หมอดูยอดอัจฉริยะ 460-464

 ตอนที่ 460 ท่าไม้ตาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเทียบกับการขึ้นเวทีอย่างเรียบง่ายไม่มีความฮือฮาของราชามวยอันเดรวิชแล้ว ลีลาของบาทาไร้เงา จางซาน นั้นมีเรียกเสียงจากผู้ชมได้มากกว่า แต่บางคนก็ยังลังเลว่าจะวางเงินเดิมพัน ในส่วนที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ อย่างจางซาน ดีหรือเปล่า เพราะอัตราต่อรองคือเจ็ดต่อหนึ่ง


และที่สำคัญบนเวีทีมวยใต้ดิน ไม่ใช่ว่าตัวใหญ่กว่าแล้วจะชนะ ห้าคนที่แพ้ภายใต้เท้าทั้งสองข้างของจางซาน แต่ละคนล้วนตัวใหญ่กว่าเขาทั้งนั้น มีคนหนึ่งรูปร่างไม่ต่างไปจากอันเดรวิชเลยด้วยซ้ำ


“เพลงมวยดาวตก ชั่วเจี่ยว?”


เวลาเดินร่างกายช่วงบนของจางซานจะไม่ขยับ ทุกย่างก้าวของเท้านั้นเหมือนวัดไว้หมดแล้ว โดยทั่วไปแล้วขนาดของการก้าวจะอยู่ที่สามฟุต และตอนที่เขากระโดดเข้าเวที ทั้งตัวของเขาเหมือนดั่งตะปูที่ตอกไว้ตรงนั้น กำลังการทิ้งตัวของเขานั้นสุดยอดมาก


เพลงมวยดาวตกชั่วเจี่ยว มีต้นกำเนิดมาจากยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง เฟื่องฟูที่สุดในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ในตำนานซ้องกั๋งมีเรื่องเล่ากันว่า กระบวนท่าที่จอมเมามายอู่ซงผู้ฆ่าเสือด้วยมือเปล่า หนึ่งในวีรบุรุษแห่งเขาเหลียงซานใช้จัดการกับนักเลงใหญ่ เจี่ยงเหมินเซิน นั้นคือ ท่าเท้าวงแหวนหยก และท่าเท้าหยินหบาง ซึ่งล้วนเป็นกระบวนท่าในเพลงมวยดาวตกชั่วเจี่ยว ทั้งสิ้น


ต่อมาเพลงมวยนี้ได้รับการพัฒนาให้สมบูรณ์โดยนายพล จ้าวอี้ช่าน ในสมัยสงครามไท่ผิง ทำให้เพลงมวยดาวตก ชั่วเจี่ยว มีความแข็งแกร่งที่จะใช้ในการต่อสู้มากยิ่งขึ้น ยอดฝีมือมวยดาวตกชั่วเจียว สามารถเตะท่อนไม้หนาเท่าถ้วยชามหักได้ในครั้งเดียว สมัยปลายราชวงศ์ชิง มีผู้อาวุโสเคยเตะท่อนดอกเหมยหักติดต่อกันถึงสิบแปดอัน สร้างชื่อเสียงให้กับเพลงมวยดาวตกชั่วเจี่ยว จนเลื่องลือ


“ฝีมือไม่เลวทีเดียว กำลังขาแข็งแรงมาก เพียงแต่ว่าเขายังฝึกไม่ถึงระดับลมปราณแฝง ดังนั้นยังไงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอันเดรวิช”


เยี่ยเทียนส่ายหัวเบาๆ จางซาน ได้เปรียบเรื่องความยืดหยุ่นของร่างกาย ในยุทธภพนั้นก็ยังมีพื้นที่ให้ เพลงมวยดาวตก ชั่วเจี่ยวอยู่ เพียงแต่ว่าความแข็งแกร่ง ระหว่างสองคนนั้นแตกต่างกันมากเกินไป มันเหมือนกับผู้ใหญ่ที่ต่อสู้กับเด็กทารกอายุสามขวบ ในสายตาของเยี่ยเทียนนั้นยังไม่รู้ว่าใครจะชนะหรือแพ้เลย


“โอเค ลงเดิมพันใช้เวลาห้านาที ขอให้ทุกคนส่งใบเดิมพันให้กับพนักงาน…”


หลังจากที่รอ อันเดรวิช และ จางซาน ยืนบนเวทีพร้อมกันเสร็จ เสียงของพิธีกรคนนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ส่วนอันเดรวิชและจางซานยืนอยู่มุม ของเวทีอย่างเงียบๆ และรอการแข่งขันที่กำลังจะเริ่มขึ้น


แม้ว่าเมื่อสักครู่จะใช้ลีลาไปสักหน่อยสำหรับการขึ้นเวที แต่ประสบการณ์มวยใต้ดินของจางซานนั้นโชกโชนมากทีเดียว ในเวลานี้เขายังนิ่งอยู่ กำลังปรับสถานะของเขาด้วยลมหายใจที่ต่อเนื่องและเตรียมที่จะหาจุดอ่อนของคู่ต่อให้เร็วที่สุด จากนั้นก็จะล้มคู่ต่อสู้ให้ได้


ยังไม่พูดถึงสองคนที่กำลังเตรียมตัวอยู่บนเวที นักธุรกิจเศรษฐีต่างๆ ที่อยู่ข้างล่างเวทีก็กำลังใช้สมองวัดความแกร่งของทั้งสอง จู้เหวยเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เยี่ยเทียนหยิบใบเดิมพันขึ้นมา ยิ้มและพูดว่า “น้องเยี่ย เป็นยังไง สนใจลองเล่นสักตั้งมั้ย?”


“ไม่สนใจ…” เยี่ยเทียนปฎิเสธจู้เหวยเฟิงตรงๆ ส่ายหัวและพูดว่า “ท่านประธานจู้ ถ้าคนของท่านเหมือน บาทาไร้เงาจางซานทุกคนละก็ เกรงว่าอันเดรวิชจะได้ฉายาราชามวยของที่นี่แล้ว”


“จางซานเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น ความสามารถของเขาในสนามมวยแห่งนี้ คงเรียงลำดับไว้ได้แค่กลางๆ…”


จู้เหวยเฟิงรู้สึกแปลกใจในคำพูดของเยี่ยเทียนเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจว่าเยี่ยเทียนใช้อะไรมาเป็นตัวตัดสินเช่นนี้ แต่เมื่อเขามองไปที่หูหงเต๋อผู้ที่อยู่ข้างๆ แล้วก็เข้าใจทันที เขามองออกว่า ความสามารถของตาแก่ผมขาวคนนั้นแข็งแกร่งมาก แม้ว่านักสู้ของฝั่งตนเองจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตาแก่คนนั้นแน่นอน


“น้องเยี่ย แรงโจมตีของจางซานถึงแม้จะอ่อนกว่า แต่ความสามารถของเขากลับเป็นคนที่ยืดหยุ่นที่สุดของที่นี่ ถ้าสามารถโจมตีจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้ ก็เป็นไปได้ว่าจะเอาชนะนัดนี้มาได้!”


จางซานเป็นคนที่จู้เหวยเฟิงเลี้ยงมาโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้กลับถูกเยี่ยเทียนดูถูกเล็กน้อย จู้เหวยเฟิงจึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่


และสาเหตุที่เขาส่งจางซานออกมาเป็นคนแรก ก็เพราะว่าการก้าวเท้าของจางซานนั้นมีความยืดหยุ่นมาก ถึงแม้ไม่สามารถเอาชนะฝั่งตรงข้ามได้ แต่การที่อันเดรวิชจะจับและล้มจางซานลง ก็คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเช่นกัน


เยี่ยเทียนส่ายหัว และคิดว่าไม่ถูกต้อง “อ่อ ถ้าอย่างนั้นผมจะรอดู”


พูดตามตรง พลังต่อสู้อย่างจานซาน เกรงว่าในสามกระบวนท่า หากประจันหน้ากับหูหงเต๋อเขาก็ยังรับไม่ไหว แม้ว่าความสามารถของอันเดรวิชจะสู้หูหงเต๋อไม่ได้ก็ตาม ทั้งสองฝั่งล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน อยากจะจัดการคู่ต่อสู้แบบไม่ให้ทันตั้งตัว ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย


คนที่สามารถมาถึงที่นี่ ไม่มีใครไม่ใช่พ่อค้ามหาเศรษฐีของประเทศ ความน่าเชื่อนั้นมีการรับประกันแน่อยู่แล้ว พวกเขาแค่เขียนจำนวนเงินที่จะพนันลงไปในกระดาษพนันจากนั้นก็เซ็นชื่อของตัวเองลงไป จะมีเจ้าหน้าที่อยู่ข้างสนามเก็บใบเดิมพันไว้เป็นหลักฐาน


เวลาเดิมพันห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความสนใจของทุกคนเพ่งตรงไปยังเวทีมวยตามเสียงระฆัง


“ทั้งสองท่าน เราจะไม่พูดเรื่องกฎให้เสียเวลา มีคนล้มหรือถูกชกจนออกเวทีมวย อีกฝ่ายถือว่าชนะ เริ่ม…การแข่งขัน!”


มวยใต้ดินแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้กรรมการ เพราะว่าคนที่อยู่ในสนามทั้งหมดสามารถเป็นกรรมการได้ทุกคน หลังจากที่พิธีกรรับเชิญเป็นกรรมการไปหนึ่งยกเสร็จ เขาก็รีบลงจากเวทีมวยดั่งไฟลนก้น เพราะไม่กล้าที่จะอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนนี้ ในขณะที่กำลังต่อสู้กันอย่างแน่นอน


ตอนที่จู้เหวยเฟิงทำการแข่งขันมวยใต้ดินตอนแรก ๆ ก็มีกรรมการ แต่ภายหลังกรรมการถูกลุกหลงจากนักมวยตีจนพิการติดต่อกันไปสามคนแล้วนั้น เวทีมวยแห่งนี้ก็ไม่มีกรรมการอีกเลย ก็เหมือนกับคำว่าที่ว่า ดวงตาของผู้ชมนั้นคมชัดมากกว่า


การชกมวยใต้ดินไม่ใช่การประลองมวยจีน ที่สำคัญคือเหล่าพวกฝรั่งที่มาแข่งขันก็ไม่รู้จักมวยจีนด้วยเช่นกัน หลังจากที่กรรมการประกาศเริ่มการแข่งขัน บาทาไร้เงา จางซานก็เริ่มเดินไปรอบ ๆเวที


ส่วนอันเดรวิชที่ยืนหลับตาอยู่บนเวทีนั้น ก็ได้เปิดตาออกมา ตาสีเทาคู่นั้นไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย แต่เหมือนตาของคนตายที่กำลังจ้องไปที่จางซาน และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อท่าทีของเขาเลย


“ชกสิ เอาเลย!”


“ตีให้ตาย! ตีให้ตาย!”


