หมอดูยอดอัจฉริยะ 458-459
ตอนที่ 458 กฎเกณฑ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เยี่ยเทียน บางครั้งที่นายไม่ทำธุรกิจ ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ”
หูจวินหัวเราะอย่างขมขื่นและส่ายหัว ตั้งแต่ติดตามพ่อมาถึงปักกิ่ง เขาเพิ่งรู้ว่าน้ำของที่นี่มันลึกแค่ไหน? แต่เมื่อเทียบกับตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว การหาเงินที่นี่นั้นง่ายกว่ามาก
ก็เหมือนกับธุรกิจสนามมวยใต้ดินแห่งนี้ หูจวินไม่ได้ควักเงินเลยสักนิด แต่กลับได้หุ้นส่วนสิบเปอร์เซ็นต์มาแบบฟรีๆ ก็ไม่ใช่เพราะจู้เหวยเฟิงมองเห็นความสัมพันธ์ในกองทัพปักกิ่งของผู้เฒ่าผู้แก่ของเขาเหรอ
เรื่องคล้ายๆ แบบนี้ เคยเกิดขึ้นกับตัวเขามาแล้วเจ็ดแปดครั้ง นั่นหมายถึงว่า ในปีหนึ่งเขาไม่ต้องทำอะไร แต่ก็มีเงินเกือบร้อยล้านเข้าบัญชี และจำนวนเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายก็มีอยู่ไม่น้อยทีเดียว
“ปีละร้อยล้าน?”
ได้ยินตัวเลขนี้จากปากของหูจวิน เยี่ยเทียนก็อึ้งจนพูดไม่ออกทันที เขาลำบากลำบนมาตั้งหลายปีกว่าจะได้สามสิบสี่สิบล้านนี้มา ดันมาเจอพ่อทำแบบนี้อีก แค่คืนเดียวก็กลับไปสู่ยุคก่อนเปิดประเทศ เมื่อเทียบกับหูจวินแล้ว มันน่าโมโหให้ตายเลยจริงๆ
“หนึ่งร้อยล้านเยอะเหรอ?”
หูจวินเบ้ปาก พูดว่า “เยี่ยเทียน อย่ามองว่าผู้เฒ่าผู้แก่ของตระกูลซ่งจะลงจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ชื่อเสียงยังอยู่ ขอแค่นายยินยอม นายก็สามารถรับหุ้นส่วนไปอย่างน้อยๆก็สิบเปอร์เซ็นต์นะ ไม่แน่อาจจะมากกว่านั้นอีกนิดก็ได้!”
“ฉันว่านะ ตระกูลซ่งก็คือตระกูลซ่ง ฉันก็คือฉัน ฉันกับตระกูลซ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด อย่าพยายามเอาฉันไปอยู่กับพวกเขาเลย”
เยี่ยเทียนหน้าตึง และพูดด้วยเหตุผลถูกต้องและวาทะเต็มไปด้วยสัจธรรมว่า “ฉันเยี่ยเทียน เป็นคนทำตามกฎเกณฑ์ สิ่งที่ผิดกฏเกณฑ์ฉันไม่เคยทำ!”
“แค่กๆ!”
เยี่ยเทียนยังพูดไม่ทันจบ หูหงเต๋อที่ดื่มน้ำอยู่ข้างๆ ก็สำลักน้ำออกมาเต็มพื้น เยี่ยเทียน…ปฎิบัติตามกฎหมายงั้นเหรอ? ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เขาฆ่าคน แค่มังกรบินที่ถูกเขายิงที่เขาฉางไป๋ ก็เพียงพอให้เขาต้องโทษหลายปีแล้วหล่ะ
“เหล่าหู แสดงออกชัดเจนขนาดนั้นทำไมกัน? ฉันทำอะไรที่ผิดกฎยุทธภพงั้นเหรอ?”
เยี่ยเทียนมองหูหงเต๋ออย่างไม่พอใจ กฎหมายที่เขาพูดถึง หมายถึงกฎของยุทธภพ ไม่เกี่ยวกับกฎหมายของประเทศเลยสักนิด
หูหงเต๋อกลั้นขำเอาไว้ พูดว่า “เปล่า เธอเป็นคนดีมาก จนสามารถเป็นคนหนุ่มดีเด่นที่ติดหนึ่งในสิบแล้วหละ”
“ค่อยยังชั่วหน่อย เหล่าหู ผมว่าคุณหยุดฆ่าสัตว์สงวนบ้างเถอะ ระวังตำรวจไปจับคุณนะ”
เยี่ยเทียนพูดๆ อยู่ก็เริ่มหัวเราะขึ้นมา ตัวเองรู้เรื่องตระกูลตัวเองดีที่สุด เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนเลวอะไร แต่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรเช่นกัน คนโบราณกล่าวไว้ว่าพวกนักบู๊ใช้วิชายุทธ์บ่อนทำลายความสงบ ซึ่งก็หมายถึงคนแบบเขา
หลังจากพูดคุยเล่นกับหูหงเต๋อไม่กี่คำ เยี่ยเทียนจึงมองไปที่หูจวิน ถามว่า “ว่าแต่ พี่หู จู้เหวยเฟิงนี่เป็นใครเหรอ? ทำไมถึงกล้าจัดใหญ่ขนาดนี้ในปักกิ่ง?”
