ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 461-467

ตอนที่ 461 กุมมือกัน

 

ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง


 


 


ชั่วขณะที่เสียสมาธิไปนั้น หางของอสุรกายโลกันตร์ก็ฟาดมาทางนี้ พุ่งเป้ามาที่หน้าผากของนาง!


 


 


ในตอนนั้น ตู๋กูซิงหลันรู้สึกแต่ว่าใต้ฝ่าเท้าว่างเปล่า ร่างเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนที่เย็นยะเยือก


 


 


ได้ยินเสียง ‘ตึ้ง’ ดังขึ้นมา หางของอสุรกายโลกันตร์ฟาดลงมาบนแขนของจีเฉวียนอย่างรุนแรง


 


 


ขนาดตู๋กูซิงหลันถูกเขาโอบเอาไว้ในอ้อมแขน ยังรู้สึกได้ถึงแรงฟาดที่รุนแรงจนกระดูกสั่นสะท้าน


 


 


แทบจะทำให้คนกระอักเลือดออกมา!


 


 


บนแขนของจีเฉวียนปรากฏหมอกสีดำที่เข้มข้นหนาแน่น รับแรงฟาดของอสุรกายโลกันตร์เมื่อครู่นี้เอาไว้


 


 


มือของเขายังคงกุบดาบสีดำทองเล่มนั้นเอาไว้ ตัวดาบเกิดรอยร้าวขึ้นมารอยหนึ่ง


 


 


ดาบเล่มนั้นแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าดาบยักษ์ แม้แต่ยามที่เข้าปะทะกับพัดวายุหลายครั้งก็ยังไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย ตอนนี้ถูกอสุรกายโลกันตร์นั่นฟาดลงมา กลับเกิดรอยร้าว


 


 


เห็นได้ชัดว่า เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงไหน!


 


 


ตู๋กูซิงหลันลืมตาขึ้นมา ก็ได้สบตาเข้ากับสายตาของจีเฉวียนพอดี นางไม่เคยเห็นแววตาที่จริงจังในดวงเนตรหงส์คู่นั้นเช่นนี้มาก่อนเลย


 


 


เขาเอ่ยว่า “ซิงซิง เจ้าเป็นห่วงเรา”


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ตอบ นางสมควรคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว…..ว่าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ไม่มีท่างตายได้ง่ายๆ


 


 


เขามันคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ดวงแข็งยิ่ง!


 


 


“ข้ารู้อยู่แล้วว่า ในใจของเจ้าต้องมีข้าอยู่อย่างแน่นอน” มุมปากของเขายกโค้ง มือข้างที่กอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้รัดจนแนบแน่น


 


 


ดวงพักตร์ที่งดงามล้ำโลกนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างปิดไม่มิด


 


 


เราไม่มีทางยอมตาย…..อย่างน้อยๆก่อนที่จะได้ปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย ก็จะไม่ยอมตาย


 


 


พระองค์พลิกพระหัตถ์ที่กุมดาบสีดำทองนั้นไปไว้ด้านหลังในมุมที่ตู๋กูซิงหลันมองไม่เห็น ข้อพระหัตถ์มีโลหิตไหลซึมออกมา


 


 


พอเห็นว่ามนุษย์ที่เดิมสมควรถูกตนเองกระทืบจนตายไปแล้วกลับยังปรากฏตัวขึ้นมาได้อีก อสุรกายโลกันตร์ก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมา


 


 


มันถูกตู๋กูซิงหลันแทงดวงตาจนบอดไปข้างหนึ่ง เดิมที่ก็เดือดดาลจนบ้าคลั่งอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมาเห็นไอ้มนุษย์ที่สมควรตายผู้นั้นมาเพ้อรำพันความรักอีก ย่อมทนไม่ไหวอีกต่อไป!


 


 


มังส่งเสียงคำรามโบกหางขนาดใหญ่ที่มีลาวาติดอยู่ ฟาดออกไป


 


 


แต่ว่าคราวนี้ จู๋จู๋ที่มีใบหน้าเป็นคนร่างเป็นมังกรทะลวงร่างกายอันใหญ่โตโอฬารผ่านแผ่นน้ำแข็งที่สูงท่วมฟ้าเข้ามาแล้ว มันอ้าปากขึ้นพ่นเกล็ดน้ำแข็งจำนวนมหาศาลออกมา


 


 


เกล็ดน้ำแข็งแต่ละก้อนทั้งใหญ่และหนา หนักเท่าเสาหลักของวังมังกรทมิฬ


 


 


พอสาดออกมา แม้แต่หางของอสุรกายโลกันตร์ก็ยังแข็งค้าง


 


 


จีเฉวียนโอบตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ขยับร่างไหววูบเหาะไปในอากาศร่อนลงบนศีรษะของจู๋จู๋ แววพระเนตรเย็นชา จับจ้องอยู่ที่อสุรกายโลกันตร์และด้านหลังของอสุรกายโลกันตร์…..เยี่ยเฉินที่กำลังจะหลบหนี


 


 


อุปนิสัยของเยี่ยเฉินนั้นทั้งหยิ่งผยองและดื้อดึง ทางว่าเป็นตัวเขาเพียงลำพัง เกรงว่าต่อให้ต้องตายก็จะรบให้ได้ ตอนนี้กลับคิดแต่จะหลบหนี ไปให้ไกลจากที่นี่


 


 


จีเฉวียนหรี่ดวงเนตรหงส์ทั้งคู่ลง ไม่คิดจะปล่อยเขาไปแม้แต่น้อย


 


 


พระองค์วางตู๋กูซิงหลันลง คนหนึ่งกุมดาบยักษ์เอาไว้ อีกคนหนึ่งถือดาบดำทอง ทั้งสองยืนอยู่บนร่างของจู๋จู๋ หนึ่งแดงหนึ่งดำ งดงามจนผู้คนต่างสูดลมหายใจเข้าไป


 


 


“ตัวประหลาดนี้หากไม่กำจัดให้สิ้นซาก เกิดหลุดออกไปนอกก้นทะเลก็จะกลายเป็นความยุ่งยากมหาศาล” ตู๋กูซิงหลันยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา ถัดจากก้นทะเลออกไปก็คือทะเลตะวันตก จากทะเลตะวันตกก็คือแคว้นเหยียน


 


 


เมื่อไม่นานมานี้แคว้นเหยียนพึ่งจะประสบกับมหันตภัยยิ่งใหญ่ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาฟื้นฟู ไม่อาจทนรับกับมหันตภัยอีกครั้งได้


 


 


ในเมื่อนางเป็นฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นเหยียน ตู๋กูซิงหลันก็มีภาระและหน้าที่ที่จะต้องปกป้องประชาชนของตนเอง


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นหากว่าตัวประหลาดตัวนี้หลุดเข้าไปในแดนมนุษย์ เกรงว่าทั่วทั้งแผ่นดินคงต้องตกอยู่ในเปลวเพลิงแล้ว


 


 


เหล่านักพรตบนแผ่นดินหากต้องรับมือเจ้าตัวประหลาดนี้ เกรงว่าคงจะไม่พอให้มันยาขี้ฟันด้วยซ้ำ!


 


 


ขณะที่ตู๋กูซิงหลันมองไปยังจีเฉวียน จีเฉวียนก็หันมาสบตานางเช่นกัน


 


 


“เรารู้ถึงความคิดในใจของเจ้าอยู่แล้ว ย่อมต้องไม่ปล่อยมันออกไปอย่างแน่นอน” จีเฉวียนตรัสต่อไป พลางยื่นพระหัตถ์ออกไปหานาง “ซิงซิง เรารู้ว่าในใจของเจ้าห่วงใยชีวิตของผู้คนนับพันนับหมื่น ร่วมมือกับเรา เจ้าตัวประหลาดนี้ย่อมไม่อาจออกไปได้”


 


 


แม้จีเฉวียนเป็นคนโหดเ**้ยม แต่ก็เป็นฮ่องเต้ที่ดีอย่างยิ่ง จุดนี้เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง


 


 


หวาชางสุ่ยนั้นตายไปแล้ว พระองค์กับตู๋กูซิงหลันสามารถเลือกที่ปล่อยทุกสิ่งตรงหน้าไว้ หลบหนีจากไป ทอดทิ้งเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ไว้โดยไม่ต้องสนใจ หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัยอย่างอิสระเสรี


 


 


ด้วยพลังและความสามารถของทั้งสองในยามนี้ คิดจะไปครอบครองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในที่ใดก็ได้ทั้งนั้น


 


 


แต่ว่าคนโหดๆทั้งสองคนนี้กลับเป็นผู้ที่มีความรักอันยิ่งใหญ่ต่อใต้หล้า


 


 


ไม่อาจทนมองดูซากศพกลาดเกลื่อนทั่วพื้นแผ่นดินได้ …..ดังนั้นความคิดและจิตใจจึงพุ่งไปในทางเดียวกัน


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูเขาอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง ในชั่วพริบตานั้นเหมือนนางจะได้เห็นเงาของท่านอาจารย์จากร่างของเขา


 


 


ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ท่านอาจารย์เคยบาดเจ็บครั้งหนึ่ง เพราะใช้พลังทั้งหมดไปช่วยชีวิตของผู้คนในเมืองเมืองหนึ่งเอาไว้


 


 


ตอนนั้นท่านอาจารย์บอกว่า ผู้คนทั้งหลายใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก การช่วยชีวิตผู้คนก็เท่ากับเป็นการช่วยชีวิตตนเอง


 


 


ตอนนั้นนางไม่เข้าใจ


 


 


รู้สึกแค่ว่าการช่วยเหลือสรรพชีวิต ช่างเป็นเรื่องโอ้อวดศักดามากเกินไป


 


 


แต่ว่าตอนนี้นางได้เรียนรู้จากประสบการณ์แล้ว นางเคยได้พบเห็นแผ่นดินที่งดงามเจริญรุ่งเรือง และก็เคยได้พบเห็นผู้คนใต้หล้าที่ตกระกำลำบาก


 


 


ได้เจอญาติพี่น้อง พอเห็นคนมีครอบครัวมีความรักอันอบอุ่นจำต้องพรากจากกัน ……ก็เกิดความเห็นอกเห็นใจขึ้นมา


 


 


จีเฉวียนและท่านอาจารย์มีรูปโฉมที่ไม่เหมือนกัน อุปนิสัยยิ่งแตกต่างกันมาก แต่ว่ามีอย่างหนึ่ง ที่ทั้งสองมีตรงกัน นั่นก็คือจิตใจที่ห่วงใยสรรพชีวิต มีเมตตาอันยิ่งใหญ่


 


 


ทรวงอกของนางเต้นตึกตัก ในขณะที่แววตาของจีเฉวียนกำลังรอคอยด้วยความมุ่งมั่นอยู่นั้น ในที่สุดนางก็ยื่นมือออกไปกุมมือของเขาเอาไว้


 


 


“ตกลง ไปด้วยกัน” นางพยักหน้า เกาะกุมมือของจีเฉวียนเอาไว้อย่างแนบแน่น


 


 


ปล่อยเยี่ยเฉินเอาไว้ด้านนั้นก่อน รอให้จัดการเจ้าตัวประหลาดนี้เรียบร้อยแล้ว ค่อยไปคิดบัญชีกับเขาทีหลัง!


 


 


อสุรกายโลกันตร์ขุ่นเคืองจนกระทืบเท้าไปมา!


 


 


ไม่เห็นหรือว่ามันเอาจริงเอาจังกับการต่อสู้ครั้งนี้ถึงเพียงไหนหรือไง? เจ้ามนุษย์สองคนนี้ถึงได้ยังกล้ามาจับมือจับไม้แสดงความรักต่อกันอยู่อีก?”


 


 


ภาพตรงหน้าแทบจะทำให้มันย้อนนึกไปถึงเมื่อหมื่นปีก่อนโน่น สองคนนั้นก็เช่นกัน จะต่อสู้ก็ยังจะจับมือกันเอาไว้ จะเป็นจะตายก็จะไปด้วยกันอย่างเหนียวแน่น!


 


 


รักใคร่กลมเกลียวจนสมควรถูกเผาตายไปเสีย!


 


 


อย่าให้รอดไปได้แม้สักคน!


