หมอดูยอดอัจฉริยะ 465-467

 ตอนที่ 465 คู่ต่อสู้ที่คู่ควรแก่การนับถือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

วิชากรงเล็บอินทรีย์ของหูหงเต๋อนั้น ท่าร่างก็ต้องสอดรับกับกระบวนท่าด้วยเช่นกัน หลังจากเท้าขวาถีบลงไปบนพื้นจนแผ่นหินปูพื้นแตกร้าวเป็นทางๆ ร่างก็โถมเข้าไปหาอันเดรวิชอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ


หูหงเต๋อร่างลอยอยู่กลางอากาศ สองมืองุ้มเหมือนกรงเล็บ เล็บมือทั้งสิบที่ตอนแรกหดเก็บไว้อยู่นั้น ขณะนี้ดีดกางออกมาทุกนิ้วแล้ว ราวกับเป็นมีดเล็กๆ สิบเล่มก็ไม่ปาน ถ้าตะปบลงไปบนร่างกายละก็ จะต้องเกิดแผลเลือดซึมออกมาสิบรูแน่นอน


หูหงเต๋อพุ่งโจมตีลงมาจากด้านบน ราวกับพญาอินทรีย์ที่เหาะเหินอยู่บนท้องนภา เล็งเป้าไว้ที่อันเดรวิชอย่างแน่วแน่ กระแสลมแรงที่พุ่งดีดออกมาจากนิ้วทั้งสิบนั้น จู่โจมไปที่อันเดรวิชจนผิวหนังบนหน้าผากรู้สึกชาขึ้นมา


“ฮ่ะ!”


เมื่อสัมผัสได้ถึงภัยที่ร้ายแรงถึงชีวิต ในที่สุดอันเดรวิชก็เริ่มเคลื่อนไหว ปากร้องตวาดออกไปคำหนึ่ง แล้วยืดอกขึ้นโดยพลัน ไม่สนใจกรงเล็บทั้งสองข้างของหูหงเต๋อที่กำลังตะปบมายังหน้าผากของตัวเองเลยสักนิด หมัดทั้งสองข้างเล็งซัดไปที่ทรวงอกและท้องน้อยของหูหงเต๋อพร้อมๆ กัน


อันเดรวิชเป็นยอดฝีมือที่มีประสบการณ์ทางมวยใต้ดินมาอย่างโชกโชน เขารู้ดีว่า ตัวเองเคลื่อนไหวได้ไม่ปราดเปรียวเท่าคนตะวันออกเหล่านี้ จึงจงใจที่จะไม่หลบไม่หลีก เอาชีวิตเข้าแลกกับฝ่ายตรงข้ามอย่างตรงๆ ไปเลย คนที่มีชีวิตเฉียดตายอยู่ทุกวันอย่างเขานี้ รู้สึกชินชากับความเป็นความตายมาตั้งนานแล้ว


อันเดรวิชไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นหรือตาย แต่หูหงเต๋อยังไม่อยากตายนี่นา เมื่อเห็นวิธีต่อสู้แบบเอาชีวิตแลกชีวิตของอันเดรวิช กรงเล็บทั้งสองข้างที่ตะปบไปทางหน้าผากของอีกฝ่ายก็ชักกลับมา แล้วผลักไปที่หมัดทั้งคู่ของอันเดรวิชแทน


เสียง “ตูม” ดังขึ้นหนักๆ เมื่อเสียงสะท้อนกับเวทีก็ดังก้องขึ้นเป็นสองเท่า จากนั้นร่างมหึมาของอันเดรวิชก้าวถอยหลังไปสามก้าวติดๆ กันดัง “ตึงๆๆ” ส่วนร่างของหูหงเต๋อกลับทะยานขึ้นไปกลางอากาศ ลอยละลิ่วไปโดนรั้วกั้นเวที จากนั้นก็ไปยืนอยู่บนพื้น


ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง ฝูงชนที่อยู่ด้านล่างเวทีจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเลย ร่างทั้งสองแยกจากกันไปแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าอันเดรวิชผู้โหดเหี้ยมจนแทบจะไม่มีใครเอาชนะได้เลยนั้น กลับถูกหูหงเต๋อโจมตีจนถอยไปได้ เสียงโห่ร้องชื่นชมก็ดังขึ้นมาจากล่างเวทีระลอกหนึ่ง


“เวรเอ๊ย มันยังเป็นคนอยู่รึเปล่าวะ?” หูหงเต๋อที่ยืนได้อย่างมั่นคงแล้วรู้สึกสองมือชาวาบขึ้นมา ใช้หางตามองไปที่อีกฝ่ายแล้วก็อดก่นด่าขึ้นมาในใจไม่ได้ เล็บมือทั้งสิบที่เขาไว้มาหลายสิบปี ถึงกับหักไปคามือตั้งห้านิ้ว


เรื่องนี้ทำให้หูหงเต๋อเจ็บปวดใจมาก เมื่อก่อนเวลาไปล่าสัตว์บนภูเขา เขาอาศัยเพียงเล็บมือทั้งสิบนี้ก็สามารถท่องไปได้ทั่วทั้งดินแดนแถบนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิงห์สาราสัตว์ที่ดุร้ายขนาดไหนเขาก็สังหารได้ในกรงเล็บเดียว แต่ตอนนี้เมื่อหักไปครึ่งหนึ่ง ก็เท่ากับว่าหูหงเต๋อเสียไพ่ใบสำคัญไปใบหนึ่ง


แต่เมื่อหูหงเต๋อมองไปทางอันเดรวิช สีหน้าของเขาก็กลับดีขึ้นมาบ้าง เพราะเล็บมือทั้งห้าของเขาที่หักไปนั้น กำลังปักอยู่บนหลังมือของอันเดรวิช โลหิตหลั่งไหลจากมือทั้งสองของอันเดรวิชที่ห้อยลงไปข้างตัว แล้วหยดติ๋งๆ ลงไปบนเวทีมวย


อันเดรวิชที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของเวทีมวยดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงอาการบาดเจ็บบนมือเลย เขางอนิ้วกำมือทั้งสองข้างที่แบออกให้กลายเป็นกำปั้นอย่างเชื่องช้า แล้วเล็บมือทั้งห้าที่ฝังอยู่บนหลังมือของเขานั้น ก็ถึงกับถูกดันหลุดออกมาทีละนิดๆ


หลังจากเล็บมือเหล่านั้นร่วงลงไปบนพื้นแล้ว โลหิตบนกำหมัดทั้งคู่ของอันเดรวิชก็หยุดไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นโลหิตของเขาที่นองอยู่บนพื้น ดูจากภายนอกแล้วก็เหมือนกับยังไม่เคยได้รับบาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ


แต่เมื่ออันเดรวิชมองไปที่หูหงเต๋อ ดวงตาสีเทาเหมือนปลาตายนั้นในที่สุดก็ปรากฏความมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว เพราะเมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากชายแก่คนนี้ คู่ต่อสู้แบบนี้นับว่าคู่ควรแก่การนับถือจริงๆ


ควรทราบว่า ปีนี้อันเดรวิชเพิ่งจะอายุสี่สิบเอ็ดปี กำลังอยู่ในช่วงวัยที่มีพละกำลังมากที่สุด แต่ชายแก่ที่อยู่ตรงหน้านี้กลับไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาเลย ทำให้ในใจอันเดรวิชสะทกสะท้านขึ้นมาอย่างมาก


“เหล่าหู สมองคุณพังไปแล้วรึไง? อยู่ดีๆ ไปปะทะกับมันจังๆ ทำไมเล่า?”


