ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 457-460

ตอนที่ 457 อสุรกายโลกันตร์

 

ตู๋กูซิงหลันแบกนางเอาไว้บนหลัง มือข้างหนึ่งถือดาบยักษ์เอาไว้ ขยับร่างพลิ้วออกไป หลบเลี่ยงลาวาหลายสาย 


 


 


นางใช้ยันต์สีแดงอีกแผ่นหนึ่ง ผนึกลงไปในร่างของชือหลี สะกดดวงวิญญาณของนางเอาไว้ 


 


 


“ชือหลี เจ้าต้องเชื่อข้า!” ตู๋กูซิงหลันพยายามสงบจิตใจลง 


 


 


ชือหลีอยู่บนแผ่นหลังของนาง มองดูฝุ่นผงและกองเพลิงที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า เห็นเหล่าชาวมังกรทมิฬพากันแตกตื่นตกใจอย่างอลหม่าน มีแต่นางที่กำลังหลบหนี 


 


 


ใบหูของนางแนบอยู่บนแผ่นหลังของตู๋กูซิงหลัน จนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ 


 


 


นางเหมือนจะไม่เคย……ได้รับการปกป้องจากใครเช่นนี้มาก่อน 


 


 


อบอุ่น ร้อนแรง 


 


 


“อาหลัน……” นางอ้าปาก คำพูดที่เอ่อขึ้นมาถูกกลืนลงไป 


 


 


ขอบคุณเจ้ามาก! 


 


 


เปลือกตาของนางหนักมาก หนักขนาดทำให้นางหลับลึกลงไปทั้งๆที่อยู่บนหลังของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


ริมหูได้ยินเสียงลมกรรโชก และเสียงร้องคำรามของสัตว์อสูร 


 


 


จนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเหาะเหินอยู่ท่ามกลางลูกไฟที่ตกลงมาจากท้องฟ้า นางหรี่ตามองดูภูเขาไฟลูกนั้น…… 


 


 


ทันใดนั้นเอง ภูเขาไฟก็พังทะลายลงมาครึ่งหนึ่ง กรงเล็บขนาดใหญ่ที่มีเปลวเพลิงห้อมล้อมก็ผุดขึ้นมาจากใต้ภูเขาไฟ ท่ามกลางเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัว คล้ายว่ามีบางสิ่งกำลังป่ายปีนขึ้นมา 


 


 


“อสุรกายโลกันตร์!” 


 


 


คนในเผ่ามังกรทมิฬต่างก็พากันกรีดร้องออกมา! 


 


 


“พวกมันถูกกักขังอยู่ใต้หุบเขาไร้สิ้นสุดมานับหมื่นปี…อยู่ๆทำไม…อยู่ๆทำไมถึงได้หลุดออกมาได้?” 


 


 


ทันทีที่มีคนเอ่ยถึงอสุรกายโลกันตร์ แม้แต่คนในเผ่ามังกรทมิฬก็ยังต้องหวาดผวาขึ้นมา 


 


 


ท่ามกลางเสียคำรามที่น่าสะพรึงกลัว ได้ยินเสียงของหวาชางสุ่ยดังไปทั่วทุกมุมว่า “นังเด็กเลวร้ายผู้นั้นคือตัวอัปมงคล!” 


 


 


“อสุรกายโลกันตร์ถูกกักขังเอาไว้ใต้ภูเขาไร้สิ้นสุดมานานนับหมื่นปี ไม่เคยมีความเคลื่อนไหวใดๆมาก่อน พอนางมาถึง เจ้าอสุรกายตัวนั้นก็ป่ายปีนขึ้นมา เห็นได้ชัดว่านังเด็กผู้นี้มาเพื่อทำลายเผ่ามังกรทมิฬของข้า!” 


 


 


หวาชางสุ่ยกล่าวไปอย่างใส่อารมณ์เสมือนหนึ่งเป็นเรื่องจริง 


 


 


เยี่ยเฉินยืนอยู่ด้านหลังของนาง สายตาของเขาพลันอึมครึมลงไปอีกหลายส่วน เขารู้ดีกว่าผู้ใดว่า หากไม่มีป้ายบัญชาเปิดขุนเขา …..อสุรกายตัวนั้นไม่มีทางจะป่ายปีนขึ้นมาได้ 


 


 


เนื่องเพราะตอนที่อสุรกายตัวนั้นถูกกักขังอยู่ใต้เขาไร้สิ้นสุด นอกจากบิดาแล้ว ก็ยังมีมหาเทพอีกผู้หนึ่งร่วมด้วย 


 


 


หลังจากที่ทั้งสองช่วยกันกักขังมันเอาไว้ ก็ได้สร้างป้ายบัญชาเปิดขุนเขาขึ้นมา…… 


 


 


ป้ายบัญชานี้เดิมทีถูกพระบิดาเก็บรักษาเอาไว้ ไม่รู้ว่าไปตกอยู่ในมือของพระมารดาตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


 


แต่สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยเฉินย่อมไม่สามารถพูดออกมาได้ 


 


 


บาดแผลบนหัวไหล่ของเขากำลังสมานตัวอย่างช้าๆ ดวงตาของเขามองไปทางภูเขาไฟลูกนั้น เสาะหาตำแหน่งของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะน้องสาวต่างมารดาผู้นั้น! นางหาเรื่องให้ตนเองต้องดับสูญไม่อาจโทษว่าผู้อื่น! 


 


 


อสุรกายโลกันตร์เพียงตัวเดียวก็เพียงพอที่จะทำลายลึกทะเลลึกทั้งหมดให้ราบเป็นหน้ากลอง! 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน…..กับตัวกระหายเลือดนั่น จะต้องมีแต่ตายเท่านั้น! 


 


 


พวกมันจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับความโอหังของตนเอง! 


 


 


“พระมารดา ข้าต้องการพลังกระหายเลือดและพลังจิตมังกรทมิฬของพวกมัน” เยี่ยเฉินสีหน้าอึมครึม ตอนนี้เขาไม่หลงเหลือความสนใจในร่างกายของตู๋กูซิงหลันอีกแล้ว 


 


 


“รอให้เดรัจฉานน้อยทั้งสองตายแล้ว พลังนั้นก็จะกลายเป็นของเจ้า” หวาชางสุ่ยยืนอยู่ข้างๆเขา มือหนึ่งโบกพัดวายุเบาๆ แววเนตรทอประกายเ**้ยมโหด 


 


 


“ดาบยักษ์ในมือของนางก็คือเขามังกรของพระบิดาเจ้า เดิมก็สมควรจะเป็นของเจ้าด้วย รอให้นังเดรัจฉานนั่นตายแล้ว ดาบยักษ์ก็จะกลายเป็นศาสตราวุธของเจ้าเช่นกัน” หวาชางสุ่ยว่าต่อไป 


 


 


ต้องโทษที่ตอนนั้นนางมีเมตตามากเกินไป จึงไม่ได้ไปตามฆ่าพวกเลือดเนื้อของตู๋กูชิงชิงให้หมดสิ้น ถึงได้ทำให้พวกมันทั้งสองสบโอกาสในวันนี้! 


 


 


เฮอะ……แต่ก็นับว่าดีอยู่เหมือนกัน ขุมพลังที่เฉินเอ๋อร์เสาะหามานานหลายปีในที่สุดก็ถูกส่งมาถึงหน้าประตู ทำให้นางไม่ต้องไปเสียแรงควานหาอีกต่อไป 


 


 


เยี่ยเฉินพยักหน้า สองแม่ลูกคล้ายจะลืมสนิทไปแล้วว่า ‘ศพ’ ของเยี่ยอิงยังคงอยู่ที่ตรงนั้น 


 


 


เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับพลังและอำนาจเหล่านั้นแล้ว …..น้ำใจญาติมิตรนั่นจะนับเป็นอะไรได้? 


