หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 466-467
บทที่ 466 สหายเต๋า ได้เวลาออกเดินทางแล้ว!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หมัดนี้มีเนื้อหนังสีเขียว สลักด้วยสัญลักษณ์ที่ปล่อยพลังแห่งภูตผีวิญญาณ ราวกับถูกตัดออกจากร่างอสุรกายยักษ์และส่งตรงมาจากนรกอเวจี เมื่อหมัดปีศาจนี้มาถึงผืนโลก ท้องฟ้าและผืนดินต้องสั่นสะเทือนเพราะไม่อาจทานทนได้ ราวกับสรวงสวรรค์กำลังทลายลงมาต่อหน้าต่อตา จนโลกทั้งใบเหลือเพียงหมัดเขียวนี้และผู้ฝึกตนหน้าม้า สีหน้าของเขาแสดงความกลัวจับขั้วหัวใจ ทั้งตกตะลึง และสิ้นหวัง!
ชายหน้าม้าหน้าตาบิดเบี้ยว เขาปลุกผนึกฝ่ามือพร้อมโบกมือไปมาเพื่อตอบโต้ เหรียญหยกปรากฏขึ้นจากหน้าอกในฉับพลัน เหรียญหยกนั้นเรืองแสงสว่างเหมือนพลังวิญญาณ มันลอยลงบนพื้นเบื้องหน้าผู้ฝึกตนหน้าม้า ก่อนกลายสภาพเป็นศิลาจารึกหยกสูงหลายพันเมตร!
แสงเรืองรองสว่างไสวนั้นกันหมัดผีเอาไว้ไม่ให้เข้ามากล้ำกราย!
ผู้ฝึกตนหน้าม้าคนนี้มีพลังปราณถึงขั้นจุติวิญญาณ ในห้วงเวลาแห่งหายนะ เขาโต้ตอบได้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะต้านทานอีกฝ่าย ภายในพริบตา แสงจากศิลาจารึกนั้นก็เข้าแย่งพื้นที่หมัดยักษ์บนท้องฟ้าในที่สุด!
แต่แม้ศิลาหยกจะมีขนาดมหึมา หากมองจากระยะไกลก็ยังเล็กกว่าหมัดเขียวอยู่มากโข เหมือนเข็มที่กำลังพยายามต้านทานกำปั้นใหญ่ ลำแสงนั้นอ่อนแอมากเสียจนเปราะแตก สลายเป็นผุยผงไปก่อนที่จะทันได้เห็นรอยแตกเสียด้วยซ้ำ!
หวังเป่าเล่อส่งพลังปราณจำนวนมากเข้าไปในวัตถุเวทแห่งความมืดเพื่อสร้างหมัดยักษ์สีเขียว แม้วัตถุเวทแห่งความมืดของเขาจะได้รับความเสียหายมาก แต่ก็ยังเป็นถึงอาวุธเทพระดับสูง!
พลังของอาวุธเทพระดับสูงนั้นไม่ได้ถือว่ายิ่งใหญ่อะไรมากมาย แต่ก็มากพอที่จะบดขยี้ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณให้แหลกได้!
ในทางทฤษฎี หากร่างกายของหวังเป่าเล่อใหญ่พอ เขาก็จะสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุเวทแห่งความมืดไปไหนมาไหนได้ และจะใช้พลังเหล่านี้ได้แม้จะอยู่ในโลกภายนอก ทว่าเรื่องนี้เป็นได้เพียงความคิดเท่านั้น หากวัตถุเวทยังไม่ได้รับการซ่อมแซมจนสามารถลดขนาดตนเองลงให้พอเหมาะกับการพกพา หวังเป่าเล่อก็ได้แต่ใช้พลังทำลายล้างนี้ภายในโลกใต้ดินที่อาวุธเวทแห่งความมืดสร้างขึ้นเท่านั้น
เสียงระเบิดที่ก้องสะท้อนบ่งบอกว่าศิลาจารึกหยกได้แหลกสลายลงแล้ว ผู้ฝึกตนหน้าม้ากรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บใจ หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาคงไม่มาที่ดาวอังคารแต่แรก แต่วัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคารแห่งนี้ปล่อยพลังอำนาจที่แสนยั่วยวนใจออกมาจนเขาอดใจไม่ได้!