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบเมื่อครู่นั้น นอกจากชิวเหวินตงที่นั่งดูภาพที่กล้องถ่ายไว้แบบสโลว์โมชั่นในห้องสังเกตการณ์แล้ว ทั้งสนามมวยก็คงมีแต่เยี่ยเทียนคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน เขาจึงอดร้องตะโกนขึ้นมาไม่ได้ ตาแก่คนนี้นี่ก็ปาเข้าไปหกเจ็ดสิบแล้ว ทำไมยังไปปะทะพลังกับอันเดรวิชอย่างเลือดร้อนแข็งกร้าวแบบนี้อีกนะ!


“เยี่ยเทียน อย่ารบกวนคุณหูสิ!” ในการต่อสู้กันตัวต่อตัวนี้ สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือการถูกรบกวนจากภายนอก การตะโกนของเยี่ยเทียนครั้งนี้จึงทำให้จู้เหวยเฟิงนึกฉุนขึ้นมาทันที เพราะในความคิดของเขา เยี่ยเทียนผู้ซึ่งไม่มีลักษณะของนักสู้เลยสักนิดก็แค่เอะอะไปโดยไม่รู้อะไรเลยเท่านั้น


เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจจู้เหวยเฟิงเลย แต่ตะโกนต่อไปว่า “เหล่าหู ถ้าจะสู้ต่อแบบต่อไป คุณก็ลงมาได้แล้ว เดี๋ยวผมขึ้นไปแทนเอง!”


คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้จู้เหวยเฟิงพูดไม่ออกไปเลย ท่าทางอ่อนแออย่างแกเนี่ยนะคิดจะไปประมือกับอันเดรวิช? เกรงว่าแค่ขึ้นไปประจันหน้ากับอันเดรวิชบนเวที แล้วยังยืนนิ่งอยู่ได้ก็ถือว่าเก่งแล้วละ


“วางใจเถอะน่า ไอ้หมอนี่มันสมชายจริงๆ!”


หูหงเต๋อหันหน้าไปฉีกยิ้มให้เยี่ยเทียน เมื่อครู่นี้เพราะเขารู้สึกว่าพลังภายในร่างกายกำลังพลุ่งพล่าน จึงปะทะกับอันเดรวิชไปตรงๆ อย่างอดไม่ได้ แต่ก็เพราะการปะทะกันอย่างจังครั้งนี้นี่เอง เขาถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพลังของอันเดรวิชนั้นน่ากลัวเพียงใด


หูหงเต๋อเดิมทีก็เป็นยอดฝีมือระดับพลังลมปราณแฝงอยู่แล้ว ยิ่งเยี่ยเทียนยังทำพิธีปลุกเสกพลังลึกลับให้เขาอีก ลำพังแค่ด้านพละกำลัง เขาก็พอจะสูสีกับเยี่ยเทียนแล้ว แต่แม้กระนั้นก็ทำได้เพียงเสมอกับอันเดรวิชเท่านั้น ไม่สามารถเหนือกว่าอีกฝ่ายได้


“แกแกร่งมาก คู่ควรให้ฉันทุ่มสุดกำลังจริงๆ!”


ระหว่างที่หูหงเต๋อหันหน้าไปคุยกับเยี่ยเทียนนั้น อันเดรวิชก็ไม่ได้เข้ามาลอบจู่โจม แต่ตะโกนเรียกหูหงเต๋อเป็นภาษารัสเซีย พอหูหงเต๋อหันหน้ามาแล้ว เท้าขวาของอันเดรวิชก็กระทืบลงไปบนพื้นอย่างหนักหน่วง จนเวทีที่ก่อสร้างขึ้นจากศิลานั้นสั่นสะเทือนไปทั้งเวที


เสียงศิลาแตกดัง “เปรี๊ยะ!” ดังก้องออกมาจากเวทีมวยอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน ร่างอันมหึมาของอันเดรวิชก็โถมเข้าไปหาหูหงเต๋อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งออกจากลำกล้อง


แม้ว่าท่าร่างจะไม่ปราดเปรียวเท่าหูหงเต๋อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอันเดรวิชจะเคลื่อนไหวเชื่องช้าเลย เขาโถมออกไปด้วยความเร็วเหนือธรรมดา ร่างอันมหึมานั้นสกัดหูหงเต๋อไว้ทั้งสองทางซ้ายขวาแล้ว จึงดูเหมือนจะเหลืออยู่ทางเดียวคือปะทะกันตรงๆ


แต่หูหงเต๋อมีประสบการณ์ในการรับศึกมาระดับไหนแล้ว? ในเมื่อรู้แล้วว่าตัวเองมีพลังสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แล้วเขาจะยังไปปะทะกับอันเดรวิชโดยตรงอีกทำไมกัน? ขณะเดียวกันกับที่ร่างของอันเดรวิชกระโจนออกมา หูหงเต๋อก็ยกขาขวาขึ้น แล้วถีบไปที่รั้วกั้นเวทีมวยซึ่งอยู่ข้างหลัง


รั้วกั้นเวทีนี้สร้างขึ้นจากเหล็กกล้าทั้งหมด แต่เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อนักมวย ด้านนอกจึงห่อหุ้มไว้ด้วยผ้านวมนุ่มๆ อีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงมีความยืดหยุ่นสูง หลังจากหูหงเต๋อถีบลงไป ร่างก็กระเด็นขึ้นไปอยู่กลางอากาศทันที แล้วลอยละลิ่วผ่านเหนือศีรษะของอันเดรวิชไป


ระหว่างที่ผ่านกระหม่อมของอันเดรวิชไปนั้น หูหงเต๋อถ่วงลมปราณจากจุดตันเถียนลงสู่เบื้องล่าง ร่างจึงตกลงไปด้านล่างในฉับพลัน เท้าขวาเตะสะกิดลงไปกลางหลังของอันเดรวิชปานสายฟ้าแลบ หูหงเต๋ออาศัยแรงจากการแตะนี้ ตีลังกากลางอากาศรอบหนึ่งแล้วลงไปยืนอย่างมั่นคง


คราวนี้อันเดรวิชโถมออกไปโดยทุ่มแรงสุดตัว พอโถมออกไปเจอความว่างเปล่า และยังถูกหูหงเต๋อสะกิดที่จุดสำคัญบนกลางหลังอีก จึงไม่อาจหยุดร่างได้อีก พุ่งตรงไปชนกับรั้วกั้นเวที รั้วที่มีความหนาพอๆ กับลำแขนของทารกนั้นก็ถึงกับหักสะบั้นไป


หลังจากชนรั้วกั้นหักพังไปแล้ว อันเดรวิชก็ยังไม่อาจหยุดร่างไว้ได้ ร่างอันมหึมาราวกับยักษ์นั้นพุ่งตรงลงไปจากเวที แล้วล้มลงไปบนพื้นอย่างโซซัดโซเซ


“ตัดสินแพ้ชนะได้รึยัง?”


เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหลือเกิน นี่เพิ่งจะเป็นการปะทะกันยกที่สอง แต่อันเดรวิชกลับถูกหูหงเต๋อถีบออกนอกเวทีไปแล้ว บรรดาผู้ชมที่เพิ่งจะเห็นความโหดเหี้ยมดุร้ายของอันเดรวิชไปต่างก็คิดตามภาพที่เห็นไม่ทัน ทั้งสนามเงียบกริบกันไปหมด ไม่มีแม้แต่เสียงโห่ร้องชมเชย


“แค่กๆ…” อันเดรวิชที่ล้มอยู่กับพื้นเริ่มเคลื่อนไหว ใช้มือข้างหนึ่งยันกายลุกขึ้นมา ปากก็กระแอมกระไอออกมา คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ต่างก็มองเห็นว่าที่เขาถ่มลงไปบนพื้นนั้นเป็นตะกอนโลหิตที่สีเริ่มคล้ำแล้ว


อันเดรวิชบาดเจ็บไม่เบาเลยจริงๆ ปกติตำแหน่งกลางหลังก็เป็นหนึ่งในจุดสำคัญบนร่างกายคนอยู่แล้ว มิหนำซ้ำหูหงเต๋อยังหยิบยืมพลังตามหลักการสี่ตำลึงปาดพันชั่ง เท่ากับนำพลังที่อันเดรวิชโถมออกมานั้นมาใช้กับตัวเขาเองทั้งหมด เมื่อถูกพลังโจมตีเป็นทวีคูณเช่นนี้ อันเดรวิชจึงไม่อาจรับได้ไหว


หลังจากลุกขึ้นยืนแล้ว ร่างของอันเดรวิชก็ส่ายโงนเงน แต่จิตใจอันแข็งแกร่งที่ได้มาจากการฝึกภายใต้สภาพแวดล้อมอันทารุณนั้น ก็ทำให้เขายังคงยืนอยู่ได้ และเดินไปทางเวทีทีละก้าวๆ เขายอมไม่ได้ถ้าจะต้องมาพ่ายแพ้ให้ฝ่ายตรงข้ามทั้งอย่างนี้


“อัดมันให้ตาย!”


“ซ้อมมันให้ตาย ให้ไอ้ผีฝรั่งมันตายไปเลย!”


“ฆ่ามันเลย!”


คนที่ตายังดีอยู่ต่างก็ดูออกกันหมดว่า อันเดรวิชเป็นดั่งลูกธนูที่ยิงออกไปจนสุดกำลังแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ ในสนามมวยถึงจะเริ่มเดือนพล่านขึ้นมา ความป่าเถื่อนตามสัญชาติญาณดิบเปี่ยมล้นในหัวใจของทุกคน แม้แต่พวกผู้หญิงที่ปกติวางท่าราวกับสตรีสูงศักดิ์ ก็พากันแผดเสียงร้องตะโกนออกมาด้วย


“หลีกไปให้หมด!” หูหงเต๋อที่กำลังยืนนิ่งอยู่บนเวทีมวยนั้น พอได้ยินเสียงโห่ร้องบอกให้ฆ่า ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงคำรามออกมาราวกับฟ้าลั่น ทำให้เสียงอึกทึกในสนามมวยเงียบลงไปทันที


เสียงคำรามของหูหงเต๋อทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงเหมือนกับตอนที่จู่โจมอันเดรวิชได้สำเร็จเมื่อครู่นี้ แต่ก็ถือว่าได้ผลดีอย่างยิ่ง อย่างน้อยในสนามมวยก็เงียบลงไปเหมือนเดิมแล้ว


หูหงเต๋อมองไปยังกลุ่มคนที่นุ่งชุดแบบตะวันตกซึ่งวางท่าเป็นผู้สูงศักดิ์ แล้วส่ายหน้า พูดกับคนยุโรปคนหนึ่งที่ยืนอยู่นอกเวทีมวยว่า “ให้มันยอมแพ้ซะเถอะไม่ต้องสู้ต่อแล้ว ไม่อย่างนั้นมันได้ตายแน่!”


หูหงเต๋อเป็นนักสู้ เขามีศักดิ์ศรีของตัวเองอยู่ แม้จะทำให้อันเดรวิชบาดเจ็บสาหัสได้ แต่หูหงเต๋อรู้ว่า การประลองครั้งนี้ตัวเองได้เปรียบกว่าอย่างไม่ยุติธรรม ถ้าไม่มีเยี่ยเทียนมาทำพิธีเสกพลังวิเศษให้ ลูกเตะของเขาก็อาจจะโจมตีอันเดรวิชไม่ได้ผลเลยด้วยซ้ำไป


และอันเดรวิชก็เป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรให้หูหงเต๋อนับถือคนหนึ่ง ถ้ามาอยู่ที่ประเทศจีน เขาก็นับว่าเป็นนักสู้คนหนึ่งเหมือนกัน


คนยุโรปคนนั้นฟังภาษาจีนรู้เรื่อง หลังจากได้ยินหูหงเต๋อพูดแบบนั้นก็เริ่มมีสีหน้าร้อนรนขึ้นมา และรีบตะโกนบอกอันเดรวิชเป็นภาษารัสเซีย


อันเดรวิชไม่ได้สนใจผู้ช่วยทั้งสองของตัวเองเลย แต่กลับเดินโซเซกลับขึ้นไปบนเวทีมวย ไปยืนอยู่ตรงหน้าหูหงเต๋อ


…….


ตอนที่ 466 ศักดิ์ศรีของนักสู้

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ร่างกายจะบาดเจ็บสาหัส แต่ดวงตาของอันเดรวิชกลับเป็นประกายเจิดจ้า จ้องเขม็งไปที่หูหงเต๋อ ความกระหายการต่อสู้ในดวงตาไม่ได้ลดทอนลงไปเลยสักนิด


สมัยอันเดรวิชหนุ่มๆ เขาเป็นทหารกองกำลังพิเศษที่ฝีมือเยี่ยมที่สุดของอดีตสหภาพโซเวียต แต่ทว่าในชั่วข้ามคืนเดียว หลายๆ สิ่งก็เปลี่ยนแปลงไป หลังจากอันเดรวิชประสบเหตุการณ์พลิกผันครั้งใหญ่ในครอบครัว และสังหารศัตรูคู่แค้นไปจนหมดแล้ว เขาก็รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่นั้นไม่มีความหมายอีกต่อไป


อันเดรวิชจึงปฏิเสธข้อเสนอว่าจ้างของค่ายฝึกไซบีเรีย และเข้าสู่วงการมวยใต้ดินตามลำพังคนเดียว อาศัยทักษะในการต่อสู้อันโดดเด่น สร้างชื่อเสียงโด่งดังขึ้นในทวีปยุโรป แต่ไม่มีใครรู้ว่า สิ่งที่อันเดรวิชปรารถนานั้น ก็มีเพียงแต่ความตายเท่านั้นเอง


แต่ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่ง อันเดรวิชจึงไม่อยากจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย ดังนั้นถึงได้ออกตระเวนท้าสู้ตามองค์กรมวยใต้ดินต่างๆ ไปเรื่อยๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่เขายอมตกลงเดินทางมายังดินแดนตะวันออกอันลี้ลับนี้


ประเทศจีนไม่ได้ทำให้อันเดรวิชผิดหวังเลย แค่การประลองมวยนัดที่สอง เขาก็ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แกร่งที่สุดที่เคยเจอมาในชีวิตนี้แล้ว สำหรับคนอย่างอันเดรวิช การที่ได้ตายด้วยน้ำมือของหูหงเต๋อนั้น ถือว่าเป็นจุดจบที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


“อวัยวะภายในแกเลือดออกแล้ว ต่อให้ฉันไม่ลงมือ แต่ถ้าแกยังใช้พลังอีก ก็คงอยู่ต่อไปไม่รอดหรอก แกอายุยังน้อย ยังทำอะไรได้อีกตั้งหลายอย่าง ไม่จำเป็นต้องมาตายอยู่ที่นี่!”