 


 


ท่ามกลางแสงเพลิง ร่างของตู๋กูซิงหลันทอรัศมีสีดำอมเงินออกมา กีดกันความร้อนภายนอกออกไป 


 


 


บนยอดของภูเขาไฟ กรงเล็บของอสุรกายขนาดใหญ่กำลังป่ายปีนขึ้นมา ขนาดของมันไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าภูเขาลูกหนึ่งเลยทีเดียว มันเบียดร่างของตนเองออกมาจากปากปล่องลาวา 


 


 


มันมีกรงเล็บที่แหลมคม และปีกขนาดใหญ่ที่สามารถปิดบังดวงอาทิตย์และท้องฟ้าได้ เจ้าอสุรกายตัวนี้ถึงกับมีสามหัว! 


 


 


กรงเล็บดุจอินทรี ปีกปักษายักษ์ หัวคล้ายมังกร! มันป่ายปีนอยู่บนยอดเขา สะบัดปีกออกมาครั้งหนึ่งราวกับจะสลัดความอัปยศอดสูที่ถูกกักขังมานานนับหมื่นปีออกไป 


 


 


พอส่งเสียงร้องคำรามออกมาครั้งหนึ่ง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของตู๋กูซิงหลันก็แตกระแหงเป็นร่องลึกยาวออกไปมีหลายร้อยเมตร! 


 


 


พื้นดินสั่นสะเทือนจนพังทะลาย อาณาเขตที่กางกั้นน้ำทะเลไม่ให้ทะลักเข้ามาก็สั่นสะท้านจนผันผวนอย่างรุนแรง 


 


 


เพียงแค่เสียงคำรามเพียงครั้งเดียว ก็มีเผ่ามังกรทมิฬจำนวนไม่น้อยที่ถูกเสียงนั้นทำลายจนร่างสลายกลายเป็นผุยผง 


 


 


อสุรกายตัวนี้มีพลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันต้องผนึกการได้ยินของตนเองในทันที แม้ว่าจะมีพลังจิตมังกรจากร่างป้องกันอยู่ แต่ว่ากระดูกทั่วร่างของนางก็ยังรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนจนชาไปทั่วร่าง 


 


 


นางไม่เคยพบเห็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้มาก่อน! 


 


 


หากว่ามีสักตัวหนึ่งหลุดออกไปยังดินแดนของมนุษย์ เกรงว่าแผ่นดินต้าโจวทั้งหมดคงจะถูกมันทำลายจนราบคาบ! 


 


 


นางกุมดายยักษ์ในมือเอาไว้อย่างแนบแน่น ขับพลังออกมาจนรัศมีรอบกายสว่างจ้า ผิวหนังทั่วร่างร้อนผะผ่าว 


 


 


อสุรกายตัวนั้นขยับปีกออกมาครั้งหนึ่ง ก็พัดพาความร้อนของภูเขาไฟออกมา จนทั่วทั้งวังลุกไหม้กลายเป็นขุมนรก 


 


 


ไม่เหลือที่ใดให้สามารถหยั่งเท้าได้อีก 


 


 


อีกทั้งอสุรกายตัวนี้ยังสามารถเสาะหาตู๋กูซิงหลันจากท่ามกลางผู้คนนับหมื่นได้ในเพียงแวบเดียวเท่านั้น! 


 


 


กลิ่นอายที่อยู่ในร่างของนาง มันรู้จักเป็นอย่างดี! 


 


 


นั่นเป็นกลิ่นอายที่น่าชิงชังของเยี่ยจ้านและคนอีกผู้หนึ่ง! มันถูกกักขังเอาไว้ใต้ภูเขานานหลายต่อหลายปี เพราะพ่ายแพ้ให้กับพวกเขา! 


 


 


แต่ว่าตอนนี้ มันเป็นอิสระแล้ว! 


 


 


เยี่ยจ้านกับคนผู้นั้นตายไปแล้วหรืออย่างไร? เช่นนั้นก็คิดบัญชีกับผู้สืบทอดของพวกมันก็แล้วกัน! 


 


 


อสุรกายตัวนั้นร้องคำรามออกมา ขยับปีกขนาดใหญ่โบกเข้าหาตู๋กูซิงหลัน 


 


 


หวาชางสุ่ยยิ้มอย่างเย็นชาอยู่ในมุมมืด ได้รับสืบทอดพลังจิตมังกรทมิฬจากเยี่ยจ้าน ทำให้นังเด็กนั่นสามารถอาละวาดไปทั่วเผ่ามังกรทมิฬได้ แต่ว่าพอตนปลดปล่อยอสุรกายโลกันตร์ออกมา นังเด็กนั้นก็จะกลายเป็นเป้าหมายอันดับแรกของอสุรกายโลกันตร์ 


 


 


อสุรกายโลกันตร์เกลียดชังเยี่ยจ้านเพียงไร นางเข้าใจชัดเจนยิ่งกว่าผู้ใดทั้งสิ้น 


 


 


เมื่อได้พบกับผู้สืบทอดของเยี่ยจ้าน อสุรกายโลกันตร์ย่อมต้องการฉีกนางออกเป็นแปดชิ้น! 


 


 


หวาชางสุ่ยยิ้มออกมาอย่างปิดไม่มิด นางตบลงไปบนบ่าของเยี่ยเฉิน กล่าวอย่างมั่นใจว่า “เฉินเอ๋อร์ อีกไม่นานสิ่งที่เดิมทีสมควรเป็นของเจ้า ก็จะกลับคืนมาสู่ร่างกายของเจ้าแล้ว” 


 


 


พึ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงแตกร้าวดังลากยาวขึ้นมาในทันที 


 


 


หวาชางสุ่ยและเยี่ยเฉินพากันหน้าเปลี่ยนสี หันไปมองอย่างรวดเร็ว 


 


 


ก็เห็นอาเขตที่ใช้กั้นน้ำทะเลออกจากเผ่ามังกรทมิฬถูกบางสิ่งทะลวงเข้ามา! 


 


 


ใช้แล้ว ถูกเจาะจนพังทะลายแตกลงมา! 


 


 


เสียงคำรามของสัตว์อสูรขนาดมหึมาดังกึกก้อง กลายเป็นพลังเค้นมหาศาลทะลวงเข้ามาพร้อมกับน้ำทะเลทะลัก 


 


 


“สวบ ซู่ ซู่!” น้ำทะเลและลาวาไหลไปบรรจบกันเกิดเสียงเดือดดังไปทั่ว ไอน้ำจำนวนมหาศาลระเหยขึ้นมา 


 


 


น้ำทะเลเหล่านั้นทะลักเข้ามาจากทางด้านหลังของตู๋กูซิงหลัน ขณะที่อสุรกายตัวนั้นกำลังพุ่งเข้ามาหาตู๋กูซิงหลัน ก็ปรากฏฝ่ามือที่แข็งแกร่งข้างหนึ่งผุดออกมาจากน้ำทะเล คว้าตัวนางเข้าไปในน้ำทะเล 


 


 


นั่นเป็น…..อ้อมแขนที่นางคุ้นเคยอย่างที่สุด 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นมองดู ก็เห็นแววตาของดวงเนตรหงส์ที่แสนจะงดงามคู่นั้น กำลังส่องประกาย 


 


 


ในแววตานั้นสะท้อนเพียงแต่ภาพของนางผู้เดียว 


 


 


เขาตรัสว่า “ซิงซิง เรามาแล้ว” 

 

 

 


ตอนที่ 458 สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่

 

