ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 456-462
ตอนที่ 456 วิชารวมจิตวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
จากนั้นเสียงร่ายคาถาทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากปากเจียหลาน
อักขระสันสฤตสีทองจำนวนมากพุ่งออกจากลูกประคำ พริบตาเดียวก็รวมตัวเป็นค่ายกลสีทองหลังหนึ่ง และขังเว่ยจ้งไว้ในนั้น
ท่ามกลางเสียงร่ายคาถาที่เสียงดังเป็นระยะๆ เว่ยจ้งรู้สึกหนักศีรษะขึ้นมา ยันต์สีเหลืองในศีรษะค่อยๆ สั่นสะท้าน และแตกกระจายออกมา
“อ๊าก!”
ทะเลจิตรับรู้ของเว่ยจ้งหนักอึ้งลง ภาพมายาที่พยายามระงับไว้ประทุออกมา พริบตาเดียวก็ราวกับตกลงไปในความฝัน สิ่งที่มองเห็นล้วนเป็นภาพมายาของเจียหลาน นางมีท่าทีแตกต่างกันไป บ้างก็ก้มหน้าครุ่นคิด บ้างก็ขมวดคิ้วด้วยความโมโห บ้างก็ยิ้มออกมา
ภาพมายาแต่ละแบบล้วนดึงดูดใจเป็นอย่างมาก ทำให้รู้สึกอดที่จะสงสารไม่ได้ ธงในมือเว่ยจ้งตกลงพื้นทันที ดวงตาค่อยๆ ซึมกระทือ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด จนดูเหมือนจะเปลี่ยนไปตามภาพมายาเหล่านี้ ซึ่งบางทีก็หัวเราะบางทีก็ร้องไห้
เจียหลานมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา นิ้วเรียวยาวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับล้อรถ บวกกับอานุภาพของวิชาละเมอฝัน ทำให้สีหน้าของเว่ยจ้งยิ่งดูดิ้นรนมากขึ้น
“เจ้า……ผู้หญิงอย่างเจ้า……อย่าได้ดีใจจนเหลิง…..อ๊าก!”
ใบหน้าเว่ยจ้งบิดเบี้ยวและเปลี่ยนสีหน้าไปมา หลังจากส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับอสูรแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ใบหน้าอัปลักษณ์อย่างถึงขีดสุด
เขาตัดสินใจกัดลิ้นและพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา จากนั้นดวงตาของเขาดูมีสติสัมปชัญญะในที่สุด เขาถือโอกาสนี้ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว แสงสีแดงเปล่งประกายออกมาทั่วตัว มันหมุนวนอย่างบ้าระห่ำและค่อยๆ กลายเป็นระลอกคลื่นสีแดง ทำให้ไอร้อนในหุบเขาเปลวเพลิงค่อยๆ มารวมตัวกันที่ร่างของเขา และอุณหภูมิก็สูงขึ้นมาเป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ระลอกคลื่นที่ล้อมตัวเว่ยจ้งขยายใหญ่ขึ้นมาหลายเท่า พริบตาเดียวมันก็ระเบิดออกมาเป็นอัคคีจิตวิญญาณสองลูกที่มีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ
มองดูไกลๆ อัคคีจิตวิญญาณมีรูปร่างคล้ายคน ร่างของมันก่อตัวจากเปลวเพลิงที่คุโชน เผยให้เห็นแค่ใบหน้าอัปลักษณ์สีดำราวกับถ่าน ขณะที่มันคว้ากรงเล็บแหลมคมไปในอากาศ ก็ก่อเกิดสะเก็ดไฟกระเด็นไปทั่วทิศ อานุภาพแข็งแกร่งกว่าหงส์เพลิงในก่อนหน้าไม่น้อย
ขณะที่ผู้คนที่รายล้อมรับรู้ถึงความร้อนผิดปกติที่ถาโถมเข้ามานั้น พวกเขาต่างก็พากันถอยออกไปเล็กน้อย
เฟิงจ้านเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจมากขึ้นกว่าเดิม
คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ในใจเขากลับรู้ดีว่าวิชาที่เว่ยจ้งแสดงออกมานี้ คือวิชารวมวิญญาณที่เป็นวิชาเฉพาะของนิกายห้าวิญญาณ
พออัคคีจิตวิญญาณทั้งสองลูกปรากฏออกมา มันก็ใช้กรงเล็บแหลมคมโจมตีค่ายกลสีทองอยู่ไม่หยุด เปลวไฟสีแดงดำปะทะกับม่านแสงสีทองอย่างต่อเนื่อง ทำให้แสงสีทองสั่นสะเทือน
และเว่ยจ้งที่อยู่ตรงกลางก็กระตุ้นพลังอย่างบ้าคลั่ง เพื่อทำลายค่ายกลให้ได้ก่อนที่จิตรับรู้จะจมดิ่งลงไป
พอเจียหลานเห็นเช่นนี้ แสงสีม่วงในดวงตาก็ไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย อักขระสันสกฤตพุ่งยิงออกจากปลายนิ้ว และจมหายไปในค่ายกลสีทองอย่างต่อเนื่อง
เว่ยจ้งกระตุ้นอัคคีจิตวิญญาณโจมตีค่ายกล ในขณะเดียวกัน ก็แบกรับกับการกัดเซาะของวิชาละเมอฝันไปด้วย พลังเวทส่วนใหญ่นำมาต้านทานภาพมายาในทะเลจิตรับรู้ แต่เขารู้ดีว่าไม่อาจต้านทานได้นาน จึงกัดฟันในทันที พอเปลี่ยนท่ามือ เขาก็คำรามเสียงออกมา จากนั้นอัคคีจิตวิญญาณทั้งสองกลุ่มพุ่งกลับมาหาเขาทันที
ภายใต้การปะทะกับแสงสีแดงดำ ร่างของเว่ยจ้งก็ลุกไหม้ขึ้นมา “พรึ่บ!” เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ เปลวไฟก็เปลี่ยนจากสีแดงเป็นเปลวไฟสีดำอันคุโชน และร่างของเว่ยจ้งก็ค่อยๆ พร่ามัวท่ามกลางแสงอัคคี และขยายใหญ่ขึ้นมา
ครู่ต่อมา อัคคีจิตวิญญาณขนาดยักษ์ที่สูงหลายจั้งก็ปรากฏตัวท่ามกลางค่ายกล แต่ทว่าใบหน้าของมันเปลี่ยนเป็นใบหน้าของเว่ยจ้ง
“นี่คือเคล็ดวิชาอะไร?” ซินหยวนอุทานออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เว่ยจ้งในสภาพนี้มีกลิ่นไอแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นเกือบครึ่งหนึ่ง และเข้าใกล้ระดับผลึกแล้ว
หลิ่วหมิงทอดถอนใจด้วยตาที่เป็นประกาย
ดินแดนผู้ฝึกฝนในแผ่นดินจงเทียนคาดเดาได้ยากนัก ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาหรือพลังล้วนเหนือความคาดหมายเขาไปมาก แม้แต่เขาก็รู้สึกเลื่อมใสอย่างอดไม่ได้
ขณะนี้ อัคคีจิตวิญญาณสีดำได้ม้วนตัวเปลวไฟสีดำปกคลุมเต็มท้องฟ้า และกลายเป็นเงาสีดำพุ่งไปยังมุมหนึ่งของค่ายกล
“ตู๊ม!” เสียงดังโครมครามราวกับฟ้าถล่มดินทะลาย
สะเก็ดไฟสีดำผสมผสานกับแสงสีทองกระเด็นไปทั่วทิศ!