เมื่อเห็นความกระหายการต่อสู้ในดวงตาของอันเดรวิช หูหงเต๋อกลับส่ายหน้า หลังจากพูดออกไปดังนั้นแล้ว ก็กระโดดลงจากเวทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น และเดินตรงกลับไปนั่งข้างๆ เยี่ยเทียน


อันเดรวิชมีความมุ่งมั่นของตัวเอง ส่วนหูหงเต๋อก็มีศักดิ์ศรีของตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะการประลองครั้งนี้ถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้ว หูหงเต๋อก็เป็นฝ่ายโกงก่อน ดังนั้นสำหรับคนนิสัยตรงไปตรงมาแบบเขาแล้ว ถ้าสังหารอันเดรวิชไปจริงๆ อย่างนั้นเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของเขาเลย


ส่วนเรื่องที่อันเดรวิชฉีกทึ้งจางซานอย่างโหดเหี้ยมไปเมื่อครู่นี้ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหูหงเต๋อเลยสักนิด เขาเองก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องไปล้างแค้นให้จางซาน ถึงอย่างไรคนที่มาขึ้นเวทีมวยแบบนี้ ก็ต้องเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าอาจตายได้ทุกเมื่อ


และในการต่อสู้นัดนั้น จางซานก็เป็นฝ่ายลงมือหมายสังหารก่อน ถ้าอันเดรวิชตอบโต้ช้าไปแม้แต่นิดเดียว คนที่นอนอยู่บนพื้นและถูกคลุมผ้าขาวเคลื่อนย้ายไปนั้นก็คงจะกลายเป็นเขาแทน ในสนามมวยใต้ดินจึงไม่มีเรื่องบุญคุณความแค้น และก็ไม่มีการผูกใจเจ็บเป็นการส่วนตัวด้วย!


“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”


“ทำไมไม่ฆ่ามันล่ะ ฆ่ามันเลยสิ!”


“แล้วตกลงใครแพ้ใครชนะกันแน่วะ?”


การกระทำของหูหงเต๋อนี้ ทำให้ภายในสนามมวยโกลาหลขึ้นมาทันที พวกเศรษฐีที่ปกติวางท่าสง่าสูงส่งเหล่านั้นก็ฉีกหน้ากากที่ใส่อยู่ยามปกติออกหมด มองดูผู้ช่วยสองคนพยุงอันเดรวิชลงไปจากเวที บางคนถึงกับด่ากราดออกมาเลย


“คุณหูครับ อันเดรวิชยินยอมที่จะเสี่ยงตายเอง แล้วทำไมคุณไม่ฆ่ามันไปเลยล่ะ?”


จู้เหวยเฟิงก็ไม่เข้าใจในการกระทำของหูหงเต๋อเหมือนกัน ด้วยสายตาของเขา ก็ต้องดูออกอยู่แล้วว่า อันเดรวิชใช้พลังไปจนหมดแล้ว เขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมหูหงเต๋อถึงละทิ้งโอกาสที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ไปแบบนี้?


“นี่แกจะสอบปากคำฉันเรอะ?”


หูหงเต๋อถลึงตา มองไปที่จู้เหวยเฟิงด้วยสายตาเย็นชา ตอนนี้พลังวิเศษที่เขาได้รับมายังไม่สลายไป จิตสังหารอันรุนแรงจนแทบจะจับต้องได้พุ่งไปทางจู้เหวยเฟิงทันที


นี่ก็เป็นอย่างที่กล่าวกันว่า จอมยุทธมักตัดสินโดยใช้กำลัง ในสายตาของคนอย่างหูหงเต๋อนั้น รู้จักเคารพแต่ผู้ที่แกร่งกว่าตัวเองเท่านั้น อย่างเช่นเยี่ยเทียนและโก่วซินเจีย หรืออาจยังรวมไปถึงอันเดรวิชที่เพิ่งจะลงไปจากเวทีด้วย แต่เห็นได้ชัดว่า จู้เหวยเฟิงไม่ได้จัดอยู่ในรายการนี้ด้วย


อย่าว่าแต่จู้เหวยเฟิงเลย แม้แต่ตอนที่ได้รู้ตัวตนของซ่งเฮ่าเทียนที่เรือนสี่ประสานเมื่อหลายวันก่อน หูหงเต๋อก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องจริงจังอะไร ยังคงเรียกอีกฝ่ายว่าเหล่าซ่งอย่างติดปากอยู่เหมือนเดิม กิริยามารยาทก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด


พอจู้เหวยเฟิงถูกหูหงเต๋อขึงตาใส่ก็ใจหายวาบ เขารู้ว่าคนเหล่านี้เป็นพวกไม่กลัวกฎหมายไม่กลัวฟ้าดิน ถ้าเขาตอบผิดไปแม้แต่คำเดียว อีกฝ่ายอาจจะระเบิดโทสะทำร้ายคนขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ ดังนั้นจู้เหวยเฟิงจึงรีบคิดหาข้ออ้างออกมา “ไม่กล้าหรอกครับ คุณหูคิดมากไปแล้ว เพียงแต่…เพียงแต่คุณลงมาแบบนี้แล้ว ก็ตัดสินคนแพ้ชนะลำบากน่ะสิครับ!”


สาเหตุที่สนามมวยของจู้เหวยเฟิงไม่เชิญบุคคลระดับปรมาจารย์มวยอย่างหูหงเต๋อมา ก็เพราะว่าอาจารย์มวยเหล่านี้มักจะเป็นคนเย่อหยิ่งทะนงตน ลำพังใช้เพียงเงินทอง จึงไม่สามารถจูงใจยอดฝีมือที่แท้จริงเหล่านี้ได้เลย


หูหงเต๋อไม่หลงกับข้ออ้างของจู้เหวยเฟิง ตอบไปอย่างเย็นชาว่า “ตัดสินลำบากอะไรกันเล่า? ก็ถือว่าฉันแพ้ไปซะสิ!”


“ได้ครับ จะทำตามที่คุณบอกเลยครับ!” จู้เหวยเฟิงเป็นคนรู้จักปรับตัวตามสถานการณ์ ถึงอย่างไรอันเดรวิชก็บาดเจ็บหนักไปแล้ว ถ้ามันยังกล้ามาขึ้นเวทีสู้ต่อไปอีก แบบนั้นก็เรียกว่ารนหาที่ตายแล้วละ


“เหล่าหู ทำได้ไม่เลวเลยนี่!” เยี่ยเทียนรู้สึกชื่นชมต่อพฤติการณ์ของหูหงเต๋อในครั้งนี้มาก เขาก็ไม่สนใจเหมือนกันว่าจู้เหวยเฟิงจะรู้สึกอย่างไร ยกมือขึ้นมาตบไหล่หูหงเต๋อหลายที


“ฮี่ๆ ฉันเหล่าหูเป็นคนแบบไหนกัน เรื่องเอาชนะแบบไม่ยุติธรรมน่ะไม่มีวันทำเด็ดขาด!”


พอโดนเยี่ยเทียนตบแบบนี้ หูหงเต๋อก็ฉีกยิ้มหัวเราะออกมาทันทีอย่างกับได้รับรางวัลใหญ่ จนจู้เหวยเฟิงที่ดูอยู่ข้างๆ ซึมเซาไปเลย เป็นคนเหมือนกันแท้ๆ แล้วทำไมหูหงเต๋อถึงได้ปฏิบัติต่อทั้งสองคนแตกต่างกันขนาดนี้ล่ะ?