พระองค์มีลูกแก้ววารีอยู่กับตัว ลูกแก้ววารีผลักดันน้ำทะเลออกไปด้านนอก พระองค์จับมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ทอดพระเนตรมองสบตากับนาง 


 


 


“เจ้าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เจ้ามีเรา” พระองค์ตรัสต่อไป “ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไหร่ จะมีเราคอยปกป้องจากด้านหลังอยู่เสมอ” 


 


 


ตรัสแล้ว ก็ได้ยินเสียงของอสุรกายตัวนั้นคำรามดังมาอีกครั้ง 


 


 


กรงเล็บที่แหลมคมของมันจ้วงลงมาในน้ำทะเล ลาวาที่อยู่บนร่างถูกน้ำทะเลสาดทับจนเกิดเสียงฉี่ฉี่ดังอยู่ตลอดเวลา แต่ว่ามันก็มิได้ใส่ใจ ดวงตาทั้งสามคู่ของมันลุกโชนดังกองเพลิงอยู่ตลอดเวลา จับจ้องไปยังคนทั้งสองที่อยู่ในน้ำทะเล 


 


 


“กี้ กี้ กี้…..” มันทางหนึ่งก็ใช่กรงเล็บจิกตะกุย ทางหนึ่งก็โบกปีกกรีดร้องออกมา 


 


 


ฮืม……..บุรุษที่อยู่ในน้ำทะเลผู้นั้น ในร่างของเขามีกลิ่นอายที่เข้มข้น……ของบุรุษหน้าเหม็นผู้นั้น! 


 


 


ดีนัก สองผู้สืบทอดต่างก็อยู่กันพร้อม! เช่นนั้นก็ฝังร่างอยู่ใต้กรงเล็บของมันเสียเถอะ! 


 


 


หนี้ที่ติดค้างย่อมต้องได้รับการชดใช้! 


 


 


“ตู้มต้าม……” กรงเล็บของมันจ้วงเข้ามา ได้ยินเสียงเหมือนน้ำแข็งมากมายแตกร้าว 


 


 


พอเห็นว่าปลายกรงเล็บของมันใกล้จะสัมผัสโดนกับหน้าผากของจีเฉวียน ทันใดนั้นก็เห็นน้ำทะเลที่หมุนวนอยู่พลันกลายเป็นน้ำแข็ง ผนึกกรงเล็บของมันจนแข็งค้างไป 


 


 


ที่ด้านหลังของจีเฉวียน มีดวงหน้ามนุษย์ขนาดใหญ่ผุดขึ้นจากน้ำทะเล ดวงหน้านั้นดูหยาบกร้าน บึกบึน เส้นผมสีทองทั้งศีรษะ ดวงตาลุกโชนดุจคบเพลิง 


 


 


ท่ามกลางน้ำทะเล เส้นผมที่ยาวสลวยของเขาส่องประกายจนเจิดจ้า สร้างความสว่างไสวไปทั่วระยะสามลี้ 


 


 


อสุรกายโลกันตร์ตกตะลึงไปชั่วขณะ กรงเล็บของมันยังคงถูกผนึกอยู่ในน้ำทะเลที่จับแข็งลึกถึงสิบกว่าเมตร พลังที่เย็นเฉียบนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทำให้มันไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ชั่วขณะ 


 


 


นอกจากอสุรกายโลกันตร์แล้ว คนอื่นๆรวมทั้งหวาชางสุ่ยต่างก็ตื่นตะลึงกันไปหมด 


 


 


บุรุษชาวมนุษย์ผู้นั้นยังไม่ตาย! เขายังนำกองทัพหนุนมาร่วมต่อสู้ มาช่วยเหลือนังเด็กนั่นอีกด้วย? 


 


 


หวาชางสุ่ยไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง! 


 


 


เยี่ยเฉินขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที พอเขาเห็นจีเฉวียน ก็คิดถึงช่วงเวลาที่ตู๋กูซิงหลันกระโดดลงไปยังก้นเหวเพื่อตายตามมันไป 


 


 


ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ต้องการนางแล้ว แต่ว่าจะอย่างไรก็เคยคิดจะครอบครองนางมาก่อน 


 


 


พอได้เห็นจีเฉวียน ก็ทำให้เขารู้สึกว่าตนที่เป็นถึงองค์ไท่จื่อกลับไม่อาจเปรียบเทียบกับมนุษย์ผู้หนึ่งได้…… 


 


 


ที่หุบเหวไร้ก้นนั่น แม้แต่บุรุษเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่งก็ยังไม่ตายหรือ? 


 


 


“สิ่งที่มีใบหน้าของมนุษย์นั่น……คืออะไรกัน?” ชาวมังกรทมิฬต่างก็พากันตกตะลึง 


 


 


แค่อสุรกายโลกันตร์หลุดออกมาตัวหนึ่งก็แทบจะทำลายก้นทะเลลึกจนราบเรียบ แล้วสิ่งที่มีใบหน้าขนาดใหญ่ที่เหมือนกับมนุษย์นั่นเล่า……ดูอย่างไรก็ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ เพียงแค่ดูจากกำแพงน้ำแข็งที่หนาถึงเพียงนั้นก็รู้แล้วว่าพลังของมันจะต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่งแน่นอน 


 


 


นั่นคือตัวอะไรกันแน่? 


 


 


พวกเขาพึ่งจะถามออกไป ก็ได้เห็นว่าที่อยู่ด้านหลังของใบหน้านั้นก็คือร่างของมังกรสีแดงขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่ง 


 


 


พอมังกรตัวนั้นเคลื่อนเข้ามาก็เหมือนดั่งภูเขาลูกหนึ่งที่มีใบหน้าของมนุษย์ติดอยู่ด้านล่าง 


 


 


หัวเป็นมนุษย์ตัวเป็นมังกร? ทั้งยังเป็นมังกรสีแดงดุจโลหิต? 


 


 


ชาวเผ่ามังกรทมิฬต่างก็พากันตกตะลึงไปหมดแล้ว….. 


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในอ้อมแขนของจีเฉวียนหันกลับไปมองดูแวบหนึ่ง จึงได้เห็นว่าใบหน้ามนุษย์ที่ดูหยาบกร้านนั้นกระพริบตาให้กับนางครั้งหนึ่ง 


 


 


ทำเอานางรู้สึกขนลุกขึ้นมาในทันทีทันใด 


 


 


ตัวประหลาดที่มีศีรษะเป็นมนุษย์ร่างเป็นมังกรนี้ นางไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เคยอ่านจากในบันทึกของคำภีร์ซานไห่จินจากในโลกโน้น เจ้าตัวนี้…….คล้ายจะเรียกว่า จู๋หลง! 


 


 


จู๋หลง…….นับได้ว่าเป็นบรรพชนของพวกมังกร! 