คนหนึ่งขยับ คนหนึ่งนิ่ง แต่กลับไม่มีใครเริ่มก่อน ทำให้คนที่อยู่ข้างล่างสนามเกิดความไม่พอใจ และเริ่มส่งเสียงตะโกนด่าออกมา ถึงแม้หลายๆ คนจะพนันให้ผู้ที่มีลักษณะโหดเหี้ยมอย่างอันเดรวิชชนะ แต่ถ้าพูดตามความรู้สึกแล้ว พวกเขาก็ยังหวังว่าจางซานจะสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้


ได้ยินเสียงตะโกนจากผู้ชมที่อยู่ด้านล่าง จางซานก็รู้สึกเหมือนกันว่าอยู่แบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ จึงก้าวขาทั้งคู่วนออกไป อยู่ข้างหลังอันเดรวิชรวดเร็วปานสายฟ้า ช่วงบนไม่ขยับแม้แต่น้อย เท้าขวาเตะออกไปที่ขมับขวาของอันเดรวิช


นี่ก็เป็นท่าไม้ตายท่าหนึ่งของ มวยดาวตกชั่วเจี่ยว เตะนี้ดูเหมือนเป็นการเตะทั่วไป แต่ในความเป็นจริง จุดสุดท้ายที่โดนฝ่ายตรงข้ามคือปลายเท้าของจางซานเท่านั้น แต่อย่าดูถูกปลายเท้านี้ ไม้อัดแข็งหนาเจ็ดแปดเซนติเมตรก็ยังสามารถถูกเขาเตะจนทะลุได้


เหมือนจะรู้ว่าความเร็วของตนเองสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ อันเดรวิชไม่หมุนตัวตาม ได้ยินเสียงเตะจากใบหูข้างขวา เขายกมือขวาขึ้นมาปกป้องขมับของตนเอง


เตะนี้ของจางซานโดนปลายแขนของอันเดรวิชเข้าอย่างจังๆ สองฝ่ายโจมตีซึ่งกันและกัน และมีสียง “เพี๊ยะ”ดังออกมา เหมือนเสียงฟาดของแส้เวลาฮ่องเต้ทรงว่าราชกิจ


ทั้งคู่ไม่ได้พัวพันกันมากมาย แค่ร่างกายสัมผัสกันครั้งเดียวเท่านั้น อันเดรวิชยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ส่วนผู้ที่ใช้ขาเตะอย่างจางซานกลับต้องถอยหลังกลับสี่ถึงห้าก้าว ก่อนจะหยุดลงไปยืนพิงอยู่กับเสาที่มุมเวที


“โห นี่….นี่เป็นคนหรือเปล่าอ่ะ?”


จางซานที่ยืนนิ่งได้แล้วรู้สึกชาที่ขาข้างขวา ความตกตะลึงที่อยู่ในใจไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เขาไม่คิดเลยว่า ขาที่สามารถเตะก้อนหินให้แตกได้ จะไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้แขนของคู่ต่อสู้ได้เลย!


“เข้ามาใหม่สิ”  อันเดรวิชส่งยิ้มอย่างดุร้าย หันหน้ามาหาจางซาน แล้วใช้นิ้วชี้กระดิกเรียกให้ จางซานเข้ามาอีก


“ฉันไม่เชื่อหรอกว่า ขมับและหว่างขาแกจะแข็งแกร่งเหมือนแขน?”


ถึงแม้เมื่อครู่จะเสียเปรียบไปบ้าง แต่จางซานก็ไม่มีความคิดที่จะยอมแพ้ เพราะเวทีมวยแห่งนี้ใหญ่กว่าเวทีมวยทั่วไป มันเพียงพอที่จะให้เขาหลบเลี่ยงการโจมตีของอันเดรวิชได้ ภายในใจของจางซานคิดว่าตัวเองจะไม่มีทางแพ้แน่นอน


จากนั้นจางซานก็ใช้ขาโจมตีท่อนล่างของอันเดรวิชอย่างต่อเนื่อง ใช้ทั้งการเตะและการเกี่ยว ระหว่างที่อันเดรวิชระวังป้องกันจุดที่กำลังถูกโจมตี จางซานจะเคลื่อนตัวและเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็วโดยไม่ซ้ำกันเลย และไม่ผิดพลาดเหมือนครั้งแรก


“เตะมัน เตะเข้าไปสิ”


“เตะได้สวย เตะมันให้ตายะ!”


ถ้ามองจากข้างนอกทุกคนคิดว่า อันเดรวิชเหมือนกระสอบทรายที่กำลังโดนเตะ ยังยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวปล่อยให้จางซานเข้าโจมตี แต่สิ่งที่น่าแปลกประหลาดคือ ทุกครั้งที่จางซานจะเตะอันเดรวิช เขากลับดึงเท้ากลับไป จึงทำให้ผู้ชมเริ่มส่งเสียงโห่ร้องอีกครั้ง


แต่ครั้งนี้จางซานไม่ได้สนใจเสียงโห่ร้องของคนเหล่านั้นอีก เขายังคงหาจุดอ่อนและโอกาสในการโจมตีที่ดีที่สุด สำหรับการชกมวยใต้ดินเช่นนี้ ขอแค่ให้มีโอกาส การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถรู้ผลแพ้ชนะทันที…หรือแม้กระทั่งการมีชีวิตอยู่หรือตายลง


ในขณะที่อารมณ์ของผู้ชมเริ่มบ้าคลั่งขึ้นอีกมาครั้ง เมื่อการโจมตีจากข้างหลังอันเดรวิชสำหรับไม่สำเร็จ จางซานจึงเคลื่อนตัวมาข้างหน้า ทันใดนั้นเขาก็จิ้มสองนิ้วขวาออกไปทิ่มดวงตาของอันเดรวิช


สุภาษิตกล่าวไว้ว่า “มือเป็นบานประตูสองบาน ใช้เปิดทางให้ขาเตะออกได้”


“ตีด้วยมือปะทะสามจุด เตะด้วยขาปะทะได้เจ็ดจุด” ผู้ที่ฝึกฝีมือในการใช้ขาไม่ได้แปลว่าไม่มีฝีมือในการใช้มือ ไม่มีใครรู้ว่า จางซานนอกจากจะฝึกการเตะด้วยขาแล้ว ในสมัยก่อนเขายังเคยฝึกการใช้นิ้วจนกระทั่งนิ้วทั้งสิบของเขาสามารถเจาะทะลุอิฐให้เป็นรูได้


ตลอดที่ผ่านมาจางซานไม่เคยใช้ท่าไม้ตายนี้เลย เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้คู่ต่อสู้คาดไม่ถึง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย กระบวนท่า มังกรคู่ท่องทะเล ที่ใช้ออกมาอย่างกะทันหัน แม้แต่อันเดรวิชก็ยังคาดไม่ถึง


หลังจากที่อันเดรวิชป้องกันการโจมตีจากข้างหลังของจางซาน ตอนนี้เขาจึงปกป้องดวงตาทั้งสองข้างของเขาไม่ทันแล้ว จางซานที่กำลังรู้สึกว่าปลายนิ้วของตัวเองกำลังจะสัมผัสถึงลูกตาของอันเดรวิชนั้นก็รู้สึกดีใจมาก


จุดอ่อนที่สุดของคนเรา คงหนีไม่พ้นคอและดวงตา จางซานมั่นใจในตัวเองมาก ขอแค่จิ้มโดนตาของอันเดรวิช เขาก็สามารถควักลูกตาออกมาสดๆ ได้


……


ตอนที่ 461 แยกสังขาร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ปีนี้จางซานอายุสามสิบหก เป็นคนจี้เป่ย เหยาหยาง และเป็นสถานที่ส่งเสริมการสอนเพลงมวยดาวตก ชั่วเจี่ยว ในยุคปัจจุบันอีกด้วย สมัยหนุ่มเขาเป็นคนชอบชกต่อยตี มีครั้งหนึ่งที่เกิดเหตุทะเลาะวิวาทจากการเมาสุรา เขาเคยควักลูกตาของคนๆ หนึ่งออกมา หลังจากถึงได้รู้ว่าคนๆ นั้นเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ


ตั้งแต่นั้นมา จางซานก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางการหลบหนี และได้สร้างชื่อเสียงไว้ในยุทธภพอย่างรวดเร็ว จากพละกำลังที่มีมากกว่าคนปกติ เนื่องจากคดีที่ก่อไว้ในปีนั้น ทำให้จางซานไม่กล้าใช้ชื่อจริงของตัวเอง แม้แต่ฝีมือการต่อสู้ที่แท้จริงของตนเองก็ไม่กล้าแสดงให้ใครเห็น


แต่หลังจากเมื่อสองปีก่อนที่เขาเข้าสู่โลกมวยใต้ดิน ชีวิตของจางซานก็เปลี่ยนไปอย่างโกลาหลอลหม่าน ไม่รู้ว่าจู้เหวยเฟิงใช้ความสามารถอะไรในการลบคดีที่ติดตัวเขามา ทำให้จางซานสามารถกลับบ้านเกิดอย่างเปิดเผยได้เป็นครั้งแรกในชีวิต


ตอนนี้ค่าตัวของจางซานก็สูงถึงหลายแสน ถ้าออกจากโลกมวยใต้ดินไปชีวิตอย่างธรรมดา เขาก็สามารถทำได้ เพียงแต่ว่าเขาอยากจะตอบแทนจู้เหวยเฟิง จึงยังอยู่ที่สนามมวยเรื่อยมา


แน่นอน จู้เหวยเฟิงได้ตั้งเงินรางวัลที่สูงมาก และก็เป็นสาเหตุการขึ้นชกของจางซานครั้งนี้ เพราะถ้าเขาชนะนัดนี้ เขาจะได้เงินห้าแสน ถึงแม้ว่าแพ้เขาก็ยังมีค่าขึ้นชกอีกสองแสน นี่ก็เป็นสิ่งที่จางซานยากที่จะปฎิเสธ


เนื่องจากประสบการณ์ในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ในยุทธภพหรือตอนที่ชกมวยใต้ดินก็ตาม เขาไม่เคยใช้กังฟูที่แท้จริงของเขาเลยสักครั้ง นี่เป็นความลับของเขา ขณะเดียวกันก็เป็นท่าไม้ตายเพื่อปกป้องชีวิตของเขาอีกด้วย เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจเอาชนะได้อย่างอันเดรวิช จางซานจึงได้นำมันออกมาใช้จนได้


ลมแรงหนึ่งวูบทะลุออกจากนิ้วของจางซาน อย่าว่าแต่ดวงตาหนึ่งคู่เลย แม้แต่แผ่นไม้หนึ่งแผ่นจางซานก็สามารถควักเป็นรูออกมาได้เหมือนกัน คนที่แกร่งแค่ไหนถ้าต้องสูญเสียดวงตา ก็จะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ได้


จางซานแสยะยิ้มออกมา ในสมองของเริ่มคิดถึงภาพที่อันเดรวิช กำลังปิดตาของตนเองและกลิ้งอยู่กับพื้น ส่วนผู้ชมที่อยู่ข้างล่างเวทีก็ถึงกับกลั้นลมหายใจไว้ทุกคน เพราะกำลังจะรู้ผลแพ้ชนะ..


“เพี๊ยะ!”


จู่ๆ ก็มีเสียงคมชัดดังออกมาจากเวที เครื่องเสียงและเอฟเฟคที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษทำให้เสียงนั้นชัดเจนมากกว่าปกติ จางซานส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา ร่างกายถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่า


จางซานได้วางเดิมพันทั้งหมดไว้ที่ท่านี้แล้ว ร่างกายของเขาชิดมาข้างหน้ามากเกินไป ถึงแม้เขาจะถอยไปข้างหลังแล้ว แต่มือขวาของเขาไม่สามารถดึงกลับมาได้ทัน


มือของอันเดรวิชที่ใหญ่ปานพัด ในเวลานี้กลับยืดหยุ่นกระชับและขยับอย่างรวดเร็วผิดปกติ มาจับข้อมือของจางซานไว้ และดึงเข้าข้างใน


ทำให้จางซานตกอกตกใจจนวิญญาณแทบหลุด เขารู้ดีว่ากำลังของตนเองสู้กำลังของอันเดรวิชไม่ได้ ในสถานการณ์ที่เร่งรีบนี้ เขารีบยกตัวขึ้น หัวอยู่ข้างล่าง ขาอยู่ข้างบน สองขาเหมือนกรรไกรบีบเข้าไปที่ขมับทั้งสองข้างของอันเดรวิช


ขมับของนักสู้ เป็นหนึ่งในจุดที่เปราะบางที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย จางซานต้องการบีบบังคับให้อันเดรวิชคลายมือออกจากการจับมือข้างนั้นของเขา แล้วจะถอยห่างออกจากเวทีมวย ตอนนี้เขาถูกทำให้ตกใจจนเสียขวัญโดยอันเดรวิช และไม่มีความคิดที่จะต่อสู้อีกต่อไปแล้ว


สิ่งที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ในวันนี้ เกินความคาดหมายของจางซานไปมาก เดิมทีเขานึกว่าอันเดรวิชจะใช้มือปัดป้องนึกไม่ถึงว่าเขาจะรับการโจมตีของจางซานได้โดยไม่ขยับ ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ปลายเท้าของจางซานก็ได้แตะขมับของอันเดรวิชแล้ว


“นี่…นี่โง่ไปแล้วหรือเปล่า?”