“อ้าว มันมาทำไมล่ะนั่น? ยังอยากจะสู้กับคุณอีกรึไง?” ระหว่างที่กำลังคุยกับหูหงเต๋อ อันเดรวิชก็กลับเดินมาทางที่นั่งของพวกเขาโดยมีผู้ช่วยคอยพยุงอยู่


ภาษิตว่า แมลงร้อยขาฆ่าไม่ตาย อันเดรวิชถึงจะแพ้ไป แต่ความโหดเหี้ยมที่แสดงออกมาในการประลองรอบแรกนั้น ก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกพรั่นพรึงอยู่ดี เมื่อเขาเดินมาทางนี้ กลุ่มคนที่ตอนแรกยืนอยู่ข้างหลังจู้เหวยเฟิงก็เกร็งขึ้นมาทันที มือขวาลอบสอดเข้าไปใต้ชุดสูทสีดำ


“ไม่เป็นไร ให้มันมาเลย!”


จู้เหวยเฟิงก็ไม่ใช่คนไร้น้ำยา ถ้ายังกลัวแม้กระทั่งอันเดรวิชที่บาดเจ็บอยู่ อย่างนั้นประสบการณ์ที่เขาได้รับมาในอดีตนั้นก็คงจะเสียเปล่า แล้วจึงโบกมือไล่พวกผู้คุ้มกันที่ขวางอยู่ข้างหน้าออกไป


เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนที่ยืนขวางอยู่หลีกทางออกไปแล้ว อันเดรวิชก็เดินไปถึงข้างตัวหูหงเต๋อ แล้วพูดกีลีกูลูเป็นภาษารัสเซียออกมาชุดหนึ่ง ขณะเดียวกันก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้น แล้วแตะหน้าผากที่ได้รับบาดเจ็บนั้นลงไปบนมือขวาของหูหงเต๋อ


“คุณอันเดรวิชบอกว่า คุณเป็นคนที่แกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมาเลย คุณทำให้เขามีเป้าหมายในชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะถือว่าคุณเป็นครูผู้ชี้นำของเขา เพื่อพิชิตขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ต่อไป!”


คนยุโรปที่เดินตามมาข้างหลังอันเดรวิชนั้นแปลคำพูดของอันเดรวิชเป็นภาษาจีนอย่างติดๆ ขัดๆ “คุณอันเดรวิชบอกว่า ถ้าสักวันหนึ่งคุณได้ไปที่บ้านเกิดของเขา เขาจะนำขนมปังอย่างดีที่สุดและเกลือที่รสชาติเยี่ยมที่สุดมาต้อนรับคุณนะ!”


“ดี ต่อไปถ้ามีโอกาสฉันต้องไปแน่นอน ตาแก่อย่างฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่า กล้ามเนื้ออย่างมันนี่ต้องฝึกยังไงถึงจะมีขึ้นมาได้!”


หูหงเต๋อหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง ช่วงที่เขาอยู่บนภูเขาฉางไป๋ซานก็เคยพบปะกับคนรัสเซียอยู่บ่อยครั้ง จึงรู้ว่าคนรัสเซียนั้น มีแต่เวลารับรองแขกผู้มีเกียรติสูงสุดเท่านั้น ถึงจะต้อนรับด้วยขนมปังและเกลือ ซึ่งนี่ก็เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษแล้ว


หูหงเต๋อมองไปที่อันเดรวิชซึ่งลุกขึ้นมาแล้ว “อ้อใช่ กลับไปนอนอยู่เฉยๆ สักเดือนนึงนะ อย่าเคลื่อนไหวอะไรหนักๆ ไม่อย่างนั้นแผลแกคงหายยากแล้วละ”


ภาษิตว่า เอ็นเจ็บกระดูกสะเทือนต้องรักษาร้อยวัน แต่อาการบาดเจ็บภายในของอันเดรวิชยังสาหัสยิ่งกว่านั้นอีก ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น สงสัยคงจะถูกหูหงเต๋อเตะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และก็มีแต่มนุษย์ที่พิลึกพิลั่นอย่างอันเดรวิชนี่แหละที่ยังเดินเหินได้อยู่หลังจากได้รับบาดเจ็บ


หลังจากกำชับอันเดรวิชเสร็จ หูหงเต๋อก็พลันมองไปทางเยี่ยเทียนแล้วยิ้มแย้ม “เยี่ยเทียน ฉันรู้สึกถูกชะตากับไอ้หมอนี่น่ะ ขอยารักษาอาการบาดเจ็บหน่อยสิ”


ในช่วงเวลาหลายวันที่อยู่ในเมืองหลวงนี้ หูหงเต๋อรู้มาว่าท่านลุงโก่วซินเจียใช้โสมป่าที่เขานำมาให้ ไปผลิตยาเม็ดสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกได้จำนวนไม่น้อย และเขายังรู้ด้วยว่าตอนนี้เยี่ยเทียนก็พกยานี้ติดตัวอยู่


“ยานี่ขนาดผมเองยังไม่เคยใช้เลยด้วยซ้ำ คุณดันจะเอาไปใช้กระชับไมตรีเฉยเลยหรือ?”


เยี่ยเทียนขึงตาใส่หูหงเต๋ออย่างเคืองๆ มองไปทางอันเดรวิช แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “อ้าปากซิ!”


ในฐานะที่เป็นอดีตทหารกองกำลังพิเศษคนหนึ่ง ทักษะการฟังและพูดภาษาอังกฤษของอันเดรวิชจึงไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนบอก ก็เลยเผลออ้าปากโดยไม่ทันคิดอะไร ขณะเดียวกันกับที่เขาอ้าปากออก วัตถุขนาดเท่าถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งก็ถูกดีดเข้ามาในปากของเขา


อันเดรวิชยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ยื่นมาที่คางของเขาปานสายฟ้าแลบ แล้วดันคางขึ้นเบาๆ ให้ปากปิดลง ส่วนยาเม็ดนั้นก็ไหลตามลำคอลงไปในท้อง


อันเดรวิชมองไปทางเยี่ยเทียนอย่างสงสัย เขาไม่รู้ว่า ชายหนุ่มคนนี้ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่ แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในทรวงอกและช่องท้อง ความเจ็บปวดก็ทุเลาลงไปมาก


“ขอบคุณนะ ประเทศจีนนี่ช่างเป็นประเทศที่ลี้ลับจริงๆ เลย!” ต่อให้อันเดรวิชโง่เขลายิ่งกว่านี้ ก็ต้องดูออกว่าเยี่ยเทียนไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย สิ่งที่เพิ่งจะกลืนลงท้องไปนั้น เขาก็ได้แต่บรรยายด้วยคำว่าลี้ลับเท่านั้น


เพียงแต่อันเดรวิชไม่รู้ว่า ยาเม็ดที่เยี่ยเทียนให้เขารับประทานลงไปนั้น โก่วซินเจียต้องรวบรวมตัวยาล้ำค่ามาสารพัดอย่างเพื่อปรุงหลอมขึ้นมา ไม่เพียงสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของอันเดรวิชได้เท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณในการสลายพิษภัยที่เหลือค้างอยู่ในร่างกายของเขาตั้งแต่อดีตอีกด้วย


“กลับรัสเซียไปเถอะ วันหลังเราอาจจะได้เจอกันอีกก็ได้นะ!”


เยี่ยเทียนยังไม่เคยดูโหงวเฮ้งให้คนต่างชาติมาก่อน เมื่อครู่นี้เขาสังเกตดูลักษณะใบหน้าของอันเดรวิชไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และพบว่าต่อไปคนผู้นี้จะได้มาข้องเกี่ยวกับตัวเองอีก แต่รายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น เยี่ยเทียนก็ไม่อาจทำนายออกมาได้


“เยี่ยเทียน ที่แท้คุณก็เป็นวิทยายุทธด้วยรึ?”


