็บกลับมาเร็ว
ใน “ซ้องกั๋ง”หยางจื้อฆ่าคนเลวหนิวเอ้อ ดาบเล่มงามแค่ตวัดออกไปด้านหน้า หนิวเอ้อก็เลือดกระฉูดเต็มตลาด ดังนั้นจึงบอกว่าคนญี่ปุ่นเรียนอะไรไม่เรียนให้รู้จริง วิถีดาบของจีนดั้งเดิมนั้นไม่มีการฟันข้างล่าง ล้วนแต่ใช้ดาบเป็นตัวขับเคลื่อน ตวัดโดยใช้ปลายดาบสามนิ้ว ดาบนั้นไม่ยกสูง หากยกสูงการถ่ายเทความสมดุลก็หายไป แต่หากเพียงว่าจุดศูนย์ถ่วงนั้นอยู่ ต่อให้เป็นค้อนเหล็กหนักเป็นตันตีลงมาก็ไม่กลัว
ในปีนั้น หานมู่เสีย เคยใช้พลังภายในเป็นฐาน เพื่อสร้างวิถีดาบให้กับทหารทั้งยี่สิบเก้าคนสำหรับใช้ในการต่อกรกับดาบของญี่ปุ่น
คนญี่ปุ่นใช้ใบเหล็กบางท่อนเดียว เคลื่อนจากไหล่ด้านบนลงล่าง มีดดาบเล่มใหญ่ใช้วิถีแนวนอนในการฆ่าม้า หนักแน่นราวเขาไท่ซาน ออกแรงจากจุดศูนย์ถ่วงยกขึ้น ดาบสองอันปะทะกัน หากว่าด้านล่างมีพลังเยอะ ดาบของญี่ปุ่นจะต้องหักในตอนนั้นอย่างแน่นอน หากไม่หักก็กระแทกจนกระเด็น ในตอนนี้ ดาบใหญ่ก็จะมีช่องว่าง พุ่งไปข้างหน้าตวัดออกไป แค่ดาบเดียวก็เด็ดหัวคนญี่ปุ่นได้
ดาบใหญ่ของทหารทั้งยี่สิบเก้านายนั้นในตอนทำศึกที่กำแพงเมืองจีน ฟาดฟันจนคนญี่ปุ่นอับจนหนทาง จึงคิดค้นเหล็กรัดคอเอาไว้ใช้ป้องกันคอ ก็น่าประหลาดที่พวกนั้นคิดมาได้ พวกทหารญี่ปุ่นเหล่านั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไมถึงได้พ่ายแพ้ หลังจากนั้นอีกสิบปี สรุปจากประสบการณ์ที่ได้ จึงมีการคิดค้นท่าฟันดาบใหม่ ๆ ขึ้นมา
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกหดหู่อย่างห้ามไม่ได้ เนื่องจากก่อนยุคปลดแอก นักสู้มากฝีมือหลายคนนั้นมีสัมพันธ์กับพรรคชาตินิยม หลังจากปลดแอกแล้วก็ถูกตามคิดบัญชีไปไม่น้อย สำนักมวยภายในหลายแห่งปิดประตูไม่ออกมา
ก็เหมือนกับคนรุ่นหลังของซุนลู่ถังอาศัยหลบซ่อนอยู่ที่บ้านเกิดมาตลอด ไม่ว่าคณะกรรมการกีฬาจะว่าอย่างไรก็ไม่ยอมออกมา แต่พวกอาจารย์ที่โอ้อวดตัวเองว่าเป็นอาจารย์มีวรยุทธ์มาก กลับผุดขึ้นเหมือนกับดอกเห็ด ตั้งแต่นั้นมา ศิลปะภูมิปัญญาของประเทศก็ค่อยๆ เลือนหายไป ดังนั้นจึงมีเจ้าคนญี่ปุ่นตัวกระจ้อยมาทำตัวเป็นหมาบ้าอยู่ในประเทศของเราในตอนนี้
“รีบสู้กันสิ เร็วสิ ฆ่าเขาเลย!”
“รีบฆ่าผีร้ายญี่ปุ่นให้ตายไปเลยสิ!”
