หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 464-465
บทที่ 464 เทพเจ้าแห่งความตาย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หนึ่งปีในนิมิตมืดเทียบเท่าหนึ่งวันในโลกแห่งความจริงเท่านั้น!
หวังเป่าเล่อหายตัวไปเพียงวันเดียว ตามความรับรู้ของผู้ฝึกตนต่างดาวทั้งสามที่ติดอยู่ในโลกใต้ดินชั้นที่สามที่วัตถุเวทแห่งความมืดสร้างขึ้นมา
ทั้งสามโกรธเกรี้ยวแน่นอก อยากจะฆ่าหวังเป่าเล่อให้ตายไปเสียที แต่ทั้งสามก็ไม่ได้ลุกลี้ลุกลนจนเสียกระบวน ประสบการณ์และความรู้บอกพวกเขาว่า โลกใต้ดินที่สร้างขึ้นโดยวัตถุเวทแห่งความมืดนี้เป็นโลกปิด เมื่อหาทางออกไม่ได้ ทั้งสามก็ตัดสินใจเดินหน้าลึกเข้าไปอีก เพื่อตามหาเป้าหมายของตนเองต่อไป
พวกเขาตั้งใจว่าจะตามหวังเป่าเล่อ หรือไม่ก็ทางออก ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง และมีโอกาสมากด้วยที่จะเจอทั้งสองอย่าง
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย พวกเขามีทรัพยากรพรั่งพร้อม มีเคล็ดเวทที่ผู้อาวุโสของอารยธรรมตนถ่ายทอดมา หนึ่งในนั้นเป็นเคล็ดเวทที่ใช้ปัดเป่าเวทอันตรายให้พ้นตัว พลังของเคล็ดเวทนี้ต้องใช้ผู้ฝึกตนหลายคนร่วมกันเสก แต่ก็ทำหน้าที่ได้เห็นผลชะงัดในการต้านพลังของวงแหวนปราณ
หากมีเวลาอีกหลายวัน ทั้งสามอาจหาทางออกจากโลกใต้ดินได้ หรือไม่ก็ตามหาหวังเป่าเล่อเจอในที่สุด
ทว่า… ทั้งสามไม่ได้คาดคิดเลยว่า ภายในวันเดียว เหตุการณ์จะกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือ!
ตอนนี้ พวกเขาตรวจพบจุดบอดที่ชั้นสองของโลกใต้ดิน และกำลังรวมพลังกันเพื่อทลายกำแพงนั้นออกไป ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะเทือนเมื่อพายุหมุนก่อตัวขึ้นกลางอากาศ ในตอนแรก พายุหมุนนั้นหมุนอย่างช้าๆ แต่เมื่อทั้งสามเดินหน้าร่ายเคล็ดเวทต่อไป พายุนั้นกลับกรรโชกแรงยิ่งขึ้น
พายุที่โกรธเกรี้ยวแหวกอากาศตรงกลางออกเป็นทางเดิน แม้ตอนแรกจะดูยังไม่นิ่งนัก แต่สักพักพายุนั้นก็เริ่มหมุนวนด้วยอัตราเร็วคงที่ เชื่อมโลกชั้นหนึ่งและชั้นสองเข้าด้วยกัน
เมื่อทั้งสามไปถึงชั้นหนึ่งได้ ก็มีโอกาสมากที่จะสร้างทางออกจากโลกใต้ดินได้สำเร็จ พวกเขาตั้งใจว่าจะสร้างทางหนีทีไล่ไว้ให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงจะบุกตะลุยลงไปชั้นล่างเพื่อล่าหวังเป่าเล่อ!
“เมื่อเราไปถึงชั้นแรกและเปิดทางเสร็จเรียบร้อย เราจะผนึกมันไว้ก่อน จากนั้นค่อยไปตามหาไอ้อ้วนนั่นกัน! ชื่อจั่วอี้เซียนที่มันบอกคงไม่ใช่ชื่อมันจริงๆ แน่ นอกจากว่ามันจะโง่บัดซบจริงๆ มิเช่นนั้นมันจะบอกชื่อเสียงเรียงนามกับเราเพื่อสิ่งใดกันเล่า”
“ช่างหัวมันปะไร เดี๋ยวมันก็ตายหยังเขียดแล้ว! ไอ้หมอนี่มันก็แค่หนูสกปรกที่เอาแต่ขุดรูหนีหัวซุกหัวซุนเท่านั้น!”