หลังจากอันเดรวิชไปแล้ว จู้เหวยเฟิงก็มองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสีหน้าประหลาดใจ ถึงความสามารถในการต่อสู้ของเขาจะมีอยู่อย่างจำกัด แต่สายตากลับแหลมคมอย่างร้ายกาจ เพียงดูจากการเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนตอนที่ยื่นมือไปหุบปากอันเดรวิช ก็พอจะประเมินระดับของเขาออกแล้ว


“ฮ่ะๆ สมัยเด็กเคยฝึกมั่วๆ อยู่ไม่กี่ท่าน่ะ เทียบกับประธานจู้แล้วสู้ไม่ได้หรอกครับ!” เยี่ยเทียนหัวเราะพลางส่ายหน้า แล้วพูดต่อไปว่า “เหล่าหูก็เหนื่อยแล้ว คงต้องกลับไปพักผ่อนแล้วละ วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีไหม?”


การประลองมวยใต้ดินในวันนี้ ก็ทำให้เยี่ยเทียนได้เปิดประสบการณ์มากพอแล้ว ความแข็งแกร่งของอันเดรวิชนั้นอยู่เหนือกว่าจินตนาการของเขาเสียอีก แต่ก็พลอยทำให้เขาหมดความสนใจต่อการประลองรอบต่อๆ ไปอีกด้วย


……


ตอนที่ 467 ทวนจงผิง

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอเห็นว่าเยี่ยเทียนจะไปแล้ว จู้เหวยเฟิงก็รีบลุกขึ้นมา “เยี่ยเทียน รออีกสักเดี๋ยวค่อยไปเถอะ เดี๋ยวคุณเอาเลขบัญชีให้ผมนะ แล้วผมจะโอนให้คุณสิบล้าน”


“สิบล้าน?”


เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป เมื่อเห็นหูหงเต๋อที่อยู่ข้างๆ แล้วถึงจะนึกขึ้นมาได้ จึงส่ายหน้าแล้วตอบว่า “เงินนั่นมันของเหล่าหู ไม่ได้เกี่ยวกับผมหรอก แล้วเขาก็ยังไม่มีบัญชีธนาคาร พรุ่งนี้ผมจะพาเขาไปเปิดบัญชี แล้วค่อยเอาเลขบัญชีให้คุณก็แล้วกัน”


หูหงเต๋อก็เหมือนกับไอ้บอดเมิ่งที่ตายไป คือชอบเงินสดมากกว่า ในที่หลบภัยของเขาในส่วนลึกของภูเขาฉางไป๋ซานนั้น ก็ซุกซ่อนเงินสดและทองคำไว้จำนวนมากเช่นกัน สำหรับคนที่เคยผ่านความวุ่นวายจากสงครามมาอย่างพวกเขา สิ่งที่จะเชื่อถือได้มากที่สุดก็มีแต่เงินตราจำพวกทองคำนี่แหละ


“เรื่องนี้…” จู้เหวยเฟิงเพิ่งเคยเจอกับเยี่ยเทียนเป็นครั้งแรก จึงไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมาก เมื่อเยี่ยเทียนพูดมาแบบนี้ เขาก็ไม่สะดวกที่จะปฏิเสธอีก แต่จู้เหวยเฟิงก็ยังอยากจะสานสัมพันธ์กับเยี่ยเทียนต่อไปอีก ตอนนั้นจึงมองไปทางหูจวิน


หูจวินรู้ว่าจู้เหวยเฟิงคิดอะไรอยู่ จึงพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม “เยี่ยเทียน เดี๋ยวยังมีนัดประลองตัดสินประเภทใช้อาวุธโบราณเหลืออยู่อีกนะ คุณจะไม่อยู่ดูหน่อยรึ?”


“นัดตัดสินประเภทใช้อาวุธโบราณ? เจ้าคนญี่ปุ่นที่ชื่อคาโต้ ทาคุมินั่นน่ะรึ? คนนี้มีที่มายังไงบ้างน่ะ?”


เมื่อได้ยินหูจวินพูดอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็นึกถึงชื่อคนญี่ปุ่นที่เขาเห็นในเอกสารหน้าสุดท้ายคนนั้นขึ้นมาได้ ในใจจึงเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย


“เหวยเฟิง ให้นายเป็นคนแนะนำดีกว่านะ ฉันไม่ค่อยรู้จักเจ้าคนนี้เท่าไหร่” หูจวินส่ายหน้าแล้วมองไปทางจู้เหวยเฟิง เขาเป็นเพียงผู้ถือหุ้นในสนามมวยแห่งนี้เท่านั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้วย จึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับนักมวยเหล่านี้


“รายละเอียดฉันก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน รู้แต่ว่าในไม่กี่ปีมานี้เขาโด่งดังขึ้นมาจากวงการมวยใต้ดินที่ญี่ปุ่น ฝีมือใช้ดาบเยี่ยมยอดมาก ตอนแรกเราก็ไม่ได้เชิญเขามา แต่มีสมาคมญี่ปุ่นที่รู้จักกันที่หนึ่งมาออกหน้าให้ อยากให้เขาลองมาแลกเปลี่ยนกับวงการมวยใต้ดินในประเทศจีนดูสักหน่อย ฉันเองก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ…”


จู้เหวยเฟิงยิ้มเจื่อนๆ พลางแนะนำรายละเอียดเกี่ยวกับคาโต้ ทาคุมิให้ฟัง ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับองค์กรมวยใต้ดินนานาชาติ เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่ในด้านข้อมูลเขาก็สู้ที่อื่นไม่ได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้จู้เหวยเฟิงรู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขาก็ทำงานด้านนี้มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว


“อย่างนั้นก็ได้ ดูรอบนี้ให้จบก่อนแล้วค่อยกลับ”


เยี่ยเทียนพยักหน้าอย่างไม่ยินดียินร้าย วันนี้ได้เห็นศิลปะการต่อสู้จากยุโรปไปแล้ว ถ้าจะรอดูวิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นด้วยก็คงไม่เสียหายอะไร อาจจะได้ความรู้บางอย่างที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ก็เป็นได้ สาเหตุที่ประเทศจีนในอดีตเคยประสบความลำบากนั้นก็เป็นเพราะว่าปิดกั้นตัวเอง และนึกว่าตัวเองเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า ไม่ได้รับรู้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกเลย


ขณะนี้ระหว่างที่กำลังฟังพิธีกรใช้ฝีปากบรรยายอยู่นั้น เหล่าผู้ชมในสนามก็เริ่มสงบอารมณ์ลงไปแล้ว ถึงหูหงเต๋อจะไม่ได้สังหารอันเดรวิช แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าสยบอีกฝ่ายได้แล้ว ทำให้พวกที่นึกโมโหไปกับการแข่งขันนั้นพอจะสบายใจลงไปได้บ้างแล้ว


“การแข่งขันต่อไปนี้ จะเป็นนัดตัดสินประเภทอาวุธโบราณ สองฝ่ายที่จะมาร่วมศึกกันนี้ได้แก่ คาโต้ ทาคุมิจากญี่ปุ่น และฝูเจ๋อเหลียงจากซานซี!