เยี่ยเทียนหลบดาบของคาโต้ ทาคุมิแล้ว ร่างกายไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย แต่คาโต้ ทาคุมิฟันความว่างเปล่า ภายในใจก็เตือนตัวเองว่า คนหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองไปเหมือนกับพวกนักศึกษาที่อ่อนแอ แต่เหมือนกับว่าจะรับมือไม่ได้ง่ายๆ เหมือนที่เห็น
ทั้งสองคนไม่มีใครขยับ เวทีพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ ทำให้ผู้ชมด้านล่างรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ต่างตะโกนเป็นการใหญ่ ร้องให้เยี่ยเทียนฆ่าคาโต้ ทาคุมิ
เมื่อได้ฟังเสียงตะโกนของคนพวกนั้น สีหน้าของคาโต้ ทาคุมิก็เริ่มรู้สึกเสียหน้า เขาคิดไม่ถึงว่าการมาพิชิตประเทศจีนของเขาในครั้งนี้ จะมาเจอคนแบบนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เขาพูดไม่ออก ถูกดูแคลนเหลือประมาณ แม้กระทั่งฝีมือก็ยังลึกล้ำสุดหยั่งคาด
“สารเลว ให้แกได้ลิ้มรสวิชาดาบที่แท้จริงของพวกเราชาวญี่ปุ่น!”
เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจเสียงโห่ร้องด้านล่าง แต่คาโต้ ทาคุมิกลับอดรนทนไม่ไหว หลังจากเดินดูท่าทีรอบเยี่ยเทียนรอบหนึ่งแล้ว ก็โถมตัวเข้ามา ดาบคาตาคานะในมือจับอย่างกระชับ ฟันลงมาบริเวณหน้าของเยี่ยเทียน
“ตึง..ตึงตึง!”
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นมา ร่างหนึ่งสูงร่างหนึ่งเตี้ยแยกจากกัน ผู้ชมด้านล่างประหลาดใจเมื่อพบว่า เยี่ยเทียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่คาโต้ ทาคุมิถอยหลังไปไกล ด้านหลังติดกับตาข่ายของขอบเวที หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าการโจมตีเมื่อซักครู่ทำให้เสียพลังไปไม่น้อย
หูหงเต๋อและจู้เวยเฟิงที่มีพลังสายตาสูงก็ดูออกแล้วว่า เมื่อซักครู่ในระหว่างการโจมตีนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้ถอยซักก้าวเดียว เพียงแค่ใช้ทวนเหล็กในมือทั้งตีทั้งรับ ทำให้กระบวนท่าการโจมตีของคาโต้ ทาคุมิถูกทำลายลงไปจนหมด
วรยุทธ์ของทั้งสอง ใครสูงใครต่ำในตอนนี้ปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว หากเทียบกับคาโต้ ทาคุมิที่หอบหายใจอย่างหนัก เยี่ยเทียนกลับดูว่ามีท่าทีสบายใจ สีหน้านั้นไม่ได้ต่างออกไปจากตอนที่ขึ้นเวที ทำให้คนรู้สึกว่าอยู่ในสภาวะที่เกียจคร้านปล่อยตัว
นี่เป็นเอกลักษณ์ของคนที่ฝึกมวยภายใน ให้ความสำคัญกับการที่ ดูเหมือนเคลื่อนไหวแต่ไม่เคลื่อนไหว หากขยับก็จะมีอะไรให้ตกใจ เหมือนกับแม่ทัพโบราณที่นั่งอยู่บนที่สูง ตลอดทั้งร่างผ่อนคลาย ท่าทางเหมือนสาวงามที่เอ้อระเหย แต่พลังจิตนั้นมีสมาธิแน่วแน่ ทหารสามพันรายล้อม เมื่อขยับก็มีพลังทำลายล้างมาก นั่นถึงเรียกว่าเทพสงคราม
“เป็นอย่างไร ฉันยืนเฉยๆ อยู่ตรงนี้รอให้แกมาฟัน แต่แกกลับทำให้ฉันบาดเจ็บไม่ได้ บอกว่าวิชาดาบของพวกญี่ปุ่นไร้ประโยชน์ ตอนนี้เป็นไงเชื่อแล้วใช่มั๊ยล่ะ”
เยี่ยเทียนปรายตาไปมองคาโต้ ทาคุมิที่ยืนหอบเป็นการใหญ่อยู่แวบหนึ่ง ส่ายหัวกล่าวว่า “คนเราควรจะรู้ที่ต่ำที่สูง อาศัยแค่เทคนิคเล็กเล็กน้อยน้อยของประเทศเกาะเล็กๆ ของแกยังกล้ามาอวดอ้างที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ของฉัน ไม่ได้รู้ที่ต่ำที่สูงเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่านะ ไหนไหนก็มาแล้ว ก็ทิ้งอะไรเป็นที่ระลึกก่อนกลับบ้านก็แล้วกัน!”