เขตเทียนจิน ในปักกิ่งเป็นเขตที่รัฐบาลควบคุมโดยตรงแห่งหนึ่ง พูดได้ว่าเป็นเขตสำคัญของประเทศ จู้เหวยเฟิงกล้าทำสถานที่แห่งนี้ให้เป็นมวยใต้ดินได้ ความสัมพันธ์ที่เขามีน่าจะเป็นศูนย์กลางโดยตรงถึงทำได้
หูจวินมองซ้ายมองขวาเสร็จ พูดด้วยเสียงเบาว่า “ปู่ของเขาคือจู้XX ถึงแม้จะตายไปนานแล้ว แต่ใครๆ ก็ต้องใว้หน้าแก่ตระกูของเขาสักหน่อย…”
“คนนั้นหรือ? ไม่แปลกใจเลย แค่ชื่อก็เป็นเหมือนบัตรยกเว้นการตายแล้ว!”
หลังจากได้ยินหูหงจวินพูดชื่อนั้นออกมา เยี่ยเทียนตะลึงไปครู่นึง ที่ไปที่มาของคนๆ นั้นใหญ่จริงๆ ใหญ่ถึงขั้น ช่วงต้นของการสร้างประเทศผู้ที่สามารถยืนคู่กันกับเขาได้ ก็มีไม่กี่สิบคนเท่านั้น
ถึงแม้จะถึงแก่กรรมตั้งแต่ปีหนึ่งเก้าเจ็ดศูนย์ถึงหนึ่งเก้าแปดศูนย์ แต่ในฐานะหนึ่งในผู้ก่อตั้งประเทศ คนๆ นั้นไม่ว่าจะในทางรัฐหรือในทางทหาร ล้วนแต่มีลูกน้องอยู่ภายใต้เขาเป็นจำนวนไม่น้อย ชื่อเสียงลือนามนั้นกว้างขวางยิ่งนัก ไม่สามารถพูดออกมาได้เลยทีเดียว
“จู้เหวยเฟิงไม่ได้พึ่งชื่อเสียงของคุณปู่ซะทีเดียว”
เพื่อนของหูจวินที่อยู่ในปักกิ่งมีไม่มากนัก แต่เขากลับเคารพนับถือจู้เหวยเฟิงเป็นอย่างมาก พูดว่า “ไอ้หนุ่มนี่เป็นพวกหัวแข็ง ตระกูลของเขามีเขาแค่คนเดียว แต่ตอนอายุสิบห้าเขากลับหนีไปเป็นทหารโดยที่ไม่บอกใครเลย…”
การอบรมบ่มเพาะลูกหลานของตระกูลจู้นั้นมีระบบของตระกูลเอง มีแต่จู้เหวิยเฟิงเท่านั้นที่ต่อต้านตั้งแต่เด็ก หลังจากที่คุณปู่ถึงแก่กรรม ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไรในการแอบเข้าไปค่ายทหาร
ไปเป็นทหารก็ว่าไปอย่าง ตระกูลจู้นั้นมีรากฐานที่ลึกซึ้งในกองทัพ เดิมทีต้องการพัฒนาจู้เหวยเฟิงในกองทัพ แต่หลังจากที่เป็นทหารไปสองปี เขากลับกลายเป็นคนที่โดดเด่นของกองทัพ จากนั้นก็หลุดเข้าไปอยู่ในหน่วยงานที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก
ระหว่างนี้เป็นเวลากว่าแปดปี จู้เหวยเฟิงอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศ ระดับความลับของเขานั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก แม้แต่พ่อที่เป็นหัวหน้ากองทัพก็ไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าหลังจากที่อดีตสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว มีเงาจางๆ ของลูกชายเข้าร่วมอยู่ในนั้นด้วย
ไม่รู้เพราะว่าเป็นทหารจนเบื่อหรือเปล่า หลังจากที่อยู่ในกองทัพเป็นเวลาสิบปี จู้เหวยเฟิงก็กลับไปที่ปักกิ่งอีกครั้ง
และใช้ชีวิตอย่างอิสระไม่มีอะไรทำไปหลายปี จากนั้นก็เริ่มทำสนามมวยใต้ดินแห่งนี้ขึ้นมา และสร้างขึ้นมาจนสำเร็จรุ่งเรือง
“อืม รอยหยักบนหน้าผากของเขาเยอะมาก ครึ่งชีวิตแรกก็พบเจอแต่อุปสรรค คนๆ นี้ควรค่าแก่การทำความรู้จัก”
