ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 463-469

 ตอนที่ 463 อวี้ชิง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หญิงสาวที่ดูเหมือนไร้ที่ติผู้นี้ ก็เป็นผู้ฝึกฝนที่ไว้ผมเช่นกัน


พอคำพูดนี้ดังออกมา ผู้คนในพรรคฉางเฟิงต่างก็รู้สึกตกใจมาก แม้แต่นักพรตแซ่สือก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน


“ที่แท้ก็เป็นคนของสำนักเสียงมหัศจรรย์ ข้าว่าอยู่ทำไมถึงหาต้อตอเสียงของสหายไม่เจอ วิชาหมื่นเงียบวังเวงของสำนักท่านล้ำลึกจริงๆ” น้ำเสียงที่ดูตื่นตะลึงเล็กน้อยดังเข้ามา


เงาร่างชายชุดดำปรากฏขึ้นมาบนอากาศทางด้านพรรคฉางเฟิง


ชายผู้นี้มีอายุราวๆ สี่สิบปี ใบหน้าซีดขาวผิดปกติ ริมปีปากค่อยๆ เปล่งแสงสีม่วงแวววาว แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก


พอเฟิงจ้านเห็นคนผู้นี้ เขาก็รีบเข้าไปคารวะด้วยความดีใจ


พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจสั่นสะท้าน เขาไม่อาจคาดเดาระดับการฝึกฝนของชายชุดดำผู้นี้ได้ เกรงว่าคงอยู่ในระดับแก่นแท้เช่นกัน


นักพรตแซ่สือกับหญิงงดงามแซ่เซียวสบตากันทีหนึ่ง จากนั้นก็สงบปากสงบคำด้วยใบหน้าซีดขาว เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ในนิกายห้าวิญญาณที่มีประวัติหมื่นปีเช่นนี้ ไหนเลยจะมีที่พูดคุยสำหรับพวกเขา


“ข้าเซวียคุ่ย เป็นผู้อาวุโสสาขาย่อยของนิกายห้าวิญญาณชั่วคราว คิดว่าท่านคงเป็นสหายอวี้ชิงสินะ! ข้าได้ยินชื่อเสียงท่านมานานแล้ว” ชายชุดดำค่อยๆ ประสานมือคารวะ น้ำเสียงไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ


“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสเซวีย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาเกาะเล็กๆ แห่งนี้ของทะเลหนานไห่ทำไมกัน?” อวี้ชิงซือไท่คารวะกลับแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“ฮ่าๆ สำนักเสียงมหัศจรรย์มาที่นี่ได้ ข้านิกายห้าวิญญาณทำไมจะมาไม่ได้ล่ะ? ข้าจะไม่พูดคลุมเรือ ประมุขพรรคฉางเฟิงได้มอบสายแร่หยกที่มีวัสดุจิตวิญญาณแฝงอยู่แห่งนี้ ให้กับนิกายห้าวิญญาณแล้ว และยังเข้าร่วมสาขาของนิกายห้าวิญญาณเราด้วย ตอนนี้มีสถานะเป็นผู้ดำเนินการคนหนึ่ง ที่ข้ามาในครั้งนี้ ก็แค่มาตรวจสอบดูสายแร่ของนิกายเท่านั้น” ชายชุดดำหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา


พอคำพูดนี้ออกจากปาก ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็พากันฮือฮาขึ้นมา เพียงแต่เกรงกลัวผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งสอง ถึงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อะไรออกมามากนัก


“สหายกล่าวไม่ถูกต้อง สายแร่หินหยกแห่งนี้เป็นแหล่งแร่ของทะเลหนานไห่ เดิมทีก็ไม่ได้เป็นของพรรคฉางเฟิงเพียงผู้เดียวแต่อย่างใด นิกายวิหคสวรรค์ย่อมมีส่วนแบ่งบ้าง และอารามชิงสุ่ยก็เป็นเบื้องบนของนิกายนี้ ซึ่งเป็นสาขาย่อยของสำนักเสียงมหัศจรรย์เราในเขตทะเลหนานไห่ สายแร่นี้แห่งนี้จะยอมให้คนอื่นได้อย่างไร?” หญิงชุดขาวขมวดคิ้ว และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละประโยคๆ


พอคำพูดนี้ดังออกมา นักพรตแซ่สือกับหญิงแซ่เซียวก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นกว่าเดิม


แม้อารามจื่อเซียวกับหอเทียนเซียงจะรู้ว่าอารามชิงสุ่ยมีคนหนุนหลังอยู่ในแผ่นดินจงเทียน และรู้ลางๆ ว่าเป็นสำนักเสียงมหัศจรรย์ แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ถึงขั้นนี้


สำนักเสียงมหัศจรรย์กับนิกายห้าวิญญาณ ต่างก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลที่มีประวัติมานับหมื่นปี


ขณะนี้ นักพรตแซ่สือกับหญิงงดงามแซ่เซียว ต่างก็แสดงสีหน้าขมขื่นออกมา ดูท่าสายแร่หินหยกแห่งนี้ พวกเขาคงไม่มีหวังได้ส่วนแบ่งเลยแม้แต่น้อย


“สหายอวี้ชิง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้น้อยที่อยู่ด้านล่างได้ทำการตกลงโดยใช้เดิมพันการต่อสู้มาตัดสินมิใช่หรือ ตอนนี้พรรคฉางเฟิงได้รับชัยชนะแล้ว นิกายวิหคสวรรค์ยังจะมีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งสายแร่อีกหรือ?” ชายชุดดำส่ายหน้ากล่าวเบาๆ สีหน้าของเขายังคงสงบเช่นเดิม


“เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ผู้น้อยคิดเอาเองทั้งนั้น ไหนเลยจะนำมากล่าวอ้างได้จริงๆ จะว่าไปแล้วที่พรรคฉางเฟิงเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของนิกายห้าวิญญาณหรอกนะ?” อวี้ชิงซือไท่จ้องมองนักพรตแซ่สือที่อยู่ด้านล่างทีหนึ่ง และกล่าวออกมา


นักพรตแซ่สือได้ยินเช่นนี้ ก็ก้มหน้าลงไปทันที เหงื่อเย็นผุดออกมาเต็มใบหน้า


“นี่……” ชายชุดดำสะอึกไปทันที คำพูดนี้ดูเหมือนจะสะกิดจุดอ่อนของเขา ที่พรรคฉางเฟิงแย่งชิงสายแร่แห่งนี้ มีอารามจื่อเซียวคอยหนุนหลังอย่างเปิดเผย แม้ว่ากลุ่มอิทธิพลเล็กๆ อย่างอารามจื่อเซียว จะไม่เข้าตาชายชุดดำเลยแม้แต่น้อย แต่เบื้องหลังของอารามจื่อเซียวก็มีกลุ่มอิทธิพลหนุนหลังอยู่ หากเรื่องนี้ยืดเยื้อนานเข้าจนคนเหล่านั้นรู้ล่ะก็ เกรงว่าเรื่องมันคงไม่ง่าย


“เว่ยจ้ง ศิษย์นิกายข้าก็เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ ทำไมจะไม่ใช่ตัวแทนของนิกายห้าวิญญาณเรา?” ชายชุดดำเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา


“เฮ่อๆ! หรือว่าเมื่อครู่ข้าจะดูผิดไป? ดูเหมือนว่าศิษย์ของเจ้าผู้นั้น จะพ่ายแพ้ให้กับศิษย์นิกายวิหคสวรรค์มิใช่หรือ?” หญิงชุดขาวหัวเราะๆ และมองชายชุดดำด้วยแววตาเย้ยหยัน


ชายชุดดำค่อยๆ หน้าแดงขึ้นมา แต่อย่างไรซะเขาก็เป็นผู้ที่ผ่านโลกมาไม่น้อย สีหน้าจึงกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


“สหายเซวีย ในเมื่อสายแร่แห่งนี้อยู่ในอาณาเขตของพรรคฉางเฟิงกับนิกายวิหคสวรรค์ ข้ากับเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงแต่อย่างใด แหล่งแร่ระดับสุดยอดแห่งนี้ ไม่คุ้มค่าที่พวกเราทั้งสองจะต้องมาฉีกหน้ากัน ไม่สู้พวกเราต่างก็ถอยออกมาคนละก้าว และแบ่งสายแร่แห่งนี้เท่าๆ กันดีไหม?” อวี้ชิงซือไท่ถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา


ชายชุดดำฟังจบก็คิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว หลังจากคิดชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียแล้ว ก็พยักหน้ากล่าว


“ในเมื่อสหายอวี้ชิงกล่าวเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่อาจหักหน้าท่านได้ ดี! ทำตามที่สหายกล่าว!”


“เช่นนี้ก็ดี” อวี้ชิงซือไท่ได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมาในที่สุด


ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งสองแบ่งสายแร่หินหยกระดับสุดยอดแห่งนี้อย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่กล่าวถึงอารามจื่อเซียวเลยแม้แต่น้อย


แม้นักพรตแต่สือจะรู้สึกหงุดหงิดมาก แต่ก็ยังคงแสดงใบหน้ายิ้มแย้มออกมา และไม่กล้าแสดงสีหน้าไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย


ต่อมา ทั้งสองก็ทำการต่อรองพื้นที่ส่วนใหญ่กับเรื่องการขุดเจาะไปหนึ่งรอบ ส่วนรายละเอียดนั้น ก็มอบให้นิกายวิหคสวรรค์กับพรรคฉางเฟิงไปจัดการ


เมื่อทั้งสองเจรจากันเสร็จแล้ว เซวียคุ่ยกับอวี้ชิงซือไท่ก็ละสายตามามองหลิ่วหมิงที่อยู่ใจกลางค่ายกลพร้อมกัน


“ไม่ทราบว่าสหายน้อยผู้นี้มีนามว่าอย่างไร มีความสัมพันธ์อันใดกับนิกายยอดบริสุทธิ์? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ วิชาที่สหายน้อยแสดงเมื่อครู่ เป็นวิชาสายปีศาจที่ศิษย์ในนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติฝึกได้ มันคือเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬใช่หรือไม่?” อวี้ชิงซือไท่เผยรอยยิ้มออกมา และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


ชายชุดดำนิกายห้าวิญญาณก็กำลังสังเกตดูหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด


พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา


เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะได้เจอกับคนที่รู้จักเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬในสถานที่แห่งนี้ และเจอพร้อมกันถึงสองคน ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ด้วย เขาจึงได้แต่ร้องทุกข์อยู่ในใจไม่หยุด


ตามคำพูดที่จิตของปรมาจารย์ลิ่วยินได้ทิ้งไว้ในห้องจิตรับรู้ในปีนั้น เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ต่างก็เป็นคัมภีร์ที่ไม่ธรรมดาของนิกายยอดบริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างแรก ดูเหมือนศิษย์ทั่วไปในนิกายยอดบริสุทธิ์ก็ไม่อาจฝึกฝนได้


ดูจากคำพูดของคนตรงหน้าในวันนี้ เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬก็เป็นเคล็ดวิชาลับของนิกายยอดบริสุทธิ์ ทั้งยังดูเหมือนจะมีชื่อเสียงมาก เมื่อครู่ตนเองใช้เงามังกรพยัคฆ์เพียงเล็กน้อย ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามจำได้ทันที


และเขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าทั้งสอง มีความสัมพันธ์อันใดกับนิกายยอดบริสุทธิ์กันแน่ หากพูดผิดไปหนึ่งประโยค อาจจะสร้างภัยร้ายให้ตนเองก็เป็นได้


หลิ่วหมิงรู้สึกลังเลขึ้นมาทันที เม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดออกมาบนหน้าผากอย่างรวดเร็ว


“เจ้าไม่ต้องกลัวอะไร ความจริงแล้วสำนักเสียงมหัศจรรย์ของเรา ก็นับว่าเป็นหนึ่งในสำนักย่อยของนิกายยอดบริสุทธิ์ หากเจ้ามีสัมพันธ์อันลึกล้ำกับนิกายยอดบริสุทธิ์จริงๆ ข้าย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอย่างแน่นอน แต่หากที่มาของวิชาที่เจ้าฝึกฝนมีปัญหาล่ะก็ ข้าเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่คุมกฎของสำนักเสียงมหัศจรรย์ จะไม่ยอมให้เจ้าจากไปง่ายๆ มิใช่นั้นพอนิกายยอดบริสุทธิ์ทราบเรื่องนี้แล้วคาดโทษลงมา ข้าก็คงหนีไม่พ้น” ดูเหมือนอวี้ชิงซือไท่จะสังเกตเห็นอาการลังเลของหลิ่วหมิง ถึงกล่าวออกมาเช่นนี้


หลิ่วหมิงยังคงเงียบกริบเช่นเดิม หญิงชุดขาวจึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“เจ้าไม่ต้องลังเลอะไร และก็ไม่ต้องคิดปิดบังด้วย คำพูดที่เจ้าพูดออกมา ข้าย่อมมีวิธีแยกแยะเท็จจริง ต่อให้เจ้าจะไม่ยอมพูดออกมา ข้าก็มีหลากหลายวิธีที่จะทำให้เจ้าพูดออกมาอย่างง่ายดาย”


คำพูดนี้ย่อมทำให้สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที


“ดูจากท่าทีของเจ้าแล้ว คงไม่ใช่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่แท้จริง ที่สหายอวี้ชิงกล่าวไว้ไม่มีผิด แม้ว่ากลุ่มอิทธิพลอย่างพวกเราจะนับว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่มีประวัติมานับหมื่นปี แต่เมื่อเทียบกับหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ของมนุษย์อย่างนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว กลับไม่อาจเทียบได้ แต่เจ้าก็อย่าได้กังวลไป หากเจ้ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านใด มีเหตุผลพิเศษอะไรถึงได้รับถ่ายทอดวิชานี้ล่ะก็ คงไม่มีปัญหาอะไรมาก และอาจจะได้เข้าร่วมนิกายยอดบริสุทธิ์ก็เป็นได้ แต่หากเจ้าใช้วิธีที่ผิดทำนองคลองธรรม วางแผนเอาวิชามาจากศิษย์ในนิกายยอดบริสุทธิ์ล่ะก็ ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยเช่นกัน ที่คุมขังของนิกายยอดบริสุทธิ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถพบเห็นได้” ชายชุดดำพูดราวกับยั่วเย้าไปสองสามประโยค จากนั้นก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น


พอหญิงแซ่เซียวจากหอเทียนเซียง นักพรตแซ่สือจากอารามจื่อเซียว และคนอื่นๆ ได้ยินว่าหลิ่วหมิงมีความเกี่ยวพันกับนิกายยอดบริสุทธิ์ พวกเขาต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง


และนักพรตแซ่สือก็นึกได้ในฉับพลัน!