ขณะที่เตะโดนฝ่ายตรงข้าง ใจของจางซานได้รู้สึกถึงความไร้สาระมากที่สุดอย่างหนึ่ง ในความคิดของเขา ไม่มีนักสู้ผู้กล้าคนใดกล้าที่จะยื่นขมับอันเป็นจุดอันตรายให้กับคู่ต่อสู้


ประสบการณ์การต่อสู้ของจางซานนั้นมีมากมาย คิดว่ากำลังจะเปลี่ยนจากแพ้เป็นชนะได้แล้ว ขณะที่สองเท้าของเขาเริ่มเคลื่อนลงไป เขารวบขาเกี่ยวคอของอันเดรวิชไว้ เขาต้องการใช้กำลังส่วนขาของเขาหักคอของอันเดรวิช


แต่ว่าใบหน้าของจางซานอยู่ในทิศทางคว่ำหน้าสู่พื้น เขาไม่สามารถเห็นสีหน้าของอันเดรวิชได้เลย ไม่เช่นนั้นเขาจะรู้สึกผิดต่อการตัดสินใจของเขาอย่างแน่นอน


และแน่นอน จางซานเองก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้สึกผิดได้อีกแล้ว


ขณะที่ขาคู่ของจางซานหนีบคอของอันเดรวิชเอาไว้ มือใหญ่ปานพัดคู่หนึ่งก็ได้มาจับที่ข้อเท้าของจางซานเอาไว้ อันเดรวิชเองแสยะยิ้มออกมา พร้อมกับเลือดสด ๆที่ไหลออกมาจากหน้าผาก ตอนนี้เขาดูเหมือนปีศาจที่ออกมาจากนรก


“ทำ…..ทำไมเขาไม่เป็นอะไรเลย?”


นี่คือสิ่งที่จางซานคิดและเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลือเอาไว้ และในขณะที่เขาเริ่มรู้ว่ามันผิดปกติ กระดูกสะโพกของจางซานถูกแรงขนาดใหญ่อันหนึ่งฉีกออก ความเจ็บปวดสูงสุดส่งไปถึงสมองของจางซาน ระบบความคิดเขาก็เริ่มเข้าสู่ความมืด


ความแข็งแกร่งปานหมีขั้วโลกเหนืออย่างอันเดรวิช ตอนที่จับขาทั้งสองข้างของจางซานเอาไว้ เขาไม่ได้หยุดเลยสักนิด สองมือยกขึ้นสู่ฟ้า และกางออกไปอย่างรุนแรง เขาใช้แค่แรงแขนยกทั้งตัวของจางซานขึ้นและฉีกออกจากตรงกลาง


อวัยวะภายในและเลือดสดสาดเต็มท้องฟ้า ทันใดนั้นก็เลอะเต็มหัวและหน้าของอันเดรวิช เขาเหมือนคิงคองที่อาบถังเลือด มือทั้งสองข้างยังคงดึงร่างกายครึ่งท่อนเอาไว้ ยกขึ้นและโห่ร้องเป็นเสียงยาว จนผู้คนที่อยู่รอบๆ รู้สึกแสบแก้วหู


ความเจ็บปวดที่จางซานไม่อาจสัมผัสได้ กลับกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากในตอนนี้ นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว ทุกคนในสนามต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด เพียงครู่เดียวไม่ว่าจะเป็นมหาเศรษฐีหรือคุณหนูต่างก็หน้าขาวซีด


และมีบางคนทนเห็นภาพนี้ไม่ไหว ไม่สนเรื่องหน้าตาแล้ว อาเจียรออกมาตรงนั้นเลย พวกเขาเพิ่งจะรู้ครั้งแรกว่า การแสวงหาความตื่นเต้นนั้นต้องมีใจที่กล้าหาญเป็นอย่างมาก


สนามมวยใต้ดินทั้งหมดในตอนนี้ ได้เข้าสู่สถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว บางคนถึงขั้นลุกยืนขึ้นและวิ่งไปที่ลิฟต์ พวกเขากลัวว่าอันเดรวิชจะเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมา และฉีกตนเองให้ตายเหมือนเป็นแค่ไก่ตัวเล็กๆ


สำหรับบางคนที่คาดว่าจะไม่รู้สึกอะไร เพราะชอบแสวงหาความตื่นเต้นอยู่แล้ว พอเห็นภาพโชกเลือดคราวนี้อยู่ตรงหน้า น่าจะต้องโห่ร้องให้กับอันเดรวิช?


แต่การรับได้ของคนเรานั้นมีขีดจำกัด พวกเขาสามารถรับได้ที่คนเป็นถูกตีจนตาย สามารถรับได้ที่แขนขาหัก แต่การที่คนเป็นๆ ถูกฉีกออกเป็นสองท่อนจนอวัยวะภายในกระจัดกระจายอยู่เต็มเวทีและข้างล่างเวทีเช่นนี้ มันมากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้


การรับไม่ได้มากเกินขีดจำกัด สิ่งที่จะตามมาก็คือการเสียสติ โดยเฉพาะคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย เริ่มส่งเสียงร้องไห้ ยิ่งเป็นการเพิ่มการเสียสติมากขึ้น เดิมทีบางคนยังพอรับได้ แต่เพราะเสียงร้องไห้จึงกระตุ้นให้รับไม่ได้และร้องเสียงหลงออกมา


เพียงครู่เดียว สนามมวยก็เกิดความวุ่นวาย ไม่มีใครสามารถแยกแยะได้เลยว่าเสียงโห่ร้องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น เป็นเสียงยินดีให้กับอันเดรวิช หรือเป็นการระบายความกลัวภายในใจของตนเอง


“เงียบ ขอให้ทุกคนเงียบก่อน คุณอันเดรวิชเป็นนักมวยอาชีพ เขาจะไม่ทำร้ายทุกคน ขอให้ทุกคนสงบลงก่อน!”


พิธีกรชายอายุสี่สิบกว่าคนนั้นก็ได้ยืนขึ้น แต่เขาก็ยืนห่างจากเวทีเช่นกัน ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นพิธีกรมวยใต้ดินมาแล้วสามปี เขาก็ยังรู้สึกขาอ่อน รวบรวมความกล้าทั้งหมด แล้วก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ชายผู้เหมือนปีศาจคนนั้น


จากเสียงตะโกนของพิธีกร ผู้รักษาความปลอดภัยที่ถือปืนเอาไว้กว่ายี่สิบคน ออกมายืนตามมุมต่างๆ ของสนาม การปรากฎตัวของพวกเขาทำให้คนที่ใกล้เสียสติเริ่มสงบลง เพราะคิดว่า แรงสู้ของคนจะดุดันแค่ไหน ก็คงไม่สามารถสู้กับอาวุธปัจจุบันได้


หลังจากที่คนพวกนี้ออกมาแล้ว ร่างของอันเดรวิชที่อยู่บนเวทีกำลังสั่นจนเลือดสด ๆ จากร่างกายของจางซานสาดออกเต็มไปหมด แต่ในที่สุดเขาก็ดูเหมือนเขาจะสงบลง ทิ้งร่างทั้งสองท่อนลงไป แล้วเขาก็ยืนนิ่ง ๆ อยู่กลางเวทีมวย


“คนๆ นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เขามีประสบการณ์ในการต่อสู้กับอาวุธปืนด้วยมือเปล่ามาแล้ว!”


หลังจากเห็นสิ่งที่อันเดรวิชทำ เยี่ยเทียนตกตะลึง เพราะการแสดงของอันเดรวิชเมื่อสักครู่เหมือนกับเขาทุกอย่าง ในตอนที่ถูกปืนชี้ การตอบสนองแรกของเขาคือต้องฆ่าคนพวกนั้นให้หมดเพื่อที่จะปกป้องตัวเองให้ได้


ถ้าเริ่มพูดจากจุดนี้ เยี่ยเทียนกับอันเดรวิชก็เป็นคนประเภทเดียวกัน พวกเขายินยอมกุมชะตาชีวิตไว้กับตัวเองเท่านั้น การกระทำใดๆ ที่เขามองว่าถูกข่มขู่ จะนำมาสู่การโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตได้


แต่ในตอนนั้นเยี่ยเทียนตกอยู่ในสถานการณ์ในป่า ส่วนอันเดรวิชกลับกำลังเผชิญหน้ากับอาวุธปืนยี่สิบกว่ากระบอก ถ้าหากว่าเขามีสิ่งผิดปกติจริง เกรงว่าเพียงครู่เดียวก็ถูกยิงจนเป็นรูพรุน การนิ่งไม่ขยับ เป็นตัวเลือกที่ฉลาดที่สุด


ผู้ติดตามยุโรปสองคนของอันเดรวิช ตอนนี้ได้ข้ามเชือกเวทีเข้าไปแล้ว คนหนึ่งถือถังน้ำ ส่วนอีกคนใช้ผ้าก๊อซเช็ดทำความสะอาดแผลบนหน้าผากของอันเดรวิช


แต่ในเวลานี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของอันเดรวิชเต็มไปด้วยเลือด น้ำหนึ่งถังเทลงจากหัวเสร็จ พื้นเวทีมวยก็กลายเป็นสีแดงไปทั้งหมด ผสมกันเป็นสายน้ำเลือด ค่อย ๆ ไหลลงมาจากเวทีมวย


ถ้าพูดตามหลักของเหตุผลแล้ว การทำความสะอาดบาดแผลนั้นจะต้องไปทำที่ห้องรับรอง แต่อันเดรวิชยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ไม่มีใครกล้าพูดให้เขาลงไป คนยุโรปสองคนนั้นยังส่งสัญญาณให้แบกน้ำอีกสามถังถูกขึ้นไปบนเวที และราดลงที่หัวของเขา


หลังจากที่รอยเลือดบนหัวค่อยๆ ถูกล้างออกไป บางคนก็เห็น มีแผ่นเนื้อหนึ่งบนหน้าผากของอันเดรวิชถูกฉีกออกมาสดๆ ผู้ชมเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้การโจมตีของจางซานท่านั้นก็ทำให้อันเดรวิชได้รับบาดเจ็บเช่นกัน


สำหรับจุดนี้ เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อนั้นดูออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความสามารถของอันเดรวิชแข็งแกร่งก็จริง แต่กังฟูปลายนิ้วของจางซานเองก็ไม่ควรดูถูก หากไม่ใช่เพราะเขาก้มหัวได้ทันเวลา ผลแพ้ชนะของรอบนี้ก็ยากที่จะคาดเดาได้เช่นกัน


……


ตอนที่ 462 ค่ายฝึกมรณะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพกพาอาวุธปืนเข้ามาในนั้นอีกยี่สิบกว่าคน เสียงของพิธีกรก็ฟังดูเหมือนจะหายใจไม่ทั่วท้อง ร้องบอกอันเดรวิชที่อยู่บนเวทีประลองเป็นภาษาอังกฤษว่า “คุณอันเดรวิชครับ เชิญลงมาพักผ่อนสักครู่ก่อนนะครับ!”