“ศิษย์พี่ ได้โปรดอย่าโกรธข้าเลย… ข้า… ข้าเป็นเพียงศิษย์น้องที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น…” เสียงของชายหน้าม้าสั่นระริก เขาร้องขอชีวิตขณะกำลังถอยร่นด้วยความเร็วสูง ชายหน้าม้าปลุกผนึกฝ่ามือ ก่อนที่แถบผ้าสีชมพูผืนใหญ่ยาวจะปรากฏขึ้นต่อหน้า และเข้าพันพื้นที่รอบกายเขาเอาไว้ ผืนผ้านั้นเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับชายผู้นี้ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย เขาหยิบผืนผ้านี้มาใช้เพราะเป็นสมบัติเวทป้องกันตัวซึ่งแข็งแกร่งสุดที่มี แม้จะไม่อยากใช้ก็ตาม
แถบผ้าสีชมพูสะบัดวนไปมา พร้อมปล่อยพลังต้านทานภัยอันตรายโดยรอบ พลังนั้นต่อต้านพลังงาน รัศมีและวัตถุอื่นใดที่ตรงเข้ามาหาชายหน้าม้า แต่เขายังรู้สึกว่าเท่านี้ไม่พอ ชายหน้าม้ากัดลิ้นจนเลือดสาดกระเซ็น ก่อตัวกลายเป็นค้างคาวสีเลือดที่กำลังกรีดร้องเสียงแหลมน่าขนลุก ก่อนจะสยายปีกออกพร้อมร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนไปจบที่หลายร้อยเมตร ปีกของมันก็กว้างใหญ่ขึ้นตามขนาดตัวเช่นกัน ค้างคาวสีเลือดกางปีกแล้วหุบลงห่อหุ้มร่างชายหน้าม้าไว้ภายใน เพื่อป้องกันภัยให้เขา
นอกจากนี้ชายหน้าม้ายังโยนสมบัติเวทหลากรูปร่างหลายขนาดออกมาเต็มไปหมด ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายนี้ เขายอมเสียทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตตนเองให้รอดปลอดภัย และยังคงตะโกนร้องขอความเมตตาต่อไป
แต่ก็ไร้ประโยชน์ ขณะที่ชายหน้าม้ากำลังถอยหนี หมัดผียักษ์ที่ทำลายศิลาจารึกหยกเสียสิ้นซากก็ฟื้นคืนพลังอีกครั้ง และพุ่งเข้าใส่เขาอย่างหนักหน่วงหมายคร่าชีวิต!
สมบัติเวทหลายสิบที่โยนออกมานั้นแหลกสลายไปในทันที ค้างคาวเลือดไม่ทันได้กรีดร้องสักแอะ ก่อนปีกและร่างของมันจะถูกทำลายกลายเป็นก้อนเลือดและระเหิดหายไปในอากาศ ส่วนแถบผ้าที่พันกายเขาไว้นั้น แม้จะปล่อยพลังต้านออกมามาก แต่ก็ถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย เหมือนสาวน้อยร่างบอบบางที่เผชิญหน้ากับชายร่างนักกีฬาที่หนักกว่านางหลายเท่าตัว…
ทันทีที่ทุกสิ่งมลายหายไป แถบผ้านั้นก็บิดเบี้ยว ก่อนจะม้วนกลับเข้าไปในร่างของผู้ฝึกตนหน้าม้า พลังที่ดูเหมือนจะทำลายได้ทุกอย่างบนโลกระเบิดออกจากหมัดเขียว หากมองจากระยะไกล จะดูราวกับว่าท้องฟ้าได้ถล่มลงมาทับผืนดิน จนร่างของชายหน้าม้าหายวับไปกับตา โลกทั้งโลกกลายเป็นเพียงเถ้าธุลีไร้ค่า…
เวลาผ่านไปสักพัก หมัดยักษ์ก็ค่อยๆ ถอนตัวออกจากพื้นดินก่อนสลายหายไปอย่างช้าๆ เลือดและเนื้อกลายสภาพกลับไปเป็นวิญญาณหายลงไปในมหาสมุทรวิญญาณ ส่วนกระดูกนับล้านก็กลับไปกองสุมกันเป็นเกาะดังเดิม!