ในที่สุดเขาก็นึกได้ว่า เงามังกรพยัคฆ์บนตัวหลิ่วหมิงเมื่อครู่ เขาเคยพบเจอบนตัวศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ในแผ่นดินจงเทียนครั้งหนึ่ง


แต่ดูเหมือนว่าเงาร่างที่คนผู้นั้นแสดงออกมา จะแตกต่างกับหลิ่วหมิงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำไม่ได้ในตอนแรก


ตู๋กูอวี้ เฟิงจ้าน และคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าตื่นเต้นมาก


ซินหยวนก็ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง


สำหรับเขาแล้ว กลุ่มอิทธิพลระดับพรรคฉางเฟิง ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มในเขตทะเลหนานไห่เลย แต่กลับสังกัดอยู่แค่หนึ่งในสิบกลุ่มอิทธิพลใหญ่ของทะเลหนานไห่เท่านั้น


และอารามชิงสุ่ยที่เป็นหนึ่งในสิบกลุ่มอิทธิพลใหญ่ในทะเลหนานไห่ กลับเป็นแค่หนึ่งในสาขาของสำนักเสียงมหัศจรรย์ในแผ่นดินจงเทียนที่มีประวัติมานับหมื่นปี และสำนักเสียงมหัศจรรย์เองกลับเป็นแค่สำนักย่อยของนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้น ถ้าอย่างนั้นนิกายยอดบริสุทธิ์ที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่จะเป็นอย่างไร เขาก็ไม่อาจจินตนาการออกมาได้


“ดี! ในเมื่อซือไท่กับนิกายยอดบริสุทธิ์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ข้าก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้มาจากผู้อาวุโสท่านหนึ่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่มีผิด และสถานะของผู้อาวุโสท่านนี้ก็ค่อนข้างพิเศษมาก” หลิ่วหมิงครุ่นคิดไปมาหลายตลบ เขารู้แก่ใจว่าไม่อาจพูดแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปได้ จึงได้แต่กัดฟันตอบกลับไป


“ดีมาก! สหายทุกท่าน สหายหลิ่วผู้นี้อาจมีที่มาเกี่ยวพันกับนิกายยอดบริสุทธิ์ หวังว่าทุกท่านจะหลบเลี่ยงเล็กน้อย” อวี้ชิงซือไท่ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า ทันใดนั้นก็กล่าวกับคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าสงบ


พอได้ยินเช่นนี้ แม้แต่เซวียคุ่ยเองก็ต้องพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และหมุนตัวจากไป


คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไรออกมา พวกเขาต่างพากันทะยานขึ้นฟ้าเพื่อหลบไปไกลๆ


แต่ก่อนซินหยวนจะไป ก็มองหลิ่วหมิงด้วยความเป็นห่วง จากนั้นถึงจำใจจากไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง


ส่วนเจียหลานนั้น ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนไปก็มองดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าสงสัยแปลกๆ


ตอนที่ 464 คลังสมบัติ

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอเห็นว่าทุกคนไปไกลแล้ว อวี้ชิงซือไท่ก็กางแขนเสื้อทั้งสองข้างออก จากนั้นค่ายกลที่มีแสงสีเหลืองอ่อนก็ปรากฏออกมา และปกคลุมพื้นที่ในระยะสิบกว่าจั้งไว้


“เอาล่ะ! ตอนนี้ข้าได้วางชั้นจำกัดไว้แล้ว พื้นที่บริเวณรอบๆ นี้ไม่มีคนอื่นอีก เจ้ามีอะไรก็พูดมาได้เลย” อวี้ชิงซือไท่กล่าวอย่างราบเรียบ


ตอนนั้นหลิ่วหมิงก็ไม่ได้ปิดบังอะไร เขาเล่าเรื่องที่ปรมาจารย์ลิ่วยินซัดเซพเนจรมายังเขตทะเลชังไห่ และก่อตั้งนิกายปีศาจในปีนั้นออกมา แต่สุดท้ายเป็นเพราะระยะทางยาวไกล จึงไม่สามารถกลับแผ่นดินจงเทียนได้ และได้แต่นั่งละสังขารบนเกาะอวิ๋นชวน


แน่นอนว่าเรื่องจิตรับรู้ที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ กับเรื่องคัมภีร์สองเล่มที่เขาได้มาจากกำแพงเก็บเงา ต่างก็ถูกเล่าออกมาจนหมด


สิ่งเดียวที่เขาปิดบังก็คือตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่ปรมาจารย์ลิ่วยินมอบหมายให้ในปีนั้น มิใช่นั้นคงไม่อาจอธิบายเรื่องฟองอากาศลึกลับได้


และเรื่องเกี่ยวกับฟองอากาศลึกลับ หลิ่วหมิงย่อมไม่เปิดเผยให้คนนอกรับรู้เลยแม้แต่น้อย


อวี้ชิงซือไท่ฟังจบ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้


คำพูดหลิ่วหมิงดูพิลึกพิลั่นเล็กน้อย หลังจากที่นางเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็หยิบคทาหยกสีเขียวออกมาอันหนึ่ง บนพื้นผิวของมันมีอักขระสีเงินปรากฏขาดๆ หายๆ


พออวี้ชิงเอานิ้วแตะคทาหยก แสงสีขาวก็เปล่งประกายออกมา เงาร่างอสูรน้อยที่ดูคล้ายแมวแต่ไม่ใช่แมวปรากฏออกมาจากปลายคทาหยก


ดวงตาพร่ามัวของอสูรน้อยตัวนี้ เปล่งแสงสลัวออกมาชั่วขณะหนึ่ง หลังจากจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็นแล้ว ก็หดตัวกลับเข้าไปในคทาหยกพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ


เมื่อหลิ่วหมิงถูกอสูรน้อยจ้องมอง ในใจเขาก็รู้สึกเย็นสะท้านแปลกๆ ราวกับว่ามันสามารถรู้ความลับของเขาได้ และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็รับรู้ได้ลางๆ ว่า ศิลาหุนเทียนในทะเลจิตรับรู้ดูเหมือนจะเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


พออวี้ชิงซือไท่ได้ยินเสียงร้องเบาๆ ของอสูรน้อย นางก็สบตาหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ


“ผู้อาวุโสอวี้ชิง ที่ข้าน้อยพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ไม่คิดจะปิดบังท่านเลยแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าเมื่อครู่นั้นคือ……” หลิ่วหมิงรู้สึกถึงไอเย็นแปลกๆ และจิตรับรู้เริ่มเลอะเลือนเล็กน้อย


“ไม่เป็นไร เงาอสูรน้อยเมื่อครู่เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ของอสูรมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งในโลกใบนี้ มันถูกนำมาผนึกไว้ในคทาหยก สามารถใช้แยกแยะคำพูดเท็จจริงของใครก็ได้” หญิงชุดขาวเก็บคทาหยกเข้าไปในแขนเสื้อ และอธิบายอย่างราบเรียบ


หลิ่วหมิงได้ยิน ถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา


“ส่วนเรื่องที่เจ้าพูดมา แม้ข้าจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักเสียงมหัศจรรย์ แต่ก็รู้เรื่องในนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่มาก แต่ก่อนก็ไม่เคยได้ยินชื่อลิ่วยินมาก่อน และเรื่องนี้ก็ค่อนข้างซับซ้อน ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ ตอนนี้ได้แต่พาสหายหลิ่วไปที่นิกายยอดบริสุทธิ์ก่อน เพื่อให้ผู้อาวุโสในนิกายทำการตัดสินใจในเรื่องนี้ ส่วนจะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ก็ขึ้นอยู่กับดวงของเจ้าแล้ว” อวี้ชิงซือไท่กล่าวจบก็พนมมือทั้งสองไว้


หลิ่วหมิงหัวเราะในใจอย่างขมขื่น ไหนเลยเขาจะปฏิเสธเรื่องนี้ได้ จึงได้แต่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น


สามวันต่อมา ภายใต้ห้องโถงใหญ่ของที่ทำการพรรคฉางเฟิง ผู้ดูแลและแขกของพรรคต่างก็อยู่กันอย่างเนืองแน่น พวกเขากำลังเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะของเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้


ขณะนี้ เฟิงจ้านที่สวมชุดคลุมสีดำกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก และผู้ที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของเขา ก็คือหลิ่วหมิงกับซินหยวน


“แม้เดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ จะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แต่ในที่สุดมันก็เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ว่าพรรคฉางเฟิงของเราชนะ และที่ครั้งนี้สามารถชนะได้ เพราะมีหลิ่วหมิง และซินหยวน ข้าเคยสัญญาว่าจะมอบสามแสนหินจิตวิญญาณให้กับผู้ที่เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ หากชนะล่ะก็ ผู้เข้าร่วมยังสามารถเลือกสมบัติในคลังเก็บสมบัติไปได้ อีกประเดี๋ยวสหายทั้งสอง ก็ตามข้าไปเลือกได้เลย” เฟิงจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่พูดถึงเว่ยจ้งเลยแม้แต่น้อย พอเขาโบกแขนเสื้อ หินจิตวิญญาณสองถุงก็พุ่งไปทางหลิ่วหมิงกับซินหยวน


“ขอบคุณประมุขเฟิง” ซินหยวนรับถุงมา หลังจากใช้จิตกวาดดูเล็กน้อยแล้ว ก็กุมมือคารวะด้วยความดีใจ


พอหลิ่วหมิงรับถุงไปแล้ว ก็กุมมือคารวะเช่นกัน


“ครั้งนี้สหายหลิ่วผ่านการต่อสู้ถึงสี่รอบ และสุดท้ายก็ได้ชัยชนะมา มันไม่ง่ายเลย ถือว่ามีความดีความชอบเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้สหายหลิ่วสามารถเลือกสมบัติในคลังได้เพิ่มอีกสองชิ้น”


พอคำพูดนี้ดังออกมา ศิษย์จำนวนมากที่อยู่บริเวณนั้นกับแขกระดับสูง ต่างก็รู้สึกตะลึงงันทันที และต่อมาก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความอิจฉา


ชัยชนะของหลิ่วหมิงในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้พรรคฉางเฟิงมีอำนาจน่าเกรงขามในทะเลหนานไห่ แต่ยังทำให้เฟิงจ้านมีเกียรติยศเพิ่มขึ้นมามาก


และนิกายห้าวิญญาณก็ค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ของเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้


และในวันเดิมพันการต่อสู้ เฟิงจ้านก็เคยสัญญากับตัวเองว่าหากหลิ่วหมิงชนะ ก็จะมอบสมบัติให้อีกสองชิ้น ตอนนี้ได้ประกาศออกมาแล้ว ก็ถือเป็นการแสดงเจตนาของเขาออกมาอย่างชัดแจ้ง


ครึ่งชั่วยามต่อมา พอประตูห้องโถงใหญ่เปิดออก เฟิงจ้านก็เดินออกมาก่อน และตามติดมาด้วยหลิ่วหมิงกับซินหยวน


ทั้งสามเดินเข้าในห้องข้างห้องโถงที่ดูเงียบสงัดและอยู่ไม่ไกลมากนัก


ด้านในตกแต่งงดงามและเรียบๆ ตรงหน้ามีหญิงสาวสวมชุดสีขาว ใบหน้าสวยราวกับหยก กำลังนั่งอยู่


ซึ่งนางก็คืออวี้ชิงซือไท่ จากสำนักเสียงมหัศจรรย์ที่พบเจอในหุบเขาเปลวเพลิงวันนั้น!


“ผู้อาวุโสอวี้ชิงโปรดรอสักครู่ ข้าพาสหายหลิ่วไปเลือกสมบัติที่คลังเก็บสมบัติ เพื่อเป็นการตอบแทนก่อน อีกประเดี๋ยวก็จะกลับมา” เฟิงจ้านก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าว และกล่าวกับหญิงสาวชุดขาวอย่างนอบน้อม


หญิงสาวชุดขาวเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หลับตาพักผ่อนต่อ


เฟิงจ้านสั่งสาวใช้ชงชาให้กับนาง จากนั้นก็หมุนตัวพาหลิ่วหมิงกับซินหยวนเดินออกไป และมุ่งหน้าไปทางหอใหญ่


ทั้งสามเดินผ่านระเบียงยาวจนมาถึงประตูเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังหอใหญ่ หลังจากผลักประตูเดินเข้าไปแล้ว ก็เดินไปตามทางลับที่ทอดยาวลงไปด้านล่าง โดยใช้เวลาราวๆ ครึ่งถ้วยชา และมาปรากฏตัวตรงหน้าประตูหยกแกะสลัก


“ประมุขเฟิง คลังสมบัตินี้อยู่ด้านหลังของหอใหญ่ ทั้งยังดูเหมือนจะไม่มีคนคอยเฝ้า ไม่กลัวว่าจะมีสิ่งใดหายไปหรอกหรือ?” ซินหยวนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย จึงเอ่ยปากถามออกมา


“สหายซินไม่รู้อะไร คลังสมบัตินี้สร้างโดยสุดยอดผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธท่านหนึ่ง ตัวมันเองก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก หากมีคนบุกเข้าไปก็จะสัมผัสโดนชั้นจำกัด และถูกขังอยู่ในนั้น” เฟิงจ้านตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


พอเฟิงจ้านตบลงบนเอว หินหยกแวววาวขนาดเล็กก็ร่วงลงในมือ จากนั้นเขาก็พุ่งยิงหินหยกเข้าไปในรอยเว้าบนประตูหยกแกะสลัก


ต่อมาเขาก็ปล่อยพลังเวทเข้าไปในหินหยก!


ประตูหยกแกะสลักสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที แสงสีเขียวเปล่งประกายบนประตู และส่งเสียงดัง “โครมคราม!” ออกมา


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ประตูคลังสมบัติขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออก


จากนั้นเฟิงจ้านก็พาหลิ่วหมิงกับซินหยวนเดินเข้าไป


พอทั้งสามเหยียบเท้าเข้าไปในคลังสมบัติ ประตูใหญ่ที่อยู่ด้านหลังก็ปิดตัวลงอีกครั้ง


คลังสมบัติมีพื้นที่กว้างไม่กี่สิบจั้ง กำแพงแสงแต่ละสีแบ่งพื้นที่คลังสมบัติออกเป็นหกเขต แต่ละเขตจะมีชั้นเก็บของหนึ่งแถว บนชั้นมีกล่องหยกหลากสีขนาดต่างๆ วางอยู่


จากที่หลิ่วหมิงคำนวณคร่าวๆ พื้นที่ภายในคลังสมบัติของพรรคฉางเฟิงคงมีสมบัติมากถึงสามสี่ร้อยชิ้น


“ทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ สามารถเลือกได้เลย สมบัติที่เหมาะสำหรับการฝึกร่างอยู่ทางด้านนั้น” พอเฟิงจ้านมองเห็นสีหน้าลำบากใจของทั้งสอง ที่ดูเหมือนไม่รู้ว่าจะลงมืออย่างไรดี เขาจึงชี้ไปยังเขตที่มีกำแพงสีฟ้าล้อมรอบอยู่ และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ขอบคุณประมุขเฟิง” ซินหยวนกล่าวขอบคุณ และเดินไปทางเขตสีฟ้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบกล่องหยกขึ้นมาหนึ่งใบ หลังจากเปิดดูแล้ว ก็ค้นพบว่ามันเป็นสายโซ่เล็กๆ สีดำ พอปล่อยพลังเวทเข้าไปเล็กน้อย สายโซ่ก็กลายเป็นเกราะสีดำชุดหนึ่ง


“นี่คือเกราะสายโซ่ทมิฬ สร้างขึ้นมาจากเหล็กบริสุทธิ์พันปี แฝงไปด้วยสิบเก้าชั้นจำกัด เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูง” เฟิงจ้านมองดูสิ่งของในมือซินหยวนแล้วอธิบายออกมา


ซินหยวนได้ยินก็พยักหน้า จากนั้นก็เก็บพลังเวทราวกับยังไม่ค่อยพอใจมากนัก และนำสายโซ่ที่กลับคืนสภาพเดิมใส่เข้าไปในกล่องหยกแล้ววางไว้ที่เดิม


หลิ่วหมิงมีเป้าหมายแต่แรกแล้ว เขาไม่ได้มาเพื่ออาวุธจิตวิญญาณ แต่มาเพื่อ ‘ไผ่ว่างเปล่า’ ท่อนนั้น


พอกวาดสายตามองออกไป สายตาของเขาก็ต้องหยุดอยู่ตรงเขตที่มีกำแพงแสงห้าสีห่อหุ้มไว้ ซึ่งอยู่ด้านในสุด


เขตนี้มีกล่องหยกสีขาวขนาดต่างๆ วางอยู่แค่หกใบเท่านั้น


หลิ่วหมิงเดินเข้าไปหน้าชั้นวางของ พอโบกมือ กล่องหยกใบหนึ่งก็ร่วงลงบนมือ เมื่อเปิดฝาออก แสงห้าสีเจิดจ้าก็พุ่งออกจากกล่องหยก