ทั้งสามมีสีหน้าบูดเบี้ยวเหยเก พวกเขาไม่เคยเจอผู้ฝึกตนระดับรากฐานตั้งมั่นที่มีกลเม็ดเด็ดพรายมากมายขนาดนี้ ซ้ำยังโหดเหี้ยมและมีความคิดแสนประหลาดจนทำให้จับตัวไม่ได้เสียที ไม่ว่าจะเป็นที่ดาวบ้านเกิดหรือตอนที่พวกเขาบุกไปปล้นสะดมอารยธรรมอื่น
เมื่อคิดว่าขั้นปราณของหวังเป่าเล่ออยู่เพียงขั้นรากฐานตั้งมั่น สีหน้าของทั้งสามก็มืดมนลงอีก พวกเขายอมรับว่าประเมินหวังเป่าเล่อต่ำไปในคราวแรก ด้วยเหตุนี้จึงต้องการจับชายหนุ่มตัวเป็นๆ และไม่ใช้กระบวนท่าโจมตีที่รุนแรงสุดที่ตนเองมี ทั้งสามต้องการให้หวังเป่าเล่อมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อที่จะได้นำตัวชายหนุ่มกลับดาวบ้านเกิดของตนได้
แต่การให้โอกาสนั้นกลับย้อนมาทำร้ายพวกเขาภายหลังเสียนี่
“เดี๋ยวเราจะเปิดทางก่อน แต่ไม่ต้องไปเสียเวลาตามหาตัวหมอนี่มาก เราต้องกลับไปดาวบ้านเกิดทันที เพื่อแจ้งข่าวให้ท่านผู้อาวุโสฟังว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง และหากไม่รีบกลับตอนนี้เราจะไปไม่ทันงานวันเกิดของท่าน ข้าว่าหีบศิลาที่พวกเราเจอที่อารยธรรมดาราเมฆาก็คงทำให้ท่านพอใจแล้ว หากนำข่าวเรื่องดาราจักรนี้กลับไปแจ้งร่วมด้วย ข้าว่าพวกเราจะต้องได้โอสถเชื่อมวิญญาณมาคนละเม็ดแน่นอน!” ชายหน้าตะขาบครุ่นคิด ก่อนพูดออกมาอย่างช้าๆ
ความรู้สึกแรงกล้าฉายขึ้นบนดวงตาของอีกสองคนเมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขากำลังจะเดินหน้าปลุกคาถาเวทต่อ เพื่อทำให้ทางเดินในพายุหมุนเสถียร
ทว่าทันใดนั้นเอง… เรื่องที่ไม่คาดคิดก็มาเยือน!
เสียงคำรามติดกันเป็นทอดๆ ปะทุออกจากทั้งพื้นดินและท้องฟ้าของโลกใต้ดิน สุสานที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นสั่นอย่างรุนแรง ขณะที่คลื่นอักขราจารึกพวยพุ่งออกจากชั้นสองของโลกใต้ดิน ราวกับว่าชั้นสองทั้งชั้นกลายสภาพไปเป็นผืนน้ำสองมิติ ที่ถูกหินโยนใส่จนกระเพื่อมเป็นคลื่นระลอก
ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ทำให้ทั้งสามตื่นตกใจ แต่ก่อนที่จะทันได้ตอบโต้ โลกทั้งใบก็พลิกกลับหัวในทันที ท้องฟ้ากลายเป็นผืนดิน ส่วนผืนดินที่เต็มไปด้วยหลุมศพกลับแทนที่ผืนฟ้าไปเสียได้!
คลื่นอักขราจารึกกวาดไปทั่วทั้งโลกใต้ดิน ทันใดนั้น หัวศพผียักษ์สองหัวปรากฏขึ้นใกล้ๆ พวกเขา หัวนั้นมีสีเขียวและน่าสยดสยองเหลือคณานับด้วยคมเขี้ยวและเขาแหลม ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยอักขราจารึกที่กะพริบสว่างสลับกับมืดดับ ทำให้ดูน่ากลัวและดุร้ายขึ้นไปอีก
ทันทีที่ศีรษะทั้งสองผุดขึ้นมา มันก็อ้าปากออกและพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนต่างดาวทั้งสาม หมายจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว!