ชั้นแรกของโลกใต้ดินกลายสภาพกลับไปเป็นดังเดิมแล้ว มีเพียงกระเป๋าคลังเก็บและแถบผ้าสีชมพูเท่านั้น ที่ลอยขึ้นไปบนอากาศ ไปยังแผ่นฟ้ากว้างใหญ่เหนือมหาสมุทรวิญญาณ มือหนึ่งยื่นออกมาคว้าสิ่งของเหล่านั้นไว้พร้อมร่างในชุดคลุมสีดำที่ปรากฏขึ้น เบื้องหน้าของเขามีไม้พายตะเกียงวางอยู่ ชายในชุดคลุมสีดำนี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือเดียวดายสีดำสนิท เขาค่อยๆ หดมือที่กำของต่างๆ เอาไว้กลับเข้าหาตนเอง ก่อนก้มหน้าลงและเคลื่อนเรือลำน้อยออกไปตามเส้นทางปกติของมันในมหาสมุทรวิญญาณ
ขณะที่หวังเป่าเล่อล่องเรือออกไปไกล ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ชั้นสามซึ่งเต็มไปด้วยเมืองมากมาย ชายหน้าตะขาบ หัวหน้ากลุ่มผู้ฝึกตนจากนอกโลกกำลังมองไปรอบๆ กายด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
แม้ว่าชายหน้าตะขาบจะอยู่บนชั้นใต้ดินชั้นที่สาม แต่เขาก็ถูกจองจำอยู่ในอาณาเขตที่กว้างไม่ถึงสามร้อยเมตร พื้นที่รอบนอกของอาณาเขตแห่งนี้ล้อมรอบด้วยแสงสีเทา และไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ทะลวงแสงนั้นออกไปไม่ได้ จึงจำใจต้องติดอยู่ในที่แคบเช่นนี้อย่างไร้ทางหนี!
หลังจากที่ถูกหัวศพผีกลืนเข้าไป ตัวเขาก็มาโผล่ในวงล้อมของแสงสีเทานี้ แต่ชายหน้าตะขาบก็มีประสบการณ์และความรู้มากกว่าสหายของเขาในฐานะผู้นำของกลุ่ม เขารู้ในทันทีว่าตนไม่ได้เผลอไปโดนกับดักอะไรเข้า แต่นี่เป็นการโจมตีของศัตรูที่ใช้พลังของวัตถุเวทแห่งความมืดเข้าจัดการต่างหาก เขาแน่ใจว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองคงกำลังต่อสู้กับความตายอยู่ในตอนนี้
การกล้าเข้าจู่โจมคู่ต่อสู้ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางนั้น แสดงให้เห็นว่าผู้ครอบครองวัตถุเวทแห่งความมืดนี้ มั่นใจในศักยภาพของตนเองเป็นอันมาก
เป็นวิญญาณวุธ หรือว่า… ไอ้อ้วนน่ารำคาญนั่นที่ข้าจะถลกหนังมันกันแน่นะ ชายหน้าตะขาบมีสีหน้าเคร่งขรึมสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความปั่นป่วนกระวนกระวายเหมือนดวงใจถูกไฟสุม ความรู้สึกถึงอันตรายที่คืบเข้ามาใกล้ไหลบ่าออกจากทุกอณูในร่างกาย ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างในตัวกำลังกรีดร้องบอกให้เจ้าของร่างรีบหนีออกจากที่นี่โดยเร็ว!