เยี่ยเทียนพลันตั้งเอวตรง ท่าทางขี้เกียจเหนื่อยหน่ายหายไป เมื่อซักครู่เขาเหมือนเสือหลับ ตอนนี้เหมือนกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่ง แผ่ไอรังสีทำให้คนอึดอัดออกมา เหมือนไอพลังทำลายล้างพุ่งตรงไปยังคาโต้ ทาคุมิ
“ฉัน…ฉัน…”
คาโต้ ทาคุมิคิดยังไงก็คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเทียนแค่พริบตาเดียว พลังก็เปลี่ยนไปมากมายถึงเพียงนี้ พลังบนตัวของเขานั้น ทำให้จิตใต้สำนึกของคาโต้ ทาคุมิเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา เหมือนกับว่ายืนเผชิญหน้าอยู่กับภูเขาสูงตะหง่านที่ไม่มีทางปีนขึ้นไปได้
โบราณว่าไว้ไม่ผิดบุรุษที่ฉลาดย่อมหาทางเอาตัวรอดเมื่อเสียเปรียบ คาโต้ ทาคุมินั้นไม่ได้มีความคิดเข่นฆ่าเหมือนกับคนญี่ปุ่นทั่วไป เจ้านี่ปฏิกิริยารวดเร็ว ในตอนนั้นเองก็เอ่ยยอมแพ้ เพียงแต่ว่าเมื่อพูดสองคำนั่นออกมาแล้ว ก็ถูกพลังพิฆาตที่ปล่อยออกมาบังคับให้หุบปาก
“มาอ้อนวอนตอนนี้ สายไปแล้ว…”
มุมปากของเยี่ยเทียนยกขึ้นยิ้มเย็นยะเยือก ถอยหลังกลับหนึ่งก้าวใช้เท้าขวาเตะไปที่ด้ามทวน ทันใดนั้นทวนที่ยาวสามเมตรก็ลอยขึ้นมาทางด้านข้าง เยี่ยเทียนใช้สองมือจับ ชี้ปลายทวนไปที่คาโต้ ทาคุมิที่ยืนอยู่ไกลออกไปหกเจ็ดเมตร
ท่านี้ดูเหมือนง่าย แต่กลับเป็นแก่นของวิชาทวนตระกูลเยว่ ที่ว่า “มีกระบวนท่าเดียวสามารถลงเขาช่วยอาจารย์ ขจัดหมู่มาร อภิบาลคนดีในโลกหล้า” เยี่ยเทียนจริงๆ แล้วก็เป็นแค่เปลือก ที่ใช้กระบวนท่านี้ออกมาก็เพื่อให้คาโต้ ทาคุมิตกใจ หวาดกลัว ให้เขาบุกเข้ามาเอง เพราะกระบวนท่าอื่นเยี่ยเทียนก็ทำไม่เป็น
ถึงแม้เยี่ยเทียนไม่ได้บุกเข้ามาก่อน แต่ความรู้สึกกดดันที่เยี่ยเทียนปล่อยออกไปใส่คาโต้ ทาคุมินั้นมีมากเพิ่มขึ้น ทำให้คาโต้ ทาคุมิรู้สึกว่าแค่เพียงเยี่ยเทียนขยับ จุดจบนั่นก็คือทวนได้แทงทะลุหัวใจไปแล้ว
“สารเลว!”
คาโต้ ทาคุมิถูกแรงกดดันบีบจนทนไม่ไหว อารมณ์ฉุนเฉียวในใจจึงถูกกระตุ้นในที่สุด สองมือกำดาบแน่น แผดเสียงคำรามดังสัตว์ดุร้าย พุ่งไปที่เยี่ยเทียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขากระโดดตัวลอยอยู่กลางอากาศ ด้วยใบหน้าที่บูดเบี้ยว
“ฆ่า!!!”