หัวผีนั้นรวดเร็วมากจนหนีไม่ทัน ผู้ฝึกตนหน้าตะขาบที่เป็นผู้นำของกลุ่มและผู้ฝึกตนหน้ายาวเหมือนม้าที่อยู่ข้างกายรูม่านตาหดแคบ พยายามโยกตัวหลบไปข้างหลังอย่างเสียมิได้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างของทั้งสองถูกหัวผียักษ์สองหัวกลืนกินเข้าไปทั้งตัว และอันตรธานหายไปในทันที!
ทันทีที่พวกเขาหายไป โลกใต้ดินก็กลับสภาพเดิมอีกครั้ง คลื่นอักขราจารึกมลายหายไปพร้อมกับปรากฏการณ์พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ความเงียบงันเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ ตอนนี้เหลือเพียงผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมคนเดียวเท่านั้น ใบหน้าของเขาสับสนด้วยความรู้สึกที่ตีกันมั่วไปหมด จิตใจสั่นไหวด้วยความตกใจกลัวเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ชายหน้าเหลี่ยมพยายามปล่อยพลังปราณของตนเองจนขีดสุดด้วยความหวาดกลัว เพื่อเพิ่มสัมผัสการรับรู้โดยจิต ก่อนถอยหลังด้วยท่าทีระแวดระวังสุดขีด
ชายผู้นั้นสร้างผนึกฝ่ามือมากมายไปด้วยขณะถอยหนี เกล็ดผุดขึ้นบนหน้าผาก ขอบตา และแขนขา มีทั้งหมดเก้าเกล็ดด้วยกัน เกล็ดทั้งหมดเป็นสีม่วง และแผ่พลังวิญญาณมหาศาลออกมา
นี่คือกระบวนท่าโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเขา ทว่าการปล่อยพลังแต่ละครั้งจะดูดเอาพลังชีวิตของเขาออกมา ชายหน้าเหลี่ยมจึงมักไม่ใช้กระบวนท่านี้หากไม่จนมุมจริงๆ เขาเลือกใช้กระบวนท่านี้เพราะความสยดสยองที่เพิ่งเผชิญไป
ชายหน้าเหลี่ยมพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความระแวดระวัง เขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าราวสามสิบนาทีได้ ก่อนพบว่าทุกสิ่งรอบกายยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีอันตรายที่คาดไม่ถึงแสดงตัวออกมาแต่อย่างใด
เราเผลอไปปลุกกับดักอันใดในวัตถุเวทแห่งความมืดนี้เช่นนั้นหรือ ชายหน้าเหลี่ยมคิดสงสัย การปรากฏตัวของหัวผีและโลกที่กลับตาลปัตรนั้นน่าขนพองสยองเกล้ามาก สหายของเขาถูกกลืนกินเข้าไปทั้งเป็น ไม่อาจทราบชะตากรรมได้ว่าเป็นเช่นไร เขาทั้งกังวลและตื่นตกใจ แต่เมื่อดูเหมือนทุกอย่างจะปกติดี เขาก็เริ่มโล่งใจขึ้นเล็กน้อย แม้จะยังคงสงสัยต้นตอของเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็ตาม
พอเขาเริ่มสบายใจขึ้นเล็กน้อย หมอกมืดก็ปรากฏขึ้นโดยไร้สุ้มเสียง และเข้าห้อมล้อมผืนดินที่เต็มไปด้วยสุสานในทันที หมอกนั้นบางเบาในตอนแรก แต่ไม่กี่ลมหายใจต่อมาก็หนาแน่นขึ้นจนคลุมทั้งพื้นดินและท้องฟ้าของโลกใต้ดินทั้งใบเสียมืดมิด หากมองจากมุมบนจะเห็นว่าโลกทั้งใบได้กลายเป็นทะเลหมอกไปเสียสิ้น!