การที่พวกเราทั้งสามถูกจับแยกกัน แปลว่าไอ้คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังไม่มั่นใจว่าจะต่อกรกับพวกเราพร้อมๆ กันได้ หากเป็นเช่นนั้น แปลว่าพลังของมันมีขีดจำกัด ถ้าเป็นไอ้อ้วนนั้น แปลว่ามันยังไม่เชี่ยวชาญพอจะใช้วัตถุเวทแห่งความมืดได้อย่างสมบูรณ์ หรือไม่ก็… วัตถุเวทนั้นไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ก็พลังปราณของมันสูงไม่พอจะใช้วัตถุเวทได้อย่างเต็มที่! ชายที่มีตะขาบพาดบนใบหน้าหรี่ตาขณะวิเคราะห์สถานการณ์ เขารออยู่อีกราวห้านาที จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในที่แห่งนี้อีกแล้วนอกจากตัวเขา จึงสรุปได้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองได้เสียชีวิตลงเรียบร้อยแล้ว
มันจะมาหาข้าเป็นคนสุดท้าย… ความมุทะลุดุดันปรากฏขึ้นในดวงตา เขาเข้าใจว่าความกลัวไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ การที่เขาก้าวขึ้นมาทำหน้าที่หัวขโมยแห่งดวงดาว โดยที่มีพลังปราณเพียงขั้นจุติวิญญาณได้นั้น เป็นเพราะความเด็ดขาดและความโหดเหี้ยมนั่นเอง
ข้าจะรอก็แล้วกัน! ชายหน้าตะขาบหัวเราะเสียงเย็นเยียบ พยายามกดความกระวนกระวายลงไปในจิตใจ และดูเหมือนจะรอความตายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกชั่วขณะ เขามองไปรอบๆ กายเพื่อสำรวจพื้นที่หลังจากปล่อยพลังวิญญาณออกตรวจจับ เมื่อชายหน้าตะขาบมั่นใจว่าตนเองได้จัดการวางกับดักเรียบร้อย เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นในทันที
หลังจากที่พบว่าตนเองติดกับอยู่ในวงล้อมแสงที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็กำจัดไม่ได้ ชายหน้าตะขาบก็ตัดสินใจวางกับดักเอาไว้ทั่วบริเวณแทน เขานำวงแหวนปราณทุกชนิด โอสถประเภทใช้แล้วทิ้ง และสมบัติเวทที่นำติดตัวมาด้วย มาเรียงออกจนกินพื้นที่เป็นวงกว้างหลายร้อยเมตร เขาเลือกใช้โอกาสนี้วางกับดักเอาไว้เพื่อทำลายคู่ต่อสู้แทนที่จะตกใจกลัว
ชายหน้าตะขาบมองสิ่งที่ตนเองจัดแจงเอาไว้แล้วก็รู้สึกปลอดภัยขึ้น ทว่าตอนนั้นเองเขาก็ตื่นตกใจขึ้นมา ชายหน้าตะขาบได้ยินเสียงกระซิบกระซาบมาจากระยะไกล และเสียงนั้นก็ค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ ขณะเคลื่อนเข้ามาใกล้
“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”
เมื่อได้ฟังเสียงพึมพำที่มีท่วงทำนองราวบทเพลง หัวใจของชายหน้าตะขาบก็เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ แม้แต่พลังวิญญาณก็เริ่มสั่นระริก ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน เขากัดลิ้นตนเองเพื่อเรียกสติเอาไว้โดยใช้ความเจ็บปวดเข้าสู้ ชายหน้าตะขาบหายใจหอบ เขาเงยหน้าขึ้นมองพื้นที่ที่ห่างออกไปเบื้องหลังกับดักที่ตนเองวางเอาไว้ ก่อนรูม่านตาจะหดแคบลงกับสิ่งที่เห็น ดวงตาของเขาสะท้อนให้เห็นภาพเบื้องหน้า ท้องฟ้าด้านนอกแสงสีเทากลายเป็นสีดำสนิท สายธารยาวปรากฏขึ้นพร้อมทำนองเพลงที่ลอยมาเข้าหู!
แม่น้ำนั้นกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับท้องฟ้ามืดมิด แต่ก็ยังเห็นโครงร่างชัดเจน เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นว่าสิ่งที่ไหลอยู่ในแม่น้ำนั้นหาใช่น้ำไม่ หากแต่เป็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับว่ามหาสมุทรวิญญาณที่โลกใต้ดินชั้นหนึ่งได้ไหลบ่ามารวมตัวกันที่นี่!
หากเป็นเพียงมหาสมุทรวิญญาณ ชายหน้าตะขาบคงไม่ตกใจถึงเพียงนั้น แต่เขากลับมองเห็นเรือเดียวดายลำหนึ่งกำลังไหลมาตามสายธารนั้นอย่างช้าๆ !
หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือสีดำลำนั้น เขาลุกขึ้นยืนและยื่นมือขวาออกมา ไม้พายตะเกียงเบื้องหน้าชายหนุ่มค่อยๆ ลอยขึ้นมาบนฝ่ามือของชายหนุ่ม
“เป็นเจ้าจริงๆ เสียด้วยที่เล่นลูกไม้นี้กับข้า!” ชายหน้าตะขาบมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวสุดขีด เขากรีดร้องออกมาเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ!