ค่ายกลสีทองถูกอัคคีจิตวิญญาณสีดำชกกำปั้นใส่จนสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง แม้ค่ายกลนี้จะต้านทานการโจมตีของเว่ยจ้งได้ แต่กลับไม่สงบเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว
อัคคีจิตวิญญาณที่เว่ยจ้งกลายร่างมาเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงคำรามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นแขนขนาดใหญ่ที่มีเปลวไฟสีดำล้อมรอบก็โจมตีม่านแสงสีทองอีกครั้ง
เจียหลานเห็นเช่นนี้ ดวงตาของนางก็เผยแววประหลาดใจเล็กน้อย พอสะบัดข้อมือก็หยิบปลาไม้[1]ขนาดเล็กออกมาหนึ่งอัน จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทขึ้นมา
มีเสียงดัง “หวึ่ง! ออกมาจากปลาไม้ช้าๆ
เสียงนี้ราวกับดังอยู่ในหุบเขาอันวิเวกวังเวง ทำอัคคีสีดำใจเต้นขึ้นมา และยกแขนช้าลง
เสียงปลาไม้ดังกังวานติดต่อกัน บวกกับเสียงภาษาสันสกฤตในค่ายกลสีทองก็กระชั้นชิดขึ้น แม้อัคคีจิตวิญญาณสีดำจะลองยกแขนต่อต้านอยู่สองสามครั้ง แต่ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมต่างก็มองออกว่า เปลวไฟบนตัวเขาดูเหมือนจะมืดลง เสียงคำรามก็ค่อยๆ ถูกเสียงภาษาสันสกฤตในค่ายกลกลบไปจนหมด
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป ในที่สุดเว่ยจ้งก็ไม่สามารถรักษาสภาพของอัคคีจิตวิญญาณไว้ได้อีก เปลวไฟสีดำรอบตัวกระจายออกไป ร่างของเขากลับคืนสภาพเดิมและล้มลงไป จากนั้นก็สลบไสลไม่ได้สติ
การต่อสู้ครั้งนี้เจียหลานเป็นฝ่ายชนะ
“การต่อสู้คู่ที่สอง นิกายวิหคสวรรค์ชนะ” แม่ชีเมี่ยวซินเห็นเช่นนี้ ก็ประกาศออกมาด้วยความดีใจ
ขณะนี้เฟิงจ้านมีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เพื่อดึงตัวเว่ยจ้งมาร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ เขาแอบติดสินเป็นจำนวนมาก และสถานที่ในการต่อสู้ก็เหมาะสมกับวิชาและอาวุธจิตวิญญาณที่เขาใช้ คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะพ่ายแพ้ตั้งแต่รอบแรก
ที่ทำให้เฟิงจ้านหงุดหงิดยิ่งกว่าก็คือ แค่มองก็รู้ว่าลูกประคำกับปลาไม้ที่หญิงสาวผู้นี้ใช้ เป็นสิ่งของทางพระพุทธ และระดับของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธจิตวิญญาณในมือของเว่ยจ้งเลย และวิชาที่นางใช้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเคล็ดวิชาของพุทธะ เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับอารามชิงสุ่ยอย่างแน่นอน
แต่เว่ยจ้งก็เป็นศิษย์นิกายห้าวิญญาณ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้
หลังจากหญิงแซ่เซียวเห็นการต่อสู้ของเจียหลานกับเว่ยจ้ง นางก็ยิ้มไม่ออกเช่นกัน และนักพรตแซ่สือที่อยู่ด้านข้างกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปมา
พวกเขาทั้งสองรับรู้ในใจลึกๆ ว่าเจียหลานจะต้องเกี่ยวข้องกับอารามชิงสุ่ยอย่างแน่นอน แต่ประการแรก พวกเขาไม่อาจผิดใจกับอารามชิงสุ่ยได้ ประการที่สอง พวกเขาไม่มีหลักฐานใดๆ ดังนั้นจึงรู้สึกโกรธแค้นในใจเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มที่มีใบหน้าอัปลักษณ์เห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมาเป็นครั้งแรก
นี่ก็น่าแปลก! วิชาละเมอฝันของเจียหลานสามารถส่งผลกระทบต่อจิตของฝ่ายตรงข้ามโดยตรงได้ ไม่ว่าจะเป็นร่างฝึกที่แข็งแกร่งหรือผู้ที่ถืออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดในมืออย่างเว่ยจ้ง พอไม่ทันได้ระวังวิชานี้คงต้องยอมสยบแต่โดยดี
เฟิงจ้านส่งศิษย์สองคนไปยกตัวเว่ยจ้งที่หมดสติอยู่ออกมา ท่าทีเจ็บปวดของเขาหายไปหมดแล้ว แต่กลับมีฟองน้ำลายไหลออกตรงมุมปากช้าๆ ทันใดนั้นเขาก็แอบทำเสียงฮึดฮัด แต่ก็ยังหยิบโอสถสีฟ้าให้เว่ยจ้งทานไปหนึ่งเม็ด จากนั้นก็กำชับเฟิงไฉ่ให้ดูแลอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าไม่พอใจ
หลังจากจัดการลานต่อสู้เล็กน้อยแล้ว แม่ชีก็ประกาศให้คู่ที่สามเริ่มการต่อสู้ได้
ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของหลิ่วหมิงจากพรรคฉางเฟิงกับจูฮ่าวจากนิกายวิหคสวรรค์
จูฮ่าวก็คือชายผอมแห้งที่จ้องมองหลิ่วหมิงในขณะจับฉลากนั่นเอง
“สหายหลิ่ว รอบนี้ต้องไหว้วานท่านแล้ว ข้าเฟิงจ้านเป็นคนทำตามคำพูด สิ่งที่รับปากไว้ในตอนแรกจะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน!” เฟิงจ้านหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงทีละคำๆ
การพ่ายแพ้ของเว่ยจ้ง ทำให้เขาได้แต่ฝากความหวังไว้กับหลิ่วหมิงและซินหยวนแล้ว
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า จากนั้นก็หายวับเข้าไปในค่ายกล
“เด็กน้อย เจ้าก็แค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น แต่กลับกล้าขึ้นสังเวียนนี้ หากอยากมีชีวิตอยู่ล่ะก็ รีบออกไปซะ ข้าจะไม่ออมมือให้โดยเด็ดขาด” ชายผอมสูงสังเกตดูหลิ่วหมิง และหัวเราะอย่างเยือกเย็น
นี่ก็ไม่แปลก!
ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือพลังของหลิ่วหมิงล้วนดูธรรมดา ใครก็ตามที่มองแวบแรก ต่างก็คิดว่าเขาเป็นแค่ผู้ฝึกฝนไร้ชื่อคนหนึ่งเท่านั้น
หลิ่วหมิงเพียงแค่จ้องมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม และไม่กล่าวอะไรออกมา
ชายผอมสูงเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา พอเขาโบกแขนเสื้อ แสงสีดำก็เปล่งประกายบนมือทั้งสองไม่หยุด!
“ฟิ้วๆ!”
คมวายุสีเขียวสิบกว่าสายพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
“วิชาคมวายุขั้นสมบูรณ์แบบ” สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว กระบวนท่านี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ในขณะที่อยู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณก็ฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว เขารู้ถึงลักษณะพิเศษการโจมตีของมันดี
พอร่างของหลิ่วหมิงพร่ามัว คมวายุสิบกว่าสายก็พุ่งทะลุร่างเขาไป
หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวที่เดิมอีกครั้ง
พอเห็นฝ่ายตรงข้ามหลบคมวายุได้อย่างง่ายดาย ชายผอมสูงก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอโบกแขนเสื้อ คมวายุสีเขียวเจ็ดแปดสายก็รวมตัวกันตรงหน้า จากนั้นก็พลิกมือหยิบพัดขนนกสีเขียวออกมา
บนพัดขนนกมีแสงสีเขียวเปล่งประกาย พอโบกมันออกไป คมวายุตรงหน้าก็ดูหนาแน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย!
พัดขนนกนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณที่ช่วยเสริมพลังของคมวายุได้!
ชายผอมสูงกระโดดขึ้นกลางอากาศ พัดขนนกในมือถูกพัดออกไปท่ามกลางแสงสีเขียวที่หมุนวน พอแสงสีเขียวเจิดจ้ากระพริบผ่านไป เขาก็กลายเป็นเงาร่างสิบกว่าเงาที่ดูเหมือนกันไม่มีผิด
ร่างของเขาเคลื่อนย้ายไปยังคมวายุสีเขียวที่อยู่กลางอากาศ พริบตาเดียวก็กลายเป็นคมวายุหลายร้อยสายที่มีขนาดยาวฉื่อกว่าๆ และเปล่งประกายอยู่กลางอากาศ
ชั่วขณะนั้น อากาศตรงหน้าหลิ่วหมิงถูกเงาร่างสิบกว่าเงากับคมวายุของฝ่ายตรงข้ามปกคลุมไว้อย่างแน่นหนา
ครู่ต่อมา จะเห็นว่าเงาร่างสิบกว่าเงาของชายผอมสูงหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างเยือกเย็น พอโบกพัดขนนกในมือ คมวายุจำนวนมากก็พุ่งยิงมาหาหลิ่วหมิง
หากถูกการโจมตีจากวิชาอื่น หลิ่วหมิงอาจจะมือไม้วุ่นวายไปหมดก็ได้ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับยังคงใช้วิชาคมวายุที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก สิ่งนี้ตรงกับความต้องการของเขาพอดี
หลิ่วหมิงเผยรอยยิ้มออกมา พอปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไป ก็มองเห็นตำแหน่งของคมวายุกับเงาร่างของฝ่ายตรงข้ามที่ผสมปนเปกันเข้ามาอย่างชัดเจน
ทันใดนั้น แสงสีดำก็เปล่งประกายบนมือทั้งสอง แต่ละข้างต่างก็ถือมุกพลังวารีไว้ พอเขาบิดตัวอย่างเหลือชื่อ ร่างของเขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหนึ่งในเงาร่างของชายผอมสูงราวกับปีศาจ
…………………………………
[1] ปลาไม้ คือ อุปกรณ์เคาะเสียงดังที่พระ แม่ชี ใช้เคาะในขณะที่ทำการสวดมนต์
ตอนที่ 457 ชนะอย่างง่ายดาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายผอมสูงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะมองเห็นร่างจริงของเขาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ทั้งยังรวดเร็วจนเขาแทบจะรับมือไม่ทัน
ชายผอมสูงรีบเอาพัดมาต้านทานไว้บริเวณหน้าอก ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา แสงสีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงออกจากพัดขนนก และเกาะตัวเป็นโล่สีเขียวมาบังอยู่ตรงหน้า
ชายร่างผอมสูงเพิ่งจะแสดงวิชาเสร็จ ก็เห็นกำปั้นที่มีไอดำลอยวนโจมตีลงบนโล่แสงสีเขียว ทันใดนั้นพลังมหาศาลบางอย่างก็ทะลักออกมา
“เพล้ง!” โล่แสงสีเขียวแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
และแขนข้างที่จับพัดขนนกอยู่ ก็ถูกพลังมหาศาลแฉลบผ่านไปจนทำให้บิดเบี้ยวเป็นรูปร่างแปลกๆ ไม่รู้ว่ากระดูกที่อยู่ข้างในจะหักไปแล้วกี่ท่อน ส่วนพัดขนนกก็กระเด็นออกไป
ยังไม่ทันที่ชายผอมสูงจะดึงสติกลับมาได้ กำปั้นที่มีไอดำลอยวนก็พุ่งเข้ามาถึง
ในขณะที่ชายผอมสูงรู้สึกหวาดกลัวนั้นปราณแกร่งคุ้มร่างสีเขียวก็พุ่งออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วร่าง แต่สำหรับกำปั้นของหลิ่วหมิงแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเหมือนแค่กระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น หลังจากมีเสียงอู้อี้ดังขึ้นมา ร่างของเขาก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง และตกลงบนพื้นราวกับดินเลนที่เฉอะแฉะ จากนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก
ตั้งแต่ตอนที่ชายผอมสูงหยิบพัดขนนกและปล่อยเงาร่างออกมา จนถึงตอนที่ถูกหลิ่วหมิงโจมตีจนกระเด็นออกไปนั้น ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น
พริบตาเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว!