เมื่อแสงดับลงแล้ว หลิ่วหมิงถึงก้มหน้ามองดูด้านในกล่อง เขาค้นพบว่ามันเป็นหินแร่ห้าสีก้อนหนึ่ง แร่หินแวววาวเป็นอย่างมาก ภายใต้การหักเหของแสงภายในห้อง มันเปล่งแสงสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว ม่วง ออกมาทั้งหมดห้าสี ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก


ต่อมา หลิ่วหมิงก็เปิดกล่องหยกใบอื่นๆ ต่อ ขณะที่เปิดมาถึงใบที่หกนั้น กลับพบว่ามีไผ่เงินที่มีลวดลายจิตวิญญาณห้าสีปกคลุม วางอยู่ด้านในหนึ่งท่อน


หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก เขารู้ว่าสิ่งนี้คือไผ่ว่างเปล่าแน่นอน แต่เขาก็ปิดฝากล่องโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา และวางกลับไปที่เดิม


ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม เมื่อหลิ่วหมิงเลือกสมบัติมาได้สองชิ้นแล้ว ถึงทำเป็นเดินกลับไปยังเขตนี้โดยไม่ตั้งใจ และหยิบกล่องที่ใส่ไผ่ว่างเปล่ามาไว้ในมือ


เมื่อเขาถือกล่องหยกสามใบกลับมาตรงทางเข้านั้น ซินหยวนกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับเฟิงจ้านอยู่ และในมือก็มีกล่องหยกสีดำอยู่ใบหนึ่ง


“พี่หลิ่วเลือกนานขนาดนี้ ได้สมบัติอะไรมาบ้าง?” พอซินหยวนเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา เขาก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา


“ข้าหาอาวุธจิตวิญญาณที่เหมาะสมไม่ได้ จึงเลือกวัสดุที่ดูไม่ธรรมดามาสองสามชิ้น เมื่อไปถึงแผ่นดินจงเทียนแล้ว จะได้หาคนมาหลอมเป็นอาวุธจิตวิญญาณ” หลิ่วหมิงย่อมไม่พูดถึงไผ่ว่างเปล่า เขาได้แต่กล่าวอย่างคลุมเครือเท่านั้น


ซินหยวนก็ไม่ถามอะไรมาก หลังจากเปิดฝากล่องออกมาแล้ว ก็เห็นว่ามีโอสถบรรจุอยู่ในนั้นสามเม็ด


“ข้าเลือกโอสถพยัคฆ์ร้ายสามเม็ดนี้ ท่านประมุขบอกว่ามันไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย แต่ยังมีผลในการช่วยยกระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวท มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะร่างฝึกมาก ออกไปครั้งนี้ข้าจะเริ่มกักตัว เตรียมทะลวงขั้นปลายแล้ว” ซินหยวนกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม


เฟิงจ้านเพียงแค่มองดูกล่องหยกในมือหลิ่วหมิงสองสามที และพยักหน้าก่อนกล่าวออกมา


“ในเมื่อสหายทั้งสองต่างก็เลือกเสร็จแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ!” เฟิงจ้านกล่าวจบก็พาทั้งสองไปจากคลังสมบัติ


……


ห้องข้างห้องโถงบางแห่งที่อยู่ในพรรคฉางเฟิง อวี้ชิงซือไท่ยังคงหลับตาพักผ่อนอยู่ ชาจิตวิญญาณที่ชงไว้ข้างๆ ยังไม่ถูกแตะเลยแม้แต่น้อย


ทันใดนั้นก็มีคนผลักประตูเข้ามา ซึ่งก็คือเฟิงจ้านที่พาหลิ่วหมิงกับซินหยวนกลับมานั่นเอง


“หลิ่วหมิง ในเมื่อเจ้าจัดการธุระที่นี่เรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางกับข้าได้แล้ว” หญิงสาวชุดขาวลืมตา และลุกขึ้นมากล่าวอย่างราบเรียบ


ตอนที่ 465 วัดผานรั่ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทราบ! ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม จากนั้นก็หันไปกล่าวลาเฟิงจ้านและซินหยวน


“ประมุขเฟิง ข้าขอขอบคุณท่านที่ดูแลเป็นย่างดี” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะเฟิงจ้าน และกล่าวออกมาอย่างเกรงใจ


“สหายหลิ่วไม่ต้องเกรงใจ เป็นเจ้าที่พยายามต่อสู้เพื่อพรรคฉางเฟิงถึงจะถูก ในเมื่อสหายหลิ่วมีความสัมพันธ์อันลึกล้ำกับนิกายยอดบริสุทธิ์ในแผ่นดินจงเทียน ไม่แน่ว่าการไปในครั้งนี้ อาจจะเป็นโอกาสอันดีก็เป็นได้ ข้าเองก็จะไม่ยื้อสหายไว้แล้ว” เฟิงจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“พี่หลิ่วไปแผ่นดินจงเทียนในครั้งนี้ ระยะทางยาวไกลมาก ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อใด ดูแลตัวเองให้ดีๆ ล่ะ” ซินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“พี่ซินก็ดูแลตัวเองด้วย ลาก่อน!” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะทั้งสอง


ระหว่างที่พูดนั้น หญิงสาวชุดขาวได้เดินไปถึงหน้าประตูแล้ว พอนางโบกมือข้างหนึ่ง ก็ยกตัวหลิ่วหมิงขึ้น จากนั้นทั้งสองก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้า


……


หนึ่งเดือนต่อมา บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในทะเลหนานไห่


ท่ามกลางเทือกเขาที่ดูเร้นลับแห่งหนึ่ง


สถานที่แห่งนี้มีเมฆหมอกลอยวนเวียน ประจักษ์ชัดว่าเป็นสถานที่ที่ห่างไกลผู้คนมาก ว่ากันว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามของนิกายลึกลับบางนิกาย


ปลายทางเดินเล็กๆ คดเคี้ยวตรงตีนเขา มีถ้ำหินที่สูงจั้งกว่าๆ มีคนสี่คนยืนอยู่ตรงหน้าประตูหินขนาดใหญ่ที่มีลวดลายสีฟ้าสลักอยู่เป็นจำนวนมาก


สองคนที่อยู่ด้านหน้า คนหนึ่งเป็นหญิงสาวผมยาวเคลียไหล่ สวมชุดนักพรตสีขาว อีกคนเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดสีขาวดำ บนสีศีรษะมีเครื่องหัวสูงๆ ประดับอยู่ ทั้งสองกำลังพูดคุยอะไรบางอย่าง


ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ก็คือหลิ่วหมิงกับเจียหลานนั่นเอง


“ประมุขหลี่ ต้องรบกวนใช้ค่ายกลส่งตัวของนิกายท่านอีกครั้งแล้ว” หญิงชุดขาวคารวะชายวัยกลางคนแล้วกล่าวออกมา


“สหายอวี้ชิง ไม่ต้องเกรงใจข้าถึงเพียงนี้ สำนักเสียงมหัศจรรย์กับนิกายวิญญาณพสุธามีความสัมพันธ์กันลึกล้ำ ร้อยปีก่อนพวกเราทั้งสองฝ่าย ก็ได้เป็นพันธมิตรกันแล้ว วันนี้แค่ใช้ค่ายกลส่งตัว มันเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น” ชายวัยกลางคนตอบด้วยรอยยิ้ม


“ประมุขหลี่พูดล้อเล่นแล้ว การกระตุ้นค่ายกลส่งตัวในสมัยโบราณนี้ ต้องใช้ผลึกหินระดับสูงของนิกายท่านไม่น้อย ข้าต้องขอขอบคุณอีกครั้ง” หญิงชุดขาวกล่าวขอบคุณชายวัยกลางคนอีกครั้ง


ชายวัยกลางคนก็คารวะกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หยิบแผ่นป้ายออกมาจากเอว และโบกเบาๆ


“ฟู่!”


แสงสีฟ้าพุ่งออกจากแผ่นป้าย และกระพริบหายไปบนประตูหิน


ลวดลายบนประตูหินเปล่งประกายสองสามที จากนั้นก็ส่งเสียงดังโครมคราม และค่อยๆ เปิดออกมา ทำให้มองเห็นระเบียงยาวสีดำอยู่รำไร


“ที่นี่มีชั้นจำกัดค่อนข้างมาก สหายน้อยทั้งสองจงเดินตามหลังข้า หากสัมผัสโดนชั้นจำกัดเข้าล่ะก็ จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นได้” ชายวัยกลางคนกำชับหลิ่วหมิงกับเจียหลาน จากนั้นก็ยกแขนทั้งสองปล่อยแสงสีขาวออกไป ทำให้ด้านในสว่างขึ้นมา


“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เตือน”


พอทั้งสองได้ยินก็รีบพยักหน้า และเดินตามไป


พอทั้งสี่เข้าไปด้านใน ลวดลายบนประตูหินที่อยู่ด้านหลังก็เปล่งประกาย จากนั้นบานประตูก็ปิดลง และกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง


เมื่อเดินตามระเบียงลาดเอียงไปได้หลายสิบจั้ง ก็ปรากฏลานกว้างขึ้นมาตรงหน้า


ที่แท้มันก็เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีพื้นที่หลายหมู่ ผนังรอบด้านมีเครื่องหมายที่ดูไม่ออกสลักอยู่ ดูท่าคงเป็นชั้นจำกัดจำนวนหนึ่งของนิกายวิญญาณพสุธา


และมุมหนึ่งของห้องโถง ก็มีค่ายกลขนาดสองสามจั้งวางอยู่ ในค่ายกลมีลวดลายจิตวิญญาณสลักอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีอักขระโบราณแปลกๆ จำนวนหนึ่ง รอบด้านของมันต่างก็เป็นหลุมเว้าจำนวนมาก มันคงเป็นที่วางผลึกหินระดับสูง


“ท่านทั้งหลาย เชิญ!” ชายวัยกลางคนแสดงท่าทีบอกให้ทั้งสามเข้าไปในค่ายกล จากนั้นก็นำผลึกหินสีดำแวววาวใส่ลงในหลุมที่อยู่รอบๆ


“ขณะที่ค่ายกลเริ่มทำงานนั้น จะมีพลังเวทสั่นไหวเล็กน้อย พวกเจ้าทั้งสองพยายามระมัดระวังพลังเวทไว้ เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด” หญิงชุดขาวเตือนหลิ่วหมิงกับเจียหลาน


ทั้งสองได้ยินก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน และพยักหน้าตอบรับ


หลังจากชายวัยกลางคนวางผลึกหินเสร็จแล้ว ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบแผ่นค่ายกลออกมา หลังจากวาดนิ้วลงบนนั้นสองสามทีอย่างรวดเร็ว มันก็หมุนติ้วๆ ออกไปจากมือ และลอยอยู่เหนือค่ายกลโบราณ


ต่อมาค่ายกลก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ คลื่นจิตวิญญาณขนาดใหญ่ประทุออกมา และแสงสีเขียวเจิดจ้าก็พุ่งยิงออกจากในนั้น


หลิ่วหมิงหลับตาในทันที และพยายามรวบรวมพลังจิต เขารู้สึกแค่ว่ามีพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งรวมตัวกันอยู่รอบๆ จากนั้นก็รู้สึกร้อนไปทั้งตัว ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว ไม่นานพวกเขาก็หายไปจากค่ายกล


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงก็ลืมตาทั้งคู่ในขณะที่ยังหน้ามืดตาลายอยู่ ตอนนี้เขาค้นพบว่าตนเองมาปรากฏตัวในวิหารขนาดใหญ่หลังหนึ่ง และหญิงชุดขาวกับเจียหลานก็ยืนอยู่ด้านข้าง


วิหารใหญ่ค่อนข้างกว้าง พื้นด้านล่างก่อตัวขึ้นจากหินสีเทาขนาดใหญ่ บนเสาหินสิบกว่าต้นมีเพชรจำนวนมากเลี่ยมฝังอยู่ และค่อยๆ เปล่งแสงออกมา ทำให้ในนั้นสว่างไสว


และภายในวิหารที่มีพื้นที่กว้างขวางเช่นนี้ กลับมีนักบวชอาวุโสผมขาวท่านหนึ่ง นั่งอยู่บนเบาะกลมๆ ตรงทางออกเท่านั้น


นักบวชสวมชุดคลุมยาวทั้งตัว ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท เขากำลังสวดมนต์และจับลูกประคำไปมาอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงไม่อาจรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพลังเวทจากคนผู้นี้ได้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงรู้สึกประหลาดใจมาก


ขณะนี้ อวี้ชิงซือไท่กลับค่อยๆ ก้าวไปด้านหน้า นางพนมมือทั้งสอง และโค้งตัวให้นักบวชอาวุโสตรงหน้าเบาๆ และเอ่ยปากออกมา “อาจารย์อา”


แต่นักบวชอาวุโสยังคงไม่มีความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า ดวงตายังหลับสนิท ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยแม้แต่น้อย ยังคงสวดมนต์เบาๆ


อวี้ชิงกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากทำความเคารพอีกครั้งแล้ว นางก็พาหลิ่วหมิงกับเจียหลานเดินผ่านด้านข้างนักบวชอาวุโส และเดินออกวิหารใหญ่ไป


เสียงระฆังดังมาจากที่ไกลๆ พอมองออกไป ด้านในกำแพงสีเหลืองอมชมพู มีบันไดหินสีขาวที่เชื่อมต่อกับอารามของวัดเล็กๆ หลายแห่ง


หลิ่วหมิงปล่อยพลังจิตส่วนหนึ่งออกไปสำรวจดูเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกตกใจเมื่อค้นพบว่า ทั่วทั้งวัดมีนักบวชแค่สิบกว่าคนเท่านั้น และต่างก็เป็นมนุษย์ธรรมดาทั้งหมด


เมื่อพวกเขาเดินออกจากประตูใหญ่ของวัด หลิ่วหมิงก็หันไปมองอย่างอดไม่ได้ เขาเห็นว่าบนแผ่นไม้การบูรเหนือประตูวัด มีอักขระขนาดใหญ่เขียนอยู่สามคำ “วัดผานรั่ว”


และนอกวัดก็เป็นพื้นที่เปล่าเปลี่ยวสุดลูกหูลูกตา


อวี้ชิงซือไท่ปล่อยนกกระดาษสีฟ้าอ่อนออกมาตัวหนึ่ง และปล่อยพลังเวทใส่เข้าใส่


นกกระดาษส่งเสียงร้องออกมา แสงสีขาวกระพริบผ่านลำตัวชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นมันก็ขยายใหญ่ตามแรงลมอย่างรวดเร็ว นกกระดาษที่มีขนาดชุ่นกว่าๆ ขยายใหญ่สิบกว่าจั้งภายในพริบตา ท่ามกลางแสงสีฟ้ากับแสงสีขาว มันก็กลายเป็นวิหคยักษ์ที่มีหงอนสีแดงอยู่บนหัว


จากนั้นทั้งสามก็กระโดดขึ้นบนหลังนกกระดาษ อวี้ชิงซือไท่ค่อยๆ ลอยลงบนหัวของนกกระดาษ และทำท่ามือด้วยมือเดียว


พอนกกระดาษส่งเสียงร้องออกมา มันก็กระพือปีกจนก่อเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำ และพุ่งขึ้นไปบนฟ้า มันพาทั้งสามพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง


……


ครึ่งเดือนต่อมา เหนือเทือกเขาขนาดเล็กที่มียอดเขาสีเขียวทอดยาวติดต่อกันสิบกว่าลูก นกกระดาษที่เปล่งแสงสีฟ้าขาว ก็ปรากฏตัวออกมา และทิ้งร่องรอยสีขาวไว้บนอากาศ


อาจเป็นเพราะต้องการหลบเลี่ยงนิกายจำนวนหนึ่งหรือเมืองที่คึกคัก นกกระดาษจึงไม่ได้บินตรงมาโดยตลอด แต่กลับบินอ้อมไปทางตะวันออกบ้าง ทางตะวันตกบ้าง ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ป่าเขาที่อยู่ห่างไกลผู้คน