ชายหนุ่มผู้ถูกเอ่ยถึงคลี่ยิ้ม เขาโบกไม้พายตะเกียงในมือตามท่วงท่าที่อาจารย์เคยแสดงให้เห็นในนิมิตมืด ก่อนพูดเสียงดังฟังชัด
“สหายเต๋า ได้เวลาออกเดินทางสู่อเวจีแล้ว!”
บทที่ 467 ผลตอบแทนมหาศาล!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สิ้นสุดคำพูดของหวังเป่าเล่อ แม่น้ำแห่งความมืดใต้เรือเดียวดายก็ขยายกว้างขึ้น ก่อนไหลบ่าจากท้องฟ้าลงไปสู่ชายร่างหนาที่พื้นพสุธา ตอนนั้นเองชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำก็ใช้เรือเดียวดายฝ่าแสงสีเทาเข้าไปหาชายหน้าตะขาบทันที!
ก่อนหน้านั้น สีหน้าของชายหน้าตะขาบดูกระวนกระวาย รูม่านตาหดแคบ ตั้งท่าเหมือนจะหนี แต่ทันทีที่แม่น้ำแห่งความมืดไหลผ่านแสงสีเทา จนทำให้หวังเป่าเล่อมาอยู่ตรงหน้าเขาในพริบตาเดียวด้วยเรือลำน้อย ชายผู้นั้นก็ถูกครอบงำด้วยความโกรธเกรี้ยว และตะโกนออกมาอย่างเคียดแค้น
“อยากตายก็ตายไปคนเดียวเถิด!” ชายหน้าตะขาบกู่ร้องคำรามพร้อมวาดมือเพื่อโจมตี ทันใดนั้น กระบี่บินนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากใต้ดินภายในรัศมีหลายร้อยเมตรรอบกายเขา ก่อนก่อตัวเป็นยานที่สร้างมาจากกระบี่!
ไม่เพียงเท่านั้น แสงสว่างเรืองรองปะทุออกจากใต้ดินเบื้องล่างยานกระบี่ แสงนั้นพุ่งเข้าเกี่ยวประสานกัน แปรสภาพกลายเป็นแผนผังวงแหวนปราณ พลังของวงแหวนปราณระเบิดออกทันทีที่ก่อเป็นรูปเป็นร่าง
นอกจากนั้น ร่างที่เหมือนชายหน้าตะขาบอย่างไม่มีผิดเพี้ยนก็ปรากฏขึ้นทุกมุมของวงแหวนปราณภายในพริบตา ทำให้ดูไม่ออกว่าใครกันแน่ที่เป็นชายหน้าตะขาบตัวจริง เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังขึ้นจากทุกทิศทาง เสียงนั้นทรงพลังเสียจนอาจทำให้ศิลาระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ได้!
พื้นดินเบื้องล่างปริแตก ตะขาบยักษ์พุ่งออกจากรอยแตก หมายกลืนกินหวังเป่าเล่อเข้าไปทั้งตัว ปากใหญ่ของมันดูน่าสยดสยอง ส่วนตัวก็ปกคลุมด้วยหนามแหลมมากมายที่ไม่ว่าใครได้เห็นคงต้องขวัญหนีดีฝ่อ
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วภายในพริบตาที่หวังเป่าเล่อก้าวทะลุแสงสีเทามา!
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้รวดเร็วราวฟ้าแลบ!
ทว่าไม่ว่าชายหน้าตะขาบจะเตรียมการดีเพียงใด ไม่ว่าเขาจะใช้ทุกวิถีทางที่มีในการโจมตี ทั้งกระบี่สมบัติเวทมากมาย ทั้งตะขาบหน้าตาน่ากลัว ก็ยังไม่อาจต้านทานอำนาจของวัตถุเวทแห่งความมืดได้ นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังรู้ดีว่าชายผู้นี้คือหัวหน้าของผู้ฝึกตนจากต่างดาว เขาจึงปล่อยพลังทั้งหมดของวัตถุเวทแห่งความมืดออกไป ทั้งยังใช้กระบวนเวทของสำนักแห่งความมืดอีกด้วย!
เรือสีดำเคลื่อนที่ตามกระแสน้ำมาข้างหน้าเรื่อยๆ แม่น้ำแห่งความมืดไหลไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือหวังเป่าเล่อที่เริ่มร้องเพลงประหลาด อันนำมาซึ่งพลังลึกลับยากจะหยั่งถึง!