 


 


จู๋จู๋พ่นเกล็ดน้ำแข็งจำนวนมหาศาลออกมาควบคุมกำลังของน้ำทะเลที่จะทะลักเข้ามาเอาไว้ ขณะที่หางมังกรสีแดงขนาดใหญ่ของมันก็โบกสะบัดออกไป ต่อสู้อย่างพัวพันกับหางของอสุรกายโลกันตร์


 


 


ตัวหนึ่งครอบครองน้ำ ตัวหนึ่งครอบครองไฟ


 


 


หางของทั้งสองฟาดฟันเข้าใส่กัน จนเกิดเสียงอึกทึกคึกโครม เพียงแค่เสียงกระแทกฟาดฟันก็เพียงพอจะทำให้ร่างที่ได้ยินสะท้านจะสลายได้แล้ว


 


 


“โจมตีที่ตาของมัน!” ตู๋กูซิงหลันกุมดาบยักษ์เอาไว้ กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนออกไป


 


 


หากใช้กำลังเข้าสู้ เกรงว่าต่อให้นางกับจีเฉวียนรวมกันก็คงยังไม่อาจแทงเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ให้ตายได้ ได้แต่ใช้แผนการเข้าจู่โจมแล้ว


 


 


ต้องบีบให้มันถอยกลับลงไปใต้ภูเขาไร้สิ้นสุด ค่อยกักขังมันเอาไว้ในนั้นอีกครั้ง


 


 


ตู๋กูซิงหลันวางแผนการเอาไว้เช่นนี้


 


 


จีเฉวียนขยิบตารับ ขยับร่างไหววูบ ควงดาบเข้าโจมตี


 


 


……………………..


 


 


ใต้หุบเหวไร้ก้น เยี่ยจ้านกังวลจนจิตใจไม่สงบ


 


 


ถึงแม้ว่าหุบเหวไร้ก้นจะอยู่ลึกสุดหยั่ง แต่ว่าเขาก็ยังได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านบนอยู่ไม่ขาด


 


 


และยิ่งมีลาวาไหลลงมาในหุบเหวไร้ก้นอย่างต่อเนื่อง


 


 


เขาขมวดคิ้วมุ่น…..


 


 


อสุรกายโลกันตร์ถูกปลดปล่อยออกมาแล้วหรือ?


 


 


ด้วยกำลังของเสี่ยวหลัน ยังไม่อาจต้านทานมันได้ …..เพราะตอนนั้นยังต้องอาศัยกำลังของเขาและซื่อมั่วสองคนร่วมกันจึงจะสามารถบีบบังคับมันให้ลงไปใต้ภูเขาไร้สิ้นสุดได้


 


 


ในตอนนั้นเอง ในมือของเขาก็ปรากฏลูกแก้วลูกหนึ่งขึ้นมา


 


 


ท่ามกลางความมืดมิดในหุบเหวไร้ก้น ลูกแก้วกระพริบส่องแสงจากภายใน จากนั้นก็ปรากฏแสงสว่างที่งดงามออกมา

 

 

 


ตอนที่ 462 ซื่อมั่ว?

 

ภายในลูกแก้ว ท่ามกลางความมืดมิดที่ครอบคลุมทั่วผืนฟ้าและผืนดิน ดวงตาสีม่วงเข้มคู่หนึ่งปรากฏขึ้นมา


 


 


นั่นเป็นดวงตาที่พิเศษอย่างยิ่งคู่หนึ่ง แววตาดุจหงส์ดุจมังกร


 


 


ดวงตาคู่นั้นเพียงเผยอขึ้นมาเล็กน้อย ขนตาที่ทั้งยาวและหนาเป็นแพแทบจะปิดบังประกายในแววตาเอาไว้จนสิ้น


 


 


ถึงแม้ว่าเยี่ยจ้านจะมองไม่เห็น แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในลูกแก้ว


 


 


“ซื่อมั่ว” เนิ่นนาน เขาถึงได้เอ่ยปากขึ้นมา “ข้ารู้ว่า เจ้าได้ยินเสียงของข้า”


 


 


อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยตอบตน เขาอยู่ในความมืดมิดภายในลูกแก้ว ราวกับคนภายนอกที่เร้นกายจากโลกหล้า นอกจากความมืดมิดที่ครอบคลุมไปทั่วผืนฟ้าแล้ว ข้างกายของเขาก็เหมือนจะไม่มีสิ่งอื่นใดอีก


 


 


แม้แต่เยี่ยจ้านเองก็ยังไม่มั่นใจว่าในลูกแก้วนั่นมีคนผู้หนึ่งอยู่จริงๆหรือไม่


 


 


เขาถอนใจออกมาเบาๆ ผ่านไปอีกนานพักใหญ่ค่อยเอ่ยว่า “เดิมทีข้าไม่ควรติดต่อกับเจ้า …..แต่ว่าเสี่ยวหลันเจอกับเรื่องยุ่งยากบางประการเข้า…..”


 


 


พอเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เยี่ยจ้านก็รู้สึกว่าไม่อาจรักษาหน้าของตนเองเอาไว้ได้


 


 


ตอนนั้นก็ต้องฝากฝังเสี่ยวหลันให้ซื่อมั่วดูแล…..ให้เขาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ที่จริงต้องถือว่าติดค้างบุญคุณซื่อมั่วมากแล้ว


 


 


หากว่าเขาสามารถไปจากหุบเหวไร้ก้นบึ้งนี้ได้สิ่งแรกที่จะกระทำย่อมต้องเป็นการออกไปช่วยเหลือเสี่ยวหลัน แต่ว่าน่าเสียดาย….ที่เขาไม่อาจจากไปแม้แต่ครึ่งก้าว


 


 


ทันทีที่ไปจากที่นี่ ความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คงจะสูญเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ชั่วชีวิตนี้คงไม่อาจเสาะหาเศษเสี้ยววิญญาณของชิงชิงได้อีก


 


 


ดังนั้นเขาจึงได้แต่มาขอร้องซื่อมั่วอีกครั้งแล้ว


 


 


เพราะถึงอย่างไรพวกเขาทั้งสองก็เคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน……


 


 


พอเอ่ยชื่อของเสี่ยวหลันขึ้นมา ดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้นถึงได้กระพริบ


 


 


ครู่ต่อมาดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้นก็ลืมขึ้น ทำให้ทั่วทั้งลูกแก้วถูกย้อมไปด้วยแสงสีม่วงเข้มอมดำไปในทันที


 


 


ดวงตาคู่นั้นคล้ายจะปกคลุมด้วยความอึมครึมที่ไร้สิ้นสุด แต่ในขณะเดียวกันก็มีประกายแสงสีม่วงวาวอยู่ด้วย


 


 


เยี่ยจ้านสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เขาเอ่ยต่อทันทีว่า “อสุรกายโลกันตร์ถูกปล่อยออกมาแล้ว….เสี่ยวหลันกำลังต่อสู้กับมันอยู่”


 


 


“นางต้องการล้างแค้นให้กับมารดา ข้าปลดผนึกพลังให้กับนางแล้ว…..”


 


 


เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย ก็เห็นแสงสีม่วงนั้นคล้ายจะเปล่งประกายออกมาจากลูกแก้วพร้อมกับพลังที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่าง


 


 


แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเยี่ยจ้านก็ยังรู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วร่าง


 


 


“เหนือหุบเหวไร้ก้น ยังมีเผ่ามุนษย์ผู้หนึ่งที่มีกลิ่นอายพลังของเจ้า…เขากับเสี่ยวหลันสนิทสนมกันมาก…..”


 


 


ที่จริงเยี่ยจ้านคิดจะถามว่า ชาวมนุษย์ผู้นั้นกับเจ้ามีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่


 


 


ใต้หล้านี้ จะมีเผ่ามนุษย์คนใดที่สามารถรองรับพลังของเขาได้กัน ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีพลังจากหยกสรรพชีวิตอยู่หลายชิ้น


 


 


เพียงแต่ว่าคำพูดยังไม่ทันได้กล่าวออกมา เยี่ยจ้านก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังออกมาจากลูกแก้ว


 


 


“ซื่อมั่ว?” เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พิงร่างเขากับต้นไม้มังกรส่งเสียงเรียกออกมาอีกครั้งหนึ่ง


 


 


อีกนานพักใหญ่ ก็มีเสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยตอบเขา “เผิงอี้”


 


 


เผิงอี้ คือชื่อตัวของเยี่ยจ้าน


 


 


มีแต่คนที่สนิทสนมกันเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกเขาด้วยชื่อนี้ได้


 


 


เพียงแต่น้ำเสียงนั้นกับเรียบเฉย ไม่มีเค้าของความยินดีที่สหายเก่าได้กลับมาพบกันอีกครั้งเลยแม้แต่น้อย จนไม่อาจจับเค้าลางได้ว่าเขามีอารมณ์หวั่นไหวบ้างหรือไม่


 


 


เขายังคงเป็นเช่นเดิม ที่ไม่ว่าเรื่องใดๆก็ไม่สามารถทำให้บุรุษผู้นี้โยกคลอนได้ทั้งสิ้น


 


 


เยี่ยจ้านอ้าปากขึ้นมา คิดจะเอ่ยคำออกไป ก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยออกมาอย่างเฉยชาว่า “เจ้ามันเป็นบิดาที่แสนจะล้มเหลว”


 


 


เยี่ยจ้านน้ำตาคลอหน่วย “ทำไมเจ้าต้องพูดแทงใจดำข้าด้วย …..ไม่เจอกันมานานหลายปี ยังคงไร้ความปรานีไม่มีเปลี่ยน”


 


 


อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเขา เยี่ยจ้านไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความมีชีวิตแม้แต่น้อย…..


 


 


“เจ้ามาด้วยจิตวิญญาณกระนั้นหรือ?” เขาคว้ากิ่งไม้เอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏแววประหลาดใจอย่างอดไม่ได้


 


 


เขาต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปถึงหนึ่งพันปีจึงจะสามารถทำให้ลูกแก้วกลับมามีพลังข้ามมิติได้อีกครั้ง ตามเหตุผลแล้วนี่เพียงพอที่จะให้ซื่อมั่วข้ามผ่านมาพร้อมร่างของตนเองได้แล้ว แต่ว่าทำไมเขาถึงได้ทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายด้วยการ ข้ามมาด้วยจิตวิญญาณเช่นนี้?


 


 


จิตวิญญาณที่ออกห่างจากร่างเนื้อ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งอยู่แล้ว แถมยังก้าวข้ามมิติมา….ต่อให้เขาแข็งแกร่งเพียงไหน นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับการหาเรื่องตาย


 


 


คนผู้นี้….ที่แท้ก็ห่วงใยเสี่ยวหลันถึงเพียงนั้น?


 


 


ก็คงใช่…..เสี่ยวหลันถูกเขาเลี้ยงดูมากับมือจนเติบโต …..สนิทสนมใกล้ชิดยิ่งกว่าพ่อแม่แท้ๆ เกรงว่าตลอดหลายปีมานี้ซื่อมั่วคงจะถือว่านางคือบุตรสาวแท้ๆไปตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


เยี่ยจ้านได้แต่ครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ในใจ


 


 


ยามนี้รอบกายของเขามีแต่เสียงสายลมพัดดังหวีดหวิว ในขณะที่ด้านบนของหุบเหวไร้ก้นก็มีหินลาวาหล่นลงมามากมายอย่างต่อเนื่อง


 


 


เขาโบกกิ่งไม้ในมือออกไป พลังวิญญานพุ่งขึ้นไปเป็นสายมากมาย ตรงเข้าทำลายก้อนหินลาวาต่างๆจนระเบิดเป็นผุยผง


 


 


จิตวิญญาณของชิงชิงหลับลึกอยู่ใต้ผืนดิน ไม่อาจปล่อยให้นางถูกรบกวนแม้แต่น้อย


 


 


เขาทางหนึ่งโบกสะบัดกิ่งไม้ในมือ ทางหนึ่งก็มองออกไปที่เหนือหุบเหวไร้ก้น…..


 


 


ซื่อมั่วจะลงมือด้วยต้นเองหรือไม่?