ภาพนี้ทำให้ผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมตกใจกลัว เขากำลังจะถอยหนี แต่ทันใดนั้นร่างทั้งร่างก็สั่นเทาอย่างไร้การควบคุม ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าเขตแดนที่สุดขอบฟ้านั้นอาบไปด้วยทะเลโลหิตสีแดงฉาน เสี้ยววินาทีต่อมา ดวงจันทร์สีเลือดก็ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า เหมือนหยดเลือดดวงใหญ่ที่สาดกระเซ็นลงไป
ดวงจันทร์สีเลือดปล่อยไอน่าขนลุกออกมา เสียงกระซิบแผ่วเบาสะท้อนก้องอยู่รอบกายท่ามกลางหมอกหนาจนมองสิ่งใดไม่เห็น
ชายหน้าเหลี่ยมพยายามฟังว่าเสียงกระซิบนั้นต้องการบอกสิ่งใด แต่ฟังอย่างไรก็ไม่ได้ศัพท์ หัวใจเยือกแข็งด้วยความกลัวจับจิต ใบหน้าซีดเผือดเหมือนกระดาษขาว เขาระเบิดพลังปราณออกในทันใด เกล็ดสีม่วงบนร่างทั้งเก้าเกล็ดส่องแสงสว่างเจิดจ้าออกมา เหมือนไฟแห่งความกล้าท่ามกลางหมอกมืดแห่งความตาย เขาตะโกนลั่น “ผู้ใดกัน ผู้ใดพยายามทำให้ข้าตกใจกลัว”
ผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมรูม่านตาหดแคบขณะส่งเสียงออกไป เขาเห็นเค้าโครงของเรือเดียวดายลำหนึ่งในหมอกหนา เรือนั้นมีผู้โดยสารนั่งอยู่หนึ่งคน ชายผู้นั้นสวมชุดคลุมสีดำสนิท ถือไม้พายตะเกียงส่องมาเบื้องหน้า โครงร่างของชายผู้นั้นพร่าเลือนด้วยหมอกที่ปกคลุม แต่ความกลัวจับจิตก็ยังเข้าเกาะกุมจิตใจของผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมไม่รู้คลาย
ราวกับว่า… เป็นความรู้สึกเกรงกลัวตามสัญชาตญาณที่ส่งออกมาจากก้นบึ้งของวิญญาณ ความกลัวนั้นเข้าผสมปนเปกับเลือดที่ไหลเวียนทั่วร่าง เป็นเหมือนมรดกทางสายเลือดที่ถ่ายทอด จากบรรพบุรุษเมื่อครั้งโบราณกาลมายังรุ่นสู่รุน เขารู้สึกกลัวภาพตรงหน้า ภาพของชายบนเรือเดียวดายในชุดคลุมสีดำ พร้อมตะเกียงในมือจับใจ!
ความรู้สึกนี้เหมือนกับคราที่ปุถุชนคนธรรมดาเห็นเทพเจ้าแห่งความตายผุดขึ้นจากโลกมรณะใต้ดินมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า!
ภาพนี้ทำให้เขาตัวสั่นเทา แต่กระนั้นเขาก็ยังเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ เขาเห็นความตายมามาก และคร่าศัตรูด้วยน้ำมือของตนเองมามากเช่นกัน ดวงตาของชายหน้าเหลี่ยมแดงก่ำด้วยความหวาดผวา เขารู้ดีว่านี่คือเสี้ยววินาทีชี้เป็นชี้ตายสำหรับตัวเขา จึงคำรามก้องพร้อมกระโจนเข้าใส่เรือน้อยลำนั้น ชายหน้าเหลี่ยมสร้างผนึกฝ่ามือมากมาย เกล็ดทั้งเก้าบนร่างระเบิดลำแสงออก ลำแสงเจิดจ้าทั้งเก้าพุ่งไปข้างหน้า หมายทำลายเรือลำนั้นให้สิ้นซาก!