 


 


จู๋หลงอยู่ในยุคบรรพกาลของเผ่ามังกร ทรงพลังแข็งแกร่ง เป็นต้นกำเนิดของมังกรทั้งหลาย เป็นสุดยอดในหมู่สัตว์เทพและสัตว์อสูรที่สามารถทำลายล้างโลกได้ 


 


 


เจ้าตัวนี้…..คงจะไม่ใช่ร่างจริงของเขาใช่ไหม? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้มีอยู่ไม่มากนัก เพราะว่า จีเฉวียนเป็นคนพามันมา 


 


 


และต่อให้จีเฉวียนจะแข็งแกร่งถึงเพียงไหน มีศักดิ์ฐานะที่พิเศษเพียงไร ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาเป็นมนุษย์ไปได้ 


 


 


ตอนที่พึ่งจะรู้จักจีเฉวียนนั้น ยามที่เขาตกลงไปในสุสานของเยี่ยฮูหยิน เขายังเคยหล่นลงไปจนขาหักเลย ……คนที่เป็นเสียขนาดนั้น แล้วจะสามารถควบคุม ‘จู๋หลง’ที่สุดแสนจะน่าสะพรึงกลัวได้อย่างไร? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะชักสายตากลับมา มองดูจีเฉวียนอีกครั้ง…… 


 


 


นางคิดไม่ถึงเคยว่าเขาจะกลับมาปรากฏตัวที่เผ่ามังกรทมิฬอีกครั้ง ทั้งยังพาสัตว์อสูรขนาดยักษ์มาด้วย 


 


 


ตอนแรกที่ขอให้บิดาคนงามส่งเขากลับไปยังต้าโจว ก็เพราะว่าไม่อยากให้เขาต้องมาพัวพันกับเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ 


 


 


แต่ว่าสุดท้ายเขาก็ยังคงกลับมา 


 


 


นางอ้าปากเอ่ยออกมา “ท่านไม่ควรมาที่นี่” 


 


 


ที่นี่มีอันตรายมากมาย นางไม่กล้ารับประกันว่าเขายังจะรอดกลับไปได้อีก 


 


 


นางไม่อยากจะติดค้างหนี้ชีวิตของจีเฉวียน 


 


 


“ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ ต่อให้ไกลถึงพันภูเขาหมื่นทะเลเราก็จะมา” จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูนาง เห็นบนหลังของนางยังคงแบกร่างของชือหลีที่สลบไปแล้วอยู่ พระองค์ก็ขมวดพระขนงขึ้นมา 


 


 


ชือหลีเป็นถึงเทพธิดาแห่งสายน้ำ เทพผูหนึ่งยังถูกทำร้ายจนเป็นถึงขนาดนี้ พระองค์ไม่กล้าคิดเลยว่า หากว่าคนที่บาดเจ็บเป็นซิงซิง….. 


 


 


ดีที่เขารีบร้อนบุกมาทั้งวันทั้งคืน เกือบจะพลาดไปเสียแล้ว 


 


 


“ไม่ว่าเจ้าจะคือผู้ใด ในสายตาของเรา เจ้าล้วนสมควรได้รับการปกป้อง” พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไป ลูบไล้ศีรษะของนาง “ซิงซิง เรามิได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด เรามีคุณสมบัติที่จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้า……” 


 


 


ตรัสแล้ว ก็เห็นด้านหลังของพระองค์พลันปรากฏคนชุดดำนับร้อย 


 


 


จีเฉวียนสั่งให้คนมารับตัวชือหลีไป ส่วนพระองค์ประทับเคียงข้างตู๋กูซิงหลัน 


 


 


อสุรกายโลกันตร์คิดไม่ถึงว่ามันพึ่งจะหลุดออกมาได้ก็ต้องมาทนดูสองคนนี้พร่ำเพ้อหากัน 


 


 


คราวก่อน ก่อนที่จะถูกกักขังเอาไว้มันก็เคยเห็นเรื่องที่น่ารำคาญเช่นนี้มาแล้ว! 


 


 


มันร้องคำรามออกมา ในปากพ่นเปลวเพลิงออกมายาวหลายร้อยเมตร ไฟเหล่านั้นเผาผลาญลงไปบนกำแพงน้ำแข็ง 


 


 


เมื่อกำแพงน้ำแข็งเผชิญกับเปลวเพลิง ก็กลายเป็นไอน้ำจำนวนมากในทันที 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกระชับดาบยักษ์เอาไว้ สีหน้าเตรียมพร้อม 


 


 


จีเฉวียนเองก็กุมดาบสีดำทอง เส้นผมยาวพลิ้วออกไป 


 


 


เมื่อคนสองคนที่งดงามจนใต้หล้าต้องตื่นตะลึงยืนอยู่ด้วยกัน ก็กลายเป็นภาพน่าตื่นตาจนบรรยายไม่ถูก! 


 


 


ใบหน้ามนุษย์ขนาดใหญ่นั้นอยู่ด้านหลังของคนทั้งสอง พออสุรกายโลกันตร์พ่นเปลวเพลิงออกมา มันก็อ้าปากขึ้นพ่นน้ำแข็งจำนวนมหาศาลออกมาเช่นกัน 


 


 


อสุรกายโลกันตร์กระชากกรงเล็บของตนเองกลับไป ขยับปีกถอยออกไปด้านหลัง  


 


 


ปีกของมันบดบังดวงอาทิตย์เอาไว้ พอโบกเพียงเบาๆก็สร้างกำแพงเปลวเพลิงขึ้นมาบ้าง 


 


 


น้ำแข็งและเปลวเพลิงกระทบกัน ทางหนึ่งเย็นเฉียบ ทางหนึ่งร้อนระอุ 


 


 


ทำให้ฟ้าดินถึงกับสั่นสะเทือน ทั่วทั้งก้นทะเลลึกสั่นสะท้านอย่างรุนแรง สัตว์ทะเลจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนต่างก็หลบหนีกันอย่างจ้าละหวั่น พวกที่หนีได้ช้าก็ถูกพลังที่แข็งแกร่งเหล่านั้นทำลายจนกลายเป็นผุยผง 


 


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสุรกายโลกันตร์ จีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันต่างก็ไม่มีความคิดจะถอยหนี 


 


 


สายตาของตู๋กูซิงหลันมองไปยังร่างของแม่ลูกหวาชางสุ่ยที่อยู่ไม่ไกลออกไป สายตาของจีเฉวียนก็กวาดตามองตามนางไปเช่นกัน 


 


 


พระองค์ทรงรู้ดีว่า ซิงซิงต้องการล้างแค้น 


 


 


ดังนั้น พระองค์ก็ไม่ได้คิดเพียงจะมาพานางหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


พระองค์รักนาง ย่อมคิดจะช่วยเหลือนางทำทุกสิ่ง 


 


 


ดวงเนตรหงส์คู่นั้นปรากฏแววมืดครึ้ม พระองค์หลุบพระเนตรลง มองไปยังสาวน้อยที่อยู่ข้างกาย “ซิงซิง รอข้าอยู่ที่นี่เถอะ” 


 


 


ตรัสแล้ว ทันทีที่สิ้นเสียงก็เห็นพระหัตถ์กุมดาบดำทองเล่มนั้นเอาไว้ สะกิดพระบาทเพียงเล็กน้อย ร่างก็พลิ้วผ่านน้ำแข็งและเปลวเพลิงหายวาบไปราวกับสายฟ้า เพียงแวบเดียวก็ไปปรากฏขึ้นตรงหน้าหวาชางสุ่ย 


 


 


อยู่ๆก็ต้องมาเผชิญหน้ากับจีเฉวียนอย่างกระทันหัน หวาชางสุ่ยแม่ลูกต่างก็พากับตกตะลึงไป 


 


 


เมื่อครู่พวกเขาไม่ทันได้สังเกต ความสนใจทั้งหมดพุ่งไปที่อสุรกายโลกันตร์และตัวประหลาดที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์ร่างเป็นมังกร ยังไม่ทันจะได้มีปฏิกริยาใดๆก็เห็นฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเสียแล้ว  


 


 


เขาสวมใส่ชุดยาวสีทองทั้งร่าง ทั่วกายกำจายไอสังหารออกมา 


 


 


ทั้งๆที่เป็นเพียงกลิ่นอายจากร่างของเขา แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นกองทัพนับพันและทหารม้านับหมื่นบุกเข้ามา 


 


 


จีเฉวียนกวาดพระเนตรมองดูทั้งสองอย่างเย็นชา ดาบในมือสะบัดวูบ อาณาเขตป้องกันของหวาชางสุ่ยก็พังทะลายลงไป รังสีดาบบาดคอของนางจนเป็นแผลแห่งหนึ่ง ได้ยินน้ำเสียงที่สุดจะเย็นชาเอ่ยว่า  


 


 


“คนในดวงใจของเรา ต้องการหัวสุนัขของเจ้า เราจึงมารับแล้ว” 

 

 

 


ตอนที่ 459 “ใต้หล้านี้มีคนผู้หนึ่งที่...