 


 


เดิมทีภายในลูกแก้วนั้นมีแต่ความมืดมิดไร้สิ้นสุด ตอนนี้ความมืดมิดเหล่านั้นได้จางหายไปแล้ว จนปรากฏพระจันทร์เต็มด้วยสีเลือดขึ้นมาแทน


 


 


 


 


ใต้พระจันทร์เต็มดวงนั้น มีเรือนหลังหนึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา


 


 


…………………………


 


 


 


 


การต่อสู้ที่เผ่ามังกรทมิฬ สร้างผลกระทบสั่นสะเทือนไปถึงทะเลตะวันตกแล้ว


 


 


คลื่นน้ำเหนือทะเลตะวันตกม้วนตัวอย่างรุนแรง เมืองที่อยู่ริมทะเลถึงกับจมลงไปครึ่งหนึ่ง


 


 


หลายร้อยปีมานี้ เมืองริมทะเลอยู่ในความสงบสุขมาโดยตลอด แม้แต่เหตุการณ์ที่มีผีดิบอาละวาดเมืองหลายเดือนก่อนก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมาจนถึงที่นี่ ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆก็จะถูกน้ำทะเลพัดจมลงไปครึ่งหนึ่ง


 


 


ตอนนี้ดูท่าแล้ว คงจะมีชีวิตมากมายหลายหมื่นที่จะต้องจมน้ำตายไป


 


 


แต่ว่าในชั่วขณะนั้นเอง น้ำทะเลที่ม้วนตัวเป็นคลื่นโถมเข้ามาพลันถูกพลังบางอย่างที่ไร้ที่มาทำให้กลายเป็นน้ำแข็งไป


 


 


เหล่าคนมากมายที่รอดพ้นจากความตาย พากันหลบหนีอย่างอลหม่าน


 


 


“ดูสิ…..เกิดอะไรขึ้นในทะเลกันแน่?”


 


 


พอหลบหนีขึ้นไปบนภูเขาสูง ถึงได้มีคนมองไปทางทะเลตะวันตกพลางร้องตะโกนว่า


 


 


“นั้นคือ……ลูกไฟ?”


 


 


ฝูงชนต่างก็แตกตื่นด้วยความไม่เข้าใจ น้ำแข็งและไฟจะมาปรากฏขึ้นพร้อมกันได้อย่างไร?


 


 


ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปจนไม่รู้ว่าไกลสักเท่าไร พวกเขาก็ยังคงสามารถมองเห็นได้ว่า ใต้ผืนน้ำแข็งที่ครอบคลุมอยู่ทั่วผืนทะเลตะวันตกนั้น มีลูกไฟดวงใหญ่กำลังพวยพุ่งอยู่ภายใน


 


 


และสิ่งที่พ่นลูกไฟออกมานั้น คล้ายจะเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่อะไรสักอย่าง


 


 


เนื่องเพราะว่ามีชั้นน้ำแข็งขวางกั้นอยู่ พวกเขาจึงมองเห็นแค่เพียงโครงร่างที่เลือนรางเท่านั้น


 


 


ผู้คนทั้งหมดต่างตกตะลึงไป ต่อแต่นี้ไปแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้คงไม่อาจสงบสุขได้อีกแล้ว


 


 


……………………..


 


 


 


 


ใต้ทะเล ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกรบ ทั้งสองยืนอยู่บนร่างของจู๋จู๋ ทั้งสองต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดจึงสามารถต่อสู้กับอสุรกายโลกันตร์ได้อย่างสูสี


 


 


มันกลืนกินหวาชางสุ่ยลงไป ร่างกายเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งกว่าเดิม เปลวเพลิงที่พวยพุ่งออกมาจึงยิ่งร้อนระอุกว่าเดิม สามารถแผดเผาทุกสิ่ง!


 


 


สงครามครั้งนี้ เจ้าตัวประหลาดนี่หลบหนีออกจากก้นทะเลลึก ออกไปจนถึงทะเลตะวันตก ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์เหนือท้องทะเล


 


 


หากมิใช่ว่าจู๋จู๋ทำให้น้ำทะเลกลายเป็นน้ำแข็งได้อย่างทันท่วงที เกรงว่าเมืองริมทะเลทั้งหมดคงจะต้องกลายเป็นขุมนรกไปแล้ว


 


 


อสุรกายโลกันตร์ส่งเสียงคำรามกึกก้อง มันถูกทำลายดวงตาไปสองดวงแล้ว จึงอาละวาดอย่างคุ้มคลั่ง


 


 


มันกางเล็บตะกุย ขยุ้มลงไปจนใต้พื้นทะเลมีแต่ความระเนระนาด


 


 


รอยร้าวบนตัวดาบดำทองของจีเฉวียนยิ่งทีก็ยิ่งขยายเพิ่มขึ้น จนเห็นได้ชัดเจนว่าใกล้จะแตกหักเข้าไปทุกทีแล้ว


 


 


เดิมทีพระองค์กับตู๋กูซิงหลันคิดจะบีบเจ้าตัวประหลาดนี่กลับลงไปที่ใต้ภูเขาไร้สิ้นสุด ไหนเลยจะรู้ว่ามันอ่านแผนการของพวกเขาออก จึงชิงหลบหนีออกไปก่อน

 

 

 


ตอนที่ 463 ฮ่องเต้หญิงแห่งต้าโจว

 

ไม่อาจให้มันหลุดออกจากทะเลตะวันตก!


 


 


มิเช่นนั้นทั่วทั้งแผ่นดินจะต้องกลายเป็นขุมนรก


 


 


ฉลองพระองค์สีดำทองของจีเฉวียนอาบไปด้วยโลหิต แต่เพราะฉลองพระองค์เป็นสีทึบจึงทำให้มองเห็นไม่ชัด


 


 


พระองค์เหลือบพระเนตรมองไปยังตู๋กูซิงหลันที่อยู่ข้างกาย ใบหน้าของนางเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด มือที่กุมดาบยักษ์เอาไว้ชุ่มไปด้วยเลือด


 


 


ดวงหน้าที่งดงามล้ำโลกถูกความร้อนจากร่างของอสุรกายโลกันต์เผาจนแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งผาดจนแตกระแหง


 


 


จีเฉวียนขมวดพระขนง….ตอนที่ถูกส่งไปเป็นเชลยที่แคว้นเหยียน จนเกือบจะถูกสัตว์อสูรสังหาร พระองค์ถึงได้รู้ว่าในร่างกายของตนเองมีพลังที่ไม่ธรรมดา


 


 


พระองค์สามารถมองเห็นสิ่งลี้ลับมาตั้งแต่ยามเยาว์วัย ประสบการณ์เฉียดตายครั้งนั้นทำให้พระองค์ทรงค้นพบความสามารถของพระองค์เอง


 


 


พระองค์ทรงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แข็งแกร่งจนถึงขึ้นที่ว่าสามารถดูดซับพลังของหยกสรรพชีวิต


 


 


แข็งแกร่งถึงขนาดที่สามารถสังหารน้องสาวของชือหลีได้ในดาบเดียว


 


 


แข็งแกร่งจนถึงขนาดที่ตนเองก็ไม่รู้ว่าถึงเพียงไหน …..ตลอดหลายปีมานี้แม้แต่พระองค์ก็ไม่ทรงทราบว่าตนเองคือสิ่งใดกันแน่


 


 


ขนาดเสาะหาจากตำราโบราณมากมายก็มีแต่ข้อสรุปเพียงคร่าวๆว่า……พลังของราชาแห่งขุมนรก


 


 


ตลอดหลายปีมานี้พระองค์พยายามเก็บงำพลังของตนเองไว้ แม้แต่คนในวังยังเข้าใจว่าพระองค์เป็นเพียงฮ่องเต้ธรรมดาผู้หนึ่ง


 


 


ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า พลังส่วนนี้จีเฉวียนทรงซุกซ่อนเอาไว้ ไม่เคยยอมให้ปรากฏออกมาโดยง่าย


 


 


แต่ว่าวันนี้พระองค์จำต้องใช้พลังอันแข็งแกร่งทั้งหมดที่มี


 


 


เพราะว่าพละกำลังของอสุรกายโลกันตร์ตัวนี้ แข็งแกร่งกว่าที่ทรงคาดเอาไว้


 


 


ถึงตู๋กูซิงหลันจะปลดผนึกพลังของจิตมังกรทมิฬออกมาแล้ว แต่เมื่อต้องต่อสู้กับอสุรกายโลกันตร์ ก็ยังสิ้นเปลืองกำลังมากเกินไป


 


 


ส่วนพระองค์……ก็ยังคงมีร่างเป็นมนุษย์ธรรมดา


 


 


ด้วยพลังของอสุรกายโลกันตร์ มีแต่ต้องอาศัยความร่วมมือของซื่อมั่วและเยี่ยจ้านเท่านั้นจึงจะสามารถกำราบสัตว์อสูรตัวนี้ได้!


 


 


อสูรที่แม้แต่ชาวสวรรค์ก็ยังได้แต่ลืมตาดูอย่างไม่อาจทำอะไรได้!


 


 


ต่อให้จีเฉวียนแข็งแกร่งเพียงไร…..แต่ว่าร่างกายของมนุษย์จะสามารถต่อกรกับอสุรกายได้อย่างไร!


 


 


พอทอดพระเนตรดูสาวน้อยในชุดสีแดงข้างพระองค์ที่หอบหายใจหนักๆอยู่ตลอด เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากมือของนาง จีเฉวียนก็ทรงตัดสินใจดั่งที่ทรงคิดเอาไว้แต่แรกแล้ว


 


 


“ซิงซิง” พระหัตถ์ข้างหนึ่งยังกุบดาบดำทองทีใกล้จะหักเต็มทีเอาไว้ พระหัตถ์อีกข้างกุมมือของนางอย่างแนบแน่น


 


 


“หืม?” ฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันทั้งเหนียวและลื่นไปด้วยเลือด


 


 


นางปาดเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากออกไป ถึงแม้ว่าจู๋จู๋จะเป็นสัตว์อสูรสายน้ำแข็ง แต่ว่ามันก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับอสุรกายโลกันตร์ พวกเขาจึงถูกความร้อนจากเปลวเพลิงของอสุรกายโลกันตร์แผดเผาจนทรมาน


 


 


ตอนนี้ในสายตาของนางเห็นแต่อสุรกายโลกันตร์ เจ้าสัตว์ประหลาดนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้ ที่นางไม่ได้บาดเจ็บจากการต่อสู้ครั้งนี้……ก็เพราะว่ามีจีเฉวียนคอยรับเอาไว้แทน


 


 


เขารับเอาไว้โดยไม่เคยส่งเสียงใดๆออกมา นอกจากดวงพักตร์ที่ซีดขาวแล้วก็แทบจะดูไม่ออกว่าเป็นอย่างไรบ้าง


 


 


ยามนี้พอถูกเขาเรียกขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็รีบหันไปมองดูเขาในทันที


 


 


พอกวาดตามองไป ก็เห็นจีเฉวียนกำลังแย้มสรวลให้กับนาง “ข้าไม่เคยชอบฉางซุนอิงมากก่อน”


 


 


คำอธิบายนี้ หากไม่บอกออกมาเกรงว่าต่อไปคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว


 


 


ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันมิได้สนใจเลยว่าเขาชอบฉางซุนอิงหรือไม่…..


 


 


นางขยับดาบยักษ์ขึ้นมา ขณะจะอ้าปากขึ้นก็ได้ยินเสียงของเขาเอ่ยว่า “ ยังโชคดี….ที่เจ้าไม่เคยรักข้า”


 


 


ในเมื่อไม่เคยรัก หากว่าต้องสูญเสีย หัวใจก็จะไม่ปวดร้าว


 


 


จีเฉวียนปกปิดประกายในดวงเนตรอย่างไม่เต็มพระทัย


 


 


ทอดพระเนตรมองดูนางราวกับจะเก็บแววตาทั้งหมดของนางเข้าไปในแก่นกระดูก


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่เข้าใจเลยว่าประโยคที่จู่จู่เขาก็เอ่ยขึ้นมานี้หมายความว่าอะไร…..


 


 


พระองค์คว้ามือของนางอย่างแนบแน่น ในที่สุดก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป โอบกอดนางเอาไว้ในพระอุระ จุมพิศลงไปบนริมฝีปากของนางอย่างลึกล้ำ


 


 


จูบนี้…….คือการจากลา


 


 


พระองค์จะจดจำทุกสิ่งของนางเอาไว้ จำจดกลิ่นอายของนาง จดจำสัมผัสจากริมฝีปากของนาง จดจำว่าพระองค์รักนาง


 


 


รักอย่างลึกล้ำ!