หลังจากฟังคำของหูจวินจบ เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาสัมผัสได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าบนตัวของจู้เหวยเฟิงมีพลังการฆ่า
สูงมาก คนที่ตายด้วยน้ำมือของเขาคงไม่น้อยไปกว่าตนเองเท่าไหร่
และที่สำคัญดูจากใบหน้าของจู้เหวยเฟิงแล้ว เขาเป็นคนประเภทไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตที่เงียบสงบ ถึงแม้จะเป็นยุคแห่งความสงบ แต่เขามักจะหาบางอย่างที่ทำให้จิตวิญญาณของเขานั้นมีความตื่นเต้น
หรือพูดอีกอย่างว่า จู้เหวยเฟิงได้รับผลกระทบจากประสบการณ์ในอดีต พูดตรงๆ ก็คืออาการโดยรวมของผู้ผ่านศึกสงคราม เขายังไม่ชินกับการเปลี่ยนจากทหารมาเป็นประชาชนธรรมดา
“ไม่พูดถึงเขาแล้ว” หูจวินสะบัดมือ มองที่เยี่ยเทียนพูดว่า “เยี่ยเทียน ไหนๆ วันนี้นายก็มาแล้ว จะลองพนันกันสักตั้ง
หน่อยไหม?”
เยี่ยเทียนส่ายหัวปฎิเสธ ตอบกลับว่า “ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้หรอก แล้วอีกอย่าง ใครชกกับใครฉันยังไม่รู้เลย จะกล้าพนันได้ยังไง?”
“นี่ไง มันก็เขียนไว้ตรงนี้แล้วไง?” หูจวินชี้ไปที่กระดาษหลายใบที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาข้างๆ เยี่ยเทียน
“จริงๆ ด้วย ฉันขอดูก่อน!” เยี่ยเทียนยื่นมือไปหยิบกระดาษสำเนาพวกนั้นขึ้นมา เป็นข้อมูลของนักมวยต่างๆ จริงด้วย
ข้อมูลเหล่านี้ละเอียดมาก ไม่เพียงแต่เขียนความสูง อายุ ลักษณะทางกายภาพ และท่าที่ถนัดของนักมวย แม้แต่
คะแนนสะสมมวยใต้ดินที่เคยชกมาก่อนก็จะถูกเขียนไว้ แค่ดูข้อมูลจากตรงนี้ก็สามารถรู้เกี่ยวกับนักมวยคนๆ นี้ได้เลย
ตัวอย่างคนที่เยี่ยเทียนกำลังดูอยู่มีฉายาว่าบาทาไร้เงา จางซาน กังฟูที่เขาฝึกฝนก็คือเพลงมวยดาวตกชั่วเจี่ยว เขาชกมวยใต้ดินที่นี่มาแล้วหกครั้ง คะแนนสะสมคือชนะห้าครั้งแพ้หนึ่งครั้ง
บางทีอาจจะมีบางคนสงสัยว่า การชกมวยใต้ดินนั้นสู้กันให้ถึงตาย แต่บางครั้งทำไมคนที่สู้แพ้ถึงยังไม่ตาย?
ที่จริงมวยใต้ดินภายในประเทศ ยังไม่โหดเหี้ยมเท่าต่างประเทศ ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะเซ็นใบยินยอมความตายแล้วก็ตาม แต่ถ้าถูกชกจนออกนอกเวทีมวยและยอมแพ้ โดยทั่วไปแล้วจะไม่เอาให้ถึงตาย
ดังนั้นสงครามแห่งความตายของจริงไม่ค่อยเกิดขึ้นจริงๆ สนามมวยใต้ดินแห่งนี้จัดขึ้นเป็นเวลาสามปีแล้ว ทุก
อาทิตย์จะมีการแข่งขันหนึ่งครั้ง แต่จำนวนคนที่ตายยังมีไม่ถึงยี่สิบคน
แน่นอนว่า คนที่ได้รับบาดเจ็บก็มีอยู่ไม่น้อย ทุกอาทิตย์ก็จะมีคนบาดเจ็บเกิดขึ้น นี่ก็เป็นสาเหตุหลักสาเหตุหนึ่งที่เป็นที่ดึงดูดสำหรับพวกเศรษฐี
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนดูอย่างละเอียด หูจวินจึงพูดว่า “เยี่ยเทียน ข้างหน้านี้ไม่ต้องดู นายดูสองหน้าสุดท้ายก็พอแล้ว”
“อืม? ต่างกันยังไงเหรอ?” หลังจากได้ยินสิ่งที่หูจวินพูด เยี่ยเทียนพลิกไปที่สองหน้าสุดท้าย
“คนรัสเซีย? มีที่ไปที่มายังไง?”