ลำแสงทั้งเก้าพุ่งเข้าปะทะเรือเดียวดายในหมอกมืด แต่เรือลำนั้นกลับเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ลำแสงนั้นพุ่งผ่านภาพเรือมายาไปปะทะพื้นดินที่อยู่ไกลในหมอก พร้อมเสียงระเบิดดังกัมปนาท
ความกลัวพุ่งเข้าเกาะกุมหัวใจของชายหน้าเหลี่ยมอีกครั้ง หน้าของเขาถอดสี ก่อนรีบถอยหลังหนีในทันที
ตอนที่เขากำลังจะเผ่นหนีไปนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น เอ่ยคำพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ใบหน้าซากศพ!”
บทที่ 465 กระจกแห่งความมืด
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อไม่สนใจชายหน้าเหลี่ยมที่กำลังหนี เนื่องจากรู้ดีว่าหนีอย่างไรก็ไม่มีวันพ้น สีหน้าของชายหนุ่มนิ่งขึงไม่เปลี่ยนแปลงขณะเอ่ยคำพูดออกมาอย่างแผ่วเบา ใบหน้าซากศพ!
ทันทีที่เอ่ยจบ หมอกหนาที่ปกคลุมทั่วบริเวณก็หมุนวนอย่างบ้าคลั่งพร้อมเสียงหวีดหวิว ก่อนระเบิดขึ้นอย่างฉับพลัน กระจายออกเป็นวงกว้างไปทั่วบริเวณ เผยให้เห็นผืนดินที่ก่อนหน้านี้บดบังไว้ด้วยทะเลหมอก
ทว่า… ผืนดินที่โผล่ออกมาให้เห็นนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่เต็มไปด้วยสุสานอีกต่อไป หากแต่เป็นพื้นเรียบมันวับราวกระจก!
ขอบเขตของกระจกนั้นขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนตามชายหน้าเหลี่ยมที่กำลังเผ่นหนีทันในที่สุด สีหน้าของเขาอาบด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ ดวงตาแดงฉานจนกลายเป็นสีแดงเลือด
สัญชาตญาณบอกเขาว่า หากเขาติดอยู่ในกระจกนี้แล้วละก็ ชีวิต… คงจบสิ้นเป็นแน่แท้!
ดวงตาของผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมวาบด้วยแววความบ้าคลั่ง เขาไม่ลังเลที่จะระเบิดเกล็ดของตนเองทิ้งในทันที
เสียงระเบิดดังออกมาจากร่างของชายหน้าเหลี่ยมต่อเนื่องเหมือนประทัด ระเบิดแต่ละครั้งมาพร้อมเกล็ดที่แตกกระจุยกลายเป็นหมอกสีเลือดที่พวยพุ่ง หมอกนั้นถูกดูดเข้าไปในร่างของเขา ผ่านตา หู จมูก และปาก ราวกับกำลังซึมซับเอาพลังชีวิตของตนเองเข้าไป ความเร็วในการหนีพุ่งสูงขึ้นอีก
ชายหน้าเหลี่ยมใช้ทุกอย่างที่มีในการหนีเหมือนคนเสียสติ แต่ก็ไร้ประโยชน์!
หากมองจากด้านบนจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า โลกใต้ดินในบริเวณนี้ทั้งหมดได้ราบเรียบกลายเป็นกระจกไปหมดแล้ว!
ไม่ใช่เพียงพื้นดินเท่านั้น แต่เป็นทุกหย่อมหญ้าเลยทีเดียวที่กลายสภาพเป็นกระจก ทั้งท้องฟ้าและผืนดินกลายเป็นผิวหน้าของกระจก ส่วนระยะทางระหว่างท้องฟ้ากับพื้นดินก็กลายเป็นกระจกหนา!
ผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมที่กำลังตกใจกลัวพยายามหนีออกจากโลกกระจก แต่ไม่ว่าจะหนีไปทางใด ก็กลับเห็นร่างของตนสะท้อนกลับมาจึงหนีไปไหนไม่ได้ เป็นเพราะว่าเขา… ติดอยู่ในกับดักกระจกเสียแล้ว!