“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อเริ่มร้อง วัตถุเวทแห่งความมืดก็สั่นไหว พลังที่ตรวจจับไม่ได้ระเบิดออกมาในบัดดล พลังนั้นไม่ได้มาจากที่แห่งใด และไม่ใช่ไม่มีที่มาที่ไป มันเป็นพลังที่อุบัติขึ้นที่นั่นเดี๋ยวนั้นเอง!
หากจะพูดให้ถูกต้อง มันคือพลังที่เกิดจากบทเพลงที่หวังเป่าเล่อขับร้อง ส่งผลให้กระบี่เหาะเหินที่กำลังพุ่งตรงมาหาเขาชะงักกลางอากาศ สมบัติเวทและวงแหวนปราณที่กำลังแผลงฤทธิ์ก็สงบลงเช่นกัน แม้กระทั่งตะขาบยักษ์ยังหยุดกลางคัน นิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหว
ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกแช่แข็งไว้ ณ ห้วงเวลานั้น!
รูปจำแลงของชายหน้าตะขาบสลายหายไปในพริบตาเหมือนฟองสบู่แตก ร่างเดียวที่เหลืออยู่คือร่างที่ใกล้หวังเป่าเล่อมากที่สุด สีหน้าเปื้อนด้วยความไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
เป็นไปไม่ได้ เวลาหยุดหมุน… เป็นไปได้อย่างไรกัน นี่มันจิตเวทแห่งเต๋าในตำนาน ที่มีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งสุดในบรรดาผู้มีปราณระดับจักรพิภพเท่านั้นที่จะใช้ได้มิใช่หรือ! ชายร่างหนาตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ เขาควบคุมตนเองไม่ได้จึงกรีดร้องด้วยความตระหนกพร้อมถอยร่นไปข้างหลัง แม้เขาจะคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ยังเลือกที่จะถอยหนีโดยไม่ลังเล
เขาไม่กล้าสู้อีกต่อไปแล้ว ความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่คือการหนีเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดเกินไปจนแค่คิดถึงร่างกายก็พาลสั่น แต่เมื่อเขาเริ่มก้าวถอยหลังก็ต้องชะงักค้างอีกครั้ง ความกลัวจับจิตฉายขึ้นในแววตาของชายหน้าตะขาบ ขณะมองร่างของตนเองที่ตอนนี้อยู่เบื้องหน้าด้วยความตกใจสุดขีด!
มีร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ไร้ความเคลื่อนไหว สีหน้าแข็งทื่อด้วยความกลัว ราวกับถูกหยุดเอาไว้ในห้วงเวลานั้นตลอดกาล
ชายร่างหนามองร่างตรงหน้าก่อนก้มลงมองร่างของตนเอง เพื่อที่จะพบว่า… เขาได้กลายเป็นวิญญาณโปร่งแสงไปเสียแล้ว!
ไม่ใช่เวลาที่หยุดเดิน… ดวงวิญญาณของชายร่างหนาสั่นระรัว กระนั้นเขาก็พยายามหนีต่อไป เกราะป้องกันปรากฏขึ้นโดยฉับพลัน ทว่าตอนนั้นเอง ท่อนที่สองของบทเพลงปริศนาก็ลอยมาเข้าโสตประสาท
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…” ดวงวิญญาณของชายร่างหนาสั่นสะท้านอีกครั้ง เขาเห็นหวังเป่าเล่อในชุดคลุมสีดำก้าวขึ้นเรือเดียวดาย และจากไปยังอีกด้านหนึ่งของแม่น้ำวิญญาณ แทนที่จะตรงมาหา