เมื่อเห็นคาโต้ ทาคุมิอยู่นิ่งไม่ไหวแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย ในขณะที่ร่างกายของอีกฝ่ายกระโดดออกมานั้น เยี่ยเทียนก็ใช้มือขวาจับด้ามทวนหมุนอย่างแรง พร้อมกับใช้มือซ้ายกดลงไป ทวนเหล็กที่ใช้แผ่นเหล็กหนักราวยี่สิบกิโลทำขึ้น ก็เหมือนกับมังกรร้ายพุ่งคว้านราวกับฟ้าแลบออกไป บรรยากาศรอบด้านกลับมีเสียง “แชะแชะ” ทำลายความเงียบออกมา
ตามหลักแล้วทวนเหล็กเดิมทีก็ไม่ได้มีความยืนหยุ่นอะไร ไม่สามารถเทียบได้กับทวนใหญ่ที่ทำจากไม้ไป๋ล่าได้
เพียงแต่เยี่ยเทียนใส่พลังเข้าไปด้วย พอทวนพุ่งออกไป ก็ทำให้ทวนใหญ่นี้มีความยืดหยุ่นขึ้นมา ประกายไฟที่ แล่บออกมานั้นเหมือนกับดอกเหมยที่หมุนคว้างก็ไม่ปาน ทำให้คาโต้ ทาคุมิที่ลอยตัวอยู่ในอากาศถูกดักเอาไว้ เขาไม่รู้เลยว่าจะป้องกันอย่างไร
“ขอเก็บดอกเบี้ยให้กับศิษย์พี่ก่อนแล้วกัน!”
มองลอดทางช่องเล็งเห็นสีหน้าตกใจและหวาดกลัวถึงขีดสุดของคาโต้ ทาคุมิ ในใจของเยี่ยเทียนก็แข็งขึงขึ้นราวกับเหล็ก มือไม่ได้หยุดเลยแม้แต่น้อย มือขวาดันและปล่อยไปข้างหน้า จากนั้นมือซ้ายจึงดีดทวนออกไป มือทั้งสองปล่อยทวนใหญ่ ร่างถอยกรูดไปด้านหลังอย่างไกล
การกระทำนี้ของเยี่ยเทียนนี้เร็วจนถึงขีดสุด แม้แต่หูหงเต๋อที่พลังสายตาดีที่สุดในที่นี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในตอนที่เงาร่างของเยี่ยเทียนถอยไปนั้น เสียงโหยหวนที่ไม่น่าเป็นเสียงคน ก็ดังขึ้นบนเวที
ในขณะเดียวกันนั้นเอง คาโต้ ทาคุมิที่กระโดดค้างอยู่กลางอากาศ สองมือสองเท้าพลันแยกออกจากตัว ตัวคนระเบิดกระจายเป็นกองเลือด ถูกทำให้เป็นร่างกายที่หนักทั้งห้าส่วนกระจัดกระจายบนเวทีมวย เสียงน่าเวทนานั้นทำให้คนทั้งหมดรู้สึกสะท้านใจ
“นี่…นี่…นี่เกิดอะไรขึ้นกัน”
“พระเจ้าช่วย นี่มันอะไร ห้าม้าแยกสังขารเหรอ”
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นอย่างเร็วมาก พวกเศรษฐีและผู้หญิงทั้งหลายที่จ้องมองทั้งสองประทะกันอยู่ ในตอนนั้นสติยังไม่กลับมา หลังจากผ่านไปได้หนึ่งนาทีกว่าเต็มๆ ภายในสนามเหมือนกับถูกระเบิดลงพลันเปลี่ยนเป็นเสียงเซ็งแซ่วุ่นวายขึ้นมาทันที
……..
ตอนที่ 473 เลือดนอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ตึง!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกันอยู่นั้น เสียงดังกังวานก็ดังมาจากบนเวที เป็นเสียงของทวนเหล็กที่เยี่ยเทียนปล่อยออกไปนั่นเอง ปลายทวนตกลงบนพื้น ปักอยู่ในแท่นหินบนเวทีอย่างจัง
ด้านข้างของปลายทวน ก็เป็นใบหน้าเหยเกจากความเจ็บปวดของคาโต้ ทาคุมิ ในเวลานี้คาโต้ ทาคุมิยังไม่ฟื้นจากความเจ็บปวดเมื่อซักครู่ ในดวงตานอกจากจะแสดงถึงความเจ็บปวดแล้ว ที่แสดงออกมามากกว่านั้นก็คือความตกใจกลัวและทำอะไรไม่ถูก
เลือดจากสรรพางค์กายที่ถูกตัดออกไหลพุ่งออกมาไม่หยุดยั้ง คาโต้ ทาคุมิก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังหมดความรู้สึกและไร้กำลัง แม้แต่จะเอาคอไปปาดกับปลายทวนที่แหลมคมนั้นก็ไม่สามารถจะทำได้ เสียงจากคอหอยของเขาเปล่งเสียงน่าเวทนาออกมา ผู้ชมบนเวทีที่ได้ยินรู้สึกหนาวเยือกจับใจ
“แขนขาขาดแล้ว เจ็บมากใช่มั้ย”
เสียงที่ลอยแทรกมาจากเสียงเจ็บปวดที่ร้องดังขึ้น ทำให้สายตาของผู้ชมเพิ่งจะรู้ว่าด้านบนเวทีนั้นมีอีกคน คนหนุ่มสวมชุดฝึกยุทธ์สีขาวกำลังยืนกอดอกอยู่ด้านหน้าของคาโต้ ทาคุมิ เลือดสีแดงฉานไหลนองเต็มเท้าของเขา แต่ว่าเสื้อที่เป็นชุดฝึกยุทธ์นั้นกลับไม่มีรอยเลือดแม้แต่หยดเดียว
“ที่แกไม่ตาย เพราะแกยังติดหนี้ไม่เยอะ”
เยี่ยเทียนกล่าวจบก็ก้มตัวลง ใช้ความเร็วราวฟ้าแลบ มือขวาวาดผ่านลำตัวของคาโต้ ทาคุมิ หลังจากลุกนั้นก็ยืนขึ้น กล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “อาจารย์ของแกเคยติดหนี้คนจีนเป็นแขนข้างหนึ่ง วันนี้แกก็ติดหนี้อีกข้าง คิดทบกับดอกเบี้ย ฉันแค่เอาแขนขาสี่ข้างของแกมา แต่ยังไม่เอาชีวิตของแก!”