คนที่ปรากฏอยู่บนกระดาษมีชื่อว่าอันเดรวิช แนะนำคนนี้ได้ง่ายมาก แนะนำแค่ว่าเขามาจากค่ายมวยไซบีเรีย เป็นราชามวยใต้ดินของยุโรป ส่วนคะแนนนั้นในกระดาษสำเนาไม่ได้เขียนไว้อย่างชัดเจน
แต่ผู้จัดสนามให้อัตราต่อรองแก่อันเดรวิชค่อนข้างต่ำ คือเจ็ดต่อหนึ่ง หมายความว่าพนันอันเดรวิชเจ็ดหยวน ถ้าเขาชนะจะได้เพิ่มอีกแค่หนึ่งหยวนเท่านั้น
ในทางกลับกัน ถ้าคู่ต่อสู้ของอันเดรวิชชนะ งั้นผู้จัดต้องจ่ายเงินเจ็ดเท่า เห็นได้ว่าจู้เหวยเฟิงให้ความสำคัญกับราชา
มวยใต้ดินยุโรปคนนี้มาก
หูจวินมองซ้ายมองขวา กระซิบข้างหูเยี่ยเทียน พูดด้วยเสียงเบาว่า “เยี่ยเทียน คนคนนี้เมื่อสามปีก่อนเพิ่งออกมาจากกองทัพทหารของรัสเซีย สามปีที่ผ่านมานี้เคยแข่งมวยใต้ดินมาแล้วพันกว่าครั้ง ไม่มีประวัติการแพ้เลยสักครั้ง มีคนตายด้วยมือของเขามาแล้วสี่สิบสามกว่าคน ที่เหลือก็เกือบๆ จะพิการ!”
“เขามาเข้าร่วมการแข่งขันมวยใต้ดินของประเทศได้ยังไง?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ในนี้ไม่เขียนคะแนนการต่อสู้ นี่มันแกล้งกันชัดๆ? เขารู้เทคนิคการฆ่าของต่างประเทศ การต่อ
สู้ที่แท้จริงไม่ได้แย่ไปกว่ามวยวูซูของจีน กระทั่งอาจจะดีกว่าในบางส่วนด้วยซ้ำ
“เอเชียและยุโรปต่างก็มีมวยใต้ดิน ไม่รู้เหมือนกันว่าจู้เหวยเฟิงไปหาความสัมพันธ์นี้มาจากไหน? นักมวยของเรา
ก็เคยออกสนามเหมือนกัน”
หูจวินแบมือออกสองสองข้าง ถึงแม้เขาจะเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของสนามมวยแห่งนี้ แต่ก็ไม่เคยถามรายละเอียดการจัดการของที่นี่เลย สนามมวยใต้ดินทั้งหมดก็ถูกดูแลโดยจู้เหวยเฟิงคนเดียว
“อันเรวิชคนนี้เก่งมาก อืม ทำไมยังมีคนญี่ปุ่นด้วย? ฉันว่านะ พวกนายจะหลอกพวกญี่ปุ่นหรือยังไง?”
เยี่ยเทียนพลิกไปที่หน้าสุดท้าย ข้างบนเพิ่มชื่อคาโต้ ทาคูมิ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
ในประชาชนทั่วไปการต่อต้านคนญี่ปุ่นของคนจีนนั้นยังสูงมาก การหาคนญี่ปุ่นมาชกเวทีมวย ถ้าชนะก็จะพูดง่าย
แต่ถ้าแพ้ละก็ ต้องเสียหน้าของประเทศเชียว
“คนนี้ฉันพอจะรู้”
หูจวินยิ้มอย่างขมขื่น พูดว่า “คนนี้เป็นราชามวยใต้ดินของญี่ปุ่น ในระดับสากลก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ครั้งนี้เขาเป็นคนขอเข้าร่วมการแข่งขันมวยใต้ดินเอง พวกเราก็ไม่รู้จะปฎิเสธยังไง”
“บ้าเอ้ย สิ่งที่เขาเล่นคือดาบ ยังเรียกว่าการชกมวยอยู่อีกเหรอ?” เยี่ยเทียนดูข้อมูลของคาโต้ ทาคูมิแล้ว เริ่มด่าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“เยี่ยเทียน การชกมวยใต้ดินเอาง่ายๆ ก็คือการชกแบบไม่มีกฎเกณฑ์ โจมตีฝ่ายตรงข้ามให้ได้นั่นก็คือชัยชนะ ดังนั้นถ้าทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ นอกจากปืนที่ห้ามใช้แล้ว อาวุธที่โหดเหี้ยมแค่ไหนก็อนุญาตหมด”
มองเห็นเยี่ยเทียนที่ไม่เข้าใจกฎของมวยใต้ดิน หูจวินจึงอธิบายให้เขาฟัง สิ่งที่เรียกว่ามวยใต้ดินกับการชกมวยปกติ มีสิ่งที่แตกต่างก็คือมันไม่มีกฏเกณฑ์อะไรให้พูดถึง
ในเวทีมวยใต้ดิน ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีอะไรล้มคู่ต่อสู่ ขอแค่คุณเป็นผู้ที่ยืนอยู่คนสุดท้าย ก็คือผู้ชนะ!