 


 


“เราเชื่อว่า เจ้าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีกว่าเรา” ชั่วขณะที่ปล่อยนาง พระองค์ทอดพระเนตรลงไปในดวงตาดอกท้อของนาง เห็นเงาของพระองค์เองปรากฏอยู่ในนั้นอย่างชัดเจน


 


 


ในแววตาของตู๋กูซิงหลันเคยมีพระองค์อยู่…..เพียงเท่านี้จีเฉวียนก็ทรงพอพระทัยแล้ว


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกเขาจูบจนมึนงงไป พวกนางกำลังเผชิญหน้ากับอสุรกายโลกันตร์ ที่จริงเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าอย่างที่สุดแล้ว เขากลับมาทำเรื่องนั้นในตอนนี้เพื่ออะไร?


 


 


ขณะที่สิ้นเสียงของจีเฉวียน อสุรกายโลกันตร์ก็ตะปบกรงเล็บลงมาอีกครั้ง


 


 


กรงเล็บของมันมีเปลวเพลิงสีทองลุกท่วม ทะลวงออกมาจากจากกำแพงน้ำแข็งตรงหน้าของพวกนาง ประหนึ่งภูเขาลูกหนึ่งทะลายลงมากดทับ


 


 


จีเฉวียนผลักตู๋กูซิงหลันออกไปไกลหลายร้อยเมตร ในขณะที่จู๋จู๋ก็ไล่ตามไปที่ข้างกายตู๋กูซิงหลันในทันที


 


 


ขณะที่หนึ่งคนหนึ่งสัตว์อสูรลอยออกไปไกลจากระยะอันตรายของอสุรกายโลกันตร์ ก็เห็นจีเฉวียนหันพระองค์กลับไปหาอสุรกายตัวนั้น


 


 


“จีเฉวียน!” ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไร


 


 


นางสะบัดดาบครั้งหนึ่งคิดจะไล่ตามไป แต่ว่าครั้งนี้จู๋จู๋กลับขับพลังทั้งหมดออกมาใช้เส้มผมสีทองของตนเองตรึงนางเอาไว้


 


 


ก่อนที่จะออกเดินทางมาฝ่าบาททรงเคยกำชับเอาไว้แล้ว มิว่าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตู๋กูซิงหลันก่อนเป็นอันดับแรก


 


 


คำสั่งนี้ถูกจารึกลึกไปในสมองของมัน


 


 


ที่ฝ่าบาททรงนำมันมายังก้นทะเลลึกในครั้งนี้มิใช่เพื่อโจมตี แต่ว่าเพื่อปกป้องซิงซิงของพระองค์


 


 


ดังนั้นผู้ที่จู๋จู๋เลือกจะปกป้องเป็นอันดับแรกก็คือตู๋กูซิงหลัน ไม่ใช่จีเฉวียน


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกมัดเอาไว้ทั่วทั้งร่าง เดิมทีนางก็ต่อสู้มาจนเหน็ดเหนื่อยสิ้นเรี่ยวแรงมาแต่แรกแล้ว ยามนี้พอถูกจู๋จู๋จับมัดเอาไว้ทั้งตัว โผล่มาเพียงแค่ศีรษะ จึงไม่อาจขยับร่างได้ชั่วขณะ


 


 


นางมองดูเงาหลังของจีเฉวียนที่ลอยห่างไปเรื่อยๆ ก็ตะโกนออกไปว่า “ตกลงกันแล้วนี่ว่าจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ นี่ท่านจะไปตายคนเดียวหรือยังไง?”


 


 


เสียงนั้นทะลวงผ่านกำแพงเปลวเพลิงของอสุรกายโลกันตร์ ไปจนถึงพระกรรณของจีเฉวียนอย่างชัดเจน


 


 


พระองค์ขมวดพระขนง หากเปรียบเทียบกับการที่ต้องตายพร้อมกันแล้ว …..ทรงหวังให้นางมีชีวิตต่อไปอย่างดีมากกว่า


 


 


พระหัตถ์ของพระองค์กุมด้ามดาบดำทองเอาไว้ พลังในร่างถูกขับออกมา พุ่งร่างไปหาศีรษะที่อยู่ตรงกลางของมัน


 


 


หมอกดำที่ครอบคลุมพระองค์อยู่แทบจะถูกเปลวเพลิงของอสุรกายโลกันตร์เผาผลาญจนสูญสิ้น แม้แต่ฉลองพระองค์สีดำทองก็ยังติดไฟขึ้นมาบางส่วน


 


 


แต่ว่าพระองค์ก็ยังทรงกุมดาบพุ่งเข้าไปอย่างไม่มีลังเล ดาบนี้มุ่งเข้าไปหาศีรษะที่อยู่ตรงกลางของอสุรกายโลกันตร์


 


 


ดาบดำทองแทงลงไปในร่างได้เพียงสามนิ้วก็ถูกลาวาที่อยู่บนศีรษะของอสุรกายโลกันตร์หลอมจนหักสะบั้นไป


 


 


ขณะที่พระองค์ทรงบุกเข้าไปหาอสุรกายโลกันตร์ด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า ศีรษะที่อยู่ด้านข้างทั้งสองศีรษะก็พุ่งลงมาจู่โจมพระองค์ ปีกขนาดใหญ่ด้านหลังโบกสะบัดอย่างรุนแรง มุ่งจะทำลายมนุษย์ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้ให้ย่อยยับดับสูญ


 


 


จีเฉวียนกลับหลบหลีกออกมาในวูบเดียว เปลี่ยนทิศทางเป็นพุ่งไปยังก้นทะเลลึก


 


 


พระองค์ตั้งพระทัยจะยั่วยุโทสะของอสุรกายโลกันตร์


 


 


อสุรกายโลกันตร์โกรธเคืองจนเกรี้ยวกราด มันคำรามออกมาครั้งหนึ่งก็หันศีรษะไล่ตามพระองค์ไป


 


 


หนึ่งคนหนึ่งอสุรกายหายลับไปจากทะเลตะวันตกอย่างรวดเร็ว เหลือแต่เพียงเปลวเพลิงที่ลุกไหม้เป็นทางทอดยาวออกไปไกล


 


 


“จีเฉวียน!” ตู๋กูซิงหลันตะโกนออกไปจากบนศีรษะของจู๋จู๋


 


 


จีเฉวียนมิได้ทรงหันพระพักตร์กลับมา พระองค์ตั้งพระทัยจะเป็นผู้ครองใต้หล้า แต่ไหนแต่ไรก็มิได้หลงใหลในความฟุ้งเฟ้อและลาภยศสรรเสริญของการเป็นฮ่องเต้อยู่แล้ว


 


 


พระองค์ปรารถนาให้ใต้หล้ามีแต่ความสงบสุข ให้ทุกผู้ทุกนามล้วนได้มีชีวิตที่เป็นสุขและปลอดภัย


 


 


ให้แสงสว่างส่องไปถึงดินแดนที่มืดมิด ให้คนที่ตกอยู่ในความมืด สามารถยื่นมือออกไปสัมผัสกับแสงสว่าง


 


 


แต่ว่าวันนี้พระองค์กลับยินดีที่จะเสียสละตนเองเพื่อแลกมาซึ่งความสงบสุขและปลอดภัยของนาง


 


 


ซิงซิง ถึงตอนนี้เหตุผลที่เราต้องการปกป้องใต้หล้านั้นได้เพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่งแล้ว นั่นคือ……เพื่อปกป้องเจ้านั่นเอง


 


 


พระองค์ทรงทราบว่านางแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หลังจากที่พระองค์กำจัดเภทภัยอย่างอสุรกายโลกันตร์ได้แล้ว ใต้หล้าก็จะคืนสู่ความสงบสุข และด้วยความสามารถของนางย่อมเพียงพอที่จะกลายเป็นผู้ปกครองใต้หล้า


 


 


แผ่นดินต้าโจวนั้น……พระองค์จะทรงส่งมอบให้กับนาง


 


 


ราชโองการที่อยู่หลังแผ่นป้ายชื่อเหนือท้องพระโรงนั้น…..ก็คือราชโองการที่จะแต่งตั้งนางเป็นฮ่องเต้หญิงแห่งต้าโจวนั่นเอง

 

 

 


ตอนที่ 464 ที่แท้นางก็ชอบจีเฉวียน / ต...

 

ตอนที่ 464 ที่แท้นางก็ชอบจีเฉวียน


 


 


พระองค์ไม่ได้ทรงคิดว่าตนเองจะรอดกลับไปตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


พระองค์ทรงคิดที่จะเสียสละพระชนม์ของตนเพื่อปูทางให้กับนางมาตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


ในที่สุดยามนี้ ริมพระโอษฐ์ของฮ่องเต้ก็แย้มสรวลออกมา พระองค์กุมดาบดำทองที่หักแล้วเอาไว้ มุ่งหน้าไปยังก้นทะเลลึก พุ่งสู่ความมืดมิดไร้สิ้นสุดแต่เพียงลำพัง


 


 


จะอย่างไรเสียย่อมต้องมีใครสักคนที่รับหน้าที่นำทางเพื่อขจัดความมืดมิดออกไป ให้ใต้หล้าได้พบกับความสว่างสดใสและสงบสุข


 


 


ช่างโชคร้าย….และก็โชคดีแล้ว ที่คนผู้นั้นก็คือพระองค์เอง


 


 


ในชั่วขณะที่เงาของพระองค์หายลับไปนั้น หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็เย็นวาบตามไปด้วย


 


 


หัวใจของนางกระตุกอย่างรุนแรง ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังทุบลงไปบนหัวใจของตนเองจนมันจะแตกร้าว


 


 


“จีเฉวียน!” นางตะโกนเสียงดัง ขับพลังวิญญาณในร่างออกมา แทบจะสะบัดหลุดจากการรัดของจู๋จู๋ออกไป เส้นผมสีทองขาดกระจายไปกระจุกใหญ่ จู๋จู๋ส่งเสียงร้องขึ้นมา มันรู้สึกว่าบนศีรษะมีแต่ความร้อนระอุ เพียงครู่เดียวก็ต้องเหลือบตาขึ้นไปดู


 


 


พอได้เห็นก็ต้องร้องว่าย่ำแย่แล้ว ตู๋กูซิงหลันถึงกับกระอักเลือดสดๆออกมาคำโต


 


 


นางใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งกุมดาบยักษ์ คนคุกเข่าลงไปข้างหนึ่งอยู่บนศีรษะของมัน


 


 


“เจ้าอย่าตายนะ” เสี่ยวจู๋จู๋รับบัญชาจากฝ่าบาท มิว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย!


 


 


เลือดสดๆไหลจากริมฝีปากลงไปตามลำคอ เปรอะเปื้อนไปครึ่งร่าง จู๋จู๋ชักจะร้อนรนแล้ว หางของมันขมวดจนม้วน ไม่เข้าใจเลยว่าอยู่ดีๆทำไมนางถึงได้กระอักเลือดออกมาได้?


 


 


ดวงหน้าที่งดงามล้ำโลกซีดขาวจนปราศจากสีเลือด ราวกับว่าประสบอาการบาดเจ็บอย่างหนักจนเกือบจะเอาชีวิต


 


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับอสุรกายโลกันตร์ ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าเป็นฝ่าบาทที่ทรงรับความบาดเจ็บส่วนใหญ่ไว้นี่นา …..แล้วทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้ไปได้?


 


 


“ไปหาเขา!” ตู๋กูซิงหลันกุมหัวใจเอาไว้ ยามที่เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาดอกท้อที่เคยมีแต่ความเย็นชาคู่นั้นก็ปกคลุมไปด้วยหมอก


 


 


หยาดน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา


 


 


ฟันของนางถูกย้อมไปด้วยเลือดที่แดงฉาน พอพูดออกไปคำหนึ่ง ก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง


 


 


ชั่วขณะที่เงาหลังของจีเฉวียนหายลับไปกับร่างของอสุรกายโลกันตร์นั้น ในสมองของนางก็พลันปรากฏภาพทุกฉากทุกชั่วเวลายามที่เคยอยู่กับจีเฉวียนขึ้นมา


 


 


ตั้งแต่แรกเริ่มที่เกลียดชังมาจนถึงหัวใจบังเกิดความรัก


 


 


ตั้งแต่ตอนที่นางคอยเอาอกเอาใจเขาด้วยความหวาดระแวง มาจนถึงยามที่เขาทะนุถนอมเอาไว้บนฝ่ามือ


 


 


สองปี….บอกว่ายาวก็ไม่ยาว บอกว่าสั้นก็ไม่สั้น


 


 


เดิมทีเพราะเรื่องของฉางซุนอิง…..นางจึงไม่เคยเชื่อถือในความรักที่ออกจากปากของเขา


 


 


คิดไม่ถึงว่า……ที่นางก่อเรื่องขึ้นมามากมายจนถึงขนาดนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่า…..หัวใจของนางร่ำร้องด้วยความรู้สึกนั่นเอง…


 


 


ที่แท้นางก็ ชอบจีเฉวียนเข้าแล้ว!