พลังอันน่าตกใจที่หลิ่วหมิงแสดงออกมา ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ที่รับชมอยู่รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างเท่านั้น แม้แต่แม่ชีชุดดำกับหญิงแซ่เซียวก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา
เฟิงจ้านก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“เจ้าเด็กนี่รวดเร็วมาก ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิชามายาของนิกายวิหคสรรค์เท่านั้น แต่กำปั้นสองลูกในเมื่อครู่ ยังแฝงพลังอันน่ากลัวที่มีน้ำหนักหลายหมื่นชั่งอยู่ด้วย คิดไม่ถึงว่าในมือของพี่เฟิง จะยังมีผู้ที่มีพลังระดับนี้อยู่ด้วย” นักพรตแซ่สือมองเฟิงจ้านทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยคำที่แฝงความหมายอันลึกซึ้ง
เฟิงจ้านได้ยินก็ยิ้มแห้งๆ และไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“การต่อสู้ครั้งที่สาม พรรคฉางเฟิงชนะ” แม่ชีชุดดำประกาศออกมาหลังเรียกสติกลับมาได้
ประมุขนิกายวิหคสวรรค์จ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ในค่ายกลด้วยสีหน้าอึมครึม หลังจากโบกมือและออกคำสั่งไปสองสามประโยคแล้ว ก็มีศิษย์สองคนไปยกร่างชายผอมสูงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสออกมา
หลังจากชายจมูกเหยี่ยวใช้จิตกวาดดูศิษย์คนนี้แล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายรอบ
ดูเหมือนกระดูกของศิษย์ตรงหน้าจะหักเกือบหมด และกระดูกบริเวณหน้าอกกับแขนขวาสาหัสยิ่งกว่า
หยวนจุ้ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบโอสถให้ชายผอมสูงทานไปหลายเม็ด และถือโอกาสปล่อยพลังไปกระตุ้นฤทธิ์ของโอสถ จนสามารถระงับอาการบาดเจ็บได้ชั่วคราว
“สหายหลิ่วไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญสายกระบี่เท่านั้น แต่พลังของกายเนื้อก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนควบคู่ทั้งร่างฝึกและกระบี่” พอเฟิงจ้านเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา เขาก็เดินออกไปรับด้วยรอยยิ้ม
“ท่านประมุขชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่โชคดีเอาชนะได้เท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตน
ขณะนี้ นักพรตแซ่สือที่อยู่ไม่ไกลกำลังยืนฟั่นหนวดสังเกตดูหลิ่วหมิง ดวงตาของเขาฉายแววฉงนเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังนึกอะไรอยู่
“พี่หลิ่วลงมือได้ไม่ธรรมดา ดูท่าเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้คงต้องพึ่งพวกเราทั้งสองแล้ว” ซินหยวนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา และเหลือบตามองดูมองดูชายหนุ่มชุดดำที่ยังคงหมดสติอยู่
“นี่เป็นเพราะว่าคนนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้นดูเบาศัตรูไปหน่อย ข้าถึงมองวิชาของเขาออก” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ภายในกลุ่มอิทธิพลทั้งสาม นิกายวิหคสวรรค์มีผู้ชนะหนึ่งคน ส่วนพรรคฉางเฟิงแม้ว่าเว่ยจ้งจะพ่ายแพ้อย่างคาดไม่ถึง แต่หลิ่วหมิงกับซินหยวนกลับชนะติดต่อกัน ขณะนี้จึงมีแค่พันธมิตรจินอวี้เท่านั้นที่ยังไม่มีผู้ชนะ
ไม่นาน การต่อสู้คู่ที่สี่ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างพันธมิตรจินอวี้กับนิกายวิหคสวรรค์ก็เริ่มขึ้นหลังจากที่แม่ชีชุดดำประกาศออกมา
ผู้ที่ออกไปต่อสู้ของฝั่งพันธมิตรจินอวี้ ก็คือบัณฑิตชุดคลุมสีทองที่มีรูปร่างผอมบางผู้นั้น ส่วนนิกายวิหคสวรรค์ก็เป็นชายฉกรรจ์ผมแดงผู้นั้น
พอทั้งสองเหยียบเท้าเข้าไปในค่ายกลแล้ว ก็ไม่พูดจาอะไรให้มากความอีก ต่างคนต่างหยิบอาวุธจิตวิญญาณออกมาตั้งท่าไว้
ที่เหนือความคาดหมายก็คือ อาวุธจิตวิญญาณที่บัณฑิตชุดคลุมสีทองใช้นั้น เป็นพู่กันหยกขาว และชายฉกรรจ์ผมแดงก็ใช้พู่กันไผ่เขียว
“ทั้งสองมีระดับการฝึกฝนเทียบเท่ากัน อาวุธจิตวิญญาณก็คล้ายกัน ต้องดูว่าพลังเวทของใครจะหนาแน่นกว่ากันแล้ว” นักพรตแซ่สือเอ่ยปากออกมา จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
ท่ามกลางค่ายกล ชายฉกรรจ์ผมแดงได้ลงมือก่อน พู่กันไผ่ในมือโบกสะบัดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นร่ายคาถาออกมา
พอเขาวาดพู่กันไผ่ผ่านอากาศตรงหน้า มันก็ก่อตัวเป็นรูปนกนางแอ่นสีดำที่ดูมีชีวิตชีวาราวกับของจริง หลังจากปล่อยพลังใส่อีกครั้ง เงานกนางแอ่นแต่ละตัวก็พุ่งออกจากภาพในทันที และพุ่งเข้าหาบัณฑิตชุดคลุมสีทองท่ามกลางเสียงที่ดังก้อง
บัณฑิตชุดคลุมสีทองเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับร่ายคาถาออกมา พอโบกสะบัดพู่กันหยกในมือ ก็มีรูปภาพปรากฏขึ้นมากลางอากาศเช่นกัน
พอแสงสีทองเปล่งประกาย ดอกบัวสีทองแต่ละดอกก็ปรากฏตรงหน้า และพอชี้พู่กันหยกออกไป มันก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว
“เปรี๊ยะๆ!”
นกนางแอ่นสีดำโจมตีดอกบัวสีทองติดต่อกัน ทันใดนั้น มันก็ระเบิดออกมาเป็นกลุ่มแสงสีดำในทันที
ขณะที่แสงสีทองกับแสงสีดำเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งนั้น ดอกบัวสีทองก็ส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะ!” จากนั้นก็กลายเป็นจุดแสงสีทองก่อนหายไปในอากาศ
บัณฑิตชุดคลุมสีทองยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยน พอโบกสะบัดพู่กันหยก ดอกบัวสีทองก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง และเขายังคงร่ายคาถาอย่างต่อเนื่อง พู่กันหยกสั่นสะท้านจนกลายเป็นเงา ดอกบัวสีทองล้อมรอบตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา
นกนางแอ่นสีดำตรงหน้าก็โจมตีติดต่อกันราวกับไม่มีวันหมด ทั้งสองต่อสู้กันอุตลุดจนดูไม่ออกว่าใครได้เปรียบกว่ากัน
“ทั้งสองต่อสู้กันเช่นนี้ ต้องดูว่าพลังเวทของใครหนาแน่นกว่ากันแล้ว” ซินหยวนจ้องมองสถานการณ์ในลานต่อสู้ และกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
คู่ต่อสู้ทั้งสองยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน พู่กันในมือสะบัดไปมา ฉากนี้ดูไม่เหมือนกับการต่อสู้ แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองกำลังวาดลวดลายโอ้อวดกันอยู่ จึงไม่แปลกที่ซินหยวนจะกล่าวเช่นนี้
หลิ่วหมิงยิ้มบางๆ และส่ายศีรษะไปมา
ดูเหมือนว่าชายฉกรรจ์ผมแดงจะไม่พอใจสถานการณ์ในตอนนี้มากนัก พอโบกสะบัดพู่กันไผ่ เขาก็วาดรูปออกมาหนึ่งรูป ซึ่งเป็นรูปค้างคาวสีดำหนึ่งตัว
ท่ามกลางเสียงร้องดัง เงาค้างคาวดำจำนวนมากต่างก็พุ่งออกมา
บัณฑิตชุดคลุมสีทองเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา พู่กันหยกในมือพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นดอกบัวสีทองจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกไปต้านทานเงาค้างคาวไว้
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันเป็นเวลาราวๆ หนึ่งเค่อ ชายฉกรรจ์ผมแดงวาดสัตว์ปีกชนิดต่างๆ ออกมา เช่นนกนางแอ่น ค้างคาว เหยี่ยวหัวดำ เป็นต้น แต่ละชนิดล้วนดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก
และบัณฑิตทางฝั่งพันธมิตรจินอวี้ ก็อาศัยดอกบัวสีทองแต่ละดอกป้องกันตัวอย่างหนาแน่น จนแม้แต่น้ำก็ไม่อาจเล็ดรอดผ่านไปได้
แต่ในที่สุดก็แบ่งแยกความสามารถสูงต่ำของทั้งสองได้แล้ว หลังจากโจมตีติดต่อกันอย่างบ้าคลั่ง บัณฑิตชุดคลุมสีทองก็ดูเหมือนจะสูญเสียพลังเวทจากการรับมือกับอุปสรรคจำนวนมาก
ทั้งสองต่อสู้กันราวๆ ครึ่งชั่วยาม สุดท้ายพลังเวทของบัณฑิตฝ่ายพันธมิตรจินอวี้ก็หมดสิ้นก่อน จึงได้แต่ยอมแพ้ในที่สุด
ชายฉกรรจ์ผมแดงนิกายวิหคสวรรค์เห็นเช่นนี้ ก็แหงนหน้าหัวเราะด้วยความพอใจ จากนั้นก็โบกมือสลายวิชา และเก็บพู่กันไผ่เข้าไป
แต่ว่าจากการวิเคราะห์ของหลิ่วหมิง คนผู้นี้มีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าก็เหลือพลังเวทไม่มากเช่นกัน หากบัณฑิตชุดคลุมสีทองยืนหยัดอีกเล็กน้อยล่ะก็ อาจจะชนะก็เป็นได้