“ปีศาจ แกมันปีศาจ สวรรค์ช่วยด้วย ฉัน…เจอปีศาจ…”
ถึงแม้จะถูกเยี่ยเทียนจี้จุดปิดชีพจรเส้นเลือดแล้ว แต่คาโต้ ทาคุมิที่เสียเลือดมาก สติก็พลันเลือนรางขึ้นมา เขาคิดอยากจะยื่นมือไปจับหน้าของเยี่ยเทียน แต่กลับลืมไปว่าตัวเองได้เสียแขนทั้งสองข้างไปแล้ว!
“คนคนนี้…ตกลงว่าเป็นคนอยู่หรือเปล่า”
คาโต้ ทาคุมิหลังจากตะโกน “ปีศาจ” ออกมาแล้ว ทำให้ผู้ชมด้านล่างส่งเสียงร้องขึ้นมา ถึงแม้คาโต้ ทาคุมิที่อวดดียะโสจะทำให้คนรู้สึกไม่ชอบ แต่วิธีการของเยี่ยเทียนนั้นกลับทำให้พวกเขารู้สึกสะเทือนใจ ทั้งหมดมองไปยังเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
โดยเฉพาะหลังจากที่เยี่ยเทียนตัดแขนขาของคาโต้ ทาคุมิแล้วมีท่าทีนิ่งสงบ ยิ่งทำให้คนรู้สึกขนลุก นี่ต้องมีใจที่แข็งแกร่งขนาดไหน ถึงได้ทำเรื่องแบบนี้แล้วยังพูดคุยหัวเราะได้อยู่กัน
ผู้คนด้านล่างเพียงแต่รู้สึกตกใจกับวิธีการลงมือที่โหดร้ายของเยี่ยเทียน แต่มีคนหนึ่ง ในเวลานี้เหงื่อไหลราวกับน้ำฝนอย่างไรอย่างนั้น นั่งอยู่ในห้องแอร์แต่เสื้อผ้าทั้งบนและล่างกลับเปียกปอน คนคนนั้นก็คือชิวเหวินตง
ในตอนที่เยี่ยเทียนลงมือ ความเร็วนั้นจัดว่าเร็วมาก คนที่ล้อมอยู่รอบเวทีแม้แต่พู่ของทวนก็ยังมองไม่ชัดเจน คาโต้ ทาคุมิก็ร้องตะโกนล้มลงบนพื้นแล้ว แต่ชิวเหวินตงที่อยู่ในห้อง ดูกล้องวงจรปิดมาโดยตลอด หลังจากดูภาพจากกล้องซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งแล้ว ความรู้สึกที่มีนั้นแตกต่างจากผู้ชมโดยสิ้นเชิง
ในตอนที่เยี่ยเทียนปล่อยพู่ทวนออกมานั้น ชิวเหวินตงเห็นจากกล้องวงจรปิด ด้านบนปลายแหลมของทวน มีลำแสงสีขาวยาวประมาณสามนิ้วปล่อยออกมา ชิวเหวินตงเป็นคนในยุทธภพ ความคิดแรกเลยก็คือมีลมปราณที่แข็งแกร่งปล่อยออกมา
สำหรับลมปราณแข็งแกร่งที่ปล่อยออกมานี้ ชิวเหวินตงไม่รู้สึกแปลก เพราะเขาเคยได้ยินจากปากของพ่อว่าหลี่ซูเหวินในตอนนั้นที่ประลองทวนเทพกับซุนลู่ถังจอมดาบแปดทิศ ก็อยู่ในระดับที่สามารถทำให้เกิดพลังลมปราณที่แข็งแกร่งขึ้นได้ แต่นั่นก็เป็นตอนที่พวกเขาอายุมากแล้ว
เยี่ยเทียนอายุเพิ่งเท่าไหร่ ปีนี้อย่างมากก็ยี่สิบสองยี่สิบสาม ชิวเหวินตงเดิมทีก็ประเมินฝีมือของเยี่ยเทียนเอาไว้สูงอยู่แล้ว แต่เขาคิดไม่ถึงว่า เยี่ยเทียนที่อายุน้อย กลับสามารถก้าวไปยืนเทียบเคียงกับอาจารย์ในสมัยราชวงศ์หมิงได้แล้ว