ทว่าด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ ชายหน้าตะขาบกลับไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเป็นไท แต่เข้าใจดีว่าจุดจบของตนเองกำลังจะมาถึงแล้ว เขาถอยหนีไปเรื่อยๆ จนไม่เห็นหวังเป่าเล่ออยู่ในสายตาอีกต่อไป แต่ชายร่างหนาก็ตระหนักได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายยังเป็นสีดำสนิท
หากเป็นเพียงความมืดมิดอันเวิ้งว้างคงยังไม่น่ากลัวนัก แต่ในความมืดมิดนั้น วิญญาณหลายตนปรากฏกายขึ้น วิญญาณเหล่านั้นคือวิญญาณที่เขาเคยเห็นในมหาสมุทรวิญญาณในชั้นแรก
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด… ชายหน้าตะขาบตัวสั่น ความสิ้นหวังฉายขึ้นในแววตา บทเพลงของหวังเป่าเล่อดังก้องในหูอีกครั้ง เสียงเพลงนั้นดูล่องลอยและขาดหาย
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”
เพลงนั้นก้องกังวานอยู่ในหูเขาเป็นเวลานาน จนจิตวิญญาณของชายหน้าตะขาบเริ่มพร่าเลือน วินาทีที่วิญญาณของเขาเลือนลางไปจนหมดสิ้น ร่างก็เข้าสู่สภาวะก่อนความตายโดยสมบูรณ์ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดรอบกายจึงมีแต่ความมืดมิด
ชายหน้าตะขาบเห็นแม่น้ำแห่งวิญญาณที่หวังเป่าเล่อล่องเรืออยู่ตั้งแต่ที่เขายังมีร่างกายครบถ้วน เขาเห็นดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนอยู่ในแม่น้ำวิญญาณนั้น และเห็นวิญญาณของตนเอง แหวกว่ายอยู่ในหมู่มวลวิญญาณท่ามกลางสายธารที่หลั่งไหล…
จากนั้นดวงจิตของเขาก็ดับสูญ
จิตวิญญาณที่สูญสิ้นของชายหน้าตะขาบสลายไปพร้อมสายธารวิญญาณและเรือเดียวดาย ทุกสิ่งทุกอย่างหลั่งไหลจากท้องฟ้าเบื้องบนลงสู่ผืนดินเบื้องล่าง
เรือเดียวดายกลับมาปรากฏอีกครั้งที่ลานจัตุรัสสาธารณะของโลกใต้ดินชั้นที่สาม ในลานนั้นเต็มไปด้วยซากศพและอสูรร้ายที่คุกเข่าด้วยร่างสั่นเทา ใบหน้าของหวังเป่าเล่อซีดเผือด เลือดไหลออกจากมุมปาก เรือเดียวดายใต้เท้า ชุดคลุมสีดำ และไม้พายตะเกียงเริ่มพร่าเลือน ก่อนค่อยๆ สลายหายไปโดยสมบูรณ์กลายมาเป็นวิญญาณวุธสามดวง
เมื่อวิญญาณวุธทั้งสามปรากฏ ชายร่างหนา ชายชรา และเด็กชายก็รีบพากันคุกเข้าลงแทบเท้าหวังเป่าเล่อ
ชายหนุ่มหลับตาลง พยายามข่มปราณโลหิตในกายให้กลับมาสงบอีกครั้ง แม้การต่อสู้สามครั้งก่อนก่อนหน้านี้จะดูง่ายดาย แต่ก็เป็นเพราะเขายืมพลังจากวัตถุเวทแห่งความมืด แม้วัตถุเวทเหล่านี้จะอยู่ในสภาพเสียหายมาก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังต้องใช้แรงมหาศาลในการควบคุมมัน เนื่องจากขั้นปราณของเขายังไม่สูงพอ
นอกจากนี้ยังเป็นเพราะการต่อสู้สามครั้งที่เพิ่งผ่านมา แตกต่างจากการต่อสู้ที่หวังเป่าเล่อเคยเผชิญอย่างสิ้นเชิง จากวิชาความรู้และจิตสัมผัสที่เขาได้รับการถ่ายทอดมาในนิมิตมืด ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจว่าที่อาวุธเทพระดับสูงนั้นทรงพลังนัก เป็นเพราะมันสามารถสำแดงพลานุภาพที่ราวกับกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาเองได้นั่นเอง!