อันเดรวิชพยักหน้าเบาๆ หันกายลงไปจากเวที แล้วเดินกลับไปที่ห้องพักผ่อนพร้อมกับผู้ดูแลสองคนที่ติดตามมาด้วย


จนกระทั่งตอนนี้ บรรดาผู้ชมที่มุงดูกันอยู่นั้นถึงจะโล่งอกไปได้อย่างแท้จริง และเริ่มกระซิบกระซาบวิจารณ์กันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ต่อให้เป็นพวกที่ลงพนันไว้กับอันเดรวิช สีหน้าก็ยังดูหวาดผวายิ่งกว่าที่จะดีใจเสียอีก


อันเดรวิชใช้ความโหดเหี้ยมของเขา ทำให้ทุกคนที่อยูในเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างตื่นตระหนกกันไปหมด ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เวทีมวยใต้ดินเริ่มเปิดทำการมา


จู้เหวยเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เยี่ยเทียน ขณะนี้ก็มีสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง สาเหตุที่เขาส่งจางซานออกไปเป็นคนแรกก็เพราะเขาเห็นว่าจางซานเคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียว ต่อให้สู้อีกฝ่ายไม่ได้ ก็คงถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัย


แต่จู้เหวยเฟิงนึกไม่ถึงเลยว่า อันเดรวิชจะอันตรายยิ่งกว่าที่เขาคาดไว้มากนัก พอจางซานรุกเข้าไป ก็ถึงกับถูกอีกฝ่ายฉีกเป็นสองซีกทั้งเป็นทันที นี่เท่ากับเป็นการตบหน้าจู้เหวยเฟิงฉาดหนึ่งอย่างแรง


สำหรับการแข่งขันต่อจากนี้ไป จู้เหวยเฟิงก็รู้สึกกลุ้มใจอยู่เหมือนกัน เขารู้ขีดความสามารถของนักมวยเหล่านั้นดี พวกนี้ยังเคลื่อนไหวสู้จางซานไม่ได้เลย ถ้าต้องไปเผชิญกับอันเดรวิชละก็ สงสัยแค่ไปยืนประจันหน้ากันยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


ส่งคนออกไปก็เท่ากับส่งไปตายทั้งเป็น แต่ถ้าไม่มีใครสู้กับอันเดรวิชได้ละก็ จู้เหวยเฟิงก็จะต้องจ่ายเงินรางวัลผู้ชนะเลิศสิบตาติดต่อกันให้เขาไปหลายสิบล้าน และเวทีมวยของเขานี้ก็จะกลายเป็นที่เย้ยหยันในวงการ การพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ทันได้ต่อสู้นั้นสำหรับเวทีมวยใต้ดินที่มีสมรรถภาพแห่งหนึ่งแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายจริงๆ


และอันเดรวิชก็โหดเหี้ยมอำมหิตจนบรรดานักมวยของเวทีมวยใต้ดินแห่งนี้ต่างก็ไม่มีความกล้าที่จะปะทะกับเขาเหลืออยู่อีกแล้ว จนกระทั่งตอนนี้จู้เหวยเฟิงถึงเพิ่งจะเข้าใจคำพังเพยที่ว่า อัญเชิญเทพมานั้นง่าย ส่งเทพกลับไปนั้นยากแล้ว


“เหล่าหู คุณรู้ไหมว่าเจ้าคนต่างประเทศนี่มันไปฝึกฝนมายังไงกันแน่?”


อันเดรวิชจะแพ้หรือชนะก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเยี่ยเทียนเลย ขณะนี้เขากำลังกระซิบคุยกับหูหงเต๋อเรื่องการประลองเมื่อครู่ เมื่อเยี่ยเทียนเห็นความโหดเหี้ยมของอันเดรวิชแล้ว ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่เหมือนกัน


“ฉันเคยได้ยินคนพูดกันว่า ไอ้พวกผีฝรั่งนี่น่ะผ่านการฝึกมาในสถานที่ที่มีแต่หิมะและน้ำแข็ง สภาพแวดล้อมโหดร้ายเป็นที่สุด ส่วนรายละเอียดนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”


หูหงเต๋อสีหน้าเคร่งเครียด เขาเองก็รู้สึกตื่นตระหนกกับสภาพร่างกายอันเหนือมนุษย์ของอันเดรวิชเช่นกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาขึ้นไปต่อสู้ละก็ หูหงเต๋อก็คงไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะอันเดรวิชได้เลย เพราะเขาไม่รู้ว่าพลังลมปราณแฝงของตัวเองจะใช้กับไอ้คนวิปริตนี่ได้ผลหรือไม่?


“ประวัติของมันน่ะผมรู้อยู่”


เมื่อจู้เหวยเฟิงซึ่งมีสีหน้าย่ำแย่มาตลอดได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อ ก็ถอนใจแล้วบอกว่า “มันมาจากค่ายฝึกไซบีเรีย เมื่อก่อนเป็นครูฝึกทหารในกองกำลังพิเศษของอดีตสหภาพโซเวียต ตอนหลังพอโซเวียตล่มสลาย ครอบครัวถูกพวกคนถ่อยสังหารอย่างเหี้ยมโหด อุปนิสัยของอันเดรวิชก็เลยเปลี่ยนไปมาก ฆ่าคนไปรวดเดียวยี่สิบเจ็ดคน ถ้าไม่ใช่เพราะมันเคยมีผลงานทางการทหารที่ยอดเยี่ยมมาก่อน สงสัยคงโดนโทษประหารยิงเป้าไปนานแล้วละ”


“ค่ายฝึกไซบีเรีย? นั่นมันสถานที่แบบไหนกันแน่น่ะ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วอึ้งไป วันนี้เขาได้ยินชื่อนี้มาสองครั้งแล้ว


“มันเป็นนรกเลยละ…”


จู้เหวยเฟิงสีหน้าย่ำแย่ลงไปอีก และลดเสียงพูดให้เบาลง “ค่ายฝึกไซบีเรียเป็นฐานบัญชาการฝึกหน่วยทหารพิเศษที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ หน่วยทหารพิเศษที่ฝีมือเยี่ยมที่สุดในปัจจุบันของแต่ละประเทศต่างก็ผ่านการฝึกฝนมาจากที่นั่นแทบทั้งนั้น รวมถึงประเทศจีนด้วย…”


เนื่องจากไซบีเรียตั้งอยู่ในบริเวณที่อากาศหนาวอย่างร้ายแรง อุณหภูมิมักจะติดลบถึงสี่สิบองศา สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตก็ย่ำแย่อย่างยิ่ง เป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อร่างกายของมนุษย์ แต่สำหรับกลุ่มคนผู้ปรารถนาที่จะพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว ไซบีเรียกลับเรียกได้ว่าเป็นขุมสมบัติเลยทีเดียว


ในสมัยแรกนั้น ไซบีเรียเป็นเพียงฐานบัญชาการฝึกอบรมหน่วยทหารพิเศษของอดีตสหภาพโซเวียต และมีมาตรการรักษาความลับที่เคร่งครัดอย่างยิ่ง จึงไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนภายนอกเลย


แต่เมื่ออดีตสหภาพโซเวียตล่มสลายลง ระบบการเงินของรัสเซียก็เกือบจะพังทลายไปด้วย จึงไม่สามารถให้การสนับสนุนฐานบัญชาการฝึกที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่มีค่าใช้จ่ายสูงอย่างน่าตะลึงแห่งนั้นต่อไปได้อีก คนที่อยู่ในค่ายฝึกจำนวนมากต่างถอนตัวออกจากกองทัพ หรือไม่ก็ไปเป็นทหารรับจ้าง หรือไม่ก็ไปเป็นนักฆ่า


คนที่มาจากค่ายฝึกไซบีเรียเหล่านี้ ต่างก็กลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นในแวดวงของตนเองกันทุกคน ด้วยเหตุนี้ม่านที่ปกคลุมความลับของค่ายฝึกไซบีเรียไว้จึงได้เปิดออกสู่โลกภายนอก วิธีการฝึกฝนของที่นี่ก็ได้แพร่หลายออกมาด้วย


แต่การฝึกฝนแบบนี้ จะต้องอาศัยสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันทารุณของไซบีเรีย จึงมีหลายประเทศไปเจรจาตกลงทำสัญญากับทางรัสเซียว่า ประเทศเหล่านี้จะเป็นผู้สนับสนุนทุนในการสร้างค่ายฝึกไซบีเรียขึ้นมาใหม่


ค่ายฝึกไซบีเรียที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้ ไม่ได้เป็นของรัสเซียแต่เพียงประเทศเดียวแล้ว ทางค่ายได้ว่าจ้างครูฝึกสอนในอดีตมา เพื่อฝึกอบรมกองกำลังพิเศษจากประเทศต่างๆ ในค่ายฝึกนี้ แทบจะเห็นมนุษย์ได้ครบทุกสีผิว ตั้งแต่คนผิวขาว ผิวเหลือง ไปจนถึงผิวดำ แม้กระทั่งชนพื้นเมืองอเมริกันก็ยังมี


แต่ทุกครั้งที่จะส่งคนเข้าไปฝึกสักคนหนึ่ง ประเทศต้นทางก็จะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเป็นเงินสูงถึงหนึ่งล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากผ่านไปหลายปี ก็ค่อยๆ เกิดกฏเกณฑ์อย่างหนึ่งขึ้นมาคือ ขอเพียงมีเงิน และผ่านการคัดกรองของค่ายฝึกในขั้นต้นแล้ว ทางค่ายฝึกก็สามารถช่วยอบรมบุคคลให้แก่องค์กรที่ไม่เกี่ยวกับการทหารตามที่ต้องการได้


อย่างเวทีมวยใต้ดินทั่วโลกในปัจจุบัน ก็มักจะส่งนักมวยกลุ่มหนึ่งไปรับการฝึกที่นั่น เพื่อที่จะพัฒนาทักษะการต่อสู้ของตนเอง หรือเพื่อโจมตีเวทีมวยใต้ดินอื่นๆ จู้เหวยเฟิงเองก็เคยเกิดความคิดเช่นนี้ เพียงแต่นักมวยในสังกัดของเขายังมีคุณสมบัติต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานของค่ายฝึกมากนัก


ค่ายฝึกไซบีเรียมีอัตราการคัดคนออกสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น ในกลุ่มผู้เข้าฝึกจำนวนหนึ่งร้อยคนนั้น เป็นไปได้ว่าเมื่อถึงคราวจบการฝึกก็อาจจะเหลืออยู่เพียงสิบคน


ในบรรดาคนที่ถูกคัดออกไปจำนวนเก้าสิบคนนั้น อย่างน้อยๆ ก็มีสักเจ็ดสิบคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนที่เหลืออีกยี่สิบคนนั้น คาดว่ากว่าครึ่งค่อนก็คงกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต ดังนั้นค่ายฝึกไซบีเรียจึงยังมีอีกชื่อหนึ่ง ซึ่งก็คือค่ายฝึกมรณะ


แต่ทุกคนที่มาจากค่ายฝึกไซบีเรียนั้น ต่างก็เป็นบุคคลระดับสุดยอดของแต่ละประเทศหรือแต่ละองค์กรกันทั้งนั้น ในฐานะที่อันเดรวิชเป็นครูฝึกที่มีประสบการณ์มากที่สุดในค่ายฝึก นึกดูก็รู้แล้วว่าเขาจะมีความสามารถระดับไหน


“มีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วยรึเนี่ย? แล้วทำไมคุณถึงรู้ได้ล่ะ?”