……
ตอนที่ 459 ราชามวยยุโรป
โดย
Ink Stone_Fantasy
“สามารถชกได้อย่างไม่มีกฎและใช้อาวุธได้?” เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นในใจก็เย็นยะเยือก ความโหดเหี้ยมของมวยใต้ดินนี้มันโหดยิ่งกว่าที่เขาคิด แม้จะมีคนเสียชีวิตด้วยการต่อสู้ด้วยมวยมือเปล่าก็ตาม แต่การใช้อาวุธยังไงก็มีความเสี่ยงมากกว่า
“แล้วถ้าหากไม่มีคนยินยอมที่สู้กับคนที่ชื่อคาโต้ ทาคูมิคนนี้ละ?”
เยี่ยเทียนนึกถึงความน่าจะเป็นหนึ่งข้อ เพราะการเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดต้องได้รับการยอมรับจากนักชกมวยใต้ดินเอง ผู้จัดไม่สามารถบังคับให้พวกเขาขึ้นชกได้ ถ้าหากตัวของพวกเขาไม่ยินยอม ฝ่ายผู้จัดก็จนปัญญา
หูจวินส่ายหน้าแล้วพูด “เวทีมวยมีกฎอยู่ว่า ถ้าหากนักมวยสามารถออกไปชกติดต่อกันสิบครั้ง หลังจากไม่มีใครสู้กับเขาหรือได้รับชนะติดต่อกันสิบครั้ง ก็จะได้รับตำแหน่งเป็นราชามวยใต้ดินแห่งนี้ และพวกเราต้องจ่ายค่าขึ้นชกให้เขาเป็นเงินจำนวนมากขึ้น…”
ถ้าเป็นไปตามที่หูจวินพูด ถึงแม้มวยใต้ดินจะไม่มีการจัดอันดับ แต่ก็มีตำแหน่งแชมป์ของสนาม นักชกคนหนึ่งขึ้นชก ถ้ารักษาแชมป์ได้ติดต่อกัน ค่าขึ้นชกก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
สมมุติว่านักมวยขึ้นชกรอบแรกได้ค่าตัวห้าหมื่นหยวน ถ้าเขาชนะและชกต่อ นัดที่สองก็จะได้หนึ่งแสน นัดที่สามก็จะได้สองแสน นัดที่สี่ได้สี่แสน สะสมแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นตัวเลขที่เยอะมาก
นี่แค่พูดถึงการจัดมวยใต้ดินในเขตเทียนจิน จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครสามารถขึ้นชกต่อเนื่องได้ถึงห้าครั้ง ดังนั้นผู้จัดเองก็ต้องคำนวณผลประโยชน์ของตัวเองไว้ก่อนด้วย เขาไม่ให้คาโต้ ทาคูมิขึ้นชกชนะต่อกันสิบครั้งแบบฟรีๆ หรอก อย่างไรก็ตามพวกเขาน่าจะขึ้นค่าตัวให้อย่างลับๆ เพื่อจัดการกับคนที่ฝีมือดีดี
“เป็นยังไง น้องเยี่ย อยากลองเล่นสักตั้งไหม?”
จู้เหวยเฟิงทักทายคนในสนามหนึ่งรอบเสร็จ ก็เดินกลับมาที่นั่งข้างๆ เยี่ยเทียน เมื่อมองเห็นข้อมูลในมือที่เยี่ยเทียนกำลังดูอยู่ หัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ราชามวยแห่งรัสเซียคนนั้นเก่งมาก แต่พวกเราก็มีนักสู้ที่เก่งๆ เหมือนกัน น้องเยี่ย ถ้าพนันผิดฝั่ง อัตราการชดเชยหนึ่งต่อเจ็ดเลยนะ!”