“การต่อสู้คู่ที่สี่ นิกายวิหคสรรค์ชนะ การต่อสู้รอบแรกสิ้นสุดลงแล้ว ทุกท่านสามารถพักผ่อนได้ครึ่งวันเพื่อฟื้นฟูพลังเวท ตอนบ่ายค่อยมาจับฉลากรอบที่สอง” แม่ชีชุดคลุมสีดำเห็นเช่นนี้ ก็ประกาศออกมาทันที
การต่อสู้ในรอบแรก บางคนก็รู้สึกดีใจ บางคนก็รู้สึกกลัดกลุ้ม
เฟิงจ้านฝากความหวังไว้ที่เว่ยจ้งทั้งหมด แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับเจียหลานตั้งแต่รอบแรก ดีที่ว่าหลิ่วหมิงกับซินหยวนต่างก็ชนะรอบแรกไปได้
ประมุขพรรคฉางเฟิงพูดให้กำลังใจหลิ่วหมิงกับซินหยวนอีกรอบหนึ่ง จากนั้นก็หยิบโอสถสองขวดมามอบให้พวกเขาทั้งสอง และให้พวกเขารีบฟื้นฟูพลังเวท
นักพรตแซ่สือก็ยืนซึมกระซืออยู่อีกด้านหนึ่ง โดยไม่คิดจะเอ่ยปากออกมาแม้แต่น้อย
ขณะนี้ ตู๋กูอวี้แห่งพันธมิตรจินอวี้กลับมีสีหน้าดูไม่ได้อย่างถึงขีดสุด ศิษย์ทั้งสองต่างก็พ่ายแพ้ตั้งแต่รอบแรก ซึ่งเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก หลังจากพูดกับหญิงแซ่เซียวสองสามประโยคแล้ว ก็หันไปพูดกับชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าอีกสองสามประโยค จากนั้นสีหน้าถึงกลับมาเป็นปกติ
แม่ชีชุดคลุมสีดำเดินมาด้านข้างชายจมูกเหยี่ยว และพูดกำชับเบาๆ สองสามประโยค จากนั้นก็พาศิษย์สองสามคนไปนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ
ครึ่งวันต่อมา ภายใต้พลังเสริมจากโอสถ ทำให้พลังเวทของหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว และแม่ชีชุดดำก็ประกาศให้เริ่มทำการต่อสู้รอบที่สองได้
ผู้ที่เข้าจับฉลากในรอบนี้มีหลิ่วหมิง ซินหยวน เจียหลาน ชายฉกรรจ์ผมแดงจากนิกายวิหคสวรรค์ และชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าจากพันธมิตรจินอวี้
จำนวนคนต่อสู้ทั้งหมดมีห้าคน ด้วยเหตุนี้หลังจากที่แม่ชีปล่อยบาตรสีเงินออกมาแล้ว นางก็หยิบไม้ไผ่ที่เขียนหมายเลขสามกับสี่ออกไป และกวักมือให้ผู้เข้าร่วมการต่อสู้เข้าไปจับฉลากได้
ชายฉกรรจ์ผมแดงจากนิกายวิหคสรรค์เข้าไปเป็นคนแรก หลังจากจับๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบแผ่นไผ่เปล่าๆ ออกมา คนผู้นี้โชคดีเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าจะไร้คู่ต่อสู้ในรอบนี้
ชายฉกรรจ์ผมแดงหัวเราะฮ่าๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง คู่ต่อสู้ที่เหลืออยู่ในขณะนี้ล้วนไม่ใช่ผู้อ่อนแอ ตนเองจับได้แผ่นเปล่าย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หรี่ตาลง! ประจักษ์ชัดว่าพวกเขาทั้งสองจะต้องแยกกันต่อสู้กับชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าและเจียหลานแล้ว
ทั้งสองรู้ดีว่า ถ้าดูจากระดับการฝึกฝน ชายฉกรรจ์ผมแดงที่อยู่ระดับของเหลวขั้นปลาย ย่อมมีระดับการฝึกฝนสูงสุด แต่ดูจากพลังที่เจียหลานแสดงออกมา ย่อมเหนือชั้นกว่าเขาเป็นอย่างมาก
ส่วนชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าผู้นั้น ถึงแม้จะยังไม่ได้ลงมือ แต่ในเมื่อเป็นผู้ที่พันธมิตรจินอวี้ฝากความหวังไว้ ย่อมไม่อาจดูเบาได้!
หลังจากชายฉกรรจ์เดินออกไปแล้ว เจียหลานก็เดินเข้าไปช้าๆ มือเรียวเล็กของนางค่อยๆ ชี้ออกไป จากนั้นแผ่นไผ่ก็พุ่งออกจากบาตรมาอันหนึ่ง พอมองออกไปจะเห็นว่ามีหมายเลขหนึ่งเขียนติดอยู่
จากนั้นซินหยวนก็ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า และคว้ามือออกไป ซึ่งเขาจับได้หมายเลขหนึ่งเช่นกัน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงกับชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าก็ไม่จำเป็นต้องจับฉลากแล้ว
แม่ชีเมี่ยวซินยกแขนเสื้อขึ้น และเก็บบาตรสีเงินเข้าไปทันที จากนั้นก็ประกาศผลการจับฉลากออกมา
หลิ่วหมิงกับซินหยวนต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง หลังจากเฟิงจ้านครุ่นคิดเล็กน้อยแล้ว ก็ให้สัญญากับทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง
“เดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ หากท่านทั้งสองทำให้พรรคฉางเฟิงเราชนะได้ ข้าเฟิงจ้านสัญญาว่าสมบัติล้ำค่าในคลังสมบัติ จะให้พวกท่านเลือกได้สองอย่างเพื่อเป็นการขอบคุณ”
มาถึงเวลานี้ เฟิงจ้านก็ได้แต่พูดจายั่วยวน เพื่อกระตุ้นอารมณ์ต่อสู้ของทั้งสอง
“ท่านประมุขวางใจเถอะ! พวกข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ” เฟิงจ้านกล่าวเช่นนี้ ทำให้ซินหยวนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
หลิ่วหมิงเองก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ
…………………………………
ตอนที่ 458 การต่อสู้รอบที่สอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“การต่อสู้รอบที่สอง คู่แรกนิกายวิหคสวรรค์กับพรรคฉางเฟิง เริ่มได้!” พอแม่ชีเมี่ยวซินเห็นผู้ต่อสู้ทั้งสองเข้าไปในลานต่อสู้แล้ว นางก็ประกาศออกมา
พอเสียงของนางสิ้นสุดลง เจียหลานก็ทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับล้อรถ อักขระแปลกประหลาดปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่บนตัว อากาศตรงหน้าก่อตัวเป็นระลอกเคลื่อน และแผ่กระจายออกไป แสงสีม่วงเปล่งประกายอยู่ในแววตาทั้งสอง
การต่อสู้เพิ่งเริ่มขึ้น นางผู้นี้ก็เริ่มแสดงวิชาละเมอฝันแล้ว
ขณะที่ซินหยวนเข้าไปในลานและยังไม่ทันได้สบตากับนาง ก็รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง จากนั้นเงาร่างจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาตรงหน้า ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ซึ่งเขาถูกครอบงำไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้
ซินหยวนตัดสินใจพลิกฝ่ามือหยิบยันต์สีเหลืองออกมาผืนหนึ่ง หลังจากแปะมันไว้บนหน้าผากแล้ว แสงสีทองก็ทะลุเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ ทันใดนั้นเงาร่างตรงหน้าก็ถูกขับไล่ไปชั่วคราว
ยันต์ระดับนี้เฟิงจ้านแอบมอบให้ซินหยวนก่อนที่จะเข้ามาในลานต่อสู้ เขาบอกว่าค่อนข้างมีผลต่อการสงบจิตมาก
“ในเมื่อเจียหลานฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางแล้ว ความน่าหวาดกลัวของร่างละเมอฝันก็ค่อยๆ แสดงอานุภาพออกมา คู่ต่อสู้ระดับเดียวกันลงไปไม่อาจทำการป้องกันได้!” พอหลิ่วหมิงเห็นซินหยวนใช้ยันต์ทันทีที่เข้าไปในลาน เขาก็รู้ว่าซินหยวนคงถูกวิชาร่างละเมอฝันดึงดูดโดยไม่รู้ตัว จนเขาต้องแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
แม้ซินหยวนจะใช้ยันต์ทำจิตให้สงบได้ชั่วคราว แต่ยังคงต้องกระตุ้นพลังเวทป้องกันอย่างต่อเนื่อง จากการต่อสู้ของเจียหลานกับเว่ยจ้งในก่อนหน้านั้น เขาก็เข้าใจว่าเวลาเผชิญหน้ากับวิชาละเมอฝันของฝ่ายตรงข้าม จะต้องรีบเผด็จศึกให้ไวที่สุด
ทันใดนั้น เขาก็ตะคอกเสียงต่ำออกมา กระบองเหล็กถูกหมุนควงอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้าหาเจียหลาน
เจียหลานเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้มีสีหน้าลนลานเลยแม้แต่น้อย ลูกประคำสีทองในมือถูกนำออกมา และลอยอยู่เหนือศีรษะของนาง ขณะเดียวกันก็เริ่มร่ายคาถา จุดแสงห้าสีค่อยๆ ปรากฏออกมาด้านข้าง
ซินหยวนขมวดคิ้ว เขารู้ลึกๆ ในใจว่าพอเกราะป้องกันนี้ก่อตัวสำเร็จ แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดก็ไม่อาจโจมตีได้ เขาจึงรีบเคลื่อนตัวมาอยู่ห่างจากเจียหลานจั้งกว่าๆ จากนั้นก็มีลวดลายสีดำปรากฏขึ้นบนกระบองเหล็ก แสงสีทองเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง ปลายส่วนหน้าของกระบองเหล็กก่อตัวเป็นหัวหอกสีทอง พริบตาเดียว แขนของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นมา หอกยาวในมือถูกเหวี่ยงออกไปด้วยพลังมหาศาล
บริเวณที่หอกยาวเคลื่อนตัวผ่าน จะทิ้งร่องรอยสีทองเอาไว้ ขณะเดียวกันก็มีเสียงอากาศระเบิดดังขึ้นมา
“เปรี๊ยะๆ!” ม่านแสงห้าสีตรงหน้าเจียหลานเพิ่งจะสร้างต้นแบบขึ้นมาได้ แต่กลับถูกฉีกขาดจนเป็นรูขนาดใหญ่ จากนั้นหอกยาวก็พุ่งทะลุหน้าอกเจียหลานไปอย่างรวดเร็ว
ซินหยวนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก แต่ทว่าครู่ต่อมา ฉากอันน่าประหลาดใจก็ได้บังเกิดขึ้น!