ด้วยเหตุนี้ในระหว่างทาง นอกจากจะพบกับผู้ฝึกฝนระดับต่ำไม่กี่กลุ่มที่ขี่อาวุธจิตวิญญาณเดินทางแล้ว ก็ไม่พบผู้อื่นอีกเลย และไม่มีเหตุการณ์การรวมตัวของผู้ฝึกฝนอย่างที่หลิ่วหมิงคิดไว้แต่แรก


ประจักษ์ชัดว่า แม้แต่ในแผ่นดินจงเทียน เมื่อเทียบผู้ฝึกฝนกับคนธรรมดาแล้ว ก็มีอยู่น้อยมาก ทั้งยังไม่เงียบสงบอย่างที่เห็น มิเช่นนั้นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้อย่างอวี้ชิง คงไม่ต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้


อวี้ชิงซือไท่นั่งขัดสมาธิหลับตาพักผ่อนอยู่บนหัวนกกระดาษ ตลอดทางนางพูดคุยกับพวกเขาน้อยมาก ส่วนใหญ่จะนั่งสมาธิเงียบๆ มากกว่า


และเจียหลานที่สวมชุดสีเหลืองอ่อน ก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหลิ่วหมิง และสังเกตดูทิวทัศน์ด้านหน้าเงียบๆ


ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่เรียงซ้อนกันบนเขาสีเขียวที่อยู่ด้านล่าง หรือว่าเสียงไหลรินของสายน้ำใสสะอาดที่เสนาะหู หรืออาจเป็นบรรดาอสูรและวิหคดุร้ายที่หากินในป่า ต่างก็ดูราวกับว่าดึงดูดสมาธิของนางไปเล็กน้อย


หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูใบหน้าละเอียดละออของนาง และสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยออกมาจากตัวนาง และยิ้มขมขื่นอย่างอดไม่ได้


หลังจากที่เขาออกจากพรรคฉางเฟิงมาพร้อมกับอวี้ชิงซือไท่ พวกเขาก็ไปที่อารามชิงสุ่ยสองวัน


ในระหว่างเวลานั้น อวี้ชิงซือไท่กลับรู้สึกสนใจในตัวเจียหลาน และตั้งใจทดสอบคุณสมบัติของนาง เมื่อค้นพบว่าเจียหลานไม่ใช่ร่างละเมอฝันจริงๆ แต่เป็นร่างมายาสวรรค์ที่ดูคล้ายร่างละเมอฝันมาก


แม้ทั้งสองสิ่งนี้จะคล้ายกัน แต่ร่างจิตวิญญาณกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน


ร่างละเมอฝัน สามารถกดดันผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันจนถึงระดับที่ต่ำกว่าได้ แต่เวลาเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่งระดับสูง ผลลัพธ์กลับลดลงไปมาก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นร่างจิตวิญญาณที่พบเจอได้น้อย แต่ยังคงมีข้อขาดตกบกพร่องอยู่


และร่างมายาสวรรค์นี้ แม้ดูจากภายนอกจะดูคล้ายกับร่างละเมอฝันมาก ทั้งยังถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นร่างละเมอฝันอยู่บ่อยๆ แต่ความจริงแล้ว มันกลับมีผลลัพธ์หลากหลายรูปแบบที่คาดไม่ถึง หากได้รับการฝึกฝนวิชาที่เหมาะสม ภายหน้าจะสามารถแสดงวิชามายาได้ถึงระดับสูงสุด สามารถสังหารศัตรูแข็งแกร่งได้อย่างไร้ร่องรอย


และร่างจิตวิญญาณประเภทนี้ ในแผ่นดินจงเทียนก็หาได้ยากนัก อวี้ชิงซือไท่ก็รู้มาจากคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่ง ประจวบเหมาะกับที่นางรับรู้มาว่า ผู้อาวุโสบางท่านในนิกายยอดบริสุทธิ์ยังไม่มีผู้สืบทอดวิชา และเป็นร่างจิตวิญญาณประเภทนี้พอดี


หลังจากที่อวี้ชิงรู้ว่าเจียหลานยังไม่ได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านใดในอารามชิงสุ่ยอย่างเป็นทางการ นางจึงขอเจียหลานกับแม่ชีเมี่ยวซินโดยตรง และถือโอกาสพานางไปนิกายยอดบริสุทธิ์พร้อมกัน


แม้แม่ชีเมี่ยวซินจะรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้ว่าเป็นโอกาสดีสำหรับเจียหลาน หลังจากพูดคุยกันแล้ว ก็ตอบตกลงทันที และก่อนออกเดินทางยังมอบอาวุธจิตวิญญาณให้นางสองสามชิ้น


ด้วยเหตุนี้ จึงกลายเป็นว่าอวี้ชิงซือไท่พาทั้งสองออกเดินทางพร้อมกัน


จากการอยู่ร่วมกันในระหว่างเดินทาง เจียหลานกลับไม่แสดงออกว่ารู้จักหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้าเลย และยังแสดงท่าทีเฉยๆ กับหลิ่วหมิง


สิ่งนี้ย่อมทำให้หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่น


……


สองเดือนต่อมา ท่ามกลางทะเลทรายเปล่าเปลี่ยว ชายหนึ่งหญิงสองกำลังเดินไปข้างหน้า


ทะเลทรายตรงหน้าดูเหมือนเป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ที่ไร้ขอบเขต ภายใต้การส่องแสงพระอาทิตย์ ทำให้แสงสีทองเปล่งประกายเป็นจุดๆ บางครั้งก็มีพายุบ้าระห่ำโจมตีเข้ามา และยังม้วนเอาเม็ดทรายขึ้นไปบดบังท้องฟ้าและพระอาทิตย์ไว้


“ทะเลทรายที่มีหมอกควันตลบฟุ้งแห่งนี้ เป็นเพราะผนึกบางอย่างในสมัยโบราณ ที่สร้างชั้นจำกัดไว้ไม่ให้เหินเวหา แต่พวกเราเดินอีกครึ่งวัน ก็จะไปถึงค่ายกลส่งตัวระยะไกลอีกแห่งแล้ว” หญิงชุดขาวเดินอยู่ด้านหน้าสุด ขณะเดียวกันก็อธิบายให้ทั้งสองฟังไปด้วย


หลิ่วหมิงรู้สึกสงสัยว่าค่ายกลส่งตัวท่ามกลางทะเลทรายแห่งนี้ จะถูกส่งตัวไปที่ใดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ได้แต่เดินตามหลังเงียบๆ


เจียหลานก็สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับแผ่นดินจงเทียนกับหญิงชุดขาวด้วยความอยากรู้


ตอนที่ 466 เขาหมื่นวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“แผ่นดินจงเทียนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล มีกลุ่มอิทธิพลมากมาย แต่มีมนุษย์เราเป็นหลัก และในกลุ่มอิทธิพลของเหล่ามนุษย์ ก็มีสี่ยอดนิกายใหญ่เป็นหัวหน้า แหล่งที่มาของประวัติศาสตร์ว่ากันว่าสามารถสืบสาวต้นสายไปถึงสมัยบรรพกาลได้ กลุ่มอิทธิพลที่สังกัดก็มีมากมายนับไม่ถ้วน สาขาที่มีประวัติหมื่นปีอย่างสำนักเสียงมหัศจรรย์เรา ก็มีมากถึงสามสิบหกสาขา นอกจากมนุษย์แล้ว ยังมีสถานที่บางแห่งที่ถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจและเผ่าอื่นๆ จนกระทั่งว่ากันว่า เผ่าที่มีอำนาจในนั้น เกือบจะเทียบเท่ากับสี่ยอดนิกายใหญ่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจดูหมิ่นได้……” หญิงชุดขาวเล่าให้คนทั้งสองที่อยู่ด้านหลังฟัง


ส่วนหลิ่วหมิงก็ฟังจนรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด


นิกายขนาดใหญ่อย่างนิกายยอดบริสุทธิ์ มีมากถึงสี่นิกาย ทั้งยังมีเผ่าอื่นๆ ที่ไม่มีอิทธิพลไม่ด้อยไปกว่าสี่ยอดนิกายใหญ่!


สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงไปมาก


สองสามชั่วยามผ่านไป ข้างเนินเขาสีขาวเทาที่ไม่สูงมากนัก หญิงชุดขาวหยิบจานเข็มทิศออกมาอันหนึ่ง หลังจากปล่อยพลังเวทใส่เข้าไปแล้ว เข็มที่อยู่บนนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนไหว และส่งเสียงดังหวึ่งๆ


ทันใดนั้น ลำแสงสีขาวก็พุ่งออกจากจานเข็มทิศ และจมหายไปในเนินเขา


เกิดเสียงดังโครมคราม จากนั้นเนินเขาก็สั่นสะเทือน และปรากฏทางเข้าที่สูงจั้งกว่าๆ


หลิ่วหมิงกับเจียหลานเดินตามหญิงชุดขาวเข้าไปด้านใน พวกเขาเดินผ่านทางเดินที่ยาวร้อยกว่าจั้งกับชั้นจำกัดหนาแน่น จนมาถึงหน้าแท่นหินที่ดูเก่าๆ แท่นหนึ่ง


ใจกลางแท่นหินมีค่ายกลส่งตัวขนาดเล็กที่มีสีเงินจางๆ และใจกลางค่ายกลก็มีหลุมขนาดเท่านิ้วมืออยู่หนึ่งหลุม บริเวณรอบๆ มีลวดลายจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งกำลังเปล่งประกายอยู่


หญิงชุดขาวแสดงท่าทีบ่งบอกให้ทั้งสองเดินเข้าไปในค่ายกล จากนั้นนางก็หยิบผลึกหินฟ้าออกมาก้อนหนึ่ง และวางลงบนหลุมเบาๆ


ต่อมาก็มีแสงสีขาวเปล่งประกาย จากนั้นทั้งสามก็หายไปจากที่เดิม


ตลอดการเดินทาง พวกเขาทั้งสามบ้างก็เหินเวหา บ้างก็อาศัยกลส่งตัวบางแห่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ยังใช้เวลาครึ่งปีถึงมาถึงเขตใจกลางแผ่นดินใหญ่ในที่สุด และค่อยๆ เข้าใกล้เขาหมื่นวิญญาณที่เป็นที่ตั้งของนิกายยอดบริสุทธิ์


…….


วันนี้ บนอากาศที่อยู่ห่างจากเขาหมื่นวิญญาณไปไม่ไกล นกกระดาษที่มีแสงสีฟ้าขาวเปล่งประกาย กำลังพุ่งเข้ามาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ


ส่วนหน้าของนกกระดาษ จะมองเห็นหญิงชุดขาวยืนอยู่รำไร ดวงตาดำขลับของนางกำลังทอดมองไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลๆ


มีชายหญิงสองคนนั่งอยู่ด้านหลังของนาง พวกเขากำลังมองไปยังเทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกัน


พวกเขาก็คืออวี้ชิง หลิ่วหมิง และเจียหลานที่ข้ามน้ำข้ามภูเขาจากเขตทะเลหนานไห่ จนมาถึงสถานที่แห่งนี้


บริเวณที่หลิ่วหมิงกวาดสายตามองผ่านในระยะไม่กี่สิบลี้ ล้วนเป็นยอดเขาขนาดสูงต่ำที่เรียงติดต่อกันไม่ขาดสาย บนเขาแต่ละลูกต่างก็มีไอหมอกสีขาวสลัวลอยวนเวียนอยู่รำไร


เมื่อผ่านอากาศที่ดูธรรมดาแห่งนี้ มันก็กระเพื่อมออกราวกับเป็นผิวน้ำ จนหลิ่วหมิงรู้สึกว่าทุกอย่างตรงหน้าพร่ามัว


ขณะที่เรียกสติกลับมาได้นั้น ก็ค้นพบว่าทิวทัศน์ตรงหน้าแตกต่างจากก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง และนกกระดาษก็พาพวกเขาเข้าไปในพื้นที่อีกแห่งหนึ่ง


เขากวาดสายตามองด้วยความประหลาดใจ แต่ค้นพบว่ารอบด้านล้วนเป็นยอดเขาทอดยาวติดต่อกันที่สูงใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นมาก และตรงปลายยอดเขาขนาดใหญ่ที่เข้าใกล้นั้น มีป้ายศิลาค้ำฟ้าที่สูงพันจั้งตั้งตระหง่านอยู่ บนป้ายศิลามีอักขระสีดำขนาดใหญ่ที่ดูเรียบง่ายและทรงพลังสลักอยู่ ‘นิกายยอดบริสุทธิ์’


ภายใต้การส่องสะท้อนของดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดแสงสีเงินระยิบระยับ อักขระสีดำบนนั้นทำให้รู้สึกถึงความเคร่งขรึมและน่าเคารพ


ขณะนั้นเอง พลันมีอินทรียักษ์สีขาวสองตัวบินออกมาจากยอดเขา บนตัวของมันแต่ละตัว ต่างก็มีชายหนุ่มสวมชุดนักพรตสีฟ้ายืนอยู่หนึ่งคน เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ก็บินมาถึงตรงหน้านกกระดาษ และขวางทางพวกเขาไว้


“ไม่ทราบสหายทั้งหลายมีนามว่าเยี่ยงไร ที่นี่เป็นเขตของนิกายเรา ผู้ที่ไม่ใช่คนในนิกายและไม่ได้รับอนุญาต ไม่อาจมุ่งไปด้านหน้าได้” นักพรตหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปีที่ยืนอยู่บนอินทรีตัวซ้ายกวาดสายตามองอวี้ชิงซือไท่ จากนั้นก็ค่อยๆ โค้งคารวะก่อนกล่าวออกมา


ดูเหมือนชายหนุ่มจะอายุน้อยกว่าหลิ่วหมิงสองสามปี บนตัวของเขาแผ่กลิ่นไอระดับของเหลวออกมา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้อย่างอวี้ชิง เขากลับไม่แสดงตัวต่ำต้อย และก็ไม่แสดงตัวโอหังออกมา


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงจ้องมองคนผู้นี้ด้วยตาที่เป็นประกาย


“ข้าชิงอวี้ เป็นผู้คุมกฎของสำนักเสียงมหัศจรรย์ ครั้งนี้พาผู้น้อยมาสองคน เพื่อจะขอเข้าพบศิษย์พี่จางแห่งยอดเขาเมฆาหยก” พอกล่าวจบอวี้ชิงซือไท่ก็พลิกฝ่ามือหยิบจี้หยกสีเขียวออกมา และโยนไปให้ชายหนุ่มที่อยู่ทางซ้าย


พอชายหนุ่มรับจี้หยกมาแล้ว ก็ปล่อยพลังเวทลงบนนั้น หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คืนมันให้กับอวี้ชิงซือไท่


“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านนี้มีของยืนยันอย่างอื่นหรือไม่?” ชายหนุ่มที่อยู่ทางซ้ายหันไปส่งเสียงให้ชายหนุ่มหน้าอ่อนวัยสองสามประโยค จากนั้นก็เอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้ง


อวี้ชิงซือไท่เห็นทั้งสองระมัดระวังเช่นนี้ นางก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด หลังจากยิ้มบางๆ แล้ว ก็ทำท่ามือและยกขึ้นมา


แสงสีเขียวพุ่งออกจากแขนเสื้อไปในระยะสองสามจั้ง และก่อตัวเป็นเข็มขนาดเท่าฝ่ามือ จากนั้นก็ส่งเสียงภาษาสันสฤตออกมาเป็นระลอกๆ


“เคล็ดวิชาเสียงกระจ่าง! ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสสำนักเสียงมหัศจรรย์จริงๆ ด้วย ผู้น้อยล่วงเกินแล้ว ศิษย์น้องเจิ้ง เจ้าพาผู้อาวุโสไปยอดเขาเมฆาหยกก่อน ข้าจะลาดตระเวนอยู่ที่นี่ต่อ” ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวกับชายหนุ่มบนหลังอินทรีที่อยู่ด้านข้าง


คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนอายุแค่สิบห้าสิบหกปีผู้นี้ ก็มีการฝึกฝนระดับของเหลวเช่นกัน


“ผู้น้อยเจิ้งเสี่ยว ผู้อาวุโสโปรดตามข้ามา” พอชายหนุ่มทางซ้ายขี่อินทรีบินไปแล้ว ชายหนุ่มทางขวาก็แนะนำตัว และขี่อินทรียักษ์นำทางไป


อวี้ชิงซือไท่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นนกกระดาษตรงใต้เท้าก็ส่งเสียงร้อง และบินตามไป


เขาหมื่นวิญญาณที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นเทือกเขาที่ทอดตัวในระยะหมื่นลี้


ในนั้นมียอดเขาขนาดต่างๆ เกือบพันกว่าลูก ยอดเขาขนาดใหญ่มีความสูงหลายหมื่นจั้ง มองไม่เห็นยอด และยอดเขาขนาดเล็กก็มีขนาดไม่เกินพันกว่าจั้ง แม่น้ำลำธารขนาดต่างๆ ไหลตามระหว่างเทือกเขา ที่เป็นทะเลสาบก็มีนับไม่ถ้วน


ระหว่างเดินทางมา เป็นเพราะยอดเขาต่างก็สูงเสียดเมฆ แม้หลิ่วหมิงจะมองจากบนหลังนกกระดาษ ก็มองเห็นหอคอยสูงจำนวนหนึ่งที่อยู่กลางเมฆขาวลางๆ เท่านั้น


ที่ทำให้เขารู้สึกตกใจก็คือ ในระหว่างยอดเขาจำนวนหนึ่ง ยังมีสิ่งก่อสร้างประณีตงดงามไม่เป็นสองรองใคร ลอยอยู่กลางอากาศ บ้างก็ถูกเมฆขาวพยุงไว้ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน บ้างก็ถูกแสงสีต่างๆ บดบังไว้ จึงดูพร่ามัว และดูเหมือนไม่อาจเข้าใกล้ได้โดยง่าย


และแสงหลบหลีกเป็นกลุ่มๆ ที่เข้าออกสิ่งก่อสร้างในยอดเขาเหล่านี้ มีทั้งขี่วิหคจิตวิญญาณ ขี่เมฆ แลดูคล้ายกับเทพเซียนที่อยู่ในโลกมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีคนขี่รถเหาะ เรือเหาะ และอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาอื่นๆ ที่มีรูปร่างแปลกๆ


ขณะที่หลิ่วหมิงกับเจียหลานมองดูจนตกตะลึงตาค้างมาตลอดทางนั้น พวกเขาก็มาถึงหน้าหอที่มีกลิ่นอายโบราณหลังหนึ่ง


หอสูงสิบกว่าจั้ง สร้างติดกับภูเขา บนประตูมีป้ายไม้การบูรแขวนอยู่อันหนึ่ง บนนั้นมีอักขระสีทองเขียนติดอยู่ ‘หอโชคชะตา’ ลวดลายแกะสลักอย่างประณีตที่อยู่รอบๆ ทำให้มีเสน่ห์พิศมัยไปอีกแบบ


“สหายทั้งสอง พักผ่อนอยู่ในหอโชคชะตาชั่วคราวก่อน ผู้อาวุโสอวี้ชิง โปรดตามข้ามา ตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกล ก็คือยอดเขาเมฆาหยกแล้ว”


เจิ้งเสี่ยว ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์บอกหลิ่วหมิงกับเจียหลานก่อน จากนั้นก็หันไปกล่าวกับอวี้ชิงซือไท่อย่างนอบน้อม


“พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อน เรื่องต่อจากนี้ รอข้ารายงานผู้อาวุโสนิกายยอดบริสุทธิ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อวี้ชิงซือไท่พยักหน้า และกำชับทั้งสองไปสองสามประโยค จากนั้นก็ให้ทั้งสองลงจากหลังนกกระดาษ และนางก็จากไปพร้อมกับเจิ้งเสี่ยว


หลิ่วหมิงกับเจียหลานสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้แต่เดินเข้าไปในหออย่างว่านอนสอนง่าย


พอเดินเข้าประตูใหญ่ไป ชั้นแรกของหอก็เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่กว้างสิบกว่าจั้ง มีโต๊ะเก้าอี้ไม้วางจัดวางอย่างเรียบง่าย มีชายวัยกลางคนสวมชุดทะมัดทะแมงสีฟ้าสองคน กำลังพูดคุยอะไรกันเบาๆ


พอหนึ่งในนั้นเห็นหลิ่วหมิงกับเจียหลานเดินเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นและแสดงท่าทีเชื้อเชิญให้ทั้งสองตามเขาขึ้นไปด้านบน


ประจักษ์ชัดว่าคนผู้นี้ได้รับการส่งเสียงจากเจิ้งเสี่ยวแล้ว


ชั้นสองเป็นห้องรับรองต่างๆ ชายวัยกลางคนกำชับเรื่องที่หลิ่วหมิงทั้งสองต้องระวังไปสองสามประโยค ให้ทั้งสองอย่าออกไปนอกหอตามอำเภอใจ จากนั้นก็จัดห้องพักให้ทั้งสอง


หลิ่วหมิงถูกจัดให้อยู่ในห้องชั้นสองตรงปลายสุดของระเบียง


พอเขาผลักประตูเข้าไป ก็ค้นพบว่าภายในห้องถูกจัดอย่างง่ายๆ นอกจากโต๊ะเก้าอี้กับเตียงไม้หลังหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของใดๆ จัดวางอีก ส่วนใหญ่เก็บกวาดได้สะอาดมาก


หลิ่วหมิงปล่อยจิตรับรู้ออกไป หลังจากกวาดดูภายในห้องแล้ว ก็ค้นพบว่ามีเพียงชั้นจำกัดที่ปิดกั้นจิตรับรู้แบบง่ายๆ จำนวนหนึ่ง จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิลงบนเตียง และเริ่มหลับตาพักผ่อน


คืนนั้น หลิ่วหมิงที่ฟื้นฟูกำลังวังชาแล้ว ก็เริ่มเดินเตร่ไปมาในห้อง และนึกถึงประสบการณ์ตั้งแต่ตอนที่ตนเองออกจากเกาะมฤตยู จนเข้ามาสู่เส้นทางผู้ฝึกฝน ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับฝัน ทำให้ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้


ทันใดนั้น เขาก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบนั่งขัดสมาธิลงบนเตียงแล้วหลับตาทั้งคู่ลง ขณะเดียวกัน ก็ส่งพลังจิตกวาดดูทะเลจิตรับรู้ของตนเอง และส่งพลังเวททั้งหมดเข้าไปในศิลาหุนเทียน


ผ่านไปไม่นาน หลังจากที่ศิลาหุนเทียนเปล่งแสงออกมา เขาก็เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง


“ผู้อาวุโสหลัวโหว! ผู้น้อยมีเรื่องอยากจะขอคำชี้แนะ!” หลิ่วหมิงจ้องมองอากาศสีเทาสลัวๆ และกล่าวอย่างนอบน้อม


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนเบาๆ บนอากาศตรงหน้า เงาร่างสีดำกระพริบออกมา ชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบสามถึงยี่สิบสี่ปีที่มีใบหน้าคล้ายหลิ่วหมิง ปรากฏออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง และหลังจากสังเกตดูเขาทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


“พูดมาเถอะ! ครั้งนี้มาด้วยเรื่องอันใด?”


“ผู้อาวุโสหลัวโหว เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกท่านคงรู้ดี แต่หลายเดือนก่อน ตอนที่อวี้ชิงซือไท่นำอาวุธจิตวิญญาณออกมากระตุ้นเคล็ดวิชา เพื่อตรวจสอบคำพูดของข้านั้น ข้ารับรู้ได้ลางๆ ว่าศิลาหุนเทียนมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ เล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าใช่ผู้อาวุโสช่วยข้าปิดบังไว้หรือไม่” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะชายหนุ่มตรงหน้า และค่อยๆ กล่าวออกมา


“ไม่ผิด! เป็นข้าที่ลงมือช่วยจริงๆ มิเช่นนั้นต่อให้จะเหลือแค่ดวงวิญญาณเดียว เจ้าก็ไม่อาจปิดบังได้” ชายหนุ่มชุดดำเอ่ยปากยอมรับโดยไม่กระพริบตา


“ที่แท้ผู้อาวุโสหลัวโหวก็ยื่นมือเข้าช่วยไว้ ผู้น้อยขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ทราบว่าหากเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่งในภายหลัง ท่านจะสามารถ……” หลิ่วหมิงได้ยินก็เผยสีหน้าดีใจออกมา และกำลังจะพูดอะไรต่อ


“ทางที่ดีเจ้าละความคิดนี้ไปซะ หากไม่ใช่ว่าครั้งก่อนมันเกี่ยวพันกับการถูกเปิดเผยของ ‘กรงขัง’ ข้าจะไม่ลงมืออย่างแน่นอน อีกอย่างการลงมือในครั้งนี้ ก็ทำให้พลังที่ข้าเก็บสะสมมาหลายปีหมดไปไม่น้อย หากมีครั้งหน้าอีกล่ะก็ คงต้องจมดิ่งเข้าสู่ความหลับใหลแล้ว” ชายหนุ่มชุดดำตรงหน้ากลับโบกมือขัดจังหวะการพูดของหลิ่วหมิงอย่างเย็นชา


ตอนที่ 467 ยอดเขาเมฆาหยก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าผู้น้อยคงจะคาดหวังมากไปจริงๆ แต่ว่าห้องว่างเปล่าลึกลับแห่งนี้ จะดูดกลืนพลังเวทอีกครั้งเมื่อใดนั้น หวังว่าผู้อาวุโสจะบอกเล็กน้อย เช่นนี้แล้วผู้น้อยจะได้เตรียมตัวล่วงหน้าได้” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ย่อมรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก หลังจากยิ้มอย่างขมขื่นแล้ว ก็กล่าวออกมาเช่นนี้


“การดูดกลืนพลังเวทในครั้งหน้า คงใช้เวลาหนึ่งปีครึ่ง แต่ด้วยพลังเวทของเจ้าในตอนนี้ เพียงแค่สูญเสียอายุขัยเล็กน้อย ก็คงเพียงพอแล้ว” หลัวโหวได้ยินก็จ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็นอยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงตอบกลับไปอย่างทื่อๆ


พอได้ยินว่ามีเวลาแค่ปีครึ่งเท่านั้น และยังต้องสูญเสียอายุขัยด้วย หลิ่วหมิงก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน ขณะที่จะถามอะไรต่อนั้น หลัวโหวกลับพูดออกมาอย่างราบเรียบ “ด้านนอกมีคน” จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อในทันที


หลิ่วรู้สึกเพียงแค่ว่ามีเสียงดัง “ตู๊ม!” ในจิตรับรู้ ภาพตรงหน้าพร่าวมัวชั่วขณะหนึ่ง ขณะที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนั้น กลับค้นพบว่าตนเองกลับเข้ามาในห้องที่พักแล้ว


ขณะนั้นเองมีเสียงเคาะประตูดัง “ปังๆ!” พอหลิ่วหมิงสงบจิตแล้ว ก็ลงจากเตียงไปเปิดประตู


เจียหลานที่สวมชุดสีเหลืองทั้งตัวยืนอยู่หน้าประตู


สีหน้าหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ขยับไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้นาง


แต่คำพูดแรกที่นางพูดออกมาเมื่อก้าวเข้ามาในห้องนั้น กลับทำให้หลิ่วหมิงหน้าเปลี่ยนสีทันที


“สหายหลิ่ว พวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่?”


หลิ่วหมิงจ้องมองใบหน้างดงามละเอียดละออ และไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง


หลังจากเจียหลานเอ่ยปากออกมาแล้ว นางก็จ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ และเริ่มเล่าให้นางฟังตั้งแต่ทั้งสองเข้าร่วมนิกายปีศาจพร้อมกัน เรื่องที่นางมีเลือดผสมของเผ่าเจ้าสมุทร เรื่องศึกเผ่าเจ้าสมุทรในตอนท้าย จนกระทั่งเรื่องที่ถูกราชาปีศาจสมุทรจับตัวไป


เจียหลานฟังจบ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรออกมา


ท่าทีของเจียหลานในครั้งนี้ ย่อมทำให้หลิ่วหมิงจับต้นชนปลายไม่ถูก หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี


……


และในขณะเดียวกัน ภายในวิหารบนยอดเขาเมฆาหยกของนิกายยอดบริสุทธิ์


“อะไรนะ! มีข่าวเกี่ยวกับลิ่วยิน ศิษย์สายตรงของนิกายเรา ที่หายตัวไปเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว?” ชายหน้าขาวที่ดูมีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ


ชายผู้นี้สวมชุดสีดำ บนศีรษะมีเครื่องหยกสีเขียวประดับอยู่ และกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลักในห้องโถง ในมือถือมุกกลมๆ สีเขียวอยู่


“ข่าวนี้ไม่ใช่เรื่องเท็จแน่นอน หากไม่ใช่ว่าสหายอวี้ชิงจากสำนักเสียงมหัศจรรย์มาบอกข่าวนี้ ใครจะคาดคิดว่าศิษย์สายตรงผู้นี้ จะซัดเซพเนจรไปไกลถึงเพียงนั้น ทั้งยังก่อตั้งนิกายเล็กๆ ขึ้นมาเอง” เด็กชายชุดคลุมสีเทาหน้าตางดงาม ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทางด้านซ้ายกล่าว คำพูดของเขาดูเหมือนผู้ใหญ่มาก


ขณะที่พูด เด็กชายก็พลิกฝ่ามือหยิบแผ่นหยกออกมาอันหนึ่ง และโยนออกไป


นักพรตหน้าขาวยื่นมือออกไปรับ จากนั้นก็นำมาวางไว้บนหน้าผาก และส่งจิตเข้าไปตรวจดูอย่างละเอียด


เด็กชายชุดคลุมสีเทาเห็นเช่นนี้ก็กล่าวต่อ


“อ้อ! ศิษย์พี่หลู ข้าได้อ่านดูประวัติของนิกายเราอย่างละเอียดแล้ว หลายพันปีก่อน ลิ่วยินศิษย์สายตรงของนิกายเราผู้นี้ ไปทำภารกิจทดสอบขั้นสูงบางอย่างของนิกาย สุดท้ายถูกม้วนตัวเข้าไปในพายุกลางอากาศโดยไม่ตั้งใจ และหายตัวไปนับแต่นั้น แต่เพราะว่าไฟวิญญาณที่อยู่ในนิกายตอนนั้นยังไม่เคยดับลง ดังนั้นจึงไม่ถูกลบชื่อออกจากนิกายในทันที จนกระทั่งผ่านไปหลายร้อยปี ไฟวิญญาณค่อยๆ สูญสิ้นไป ถึงโดนถอดออกจากการเป็นศิษย์สายตรง และให้ศิษย์คนอื่นมาแทน”


เด็กชายเล่ามาถึงจุดนี้แล้ว ก็ถอนหายใจก่อนที่จะเล่าต่อ


“ตามเวลาที่ลิ่วยินกลายเป็นศิษย์สายตรงในปีนั้น กับคำวิจารณ์ของนิกายเราในระหว่างนั้น ถ้าหากเขาสามารถฝึกฝนกับศิษย์สายตรงคนอื่นได้อย่างราบรื่น ก็อาจจะเป็นอาจารย์อาของพวกเราก็ได้ แม้กระทั่งอาจจะได้เข้าไปในวิหารตาข่ายฟ้า”