 

คำพูดนี้ ถือว่าพระองค์ได้บอกกล่าวแก่นางแล้ว


 


 


ทั้งยังเป็นการประกาศออกไปว่า ตู๋กูซิงหลันมีพระองค์คอยปกป้องอยู่!


 


 


ใครกล้าแตะต้องนาง คนนั้นต้องตาย!


 


 


นางหมายหัวใคร คนนั้นต้องตาย !


 


 


ตรัสเบาๆเพียงประโยคเดียว แต่เสียงกลับดังสะท้อนกลับไปมาในอากาศทั่วทั้งเผ่ามังกรทมิฬ แม้แต่เปลวเพลิงที่ลุกไหม้หรือน้ำทะเลก็ไม่อาจขวางกั้นเอาไว้ได้


 


 


ทุกผู้ทุกนามต่างก็ได้ยินพระดำรัสของฮ่องเต้ผู้นี้อย่างชัดเจน พวกเขาต่างก็นิ่งอึ้งไป


 


 


แค่ตู๋กูซิงหลันก็แข็งแกร่งจนคนต้องเกรงกลัวแล้ว นี่อยู่ๆก็มีฮ่องเต้เผ่ามนุษย์ปรากฏตัวขึ้นมาอีก…..จะต้องน่าหวาดผวาถึงเพียงไหน?


 


 


เขาสามารถสกัดกั้นการโจมตีของอสุรกายโลกันตร์เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าองค์ราชินีสองแม่ลูกแล้ว


 


 


พอสะบัดดาบออกมาก็มุ่งจะปลิดชีวิตขององค์ราชินีในทันที?


 


 


หวาชางสุ่ยตกตะลึงพรึงเพริด รอยบาดตรงลำคอมีหยดเลือดหยดออกมาราวเม็ดมุกน้อยๆ


 


 


เจ็บจริง


 


 


จีเฉวียนสีพระพักตร์เย็นชาดุจน้ำแข็ง พระหัตถ์ข้างหนึ่งยกขึ้นมา ดาบดำทองวาดออกไปครั้งหนึ่งเปล่งจิตดาบที่แข็งแกร่งออกมา


 


 


หวาชางสุ่ยกุมพัดวายุเอาไว้ในมือ ใช้กำลังออกไป ปัดป้องดาบของจีเฉวียนเอาไว้ พัดวายุถูกกรีดผ่านจนส่งเสียงบาดหู เกิดเป็นพระกายไฟมากมายขึ้นมา


 


 


ข้อมือของนางชาจนแข็งค้าง กัดกรามจนฟันแทบแตก!


 


 


จีเฉวียนตั้งพระทัยจะเอาชีวิตของนางจริงๆ!


 


 


จิตดาบของพระองค์ที่ทะลวงผ่านพัดวายุไป พุ่งเข้าทำลายเศษซากวังหลวงด้านหลังองค์ราชินีจนกลายเป็นพื้นราบ


 


 


ไอหยินที่เย็นยะเยือดถึงขีดสุดแผ่กำจายออกมาโดยรอบ พื้นที่ทั้งหมดเหมือนกับจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดในชั่วพริบตา รอบกายมีแต่ความเหน็บหนาวและวังเวงของความตาย


 


 


ทุกคนในที่นั้นต่างเห็นชัดว่า ฮ่องเต้เผ่ามนุษย์ที่อยู่ๆก็ปรากฏพระองค์ขึ้นมานั้น เป็นมนุษย์ธรรมดา!


 


 


แต่ว่าทำไมมนุษย์ธรรมดาถึงได้มีพลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้กัน?


 


 


ความตื่นตะลึงนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าการได้เห็นอสุรกายโลกันตร์ปะทะกับตัวประหลาดที่มีใบหน้ามนุษย์นั่นเลย!


 


 


ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่บนศีรษะอันใหญ่โตของใบหน้ามนุษย์ผู้นั้น เส้นผมสีทองของเขาพลิ้วไหวกระจายรายล้อมอยู่รอบตัวนาง ราวกับคลื่นเส้นไหมสีทองนับพันนับหมื่นกำลังเคลื่อนไหว


 


 


สายตาของนางพุ่งผ่านแผ่นน้ำแข็งหนาๆในทะเลและอสุรกายโลกันต์ที่มีร่างใหญ่โตไปยังร่างของจีเฉวียนที่อยู่ไกลออกไป


 


 


นางเห็นแต่เพียงเงาหลังของเขาเท่านั้น เส้นผมสีดำกำลังพลิ้วไหว รอบกายมีแต่กลุ่มหมอกสีดำรายล้อม


 


 


ดาบในมือขยับขึ้นมาอีกครั้ง ฟันลงไปบนร่างของหวาชางสุ่ยอย่างไร้ความปรานี


 


 


หวาชางสุ่ยยังคงใช้พัดวายุป้องกันเอาไว้ ตอนนี้นางคิดจะใช้พลังวิญญาณทั้งหมดในร่างสะบัดพัดออกไปอีกสักครั้ง สั่งสอนให้เผ่ามนุษย์ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้ดับดิ้นแหลกสลาย แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เปิดโอกาสให้นางแม้แต่น้อย


 


 


เขาใช้ดาบได้อย่างรวดเร็ว พละกำลังแข็งแกร่ง ทุกดาบต่อเนื่องกัน ทำให้นางได้แต่รีบร้อนป้องกัน ไม่มีโอกาสจะลงมือกลับไปได้เลย


 


 


เยี่ยเฉินที่อยู่ด้านข้าง ย่อมไม่อาจทนมองดูมารดาของตนเองถูกคนคุกคามเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่กระบี่ผงาดฟ้าและง้าวมังกรของเขาถูกดาบยักษ์ของตู๋กูซิงหลันทำลายกลายเป็นผุยผงไปแล้ว


 


 


เขาขมวดคิ้วมุ่น ยามที่พ่ายแพ้ให้กับตู๋กูซิงหลัน เพราะว่านางมีขุมพลังของจิตมังกรทมิฬ


 


 


แต่ว่ากับมนุษย์ผู้นี้ …..หากว่าเขายังพ่ายแพ้อีกละก็ ต่อไปมิกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะของผู้คนทั้งหลายหรอกหรือ?


 


 


เผ่ามนุษย์ที่ต่ำต้อยที่สุด….ถึงกับคิดจะเด็ดศีรษะของพระมารดาไป?


 


 


บาดแผลบนหัวไหล่ของเยี่ยเฉินฟื้นฟูไปมากแล้ว ดังนั้นเมื่อดาบของจีเฉวียนพุ่งเข้ามา ก็ได้ยินเสียงเขาคำรามออกไป สองมือกลายเป็นกรงเล็บมังกร ฉวยโอกาสลอดผ่านด้านหลังของหวาชางสุ่ยออกมา


 


 


เขาลงมืออย่างรวดเร็ว กรงเล็บมังกรที่แหลมคมพุ่งเป้าไปยังทรวงอกของจีเฉวียน


 


 


กรงเล็บขยุ้มลงไป ทะลวงผ่านฉลองพระองค์เหล่านั้น เยี่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างเย็นชา เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเจ้ามนุษย์ที่น่ารังเกียจผู้นี้มีพลังไอหยินที่เย็นยะเยือกอย่างที่สุด แต่ถ้าพูดถึงความแข็งแกร่งแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมากมายอะไร


 


 


แค่กรงเล็บเดียว ก็เพียงพอที่จะขยุ้มผ่านผิวหนัง ทะลวงลงไปควักหัวใจของมันได้!