เห็นวิธีการที่เหี้ยมโหดของเยี่ยเทียนแล้ว หลังจากคิดถึงตอนแรกที่เยี่ยเทียนทำลายสนาม ชิวเหวินตงรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ในตอนนั้นหากเพื่อนเก่าแก่อย่าง เฝิงหงหยู่ มีความแค้นเก่าก่อนกับเยี่ยเทียน เกรงว่าตัวเองในตอนนี้นั้นก็ไม่สามารถมานั่งสมประกอบอยู่ตรงนี้ได้
“เสี่ยวอู่ นายมาดูตรงนี้ให้ดี มีเรื่องอะไรให้โทรหาฉัน ฉันจะลงไปดูซะหน่อย!”
เช็ดเหงื่อบนหน้าด้วยผ้าที่เย็นเฉียบแล้ว ชิวเหวินตงก็ลุกขึ้นไปที่ประตูเรียกอู่เฉินเข้ามา เมื่อก่อนที่ห้องกล้องวงจรปิดนี้นอกจากเขาและหุ้นส่วนไม่กี่คนแล้ว คนอื่นนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา แต่ชิวเหวินตงในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
หลังจากสั่งความกับลูกศิษย์ไม่กี่คำแล้ว ชิวเหวินตงก็ขึ้นลิฟต์รีบลงไปยังสนามประลองมวยทันที เขากลัวว่าจู้เวยเฟิงจะไม่ระวังไปหาเรื่องเยี่ยเทียน ต้องทราบก่อนว่าวันเวลาต่างกัน แต่คนอย่างเยี่ยเทียนที่อยู่ในระดับปรมาจารย์นั้นก็ไม่ใช่คนที่เขาจะไปมีเรื่องด้วยได้
…
เยี่ยเทียนไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขานั้น ทำให้ชิวเหวินตงตกใจจนอยู่ในสภาพนั้น เยี่ยเทียนในตอนนี้ได้พลิกตัวออกมานอกเวทีแล้วเดินไปทางที่นั่งเดิมของตัวเอง
“นาย…นายอย่าเข้ามา!”
ที่ทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจก็คือ เขายังเดินไปไม่ถึงด้านข้างที่นั่ง ซาซาที่ยืนอยู่ด้านข้างของจู้เวยเฟิงก็ร้องโวยวายขึ้นมา ไม่เพียงแต่ซาซาแม้แต่แขกที่นั่งอยู่แถวหลังของพวกเขา ก็พากันลุกถอยไปด้านหลัง
เยี่ยเทียนในตอนนี้ถึงแม้จะท่าทางเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เสียงร้องโหยหวนและเลือดสดๆ ใต้เท้าเขา กลับทำให้ในสมองของผู้ชมหยุดไม่ได้ที่จะฉายซ้ำไปซ้ำมาถึงฉากนองเลือดนั้น แม้แต่หน้าที่ลอบถอนหายใจของเยี่ยเทียน ก็กลายเป็นสีหน้าถมึงทึงน่ากลัวขี้นมาเสียอย่างนั้น
“ซาซา อย่าพูดจาเหลวไหล!”
จู้เวยเฟิงกลับเป็นคนที่เจนจัดมาหลายเวที หลังจากขมวดคิ้วดุผู้หญิงไปหนึ่งประโยคแล้ว จึงมองไปทางเยี่ยเทียน “น้องเยี่ย เรื่องวันนี้ต้องขอบใจนาย นายวางใจได้ เรื่องของคาโต้ ทาคุมิจะไม่มีเรื่องราวไปถึงตัวนายแน่นอน”
“บ้าเอ้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน พี่ชายกลัวพวกมันจะมาล้างแค้นหรือ”
เยี่ยเทียนมองไปทางจู้เวยเฟิงอย่างไม่สบอารมณ์ กล่าวว่า “ในเมื่อผมทำแล้ว ก็ไม่กลัวผลลัพท์ที่จะตามมา หากว่าทางญี่ปุ่นจะมีคนมาถามหา คุณก็บอกพวกเขาไปเลยว่า แขนขาของคาโต้ ทาคุมินั้นผมเป็นคนตัดขาดเอง!”