 


 


เพราะว่ารักจึงได้ผิดหวัง….ถึงได้ผลักไสเขาออกไปจนไกลอยู่ตลอดเวลา


 


 


เขาที่เป็นถึงฮ่องเต้แห่งต้าโจว กลับไม่เคยห่วงหน้าตา บากหน้ามาแต่ไกล


 


 


ยอมกระทั่งปลอมเป็นบุรุษบำเรอของนาง ต่อให้ต้องรับแส้ไปกี่ครั้งก็ยอมเพียงเพื่อจะได้เข้ามาอยู่ใกล้ๆนาง


 


 


ที่จริงตอนนั้นตู๋กูซิงหลันสมควรจะ…..เชื่อเขาได้แล้ว


 


 


เลือดแต่ละคำที่กระอักออกมานี้ ทำให้ตู๋กูซิงหลันเจ็บปวดไปจนถึงกระดูก สมองถึงได้คิดอะไรออกขึ้นมา


 


 


นางไม่อาจจะปฏิเสธตนเองได้ว่า……นางรักจีเฉวียนเข้าแล้ว


 


 


ยิ่งไม่อาจทนมองดูเขาจากไปตาย!


 


 


และยิ่งไม่อาจเหยียบย่ำไปบนซากศพของเขาเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสุขสบาย


 


 


หากเป็นเช่นนั้น นางคงไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขไปจนชั่วชีวิต!


 


 


“ฝ่าบาททรงสั่งเอาไว้ ….ไม่อาจให้เจ้าไปเสี่ยงอันตราย!” จู๋จู๋ยังคงยึดถือพระบัญชาของฝ่าบาทเอาไว้ อย่างไม่กล้าบิดพลิ้วแม้แต่น้อย


 


 


“หากเจ้าไม่ไปหาเขา ข้าก็จะฆ่าตัวตายตอนนี้เลย!” ตู๋กูซิงหลันขยับดาบยักษ์ ทรวงอกของนางปวดร้าวเสียจนร่างกายเหมือนถูกทิ่มแทงไปทั่วร่าง


 


 


“อย่า อย่า อย่า ….” จู๋จู๋เห็นว่านางมิได้กล่าวล้อเล่น ก็ร้อนลนขึ้นแล้ว


 


 


“ไม่ใช่อะไร….แต่เจ้าอสุรกายตัวนั้นมันแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไปก็เท่ากับหาเรื่องตายเปล่า ….ฝ่าบาททรงใช้พระองค์เป็นเหยื่อล่อ ก็เพราะอยากจะมอบทางรอดให้กับเจ้า….ฮ่องเต้หญิง เจ้าอย่าได้ทำให้ตัวน้อยที่น่ารักและอ่อนแออย่างข้าต้องตกอยู่ในความลำบากใจได้หรือไม่?” จู๋จู๋อยากจะร้องไห้แล้ว


 


 


มันพึ่งจะพูดจบ ก็เห็นดาบยักษ์ของตู๋กูซิงหลันกรีดลงไปบนลำคอของนางเองจนกลายเป็นแผลหนึ่งขึ้นมา


 


 


จู๋จู๋ส่งเสียงกรีดร้องออกมาคำหนึ่งก็พุ่งตัวออกไปไล่ตามไปยังก้นทะเลลึก


 


 


พ่อแก้วแม่แก้ว! ฮ่องเต้หญิงองค์นี้ช่างโหดเ**้ยมเกินไปแล้ว นางฟั่นเฟือนถึงขนาดจะสับคอของตนเองแล้ว! แบบนี้ไม่ไหวแน่ ไม่ไหวแล้ว!


 


 


จู๋จู๋เดินทางด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง เพียงครู่เดียวก็ติดตามจนกลับมายังก้นทะเลลึก


 


 


เมื่อไล่ตามมาตลอดเส้นทางอันยาวไกล ทำให้เห็นว่าอสุรกายโลกันต์ถูกล่อไปยังภูเขาไร้สิ้นสุด


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น ดาบยักษ์ในมือกุมแนบแน่นกว่าเดิม


 


 


พอจู๋จู๋พานางมาถึงก้นทะเลลึก ก็เห็นเงาร่างสีม่วงเงาหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความมืดมิด


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 465 “ตามที่ศิษย์ปรารถนา”


 


 


นั่นคือดวงตาคู่หนึ่งที่นางคุ้นเคยอย่างที่สุด


 


 


ดวงตาที่ไม่เคยหวั่นไหว ราวกับว่าสิ่งใดๆในโลกนี้ก็ไม่มีคุณค่าในสายตาของเขาทั้งนั้น


 


 


เขาปรากฏตัวขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ในชุดสีม่วงที่เปล่งประกายน้อยๆตลอดทั่วทั้งร่าง เส้นผมสีดำพลิ้วไหว เป่าผ่านใบหน้าของนาง


 


 


ใบหน้าของเขาซุกซ่อนอยู่ในความมืดมิด เมื่ออยู่ใต้น้ำทะเลที่ลึกลงมาเช่นนี้จึงไม่อาจมองเห็นองคาพยบทั้งห้าได้อย่างชัดเจน เห็นเพียงเค้าโครงที่งดงามอย่างที่สุดเท่านั้น


 


 


แต่ว่าเพียงแค่เส้นสายแต่ละเส้นของเค้าโครงนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้ถึงความปราณีตที่ละเอียดอ่อนงดงามอย่างที่สุดนั้นแล้ว


 


 


เส้นผมที่ให้สัมผัสที่เย็นสบายนั้นทำให้ตู๋กูซิงหลันถึงกับตัวแข็งค้างไปทั้งร่าง


 


 


นางเงยหน้าขึ้นมา ด้วยความตื่นตะลึงอยู่เนิ่นนาน ถึงได้เอ่ยออกมาสองคำอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ท่านอา…จารย์?”


 


 


ใช่แล้ว ไม่อยากจะเชื่อ


 


 


เบื้องหน้านี้คือจิตวิญญาณดวงหนึ่ง….ที่โปร่งแสง จนทำให้สามารถมองเห็นน้ำทะเลสีฟ้าที่อยู่ด้านหลังของเขาได้อย่างชัดเจน


 


 


เดิมทีท่านอาจารย์สมควรจะอยู่ในโลกปัจจุบัน …..ทำไมถึงได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ทั้งยังอยู่ในสภาพของจิตวิญญาณเช่นนี้?


 


 


เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำเอาสมองของนางมีแต่ความมึนงงไปหมดแล้ว


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง มันปรากฏตัวขึ้นมา เกาะอยู่บนหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลัน


 


 


กล่าวอย่างไม่หายประหลาดใจว่า “ตาเฒ่า ไม่ใช่สิ…ท่านอาจารย์ผู้หล่อของหล่อของหล่อ….นี่อายุไขของท่านก็สิ้นสุดแล้วเหมือนกันหรือ ถึงได้ติดตามมาจนถึงที่นี่?”


 


 


ตาเฒ่าที่ไม่รู้จักตายอย่างซื่อมั่วนี้ ต่อให้ตายไป นรกก็คงไม่กล้ารับเขาไว้หรอกมั้ง?


 


 


จะสนใจไปทำไมว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เอาเป็นว่าส่วนหนึ่งของเขามาแล้วจริงๆ ทั้งยังเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย!


 


 


การที่ซื่อมั่วมาถึงเท่ากับว่าอะรไ? เท่ากับสัญลักษณ์ที่สื่อถึงคำว่าปลอดภัย เท่ากับความแข็งแกร่งในระดับที่โลกไม่อาจจะอธิบายอะไรได้!


 


 


จะอย่างไรนี่ก็เป็นศิษย์ที่เขาไม่อาจทอดทิ้งได้ จึงต้องมาหาด้วยตนเอง!


 


 


แล้วก็ไม่รู้จักมาตั้งแต่แรกๆ…..หากมารับศิษย์น้อยกลับไปเสียแต่แรกก็คงจะไม่ต้องมีปัญหามากมายเช่นนี้แล้วมิใช่หรือ?


 


 


ซื่อมั่วสะบัดแขนเสื้อเบาๆครั้งหนึ่ง ปากของวิญญาณทมิฬก็ปิดสนิทได้ทันที เปิดไม่ขึ้นอีกแล้ว


 


 


อู้ๆๆ…..ยังคงอารมณ์เสียง่ายอยู่เช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน!” วิญญาณทมิฬบ่นพึมพำอยู่ในใจอย่างดุเดือด แต่ตู๋กูซิงหลันกลับไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย


 


 


ยามที่อยู่ในโลกปัจจุบัน วิญญาณทมิฬนับได้ว่าเป็นเครื่องจักรสังหารชนิดหนึ่ง


 


 


แต่เมื่อมาอยู่ในโลกมิติโบราณนี้ มันก็เป็นได้แค่เพียงเครื่องรางชิ้นหนึ่ง ที่ตะกละและกลัวตาย


 


 


สายตาของซื่อมั่วทอดลงไปยังร่างของตู๋กูซิงหลัน ร่างของเขาล่องลอยอยู่กลางน้ำทะเลประหนึ่งอยู่ในความฝัน เสมือนภาพวาดที่พลิ้วไหว


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งริมฝีปากบอบบางถึงได้ขยับ “ตายไปหนหนึ่งแล้ว ยังคิดจะตายอีกหรือ?”


 


 


น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ ไร้คลื่นอารมณ์ขึ้นลง ราวกลับว่าไหลผ่านผิวน้ำแข็งออกมา แต่ถึงอย่างไรก็ยังฟังออกว่าเจือความห่วงใยอยู่ในนั้น


 


 


ตู๋กูซิงหลันอ้าปากขึ้นมา แต่ก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรดี


 


 


ตอนนี้จิตใจของนางสับสนวุ่นวายไปหมด อยู่ๆอาจารย์ก็ปรากฏตัวขึ้นมา หัวใจของนางจึงตกตะลึงไม่หาย แต่ว่าในขณะเดียวกันก็เป็นห่วงความเป็นความตายของจีเฉวียนด้วย


 


 


“ศิษย์เอ๋ย” ในขณะที่นางกำลังเป็นใบ้อยู่นั้น บุรุษผู้นั้นก็ยื่นมือออกมา ปลายนิ้วที่เรียวยาวสัมผัสกับริมฝีปากของนาง ปาดเช็ดรอยเลือดบนริมฝีปากของนางเบาๆ


 


 


เขาเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน แบบที่มักจะทำยามนางได้รับบาดเจ็บขณะยังเป็นเด็กน้อย


 


 


“ไม่อนุญาตให้ตายแล้ว” เขาทางหนึ่งปาดเช็ดให้ ทางหนึ่งก็มองดูด้วยดวงตาสีม่วงที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดแม้แต่น้อย


 


 


ในก้นบึ้งของแววตา มีความปวดใจจางๆ


 


 


“อาจารย์…….ท่าน……” ตู๋กูซิงหลันรู้อาการของตนดี บาดเจ็บเพียงเท่านี้ ยังไม่ตายไปได้


 


 


นางคิดอยากจะถามเขาว่ามาได้อย่างไร


 


 


แต่คำพูดยังไม่ทันถามออกจากปากก็ได้ยินซื่อมั่วเอ่ยว่า “ศิษย์ของข้าซื่อมั่ว ผู้อื่นไม่อาจรังแกได้”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…..” ท่านอาจราย์ ที่ทำร้ายข้านั้นเป็นสัตว์อสูรตัวหนึ่ง มันแข็งแกร่งมาก


 


 


ซื่อมั่ว “อสูรก็ไม่ได้”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “อาจารย์ เคยตกลงกันแล้วว่าจะไม่แอบฟังความในใจผู้อื่นอย่างไรเล่า….”