 


 


คิดจะมาอวดศักดาต่อหน้าโฉมงาม กลับไม่รู้จักประมาณตนว่ามีน้ำหนักอยู่เท่าไหร่!


 


 


ในขณะเดียวกันหวาชางสุ่ยก็ฉวยโอกาสสูดลมหายใจ นางรวบรวมพลังวิญญาณในร่าง ถ่ายทอดลงไปในพัดวายุ ทันใดนั้นพัดที่ใหญ่ขนาดครึ่งตัวคนก็สร้างลมที่รุนแรงขึ้นมา กลายเป็นพายุที่น่ากลัวอย่างรวดเร็ว ดาบลมที่คมกริบกรีดบาดอยู่ในอากาศ


 


 


เมื่อสองแม่ลูกร่วมมือกัน ต่อให้คนตรงหน้าหลอมขึ้นมาจากเหล็กก็ต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองมาแต่ไกล ในใจอดที่จะตึงเครียดไม่ได้


 


 


ตอนที่ตนเองกุมดาบยักษ์บุกตะลุยไปทั่วทุกทิศนั้น ไม่ว่าสิ่งใดนางก็ไม่เคยกลัว แต่พอฮ่องเต้สุนัขมาถึง กลับกลายเป็นความกังวลขึ้นมาเสียแล้ว


 


 


นางดูไม่ออกเลยว่าที่จริงจีเฉวียนมีฝีมือที่แท้จริงอยู่กี่ส่วนกันแน่ ยิ่งพอคิดถึงว่าตรงบั้นเอวของเขามีตราประทับดอกบัวของอาจารย์……ก็ต้องเคร่งเครียดขึ้นมา


 


 


นางกุมดาบยักษ์เอาไว้ ตั่งท่าเตรียมพร้อม พอเห็นว่าจีเฉวียนจะเสียที นางก็ทำท่าจะโผออกไป


 


 


ทันทีที่ขยับร่าง ก็ถูกเส้นผมสีทองของ ‘จู๋หลง’ สกัดเอาไว้ ลากนางกลับไปยังที่เดิม


 


 


“ฝ่าบาทรับสั่งเอาไว้ ไม่ให้เจ้าไปเสนอหน้า” ‘จู๋หลง’ เอ่ยปาก ทั้งๆที่ใบหน้านั้นดูหยาบใหญ่แต่ว่าเสียงกลับอ่อนเยาว์อย่างยิ่ง อบอุ่นนุ่มนวลดั่งหยก


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..”


 


 


“เจ้าอยู่บนร่างข้าให้ดี ข้าสาบานว่าต่อให้ตายก็จะปกป้องเจ้า” ว่าแล้ว ‘จู๋หลง’ ก็เอ่ยต่อไปอีก “อะแฮ่ม ขอแนะนำตัวสักหน่อยนะ …… ข้าก็คือสัตว์เทพอารักขาแคว้นต้าโจว…..เรียกว่า เสี่ยวจู๋จู๋ (เทียนน้อย)”


 


 


“บรรพบุรุษของข้าคือจู๋หลงไงละ…..”


 


 


ตู๋กูซิงหลันถึงกับพูดอะไรไม่ออก เทพเจ้าบ้านไหนเรียกว่าเสี่ยวจู๋จู๋กัน…..


 


 


นี่มันอย่างกับว่านางกำลังชมดูเฉินเหยาจินสวมกระโปรงลายดอกไม้มาอวดโฉมอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องมาอวดด้วยความภาคภูมิใจขนาดนั้นได้หรือไม่


 


 


วิญญาณทมิฬแทบจะอยากระเบิดตัวเอง เดิมทีมันคิดว่าจู๋หลงจะต้องหยิ่งทนง องอาจน่าเกรงขาม คิดไม่ถึงว่าทายาทรุ่นหลังจะกลายเป็นเช่นนี้….


 


 


มันเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า ตัวขี้เล่นเช่นนี้ ทำไมถึงได้กลายเป็นสัตวเทพอารักขาแคว้นต้าโจวไปได้?


 


 


……………..


 


 


อีกด้านหนึ่ง


 


 


จีเฉวียนหรี่ดวงเนตรหงษ์ลง ยามนี้ในดวงตาของเขาเห็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น


 


 


นั่นคือศีรษะของหวาชางสุ่ย!


 


 


ขณะที่กรงเล็บของเยี่ยเฉินและลมดาบของหวาชางสุ่ยบุกเข้ามาอย่างพร้อมเพียงกันนั้น ก็พลันพบว่าจีเฉวียนที่เคยอยู่ตรงหน้าพวกเขา หายวับไปอย่างไม่มีวี่แวว


 


 


จุดที่กรงเล็บมังกรและดาบลมทิ่มแทงลงไปนั้นเหลือแต่เพียงหมอกควัน!


 


 


เยี่ยเฉินกระพริบตา กลับตัวอย่างรวดเร็ว กรงเล็บมังกรขยุ้มไปด้านหลังของตนเอง แต่การไล่คว้านั้นก็เป็นเพียงแค่อากาศที่ว่างเปล่า


 


 


รอบกายของพวกเขามีแต่เพียงความมืดมิด แม้ว่าเปลวเพลิงจากอสุรกายโลกันตร์จะส่องสว่างอยู่ทั่วทุกด้าน แต่ว่าจุดที่จีเฉวียนอยู่นี้กลับมืดมิดและหนาวเย็นดุจฤดูหนาวที่ไร้แสงจันทร์


 


 


พอไขว่คว้าได้เพียงความว่างเปล่าก็ยิ่งทำให้หวาชางสุ่ยตกตะลึงจนแทบกระโดด


 


 


นางกุมพัดวายุเอาไว้แนบแน่น รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกรอบกายที่ไม่จางหาย ในความมืดมิดท่ามกลางสายลมเสมือนมีเหล่าภูติผีนับพันนับหมื่นรายล้อมเข้ามา พวกมันต่างกรีดร้อง คร่ำครวญหวนไห้ ส่งเสียงสูงแหลมดังเข้าไปในสมองของนางอยู่ตลอดเวลา ทำให้สมองของนางปวดร้าวจวนจะระเบิด


 


 


ทันใดนั้น!


 


 


ทันใดนั้นได้ยินเสียงลมที่แหลมคมแหวกอากาศลงมาอย่างรวดเร็ว


 


 


ท่ามกลางสายลมอันมืดมิด ดาบสีดำทองคล้ายผุดออกมาจากกลางอากาศ คนที่ถือดาบเอาไว้เหาะออกมาในฉลองพระองค์สีทึบลายทอง คนกลายเป็นพญามัจจุราชที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรกชั้นเก้าเพื่อเอาชีวิต


 


 


หวาชางสุ่ยแม่ลูกสิ้นหนทางจะหลบหนี!


 


 


พลังกดดันที่แข็งแกร่งและจิตดาบที่คมกล้าบดขยี้ลงมาใส่ศีรษะ หวาชางสุ่ยไม่อาจใช้พัดวายุมาป้องกันได้ทันอีกต่อไป!


 


 


หนึ่งดาบแทงผ่านศีรษะลงไป


 


 


ตรงสู่หัวใจ!