หลังจากฟังจู้เหวยเฟิงเล่าจนจบ หูหงเต๋อก็มองไปที่เขาด้วยสายตาแปลกๆ ที่จริงคำถามนี้เยี่ยเทียนเองก็อยากถามอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่ได้สนิทสนมกับจู้เหวยเฟิงมากนัก จึงไม่สามารถถามออกไปตรงๆ แบบเดียวกับหูหงเต๋อได้


“ผมเคยไปอยู่ที่นั่นมาหนึ่งปี ก็ต้องรู้อยู่แล้วละ แต่ไม่นึกเลยว่าอันเดรวิชจะมีพลังเหนือกว่าที่ผมคาดไว้เสียอีก…”


จู้เหวยเฟิงหัวเราะอย่างขมขื่น จนถึงตอนนี้ ภาพเหตุการณ์อันโหดร้ายที่เกิดขึ้นในค่ายฝึกไซบีเรียก็ยังคงสะท้อนผ่านสายตาของเขาอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะสถานะของจู้เหวยเฟิงเปิดเผยออกไปแล้ว สงสัยป่านนี้เขาก็คงจะยังกบดานอยู่ในซอกหลืบไหนสักแห่งบนโลกนี้อย่างไร้ชื่อเสียงเรียงนามต่อไป


ในค่ายฝึกไซบีเรียนั้น มีการฝึกอบรมหลากหลายหัวข้อวิชา ซึ่งก็มีระยะเวลาและรูปแบบในการอบรมแตกต่างกันไป


อย่างการอบรมกองกำลังพิเศษ ก็จะต้องใช้เวลานานถึงสามปี และในระหว่างสามปีนี้ ก็จะต้องเผชิญกับอันตรายที่ร้ายแรงถึงชีวิตอยู่แทบจะทุกชั่วขณะ ถึงขั้นต้องเข้าร่วมในการสู้รบจริงอีกหลายครั้ง ซึ่งฝ่ายตรงข้ามส่วนมากก็มักจะเป็นกองกำลังส่วนตัวของผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่บางกลุ่ม หลังจากผ่านไปสามปี พวกที่สำเร็จการอบรมออกมาได้นั้น ไม่ว่าจะด้านร่างกายหรือจิตใจ ก็แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้ากันทุกคน


แต่การอบรมที่จู้เหวยเฟิงได้เข้าร่วมนั้นไม่ใช่วิชาการต่อสู้ตัวต่อตัว แต่เป็นการลอบสอดแนมและทำลายศัตรู ซึ่งต้องใช้ทักษะรอบด้านที่สูงยิ่งกว่าการต่อสู้อย่างทหารเสียอีก


เนื่องจากค่ายฝึกที่จู้เหวยเฟิงเข้าร่วมนี้อยู่แยกคนละส่วนกับค่ายฝึกอื่นๆ เขาจึงประเมินความแข็งแกร่งของผู้ฝึกวิชาทหารขั้นสูงสุดในค่ายฝึกไซบีเรียต่ำเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่มีทางเชื้อเชิญอันเดรวิชมาเข้าร่วมการประลองมวยใต้ดินที่ตนจัดขึ้นแน่นอน


“สภาพแวดล้อมที่หนาวเหน็บ นับว่าเป็นบททดสอบความมุ่งมั่นของคนที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งจริงๆ!” หูหงเต๋อพยักหน้า เขาดำรงชีวิตอยู่บนภูเขาฉางไป๋ตลอดปี ฤดูหนาวของที่นั่นอุณหภูมิก็ติดลบไปหลายสิบองศาเหมือนกัน เขาจึงรู้ซึ้งในความจริงข้อนี้ดี


“เหวยเฟิง อย่างนั้น…ก็ปล่อยให้อันเดรวิชเป็นแชมเปี้ยนสิบตาไปงั้นน่ะหรือ?” หูจวินที่อยู่ข้างๆ ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เขาเพียงแต่ฟังออกว่าจู้เหวยเฟิงกำลังลำบากใจ แสดงว่าตาพี่ใหญ่คนนี้กำลังดูถูกนักมวยในค่ายมวยของตนอยู่ชัดๆ เลย


“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ” จู้เหวยเฟิงหัวเราะเฝื่อนๆ ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจว่า ทำไมตอนนั้นอันเดรวิชถึงได้ตั้งราคาค่าตัวไว้เพียงหนึ่งแสนหยวน ที่แท้มันก็จะมาล่ารางวัลผู้ชนะสิบรอบติดต่อกันนี่เองสินะ?


และก็เป็นเพราะราคาค่าตัวที่อันเดรวิชเสนอมาตอนนั้นนั่นเอง ที่ทำให้จู้เหวยเฟิงประเมินเขาต่ำลงไปมาก แต่จู้เหวยเฟิงนึกไม่ถึงเลยว่า อันเดรวิชได้ดีดลูกคิดไว้อย่างชาญฉลาดอย่างยิ่ง


เมื่อชนะไปรอบแรกก็จะได้สองแสน รอบที่สองก็จะเป็นสี่แสน รอบที่สามก็จะขึ้นไปถึงแปดแสน เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถึงรอบที่สิบเขาก็จะได้รางวัลเป็นเงินก้อนยักษ์ถึงห้าสิบเอ็ดล้านสองแสนไป


เงินรางวัลจำนวนห้าสิบกว่าล้านนี้ จู้เหวยเฟิงก็ยังพอจะจ่ายไหวอยู่ แต่ประเด็นคือถ้าปล่อยให้คนต่างชาติคนหนึ่งคว้ารางวัลผู้ชนะสิบรอบจากค่ายเวทีมวยใต้ดินในประเทศไปได้ แล้วเรื่องนี้แพร่ออกไปละก็ เวทีมวยใต้ดินของประเทศจีนก็คงจะไม่มีวันได้เงยหน้าอ้าปากในต่างประเทศอีกแล้ว


ระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน อันเดรวิชก็กลับมาที่สนามประลองอีกครั้ง นอกจากตรงหน้าผากที่แปะพลาสเตอร์ปิดแผลสองอันเป็นรูปกากบาทแล้ว อันเดรวิชก็ไม่ได้มีตรงไหนแตกต่างไปจากเมื่อครู่เลย เขาขึ้นไปยืนบนเวทีราวกับภูเขาไฟที่กำลังสงบตัว ไม่รู้ว่าจะปะทุออกมาอีกเมื่อไร


แม้จะไม่เต็มใจเลย แต่พิธีกรคนนั้นก็ยังคงขึ้นไปยืนบนเวทีมวย ทว่ากลับเว้นระยะห่างจากอันเดรวิชไว้พอสมควร แล้วอ่านชื่อนักมวยในใบรายชื่อที่จะได้ประลองกับอันเดรวิชเป็นคนต่อไป


แต่หลังจากประกาศชื่อออกไปได้สามนาที ก็ยังไม่มีใครออกมาจากประตูห้องพักผ่อนของนักมวยคนนั้นเลย ซึ่งก็หมายความว่านักมวยคนนั้นสละสิทธิ์ในการประลองกับอันเดรวิชแล้ว


เมื่อบรรดาผู้ชมที่นั่งล้อมรอบสนามเห็นนักมวยคนที่สองทิ้งการแข่งไปอย่างนั้น ก็พากันบ่นออกมาเสียงดังเซ็งแซ่ ทำให้สีหน้าของจู้เหวยเฟิงยิ่งย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม


……


ตอนที่ 463 ยิ่งแก่ยิ่งแกร่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“การประลองรอบที่สอง จ้าวกัง สละสิทธิ์ ผู้ชนะคืออันเดรวิช ตอนนี้ขอเข้าสู่ช่วงเวลาพัก!”


หลังจากรอไปอีกสามนาที นักมวยคนนั้นก็ยังไม่ออกมา พิธีกรจึงต้องประกาศผลอย่างจนปัญญา ตามกฎเกณฑ์แล้ว ผู้ประลองที่ได้ประลองในรอบติดต่อกัน จะได้พักผ่อนหลังจากรอบก่อนหน้ายุติลงเป็นเวลา 30 นาที


“หาคนที่มีน้ำยามาสู้กับไอ้ผีฝรั่งนั่นซะสิ!”


“นั่นน่ะสิ แม้แต่จะสู้ยังไม่กล้าเลย แบบนี้มันน่าขายหน้าเกินไปแล้วมั้ง?”


“เริ่มแข่งเร็วๆ เข้าสิ เราอยากจะดูการแข่งนะ!”


แม้ว่าการประลองมวยรอบนี้ผู้เข้าแข่งขันจะสละสิทธิ์ไป แต่พิธีกรได้รับคำสั่งบางอย่างผ่านมาทางหูฟัง จึงประกาศให้เป็นเวลาพักไปเสียอย่างนั้น ทำให้บรรดาผู้ชมในสนามยิ่งไม่พอใจกันมากกว่าเดิม นี่พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อจิบชาคุยเรื่องสัพเพเหระนะ


พอได้ยินเสียงบ่นว่าของบรรดาผู้ชม พิธีกรก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วประกาศเสียงดัง “ทุกท่านอยู่ในความสงบกันหน่อยนะครับ ถัดไปยังมีนักมวยที่จะมาประลองกันอีก เดี๋ยวก็จะเริ่มได้แล้วละครับ!”


เมื่อพิธีกรเปล่งเสียงขึ้น ที่นั่นก็เงียบลงไปมากทันที แล้วพิธีกรก็เริ่มแนะนำเกี่ยวกับนักมวยที่จะมาปะทะกันในรอบต่อไป


ขณะเดียวกันกับที่อันเดรวิชกำลังกลับไปที่ห้องพักผ่อน จู้เหวยเฟิงก็พูดขอตัวกับพวกเยี่ยเทียน แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือเดินไปหลังสนามมวย


แต่ผ่านไปเพียงห้านาที จู้เหวยเฟิงก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าย่ำแย่ หย่อนบั้นท้ายนั่งลงไปบนเก้าอี้ ขนาดซาซาส่งสายตาไปถามเขาก็ยังไม่สนใจ


และในขณะนั้น นักมวยสองคนบนเวทีประลองก็เริ่มตะลุมบอนกันแล้ว แต่สองคนนี้นับว่าห่างไกลจากรอบของอันเดรวิชและเท้าไร้เงา จางซานเมื่อครู่นี้มากนัก ถึงจะแลกหมัดแลกเท้ากันอย่างน่าดูชม แต่ก็ไม่ได้มีความตื่นเต้นเร้าใจเลย


สุดท้ายการประลองรอบนี้ก็ตัดสินแพ้ชนะกันเมื่อนักมวยคนหนึ่งถูกซัดกระเด็นออกไปนอกเวที แต่เมื่อผู้ชนะโบกมือให้ผู้ชมด้านล่างเวที ก็กลับมีเสียงบ่นดังเซ็งแซ่ขึ้นมา


ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็หนีไม่พ้นการถูกเปรียบเทียบ แม้ว่าความโหดเหี้ยมของอันเดรวิชจะทำให้ใครหลายๆ คนรู้สึกไม่สบายใจ แต่พลังโจมตีเช่นนั้นก็ทำให้บรรดาผู้ชมตื่นเต้นเร้าใจอย่างสุดเปรียบปาน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การแข่งขันรอบนี้จึงดูจืดชืดไร้รสชาติเหมือนน้ำเปล่าไปเลย


“เหวยเฟิง ทำไงดีล่ะ?” เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงตาของอันเดรวิชแล้ว หูจวินก็ชักจะเริ่มกังวลขึ้นมา เมื่อครู่นี้ก็โดนคนดูด่าไปจนสุดจะทนฟังไหวแล้ว ถ้ารอบต่อไปยังสละสิทธิ์อีกละก็ อย่างนั้นสนามมวยคงจะเสียลูกค้าไปกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว


“พวกนั้นไม่มีใครยอมออกไปสู้เลย แล้วคนที่จะสู้กับอันเดรวิชได้ก็ไม่อยู่ในประเทศ”


จู้เหวยเฟิงฝืนหัวเราะ เมื่อครู่นี้เขาไปทำธุระมาสองเรื่อง เรื่องที่หนึ่งก็คือไปหาพวกนักมวยในค่าย เพื่อถามดูว่าพวกเขาจะยินยอมไปต่อสู้กับอันเดรวิชหรือไม่?