นี่คือพลังอำนาจที่หวังเป่าเล่อมี พลังอำนาจของวัตถุเวทแห่งความมืดที่ยังไม่สมบูรณ์ หลังจากที่เขาประทับตราวิญญาณวุธเรียบร้อย และรวมดวงวิญญาณทั้งสามดวงเข้ากับวงแหวนปราณของตน หวังเป่าเล่อก็สามารถเปลี่ยนโลกใต้ดินทั้งใบให้กลายเป็นโลกแห่งกระจกได้! กระจกนี้หน้าตาเหมือนกระจกแห่งความมืดที่หวังเป่าเล่อเคยใช้ฝึกวิชาใบหน้าซากศพในนิมิตมืด!
หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่ความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง แสงสีดำพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขา เจาะผ่านความมืด และตกกระทบบนกระจก ก่อนจะกลายเป็นปลายพู่กันที่ตวัดด้วยฝีแปรงแผ่วเบา!
เหมือนในนิมิตมืดที่หวังเป่าเล่อวาดใบหน้าในภพหน้าของดวงวิญญาณแต่ละดวง ฝีแปรงนั้นตวัดลงบนใบหน้าของผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยม ทำให้ร่างของเขาสั่นเทิ้ม ดวงตาเบิกโพลง เขารู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่รุนแรงแต่มองไม่เห็น ราวกับเป็นตัวแทนของชะตาชีวิตและกฎของสวรรค์และโลกที่จองจำเขาไว้ พลังยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดที่ปุถุชนอย่างเขาต้านทานไม่ได้
ชายหน้าเหลี่ยมรู้สึกถึงลมที่กรรโชกผ่านหน้าพร้อมเสียงคำราม เมื่อลมนั้นพัดจากไป ดวงตาของเขาก็ไม่อยู่บนใบหน้าอีกต่อไป!
“ศิษย์พี่ ได้โปรด ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ฟังข้าก่อนเถิด ข้าอธิบายได้…” ชายผู้นั้นกรีดร้องเสียงหลงด้วยความหวาดกลัวจับจิต หัวใจแข็งเป็นน้ำแข็งด้วยความพรั่นพรึง ภาพที่เคยมองเห็นหายไปกลายเป็นความมืดดำสนิท ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาทำให้เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่านี่เป็นการโจมตีจากตัวตนที่มองไม่เห็นภายในวัตถุเวทแห่งความมืด เขาจึงรีบร้องขอชีวิตในทันที
แต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนเท่าใด พลังอำนาจเหนือโลกนี้ก็ไม่หยุดสำแดงเดช หวังเป่าเล่อตวัดพู่กันวาดอีกครั้งอย่างช่ำชอง จมูก หู และปากของชายหน้าเหลี่ยมหายวับไปในทันที ทิ้งให้เขาบื้อใบ้ พร้อมร่างกายที่สั่นเทิ้ม
ตอนนั้นเองเมื่อหวังเป่าเล่อตวัดพู่กันเป็นครั้งที่สาม ความเจ็บแปลบที่กรีดเข้าขั้วหัวใจและดวงวิญญาณก็ปรากฏขึ้นในดวงจิตของชายหน้าเหลี่ยม เขาร้องตะโกนไม่ได้ จึงทำให้เพียงเงียบขณะที่ร่างเขาถูกกระชากด้วยแรงมหาศาล ทำให้ร่างที่ผ่ายผอมอ่อนแอกลายเป็นร่างอ้วนกลมสมบูรณ์!