 


 


ดาบดำทองผ่าศีรษะของนางลงไปราวกับสับแตงโม มวยผมของหวาชางสุ่ยหลุดร่วงลงไป เส้นผมขาวพลันถูกพลังกดดันจากร่างของจีเฉวียนบดขยี้จนกระจัดกระจาย


 


 


“เฮือก!” หัวใจของนางสะท้านขึ้นมา ในสมองมีแต่เสียงวิ้งวิ้ง ความเจ็บปวดที่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างกระทันหันทำให้นางหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปในทันที


 


 


“เราบอกแล้ว ว่าจะมารับศีรษะสุนัขของเจ้าไป” จีเฉวียนตรัสประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ดาบในมือสะบัดออกไป “จดจำไว้ ใต้หล้านี้มีผู้ที่เจ้าไม่อาจล่วงเกินได้ นางก็คือ ซิงหลัน!”

 

 

 


ตอนที่ 460 จีเฉวียน หากว่าท่านตาย.......

 

ในขณะที่หวาชางสุ่ยหลั่งเลือดทั่วตัว ประโยคสุดท้ายนั้นก็ดังเข้าสู่หูของผู้คนทั้งหมด


 


 


พวกเขาได้เห็นกับตาของตนเองว่าฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้นั้นระเบิดศีรษะขององค์ราชินีออกไป?!


 


 


หูก็ได้ยินเสียงของพระองค์ที่ตรัสอย่างอหังการว่าจะปกป้องคนรัก!


 


 


เยี่ยเฉินตาค้างไปแล้ว เขาเห็นมารดาของตนเองถูกระเบิดศีรษะออกไป! สมองกระจัดกระจายออกมากระเด็นใส่ใบหน้าของเขาอย่างเต็มที่!


 


 


เขารู้สึกว่าตนเองกำลังตกอยู่ในความฝัน!


 


 


นี่ จะเป็นไปได้อย่างไร?


 


 


ถึงแม้ว่าหลายปีก่อนพระมารดาจะถูกพระบิดาทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส แต่ว่าแก่นแท้ภายในก็ยังเป็นทวยเทพจากสวรรค์ นี่มันกลับสามารถ?


 


 


มันคือผู้ใดกันแน่? เยี่ยเฉินอดไม่ได้ที่จะมองดูใหม่อีกครั้ง!


 


 


ทันทีที่เขาหันไปมอง ก็สบตาเข้ากับดวงเนตรของจีเฉวียนเข้าพอดี แววตากระหายเลือด!


 


 


ทั้งยังเป็นแววตากระหายเลือดที่โหดเ**้ยมและเข้มข้นยิ่งกว่าตู๋กูเจวี๋ยที่ระเบิดพลังกระหายเลือดออกมาเสียอีก!


 


 


จีเฉวียนยกดาบดำทองที่อาบไปด้วยเลือดและเศษสมองขึ้นมาชี้ไปทางเยี่ยเฉิน ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุดว่า “ถึงตาเจ้าแล้ว!”


 


 


หากบอกว่าที่ฆ่าหวาชางสุ่ยก็เพราะว่านางคือคู่แค้นของซิงซิง ดาบนี้ที่ชี้ใส่เยี่ยเฉินก็เป็นเพราะเหตุผลส่วนตัวแท้ๆ


 


 


ไอ้ตัวบัดซบผู้นี้กล้ามาพัวพันซิงซิง คิดจะจับนางไปเป็นอนุ?


 


 


กับเยี่ยเฉินแล้ว ฮ่องเต้ทรงคิดจะสับมันเป็นแปดชิ้นตั้งแต่แรกแล้ว!


 


 


จีเฉวียนพึ่งตรัสออกไป ก็เห็นว่าอสุรกายโลกันตร์ที่เดิมปะทะกับ ‘เสี่ยวจู๋จู๋’ หันหัวมาทางนี้ มันกระพือปีกออก สร้างกำแพงไฟขึ้น มองมาด้วยดวงตาเปล่งประกาย


 


 


เดี๋ยวก่อน มันได้กลิ่นของอะไรบางอย่าง?


 


 


กลิ่นเลือดของชาวสวรรค์!


 


 


ที่แท้ก็มีชาวสวรรค์ตกลงมาอยู่ที่นี่? หืม…แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ชาวสวรรค์ที่เป็นสายเลือดบริสุทธิ์?


 


 


แต่จะสนใจไยให้มากความ ขอเพียงได้ลิ้มรส กินลงไปสักหน่อย จะอย่างไรก็ไม่ใช่ปัญหา!


 


 


พอมันกวาดตามองมา ก็เห็นร่างของหวาชางสุ่ยล้มลงอยู่ในกองเลือด นางเหมือนกับว่าจะยังไม่ได้ตายสนิท มือข้างหนึ่งของนางยังกุมพัดวายุเอาไว้แน่น สมองนั้นถูกระเบิดจนดูไม่ได้ไปแล้ว


 


 


แต่ว่าริมฝีปากของนางยังคงขยับขมุบขมิบขึ้นลง


 


 


คาถาสังเวย!


 


 


นางมอบสิ่งสุดท้ายในชีวิตเป็นเครื่องสังเวยให้กับอสุรกายโลกันตร์!


 


 


ต่อให้ตนเองต้องตายก็ไม่ขอให้พวกเดรัจฉานน้อยนั่นได้ประโยชน์ใดไปง่ายๆ!


 


 


อสุรกายโลกันตร์ได้ยินคาถาสังเวยนั่นของนางเข้า จึงพุ่งมาทางนี้อย่างคุ้มคลั่ง


 


 


ดวงตาทุกคู่ของมันเต็มไปด้วยประกายแห่งความหิวกระหาย กรงเล็บที่แหลมคมทั้งคู่ ตะปบลงไปบนพื้นดินจนแตกระแหงออกมา กลายเป็นรอยแยกยาวนับร้อยเมตร มันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว


 


 


ศีรษะทั้งสามนั้นมองตรงมา ทันทีที่มองเห็หวาชางสุ่ยที่ตายไปแล้ว ก็ตะปบกรงเล็บลงไปคว้าร่างของนางกลืนลงไปในปากของศีรษะมังกร ขบเคี้ยวเสียงดังกร้วมกร้าม!


 


 


หันจากนั้นก็เรอออกมาครั้งหนึ่ง ค่อยถุยพัดวายุที่เคยอยู่ในมือของนางออกมา


 


 


ร่างของหวาชางสุ่ยไม่อาจรอดพ้นจากความตาย แต่ไม่มีผู้ใดมองเห็นว่า ขณะที่ร่างถูกอสุรกายโลกันตร์กลืนกินลงไปนั้น แสงสีขาวเงินกลุ่มหนึ่งหลุดออกมาจากร่างของนาง ลอยไปเกาะอยู่บนร่างของเยี่ยเฉิน


 


 


ตอนแรกเยี่ยเฉินยังคิดจะต่อสู้จนตัวตาย แต่ว่าตอนนี้เขาพลันได้สติขึ้นมา


 


 


ดวงวิญญาณของพระมารดายังคงอยู่! เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่!


 


 


“เฉินเอ๋อร์ เก็บพัดวายุเอาไว้ แล้วรีบหนีไปจากที่นี่!” วิญญาณของหวาชางสุ่ยเกาะอยู่บนร่างของเยี่ยเฉิน ออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว


 


 


เยี่ยเฉินขยับร่างเพียงชั่วพริบตา ถอยออกไปไกลอีกหลายร้อยเมตร


 


 


เขาพึ่งจะหลบออกไป ก็เห็นอสุรกายโลกันตร์ยกกรงเล็บขึ้น ตะปบลงมาพร้อมกับส่งเสียงคำรามใส่ร่างของจีเฉวียน


 


 


เมื่อเป็นเครื่องสังเวย ก็คือยอมมอบชีวิตและเลือดเนื้อของตนเองให้แก่อสุรกายโลกันตร์ ในทางกลับกันอสุรกายโลกันตร์จะช่วยสังหารคนผู้หนึ่งให้ หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต!