ตอนนี้คำตอบก็ปรากฏชัดอยู่บนหน้าของจู้เหวยเฟิงแล้ว หลังจากได้ประจักษ์เห็นการต่อสู้อันนองเลือดนั้น บรรดานักมวยที่เหลืออยู่สิบกว่าคนก็ไม่มีใครกล้าออกมากันเลย เพราะพวกนี้มาเล่นมวยใต้ดินเพื่อหาเงินกัน ไม่ได้มาเพื่อให้ถูกฆ่า


หลังจากที่ถามแล้วไม่ได้ผล จู้เหวยเฟิงก็ใช้เส้นสายภายในติดต่อหน่วยงานบางแห่งไป เพื่อที่จะเชิญบุคลากรพิเศษคนหนึ่งซึ่งเคยจบจากค่ายฝึกไซบีเรียมา แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องผิดหวังคือ ผู้ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในองค์กรนั้นสามคน กลับไม่ได้อยู่ในประเทศ


“เหวยเฟิง หรือเอาอย่างนี้นายว่าดีไหม?”


หูจวินเป็นนักธุรกิจ จึงมีวิธีจัดการกับปัญหาที่มีชั้นเชิงมากกว่าจู้เหวยเฟิง เขาคิดดูแล้วพูดขึ้นว่า “ไปเจรจากับอันเดรวิชว่า จะยกเงินรางวัลผู้ชนะสิบรอบให้มัน แต่ขอให้มันทิ้งการแข่งรอบที่เหลือไปซะ นายว่าได้ไหมล่ะ?”


“ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่ชื่อเสียงของค่ายมวยของพวกเรานี่ก็มีหวังจบสิ้นกันพอดีน่ะสิ!”


ตอนนี้จู้เหวยเฟิงนึกอยากจะตบหน้าตัวเองเสียเหลือเกิน ที่เขาเชิญอันเดรวิชมานี้ ตอนแรกก็เพราะอยากจะทำให้องค์กรมวยใต้ดินประเทศจีนมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่า เรื่องจะกลับตาลปัตรไปเช่นนี้ สุดท้ายถึงขั้นต้องใช้วิธีไปขอร้องหลังฉากให้อันเดรวิชถอนตัวจากการแข่งแบบนี้


“มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้แล้วละ ถ้าเสียลูกค้าพวกนี้ไปละก็ อีกไม่นานค่ายมวยของเราก็คงต้องปิดตัวลงแน่”


หูจวินมองสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งมากกว่าจู้เหวยเฟิง ไม่ว่ามุมมองจากนานาชาติจะดีหรือร้าย ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อตัวเลขกำไรของพวกเขาเลย แต่ถ้าครั้งต่อไปลูกค้าในสนามมวยเหล่านี้ไม่มาแล้วละก็ ค่ายมวยของพวกเขานี้ก็ไม่มีความหมายที่จะอยู่ต่อไปอีก


“ก็คงได้แต่ทำแบบนี้แล้วละ…”


จู้เหวยเฟิงส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นมา สายตาพลันกวาดผ่านใบหน้าของหูหงเต๋อไป แล้วจู่ๆ ก็ถามหูหงเต๋อขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย“คุณหูครับ ถ้าให้คุณไปสู้กับอันเดรวิช คุณจะมั่นใจแค่ไหนว่าจะเอาชนะได้?”


“ฉันรึ?”


หูหงเต๋อไม่นึกเลยว่า จู้เหวยเฟิงจะโยงเรื่องนี้มาถึงตน จึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าแค่ซัดไอ้ผีฝรั่งนั่นให้ตกเวทีไปละก็ ฉันมั่นใจเต็บสิบเลยว่าทำได้ แต่ถ้าจะให้กำราบมันหรือฆ่ามันละก็ ฉันไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดเดียว”


ที่หูหงเต๋อฝึกมาคือวิชากรงเล็บอินทรีย์ แม้จะเน้นไปที่ทักษะการใช้นิ้วทั้งสิบ แต่กระบวนท่าอินทรีย์สะท้านฟ้านั้น ก็มีเงื่อนไขด้านท่าร่างที่สูงอยู่เหมือนกัน และถ้ากล่าวถึงความปราดเปรียวของท่าก้าวเดิน หูหงเต๋อก็ยังจะอยู่เหนือกว่าเท้าไร้เงา จางซานคนนั้นเสียอีก


และวรยุทธของหูหงเต๋อนั้นก็ไม่ใช่ระดับที่จางซานจะเทียบชั้นได้เลย ถ้าแค่โจมตีอันเดรวิชให้ตกเวทีไปละก็ หูหงเต๋อมั่นใจเต็มที่ว่าทำได้แน่นอน แต่พลังลมปราณแฝงของเขาไม่สามารถทำให้อันเดรวิชบาดเจ็บปางตายได้ เขาจึงไม่มีความมั่นใจในด้านนี้เลย


“เหล่าหูพูดถูกแล้วละ” เยี่ยเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง จู้เหวยเฟิงก็มีสีหน้าเซื่องซึมลงไป แสดงว่าเขาเข้าใจสิ่งที่หูหงเต๋อพูดมา


“คุณตาคะ นี่หมายความว่ายังไงคะเนี่ย? แค่ทำให้ตกเวทีได้ ก็ถือว่าชนะแล้วไม่ใช่หรือคะ?” พวกเยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของหูหงเต๋อ แต่ซาซาซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ใกล้กับพวกเขานั้นฟังแล้วกลับเกิดความสงสัย


จู้เหวยเฟิงพูดอย่างระอาเล็กน้อย “ซาซา นี่มันเป็นการต่อสู้แบบไร้กฎเกณฑ์ ไม่ใช่ว่าทำให้ตกเวทีไปแล้วก็จะชนะได้เลยนะ…”


หลักการของการต่อสู้แบบไร้กฎเกณฑ์นั้น จะต้องให้ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายยอมแพ้ ไม่อย่างนั้นก็จะต้องให้ฝ่ายหนึ่งล้มจนลุกไม่ขึ้นเสียก่อน ถึงจะประกาศได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชนะ


ถ้าหูหงเต๋อเพียงแค่ทำให้อันเดรวิชตกเวทีไป ตราบใดที่อันเดรวิชยังไม่ยอมแพ้ เขาก็สามารถที่จะสู้ต่อไปได้ หูหงเต๋อซึ่งอายุห่างจากอันเดรวิชไปยี่สิบกว่าปีนั้น สุดท้ายก็คงต้องพ่ายแพ้กับมือเขาอยู่ดี


ขณะนั้นอันเดรวิชปรากฏกายขึ้นอีกแล้ว เมื่อเห็นร่างอันบึกบึนเหมือนหมีควายของอันเดรวิช หูหงเต๋อก็โพล่งขึ้นว่า “ที่จริงฉันก็อยากจะลองเจอกับไอ้ฝรั่งรัสเซียตัวขนนี่อยู่เหมือนกันแหละ ไอ้พวกระยำนี่สมัยก่อนก็เคยมาสร้างความเดือดร้อนที่ตงเป่ยไว้เยอะเหมือนกัน!”


แม้ว่าอดีตสหภาพโซเวียตจะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์เช่นเดียวกัน แต่ประเทศจีนกับอดีตสหภาพโซเวียตก็เพียงแค่เคยผ่านช่วงฮันนีมูนมาครั้งหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เวลาอื่นก็มีแต่จะระแวงซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะตอนที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม และกองทัพของอดีตสหภาพโซเวียตเดินทัพเข้าสู่สามมณฑลตะวันออก ก็ได้ทำเรื่องเลวๆ ไว้ไม่น้อยเหมือนกัน


ดังนั้นหูหงเต๋อจึงรู้สึกชังพวกฝรั่งรัสเซียมาตลอด อีกทั้งความโหดเหี้ยมของอันเดรวิชยังปลุกความฮึกเหิมในใจของหูหงเต๋อขึ้นมา คุณตาคนนี้ถึงจะอายุมากแล้ว แต่นิสัยกลับห้าวยิ่งกว่าวัยรุ่นหลายๆ คนมากนัก


“เหล่าหู พลังลมปราณแฝงอาจจะทำอะไรมันไม่ได้เลยก็ได้นะ ผมว่าคุณอย่าเลยดีกว่า”


พอได้ยินหูหงเต๋อพูด เยี่ยเทียนก็รู้สึกเอือมระอา ตัวก็อายุหกเจ็ดสิบเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ทำไมยังอารมณ์ร้อนวู่วามแบบนี้อยู่อีกนะ? แล้วจะว่าไป การแข่งมวยใต้ดินนี่ผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาอยู่แล้ว


และการต่อสู้แบบนี้ก็อันตรายเกินไป หากพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ก็คงจะต้องจบชีวิตลงคาเวทีเช่นเดียวกับจางซานคนนั้น ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนเองก็ไม่สามารถที่จะช่วยชีวิตไว้ได้


“ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ?”


หูหงเต๋อมองดูอันเดรวิชที่อยู่บนเวที ดวงตาเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้ “ต่อให้พลังลมปราณแฝงทำอะไรมันไม่ได้ ผมก็คงทำให้มันล้มลุกคลุกคลานไปได้บ้างแหละน่า ถ้าปล่อยให้มันมากร่างบนเวทีนี้ เดี๋ยวมันก็นึกว่าชนชาติจีนเราไม่เหลือคนมีฝีมือแล้วน่ะสิ!


วาจาของหูหงเต๋อทำให้จู้เหวยเฟิงเริ่มมองเห็นความหวังขึ้นมารำไร จึงรีบพูดขึ้นว่า “คุณหูครับ ขอแค่เสมอกับมันได้ ผมยินดีจ่ายค่าตัวให้คุณสิบล้านเลย”


ตอนนี้ปัญหาสำคัญสำหรับจู้เหวยเฟิงไม่ใช่เรื่องเงินแล้ว แต่เป็นเรื่องหน้าตา ขอเพียงสามารถรักษาหน้าตาของค่ายมวยของเขาไว้ได้ อย่าว่าแต่สิบล้านเลย ต่อให้เป็นร้อยล้านเขาก็ยินดีที่จะควักออกมาจ่าย


“ตาแก่อย่างฉันน่ะไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินหรอก แค่หมั่นไส้ไอ้ฝรั่งตัวขนนี่เท่านั้นแหละ!” หูหงเต๋อกลับไม่ไว้หน้าจู้เหวยเฟิงเลย พอได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องเงิน ก็หันไปขึงตาใส่ทันที


“เหล่าหู คุณไปสู้ไม่ได้นะ!” เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วหยุดยั้งหูหงเต๋อผู้กำลังคันไม้คันมือไว้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็อายุตั้งหกเจ็ดสิบแล้ว เลือดลมมีพลังสู้อันเดรวิชไม่ได้แน่ๆ ไปขึ้นเวทีแบบนี้แม้จะไม่ถึงกับไปรนหาที่ตาย แต่ความเป็นไปได้ที่จะชนะนั้นก็เรียกได้ว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย


โจวเซี่ยวเทียนซึ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยขึ้นว่า “นั่นสิ ศิษย์พี่หู หรือว่า…ให้ผมขึ้นไปสู้กับมันสักรอบดีไหม?”