“ศิษย์น้องเฮ่าเยวี่ย ในเมื่อปีนั้นลิ่วยินไม่ผ่านการทดสอบ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่มีวาสนาพอ นิกายเราไม่คำว่า ‘ถ้าหาก’ แต่จะว่าตามหลักแล้ว สหายอวี้ชิงเพียงแค่บอกให้พวกเราทราบก็พอ นี่ยังต้องมาด้วยตนเองอีก เกรงว่าคงมีอะไรบางอย่างที่ไม่อาจจัดการด้วยตนเองได้” ชายหน้าขาวมองดูแผ่นหยกในมือแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา


“ศิษย์พี่ปราดเปรื่องยิ่งนัก สหายอวี้ชิงบอกว่าที่นางพบศิษย์นิกายปีศาจผู้นี้ เป็นเพราะว่าเขาฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬของนิกายเรา และตามกฎของนิกายแล้ว วิชานี้มีแค่ศิษย์สายในของนิกายเราเท่านั้นที่จะสามารถฝึกฝนได้ แต่จากการที่สหายอวี้ชิงสอบถามมา เจ้าเด็กที่ชื่อหลิ่วหมิงผู้นี้ ดูเหมือนจะฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งด้วย” เด็กชายกล่าวมาถึงจุดนี้ ก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา


“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งไม่ด้อยไปกว่าเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ แต่ว่ามีแค่ศิษย์สายตรงในนิกายเราเท่านั้น ถึงจะฝึกฝนได้ และในเมื่อหลิ่วหมิงผู้นี้เป็นผู้สืบทอดของลิ่วยิน เกรงว่าอาจารย์อา อาจารย์ลุงทั้งหลาย ต่างก็ให้ความสนใจในจุดนี้ หากจัดการได้ไม่ดี เกรงว่าเจ้ากับข้าอาจถูกคนครหาได้ ข้าว่าพรุ่งนี้เรียกหลิ่วหมิงผู้นั้น ขึ้นมาพบบนยอดเขาสักหน่อยจะดีกว่า” ชายหน้าขาวได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก และครุ่นคิดอยู่นาน


“ศิษย์พี่คิดได้รอบคอบมาก พรุ่งนี้ข้าจะไปนำผู้สืบทอดของลิ่วยินผู้นั้นขึ้นมาพบท่าน” เด็กชายพยักหน้า


เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงเพิ่งลุกขึ้นมาก็พบกับแขกที่มาเยี่ยมเยียนแล้ว แขกผู้นี้เป็นชายหนุ่มชุดดำที่ดูมีอายุยี่สิบต้นๆ แต่กลิ่นไอบนตัวหนาแน่นมาก ดูเหมือนว่าจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้านเล็กน้อย


เดินทีคิดว่าอายุขนาดเขา สามารถเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางได้ ก็นับว่ามีพรสวรรค์เหนือคนอื่นใดในแผ่นดินอวิ๋นชวนแล้ว แต่ตั้งแต่เขาเข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาไม่นาน ความรู้สึกเหนือชั้นเล็กน้อยเหล่านี้ ก็หายไปโดยสิ้นเชิง


ชายหนุ่มมีสีหน้านิ่งเฉย หลังจากบอกจุดประสงค์การมาเล็กน้อยแล้ว ก็พาหลิ่วหมิงนั่งเรือเหาะรูปกระสวยพุ่งทะยานขึ้นฟ้า


ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงยอดเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล


ยอดเขาเมฆาเขียวนี้สูงหมื่นจั้ง ตั้งแต่ไหล่เขาขึ้นไป จะมองเห็นไอหมอกสีขาวลอยวนเป็นชั้นๆ พอทอดสายตามองออกไป จะเห็นเป็นสีเขียวชอุ่ม แค่มองก็รู้ว่าเป็นเขาจิตวิญญาณที่หาได้ยากยิ่ง


ตั้งแต่ตีนเขาขึ้นไป จะมองเห็นหอสองสามชั้นจำนวนหนึ่งกับถ้ำที่พักขนาดต่างๆ และบนยอดเขากลับเป็นพื้นราบเรียบที่มีขนาดใหญ่สิบกว่าหมู่ บนพื้นถูกปูด้วยหินสีขาวเทา ดูสะอาดเรียบร้อยมาก


ใจกลางลาน มีเตาหลอมยักษ์ที่สูงหลายจั้งตั้งตระหง่าน พื้นผิวของมันมีลวดลายลึกลับปกคลุมเต็มไปหมด ควันสีขาวหมุนเป็นเกลียวลอยขึ้นด้านบน ทำให้รู้สึกความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย


และทั้งสามด้านของลานราบเรียบมีวิหารขนาดใหญ่ล้อมรอบอยู่สองสามหลัง หลังที่อยู่ตรงกลางหันหน้าไปทางทิศใต้ หันหลังไปทางทิศเหนือ มีขนาดใหญ่ร้อยจั้ง เป็นวิหารที่ดูยิ่งใหญ่มาก


ด้านหลังของวิหารที่อยู่ทางซ้าย เป็นสิ่งก่อสร้างสีดำแถวหนึ่งที่ดูโบราณและราบเรียบ มีลักษณะสูงต่ำแตกต่างกันไป


และด้านหลังของวิหารที่อยู่ทางขวาก็เป็นบ้านไม้แถวหนึ่ง ที่มีรูปแบบคล้ายๆ กัน ดูเหมือนว่าจะเป็นที่พักของศิษย์ระดับต่ำ


หลิ่วหมิงสังเกตดูทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ เขาไม่แสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย ทำให้ชายหนุ่มชุดดำมองเขาด้วยความชื่นชมเล็กน้อย


ไม่นาน หลิ่วหมิงก็ถูกชายหนุ่มนำเข้าไปในวิหารใหญ่


“ผู้อาวุโสทั้งสอง ศิษย์ได้พาหลิ่วหมิงมาถึงแล้ว” ชายหนุ่มทำความเคารพคนทั้งสองที่อยู่ในวิหารอย่างนอบน้อม


หลิ่วหมิงก็รีบทำความเคารพตาม หลังจากมองดูคนทั้งสองทีหนึ่งแล้ว ก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย


“ดี! เจ้าออกไปก่อนเถอะ!” ชายหน้าขาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักโบกมือ จากนั้นชายหนุ่มก็ทำความเคารพอีกรอบแล้วถอยออกไปอย่างนอบน้อม


ชายหน้าขาวสังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“เจ้าคือหลิ่วหมิงสินะ! ก่อนหน้านั้นข้าได้รับข่าวมาว่า เจ้าเป็นศิษย์ของนิกายปีศาจที่ลิ่วยินก่อตั้งขึ้นมา ที่นี่เป็นยอดเขาเมฆาหยกของนิกายยอดบริสุทธิ์ ข้ากับเฮ่าเยวี่ยเจินเหริน[1]ที่อยู่ด้านข้างผู้นี้ เป็นผู้อาวุโสของยอดเขาลูกนี้ และในสมัยนั้นลิ่วยินก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นจะว่าไปแล้วเจ้ากับยอดเขาของเรา ก็มีความสัมพันธ์กันเล็กน้อย”


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก ระหว่างทางที่มานิกายยอดบริสุทธิ์ อวี้ชิงซือไท่ก็เคยพูดเรื่องเกี่ยวกับนิกายยอดบริสุทธิ์ให้ฟังอยู่บ้าง ในเมื่อชายหน้าขาวกับเด็กชายที่อยู่ด้านข้างเป็นผู้อาวุโสของยอดเขานี้ พวกเขาจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้อย่างแน่นอน แม้กระทั่งอาจจะอยู่ที่ระดับแก่นแท้ขั้นกลางจนถึงขั้นปลายก็เป็นได้ ดูเหมือนจะพูดได้ว่าเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูง และมีอำนาจมากในนิกายยอดบริสุทธิ์


“ใช่แล้ว! ศิษย์คือหลิ่วหมิง ขอคารวะผู้อาวุโสทั้งสอง” หลิ่วหมิงรีบตอบอย่างนอบน้อม


“ที่พวกเราทั้งสองเรียกเจ้ามาในวันนี้ ก็ไม่มีเรื่องอื่นใด เพียงแค่อย่างฟังเจ้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับลิ่วยินให้ฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง” เด็กชายเห็นท่าทีประหม่าของหลิ่วหมิง จึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วหมิงร้อนใจมาก เขาคาดเดาจุดประสงค์ของทั้งสองได้อย่างลางๆ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของอวี้ชิงซือไท่เท่านั้น แต่ยังอยากให้เขาพูดออกมาอีกรอบ แน่นอนว่าย่อมมีเคล็ดวิชาบางอย่างที่สามารถพิสูจน์ความจริงที่เขาพูดได้


เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้หลิ่วหมิงจะเป็นห่วงฟองอากาศลึกลับกับศิลาหุนเทียนที่อยู่ด้านใน แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามีหลัวโหวอยู่ จิตใจของเขาจึงสงบลง ทันใดนั้น เขาก็นำเรื่องราวที่เคยเล่าให้อวี้ชิงซือไท่ฟัง เล่าออกมาอีกรอบ


ขณะที่ฟังนั้น ชายหน้าขาวก็ยกถ้วยชามาจิบไปด้วย ส่วนมืออีกข้างกลับพลิกฝ่ามือขึ้นมา มุกกลมๆ สีขาวขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ มีแสงทรงกลดหมุนวนอยู่ในนั้น


ตั้งแต่หลิ่วหมิงเริ่มเล่าเรื่องทุกอย่าง แสงทรงกลดบนมุกกลมๆ ก็เริ่มหมุนวนขึ้นมา


ภายในห้องว่างเปล่าที่ฟองอากาศลึกลับอยู่ หลัวโหวกำลังนั่งขัดสามาธิกลางอากาศอย่างเงียบๆ ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมา และมองไปยังศิลาหุนเทียนที่อยู่กลางอากาศแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ปล่อยพลังเวทออกไป


หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่าศิลาหุนเทียนในทะเลจิตรับรู้ค่อยๆ สั่นสะท้าน ไม่นานก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา


ชายหน้าขาวมองดูมุกกลมๆ ในมือ พอเห็นว่าแสงทรงกลดที่หมุนวนอยู่ในนั้น ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เขาก็พยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็ส่งเสียงให้เด็กชายที่อยู่ด้านข้าง


“ที่เจ้าเด็กนี่พูดมาเป็นความจริง ดูท่าคงจะเป็นผู้สืบทอดของลิ่วยินจริงๆ ดูจากการที่เขาสามารถเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางได้ตั้งแต่อายุยังน้อย คงจะมีคุณสมบัติไม่เลว”


“ศิษย์พี่ปราดเปรื่องยิ่งนัก ในเมื่อคนผู้นี้ฝึกฝนวิชากระบี่ปราณแกร่งแล้ว หากมีคุณสมบัติไม่เลวล่ะก็ ลองให้เขาเข้าร่วมยอดเขาเมฆาเขียวเรา เลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายใน เพราะศิษย์ของนิกายที่ลิ่วยินก่อตั้งขึ้นมา ก็พอจะนับว่าเป็นศิษย์ของเราได้ ออกแรงปกป้องหน่อย ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้” เด็กชายแอบพยักหน้าและส่งเสียงกลับมา


เมื่อทั้งสองหารือกันเสร็จ เด็กชายก็ยิ้มออกมาแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิง


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สืบทอดของปรมาจารย์ลิ่วยิน ได้เข้ามาถึงนิกายเราก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดี แต่หากเจ้าจะเข้าร่วมนิกายยอดบริสุทธิ์ ยังจำเป็นต้องดูคุณสมบัติของเจ้าว่าเป็นอย่างไร”


“ทราบ! ศิษย์จะทำตามที่ผู้อาวุโสทั้งสองบอก” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก หากสามารถเข้าร่วมนิกายยอดบริสุทธิ์ได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง แต่พอได้ยินว่ายังต้องตรวจสอบคุณสมบัติ เขาก็รู้สึกใจเย็นสะท้านขึ้นมา และได้แต่ดันทุรังตอบรับกลับไป


…………………………………


 [1] เจินเหริน คือ เต้าหยินที่บรรลุมรรคผล ส่วนมากใช้เป็นคำเรียก


ตอนที่ 468 ศิษย์สายนอก

โดย

Ink Stone_Fantasy

เด็กชายค่อยๆ พยักหน้า และโบกมือปล่อยพลังออกไป แสงสีขาวปกคลุมร่างหลิ่วหมิงไว้ ขณะเดียวกัน กระแสความร้อนก็แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย


หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่ากระแสความร้อนเหล่านี้ไหลผ่านไปทั่วทุกจุด จนดูเหมือนมันจะมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ภายในร่างของเขา


จากนั้นกระแสความร้อนก็เริ่มเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก ในทะเลจิตวิญญาณเป็นสถานที่อยู่อาศัยของฟองอากาศลึกลับ เขาไม่แน่ใจว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้จะสัมผัสได้หรือไม่ หากถูกเด็กชายผู้นี้ค้นพบเข้าล่ะก็……


แต่ครู่ต่อมา กระแสความร้อนก็หมุนวนบริเวณรอบๆ ทะเลจิตวิญญาณหนึ่งรอบ ดูเหมือนว่าจะไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของฟองอากาศลึกลับแต่อย่างใด


“เฮ้อ……”


เด็กชายมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ส่งเสียงให้ชายหน้าขาว


“ศิษย์ผู้นี้มีคุณสมบัติด้อยมาก คิดไม่ถึงว่าจะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ต่อให้กายเนื้อจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ใช่ร่างจิตวิญญาณอะไร ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงฝึกฝนเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางได้ คาดว่าคงจะทานโอสถเป็นจำนวนมาก”


“หากเป็นเช่นนี้ อาศัยแค่พลังของโอสถในการยกระดับพลัง ก็เป็นการฝืนกฎเกณฑ์การพัฒนาเกินไป มาจนถึงระดับเขตแดนนี้ ก็คงไม่ค่อยมีพลังที่มีศักยภาพมากนัก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่คุ้มที่เจ้ากับข้าจะเปลืองแรงบ่มเพาะแล้ว ศิษย์สายในของยอดเขาเมฆาหยกก็มีไม่น้อย ทรัพยากรที่ทางนิกายแบ่งมาให้คงไม่เพียงพอ” พอชายหน้าขาวได้ยิน ก็กล่าวด้วยความเสียดายเล็กน้อย


“ศิษย์พี่กล่าวได้ถูกต้อง นอกจากนี้บริเวณทะเลจิตวิญญาณของคนผู้นี้ ยังมีร่องรอยการระเบิดตัวของตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่ก่อตัวแล้ว ดูท่าต่อไปคงไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งได้อีก” เด็กชายส่งเสียงต่อ


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็นำเรื่องนี้ไปรายงานหอคุมกฎของนิกายยอดบริสุทธิ์ ให้พวกเขาตัดสินก็พอแล้ว” ชายหน้าขาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่เด็กผู้นี้เคยฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ จะจัดการอย่างไรดี เพราะเขาได้วิชามาจากลิ่วยิน ก็สามารถพูดได้ว่า ได้รับวิชามาจากยอดเขาเมฆาหยกโดยทางอ้อมเช่นกัน หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง เกรงว่าจะทำให้ผู้คนครหาได้” เด็กชายคิดใคร่ครวญแล้วกล่าวออกมา


“เรื่องเหล่านี้ใยข้ากับเจ้าต้องพิจารณาด้วยเล่า จะจัดการอย่างไรนั้น ทางหอคุมกฎก็มีกฎที่ชัดเจนอยู่แล้ว และเจ้าพวกที่อยู่หอคุมกฎ กลัวคนครหายิ่งกว่าพวกเราอีก” ชายหน้าขาวหัวเราะเยือกเย็นแล้วส่งเสียงกลับไป


“ศิษย์พี่เฉียบแหลมยิ่งนัก!” เด็กชายเข้าใจในทันที และตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด


หลิ่วหมิงรออยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็ถูกทั้งสองส่งออกไปด้วยสีหน้าเยือกเย็น จนเขาต้องเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา ดูท่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน คุณสมบัติของเขาก็ไม่ดีพอ