หวังเป่าเล่อบรรลุวิชาใบหน้าซากศพโดยสมบูรณ์ เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของชายตรงหน้าไปอย่างสิ้นเชิงด้วยการสะบัดปลายพู่กันเพียงไม่กี่ครั้ง ร่างของชายผู้เคราะห์ร้ายกลายเป็นก้อนเนื้อบวมใหญ่ ใบหน้าราบเรียบไร้เครื่องหน้า เหมือนกระดานดำว่างเปล่าที่รอให้จรดปลายดินสอ
ทว่าเครื่องหน้าอ้วนกลมก็ปรากฏขึ้นบนกระดานดำในอึดใจต่อมาเมื่อหวังเป่าเล่อเริ่มลงมือวาด ทำให้ชายผู้เคราะห์ร้ายกลับมาส่งเสียงกรีดร้องได้อีกครั้ง เขามองเห็นแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้นรอบตัวบ้าง
ชายหนุ่มรู้แล้วว่าประสบการณ์แห่งความเจ็บป่วยของตนเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น และไม่มีทีท่าว่าจะจบลงเร็วๆ นี้ เขาได้ยินเสียงพ่นลมด้วยความไม่พอใจ ก่อนเครื่องหน้าของตนจะหายไปอีกครั้ง มีใบหน้าใหม่เข้ามาแทนที่
แต่หวังเป่าเล่อเจ้าของปลายพู่กันก็ยังไม่พอใจอยู่ดี เขารู้สึกว่าตนเองวาดชายตรงหน้าออกมาหล่อเกินไป เขาโบกมืออีกครั้งเพื่อลบเครื่องหน้าออก และเริ่มต้นวาดใหม่อีกครั้ง หวังเป่าเล่อวาดอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งชายหน้าเหลี่ยมต้องพบกับความรู้สึกเจ็บปวดชนิดกระชากวิญญาณ ในที่สุดเขาก็ไม่เหลือแรงกรีดร้องอีกต่อไป ร่างกายของเขาอ่อนแรง แววตาท่วมท้นด้วยความความพรั่นพรึงและสิ้นหวัง
“ข้าไม่ได้วาดมาสักพัก สนิมเกาะเสียแล้ว…” หวังเป่าเล่อพูดอย่างหัวเสีย เมื่อผลงานออกมาไม่ได้ดั่งใจหลายต่อหลายครั้ง เขายกมือขวาขึ้นโบกอีกครั้ง เสียงปริแตกดังออกมา พร้อมกระจกที่สลายลงด้วยแรงปะทะมหาศาล!
กระจกนั้นแตกละเอียด และร่างของชายหน้าเหลี่ยมที่ติดอยู่ข้างในก็สลายเป็นชิ้นๆ ไปเช่นกัน!
หลังจากที่ลองอยู่หลายต่อหลายครั้ง หวังเป่าเล่อก็ถอนใจด้วยความเสียดาย เขาเอื้อมมือไปในอากาศ จากนั้นกระเป๋าคลังเก็บของพร้อมเกล็ดที่เหลืออยู่ของชายหน้าเหลี่ยมก็ปรากฏขึ้นในมือ และหวังเป่าเล่อก็หายตัวไปพร้อมเรือสำปั้นที่อยู่ใต้เท้า
เมื่อชายหนุ่มจากไปเรียบร้อย โลกใต้ดินส่วนนี้ก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง สุสานที่กระจายตัวอยู่ถ้วนทั่วคืนกลับสภาพเดิม ดวงจันทร์สีเลือดบนฟากฟ้าหายไป ทุกอย่างกลับคืนสภาพที่เคยเป็นในที่สุด!
ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณจากนอกโลกสามคนตายไปแล้วหนึ่ง!
ระหว่างนั้นที่ชั้นหนึ่งของโลกใต้ดิน ผู้ฝึกตนหน้าม้ากำลังเผ่นหนีด้วยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนหน้านี้เขายังอยู่ที่ชั้นสองของโลกใต้ดิน พยายามทลายจุดที่บอบบางที่สุดของโลกนี้กับสหายเพื่อหาทางออก ต่อมาหัวศพผียักษ์ก็ผุดขึ้นมาจากพื้น กลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว
ขณะที่สายตาเริ่มพร่าเลือน เขาคิดว่าตนเองคงจบชีวิตลงเพียงเท่านี้แล้ว แต่เมื่อกลับมามองเห็นอีกครั้ง ชายหน้าม้าก็พบว่าตนเองถูกส่งมาที่ชั้นแรกของโลกใต้ดินเสียได้ ความคิดของเขาปนเปยุ่งเหยิงด้วยความสงสัยเคลือบแคลง ก่อนสรุปได้เช่นเดียวกับชายหน้าเหลี่ยมว่าตนคงเผลอไปโดนกับดักของโลกใต้ดินเข้าโดยไม่รู้ตัว
ข้าต้องกลับไปรวมพลกับอีกสองคนที่เหลือให้เร็วที่สุด! ชายหน้าม้ามีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งเปลี่ยนไปในโลกใต้ดินแห่งนี้ แต่ก็ยังไม่ทราบว่าคือสิ่งใดกันแน่
เขาพยายามติดต่ออีกสองคนที่เหลือผ่านแหวนสื่อสาร แต่พยายามเท่าใดก็ทำไม่ได้เสียที เขาทำแม้กระทั่งใช้คัมภีร์เวทที่ใช้ติดต่อกันเองภายในมิติ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ นี่ยิ่งทำให้เขาตระหนกขึ้นไปอีก
ข้าจะมามัวตามหาพวกนั้นไม่ได้ ต้องรีบพาตัวเองออกไปจากนรกนี่ให้เร็วที่สุด ข้าจะไปรอพวกนั้นข้างนอกก็แล้วกัน! ชายหน้าม้าหายใจเข้าลึก ตัดสินใจเด็ดขาดได้ในที่สุด เขากำลังจะมุ่งหน้าหาทางออก แต่โลกใต้ดินที่เขาอยู่ก็แปรเปลี่ยนไปเสียก่อน!