“แกรึ? ไม่ได้หรอก เซี่ยวเทียน ประสบการณ์ในการต่อสู้จริงของแกยังน้อยเกินไป จังหวะเท้าก็ยังใช้ไม่ได้ เดี๋ยวโดนซ้อมตายเปล่าๆ” ชีวิตที่ผ่านมานี้หูหงเต๋อมีประสบการณ์โชกโชนอย่างยิ่ง ความสามารถในการประเมินคนไม่ได้เป็นรองเยี่ยเทียนเลย มองปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าจุดอ่อนของโจวเซี่ยวเทียนอยู่ตรงไหน


“เยี่ยเทียน ที่จริงเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงพลังของฉันจะสู้มันไม่ได้ แต่ก็ถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัยไม่มีปัญหาแน่ เหล่าหูแค่ขึ้นไปทุ่มมันให้หกคะเมนสักทีสองทีก็จะกลับลงมาแล้ว แบบนี้ได้รึยังล่ะ?” หูหงเต๋อยังอยากจะประลองกับฝรั่งตัวขนคนนี้ดูสักตั้ง


“พลังสู้มันไม่ได้งั้นรึ? จริงด้วยแฮะ เหล่าหู สิ่งที่คุณขาดไปก็มีแต่พละกำลังเท่านั้นเองนี่นา!” เยี่ยเทียนพลันนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า “เหล่าหู ถ้าพลังของคุณไม่ได้น้อยกว่ามัน แล้วจะเอาชนะมันได้ไหม?”


“นั่นยังต้องถามอีกรึ? ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะอัดจนมันก้มลงเก็บฟันตัวเองไม่หวาดไม่ไหวเลยละ ถ้าฉัน เหล่าหูหนุ่มกว่านี้สักยี่สิบปีละก็ อาจจะสู้มันได้ก็ได้นะ!” หูหงเต๋อยืดอก ถึงจะคุยโวแค่ไหนก็ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว เขาเองก็ไม่ได้นึกถึงว่า สมัยที่ตนยังอายุสี่สิบกว่าปีนั้น ยังฝึกไปไม่ถึงขั้นพลังลมปราณแฝงเลยด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจะขึ้นไปสู้กับอันเดรวิชบนเวทีเลย


“ได้ อย่างนั้นการประลองรอบนี้คุณก็รับไปเถอะ!” เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับจู้เหวยเฟิง “ประธานจู้ การประลองรอบนี้ให้เหล่าหูสู้ก็แล้วกัน แต่จะต้องเลื่อนเวลาไปอีกสักยี่สิบนาทีนะ!”


“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมา…”


เมื่อหูหงเต๋อและเยี่ยเทียนยอมตกลงแล้ว จู้เหวยเฟิงกลับเริ่มไม่มั่นใจขึ้นมา เขาดูออกว่า เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อสนิทกันมาก ถ้าตาแก่คนนี้โดนอันเดรวิชฆ่าคาเวทีไปอีกคน อย่างนั้นเขาก็ต้องกลายเป็นศัตรูกับเยี่ยเทียนน่ะสิ


“คุณแค่ทำส่วนของคุณให้ดีก็พอแล้วละ จริงสิ เงินสิบล้านนั่นก็ต้องเตรียมไว้ให้เรียบร้อยด้วยนะ!” เยี่ยเทียนดึงแขนหูหงเต๋อ แล้วลุกขึ้นมาพลางพูดว่า “เตรียมห้องพักผ่อนไว้ห้องหนึ่ง ด้านนอกให้คนเฝ้าไว้ อย่าให้ใครมารบกวนผมล่ะ!”


…….


ตอนที่ 464 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“จวินจื่อ นี่พวกเขาจะไปทำอะไรกันน่ะ?”


หลังจากรอจนเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อเดินจากไปแล้ว จู้เหวยเฟิงก็มองไปทางหูจวินด้วยสีหน้าสงสัย เขายังงงๆ อยู่เลยว่า คนที่เป็นถึงครูมวยอย่างหูหงเต๋อนี่ ทำไมจะต้องไปเชื่อฟังเยี่ยเทียนขนาดนั้นด้วย?


ควรทราบว่า ยอดฝีมือชั้นครูในยุทธจักรที่แท้จริงนั้น มักจะยึดหลักเคารพต่อผู้ที่แข็งแกร่งกว่า และจะยกย่องกันที่ความสามารถในการต่อสู้ของคนนั้นๆ ด้านนิสัยก็มักจะเย่อหยิ่งทะนงตนเอามากๆ สำหรับคนเหล่านี้แล้ว แม้จะไม่ถึงขนาดว่าดูถูกแม้กระทั่งพวกขุนนางหรือคนใหญ่คนโต แต่ถ้าจะให้พวกนี้ยอมถวายชีวิตให้ละก็ แบบนั้นคงจะเป็นนิทานก่อนนอนเสียมากกว่า


แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนซึ่งเป็นเพียงคนหนุ่มคนหนึ่ง หูหงเต๋อกลับมีท่าทางเคารพนับถือพอสมควรเลย จู้เหวยเฟิงเชื่อว่า ถ้าไม่ใช่เพราะตอนสุดท้ายเยี่ยเทียนยอมให้หูหงเต๋อรับศึก ตาแก่คนนั้นก็คงไม่มีทางยอมขึ้นเวทีแน่ๆ


“นายถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใครล่ะ?”


หูจวินค้อนใส่อย่างขุ่นเคือง “นายอย่าโยงเยี่ยเทียนไปเกี่ยวกับพวกตระกูลซ่งล่ะ เขาไม่ชอบให้ใครมาพูดถึงเรื่องนี้ อีกอย่างนะ อาศัยความสามารถของเยี่ยเทียนแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพิงตระกูลซ่งเลยด้วยซ้ำ”


หูจวินเคยเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วนมาก่อน คนที่ทำให้ถังเหวินหย่วนพินอบพิเทาได้ขนาดนี้ คงไม่ใช่แค่เพราะมีตระกูลซ่งอยู่เบื้องหลังหรอก ถังเหวินหย่วนมีความเกี่ยวข้องกับสมาคมหงเหมินอย่างลึกซึ้งยิ่ง หากจะกล่าวถึงอิทธิพลที่มีอยู่ในต่างประเทศแล้ว ก็อาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลซ่งเลย


“ทำไม? เยี่ยเทียนยังมีเบื้องหลังอย่างอื่นอีกงั้นรึ?” จู้เหวยเฟิงได้ยินก็อึ้งไป เมื่อก่อนเขาไม่รู้จักเยี่ยเทียนเลย เคยได้ยินมาแค่เรื่องเกี่ยวกับเขาและตระกูลซ่งเท่านั้น วันนี้เมื่อเห็นชิวเหวินตงพาเยี่ยเทียนมา ถึงได้นึกอยากสร้างสัมพันธไมตรีกับเยี่ยเทียน


หูจวินส่ายหน้าแล้วตอบว่า “จะมีเบื้องหลังอย่างอื่นอีกไหมฉันก็ไม่รู้หรอก แต่ถังเหวินหย่วนที่ฮ่องกงน่ะซี้กับเขาสุดๆ เลย แล้วตัวเยี่ยเทียนเองก็ชำนาญการดูดวงเสี่ยงทายมาก ที่ปักกิ่งก็มีเส้นสายคนรู้จักอยู่ไม่น้อย”


“ดูดวงเสี่ยงทาย? หรือว่าจะเป็นคนในแวดวงศาสตร์ลี้ลับ?” สืบเนื่องจากอาชีพเดิมของเขา จู้เหวยเฟิงจึงมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพมากกว่าหูจวินมาก หลังจากได้ฟังเขาตอบมา ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไปมาก


ภาษิตว่า จอมยุทธมักใช้กำลังในการละเมิดกฎ ตั้งแต่โบราณมา ชาวยุทธบางคนอาจจะถูกราชสำนักชักจูงไปเป็นเบี้ยรับใช้ได้ แต่คนในแวดวงศาสตร์ลี้ลับส่วนมากกลับดูถูกดูแคลนทางราชการกันเหลือเกิน นักปรุงยาวิเศษหลายคนที่เคยไปปรากฏอยู่ในวังนั้น ก็มักจะเป็นพวกที่อยู่ในวงการศาสตร์ลี้ลับได้อย่างไม่ราบรื่นนัก


เทียบกับชาวยุทธที่เอะอะเป็นรบราฆ่าฟันแล้ว วงการศาสตร์ลี้ลับซึ่งมีวิชาพิสดารหลากหลายแขนงนั้น ยังเป็นภัยต่อสังคมและแวดวงสังคมชั้นสูงบางกลุ่มยิ่งกว่าเสียอีก ดังนั้นตั้งแต่เริ่มสถาปนาประเทศเป็นต้นมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงอ้างนโยบายกำจัดแนวคิดศักดินางมงาย เพื่อปราบปรามวงการศาสตร์ลี้ลับและวงการยุทธภพให้หมดสิ้น


แน่นอนว่า ค่ายสำนักต่างๆ ที่สืบทอดกันมาเป็นร้อยๆ หรือถึงขั้นเป็นพันๆ ปีเหล่านี้ ย่อมไม่อาจถูกขุดรากถอนโคนได้โดยง่าย ศาสตร์ลี้ลับจึงดำรงอยู่ตลอดมา เพียงแต่เสื่อมถอยลงไปทุกวัน และผู้ที่มีฝีมืออย่างแท้จริงจำนวนหนึ่งก็ปลีกกายออกจากโลกีย์โลก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงค่อยๆ ผ่อนปรนมาตรการเกี่ยวกับวงการศาสตร์ลี้ลับลง


“เยี่ยเทียนอายุเพิ่งจะแค่นั้น คงจะเป็นศิษย์ใหม่ของค่ายสำนักไหนสักแห่งละมั้ง?” เมื่อนึกถึงอายุของเยี่ยเทียนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจู้เหวยเฟิงก็ไม่อาจเชื่อมโยงเยี่ยเทียนเข้ากับบรรดายอดนักพยากรณ์ศาสตร์ในตำนานผู้สามารถทำนายเป็นตาย สื่อสารกับหยินหยางได้เลยจริงๆ จึงส่ายหน้าแล้วเลิกคิดถึงเรื่องนั้นไป


“อ้าว? เยี่ยเทียน คุณหู มาแล้วหรือครับ?”


ระหว่างที่จู้เหวยเฟิงกำลังซุบซิบกับหูจวินอยู่ เงาร่างสองร่างก็ผ่านสนามมวยกลับมาอยู่ข้างๆ ที่นั่งอย่างเงียบเชียบ พอจู้เหวยเฟิงเงยหน้าขึ้นมามองหูหงเต๋อ เขาก็สะดุ้งไปทันที


คุณตาหูที่เดิมทีก็มีรูปลักษณ์ที่ดูเหี้ยมหาญอยู่แล้วนั้น ยามนี้ราวกับร่างกายสูงใหญ่ขึ้นมาอีก เขาดูเหมือนกระบี่คมที่ถูกชักออกจากฝักก็ไม่ปาน ขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็แผ่ไอปราณที่อันตรายน่าพรั่นพรึงออกมา ทำให้แม้แต่จู้เหวยเฟิงที่ต้องเฉียดตายอยู่เป็นประจำยังรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา


หากจะกล่าวว่าเมื่อครู่นี้อันเดรวิชเป็นดั่งภูเขาไฟสงบที่ไม่รู้จะปะทุขึ้นมาอีกเมื่อไร ตอนนี้หูหงเต๋อก็เป็นดั่งราชสีห์ที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ราวกับพร้อมจะตะปบคนกินได้ทุกเมื่อ ถ้าเป็นคนที่ขี้ขลาดหน่อย สงสัยแค่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาก็คงขาอ่อนแล้ว


“อย่ามัวพูดมากอยู่เลย จัดการประลองเสียตอนนี้แหละ!” ตอนนี้เยี่ยเทียนดูจะไม่มีมารยาทกับจู้เหวยเฟิงที่เดินเข้ามาหาเอาเสียเลย โบกมือแล้วบอกว่า “อีกสามนาทีก็ต้องเริ่มการประลองแล้วนะ!”


เมื่อจู้เหวยเฟิงเห็นเยี่ยเทียนมีสีหน้าร้อนรน ก็รีบตอบว่า “ได้ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละ!”