เมื่อหลิ่วหมิงออกจากวิหารใหญ่แล้ว ชายหน้าขาวก็เล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้อย่างละเอียด และผนึกไว้ในแผ่นหยกอันหนึ่ง จากนั้นก็ให้ชายชุดดำในก่อนหน้านั้นนำไปส่งที่หอดำเนินการ และก็นับว่าเรื่องนี้ได้สิ้นสุดแล้ว


หลิ่วหมิงกลับถึงที่พักไม่นาน อวี้ชิงซือไท่ก็พาเจียหลานออกไปจากหอ


เช้าตรู่วันที่สาม ก็มีชายใบหน้าเคร่งขรึมมาอยู่หน้าประตู


ชายผู้นี้ใช้สายตาเคร่งขรึมสังเกตดูหลิ่วหมิงรอบหนึ่ง จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบป้ายคำสั่งหอคุมกฎออกมาโบก และกล่าวอย่างราบเรียบ


“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงสินะ ข้าเก่อหลินจากหอคุมกฎ ที่มาวันนี้เพื่อถ่ายทอดคำตัดสินของหอคุมกฎให้กับเจ้า”


หลิ่วหมิงรู้สึกหนักอึ้งในใจ ดูท่าเรื่องที่คนผู้นี้จะพูดคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร


“จากการตรวจสอบของนิกาย เจ้าเป็นผู้สืบทอดของนิกายเล็กๆ ซึ่งลิ่วยินที่เป็นศิษย์นิกายเราได้สร้างไว้ เจ้าเคยฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของศิษย์สายตรงในนิกายยอดบริสุทธิ์ คำตัดสินแรก เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งเป็นคัมภีร์ลับของนิกายเรา เจ้าเป็นคนนอกไม่คุณสมบัติที่จะฝึกฝน เดิมทีควรจะทำลายวิชาที่เกี่ยวข้อง แต่จากการตรวจสอบ ตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่เจ้าบ่มเพาะขึ้นมาได้เสียหายไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงนับว่าถูกทำลายไปแล้ว จึงสามารถละเว้นการดำเนินการในเรื่องนี้ได้”


พอชายหนุ่มพูดมาถึงตรงนี้ ก็หยุดพักเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และไม่รอให้หลิ่วหมิงพูดอะไรออกมา


“คำตัดสินที่สอง เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็เป็นวิชาที่ต้องเป็นศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ ถึงจะสามารถฝึกฝนได้ เจ้าเองก็ไม่มีคุณสมบัติเช่นกัน แต่ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สืบทอดของศิษย์สายตรงในนิกายยอดบริสุทธิ์ ทั้งยังไม่มีความรู้มาก่อน แต่ก็ฝึกฝนวิชานี้แล้ว ด้วยเหตุนี้ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าสามารถยืดหยุ่นได้อย่างสมบูรณ์ และผู้อาวุโสของหอคุมกฎได้หารือเรื่องนี้กันแล้ว ตอนนี้ให้เจ้าสองทางเลือก ทางเลือกที่หนึ่งก็เหมือนกับเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง ให้ทางหอคุมกฎทำลายความสามารถที่เกี่ยวข้อง และเปลี่ยนเป็นวิชาที่เหมาะสมอื่นๆ ที่นิกายจะมอบให้ บวกกับโอสถจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง เพื่อช่วยให้เจ้าฝึกฝนถึงจนถึงระดับหนึ่ง ทางเลือกที่สอง นิกายเราสามารถยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ ให้เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬต่อไป แต่เคล็ดวิชานี้ เป็นวิชาลับของนิกายเรา ด้วยเหตุนี้ เจ้าต้องส่งมอบหนึ่งล้านแต้มคุณูปการของนิกายยอดบริสุทธิ์ และจ่ายให้ครบภายในร้อยปี เพื่อเป็นค่าตอบแทนจำนวนมากในการแลกเปลี่ยนกับวิชานี้ จากนี้ไปทางนิกายจะไม่สืบหามูลเหตุของเรื่องนี้อีก หากถึงเวลาแล้วยังไม่สามารถชำระได้หมด จะยังคงใช้ทางเลือกที่หนึ่งในการจัดการ”


ศิษย์หอคุมกฎผู้นี้ พูดคำพูดทั้งหมดออกมาภายในอึดใจเดียว จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิง และรอคำตอบรับจากเขา


“ศิษย์เลือกทางเลือกที่สอง”


หลิ่วหมิงฟังจบ ก็ดูเหมือนจะไม่ลังเลที่จะเลือกทางเลือกที่สอง


ตั้งแต่เขาควบแน่นไอปีศาจสำเร็จ ก็ฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาจนถึงวันนี้ แม้จะบอกว่าหากทำลายไปแล้ว จะสามารถเปลี่ยนเป็นวิชาอื่นที่เหมาะสมได้ แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า อานุภาพของมันจะต้องห่างชั้นจากสุดยอดวิชาอย่างเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอย่างแน่นอน


นอกจากนี้หลังจากทำลายวิชาไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดภัยพิบัติแฝงมาก็ได้ เหมือนกับตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งในก่อนหน้านั้น ตอนนี้เขาไม่อาจหลอมรวมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ทั่วไปได้อีก


จุดที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ฟองอากาศลึกลับในร่างหลิ่วหมิง จะดูดกลืนพลังเวทอีกครั้งในอีกหนึ่งปีครึ่ง หากทำลายเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬไปในตอนนี้ ก็เท่ากับว่าตัดสินโทษตายให้กับตัวเอง


ส่วนแต้มคุณูปการของนิกายยอดบริสุทธิ์หนึ่งล้านแต้มนั้น ก็ได้แต่ดำเนินการไปทีละขั้นตอนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมีเวลาชำระร้อยปี คงไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป หลิ่วหมิงได้แต่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้


ชายวัยกลางคนได้ยินก็พยักหน้า ประจักษ์ชัดว่าการเลือกของหลิ่วหมิงอยู่ในการคาดการณ์ของเขา ทันใดนั้นเขาก็ประกาศคำตัดสินข้อที่สามของหอคุมกฎต่อ


“ในเมื่อเจ้าเลือกเช่นนี้ เนื่องจากสถานะของเจ้าพิเศษ เป็นศิษย์สายตรงของลิ่วยิน บวกกับต้องการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬต่อ ด้วยเหตุนี้ทางหอคุมกฎจึงให้เจ้าเป็นศิษย์สายนอกของนิกายเป็นกรณีพิเศษ และยังละเว้นการทดสอบก่อนเข้านิกาย โดยไม่สนข้อจำกัดในเรื่องคุณสมบัติ”


พอหลิ่วหมิงได้ยิน ก็รีบกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ


คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวผู้หนึ่ง จะเป็นได้แค่ศิษย์สายนอก ดูท่านิกายยอดบริสุทธิ์คงจะแข็งแกร่งกว่าที่คาดคิดไว้มากนัก


ด้วยเหตุนี้ การดำรงอยู่ของระดับผลึก ต่อให้จะไม่มีมากมายราวกับขนวัว แต่เกรงว่าคงพอที่จะยืนมั่นในนิกายยอดบริสุทธิ์เท่านั้น


นิกายปีศาจในตอนนั้น ศิษย์สายนอกเป็นแค่ผู้ฝึกปราณเท่านั้น พอเปิดจิตวิญญาณสำเร็จและเลื่อนเป็นศิษย์จิตวิญญาณ ก็สามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้ และผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ไม่ว่าจะในนิกายหรือทั่วทั้งแผ่นดินอวิ๋นชวน ต่างก็เป็นแกนกำลังสำคัญเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่ง


แน่นอนว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาก็รู้ตั้งนานแล้วว่า ความแข็งแกร่งและทรัพยากรในเขตพื้นที่ห่างไกลอย่างแผ่นดินอวิ๋นชวน แตกต่างจากแผ่นดินจงเทียนหลายร้อยหลายพันเท่า


ด้วยเหตุนี้ การได้เข้าร่วมนิกายยอดบริสุทธิ์ที่เป็นที่เพิ่งขนาดใหญ่เช่นนี้ ต่อให้จะเป็นแค่ศิษย์สายนอก ก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากแล้ว สำหรับคำตัดสินของหอคุมกฎ เขาย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ และยอมรับด้วยความยินดียิ่ง


ชายจากหอคุมกฎเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าเล็กน้อย ทันใดก็ตบเอวด้วยมือข้างหนึ่ง และหยิบสมุดหยกเล่มหนึ่งกับแผ่นป้ายอันหนึ่งออกมา


สมุดหยกมีขนาดเท่ากับหนังสือ บนนั้นมีอักขระสลับซับซ้อนสลักอยู่จำนวนหนึ่ง


หลิ่วหมิงเองก็นับว่าเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างไกล แต่กลับไม่รู้จักอักขระที่อยู่บนสมุดหยกแม้แต่ตัวเดียว


ส่วนแผ่นป้ายมีขนาดพอๆ กับฝ่ามือ พื้นผิวของมันเปล่งแสงแวววาว บนนั้นมีอักขระสีเขียวอ่อนประทับอยู่ ‘นิกายยอดบริสุทธิ์สายนอก’ และมันก็แผ่ไอเย็นออกมาตลอดเวลา ราวกับว่าสร้างมาจากน้ำแข็ง


“หยดโลหิตบริสุทธิ์ลงบนสมุดหยกกับแผ่นป้าย เช่นนี้ก็นับว่าเสร็จพิธีเข้าร่วมนิกายแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


หลิ่วหมิงพยักหน้า และหยดเลือดใส่สมุดหยกกับแผ่นป้าย จากนั้นมันก็ซึมเข้าไปอย่างรวดเร็ว


มีเงาร่างพร่ามัวพุ่งขึ้นมาจากสมุดหยกอยู่ครู่หนึ่ง ครู่เดียวก็กลายเป็นภาพหลิ่วหมิงที่ดูราวกับมีชีวิต


และแผ่นป้ายก็มีแสงสีเขียวไหลวนอยู่ครู่หนึ่ง จนดูราวกับมีชีวิตและค่อยๆ เกาะตัวเป็นอักขระที่อ่านว่า ‘หลิ่วหมิง’ จากนั้นก็กระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย


“ตอนนี้นับว่าเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายเราอย่างเป็นทางการแล้ว นี่คือป้ายของเจ้า อย่าได้ทำหายเป็นอันขาด นับแต่นี้เป็นต้นไป การไปตามสถานที่ต่างๆ ในนิกาย ต่างก็ต้องใช้ป้ายยืนยันสถานะ นอกจากนี้ ในเมื่อเจ้ากลายเป็นศิษย์สายนอกแล้วก็ ก่อนอื่นต้องไปรายงานตัวที่หองานนอกก่อน และที่รับรองแขกแห่งนี้ เจ้าไม่สามารถอยู่ได้แล้ว ทางนิกายจะจัดการที่พักอีกแห่งให้กับเจ้า” ในตอนท้าย ชายผู้นี้ได้อธิบายเกี่ยวกับสถานที่ที่ต้องระมัดระวังไปสองสามประโยค จากนั้นก็เก็บสมุดหยก


หลังจากมอบป้ายให้หลิ่วหมิงแล้ว ก็กำชับอีกสองสามประโยค จากนั้นก็จากไป


หลิ่วหมิงมองดูป้ายในมือ และส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจดูเล็กน้อย ก็ค้นพบว่าด้านในมีชั้นจำกัดประทับอยู่เป็นจำนวนมาก คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำชิ้นหนึ่ง


“นิกายยอดบริสุทธิ์มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลมากจริงๆ สมกับที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ แค่ป้ายสถานะยังเป็นอาวุธจิตวิญญาณเลย” หลิ่วหมิงพูดพึมพำเบาๆ และเดินไปหาชายที่อยู่ชั้นหนึ่งของหอ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับตำแหน่งของหองานนอกที่พูดถึง จากนั้นก็ขี่เมฆพุ่งไปที่นั่น


……


ในขณะเดียวกัน บนยอดเขาอีกแห่งของนิกายยอดบริสุทธิ์


ยอดเขาแห่งนี้ก็สูงใหญ่เหมือนกับยอดเขาเมฆาหยก มองจากล่างขึ้นบนจะเห็นว่ามันสูงทะลุเมฆจนมองไม่เห็นปลายสุดของยอด ต้นไม้โบราณจำนวนมากสูงเสียดฟ้า และปกคลุมไปทั่วยอดเขา


บริเวณปลายยอดเขา ท่ามกลางเมฆหมอกที่ลอยวน มีศาลาและหอที่แกะสลักอย่างสวยงามจำนวนมาก ซ้อนกันแน่นขนัด ดูงดงามและเรียบง่ายเป็นอย่างมาก


สถานที่แห่งนี้ก็คือยอดเขาเลื่อนลอยที่มีชื่อเสียงของนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง


ภายในห้องโถงแห่งหนึ่งที่อยู่บนยอดเขา หญิงใบหน้างดงามผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก


ด้านซ้ายของนาง คือเจียหลานที่กำลังนั่งอยู่เงียบๆ ไม่รู้ว่านางเปลี่ยนเป็นชุดสีฟ้าตั้งแต่เมื่อใด และหญิงผู้นี้กำลังใช้นิ้วแตะบนหน้าผากของนางเบาๆ


ปลายนิ้วของหญิงผู้นี้มีแสงสีม่วงเปล่งประกายไม่หยุด ดวงตางดงามของเจียหลานหลับสนิท ระหว่างคิ้วของนางดูเจ็บปวดเล็กน้อย


ไม่นานหญิงผู้นี้ก็หดนิ้วกลับมา และกล่าวด้วยสีหน้าพอใจ


“ดีมาก! เจ้ามีร่างมายาสวรรค์จริงๆ เหมาะสมกับการฝึกฝนวิชาของยอดเขาเลื่อนลอยเรามาก และพลังจิตของเจ้ายังแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะเทียบกับระดับผลึกได้แล้ว คงเคยพบโชคมาก่อนใช่ไหม?”