“ไม่หรอก จะทำแบบนั้นทำไม” จู้เวยเฟิงรีบยิ้มแทน คนอายุน้อยที่แข็งแกร่งแบบเยี่ยเทียน ยากที่จะเดาความคิดและจิตใจ ยังไงซะแสดงท่าทางดีใจก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
จนถึงเมื่อซักครู่จู้เวยเฟิงถึงได้เข้าใจเหตุผลที่ หูหงเต๋อ ให้ความเคารพนับถือเด็กหนุ่มคนนี้ คนที่มีความสามารถและแข็งแกร่งอย่างเยี่ยเทียน ไม่ได้เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย นอกจากคุณจะเอาไม้มาตีเขาให้ตาย ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถเอาผิดเขาได้ เพราะนั่นจะทำให้ชาตินี้ทั้งชาติคุณจะนอนไม่หลับ
“เรื่องนี้เอาไว้พูดกันทีหลัง…”
เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือ มองไปที่เวทีมวยด้านหลัง กล่าวว่า “ประธานจู้ ผมบอกคาโต้ ทาคุมิไปแล้ว จะไม่ให้เขาตาย ผมคิดว่า…เรื่องเล็กน้อยแค่นี้คุณน่าจะทำได้ใช่มั้ย”
ทวนแหลมที่เยี่ยเทียนส่งออกไป แค่พริบตาก็ตัดแขนขาของคาโต้ทาคุมิออกมา หลังจากนั้นก็ปิดเส้นเลือดและชีพจรของเขาไว้ เพราะคาโต้ ทาคุมิเสียเลือดไปไม่น้อย แต่หากว่าช่วยเหลือได้ทันเวลา ชีวิตนั้นก็สามารถช่วยเอาไว้ได้
แต่ว่าต่อให้รักษาชีวิตไว้ได้ แต่แขนขาสี่ข้างนั้นยากที่จะต่อให้ติด ชีวิตปั้นปลายของคาโต้ทาคุมิก็จะเหมือนกับ “มนุษย์หมู”(1) ที่พระนางหลี่จื้อในสมัยฮั่นตะวันตก สั่งให้ทำ ไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ สำหรับคนที่ฝึกวิชาแล้วขอตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่
“ทำได้ ขอเพียงเขายังมีลมหายใจ ฉันจะทุ่มสุดตัวที่จะช่วยชีวิตเขาให้ได้!”
เดิมทีจู้เวยเฟิงไม่ได้สนใจว่าคาโต้ ทาคุมิจะอยู่หรือจะตายเท่าไหร่นัก เพราะเขาได้เซ็นหนังสือยอมสละชีวิตไว้แล้ว แต่ว่าเมื่อเยี่ยเทียนออกปาก จู้เวยเฟิงจึงก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงสั่งให้คนขึ้นไปเอาคาโต้ ทาคุมิลงมาด้านล่างของสนามมวยที่มีแพทย์มีฝีมือและห้องผ่าตัดอยู่ พร้อมและสะดวกในการช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บ
เมื่อเห็นลูกน้องพาคาโต้ ทาคุมิลงไปแล้ว จู้เวยเฟิงถึงได้ถอนหายใจ เห็นรอยเลือดที่ติดเท้าของเยี่ยเทียนมาเป็นทาง กล่าวว่า “น้องเยี่ย นายดู ใต้เท้ามีแต่เลือด ฉันพานายไปเปลี่ยนรองเท้าใหม่ก็แล้วกัน? ”
ชิวเหวินตงที่เพิ่งวิ่งออกมาจากลิฟต์ ได้ยินที่จู้เวยเฟิงกล่าวพอดี รีบกล่าวว่า “ใช่ ใช่ น้องเยี่ย นายใส่รองเท้าเบอร์อะไร ชอบยี่ห้อไหน เดี๋ยวฉันจะให้คนไปซื้อเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งนี้ หาอะไรมาเช็ดหน่อยก็ได้แล้ว!” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วมองไปที่เท้ากล่าวต่อว่า “ได้เหยียบเลือดคนญี่ปุ่นนี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีต่างหาก ฮ่าๆ!”