 


 


หวาชางสุ่ยย่อมต้องหวังให้จีเฉวียนตายอย่างอนาถ บุรุษผู้นี้อันตรายเกินไป ทั้งยังยึดมั่นดื้อดึง เพื่อนังแพศยาน้อยนั่นแล้ว เขากลับไม่เสียดายแม้แต่ชีวิตของตนเอง


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ นางยิ่งมุ่งหวังให้ตู๋กูซิงหลันตายไปเสีย!


 


 


หากตู๋กูซิงหลันตายไปแล้ว บุุรุษผู้นั้นย่อมไม่คิดอยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีอสุรกายโลกันตร์ก็เกลียดชังคนทั้งสองอยู่แล้ว


 


 


พอกลืนกินร่างของหวาชางสุ่ยลงไป เปลวไฟบนร่างของอสุรกายโลกันตร์ก็ยิ่งเปล่งประกายสีทองขึ้นมาอีกหลายส่วน มันแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีกมากมาย!


 


 


ในชั่วเวลาสั้นๆ ร่างเนื้อของเทพบนสวรรค์ทำให้มันสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งขึ้นไปได้อีก!


 


 


มันกระพือปีกด้วยความยินดีปรีดา ทุบทำลายพื้นดินของก้นทะเลลึกอย่างคึกคะนอง


 


 


มันกระทืบพื้นดินตรงที่จีเฉวียนอยู่จนกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ในครั้งเดียว จากนั้นก็หันร่างไปหาตู๋กูซิงหลัน


 


 


ตู๋กูซิงหลันเห็นมันเหยียบจีเฉวียนจนจมมิดหายไป หัวใจของนางก็กระตุกขึ้นมา ขณะที่อสุรกายโลกันตร์กำลังพุ่งมาทางนี้นั้น นางก็กุมดาบยักษ์ทะยานออกไปเช่นกัน


 


 


ครั้งนี้ แม้แต่เส้นผมสีทองของเสี่ยวจู๋จู๋ก็ยังคว้าเอาไว้ไม่ทัน


 


 


ร่างที่เล็กบางของนางทะลวงออกจากกำแพงน้ำแข็งราวกับลูกกระสุน พุ่งไปยังเพลิงที่ลุกไหม้อยู่บนศีรษะด้านซ้ายของอสุรกายโลกันตร์


 


 


ร่างกายของอสุรกายโลกันตร์ยังร้อนแรงเสียยิ่งกว่าความร้อนของลาวา เมื่อครู่ตอนที่ยังไม่ได้เข้าใกล้ ปลายผมของนางยังถูกเผาจนไหม้เกรียมไปแล้ว


 


 


ตอนนี้กลับยืนอยู่บนศีรษะของมัน เสื้อผ้าของตู๋กูซิงหลันแทบจะลุกเป็นไฟขึ้นมา


 


 


บนร่างของนางแผ่กระจายรัศมีสีดำเงินออกมาอย่างรวดเร็ว ผลักดันความร้อนที่รุนแรงเหล่านั้นออกไปด้านนอกอย่างกินแรง


 


 


นางยืนอยู่บนศีรษะของมันมองไปยังด้านหลัง ก็เห็นหลุมที่มันพึ่งจะกระทืบลงไปเมื่อครู่กลายเป็นกองเพลิงไปแล้ว พื้นดินระเบิดออกมาจนไม่อาจมองเห็นร่างของจีเฉวียนได้เลย


 


 


“ฮ่องเต้สุนัข!” ตู๋กูซิงหลันควงดาบยักษ์ในมือ เปล่งเสียงออกไปด้วยพลังวิญญาณ พลังเสียงรุนแรงจนทำให้คนหูดับได้


 


 


เหล่าคนที่เหลือรอดอยู่ล้วนหลบอยู่ในที่ห่างไกลออกไป พวกเขาต่างก็คิดว่าตู๋กูซิงหลันเสียสติไปแล้ว……


 


 


ถูกอสุรกายโลกันตร์กระทืบลงไปเช่นนั้น ต่อให้เป็ภูเขายังต้องพังทะลายลงมา อย่าว่าแต่คนผู้หนึ่งจะเหลือรอดได้อย่างไร?


 


 


เกรงงว่าคงจะกลายเป็นเนื้อแผ่นไปเสียแต่แรกแล้ว…..ไม่สิ แม้นแต่เศษเนื้อก็คงจะไม่เหลือ นางยังจะร้องเรียกหาอะไร?


 


 


โดนเข้าไปเช่นนั้นยังจะรอดอีกหรือ?


 


 


ตู๋กูซิงหลันลงไปยืนอยู่บนแผ่นหลังของอสุรกายโลกันตร์ ตะโกนเรียกติดต่อกันอยู่เจ็ดแปดครั้ง อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขานรับกลับมา


 


 


อสุรกายโลกันตร์ย่อมไม่ยอมให้นางมาวิ่งเล่นอยู่บนหัวของมัน ……หัวของมันอีกสองหัวจึงพุ่งเข้ามาไล่งับนางอย่างวุ่นวาย


 


 


ตู๋กูซิงหลันพลิกร่างหลบ เลี่ยงหนีด้วยฝีเท้าที่ซับซ้อน หัวมังกรทั้งสองนั้นจึงไม่อาจสัมผัสถูกนางแม้แต่น้อย


 


 


นางถือดาบยักษ์เอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะที่หัวมังกรหัวหนึ่งพุ่งเข้ามากัด นางก็วาดดาบออกไป


 


 


ในตอนนั้นเองมังกรสีเงินขนาดใหญ่ตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากดาบยักษ์ มังกรยักษ์สีเงินร้องคำรามพุ่งผ่านหัวมังกรของอสุรกายโลกันตร์ออกไป


 


 


หัวมังกรของอสุรกายโลกันตร์ส่งเสียงร้องคำรามที่สั่นสะเทือนฟ้าดินออกมาในทันที


 


 


ดวงตาข้างหนึ่งของมันถูกทะลวงจนทะลุไปแล้ว เลือดมากมายไหลรินออกมา


 


 


“โฮก!” อสุรกายโลกันตร์สะบัดปีกอย่างบ้าคลั่ง หางที่ใหญ่โตของมันสะบัดไปมาไม่ยอมหยุด ทุบทำลายพื้นดินรอบด้านจนพังพินาศ


 


 


ขณะที่ตู๋กูซิงหลันเหาะออกไปอยู่กลางอากาศ มองออกไปยังจุดที่จีเฉวียนหายตัวไป


 


 


มือที่กุบดาบยักษ์เอาไว้ชื้นไปด้วยเหงื่อ อุ่นจนร้อน!


 


 


พอคิดว่าจีเฉวียนอาจจะถูกอสุรกายโลกันตร์กระทืบตายไปแล้ว หัวใจของนางก็ต้องวูบโหวง ความเจ็บปวดที่ไม่อาจบ่งบอกออกมาได้ทะลักล้นขึ้นมาในทันที


 


 


หัวใจของนางทุกข์ทรมานเหมือนจะแตกสลายกลายเป็นเสี่ยงๆ !


 


 


“จีเฉวียน หากว่าท่านตายละก็ ……ข้า….”


 


 


นางทางหนึ่งหลบหลีกการจู่โจมของอสุรกายโลกันตร์ ทางหนึ่งมองไปทางหลุมลึก น้ำเสียงสั่นน้อยๆ


 


 


เสียงของนางพึ่งขาดหาย ก็เห็นในหลุมลึกนั้นมีหมอกสีดำมากมายพวยพุ่งขึ้นมา เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นว่า “เจ้าจะทำไม?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)