“คาโต้ ทาคุมิเป็นราชาแห่งศึกอาวุธโบราณในองค์กรมวยใต้ดินที่ญี่ปุ่น จนถึงวันนี้ก็ยังมีสถิติที่ยังไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง เขามีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน ส่วนฝูเจ๋อเหลียงก็เป็นผู้สืบทอดทวนตระกูลเยวี่ย ทักษะการใช้ทวนของเขานั้นสูงส่งราวกับเทพมาจุติ


“ศึกตัดสินระหว่างพวกเขาทั้งสองนี้ จะต้องมีสีสันอย่างไม่ธรรมดาแน่นอน ต่อไปเราขอเรียนเชิญผู้สืบทอดทวนตระกูลเยวี่ย…ฝูเจ๋อเหลียง…”


เมื่อพิธีกรกล่าวบทนำลากเสียงยาวยืด แสงไฟทั้งสนามมวยก็ดับลงไปทันที ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ซึ่งมือขวาถือถุงผ้ายาวมาด้วยปรากฏกายขึ้นภายใต้แสงไฟ และเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างช้าๆ


ชายผู้นี้สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร หน้าตาดูธรรมดาอย่างยิ่ง นุ่งชุดฝึกวิชายุทธสีขาวตลอดร่าง มีจังหวะก้าวเดินที่มั่นคงมาก เมื่อขึ้นไปถึงบนเวทีประลองแล้ว ก็เปิดถุงผ้าในมือออก แล้วหยิบด้ามทวนที่หลอมขึ้นจากเหล็กกล้าบริสุทธิ์ออกมาสามท่อน


“เช้ง…เคร้ง…เคร้ง!”


เสียงโลหะกระทบกันดังก้องขึ้นมาสามครั้ง ไม้พลองเหล็กกล้ายาวสองเมตรกว่าๆ ปรากฏขึ้นในมือของฝูเจ๋อเหลียงแล้ว เห็นเขาล้วงหยิบหัวทวนซึ่งเปล่งประกายเย็นวาบออกมาจากถุงผ้า แล้วประกอบลงไปบนปลายด้ามทวน


ขณะนี้ ทวนเหล็กซึ่งเปล่งประกายแววววาวของโลหะออกมาทั่วทั้งตัวทวนก็ปรากฏอยู่ในมือของฝูเจ๋อเหลียง มือขวาคีบปลายด้านหนึ่งของทวนเหล็กไว้ ฝูเจ๋อเหลียงออกแรงสะบัด แล้วทวนยาวนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวราวกับงูวิเศษ ตัวทวนที่สร้างขึ้นจากเหล็กบริสุทธิ์นั้นดูเหมือนจะกลายเป็นอ่อนยวบและยืดหยุ่นได้


“เยี่ยม!”


ด้านล่างเวทีมีใครตะโกนว่าเยี่ยมขึ้นมาก็ไม่ทราบ ทำให้ฝูงชนพากันปรบมือขึ้นมา ภาษิตว่า ยาวอีกหนึ่งนิ้วก็แกร่งขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน ทวนเล่มโตซึ่งยาวสองเมตรกว่านี้ เพียงถืออยู่ในมือก็เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว


เยี่ยเทียนมองดูทวนยาวที่ยาวยิ่งกว่าส่วนสูงของฝูเจ๋อเหลียงเสียอีก แล้วหันหน้าไปถามหูหงเต๋อว่า “เหล่าหู ที่คนนี้ถืออยู่คือทวนจงผิงสินะ?”


เยี่ยเทียนมีความรู้เกี่ยวกับอาวุธโบราณไม่มากนัก นอกจากใช้วิชาดาบเป็นอยู่ไม่กี่ท่าแล้ว อย่างอื่นก็แทบจะเรียกได้ว่าไม่รู้อะไรเลย และที่สามารถดูออกว่าเป็นทวนจงผิงได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว


หูหงเต๋อพยักหน้าแล้วตอบว่า “ถูกต้อง ตัวทวนยาวประมาณสองเมตรหกเจ็ดสิบเซนติเมตร น่าจะเป็นทวนจงผิงนั่นละ แต่เจ้าคนนี้เอาเหล็กบริสุทธิ์มาทำเป็นด้ามทวน ถือว่าผิดจากวิชาทวน บิดเบือนหลักการ ฉันว่าเจ้าคนนี้มันคงไม่แน่เท่าไหร่หรอก!”


ตั้งแต่สมัยก่อนสถาปนาประเทศหูหงเต๋อก็อายุไม่น้อยแล้ว ช่วงหลังสถาปนาประเทศก็ไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาลึกตั้งหลายปี จึงยังมีความคิดแบบคนสมัยก่อนอยู่ เมื่อเห็นชายผู้นี้นำทวนจงผิงซึ่งเป็นที่กล่าวขานว่า ‘ทวนจงผิง ราชาแห่งทวน เป็นทวนที่ป้องกันได้ยากที่สุด’ ไปดัดแปลงเสียจนกลายเป็นแบบนี้ ก็เลยรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา


มีคำกล่าวโบราณอยู่อย่างหนึ่งว่า พลองเรียนเป็นเดือน ดาบเรียนเป็นปี ทวนนั้นต้องเรียนตลอดชาติ จากคำกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า ทวนนั้นเป็นอาวุธที่เรียนยากที่สุดในบรรดาสิบแปดศาสตราวุธ


และทวนก็ยังแบ่งย่อยอีกเป็นหลายชนิด ได้แก่ ทวนปู้เซี่ย ทวนดอก ทวนจงผิง ทวนใหญ่และทวนด้ามใหญ่ รวมไปถึงหอกยาว ซึ่งทวนแต่ละชนิดก็จะมีขนาดความยาวที่จำเพาะเจาะจง


ด้ามทวนที่ดีที่สุดนั้น ก็คือด้ามที่ทำจากไม้ไป๋ล่า มีความเหนียวทนทานดีอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะใช้ทิ่ม แทง ป้องปัดหรือพุ่งโจมตีก็มีประสิทธิภาพทั้งนั้น และวัสดุในการผลิตนี้ก็เป็นผลสรุปจากการทดลองของบรรพบุรุษมาเป็นร้อยเป็นพันปี


ดังนั้นเมื่อเห็นฝูเจ๋อเหลียงใช้เหล็กบริสุทธิ์มาหลอมเป็นด้ามทวนด้วยหวังที่จะให้มีอานุภาพทำลายสูงขึ้น หูหงเต๋อจึงเอ่ยปากลั่นวาจาออกไปว่าคนผู้นี้เห็นทีจะแพ้แน่นอน


“คุณหูครับ ฝีมือการใช้ทวนของฝูเจ๋อเหลียงอยู่ในระดับที่สูงมากเลยนะครับ อาจจะสู้คาโต้ ทาคุมิได้ก็ได้นะ”


เมื่อเห็นว่าการต่อสู้ยังไม่ทันเริ่มต้น หูหงเต๋อก็พูดดับฝันนักสู้ประเทศตัวเองเสียแล้ว จู้เหวยเฟิงจึงชักจะรู้สึกไม่พอใจ เขาเคยเห็นตอนที่ฝูเจ๋อเหลียงฝึกซ้อมมาแล้ว เขาใช้ด้ามไม้ไป๋ล่าที่ไม่มีหัวทวนด้ามหนึ่ง จี้ไปที่จุดสำคัญบนทรวงอกของคนเจ็ดคนติดๆ กันได้ในชั่วพริบตา ความสามารถในการใช้ทวนเช่นนั้นใครเห็นก็ต้องอุทานชื่นชม


“พูดไปก็ไร้ประโยชน์น่ะ ดูดีกว่า!”