ร่างของเจียหลานที่ถูกหอกสีทองเจาะทะลุ พร่ามัวขึ้นมาทันที จากนั้นก็แตกกระจายหายไปราวกับฟองน้ำในระลอกคลื่น
เงาร่างที่ถูกแทงทะลุนั้น เป็นเพียงภาพมายาของเจียหลาน!
ซินหยวนที่อยู่กลางอากาศมีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา พอเขากวักมือ หอกสีทองก็พุ่งกลับมาอยู่ในมือ ขณะเดียวกัน พลังจิตอันแข็งแกร่งก็ถูกปล่อยออกไป
ขณะนั้นเอง มีคลื่นสั่นสะเทือนอยู่ห่างออกไปหลายจั้ง จากนั้นร่างของเจียหลานก็ปรากฏออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หลังจากถอนใจเบาๆ แล้ว นางก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา และลูกประคำเส้นนั้นก็ปรากฏอยู่บนมือ พอโยนออกไป มันก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีทองพุ่งเข้าหาซินหยวน
ซินหยวนเคยเห็นความร้ายกาจของอาวุธจิตวิญญาณอย่างลูกประคำมาแล้ว จึงไม่อาจดูเบามันได้ พอเขาทำท่ามือแล้วชี้ออกไป หอกยาวก็พุ่งออกไปรับอย่างรวดเร็ว
“ตู๊ม!”
พอหอกยาวสีทองสัมผัสโดนลูกประคำ มันก็ถูกแสงสีทองดีดออกมา และลูกประคำก็ยังพุ่งเข้าใส่ซินหยวนไม่หยุด
ซินหยวนขมวดคิ้ว และจับหอกยาวที่ดีดตัวกลับมาไว้แน่น พอโบกมันไปในอากาศ มันก็กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีดำที่มีขนาดใหญ่หลายจั้ง ไอกระบี่หมุนวนอยู่รอบๆ ตัวกระบี่ อากาศบริเวณรอบๆ เกิดคลื่นสั่นสะเทือนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“ฟัน!”
ซินหยวนตะโกนออกมาทันที กระบี่ยักษ์สีดำส่งเสียงดังกึกก้อง จากนั้นก็ฟันใส่ลูกประคำสีทองราวกับสายรุ้งอันทรงอานุภาพ
เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง
ภายใต้การปะทะกันระหว่างลูกประคำกับกระบี่ยักษ์ ทำให้ทั้งสองกลายเป็นสายรุ้งอันน่าตกใจก่อนที่จะพุ่งกลับไปคนละทาง
ดวงตาซินหยวนเป็นประกาย พอกวักมือเรียกกระบี่ยักษ์กลับมาแล้ว มันก็กลายเป็นธนูยักษ์สีดำราวกับหมึก
เมื่อดึงสายธนู กล้ามเนื้อบนแขนทั้งสองก็นูนขึ้นมา จากนั้นลูกธนูสีทองเจิดจ้าก็ปรากฏอยู่บนธนู
ขณะที่ลูกธนูสีทองปรากฏออกมานั้น สีหน้าของเจียหลานก็เปลี่ยนไปทันที นิ้วขาวผ่องทั้งสิบปล่อยพลังออกไปติดต่อกัน ลูกประคำที่พุ่งกลับมาก็ลอยวนอยู่เหนือศีรษะ เกราะป้องกันรูปวงแหวนห้าสีปรากฏออกมา และปกคลุมร่างของนางไว้อย่างแน่นหนา เสียงภาษาสันสกฤตดังขึ้นมาหวึ่งๆ
และในขณะเดียวกัน ซินหยวนก็เผยแววตาดุร้ายออกมา พอปล่อยลูกธนู แสงสีทองก็พุ่งยิงใส่เจียหลาน
“เปรี๊ยะ!”
พอแสงสีทองปะทะลงบนม่านแสง มันก็แตกร้าวออกมา และเกือบจะทะลุเข้าไปด้านในได้
ในที่สุดใบหน้าอันงดงามของเจียหลาน ก็เผยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจออกมา มือทั้งสองค้ำยันม่านแสงไว้ พลังเวททะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงภาษาสันสกฤตดังออกมาจากปาก
ลูกธนูสีทองกับม่านแสงห้าสีคุมเชิงกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแสงสีทองก็ค่อยๆ ดับลง และแตกกระจายเป็นจุดแสงสีทองก่อนที่จะสลายไปในอากาศ
ขณะนี้ซินหยวนที่อยู่ไกลๆ กำลังอ้าปากหายใจหอบอยู่
การโจมตีติดต่อกันนี้ ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทไปมากกว่าครึ่ง เงาร่างละเมอฝันในทะเลจิตรับรู้ที่ถูกยันต์แสงสีทองระงับไว้ ก็เริ่มหวนกลับมาโจมตีอยู่ลางๆ
พอเห็นว่าธนูอันแข็งแกร่งของซินหยวนหายไปแล้ว แสงสีม่วงก็เปล่งประกายในดวงตาของเจียหลาน ลูกประคำพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ครู่ต่อมา ก็ไปปรากฏอยู่เหนือศีรษะของซินหยวนที่เริ่มมีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
ลูกประคำหมุนวนติ้วๆ จากนั้นค่ายกลพุทธะสีทองหลังหนึ่ง ก็เปล่งประกายรอบตัวซินหยวน และกักขังเขาไว้ด้านใน
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้ ซินหยวนถูกขังอยู่ในค่ายกล โดยทั่วไปก็นับว่าพ่ายแพ้แล้ว ด้วยสภาพร่างกายของซินหยวนกับพลังเวทในตอนนี้ คงยากที่จะเอาชนะได้
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แม้ว่าซินหยวนที่อยู่ในค่ายกลจะพยายามต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ยังถูกวิชาละเมอฝันกับเสียงภาษาสันสกฤตโจมตีจนหมดสติไป
“เดิมพันการต่อสู้ครั้งนี้ นิกายวิหคสวรรค์ชนะ!” แม่ชีเมี่ยวซินประกาศอย่างราบเรียบ
บรรยากาศทางด้านพรรคฉางเฟิงดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก การต่อสู้คู่แรกของรอบที่สองพ่ายแพ้ไปแล้ว บัดนี้เหลือแค่หลิ่วหมิงคนเดียวเท่านั้น
หลังจากศิษย์พรรคฉางเฟิงยกซินหยวนออกจากลานประลองแล้ว หลิ่วหมิงก็ใช้จิตกวาดดูร่างของเขา และค้นพบว่าเขาเพียงแค่สูญเสียพลังเวทไปมาก บวกกับถูกวิชามายาครอบงำ จึงทำไห้สลบไสลไม่ได้สติ ซึ่งอาการเหมือนกับชายหนุ่มชุดดำในก่อนหน้านั้นไม่มีผิด
“ทำได้ดีมาก!”
แม่ชีชุดดำที่อยู่ไม่ไกลส่งเสียงมาชมเชยเจียหลาน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรักและเมตตา
เจียหลานได้ยินก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา หลังจากเก็บลูกประคำแล้ว นางก็ค่อยๆ เดินไปทางนิกายวิหคสวรรค์ และนั่งขัดสมาธิเพื่อทำการพักผ่อน
“คู่ต่อไป พรรคฉางเฟิงต่อสู้กับพันธมิตรจินวี้!” แม่ชีชุดดำส่งเสียงดังอีกครั้ง
“เดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ ต้องพึ่งสหายหลิ่วแล้ว” เฟิงจ้านมีสีหน้าจริงจังมาก เขาค่อยๆ กวาดสายตามองดูชายหนุ่มชุดดำกับซินหยวนที่ยังไม่ได้สติ จากนั้นก็กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็เพียงแค่พยักหน้า และไม่พูดอะไรออกมา จากนั้นก็เดินเข้าไปในค่ายกล
อีกด้านหนึ่ง ประมุขพันธมิตรจินอวี้เพียงแค่ส่งสายตาให้ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าทีหนึ่ง
ชายหนุ่มลุกขึ้นมาทันที เขาหันไปสังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นก็กระโดดตัวขึ้น ครู่ต่อมาก็ปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกล
พอชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าปรากฏตัวขึ้น หลิ่วหมิงก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นไอเย็นสะท้านที่แผ่ออกจากตัวเขา แม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่พลังกดดันที่ปลดปล่อยออกมา พอที่จะเทียบกับระดับของเหลวขั้นปลายได้
แต่ว่าครั้งนี้เขาจะต้องชนะเท่านั้น ถึงมีโอกาสได้ไผ่ว่างเปล่าท่อนนั้นมา ดังนั้นย่อมต้องต่อสู้อย่างสุดพลัง
พอหลิ่วหมิงนึกถึงจุดนี้ เขาก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่เล็กสีเงินเล่มหนึ่งปรากฏอยู่บนมือ พอทำท่ามือด้วยมือเดียว กระบี่ก็สั่นสะท้านจนส่งเสียงดังกังวานออกมา จากนั้นก็กลายเป็นเงากระบี่จำนวนมาก
เมื่อเขาชี้ไปกลางอากาศ เงากระบี่ที่มีอานุภาพอันน่าตกใจ ก็ม้วนตัวเข้าใส่ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า
“วิชาขี่กระบี่!”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลุดปากออกมา ทันใดนั้นฝูงชนที่รับชมอยู่ก็พากันฮือฮาขึ้นมา
ผู้คนที่อยู่ที่นั่น นอกจากคนของพรรคฉางเฟิงที่เคยเห็นหลิ่วหมิงในตอนประลองคัดเลือกแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็คิดว่าหลิ่วหมิงเป็นแค่ผู้ฝึกร่างคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย แม้ว่าการฝึกร่างและกระบี่ควบคู่กันไป ใช่ว่าจะไม่มีในแผ่นดินจงเทียน แต่ก็มีแค่ในนิกายใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งเท่านั้น
ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา ครู่เดียวก็สงบสติอารมณ์ได้
พอแผดเสียงร้องออกมา แขนทั้งคู่ก็สั่นสะท้าน เกิดเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ภายในร่าง ลวดลายสีเขียวปรากฏขึ้นบนผิว และเลื้อยไปตามตัวอย่างรวดเร็ว
เดิมทีชายหนุ่มมีสีหน้าสงบ แต่หลังจากเงาร่างอสรพิษยักษ์ปรากฏออกมา เส้นเอ็นตามตัวก็นูนขึ้นมาด้วย ทำให้ยิ่งดูอัปลักษณ์มากว่าเดิม
“ไป!”
พอชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าชี้ไปกลางอากาศ อสรพิษสีเขียวก็หลุดออกจากตัว และพุ่งไปรับมือกับเงากระบี่ท่ามกลางเสียงที่ดังกึกก้อง
ห่างจากเงากระบี่ไปไม่กี่จั้ง อสรพิษยักษ์สะบัดหางใส่เงากระบี่ที่พุ่งเข้ามาเต็มฟ้า พอทั้งสองปะทะกัน ก็ระเบิดแสงออกมาอย่างบ้าคลั่ง กระบี่ที่ปกคลุมเต็มฟ้าสลายไปทันที ดวงตาสีเลือดทั้งคู่ของมันเปล่งประกาย จากนั้นก็หมุนตัวพุ่งใส่หลิ่วหมิง
สายตาหลิ่วหมิงดูเยือกเย็นขึ้นมา พอกระตุ้นท่ามือ พลังไอกระบี่มหาศาลก็พุ่งขึ้นฟ้า
กระบี่เงินเปล่งประกาย พอมันหลุดออกจากมือ ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเงินขนาดใหญ่ และพุ่งเข้าหาอสรพิษยักษ์ที่อยู่กลางอากาศ
ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าเห็นเช่นนี้ ก็เปลี่ยนท่ามือทันที อสรพิษยักษ์กลางอากาศอ้าปากในฉับพลัน คมเขี้ยวอันแหลมคมโผล่ออกมา ลำแสงสีเขียวที่มีกลิ่นไอการกัดกร่อนอย่างรุนแรงพุ่งออกไปรับสายรุ้งสีเงินที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หลังจากแสงสีเงินเปล่งประกายออกมา ลำแสงสีเขียวก็ถูกสายรุ้งสีเงินฟันใส่จนสลายไป จากนั้นก็กระพริบผ่านร่างของอสรพิษยักษ์ และทิ้งรอยแผลลึกที่ยาวหนึ่งฉื่อๆ กว่าไว้
ไอสีเขียวพุ่งออกจากร่างของอสรพิษยักษ์!
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าก็ขมวดคิ้วขึ้นมา บริเวณหัวไหล่ก็มีบาดแผลปรากฏขึ้นมาหนึ่งแห่ง และมีโลหิตซึมออกมา
ขณะที่สายรุ้งสีเงินฟันใส่ลำแสงสีเขียวนั้น แสงสีเงินบนตัวของมันก็ดับลงเช่นกัน
…………………………………
ตอนที่ 459 วิชาเก้าอสรพิษหยก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายใต้การเชื่อมจิตกับกระบิน หลิ่วหมิงค้นพบว่ามันไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด แต่ว่าพลังเวทที่แฝงอยู่ในกระบี่ถูกกัดกร่อนไปกว่าครึ่งหนึ่ง พอเขากวักมือเรียกกระบี่กลับมาแล้ว ก็กระตุ้นพลังเวทให้แสงบนตัวมันเปล่งประกายอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าก็เปลี่ยนท่ามือทันที และอสรพิษยักษ์ก็หมุนวนอยู่บนตัวเขาอีกครั้ง ลวดลายสีเขียวบนตัวเปล่งประกาย ไหมสีเขียวเล็กๆ โผล่ออกมาจากในนั้น ครู่เดียวก็พันปากแผลไว้อย่างหนาแน่น และบาดแผลบนตัวอสรพิษยักษ์ก็สมานกันอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของเขาเปล่งประกายเยือกเย็น หลังจากส่งเสียงคำรามออกมา อสรพิษยักษ์สีเขียวก็แยกออกเป็นสองตัว และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง
หลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดกระบี่ด้วยสีหน้าสงบ กระบี่บินสีเงินกลายเป็นสายรุ้งสีเงินพุ่งออกไปปะทะ
ลำแสงสีเงินกับไอสีเขียวระเบิดตัวพวยพุ่งออกมากลางอากาศ
หลังจากอสรพิษยักษ์รุกออกไปอีกรอบ ก็มีบาดแผลขนาดต่างๆ ปรากฏบนตัวชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า
ภายใต้การควบคุมกระบี่บินของหลิ่วหมิง แม้จะเหนือว่าอสรพิษยักษ์ทั้งสองมาก แต่ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้ากลับไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า มันจะมีอานุภาพถึงเพียงนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เขารู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ
ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้ารู้สึกรับมือไม่หวาดไม่ไหว ขณะที่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา เขาก็รู้สึกโมโหอย่างถึงขีดสุด ทันใดนั้น ก็หยิบโอสถออกมาทานหนึ่งเม็ด และหยิบยันต์สีเลือดออกมาสองสามผืน จากนั้นก็ฉีกจนขาดกระจุย
ครู่เดียว เอ็นสีเขียวบนตัวชายหนุ่มก็ปูดโปนขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำ ลวดลายสีเลือดปรากฏขึ้นบนตัว
อสรพิษยักษ์สองตัวที่กำลังต่อสู้อยู่ด้านหน้า ก็ส่งเสียงดังออกมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว และจมหายไปในร่างของชายหนุ่ม
พอชายหนุ่มตะโกนออกมา แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนตัว คิดไม่ถึงว่ามันจะห่อหุ้มร่างของเขาไว้ทั้งหมด
จากนั้น มีเสียงคำรามดังออกมาจากแสงสีเขียว เมื่อแสงสีเขียวดับไป ก็เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าอีกครั้ง แต่ด้านหลังของเขามีเงาหัวอสรพิษหยกเกาะตัวขึ้นมาเก้าหัว แต่ละหัวต่างก็มีขนาดจั้งกว่าๆ คมเขี้ยวของมันแหลมคมมาก ลำแสงสีเขียว ฟ้า แดง และสีอื่นๆ ทั้งหมดเก้าสี กำลังเปล่งประกายอยู่ในดวงตาของมัน
“ศิษย์ของท่านฝึกฝนวิชาเก้าอสรพิษหยกจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว!” หญิงแซ่เซียวเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จากนั้นก็หันไปกล่าวกับตู๋กูอวี้เบาๆ
“ท่านเซียนกล่าวได้ถูกต้อง ต้องขอบคุณโอสถเกาะตัวไอปีศาจที่หอท่านมอบให้ ศิษย์ข้าถึงได้โชคดีเช่นนี้” ตู๋กูอวี้กล่าวอย่างนอบน้อม ดวงตาของเขาฉายแววปีติเล็กน้อย
หลังจากกระบี่จิตวิญญาณกลางอากาศสูญเสียคู่ต่อสู้ มันก็กลายเป็นสายรุ้งสีเงินแวววาวพุ่งไปหาชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า
ชายหนุ่มกลับไม่คิดหลบหลีกแต่อย่างใด
ดวงตาสิบแปดลูกของอสรพิษหยกเก้าหัวเปล่งประกาย ทันใดนั้นก็มีสามหัวเคลื่อนไหว จากนั้นลูกเปลวหนึ่งลูก พายุบ้าระห่ำหนึ่งลูก และสายฟ้าสีดำหนึ่งสาย ก็พุ่งยิงออกไป
ตอนแรกสายรุ้งสีเงินแวววาวถูกลูกเปลวไฟที่ระเบิดออกมาปกคลุมไว้ ต่อมาก็ถูกสายฟ้ารัดพัน และถูกพายุบ้าระห่ำม้วนเข้าไป จึงทำให้มันสูญเสียการควบคุมทันที หลังจากแสงบนตัวดับลง มันก็ฟื้นสภาพเป็นกระบี่เล็กสีเงินก่อนตกลงมา
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างอดไม่ได้!
หากเขาคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ ที่ดวงตาของอสรพิษหยกเก้าหัว มีสีสันที่แตกต่างกันไป ทำให้มันสามารถแสดงวิชาได้แตกต่างกันถึงเก้าแบบ
เมื่อกระบี่บินเผชิญหน้ากับวิชาหนึ่งถึงสองรูปแบบ ก็ยังพอสามารถรับมือได้ แต่ภายใต้ผลลัพธ์ของวิชาหลากหลายรูปแบบ ทำให้กระบี่บินที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำเช่นนี้ มีพลังไม่เพียงพอ
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว พอยกแขนเสื้อ แสงสีทองอร่ามก็กระพริบออกไป และหมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นทรายสีทอง
มันคืออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดอย่างทรายทองคำร่วงนั่นเอง!
ขณะนี้เขามีสีหน้าเคร่งขรึมมาก พอเปลี่ยนท่ามือ เขาก็ร่ายคาถาออกมา
ทรายทองคำแผดเสียงร้องและปกคลุมเต็มฟ้า มันกระพริบแค่ทีเดียวก็หายไปจนหมดสิ้น
ครู่ต่อมา มีหมอกทรายปรากฏขึ้นบนอากาศตรงหน้าชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ทรายทองคำแต่ละเม็ดเปล่งประกายออกมาท่ามกลางแสงสีทองอร่าม และเรียงตัวกันอย่างแน่นหนา จากนั้นก็ก่อตัวเป็นค่ายกลทรายแปลกประหลาด
นี่เป็นเพราะว่าหลิ่วหมิงต้องการเผด็จศึกให้ไวที่สุด ถึงได้กระตุ้นทรายทองคำร่วงที่แฝงด้วยชั้นจำกัดออกมา
ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น และปล่อยพลังออกไปอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้น แสงสีต่างๆ ก็พุ่งออกจากปากอสรพิษหยกทั้งเก้าที่อยู่ด้านหลังของเขา จากนั้นก็พุ่งยิงไปยังค่ายกลทราย เพื่อที่จะทำลายมันให้ได้ และจะได้โจมตีหลิ่วหมิงให้แตกกระเจิงในทีเดียว
“ตู๊มๆ!”