ปีนั้นศิษย์พี่โก่วซินถูกคิตะมิยะ ฮิเดโอะฟันแขนซ้ายขาดไป เยี่ยเทียนได้แต่เก็บกดเอาไว้มาตลอด ถึงแม้ครั้งที่แล้วจะลงมือกับลูกศิษย์ตระกูลคิตะมิยะไป แต่ก็ไม่สะใจเหมือนกับครั้งนี้ เรียกได้ว่าจิตใจตอนนี้ของเยี่ยเทียนนั้นดีใจเหลือคณา
“พูดได้ดี! น้องคนนี้ ฉันเคารพนายหนึ่งแก้ว!”
คำพูดของเยี่ยเทียนเพิ่งจบไป ชายวัยกลางคนที่แอบอยู่ด้านหลังก็ลุกขึ้นยืน ในมือถือแก้วทรงสูง ด้านในเต็มไปด้วยไวน์ที่ริมจนเต็ม ยื่นมาตรงหน้าของเยี่ยเทียน
ถึงแม้ภาพเมื่อซักครู่จะเต็มไปด้วยคาวเลือดดูน่าอนาถ แต่การกระทำทั้งหมดของเยี่ยเทียนนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังหาทางระบายอารมณ์ให้กับคนจีน ถึงแม้การต่อสู้นี้จะไม่สามารถลบล้างการโดนดูถูกเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาได้ แต่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกสะใจเหลือคณา
“ฉันไม่ดื่มไวน์แดง!” เยี่ยเทียนส่ายหัว มองไปทางจู้เวยเฟิงกล่าวว่า “ประธานจู้ มีเหล้าขาวไหม?”
“มี มีเหล้าขาว!” ไม่รอให้จู้เวยเฟิงตอบ ชิวเหวินตงก็รีบตอบรับคำในทันที หมุนตัวกลับไปวิ่งไปยังออฟฟิศ ไม่ถึงหนึ่งนาที ในมือก็ถือเหล้าเหมาไถวิ่งกลับมา
“เหล้าแก้วนี้ เป็นเกียรติให้กับวีรบุรุษจีนแผ่นดินใหญ่ที่ยืนหยัดรุ่นต่อรุ่น!”
รับเหล้าเหมาไถมาจากชิวเหวินตง เยี่ยเทียนก็แกะออกมาจากกล่อง ยื่นมือไปปาดปากขวด ปากขวดก็ขาดลง แล้วรินเหล้าใส่แก้วทรงสูงที่สามารถใส่เหล้าได้ตั้งครึ่งขวดนั้นจนเต็ม แล้วเยี่ยเทียนก็ยกขึ้นคำนับผู้ชมจากนั้นก็เงยหน้ากระดกเหล้าลงคอจนหมด
เอาเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งขวดที่ถืออยู่ในนั้นรินใส่แก้ว เยี่ยเทียนกล่าวว่า “แก้วนี้ ขอเคารพทุกคนที่อยู่ตรงนี้ เคารพคนจีนที่ยังมีพลังฮึกเหิม!“
เหล้าสองแก้วลงท้อง เยี่ยเทียนก็ขว้างแก้ว หมุนกายกลับไปแล้วเดินไปที่ลิฟต์ ปากก็เอื้อนบทกวีของหลี่ไป๋ขึ้นมา“สหายชาติหูใส่หมวกพู่มาหา ตะขอเงินวาวราวกับหิมะ อานม้าสีเงินบนอาชาขาว ควบทะยานราวดาวตก สิบก้าวสังหารหนึ่ง บุกตลุยฝ่าฟันเป็นพันลี้…”
“ดี ดี!!!”
พอเอื้อนบทกวีจบร่างในชุดสีขาวของเยี่ยเทียนก็หายเข้าไปในลิฟต์ ทันใดนั้นภายในสนามก็เกิดเสียงปรบมือดังสนั่นขึ้นราวกับฟ้าถล่ม!
……………..
(1) “มนุษย์หมู” เป็นเรื่องราวสมัยฮั่นตะวันตก ที่พระนาง หลี่จื้อ หรือ หลี่ฮองเฮา ได้สั่งให้ตัดแขน ขา ควักลูกตาและกรอกยา พระสนมชี แล้วจับไปโยนไว้ในส้วม เสร็จแล้วเชิญฮั่นฮุ่ยฮ่องเต้ ซึ่งเป็นราชโอรสของนางเอง มาดู เพื่อให้เกิดความหวาดกลัว จะได้เชื่อฟังและทำตามที่นางสั่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น