ยามนั้นอันเดรวิชยังยืนอยู่บนเวที หลังจากจู้เหวยเฟิงถ่ายทอดคำสั่งไปทางวิทยุสื่อสาร พิธีกรคนนั้นก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที ถือไมโครโฟนประกาศว่า “ต่อไปขอเรียนเชิญคุณตาหูผู้เชี่ยวชาญวิชากรงเล็บอินทรีย์จากภูเขาฉางไป๋ซานขึ้นเวที!”


“คุณตาหู? นี่มันใครเนี่ย?”


“ไม่เคยได้ยินนะ คนหนุ่มๆ ยังสู้ไอ้ผีฝรั่งนี่ไม่ได้เลย แล้วดันส่งคุณตามาคนนึงจะใช้ได้เรอะ?”


“นั่นสิ สนามมวยนี้เล่นตลกอยู่รึเปล่าเนี่ย คนหนุ่มกลัวตายไม่กล้าขึ้นสู้ เลยให้คนแก่ไปตายแทนเนี่ยนะ?”


ทันทีที่พิธีกรประกาศจบ ฝูงชนรอบเวทีก็โวยวายขึ้นมาทันที บางคนถึงกับด่ากราด แล้วปาขวดน้ำแร่ เม็ดกวยจี๊ ถั่วลิสงและอะไรต่อมิอะไรใส่พิธีกรคนนั้น


พิธีกรนึกไม่ถึงเลยว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ชมอย่างรุนแรงปานนี้ ยื่นมือออกไปปรามเสียงพร้อมหลบหลีกขยะที่ถูกขว้างปามา พลางประกาศว่า “เงียบก่อน ทุกคนเงียบกันก่อน ผมรับประกันว่าการประลองรอบต่อไปนี้จะต้องมีสีสันยิ่งกว่ารอบก่อนแน่นอน ตอนนี้เป็นช่วงลงพนัน มีเวลาสองนาทีเท่านั้น เชิญเพื่อน ๆ ทุกท่านรีบลงพนันกันเถอะ!”


เพราะเยี่ยเทียนเร่งเร้ามา ช่วงลงพนันที่ปกติมีเวลาห้านาทีจึงถูกบีบลงจนเหลือสองนาที เมื่อแสงไฟทั่วสนามสว่างขึ้น หูหงเต๋อก็เดินขึ้นสู่เวทีอย่างช้าๆ


หูหงเต๋อทำเช่นเดียวกับอันเดรวิช คือให้เจ้าหน้าที่เปิดเชือกกั้นออกก่อนแล้วจึงขึ้นไปบนเวที สำหรับครูมวยที่มีประสบการณ์คนหนึ่ง ความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามที่ไม่จำเป็นนั้น ต่างก็เป็นการทำให้ตัวเองเสียพลังไปโดยใช่เหตุ ซึ่งเป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างยิ่ง


เมื่อหูหงเต๋อไปยืนอยู่บนเวทีแล้ว เสียงอึกทึกรอบด้านก็สงบลงไปทันที เพราะการปรากฏกายของหูหงเต๋อนั้น ทำให้ทุกคนตาเป็นประกายวาวไปตามๆ กัน


ปกติหูหงเต๋อมีส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่า หลังจากออกไปเดินเล่นกับเยี่ยเทียนมารอบหนึ่งเมื่อครู่ ตอนนี้ร่างกายก็กลับดูเหมือนสูงขึ้นไปอีกสิบเซนติเมตร ถึงจะมายืนอยู่กับอันเดรวิชบนเวที ก็ไม่ได้ดูเตี้ยไปกว่ากันเท่าไรเลย


นอกจากนี้แม้หูหงเต๋อจะอายุหกสิบกว่าปีแล้ว แต่กล้ามเนื้อทั่วร่างกลับไม่ได้หย่อนคล้อยไปเลย กล้ามเนื้อที่หุ้มโครงกระดูกหนาใหญ่ของเขาไว้นั้นดูเป็นสีเหลืองทองราวกับโลหะ ดูกำยำตั้งแต่ลำคอไปที่หน้าอกและแผ่นหลัง รวมไปถึงต้นขา


ประกายเลื่อมดั่งโลหะภายใต้แสงไฟนั้น ทำให้หูหงเต๋อดูราวกับเครื่องจักรเหล็กกล้าที่ถูกหลอมออกมาจากแม่พิมพ์ก็ไม่ปาน ถ้าไม่ใช่เพราะได้เห็นกับตาตัวเอง บรรดาผู้ชมเหล่านี้ไม่ว่าใครก็คงไม่เชื่อว่า คนผิวเหลืองจะมีโครงสร้างร่างกายและกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนจากยุโรปและอเมริกา


“ท่านนี้ก็คือคุณตาหูผู้เชี่ยวชาญวิชากรงเล็บอินทรีย์จากภูเขาฉางไป๋ซาน คุณตาแกสามารถฉีกทั้งเสือสิงห์กระทิงแรดได้ทั้งเป็นเลย การประลองรอบต่อไปนี้ จะต้องดุเดือดเข้มข้นดั่งมังกรตะลุมบอนกับพยัคฆ์แน่นอน…”


พิธีกรบนเวทีก็ตะลึงงันไปกับรูปลักษณ์ภายนอกอันดูเหี้ยมหาญของหูหงเต๋อเช่นกัน จึงยืนพูดยกยอเขาอยู่บนเวทีอย่างสุดความสามารถ ที่จริงเขาก็ไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับหูหงเต๋อหรอก ที่พูดมานี้เขาคิดเองเออเองเอาทั้งนั้น


“พูดมากจริงโว้ย!” เมื่อเห็นพิธีกรจ้ออยู่บนเวทีไม่หยุด เยี่ยเทียนที่อยู่ด้านล่างก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วพลันตะเบ็งเสียงขึ้นมาว่า “เหล่าหู ยี่สิบนาทีนะ!”


ถ้าหูหงเต๋อหนุ่มกว่านี้สักยี่สิบปี บางทีอาจจะพอสูสีกับอันเดรวิชได้อยู่ แต่อายุเขาเกือบจะเจ็ดสิบปีอยู่แล้ว ไม่มีทางใช้กำลังปะทะกับอันเดรวิชตรงๆ ได้แน่นอน ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงได้เลือกใช้วิธีอื่น


เมื่อครู่นี้พอไปถึงห้องพักผ่อน เยี่ยเทียนก็ระบำทรงเจ้าต่อหน้าหูหงเต๋อ ตามวิธีที่ได้มาจากคลื่นพลังของกลองหนังแพะใบนั้น ถึงเขาจะไม่มีอุปกรณ์ในการทำพิธีทรงเจ้าเข้าผีอยู่ในมือ แต่คลื่นพลังชี่ที่เยี่ยเทียนปล่อยออกมาเลียนแบบนั้น ก็เรียกเจ้ามาเข้าทรงได้สำเร็จ ทำให้ภายในกายของหูหงเต๋อมีพลังเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่อาจอธิบายได้


เพียงแต่พลังแบบนี้เป็นการหยิบยืมพลังจากภายนอก ไม่สามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานานๆ ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงได้เตือนหูหงเต๋อว่า จะต้องยุติการต่อสู้ให้ได้ภายในยี่สิบนาที ไม่อย่างนั้นก็จะต้องยอมแพ้แล้วลงมาจากเวทีเสีย!


หลายคนที่อยู่รอบๆ ต่างก็ได้ยินเสียงตะโกนของเยี่ยเทียน แต่พวกเขาไม่รู้ว่ายี่สิบนาทีนี้หมายความว่าอะไร มีเพียงหูหงเต๋อที่อยู่บนเวทีที่ฟังเข้าใจ จึงกำแขนของพิธีกรคนนั้นไว้ แล้วตวาดว่า “แกน่ะลงไปได้แล้ว!”


หูหงเต๋อสะบัดมือออกไป แล้วร่างหนักหนึ่งร้อยกว่าชั่งของพิธีกรคนนั้นก็ลอยปลิวออกมาจากเวทีมวยราวกับไร้น้ำหนัก


ที่หูหงเต๋อใช้ไปเป็นทักษะการใช้พลังอย่างหนึ่ง หลังจากพิธีกรกระเด็นออกไปกลางอากาศได้เจ็ดแปดเมตร สองขาก็กลับยืนลงไปบนพื้น แต่พลังจู่โจมอันมหาศาลนั้นก็ยังคงทำให้พิธีกรต้องก้าวถอยหลังไปติดๆ กันหลายก้าว สุดท้ายก็ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปนั่งกับพื้น


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ทั้งสนามมวยเงียบกริบกันไปหมด นั่นมันคนหนักตั้งหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดสิบชั่งเลยนะ กลับถูกโยนทิ้งออกไปอย่างกับปาของเล่นเฉยเลย ร่างของหูหงเต๋อจึงดูสูงใหญ่ในสายตาของบรรดาฝูงชนขึ้นมาทันที


อันเดรวิชที่ตอนแรกไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏบนใบหน้าเลย เมื่อเห็นฉากนี้ก็หรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกได้ถึงพลังปราณอันตรายรุนแรงจากชายที่อยู่ตรงหน้านี้ เหมือนกับหมีสีน้ำตาลดุร้ายหนักเจ็ดแปดร้อยชั่งที่อันเดรวิชเคยเจอเมื่อยี่สิบปีก่อนไม่มีผิด


เรื่องนี้ทำให้รอยแผลเป็นบนหน้าของอันเดรวิชกระตุกขึ้นมา เพราะแผลเป็นนี้ก็เป็นของที่ระลึกที่หมีสีน้ำตาลตัวนั้นฝากไว้ให้เขานั่นเอง ตอนนั้นอุ้งตีนมันตบมาทีเดียวก็ทำหน้าเขาเละไปครึ่งซีกแล้ว ถึงจะเคยทำศัลยกรรมมาหลายครั้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถกำจัดแผลเป็นนี้ไปได้


หูหงเต๋อจับจ้องไปที่อันเดรวิชด้วยสายตาราวกับนกอินทรีย์ ปากก็ตวาดว่า “มาเลย ให้ฉันได้เห็นศิลปะการต่อสู้ของพวกคนยุโรปอย่างแกหน่อยซิ!”


ศิลปะการต่อสู้ที่หูหงเต๋อพูดถึงนั้น ก็คือวิชามวยปล้ำนั่นเอง เป็นศิลปะการต่อสู้อีกอย่างหนึ่งของยุโรปนอกจากการชกมวย อย่างวิชาที่ชาวต่างชาติเคยใช้บนเวทีที่เมืองเซี่ยงไฮ้สมัยก่อนที่จะได้รับการปลดปล่อยนั้น ที่จริงก็คือต้นเค้าของวิชามวยปล้ำนี้นี่เอง


หลังจากผ่านการพัฒนามาเกือบหนึ่งศตวรรษ วิชามวยปล้ำของต่างประเทศก็เริ่มเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ ที่จริงแล้วประสิทธิภาพในการต่อสู้และพลังทำลายล้างของท่าโจมตียังสูงยิ่งกว่ารูปแบบการต่อสู้ของวิชายุทธบางแขนงในประเทศเสียอีก จึงได้รับการยกย่องจากบุคคลในกองกำลังพิเศษและวงการมวยใต้ดินของแต่ละประเทศ


แต่ต่างจากจางซานที่ใช้การเคลื่อนไหวหลบหลีกในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ หูหงเต๋อในขณะนี้กลับเป็นฝ่ายรุกเข้าไปก่อน ปากแผดร้องคำราม สองเท้าถีบกระทืบลงกับพื้น ร่างเคลื่อนเข้าไปหาอันเดรวิชราวกับรถถังที่พร้อมจะบดขยี้ก็ไม่ปาน


……

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)