“ใช่แล้ว!” เจียหลานลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และพยักหน้าตอบรับเบาๆ มีความสับสนซับซ้อนอยู่ในประกายตาลึกๆ


ตอนที่ 469 เจดีย์ซวีหลิง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ดี! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราจะรับเจ้าไว้ ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าก็เป็นศิษย์สายในของยอดเขาเลื่อนลอย” หญิงงดงามไม่ได้ซักถามอะไรต่อ แต่กลับประกาศออกมาตามตรง


“ศิษย์คารวะอาจารย์!” เจียหลานโค้งตัวคารวะ


หญิงงดงามพยักหน้าแล้วลุกขึ้นมา จากนั้นก็พาเจียหลานเดินเข้าไปด้านในของห้องโถงใหญ่


……


บริเวณรอบๆ เขาหมื่นวิญญาณ ท่ามกลางหุบเขาที่ดูธรรมดาๆ บางแห่ง


บนแปลงสมุนไพรที่อยู่ข้างกระท่อมโกโรโกโสแห่งหนึ่ง พลันมีเสียงร้องด้วยความตกใจระคนดีใจ


“อะไรนะ! มีข่าวของปู่ลิ่วยินแล้วหรือ และคนผู้นั้นยังเป็นศิษย์สายนอกแล้วด้วย ดีไปเลย! ไป! ไป! รีบนำข่าวนี้ไปบอกเฟยเอ๋อร์ ให้เขาไปหาคนผู้นี้ ดูว่าท่านปูทิ้งคำพูดอะไรไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างเราบ้าง ท่านย่ากลัดกลุ้มเป็นทุกข์ในเรื่องนี้มาโดยตลอด”


พอเสียงนี้สิ้นสุดลง ก็มีเงาร่างหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า และเคลื่อนอย่างรวดเร็วไม่กี่ที ก็หายไปตรงขอบฟ้า


……


สองชั่วยามต่อมา


หลิ่วหมิงมาตามทางที่บอก จนมาถึงยอดเขาสูงใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของกลุ่มเขา


หองานนอกที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นลานราบเรียบขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางยอดเขาที่สร้างแยกออกมา


สิ่งก่อสร้างบนนั้นมีไม่มากนัก นอกจากหอขนาดใหญ่กับหออื่นๆ อีกสองสามหลังแล้ว ก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดที่สามารถพูดถึงได้อีก


หลิ่วหมิงสังเกตดูจากกลางอากาศเล็กน้อย จากนั้นก็ร่อนลงด้านนอกหอขนาดใหญ่


“หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงกล้าบุกรุกหองานนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์เรา?” พอหลิ่วหมิงเพิ่งจะตั้งหลักได้ ก็มีน้ำเสียงเคร่งขรึมดังเข้ามา จากนั้นชายหนุ่มเสื้อแดงสองคน ก็ตะคอกใส่หลิ่วหมิง


“ข้าน้อยหลิ่วหมิง เพิ่งจะเป็นศิษย์สายนอก ตั้งใจมาหองานนอกเพื่อทำพิธีการเข้านิกาย” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบอธิบายออกมา


“อ้าว! การรับสมัครศิษย์สายนอกในปีนี้ได้สิ้นสุดไปนานแล้ว หรือว่าเจ้าถูกแนะนำมาจากที่ใด?” พอเห็นหลิ่วหมิงบอกว่าเป็นศิษย์สายนอกเช่นกัน ชายหนึ่งในนั้นก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย หลังจากสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามทีแล้ว ก็ถามด้วยความสงสัย


“ข้าได้รับคำแนะนำจากหอคุมกฎให้เข้านิกาย นี่คือป้ายของข้า” หลิ่วหมิงหยิบป้ายประจำตัวออกมา


“หอคุมกฎแนะนำมา?” ชายเสื้อแดงสองคนสบตากันทีหนึ่ง และงงงันเล็กน้อย


หนึ่งในนั้นรีบก้าวเข้ามา และรับป้ายของหลิ่วหมิงไปตรวจสอบอย่างละเอียด


“อืม! ศิษย์น้อง ในเมื่อเจ้าผ่านการตรวจสอบของนิกายเราแล้ว ก็ตามข้ามาเถอะ!” คนผู้นี้มีสีหน้าผ่อนคลายลง จากนั้นก็คืนป้ายให้กับหลิ่วหมิง และพาเขาเข้าไปด้านใน


ชายเสื้อแดงอีกคนก็มองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง แต่กลับไม่ได้เข้าไป ยังคงตระเวนสังเกตการณ์อยู่หน้าประตู


“ศิษย์น้องหลิ่ว เมื่อครู่ล่วงเกินแล้ว เป็นเพราะก่อนหน้านั้น หองานนอกของเราเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น จึงทำให้ช่วงนี้ศิษย์อย่างพวกข้ารู้สึกตรึงเครียดมาก……” ขณะที่เดินไปด้านหน้า ชายเสื้อแดงก็หัวเราะเหอะๆ ไปด้วย


หลิ่วหมิงพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว!


ด้านในหอใหญ่ค่อนข้างเงียบเชียบมาก ตลอดทางไม่พบเห็นคนอื่นๆ เลย


ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงหน้าห้องรับรองที่อยู่ข้างห้องโถง


ชายเสื้อแดงแสดงท่าทีให้หลิ่วหมิงรออยู่หน้าประตู ส่วนตนเองก็ขอป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิงแล้วเดินเข้าไปด้านใน ไม่นานก็เดินออกมา ในมือมียันต์เก็บของเพิ่มขึ้นมาผืนหนึ่ง


“นี่เป็นสิ่งของเข้านิกายที่ทางนิกายมอบให้ศิษย์สายนอก เจ้าสามารถดูก่อนได้ ข้าจะไปเชิญผู้อาวุโสที่ดำเนินการอยู่ที่นี่ มาจัดการเรื่องเข้าสังกัดสาขาที่ฝึกฝน” ชายเสื้อแดงหัวเราะเฮ่อๆ! และยื่นยันต์เก็บของให้หลิ่วหมิง จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน


หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณและรับยันต์เก็บของไว้ พอปล่อยจิตกวาดดูด้านใน ก็ค้นพบว่านอกจากเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งกับอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำชิ้นหนึ่งแล้ว ยังมีโอสถอยู่หลายขวดกับหินจิตวิญญาณจำนวนไม่น้อย


ไม่นาน ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งท่านหนึ่งก็เดินออกจากข้างใน และชายเสื้อแดงในก่อนหน้านั้น ก็เดินตามหลังอย่างนอบน้อม


“เจ้าเป็นศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่หรือ?” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งจ้องมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และถามอย่างราบเรียบ


“เป็นศิษย์เอง” หลิ่วหมิงรีบทำความเคารพ การฝึกฝนของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งผู้นี้ ลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดาได้ กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็แข็งแกร่งกว่าเฟิงจ้านมากนัก


“อืม! ข้าได้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวข้องที่หอคุมกฎส่งมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นผู้สืบทอดของลิ่วยินที่เป็นศิษย์สายตรงของนิกายเราเมื่อหลายพันปีก่อน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ส่งเจ้าไปสาขาห่านฟ้าที่ลิ่วยินออกมาในสมัยก่อนก็แล้วกัน” ขณะที่พูด ชายร่างผอมแห้งก็หยิบสมุดหยกออกมาเล่มหนึ่ง หลังจากใช้นิ้วแตะผ่านอากาศไปสองสามทีแล้ว ก็ขีดอะไรไว้บนนั้น


“สาขาห่านฟ้าเป็นหนึ่งในแปดสาขาใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์เรา ศิษย์สายนอกที่ตั้งมั่นอยู่ที่นั่นมีราวๆ สามพันคน ในเมื่อวันนี้เจ้าเข้านิกายยอดบริสุทธิ์เราแล้ว จะต้องรักษากฎให้ดี เย่ถู เจ้าพาเขาไปรายงานตัวที่สาขาเถอะ! ถือโอกาสนี้บอกกฎของที่นั่นให้เขาฟังด้วย” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งเก็บสมุดหยก และสั่งชายเสื้อแดง จากนั้นตนเองก็เดินกลับเข้าไป


เย่ถูย่อมตอบรับอย่างนอบน้อม “ทราบ!”


หลิ่วหมิงก็โค้งตัวคารวะส่งผู้อาวุโส


“น่าสนใจจริงๆ มีผู้สืบทอดของศิษย์สายตรงเมื่อหลายพันปีก่อนเข้าร่วมนิกาย มิน่าล่ะ! บนตัวเขาถึงมีกลิ่นไอวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ครั้งนี้เจ้าพวกคร่ำครึเข้มงวดที่หอคุมกฎเหล่านั้น กลับไม่ทำลายวิชาของเขา ช่างเป็นเรื่องที่พบเจอได้น้อยมาก” พอผู้อาวุโสผอมแห้งเดินไปไกลแล้ว ก็พูดพึมพำออกมา


หลิ่วหมิงทั้งสองออกไปจากหองานนอก และขึ้นไปบนรถเหาะที่ชายเสื้อแดงปล่อยออกมา จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสาขาห่านฟ้า


ศิษย์หองานนอกที่ชื่อถูเย่ผู้นี้คุยเก่งยิ่งนัก จากการคุยอย่างสนุกในระหว่างทาง หลิ่วหมิงก็ได้ข้อมูลจากเขามาไม่น้อย


ก่อนอื่นศิษย์สายนอกที่พูดถึงแตกต่างจากที่หลิ่วหมิงคิดไว้มากนัก


ระดับการฝึกฝนของศิษย์สายนอกในนิกายยอดบริสุทธิ์แตกต่างกันมาก ระดับต่ำมีตั้งแต่ศิษย์จิตวิญญาณที่เพิ่งเข้านิกายมาไม่นาน ระดับสูงก็มีตั้งแต่ระดับของเหลวขั้นปลายที่ใกล้จะเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว


และเกณฑ์การรับโดยทั่วไป ล้วนอาศัยระดับการฝึกฝนเป็นตัววัด บวกกับผ่านการทดสอบหนึ่งครั้ง มีเพียงแต่ผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น ถึงจะเข้าร่วมศิษย์สายนอกของสาขาได้


แตกต่างจากนิกายปีศาจก็คือ จุดมุ่งหมายเดียวของศิษย์สายนอกในนิกายยอดบริสุทธิ์ คือฝึกฝนและใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อเป็นศิษย์สายใน มิเช่นนั้นพออายุเกินห้าสิบแล้วยังไม่ได้เป็นศิษย์สายในล่ะก็ จะถูกไล่ออกจากสาขา และกลายเป็นศิษย์ทั่วไปอยู่ที่หองานอื่นที่ซับซ้อน ไม่ได้รับการปฏิบัติดังเช่นศิษย์สายนอกอีก


“ดังนั้นสามารถพูดได้ว่า การเป็นศิษย์สายในของนิกายเรา ก็เป็นความใฝ่ฝันของผู้ฝึกฝนในแผ่นดินจงเทียนจำนวนมาก เพราะสถานที่แห่งนี้สามารถฝึกฝนได้อย่างเต็มที่” เย่ถูกล่าวออกมา


“แต่ก่อนศิษย์พี่เย่ก็เป็นศิษย์สายนอกหรือ?” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็ถามออกไปด้วยความสนใจ


“ใช่แล้ว! แต่ข้าไม่ได้เป็นศิษย์สายในก่อนอายุสามสิบ จึงถูกดึงมาอยู่ที่หองานนอกนี้ แน่นอนว่าการปฏิบัติกับศิษย์สายนอกเหล่านี้ เมื่อเทียบกับศิษย์สายใน และศิษย์สายตรงที่เล่าลือแล้ว ย่อมไม่อาจเทียบกันได้ ศิษย์สายในกับศิษย์สายตรงถึงเป็นหัวใจสำคัญในการทุ่มกำลังบ่มเพาะของนิกายอย่างแท้จริง พอกลายเป็นศิษย์สายใน ไม่เพียงแต่จะได้รับทรัพยากรการฝึกฝนเพิ่มขึ้นทวี แต่ยังสามารถฝึกฝนวิชาของนิกายในระดับที่ลึกซึ้งได้ การเข้าสู่ระดับแก่นแท้ในภายหน้า หรือระดับที่สูงกว่าก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” พอเย่ถูเล่ามาถึงจุดนี้ ก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้ ดวงตาของเขาเผยแววใฝ่หาออกมาเล็กน้อย


“ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าทำอย่างไรถึงจะกลายเป็นศิษย์สายในได้ หวังว่าศิษย์พี่เย่จะช่วยชี้แนะเล็กน้อย” พอหลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็ถามด้วยแววตาที่เป็นประกาย


“ศิษย์สายนอกที่อยากเป็นศิษย์สายใน มีแค่สามวิถีทางเท่านั้น หนึ่งคือต้องมีคุณสมบัติล้ำเลิศ จนผู้อาวุโสแต่ละยอดเขาในนิกายยอดบริสุทธิ์เห็นความสำคัญ ทุกๆ สามปี ผู้อาวุโสยอดเขาจะใช้สิทธิพิเศษหนึ่งครั้ง ในการรับศิษย์สายนอกสองสามคนเข้าไปเป็นศิษย์สายในของยอดเขาตนเอง วิถีทางที่สองคือ ตนเองจะต้องไปฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิง เพียงแค่ไปถึงชั้นที่สามสิบหกได้ ก็สามารถเลือกเป็นศิษย์สายในของยอดเขาไหนก็ได้ วิถีทางที่สามคือ หากสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับผลึกก่อนอายุห้าสิบ ก็จะกลายเป็นศิษย์สายในโดยปริยาย” เย่ถูกล่าวออกมาตามตรง โดยไม่คิดจะปิดบังอะไร


พอหลิ่วหมิงฟังวิถีทางกลายเป็นศิษย์สายในที่เย่ถูพูดออกมาจบ เขาก็คิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว


วิถีทางแรก ต้องมีคุณสมบัติเป็นเลิศ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตนเองเลย นึกถึงสีหน้าเยือกเย็นของผู้อาวุโสบนยอดเขาเมฆาเขียวทั้งสอง หลังจากที่ตรวจสอบคุณสมบัติของเขาเสร็จแล้ว หลิ่วหมิงก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


วิถีทางที่สอง การไปฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิงที่พูดถึงนั้น แม้เขาจะไม่รู้ว่าเจดีย์แห่งนี้มีสภาพเช่นใด แต่กลับเป็นวิถีทางหนึ่งที่เขาอยากจะลองดู


ส่วนวิถีทางที่สาม ที่ว่าต้องเข้าสู่ระดับผลึกก่อนอายุห้าสิบนั้น ย่อมไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เพราะจากความคืบหน้าในการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ เกรงว่ายังไม่ทันเข้าสู่ระดับผลึก ก็คงถูกฟองอากาศลึกลับดูดพลังเวทจนกลายเป็นศพแห้งๆ แล้ว


ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ หากอยากจะกลายเป็นศิษย์สายใน ก็มีแต่การฝ่าไปให้ถึงชั้นที่สามสิบหกของเจดีย์ซวีหลิงเท่านั้น


เพียงแค่เขากลายเป็นศิษย์สายใน ก็จะได้รับทรัพยากรการฝึกฝนที่มากขึ้น ทำให้ระดับการฝึกฝนเพิ่มขึ้นทวี เช่นนี้แล้วจะได้ไม่ต้องหวาดกลัวว่า จะถูกฟองอากาศลึกลับดูดกลืนพลังเวทไปจนหมด


“ศิษย์พี่เย่ พอจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับเจดีย์ซวีหลิงให้ข้าฟังได้หรือไม่?” พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็เริ่มสอบถามเรื่องเกี่ยวกับเจดีย์ซวีหลิงกับเย่ถู


“ศิษย์น้องหลิ่วเพิ่งเข้านิกายเรา ย่อมไม่รู้อะไร! ความจริงแล้ว เจดีย์ซวีหลิงเป็นฐานที่มั่นของนิกายเรา ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความลับอะไร ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในอาวุธเวทสามอย่างที่สามารถก่อเกิดสติปัญญาด้วยตนเองได้ ปกติจะตั้งไว้บนยอดเขาซวีหลิงตลอดปี ศิษย์ผู้ใดก็ตาม เพียงแต่ใช้แต้มคุณูปการจำนวนหนึ่ง ก็สามารถเข้าไปฝึกฝนตนเองในนั้นได้” เย่ถูเล่าให้หลิ่วหมิงฟังโดยไม่คิดอะไรมาก


“เจดีย์นี้มีทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดชั้น แต่ละชั้นต่างก็สามารถสร้างปีศาจอสูรชนิดต่างๆ ออกมารับมือกับผู้ฝ่าด่านเจดีย์ ระดับความยากในแต่ละชั้นจะเพิ่มทวีขึ้นตามลำดับ และพลังของตัวประหลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาในทุกๆ สามสิบสองชั้น จะถูกยกระดับขึ้นมาเท่าตัว หากศิษย์น้องอยากใช้วิธีการฝ่าด่านเจดีย์เพื่อเป็นศิษย์สายในล่ะก็ ต้องผ่านชั้นที่สามสิบหกให้ได้ ว่ากันว่าชั้นที่สามสิบหก จะมีปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลาย ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกันถึงสี่ตัว หากมีวิธีทำให้ปีศาจอสูรทั้งสี่ตัวพ่ายแพ้ได้ล่ะก็ เกรงว่าคงเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกแล้ว ซึ่งส่วนมากก็ไม่จำเป็นต้องไปบุกเจดีย์แต่อย่างใด ลำพังแค่ระดับการฝึกฝนนี้ ก็สามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้แล้ว คนส่วนมากใช้วิถีทางแรกกับวิถีทางที่สามกัน” พอเล่ามาถึงจุดนี้ ถูเย่ก็ถอนหายใจยาวออกมา


…………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)