หมู่เกาะมากมายที่สร้างจากกองกระดูกซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วทะเลวิญญาณเริ่มสั่นไหว ก่อนระเบิดพร้อมเสียงกึกก้องสะท้านฟ้า ชายหน้าม้าตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นล้นพ้น เขาเห็นกับตาตนเองว่ากระดูกมากมายลอยขึ้นไปบนฟ้าด้วยผลจากแรงระเบิดนั้น
ผืนฟ้าเต็มไปด้วยกระดูกมากมายนับไม่ถ้วน!
นี่… นี่มัน… ชายหน้าม้านิ่งอึ้งอยู่กับที่ สีหน้าอาบด้วยความตื่นตกใจ เมื่อเห็นกระดูกบนฟ้าเหล่านั้นเริ่มประกอบกันเป็นร่าง!
ในไม่กี่วินาที กระดูกนั้นก็ร่วมร่างกันเป็นนิ้วกระดูกผียักษ์ มันมีขนาดใหญ่มหึมาจนบดบังท้องฟ้าไปกว่าหนึ่งในสิบ เป็นภาพที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง!
นิ้วที่สองปรากฏขึ้นตามมา ต่อด้วยนิ้วที่สาม… จนกระทั่งท้ายที่สุดแล้วมีนิ้วห้านิ้วอยู่บนฟ้า กระดูกที่เหลือรวมร่างกันเพื่ออเชื่อมนิ้วทั้งห้าให้กลายเป็นฝ่ามือกระดูกยักษ์!
นิ้วกระดูกยักษ์ทั้งห้างอลงจนกลายเป็นกำปั้นที่บดบังท้องฟ้าจนมืดมิด… กำปั้นนั้นสร้างจากกระดูกล้วนๆ !
อะไรกันนี่! ชายหน้าม้าขนลุกด้วยความพรั่นพรึง เขารู้สึกได้ถึงไอของความตายที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ จึงรีบถอยหนีทันทีด้วยทุกวิธีที่สรรหามาได้ หัวใจเย็นเยียบด้วยความสยองขวัญสุดขีด!
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ขณะที่ชายหน้าม้ากำลังหนีเอาชีวิตรอด ทะเลวิญญาณก็พลันปั่นป่วนบ้าคลั่ง ดวงวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่มือกระดูกยักษ์อย่างบ้าคลั่ง ห่อหุ้มมือนั้นเอาไว้ก่อนก่อร่างเป็นเลือดเนื้อ!
เมื่อดวงวิญญาณทั้งหลายหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมือกระดูกยักษ์ เนื้อหนังทั้งหลายก็ปรากฏออกมาด้วยความรวดเร็ว เลือดของมันเป็นสีดำ เนื้อเป็นสีเขียว และหนังก็เต็มไปด้วยผนึกสีเขียวเช่นกัน!
ภายในพริบตาเดียว มหาสมุทรวิญญาณก็เหือดแห้ง มือเขียวเป็นสิ่งเดียวที่โลกใต้ดินชั้นนี้เหลืออยู่ และกินพื้นที่ไปทั้งหมด!
หมัดยักษ์… พุ่งเข้าโจมตีชายหน้าม้า ผู้ที่ใบหน้าอาบด้วยความหวาดผวาจับขั้วหัวใจ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น