น่าเสียดายนักที่ขั้นปราณของข้ายังสูงไม่พอ และวัตถุเวทแห่งความมืดได้รับความเสียหายหนักจนย่อขนาดลงมาไม่ได้ มิเช่นนั้นข้าคงพกมันไปกับตัวแล้ว หากข้าออกจากที่แห่งนี้แล้วเริ่มเรียกตนเองว่าประธานสหพันธรัฐ และมีใครกล้าต่อต้านข้า ข้าก็เพียงแค่ต้องขับขานบทเพลงนี้ให้พวกนั้นฟังเท่านั้น! หวังเป่าเล่อทั้งตื่นเต้นและหดหู่เมื่อคิดได้ดังนั้น ความรู้สึกมากมายไหลบ่าเข้ามาในจิตใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนใจยาว
ข้าเริ่มยโสเกินไปเสียแล้ว… ต้องถ่อมตนเข้าไว้ ชายหนุ่มตบพุงตนเองเพื่อกดปราณโลหิตที่บ้าคลั่งให้สงบลง เขาไม่ได้สนใจเยียวยาบาดแผลตนเองในทันที แต่รีบหยิบทรัพยากรที่แย่งชิงได้มาดู ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณสองคนแรกใช้ทรัพยากรในการต่อสู้ไปไม่น้อย หวังเป่าเล่อต้องการจะหยุดทั้งสองให้เลิกใช้ทรัพยากรไปมากกว่านี้ ความสงบที่เขาแสดงให้ทั้งสองเห็นเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น
ในความเป็นจริง หวังเป่าเล่อแทบคลั่งเมื่อเห็นสมบัติเวทที่ทั้งสองหยิบออกมาใช้ถูกทำลายไป ชายหนุ่มรู้สึกว่าทุกสิ่งที่สามคนนั้นครอบครอง คือของเขาโดยชอบธรรม
แต่เขาก็ยังไม่ทรงพลังพอจะควบคุมวัตถุเวทแห่งความมืด ถึงขั้นกำจัดมนุษย์ออกไปโดยไม่ทำอันตรายต่อสมบัติเวทได้!
ชายหนุ่มถอนหายใจขณะเปิดกระเป๋าคลังเก็บทั้งสาม เขาเริ่มค้นดู ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างพร้อมลมหายใจหอบถี่
แม้สมบัติเวทของทั้งสามจะเสียหายไปเป็นส่วนมาก แต่ก็ยังมีอยู่มากกว่าสิบชิ้นที่อยู่ในสภาพดี รวมถึงกระบี่เหาะเหินสามสีที่เปลี่ยนสภาพไปเป็นยานกระบี่จากกระบี่เหาะเหินนับไม่ถ้วนได้!
นอกจากนี้ยังมีสมบัติเวทแถบผ้าที่เป็นของผู้ฝึกตนหน้าม้า เกล็ดจากผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยม รวมถึงสมบัติเวทอื่นๆ ที่ทั้งสามไม่ได้ใช้ต่อกรกับเขา หวังเป่าเล่อบอกระดับขั้นของสมบัติเวทเหล่านี้ไม่ได้เนื่องจากความแตกต่างด้านวัฒนธรรมการหลอมระหว่างสหพันธรัฐและอารยธรรมของทั้งสาม แต่เขาก็เข้าใจว่าหากผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณใช้มันได้ แปลว่าพวกมันต้องมีระดับที่สูงมากแน่นอน เพียงแค่คิดชายหนุ่มก็ตื่นเต้นจนตัวสั่นเสียแล้ว!
ข้าเจอหีบสมบัติเข้าแล้ว!
นอกจากนี้ยังมีหินมีค่ามากมายที่ดูเหมือนศิลาวิญญาณ แผ่นหยกบันทึกตัวอักษรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ขวดโอสถสามสิบกว่าขวด ชุดเกราะหุ้มเกล็ด และตะขาบที่ถูกผนึกไว้ด้วยพลังของวัตถุเวทแห่งความมืด!
ยังไม่หมดแค่นั้น หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของชายหน้าตะขาบผู้เป็นหัวหน้า แมงกะพรุนสีดำที่กำลังจำศีล และหินเรืองแสงหลายก้อนที่กองสูงเหมือนภูเขา!
ธาราจอมตะกละเช่นนั้นหรือ
แล้วหินพวกนั้น… มันคือชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาว! ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายอย่างไม่อยากเชื่อ ขณะมองไปที่สิ่งของเหล่านั้นเหมือนโดนสะกดจิต จิตใจของเขาปั่นป่วนไปหมด เมื่อเห็นกล่องหินสีดำที่มุมหนึ่งของกระเป๋าคลังเก็บของชายหน้าตะขาบ!
กล่องนั้นก็ทำจากชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวเช่นกัน แต่คุณภาพเหนือกว่าชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวทั่วไปมากโข!
กล่องนั้นปล่อยรังสีความเก่าแก่ออกมา ราวกับว่ามันอยู่มาเนิ่นนานจนกักเก็บเศษเสี้ยวของกาลเวลาเอาไว้ข้างใน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น