“เหอะๆ ดูก่อนค่อยว่ากันอีกที กระเป๋าผมแฟ้บมากครับ ไม่มีปัญญาเล่นแบบนี้หรอกครับ” เยี่ยเทียนยิ้มและไม่ปริปากพูดว่าถูกหรือผิด เขาแค่ยิ้ม และวางข้อมูลลงบนโต๊ะน้ำชา ถามต่อว่า ”อีกนานไหนกว่าการแข่งขันจะเริ่มขึ้น?”
คิ้วจู้เหวยเฟิงกระตุก ตอบกว่า ”ใกล้จะเริ่มแล้ว ถ้าน้องเยี่ยอยากพนัน เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา”
“เอาไว้ก่อนครับ ผมขอดูการแข่งขันสักรอบสองรอบก่อน…” เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจและรับคำของจู้เหวยเฟิง การเอาเงินของคนอื่นมาโดยไม่ถูกต้อง เงินเหล่านี้ไม่ใช่เงินน่าเก็บสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ระวังเพียงนิดเดียว ตัวเองก็คงต้องชดใช้ไปด้วย
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน มีคนวัยกลางคนใส่สูทรองเท้าหนังเดินขึ้นไปบนเวทีมวย ขณะเดียวกัน ไฟในสนามทั้งหมดก็ดับลง มีเสียงอุทานดังกระหึ่ม สปอร์ตไลท์สามแถวสว่างขึ้นส่องไปยังเวทีมวย
“เรียนแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การแข่งขันมวยในครั้งนี้ เชื่อว่าทุกท่านน่าจะไม่ได้มาเป็นครั้งแรก เรื่องอื่นๆ ผมจะไม่พูดมากแล้วครับ ขอให้ทุกท่านดื่มด่ำและสนุกไปค่ำคืนที่มิอาจลืม!”
ชายวัยกลางคนส่งเสียงออกไมโครโฟนเพื่อเปิดการแข่งขัน เขาพูดด้วยเสียงลากยาว ตะโกนขึ้นว่า “ลำดับต่อไปขอเข้าสู่รอบที่หนึ่งคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายคือราชาอันเดรวิชจากรัสเซียและจางซาน บาทาไร้เงาของประเทศจีน…”
“อันเดรวิชเคยได้รับแชมป์ชนะสิบครั้งต่อกันในเวทีมวยยุโรปด้วย เป็นเจ้าแห่งวงการมวยยุโรปที่ไม่มีข้อพิพาทใดๆ และเชื่อว่าเขาจะใช้ความสามารถของตนในการพิชิตพวกเราแต่ละคน….”
“ส่วนบาทาไร้เงา จางซาน ทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว เขาถือว่าเป็นดาราสนามมวยของพวกเรา หกรอบชนะห้าแพ้หนึ่ง ก็ยืนยันความสามารถของเขาได้เหมือนกัน และในรอบแรกนี้จะเป็นรอบที่ดุเดือด เหมือนกับมังกรสู้กับเสืออย่างแน่นอน!”
“อัตราต่อรองได้ถูกส่งไปยังทุกคนเรียบร้อยแล้ว ทุกคนสามารถวางเดิมพันชนะแพ้จากดุลยพินิจของตนเอง เวลาในการลงพนันให้เวลาตัดสินใจก่อนเริ่มแข่งสามนาที ขอให้เพื่อนๆ รีบลงเงินเดิมพันนะครับ!”
การพูดจาของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยแรงจูงใจ สามารถสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้นได้สำเร็จ รอบแรกกำลังจะเริ่มขึ้น ทำให้ผู้ชมหนุ่มสาวเหล่านั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หายใจเร็วกว่าปกติหลายเท่า
“ลำดับต่อไปขอเชิญผู้เข้าแข่งขันคนแรก อันเดรวิชจากรัสเซีย…” ไฟบนเวทีมวยดับลงหลังจากที่พิธีกรลากเสียงยาว จากนั้นไฟก็ส่องไปที่จุดๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นห้องพัก ของผู้เข้าแข่งขันที่ห่างจากเวทีมวยเพียงห้าสิบเมตร
คนยุโรปรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งปรากฏขึ้นภายใต้แสงไฟ ท่าทางของเขา ทำให้คนในสนามต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มๆ
ความสูงของอันเดรวิชน่าจะราวๆ สองเมตรกว่า ร่างกายที่แข็งแรงผิดปกติ กล้ามเนื้อบนไหล่สองข้างเหมือนดั่งเหล็กหล่อ มองเห็นเป็นสีทองวาว
บริเวณมุมตาขวาของอันเดรวิช มีรอยแผลเป็นยาวถึงมุมปาก เวลาที่เขายิ้มรอยแผลเป็นนั้นจะขยายและชี้ออกไปข้างนอก คนทั้งสนามที่เห็นภาพนั้นล้วนพูดไม่ออกทีเดียว เพราะพวกเขารู้สึกกลัวอยู่ในใจ เหมือนกับบุคคลผู้นี้ไม่ใช่คน แต่เป็นหมีขั้วโลกกระหายเลือดอย่างนั้น
อันเดรวิชโบกมือรอบสี่ทิศ และเดินอย่างไม่เร็วและไม่ช้าขึ้นไปบนเวทีมวยตามการชี้ทางของไฟที่ส่องลงมา ด้านหน้าของเขายังมีฝรั่งอีกสองคน รอจนอันเดรวิชมาถึงเวทีมวยแล้ว พวกเขาดึงเชือกเปิดกว้างบนเวทีมวย เพื่อให้อันเดรวิชลอดเข้าไปได้
“และนี่ก็คืออันเดรวิช ราชามวยยุโรปของพวกเรา พวกท่านดูความแข็งแกร่งของร่างกายเขาสิ เหมือนหมีขั้วโลกดุร้ายไหม? ทุกท่านครับ เริ่มพนันได้เลยครับ เชื่อว่าเขาจะไม่ทำให้พวกคุณผิดหวังแน่นอน!”
พิธีกรยังคงพูดหว่านล้อมอย่างต่อเนื่อง ตอนแรกเขาอยากก้าวเข้าไปลองจับกล้ามของอันเดรวิช แต่คนตัวใหญ่ดั่งสัตว์ป่าร้ายคนนั้นดันเปิดปากยิ้มให้เขาเพียงครู่เดียว พิธีกรถึงกับต้องก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ถ้าไม่ใช่เพราะมีเชือกกั้นไว้ เกรงว่าเขาคงจะลงจากเวีทีมวยไปแล้ว
ที่นั่งของเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ เป็นอัฒจรรย์ที่สร้างขึ้นให้อยู่ตรงหน้าเวทีมวยเลย ข้างบนมีที่นั่งเพียงเจ็ดถึงแปดที่เท่านั้น ด้านหน้าที่นั่งถูกวางเต็มไปด้วยถั่วผลไม้และเครื่องดื่ม จุดนี้ก็ถือว่าเป็นจุดที่ใกล้สนามและดีมากที่สุด ดังนั้นความรู้สึกที่เยี่ยเทียนมีต่ออันเดรวิช ก็ยิ่งเห็นได้โดยตรงมากขึ้น
“นี่…เป็นไปได้ยังไง?” เมื่อความสนใจถูกเพ่งไปที่ตัวของอันเดรวิชผู้ดุร้าย สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนไปไม่ทันตั้งตัว ร่างกายลุกขึ้นยืนอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนจู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน จู้เหวยเฟิงคิดว่าเขาตกใจกับอันเดรวิช หัวเราะอย่างอดไม่ได้และพูดว่า “น้องเยี่ย ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว ถึงเขาจะแสดงความบ้าคลั่งออกมา ก็มาถึงตรงนี้ไม่ได้!”
ข้างหลังของจู้เหวยเฟิง มีผู้ชายใส่สูทสี่คนยืนอยู่ เยี่ยเทียนสัมผัสได้ว่าตรงเอวของพวกเขามีอาวุธอัตโนมัติ ปืนสี่กระบอกยิงสลับกัน ยังไงก็สามารถยืนยันความปลอดภัยของลูกค้าพิเศษมุมนี้ได้แน่นอน
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่ตื่นเต้นเท่านั้นแหละ!”
เยี่ยเทียนสะบัดมือและนั่งลงไปที่เดิม สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ความตะลึงภายในใจกลับไม่ลดเลยสักนิด เพราะความแข็งแกร่งของพลังชี่ของอันเดรวิชแกร่งกว่าหูหงเต๋อถึงสามเท่า
จากการสัมผัสพลังของเยี่ยเทียน ทั้งตัวของอันเดรวิชเหมือนดั่งเตาไฟก็ไม่ปาน โครงสร้างกล้ามเนื้อของเขาทุกนิ้ว ดูเหมือนผ่านการทุบกระหน่ำมา เหมือนภูเขาไฟที่ซุ่มอยู่ใต้ดินหล่อเลี้ยงอยู่อย่างนั้น ทำให้เยี่ยเทียนยังต้องกลัวพลังนี้
“ถ้าไม่ใช้วิชา ตัวเองก็ไม่น่าใช่คู่ต่อสู้ของคนๆ นี้เลย กำ…กำลังของเขาฝึกฝนออกมาให้ได้แบบนี้ได้ยังไง?”