 


 


ซื่อมั่ว “ลูกศิษย์ไม่ใช่ผู้อื่น” คือสมบัติล้ำค่าที่เขาถนอมเอาไว้ในฝ่ามือตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……” จริงๆเลย ไม่พบกันมาสองปี ท่านอาจารย์ยังพูดจาอย่างไม่สนใจใครทั้งสิ้นดังเดิม


 


 


จู๋จู๋ลืมตาโตจนกลมกว้างอย่างเงียบๆ มันเหลือบตาดูฮ่องเต้หญิงที่อยู่บนศีรษะ แล้วก็เหลือบตาไปมองดูจิตวิญญาณสีม่วงที่งดงามจนทำให้ตาบอดได้ดวงนั้น


 


 


“เอ่อคือ …..ข้าเพียงแต่คิดว่า…..ฮ่องเต้ของพวกเรานั้นยังพอจะมีหนทางช่วยเอาไว้ได้” มันพูดกับตู๋กูซิงหลันว่า “ฮ่องเต้หญิงผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมิใช่ว่าต้องการเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือฝ่าบาทหรอกหรือ?”


 


 


ทำไมพอแค่เจออาจารย์เข้า……ก็โยนฝ่าบาททิ้งไปไกลโพ้นเลยเล่า?


 


 


ฝ่าบาทช่างน่าสงสาร…..ฮือฮือฮือ


 


 


จู๋จู๋มองออกไปไกลยังทิศทางที่ตั้งของภูเขาไร้สิ้นสุด ที่นั้นแสงเพลิงลุกท่วมไปทั่วทุกทาง กลายเป็นสมรภูมิที่น่าหวาดกลัว


 


 


มันยังสามารถเห็นเงาร่างของฝ่าบาทเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง ดาบนั้นหักไปแล้ว …..พระองค์พุ่งตัวลงไปในปล่องของภูเขาไฟ


 


 


จู๋จู๋เอ่ยเพียงประโยคเดียว ก็เห็นสีหน้าของซื่อมั่วมีความเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย


 


 


พอเขากวาดตามาทางมันครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่สายตานั้นก็สงบราบเรียบ…..ไม่มีสิ่งอื่นเจอปนอยู่แท้ๆ


 


 


แต่ว่าสายตาที่สงบราบเรียบนั้นกลับแหลมคมประหนึ่งปลายดาบทิ่มแทงจนมันรู้สึกเจ็บปวด


 


 


“ท่าอาจารย์……” ตู๋กูซิงหลันเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง คิดจะบอกเขาว่า นางต้องการจะไปช่วยคนแล้ว


 


 


“ฮ่องเต้ของชาวมนุษย์ผู้นั้น….” ซื่อมัวหันไปที่ด้านหลังมองไปยังภูเขาไร้สิ้นสุดที่อยู่ไกลออกไป “ นั่นเป็นการเลือกทางของเขาเอง ไม่จำเป็นจะต้องให้เจ้าไปช่วย”


 


 


“แต่ว่า…..” ตู๋กูซิงหลันไม่เข้าใจว่าเขาไปทราบเรื่องอะไรมาบ้าง


 


 


“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น” ซื่อมั่วส่ายศีรษะเบาๆ “ศิษย์เอ๋ย ใต้หล้านี้แต่ละคนล้วนมีลิขิตของชีวิตตนเอง เขาเองก็มิได้นอกเหนือ การได้เสียสละชีวิตเพื่อมวลชนในใต้หล้า เป็นชะตาที่ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่เขาเกิดมาแล้ว”


 


 


จู๋จู๋ “ไม่ไม่ไม่ ฝ่าบาทของพวกเรายอมตายเพื่อฮ่องเต้หญิงมากกว่าต่างหาก….”


 


 


ทุกสิ่งที่ฝ่าบาททรงปกป้องเอาไว้ในตอนนี้ ก็เพื่อฮ่องเต้หญิง!


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็ทำท่าอย่างเห็นพ้องด้วย


 


 


ตาแก่ซื่อมั่วที่ไม่ยอมตาย….คงจะมิได้อิจฉากระมั้ง?


 


 


พอมาเห็นศัตรูความรักตรงหน้าเป็นต้องตาแดงใส่ …..ดังนั้นถึงได้อยากให้อีกฝ่ายตายๆไปเสีย?


 


 


ขณะที่วิญญาณทมิฬคิดเช่นนั้นอยู่ มันก็พลันรู้สึกว่ารอบกายมีแต่ความอึมครึมและวังเวง ราวกับว่ามีวิญญาณแค้นนับพันนับหมื่นกำลังจดจ้องมาที่มันอย่างไรอย่างนั้น


 


 


มันรีบหันไปมองที่ซื่อมั่วในทันที ท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านไม่รู้หรอกว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นคิดจะงาบศิษย์รักของท่านอยู่ตลอดเวลาถึงเพียงไหน


 


 


หากไม่ใช่เพราะว่าตัวน่ารักอย่างข้าคอยสกัดขัดขวางเอาไว้ เกรงว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นคงจะจับศิษย์รักของท่านกลืนลงไปอย่างเรียบร้อยแต่แรกแล้ว!


 


 


เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นจะมาเทียบเคียงกับท่านได้อย่างไร?


 


 


ท่านเป็นดั่งจันทรากลางฟ้า ส่วนเขาอย่างมากก็เป็นได้แค่เสี้ยวแสงโคม……


 


 


วิญญาทมิฬชะเลียจนจบไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าอารมณ์ของซื่อมั่วจะเปลี่ยนแปลงอะไร


 


 


วิญญาณทมิฬต้องร้อนลนจนกระโดดโลดเต้นขึ้นมาในทันที ….มันรู้สึกว่าอีกประเดี๋ยวตัวมันมีหวังต้องถูก ‘วิญญาณแค้น’ นับพันนับหมื่นกลืนลงไปแน่ๆ


 


 


“ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เล็กท่านเคยสอนข้าเอาไว้ว่า ไม่อาจยอมแพ้แก่โชคชะตา” ตู๋กูซิงหลันกุบดาบยักษ์ในมืออย่างแนบแน่ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาต้องตาย”


 


 


ซื่อมั่วมองดูนาง ร่างที่ล่องลอยอยู่ขวางอยู่ตรงหน้าของนาง ไม่ให้นางเข้าใกล้ภูเขาไร้สิ้นสุด


 


 


กระทั่งภูเขาไร้สิ้นสุดพ่นเปลวเพลิงและลาวาออกมาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เขาถึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ต่อให้ตนเองตายก็ไม่ยอมให้เขาตาย?”


 


 


คำถามนี้ทำเอาตู๋กูซิงหลันตะลึงไปแล้ว…..


 


 


นางกุมหัวใจของตนเองเอาไว้ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่านางชอบจีเฉวียนเข้าแล้ว แต่ว่าความชอบนี้ ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นรักจนแยกแยะสิ่งใดไม่ออกทั้งสิ้น


 


 


แต่ว่าชีวิตนี้ของนาง ก็ไม่ต้องการติดค้างจีเฉวียนเช่นกัน


 


 


ดังนั้น นางจึงผงกศีรษะต่อหน้าซื่อมั่ว


 


 


“ข้าไม่อาจปล่อยให้เขาตายได้”


 


 


คำตอบนี้ของนาง ทำเอาสายตาของซื่อมั่วอึมครึมลงไป เมื่อมองดูลาวาที่ทะลักออกมาอย่างถล่มทลาย เขาก็ยอมเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถอะ”

 

 

 


ตอนที่ 466 ซื่อมั่วผู้ตามใจศิษย์

 

เรื่องที่ซื่อมัวตามใจศิษย์อยู่เสมอนั้น เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ปรมาจารย์นักพรตของโลกปัจจุบันอยู่แล้ว


 


 


ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ไม่มีขีดจำกัด โปรดปรานจนขึ้นฟ้าขึ้นสวรรค์ ต้องการสิ่งใดก็ให้สิ่งนั้น


 


 


แม้แต่บิดาแท้ๆก็ยังไม่เอาอกเอาใจบุตรสาวมังกรเช่นนี้!


 


 


ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว ขอเพียงเป็นความปรารถนาของศิษย์ ก็ยินดีจะทำให้โดยไม่คำนึงถึงผลใดๆที่จะเกิดขึ้นทั้งนั้น


 


 


อย่างเช่น…..ตอนนี้นางไม่ต้องการให้จีเฉวียนตาย เช่นนั้นเขาก็จะทำให้มนุษย์ผู้นั้นมีชีวิตอยู่ต่อไป


 


 


เนื่องเพราะ….นี่คือสิ่งที่ศิษย์ต้องการ


 


 


เขาตบลงไปบนหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลันเบาๆ ทันใดนั้นบนร่างของนางก็ปรากฏประกายแสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นมา


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เงาร่างนั้นก็หายวับไปในชั่วพริบตา


 


 


ความรวดเร็วระดับนั้น แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่ทันจะได้มีปฏิกริยาใดๆ


 


 


นางกุมดาบยักษ์คิดจะไล่ตามไป ก็พลันได้ยินเสียงดังอึกทึกครึกโครมระเบิดออกมาจากภูเขาไร้สิ้นสุด!


 


 


พลังที่รุนแรงอย่างที่สุดขุมหนึ่งระเบิดออกมาจากก้นทะเลลึก แรงระเบิดนั้นยังมากกว่าพลังของระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก


 


 


ทันใดนั้นทุกสิ่งที่อยู่รอบกายของนางล้วนสูญสลายไปจนหมดสิ้น!


 


 


ในแก้วหูมีแต่เสียงระเบิดดังกึกก้องจนชั่วขณะนั้นสมองไม่อาจรับรู้เสียงอื่นใดได้อีก นางยืนอยู่บนศีรษะของจู๋จู๋ แรงระเบิดนั้นสะท้อนออกมาจนม้วนใส่นางและจู๋จู๋ไปพร้อมๆกัน


 


 


ดาบยักษ์แปลงเป็นมังกรสีเงินยวงขนาดใหญ่ในชั่วพริบตาโอบอุ้มนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว


 


 


ในขณะเดียวกันแสงสีม่วงบนร่างก็ปกป้องนางเอาไว้อย่างดี …..ไม่ปล่อยให้นางได้รับบาดเจ็บจากเศษชิ้นส่วนของการระเบิดแม้แต่น้อย


 


 


นางลืมตาขึ้นมา ก็เห็นมังกรยักษ์ตัวนั้นถูกแรงระเบิดกระแทกเสียจนแตกสลาย


 


 


พลังที่ระเบิดออกมานั้น….มีกลิ่นอายของท่านอาจารย์อยู่ด้วย!


 


 


ประกายแสงสีม่วงระยิบระยับไปทั่วทั้งก้นทะเลลึก


 


 


จากนั้นประกายแสงสีม่วงนั้นก็กลายเป็นตาข่ายผืนหนึ่งครอบคลุมลงบนภูเขาไร้สิ้นสุด ตาข่ายฟ้าผืนนั้นจับอสุรกายโลกันตร์ตัวนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา


 


 


จากนั้นดวงตาของตู๋กูซิงหลันก็เห็นแต่ความมืดมิด


 


 


ท่ามกลางความมืดนั้นนางรู้สึกเหมือนกับว่าได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย……


 


 


ทั่วทั้งร่างของเขามีแต่บาดแผลฉีกขาด บนบาดแผลมีแต่ลาวาเต็มไปหมด


 


 


ดวงพักตร์ที่งามล้ำนั้นแตกสลายลงไปเหมือนดังกระจกที่แตกร้าว…..ลงตรงหน้าของนาง


 


 


…………………….


 


 


บนสวรรค์ชั้นฟ้า เหล่าทวยเทพต่างพากันตื่นตัว


 


 


เขตหวงห้ามที่ถูกกางกั้นเอาไว้ที่ก้นทะเลลึกตั้งแต่เมื่อหมื่นปีก่อน….ถูกทำลายลงไปแล้ว?


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด…..พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของคนผู้นั้น!


 


 


ตลอดหลายปีมานี้ บุรุษที่หกภพภูมิต่างก็พยายามเสาะหาตัว….เขาปรากฏตัวขึ้นที่ก้นทะเลลึก?


 


 


พอปรากฏตัวขึ้นมาก็ทำลายผนึกที่พวกเขากักขังเผ่ามังกรทมิฬไป?


 


 


เหล่าเทพต่างพากันตกตะลึง


 


 


……………………….


 


 


บนภูเขาฝูซางเขตเมืองกู่เย่ว …..ฉู่เจียงที่กำลังมองดูเหลียงเซิงเซิงทะเลาะกับสุนัขอย่างใจลอยก็ต้องตกตะลึงขึ้นมา


 


 


เขาขยับตัววูบเดียวก็ขึ้นไปจนถึงบนยอดเขา ยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของภูเขา มองไปยังทิศทางของก้นทะเลลึก


 


 


เป็นเขา …..เป็นเขานั่นเอง!