หูหงเต๋อคร้านจะไปอธิบายให้จู้เหวยเฟิงฟัง ยอดฝีมือในสามมณฑลตะวันออกที่ใช้ทวนใหญ่เป็นนั้นมีอยู่ไม่น้อย หูหงเต๋อจึงเคยพบปะมาหลายคนแล้ว เขามองปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าฝูเจ๋อเหลียงที่อยู่บนเวทีนั้นถึงฝีเท้าจะมั่นคง แต่พลังที่เอวยังไม่พอ แม้จะยังไม่อาจตัดสินได้ว่าเขามีดีแค่ผิวเผินหรือเปล่า แต่ก็ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือวิชาทวนแน่ๆ


แรกเริ่มเดิมทีทวนเป็นอาวุธที่ใช้กับการรบบนหลังม้า ทวนที่ยาวถึงสองสามเมตรนั้นก็ถือได้ว่าเป็นอาวุธหนัก เมื่อม้าสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน ต่างก็ใช้อาวุธแข็งทั้งคู่ เมื่อแข็งปะทะแข็ง ใครหนักกว่าก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่อาวุธบนหลังม้าที่มีน้ำหนักมากกว่าทวนก็ยังมีอยู่อีกมากมาย


อย่างกระบองเขี้ยวหมาป่าที่อสุนีเพลิงฉินหมิงใช้ในเรื่อง ‘สุยหู่’ ขวานเบิกภูผาที่แนวหน้าผู้กล้าหาญอย่างสั่วเชาใช้ยังหนักกว่าทวนมากนัก กระบองเขี้ยวหมาป่าหรือขวานเบิกภูผาที่หนักหลายสิบชั่งนั้นมีแรงม้าช่วยหนุนอยู่ เมื่อตวัดออกไปแล้ว จึงไม่สามารถต้านรับไว้โดยตรงได้ ไม่เช่นนั้นหอกเหล็กจะงอเสียหมด และกระดูกแขนทั้งสองข้างก็จะหักไป


ดังนั้นในยามนี้จึงต้องอาศัยพลังจากเอวช่วยโยกย้ายพลัง ร่วมกับความเหนียวยืดหยุ่นของด้ามไม้ไป๋ล่า ถ้าใช้หัวทวนปะทะกับขวานหรือกระบอง ทวนก็จะงอเล็กน้อย จึงช่วยรับต้านแรงเอาไว้ได้ และมือก็จะไม่สะเทือน พลังจากอาวุธของศัตรูก็จะลดทอนไป


แต่ฝูเจ๋อเหลียงกลับละทิ้งรากฐาน เรื่องพลังเอวยังฝึกไม่ถึงขั้นนั้นยังไม่ต้องพูดถึง แต่แม้กระทั่งด้ามไม้ไป๋ล่าก็ยังไม่ใช้ นี่ถ้าเปลี่ยนเป็นลูกศิษย์ของหูหงเต๋อ สงสัยคงโดนเขาฟาดตายไปเสียนานแล้ว จะได้ไม่ต้องมาทำขายหน้าคนอื่นอีก


“ต่อไปขอเรียนเชิญคาโต้ ทาคุมิจากญี่ปุ่น…”


เนื่องจากการแข่งมวยรอบแรกของอันเดรวิชนั้นทำให้ฝ่ายผู้จัดงานเสียหน้าไปไม่น้อย ดังนั้นพิธีกรจึงไม่ได้แนะนำคาโต้ ทาคุมิมากนัก เมื่อเขาปรากฏกายไฟดวงใหญ่ในสนามก็สว่างขึ้น คนญี่ปุ่นรูปร่างขนาดกลางคนหนึ่ง หอบดาบซามูไรไว้ในอ้อมแขน แล้วก็เดินขึ้นเวทีมาจากฝั่งเดียวกับฝูเจ๋อเหลียง


คนญี่ปุ่นคนนี้สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองเซนติเมตร สองเท้าเปลือยเปล่า มีผ้าแถบผืนหนึ่งผูกไว้รอบหน้าผาก ตรงกลางเป็นสัญลักษณ์ธงชาติญี่ปุ่น พอขึ้นเวทีมาแล้วก็ไม่พูดไม่จา มองไปที่ฝูเจ๋อเหลียงที่อยู่ตรงกันข้ามอย่างเย็นชา


“เอาละครับ ช่วงลงพนันห้านาที ตอนนี้เริ่มจับเวลาได้!”


สองฝ่ายที่จะสู้กันขึ้นไปอยู่บนเวทีแล้ว ส่วนพิธีกรก็รีบโดดลงมา แม้จะยังอยู่ในช่วงลงพนัน แต่ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าคนพวกนี้จะไม่โมโหคลุ้มคลั่งขึ้นมา เวทีมวยในปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่เสี่ยงอันตรายที่สุดในโลกนี้เลยก็ว่าได้


เวลาห้านาทีผ่านไปในพริบตา เมื่อเสียงระฆังดัง “กิ๊ง” ขึ้น บรรยากาศในสนามมวยก็ตึงเครียดขึ้นมาในฉับพลัน บรรดาสุภาพสตรีชั้นสูงและนักธุรกิจเศรษฐีที่ล้อมดูอยู่นั้น แต่ละคนต่างก็กลั้นหายใจไว้โดยไม่รู้ตัว


การต่อสู้ด้วยอาวุธโบราณนั้น ยังอันตรายยิ่งกว่าการเข้าตะลุมบอนด้วยมือเปล่ามากนัก ไม่ว่าจะทิ่มทวนไปโดนอีกฝ่าย หรือฟันดาบไปโดนคู่ต่อสู้ ก็มีความเป็นไปได้ที่อวัยวะจะขาดไปทั้งนั้น ทำให้เหตุการณ์จึงยิ่งมีกลิ่นคาวโลหิตมากขึ้น และผลแพ้ชนะก็มักจะถูกตัดสินไปในกระบวนท่าเดียว


“ขอรับคำชี้แนะ!”


หลังจากได้ยินเสียงระฆัง คนญี่ปุ่นคนนั้นก็โค้งกายให้ฝูเจ๋อเหลียง แต่ขณะที่ฝูเจ๋อเหลียงไม่รู้ว่าควรจะตั้งทวนขึ้นมาหรือจะคารวะตอบดีนั้น คนญี่ปุ่นคนนั้นก็พลันโถมร่างเข้ามา เสียง “ชิ้ง” ดังแหลมขึ้นมา ประกายสว่างวาบพุ่งดีดตามมา แล้วตวัดไปที่ลำคอของฝูเจ๋อเหลียงปานสายฟ้าแลบ


‘ต่ำช้า!’


ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เกิดความคิดนี้ขึ้นในใจ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าตะโกนออกมา เพราะการต่อสู้ด้วยอาวุธโบราณนี้ มีโอกาสสูงที่จะตัดสินแพ้ชนะกันในชั่วขณะนี้แล้ว!


ถึงวิทยายุทธของฝูเจ๋อเหลียงจะธรรมดาสามัญเหลือเกินในสายตาของหูหงเต๋อ แต่เขาก็มีประสบการณ์ในการณ์รับศึกมาอย่างโชกโชน ขณะที่แสงดาบนั้นกำลังจะฟันมาถึงลำคอแล้ว มือขวาของเขาก็ชูทวนเหล็กขึ้นมาโดยอัตโนมัติ


“ติ๊ง!” เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นมา ร่างของฝูเจ๋อเหลียงถอยพรวดไป


ทวนเป็นอาวุธประเภทโจมตีระยะไกล ถ้าไม่เว้นระยะห่างจากคาโต้ ทาคุมิไว้บ้าง อย่างนั้นศึกตัดสินตานี้ ฝูเจ๋อเหลียงก็คงไม่จำเป็นต้องสู้ต่อไปแล้ว กระโดดลงจากเวทียอมแพ้ไปได้เลย


……

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)