จนถึงเวลานี้ เยี่ยเทียนเพิ่งจะรู้ตัวว่า ตนเองดูถูกนักสู้บนโลกนี้ไปจริงๆ มวยวูซู่ของประเทศจีนมีมายาวนานก็จริง แต่เทคนิคการต่อสู้ของชาวต่างชาติก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน แค่อันเดรวิชคนเดียว ถึงแม้ไม่พูดว่ามีความสามารถมากพอที่จะกวาดเรล้างมวยวูซู่ภายในประเทศ แต่คนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้นั้น มีจำนวนน้อยมาก
เยี่ยเทียนเคยอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง เขียนไว้ว่าชาวต่างชาติมาล้มเวทีประเทศจีน ล้มนักชกแถวหน้าติดต่อกันนับไม่ถ้วน สุดท้ายมาพ่ายแพ้ให้กับปรมาจารย์จอมยุทธ์ตู้ซินอู่
ตอนนั้นเยี่ยเทียนยังสงสัยอยู่บ้าง ยุทธภพในตอนนั้นเฟื่องฟูที่สุด มีคนฝีมือดีโผล่ขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย แล้วทำไมนอกจากจอมยุทธ์ตู้ซินอู่แล้วไม่มีใครสามารถล้มเขาได้เลยล่ะ ตอนนี้ได้มาเจออันเดรวิช เยี่ยเทียนเพิ่งจะเข้าใจ นักต่อสู้ยอดฝีมือระดับสูงของต่างประเทศ มีความสามารถไม่แพ้ปรมาจารย์มวยภายในประเทศเลย
“เหล่าหู คุณมองคนๆนี้ยังไง?” เยี่ยเทียนหันข้างไปฝั่งหูหงเต๋อและถามเขา
หูหงเต๋อส่ายหัวเบาๆ แต่สีหน้าเคร่งเครียดพร้อมพูดว่า “ถ้าทดลองฝีมือ ฉันสามารถเอาชนะเขาได้ แต่ถ้าแข่งแบบให้ถึงตาย ฉันตายด้วยมือของเขาแน่ๆ นอกจากเธอและท่านลุงแล้ว คงไม่มีใครเอาชนะเขาได้หรอก แม้…แม้แต่ท่านลุงในตอนนี้ ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
อายุของอันเดรวิชแค่สี่สิบต้นๆ สำหรับผู้ชายแล้วกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ปราณ จิตถึงจุดสูงสุด ส่วนโก่วซินเจียนั้นใกล้จะเก้าสิบแล้ว เลือดลมก็ถดถอยไปบ้าง ดังนั้นหูหงเต๋อจึงกล้าพูดคำนี้ออกมา
“ดูทางนี้หน่อยว่ายังมีคนรับช่วงต่อไหม ไม่เช่นนั้น วันนี้คงจบไม่ค่อยดีเท่าไหร่” เยี่ยเทียนถอนหายใจกับการตรวจสอบไม่ได้ ปลายจมูกของเขาเริ่มได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ การแข่งขันมวยในวันนี้จะต้องมีเลือดสาดเต็มเวทีมวยแน่นอน
“ลำดับต่อไปขอเชิญ บาทาไร้เงา จางซาน….”
ถึงแม้อันเดรวิชจะมีชื่อเสียงมากในยุโรป แต่การชกมวยภายในประเทศที่นี่เป็นครั้งแรกของเขา ดังนั้นการปรากฎตัวบนสนามของ บาทาไร้เงา จางซาน จึงจัดลำดับไว้ด้านหลัง ไฟเริ่มส่องไปยังห้องรับรองของนักมวย พร้อมกับมีเสียงโห่ร้องขึ้นตามมา
ก็เหมือนกับการแนะนำที่อยู่ในข้อมูล บาทาไร้เงา จางซาน เคยขึ้นชกมาแล้วหกครั้ง ผลการชกชนะห้าแพ้หนึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ไม่เลวทีเดียว บวกกับเป็นคนจีนอีก เขาจึงได้เปรียบในฐานะเป็นเจ้าภาพ ดังนั้นการปรากฏตัวในสนามของเขาจึงได้รับการต้อนรับที่มากกว่าอันเดรวิช
จางซานที่มีความสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกว่า ร่างกายของเขาถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าคลุมสีแดง เวลาเดินช่วงล่างมีความมั่นคงเป็นอย่างมาก กำลังของเขานั้นอยู่ที่ขาทั้งสองข้าง
เมื่อเดินถึงข้างบนเวทีมวย จางซานพลิกตัวกระโดดขึ้นเวทีมวยอย่างสวยงาม เรียกเสียงโห่ร้องจากคนในสนามได้เป็นอย่างดี
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น