 


 


เขาเคยนึกว่า คนผู้นั้นตายไปแล้ว!


 


 


เมื่อเขายังไม่ตาย เผ่าหมิง….ก็ยังไม่ดับสูญ!


 


 


“ฉู่เจียง…..ท่าทางยามยินดีของท่านดูเหมือนกับตอนที่ฆ่าคนดื่มเลือด…..ข้ากลัว……” เหลียงเซิงเซิงมือหนึ่งอุ้มลูกสุนัขตัวน้อยที่มีขนปุกปุยเอาไว้ยืนตัวสั่นอยู่ใต้ต้นไม้


 


 


ทุกๆเดือนยามที่พระจันทร์เต็มดวง ฉู่เจียงเป็นต้องจับผู้คนมาจำนวนหนึ่งมาฆ่าและดื่มเลือด…..ตอนนั้นเขาก็จะแสดงอารมรณ์เช่นนี้


 


 


“ไม่ต้องกลัว…..” ฉู่เจียงเหาะลงมา ในดวงตายังมีประกายยินดีอย่างปิดไม่มิด “บางทีอีกเพียงไม่นาน…..ข้าอาจจะไม่ต้องถูกกักให้เฝ้าอยู่ที่ภูเขานี้อีกแล้ว….เขากลับมาแล้ว…..”


 


 


เขาอุ้มนางขึ้นมา จับหมุนอย่างยินดีอยู่หลายรอบ “เขากลับมาแล้ว ข้าก็จะมีอิสระแล้ว!”


 


 


เหลียงเซิงซิงไม่ค่อยเข้าใจ นางได้แต่ยิ้มอย่างว่าง่าย “หากท่านเป็นอิสระแล้ว ยังจะต้องการข้าอีกหรือไม่?”


 


 


ฉู่เจียง “ในเมื่อเจ้าน่าสนใจขนาดนี้ ย่อมต้องการอยู่แล้ว”


 


 


……………….


 


 


ที่แคว้นเหยียน จู่จู่ศีรษะของตู๋กูจุนก็ปวดร้าว


 


 


เพียงครู่เดียวในสมองของเขาก็ปรากฏภาพขึ้นมามากมาย มีทั้งที่รู้สึกคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย


 


 


ในภานนั้น เขากุมดาบยักษ์เอาไว้ ต่อสู้กับวิญญาณเหล่าเทพและปีศาจนับพันนับหมื่น


 


 


เพื่อจะปกป้องคนที่อยู่ด้านหลังผู้หนึ่ง……


 


 


แต่ว่าเขาก็ไม่อาจมองคนด้านหลังได้อย่างชัดเจน


 


 


ใครบางคนร้องเรียกเขาว่า….ซือหนาน ซือหนาน


 


 


ซือหนานคือผู้ใดกัน?


 


 


ขณะที่เขาคิดว่าจะร้องถาม ภาพนั้นก็พลันเลือนหายไป……


 


 


ที่เบื้องหน้าของเขา มีหยวนเฟย และองค์หญิงใหญ่


 


 


ทั้งสองมาหาเขาที่แคว้นเหยียนตั้งแต่หลายวันก่อน…..


 


 


เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับราชบุตรเขย……จีฉุนได้รู้แล้ว


 


 


นางจึงได้เดินทางมาที่นี่เพื่อจะมาขอโทษเขาโดยเฉพาะ


 


 


ส่วนหยวนเฟยนั้น…..วังหลังของแคว้นต้าโจวถูกจีเฉวียนยืมชื่อของ ‘ฉางซุนอิง’ มาจัดการจนแตกสานซ่านกระเซ็นไปหมดแล้ว ตอนนี้นางจึงกลายเป็นอิสระแล้ว


 


 


นางไม่ใช่หยวนเฟยแห่งต้าโจว นางกลับไปเป็นหยวนเมิ่งอีกครั้ง หยวนเมิ่งผู้มีอิสระเสรี


 


 


ทั้งสองพบกันระหว่างทางโดยบังเอิญ ดังนั้นจึงมาที่แคว้นเหยียนด้วยกัน


 


 


ยามที่….หยวนเมิ่งประคองถ้วยน้ำแกงเบญจพิษสูตรพิเศษของหนานเจียงเข้ามา ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยนั่งกุมศีรษะอยู่บนเก้าอี้ ส่งเสียงเรียก ‘ซือหนาน’ อยู่ตลอดเวลา


 


 


“ท่านแม่ทัพ” หยวนเมิ่งรีบวางถ้วยน้ำแกงเบญจพิษในมือลงอย่างรวดเร็ว ซอยเท้าน้อยๆเข้ามาที่ตรงหน้าเขา ยื่นมือออกไปกุมมือของเขาเอาไว้


 


 


องค์หญิงใหญ่ยืนอยู่ด้านหลัง นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย นางวางจานขนมในมือลงเบาๆ คนก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง


 


 


“ข้าคือใคร? ซือหนานคือใครกัน?” ภาพและความทรงจำที่สับสนวุ่นวาย ทำให้ตู๋กูเจวี๋ยมึนงงไปหมด


 


 


เขาพลิกมือไปกุมมือของหยวนเมิ่งเอาไว้ “ฆ่าพวกมัน…..อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ”


 


 


หยวนเมิ่งเห็นเขาไม่ได้สติ ก็รีบโอบกอดเขาเอาไว้ “ช่วงนี้ท่านรับความกดดันมากไปแล้วหรือไม่?……ฮ่องเต้เฒ่าแคว้นฉินนั่นตายไปแล้ว พระอนุชาเจ็ดอิ๋งฉีผู้นั้นก็เป็นฝ่ายขอมาภักดีต่อไทเฮาน้อย….ท่านไม่จำเป็นต้องกดดันตนเองเช่นนี้อีกแล้ว”


 


 


ใช้แล้ว…..ใครๆก็คิดไม่ถึงว่า แคว้นฉินที่เป็นหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ของแผ่นดินนี้จะเป็นฝ่ายยอมถวายความภักดีต่อตู๋กูซิงหลัน


 


 


ทั้งๆที่….ตู๋กูซิงหลันเองก็ยังไม่ทันได้คิดจะไปโจมตีแคว้นฉินเลยสักหน่อย


 


 


ก็กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว


 


 


อิ๋งฉีหรือจะกล้าไม่ยอมศิโรราบ….ตลอดหลายปีมานี้ จีเฉวียนส่งไส้ศึกไปยังแคว้นฉีเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ จนทำให้พวกเขาแทบจะล่มสลายจากภายในมานานแล้ว


 


 


ช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่หากมองจากภายนอกแคว้นต้าโจวกำลังอยู่ในความวุ่นวาย…..แต่ว่าที่จริงแล้วฮ่องเต้ผู้ทรงพระปรีชาย่อมทรงวางแผนจะจัดการกับแคว้นฉินเอาไว้แต่แรกแล้ว


 


 


กองทัพหลายสิบหมื่นกดดันอยู่ที่ชายแดนของแคว้นทั้งสอง


 


 


ลองดูจุดจบของแคว้นเหยียนสิ…..ประชากรล้มตายไปเก้าส่วน


 


 


อิ๋งฉีเดิมทีก็เป็นคนรักอิสระอยู่แล้ว พอฮ่องเต้ผู้ชราสิ้นพระชนม์ไป เขาก็หมดกำลังใจจะยุ่งเกี่ยวกับกิจการบ้านเมือง


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น จีเฉวียนเป็นคนเช่นไร เขาก็รู้จักดีอยู่แล้ว……


 


 


หากยิ่งต่อต้านเขาก็จะยิ่งโหดเ**้ยม….เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แคว้นฉินต้องกลายเป็นสถานที่ที่รกร้างเหลือแต่วิญญาณ มิสู้เขาเป็นฝ่ายยอมศิโรราบไปก่อนจะดีกว่า


 


 


แต่ก็คิดไม่ถึงว่า จีเฉวียนกลับต้องการให้เขายอมสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้หญิงแคว้นเหยียน


 


 


สตรีที่เขาวางเอาไว้ในตำแหน่งสูงสุดของหัวใจ


 


 


แคว้นเหยียนที่โจมตีมาได้อย่างยากลำบาก กลับถูกตู๋กูซิงหลันช่วงชิงไปอย่างง่ายดาย ตอนนี้ก็ยังให้กองทัพมากดดันเขาให้ยอมถวายความภักดีต่อนาง


 


 


คนผู้นี้…..มีใจรักลึกซึ้งถึงขนาดที่ว่าแม้แต่หัวใจก็พร้อมที่จะควักออกมาให้นางจนหมดสิ้น


 


 


ความรักที่จีเฉวียนมีต่อตู๋กูซิงหลัน….เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นบุรุษคนใดทำได้ถึงเพียงนี้มาก่อน


 


 


ศิโรราบก็ศิโรราบเถอะ….ยกถวายให้ทั้งหมดไปเลย


 


 


ไม่ว่าจะเป็นจีเฉวียนหรือว่าตู๋กูซิงหลัน….ต่างก็มิใช่ผู้นำที่ชอบสูบชีวิตดื่มโลหิตประชาชนไปเสวยสุข


 


 


การที่แผ่นดินนี้จะถูกพวกเขาครอบครอง เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว


 


 


ในที่สุดแผ่นดินที่แตกแยกมานานก็จะได้ถูกรวมเข้าด้วยกัน….ดินแดนที่มีแต่การรบพุ่งมาเนิ่นนานหลายปี ในที่สุดก็รวมเป็นหนึ่งเดียวเสียที


 


 


เรื่องนี้ อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็เป็นได้

 

 

 


ตอนที่ 467 หุบเขาปีศาจ

 

ในขณะเดียวกัน ซูเยาที่อยู่เฝ้ารักษาแคว้นเหยียนมานานนับเดือน ในสมองก็เกิดภาพในอดีตมากมายไหลย้อนกลับมา


 


 


ชาติก่อน…..


 


 


เขายกมือขึ้นมา ใจกลางฝ่ามือปรากฏรูปลักษณ์ของจิ้งจอกในเปลวเพลิงตัวหนึ่งขึ้นมา


 


 


ในสมองก็เห็นภาพดวงหน้าที่ยิ่งทียิ่งจะชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆขึ้นพร้อมกัน


 


 


เป็นซื่อมั่วที่โยนเขาลงไปในในกงล้อชีวิต…ทำให้เขาสูญเสียความทรงจำ และกลับมาเกิดใหม่เช่นนี้


 


 


เดิมทีเขาคือ….จอมมารบนภูเขา….


 


 


ที่ถูกอาหลันช่วยเหลือเอาไว้ด้วยความบังเอิญ


 


 


คิดไม่ถึงว่า พอกลับมาเกิดใหม่แล้วก็ยังได้เจอกับนาง


 


 


นี่คงเป็นชะตาชีวิตสินะ….


 


 


อาหลัน


 


 


……………………….


 


 


ชายขอบของก้นทะเลลึก เยี่ยเฉินใช้เรี่ยวแรงและพลังทุกหยาดหยดที่มีนำพาจิตวิญญาณของหวาชางสุ่ยหลบหนีออกมาได้สำเร้จ


 


 


มือข้างหนึ่งของเขากุมด้ามพัดวายุที่ถูกทะลวงเป็นรอยขาดขนาดใหญ่เอาไว้ ทั่วทั้งร่างมีแต่เลือด


 


 


บาดแผลมากมายทั้งเล็กและใหญ่บนร่างทำให้เขาดูพรุนไปทั้งตัวราวกับเม่น


 


 


เมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นไท่จื่อแห่งเผ่ามังกรทมิฬผู้สูงส่งแล้ว ยามนี้เขาก็ไม่ต่างอะไรกับขอทานดีๆนี่เอง


 


 


เยี่ยเฉินสูดอากาศจากภายนอกเขตก้นทะเลลึก หายใจเข้าไปคำโตหลายต่อหลายครั้ง


 


 


เขาจำไม่ได้แล้วว่า นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่เคยได้กลิ่นของอากาศเช่นนี้มาก่อน


 


 


อิสระภาพ!


 


 


น้ำทะเลที่เคยเป็นสีฟ้าคราม ยามนี้ย้อมไปด้วยสีม่วงจางๆ


 


 


คลื่นทะเลที่ถาโถมอย่างบ้าคลั่งมานานในที่สุดก็สงบลงทีละน้อย……


 


 


เยี่ยเฉินพิงอยู่บนก้อนหินอย่างสิ้นเรี่ยวแรง


 


 


เผ่ามังกรทมิฬจบสิ้นแล้ว ….เขาเองก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นพลังของอะไร รู้แต่ว่านั่นเป็นพลังที่รุนแรงขนาดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน


 


 


เขาเห็นกับตาของตนเองว่า นั่นเป็นพลังที่รุนแรงถึงขนาดสามารถถล่มฟ้าทำลายแผ่นดินได้เลย พลังนั่นบีบบังคับให้อสุรกายโลกันตร์กลับลงไปกักขังใต้ภูเขาไร้สิ้นสุดอีกครั้ง


 


 


จิตวิญญาณของหวาชางสุ่ยอ่อนแออย่างยิ่ง นางซ่อนตัวอยู่ในร่างของเยี่ยเฉิน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีแผนการซุกซ่อนอยู่ในใจ


 


 


“นังแพศยาน้อยนั่นตายไปแล้วใช่ไหม?” นางถามออกมา


 


 


เยี่ยเฉินส่ายศีรษะ “ไม่รู้เลย ตอนนั้นสถานการณ์วุ่นวายมาก…..จึงเห็นไม่ชัดเจน”


 


 


“พลังที่น่ากลัวถึงเพียงนั้น ขนาดเผ่ามังกรทมิฬของพวกเรายังถูกทำลายจนราบคาบในครั้งเดียว แล้วนังแพศยานั่นจะรอดไปได้อย่างไร….นางคงจะตายไปแล้ว” หวาชางสุ่ยพูดออกไป แต่ว่าประโยคนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่


 


 


นางมองดูท้องทะเลที่เปลี่ยนเป็นสีม่วง รู้สึกหนักใจจนบ่งบอกไม่ถูก


 


 


เดิมทีนางเคยเป็นชาวสวรรค์ที่สูงส่งแต่แล้วก็ถูกบีบคั้นจนต้องมามุดอยู่แต่ในก้นทะเลลึก ใช้ชีวิตอย่างไม่อาจเห็นแสงเดือนแสงตะวัน


 


 


อดทนต่อการทรยศหักหลังของผู้เป็นสามี ทั้งยังต้องหลบลี้หนีตายอย่างรากเลือด แม้แต่อิงเอ๋อร์ของนางก็ยังถูกฝังไปก่อนแล้ว


 


 


แล้วความแค้นนี้จะให้นางกล้ำกลืนลงไปได้อย่างไร?


 


 


“พระมารดา……นางกับพี่ชายของนาง คงจะไม่รอดแล้ว” เยี่ยเฉินสรุปในใจได้เช่นนี้ เขาได้เห็นพลังนั้นมากับตา เขาต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดในร่างถึงได้หนีเอาชีวิตรอดมาได้


 


 


แล้วตัวเลวร้ายทั้งสองนั่นจะรอดไปได้อย่างไร?


 


 


แต่ก็ช่างน่าเสียดาย….สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ครอบครองพลังของจิตมังกรทมิฬ


 


 


แต่ที่น่ากังวลยิ่งไปกว่าเรื่องนั้น ต่อไปพวกเขาสมควรจะอยู่อย่างไร?


 


 


อิสระที่ได้รับมาในวันนี้ เหล่าทวยเทพบนสวรรค์จะต้องรับรู้ได้อย่างแน่นอนว่าอาณาเขตกักขังที่อยู่ใต้ก้นทะเลนั้นถูกทำลายไปแล้ว….เทพเหล่านั้นจะต้องไม่ปล่อยปละพวกเขาอย่างแน่นอน


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น….ตอนนี้พระมารดาสูญเสียร่างเนื้อไปแล้ว จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ก็อ่อนแออย่างยิ่ง


 


 


ตัวเขาเองก็บาดเจ็บสาหัส….หากว่าถูกพวกเทพสวรรค์จับได้ ก็คงจะมีแต่ความตายเท่านั้น


 


 


เยี่ยเฉินนอนพิงอยู่บนก้อนหิน ครุ่นคิดปัญหานี้อย่างจริงจัง


 


 


ในตอนนั้นเอง หมอกสีดำกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า


 


 


แปลงเป็นบุรุษที่สวมใส่ผ้าคลุมเอาไว้ผู้หนึ่ง


 


 


เยี่ยเฉินตกใจจนผุดลุกขึ้นมานั่ง กุมพัดวายุในมือเอาไว้อย่างแนบแน่น ดวงตาสีครามคู่นั้นมองดูอีกฝ่ายด้วยความตื่นตัว


 


 


“เจ้าเป็นใครกัน?”


 


 


อีกฝ่ายมีแต่หมอกดำทั่วทั้งร่าง ผ้าคลุมหน้าปิดบังรูปโฉมของเขาเอาไว้จนหมดสิ้น


 


 


“ย่อมต้องเป็นคนที่มาช่วยเหลือพวกเจ้า”


 


 


เยี่ยเฉินมองดูอีกฝ่ายอย่างพิจารณา “เจ้าเป็นเผ่ามนุษย์”


 


 


“ไม่ ….ดูไม่คล้าย…..”


 


 


เขาไม่อาจอธิบายกลิ่นอายที่ได้จากคนผู้นี้ออกมา …..ช่างดูแปลกประหลาด


 


 


“ไม่ว่าข้าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใดก็ล้วนไม่สำคัญ….ที่สำคัญก็คือหากไม่มีข้า พวกเจ้าก็ต้องตายสถานเดียว”


 


 


………………….


 


 


ที่ก้นทะเลลึก ณ หุบเหวไร้ก้น


 


 


เยี่ยจ้านนั่งอยู่บนต้นไม้ ในที่สุดทุกสิ่งก็สงบลงแล้ว


 


 


เส้นผมสีเงินของเขาร่วงลงไปไม่น้อย เพราะการเปิดช่องการเดินทางผ่านมิติติดต่อกัน ทำให้เขาต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างมหาศาล


 


 


ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายของเขาซีดขาวและอ่อนระโหยโรยแรง


 


 


ตรงหน้าของเขายังมีลูกแก้วลูกนั้นอยู่ ลูกแก้วเปล่งประกายสุกสว่างพร่างพราวอย่างงดงาม


 


 


ด้านในสะท้อนภาพดวงหน้าของสาวน้อยนางหนึ่ง


 


 


………………..


 


 


 


 


โลกปัจจุบัน หุบเขาปีศาจ


 


 


เรือนรับรองบนยอดเขา


 


 


ตอนนี้เป็นฤดูร้อนแล้ว ดอกไม้ในสวนกุหลาบพากันผลิบาน….จนเป็นสีแดงเพลิงไปทั้งแถบ งดงามอย่างยิ่ง


 


 


หน้าต่างบนห้องชั้นสองยังคงเปิดไฟจนสว่าง


 


 


สาวน้อยที่รูปร่างบอบบางนอนอยู่บนฟูกนุ่มเหนือเตียงใหญ่


 


 


นางสวมใส่ชุดนอนผ้าไหมสีแดงบนร่าง ตรงเอวผูกเป็นเงื่อนผีเสื่อเอาไว้


 


 


สองขาทั้งเรียวยาวและขาวนวลราวกับไร้ข้อกระดูกยื่นพ้นออกมา


 


 


เส้นผมยาวสลวยสีหมึกอมเงินกระจายออกคลุมร่างกว่าครึ่งของนางเอาไว้


 


 


หน้าต่างถูกเปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ส่งผ่านสายลมในฤดูร้อนเข้ามาด้านใน


 


 


ลมที่พลิ้วเข้ามาทำให้นางต้องกระพริบตา เส้นผมปลิวขึ้นมาน้อยๆ


 


 


เจ็บ


 


 


เจ็บปานถูกระเบิด


 


 


ยามที่ตู๋กูซิงหลันได้สติขึ้นมานั้น ก็รู้สึกว่าในสมองเหมือนถูกคนยัดก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนลงมา ทั้งมึนงงทั้งหนัก


 


 


นางลืมตาขึ้นช้าๆอย่างยากลำบาก พอได้เห็นห้องหับที่คุ้นเคย คนก็ต้องตกตะลึงไป


 


 


นางลูบขมับหนักๆ อยากจะให้สมองแจ่มใสขึ้นมาบ้าง


 


 


ภาพที่ขุ่นมัวตรงหน้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นมา


 


 


ผ้าคลุมเตียงลายดอกทานตะวันที่ดูคุ้นเคยพึ่งผ่านการตากแดดมา บนเนื้อผ้ายังมีความอบอุ่นของแสงอาทิตย์เหลืออยู่


 


 


บนกำแพงมีแผ่นยันต์ติดอยู่เต็มไปหมด


 


 


กำแพงด้านตะวันออกเต็มไปด้วยอาวุธโบราณ ด้านตะวันตกมีปืนรุ่นใหม่ๆจัดวางอยู่เต็มไปหมด


 


 


ด้านที่ตรงข้ามกับเตียงมีภาพขนาดใหญ่ที่พิมพ์ขึ้นมาจากทองคำ


 


 


บนภาพนั้นเป็นภาพของบุรุษในชุดแบบตะวันตกสีม่วง กำลังอุ้มทารกน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน


 


 


ใช่แล้ว….บุรุษในชุดสีม่วงแบบตะวันตกผู้นี้ก็คืออาจารย์ของนาง ซื่อมั่ว


 


 


ได้ยินว่าภาพนี้ถ่ายเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่พึ่งจะรับนางมา


 


 


ท่านอาจารย์มิได้ยิ้ม แต่ว่านางที่เป็นทารกนั้นกลับแย้มยิ้มอย่างสดใส


 


 


หากจะบอกว่าท่านอาจารย์มีรสนิยมใดที่ไม่ได้เรื่อง….นั่นก็ต้องบอกว่าการแต่งตัวของเขานั้นทำให้ใครก็พูดอะไรไม่ออก


 


 


ชอบสีอะไรไม่ชอบ กลับชอบสีม่วงเข้ม!


 


 


ทั้งยังชอบพิมพ์รูปของตนเองขึ้นมาด้วยทองคำ


 


 


ตู๋กูซิงหลันจดจ้องภาพที่พิมพ์ขึ้นมาจากทองคำนั้นอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดค่อยๆลุกขึ้นมานั่ง


 


 


พอหันหน้าออกไปมองดูดงดอกกุหลาบสีแดงที่นอกหน้าต่าง …..นางค่อยนึกขึ้นมาได้ว่า


 


 


นี่นางกลับมาสู่…..โลกปัจจุบันแล้ว?


 


 


หากว่าจำไม่ผิดละก็……เมื่อครู่ก่อนนางยังอยู่ใต้ทะเลลึก ยืนอยู่บนศีรษะของจู๋จู๋ กุบดาบยักษ์เอาไว้ไล่ตามท่านอาจารย์ไปอยู่เลย


 


 


ทำไม….เพียงแค่ชั่วแวบเดียว ถึงได้กลับมาที่นี่เสียแล้ว?


 


 


ที่นี่เป็นบ้านบนพื้นที่ส่วนบุคคลของนาง สวนกุหลาบบนหุบเขาปีศาจ


 


 


ตอนนั้นเจ้าจิ้งจอกน้อยก็ถูกเลี้ยงเอาไว้ที่นี่


 


 


ตอนนี้เป็นยามดึกแล้ว ในสวนมีแต่ความเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกและแมลงร้อง บนเขาปีศาจมีผีชุม ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้สวนกุหลาบแห่งนี้


 


 


เหล่าภูติผีต่างก็รู้ดีว่า เจ้าของสวนกุหลาบอารมณ์บูดง่าย ชอบใช้กำลัง ทั้งยังนิยมความรุนแรง ดังนั้นหากยังไม่อยากตายก็ต้องหลบไปให้ไกลๆ


 


 


ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปากคอแห้งผาด จึงยังไม่อยากจะคิดอะไรมาก


 


 


ครู่ต่อมา นางก็ลงจากเตียง ก้าวลงไปบนพรม มือกุมลูกบิดประตูเปิดออกไปเบาๆ ที่ด้านหน้ามีใบหน้าหนึ่งคอยต้อนรับอยู่


 


 


คนที่อยู่นอกประตูคือท่านอาจารย์ หรือ จีเฉวียนกัน?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)