คมวายุ แสงสีทอง เปลวไฟ ของเหลวมีพิษ และการโจมตีอื่นๆ ต่างก็โจมตีลงบนค่ายกลทราย และระเบิดออกมาเป็นกลุ่มแสงหลากสีสัน จากนั้นกระแสพายุบ้าระห่ำที่เย็นและร้อนผสมผสามกัน ก็กระจายไปทั่วทิศ!
อานุภาพของมันร้ายแรงมาก นอกจากผู้แข็งแกร่งระดับผลึกไม่กี่คนแล้ว คนอื่นๆ ที่รับชมอยู่ ต่างก็พากันร่นถอยออกไปด้วยความตกใจ
วิชาต่างๆ ระเบิดตัวบนม่านทราย แต่ดูเหมือนกับว่าปะทะลงบนกำแพงเหล็ก วิชาเหล่านี้เพียงแค่ทำให้ม่านทรายสั่นไหวอย่างรุน จากนั้น แสงสีทองก็หมุนวนบนม่านทราย และกลับมาสงบเช่นเดิม
สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาจะรับรู้ได้ว่าม่านทรายนี้แข็งแกร่งมาก หอกดาบไม่อาจแทงทะลุได้ เขาจึงรีบเปลี่ยนท่ามือทันที อสรพิษหยกที่อยู่ด้านหลังอ้าปากพุ่งยิงวิชาต่างๆ ออกมาอีกครั้ง ลูกเปลวไฟขนาดใหญ่ที่ถูกพายุบ้าระห่ำห่อหุ้มไว้พุ่งมารวมตัวกับสายน้ำสีฟ้า และแท่งวารีก่อนที่จะพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายขึ้นมา มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และชี้ไปทางค่ายกลทรายทองคำที่อยู่กลางอากาศ
ทันใดนั้น ม่านทรายก็เปล่งแสงสีทองออกมา และต้านทานการโจมตีครั้งนี้ไว้อีกครั้ง จากนั้น ก็ห่อหุ้มชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าไว้ และหมุนวนอย่างรวดเร็ว
ม่านทรายก่อตัวเป็นรูปทรงกระบอกสีทองอร่าม และกักขังชายหนุ่มไว้ด้านใน
ในขณะที่เม็ดทรายทองคำหมุนวน ก็มีหนามแหลมทะลุออกมาตลอดเวลา และพุ่งเข้าหาชายหนุ่ม
การเปลี่ยนแปลงของทรายทองคำร่วงที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ทั้งยังมีอานุภาพเกรียงไกรที่สามารถทำลายได้แม้แต่กำแพงเหล็กที่แข็งแกร่ง ทำให้เฟิงจ้าน ตู๋กูอวี้ และผู้แข็งแกร่งระดับผลึกคนอื่นๆ ต่างก็ใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
อย่างที่รู้ว่า ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างพวกเขา อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่อยู่ในมือ ลำพังแค่เรื่องของอานุภาพ ก็ดูเหมือนจะไม่ร้ายแรงเท่าทรายทองคำร่วงของหลิ่วหมิง
ในที่สุดชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ก็มีสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาพยายามกระตุ้นอสรพิษหยกให้ปล่อยวิชาต่างๆ โจมตีม่านทรายทองคำ เพื่อไม่ให้มันเข้าใกล้ตัวได้
ขณะเดียวกัน ก็ร่ายคาถาออกมา จนดวงตาของอสรพิษสามหัวเปล่งประกาย จากนั้น ก็พากันเปล่งแสงสีแดง เหลือง และฟ้าออกมา มันประสานกันรอบๆ ตัวชายหนุ่ม จนก่อเกิดเป็นม่านแสงสามสี และปกป้องชายหนุ่มไว้
แต่ทว่าพายุบ้าระห่ำที่ก่อตัวมาจากหนามสีทองกลับหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ การโจมตีที่อสรพิษหยกปล่อยออกมา ถูกหนามทองคำที่หมุนวนอย่างรวดเร็วปั่นจนแหลกละเอียด
ในที่สุดหนามสีทองกับม่านแสงก็เริ่มปะทะกันอย่างรุนแรง จากนั้นก็ส่งเสียงดังที่ทำให้รู้สึกแสบแก้วหูออกมา
ม่านแสงสามสีถูกหนามสีทองตัดจนเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ภายใต้การกระตุ้นพลังเวทอย่างต่อเนื่องของชายหนุ่ม กลับไม่สามารถทำลายทรายทองคำได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กระตุ้นวิชาอีกวิชาทันที พอสะบัดแขนเสื้อ สายรุ้งสีเงินก็ม้วนตัวออกมา จากนั้นลำแสงสีขาวก็พุ่งออกจากในนั้น และกระพริบหายไปในม่านทรายทองคำ
ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าค้นพบว่า หนามของทรายทองคำนี้ ไม่อาจทำลายเกราะป้องกันของเขาได้ชั่วขณะหนึ่ง เขาจึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย และรวบรวมจิตกระตุ้นพลังเวทในทันที
ขณะที่ควบคุมหัวอสรพิษหยกทั้งสามให้พ่นแสงสามสีไปเสริมม่านแสงอยู่นั้น เขาก็กระตุ้นอสรพิษหยกอีกหกหัวให้โจมตีม่านทรายทองคำอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาโอกาสทำลายม่านทรายทองคำให้ได้
แต่เนื่องจากทรายทองคำร่วงเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ทำให้ชายหนุ่มมองเห็นแต่สีทองอร่าม จึงไม่ทันได้ระวังถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้
ทันใดนั้น ม่านทรายตรงหน้าก็แตกเป็นรูเล็กๆ และสายรุ้งสีเงินกับแสงสีขาวก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
“แย่แล้ว!”
ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าคิดจะแสดงวิชาเพื่อป้องกันตัว แต่ก็สายไปเสียแล้ว
นึกว่าจะช้าแต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด พอมีเสียงดัง “เพล้ง!” ม่านแสงสามสีที่คุ้มกันตัวอยู่ ก็ถูกสายรุ้งสีเงินฟันอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น ก็มีรอยร้าวปรากฏออกมา จากนั้นแสงสีขาวก็พร่ามัวทิ่มแทงในตำแหน่งเดียวกัน พอแสงสีขาวดับไป มันก็กลายเป็นกระดูกที่ยาวสามสี่ชุ่น
มันคือแท่งวายุกระดูกที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นมา ในขณะที่อยู่ในสายแร่ใต้ทะเลลึกนั่นเอง!
แต่พอแท่งวายุกระดูกกลับคืนสภาพเดิม มันก็หมุนตัวติ้วๆ และล่องลอยเต็มฟ้า พลังมหาศาลบางอย่างพุ่งออกมาในพริบตา ม่านแสงสามสีที่เดิมทีจะพังมิพังแหล่ ก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
ม่านทรายสีทองปกคลุมเต็มท้องฟ้า พอพายุบ้าระห่ำม้วนตัวผ่าน ชายหนุ่มที่มีไอดำลอยวนรอบตัว ก็ก้าวออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ซึ่งเขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง!
ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าเห็นเช่นนี้ก็ตะคอกเสียงออกมา ลวดลายบนตัวเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง และกำลังจะแสดงเคล็ดวิชาบางอย่าง
แต่แววตาหลิ่วหมิงกลับเป็นประกาย และพลิกฝ่ามือทั้งสองพร้อมกัน จากนั้นก็มีมุกพลังวารีปรากฏอยู่ในมือทั้งสองข้าง
หลิ่วหมิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวตรงหน้าชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ จากนั้นก็ปล่อยกำปั้นออกไป
ภายใต้สถานการณ์ที่ชายหนุ่มไม่ทันได้ระวัง ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ดวงตาฉายแววดุร้ายออกมา และปล่อยกำปั้นออกไปรับกำปั้นของหลิ่วหมิงทันที
“ตู๊ม!”
ชายหนุ่มรู้สึกแค่ว่ามีพลังมหาศาลบางอย่างทะลักเข้ามา แม้ว่าเขาจะฝึกฝนพลังจนมีกายเนื้อแข็งแกร่งกว่าร่างฝึกระดับเดียวกัน แต่พอเผชิญหน้ากับหลิ่วหมิงที่มีพลังไม่ด้อยไปกว่าเขา ทั้งยังมีมุกพลังวารีที่แฝงชั้นจำกัดไว้หลายชั้นคอยช่วย ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถสู้ได้
มีเสียงแตกหักของกระดูกดังออกมา แขนขวาของชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าถูกหลิ่วหมิงโจมตีจนหัก และลู่ลงอย่างอ่อนแรง
หลิ่วหมิงประกบฝ่ามือทั้งสองทันที นิ้วทั้งสิบผสานกันและกุมมือไว้แน่น หลังจากรวมมุกพลังวารีทั้งสองเข้าด้วยกันแล้ว ก็ทุบใส่อกของชายหนุ่มอย่างรุนแรง
“ฟู่!”
ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมา ร่างของเขารวมถึงอสรพิษหยกเก้าหัวที่อยู่ด้านหลัง ก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป
พอหลิ่วหมิงกระตุ้นจิต ทรายทองคำก็กระจายตัวทันที ร่างของชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้ากระเด็นออกจากในนั้นโดยไม่มีสิ่งใดมาต้านทานไว้ และตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง หลังจากกระอักเลือดออกมาสองสามทีแล้วก็สลบไป
หลังจากแสงสีเขียวเปล่งประกาย อสรพิษหยกเก้าหัวที่อยู่ด้านหลัง ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ขณะเดียวกัน ม่านทรายสีทองที่อยู่ใจกลางค่ายกลก็ค่อยๆ สลายตัวเป็นหมอกทราย หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นเม็ดทรายสีทองก่อนที่จะจมหายไปในแขนเสื้อหลิ่วหมิงอย่างไร้ร่องรอย
…………………………………
ตอนที่ 460 การต่อสู้รอบที่สาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่หลิ่วหมิงไม่ได้เอาชีวิตชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าในตอนท้ายนั้น เป็นเพราะว่าประการแรก เขาไม่ได้มีความแค้นกับชายหนุ่มผู้นี้ เพียงแค่อยากชนะเดิมพันการต่อสู้ เพื่อที่จะได้มาซึ่งไผ่ว่างเปล่าเท่านั้น และไม่อยากสร้างศัตรูโดยไม่มีเหตุผล
ประการที่สอง ในใจเขารู้สึกลางๆ ว่า เดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ มันไม่ง่ายอย่างที่เห็น ด้วยเหตุนี้ระวังตัวไว้จะดีที่สุด
“การต่อสู้ในครั้งนี้ พรรคฉางเฟิงชนะ!” พอแม่ชีชุดดำเห็นว่าชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าหมดสติไปแล้ว นางก็ประกาศผลการต่อสู้ออกมา และยังกวาดสายตามองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น ขณะนี้ ผู้คนแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่รับชมการต่อสู้อยู่ ต่างก็มองมายังชายหนุ่มที่ค่อยๆ ก้าวออกมาจากค่ายกล เวลานั้นผู้คนต่างก็เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
เนื่องจากการต่อสู้ในก่อนหน้า มีม่านทรายทองคำบดบังอยู่ ผู้คนจึงไม่รับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้านใน
และตั้งแต่หลิ่วหมิงจมหายไปในม่านทรายทองคำพร้อมกับไอดำที่พุ่งออกจากตัว จนถึงตอนที่ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า พุ่งออกจากม่านทรายด้วยสภาพอ่อนระโหยโรยแรงนั้น ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ สิ่งนี้ย่อมทำให้เขาดูลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม
หลิ่วหมิงย่อมสังเกตเห็นสายตาของผู้คนที่อยู่รอบๆ และเขาก็ได้แต่แอบหัวเราะในใจอย่างขมขื่น แต่ก็เดินไปทางพรรคฉางเฟิงด้วยสีหน้าปกติ
อีกด้านหนึ่ง พริบตาที่ประมุขตู๋กูเห็นศิษย์ของตนเองหมดสติ สีหน้าของเขาก็ซีดขาวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เดิมทีคิดว่ามีโอกาสเก้าในสิบส่วนที่สามารถเอาชนะเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ได้ แต่เพิ่งผ่านไปสองรอบกลับพ่ายแพ้จนหมดสิ้น
และภายใต้สถานการณ์ที่ศิษย์สายตรงฝึกฝนวิชาเก้าอสรพิษหยกสำเร็จ แต่กลับถูกแขกใหม่ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนของพรรคฉางเฟินโจมตีจนพ่ายแพ้ มันยิ่งทำให้ตู๋กูอวี้หงุดหงิดเป็นพิเศษ
หญิงแซ่เซียวที่อยู่ด้านข้างก็หน้าเขียวปัดขึ้นมา
นักพรตแซ่สือเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ประจักษ์ชัดว่ารู้สึกตกใจกับวิธีการที่ดูเหมือนไม่มีวันหมดของหลิ่วหมิงเช่นกัน
เฟิงจ้านก็เดินมารับด้วยความตกใจระคนดีใจ
“สหายหลิ่วลงมือได้ไม่ธรรมดาจริงๆ ตอนนี้คนของพันธมิตรจินอวี้ทั้งสามต่างก็ตกรอบไปหมดแล้ว เหลือแค่คนของนิกายวิหคสวรรค์สองคนเท่านั้น” เฟิงจ้านหัวเราะและกล่าวชื่นชมหลิ่วหมิงไม่หยุด
หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวอย่างถ่อมตัวไปสองสามประโยค
“สหายหลิ่ว ในขวดนี้มีโอสถหลายเม็ดที่ข้าซื้อมาราคาสูง มันมีผลต่อการฟื้นฟูพลังเวทยิ่งนัก” เฟิงจ้านคิดใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบขวดหยกสีเขียวออกมาให้หลิ่วหมิง แววตาของเขาดูเหมือนจะยังเสียดายอยู่เล็กน้อย
หลิ่วหมิงเองก็ไม่ได้รู้สึกเกรงใจแต่อย่างใด หลังจากรับขวดหยกมาแล้ว ก็ดึงจุกออกทันที ทันใดนั้นกลิ่นหอมกรุ่นก็โชยออกมา พอดมแล้วรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก ที่แท้มันก็ไม่ใช่โอสถธรรมดา
เขารีบทานไปหนึ่งเม็ดทันที จากนั้นก็ไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง
หลังจากผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมาสองรอบ ในที่สุดผู้เข้ารอบก็เหลือแค่หลิ่วหมิง และเจียหลานกับชายฉกรรจ์ผมแดงของเผ่าวิหคสวรรค์แล้ว
ส่วนทางด้านพันธมิตรจินอวี้ หลังจากชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าพ่ายแพ้ไปแล้ว ก็ถูกคัดออกไปก่อน แต่ทว่าประมุขตู๋กูกับหญิงแซ่เซียวกลับไม่คิดจะจากไปเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่คอยสังเกตอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเยือกเย็น ดูเหมือนว่าจะรอดูผลของเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้
หลังจากที่นักพรตแซ่สือกับแม่ชีชุดดำหารือกันแล้ว ก็ตัดสินใจไม่พักผ่อนอะไรอีก และให้เริ่มจับฉลากรอบที่สามเลย
จากนั้นแม่ชีชุดดำก็ประกาศออกมา และบาตรสีเงินก็ลอยออกมาอีกครั้ง
การจับฉลากรอบที่สาม หลิ่วหมิงย่อมต้องต่อสู้กับหนึ่งในสองคนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงหมายเลขเดียว และมีไผ่ที่ว่างเปล่าอีกหนึ่งอัน
เจียหลานยังคงไปหยิบเป็นคนแรก พอแขนของนางพร่ามัว ก็มีไม้ไผ่อันหนึ่งปรากฏในมือ
“หมายเลขหนึ่ง”
เจียหลานกวาดสายตามองดูไม้ไผ่ในมือ และกล่าวออกมาเบาๆ
ชายฉกรรจ์ผมแดง ก็คว้ามือเข้าไปในบาตร และดูดไม้ไผ่หนึ่งในสองเข้ามาในมือ หลังจากมองดูก็ค้นพบว่าเป็นหมายเลขหนึ่งเช่นกัน จึงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ทั้งสองเป็นศิษย์นิกายเดียวกัน ตามหลักแล้วจำเป็นต้องจับฉลากใหม่
แต่ก็เกิดผลลัพธ์อันน่าประหลาดใจขึ้น
จับฉลากติดต่อกันสามครั้ง ชายฉกรรจ์ผมแดงล้วนจับคู่ได้กับเจียหลานทั้งหมด
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เจียหลานที่มีสีหน้าสงบมาโดยตลอด ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเช่นกัน
“สหายหลิ่ว เจ้ามาจับฉลากก่อนเถอะ!” แม่ชีชุดดำเห็นว่าจับฉลากหลายรอบแล้ว ก็ยังได้ผลเช่นเดิม นางจึงรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย ในที่สุดก็หันไปกล่าวกับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เขายื่นแขนเข้าไปในบาตรสีเงิน และหยิบไม้ไผ่ออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นอันที่ว่างเปล่า
การจับฉลากครั้งที่สี่ย่อมเป็นโมฆะอีกครั้ง แม่ชีก็ได้แต่ให้หลิ่วหมิงหยิบขึ้นมาใหม่อีกอัน
ในสุดการจับฉลากครั้งที่ห้า หลิ่วหมิงก็จับได้คู่กับชายฉกรรจ์ผมแดง
พอเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ ชายฉกรรจ์ผมแดงก็มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา เขารู้ดีว่ามีโอกาสชนะหลิ่วหมิงไม่มาก
“แม้เจ้าเด็กนี่จะแข็งแกร่ง แต่การต่อสู้ในก่อนหน้านั้น ทำให้สูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวไป หากต่อสู้ไม่ไหว ก็ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทจำนวนหนึ่ง และยอมแพ้ก็พอแล้ว หากบีบคั้นให้เขาแสดงวิธีการอื่นๆ ออกมาได้ก็ยิ่งดี ข้าจะรับรองความปลอดภัยของเจ้าอยู่ข้างๆ” แม่ชีชุดดำรับรู้ถึงความกังวลของชายฉกรรจ์ผมแดง จึงส่งเสียงไปบอกกับเขา
พอชายฉกรรจ์ผมแดงได้ยินเช่นนี้ ถึงมีความกล้าขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากสูดหายใจลึกๆ แล้ว ก็เดินไปกลางค่ายกล
และหลิ่วหมิงก็ได้ยืนรออยู่ในค่ายกลด้วยสีหน้าสงบแล้ว
ชายฉกรรจ์ผมแดงเดินมาตรงหน้าหลิ่วหมิง พอสะบัดแขนเสื้อ แท่งหยกสีเขียวแวววาวก็ปรากฏออกมา พอปล่อยพลังออกไป มันก็หลุดออกจากมือ และหมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศ จุดแสงสีเขียวบริเวณรอบๆ เริ่มเกาะตัวเข้าด้วยกัน
“ฟู่!”
เขาหยิบยันต์สีเงินผืนหนึ่งออกมาขยี้จนแตกกระจุย จากนั้นก็ตบเข้าไปในร่าง
ดูเหมือนว่ายันต์ผืนนี้จะมีผลในการกระตุ้นพลังเวทในระยะเวลาสั้นๆ
แท่งหยกกลางอากาศหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ หลังจากแสงสีเขียวรวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นวิหคยักษ์สีเขียวตัวหนึ่ง
แสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่ในแววตาทั้งสอง พอกระพือปีก พายุบ้าระห่ำก็ก่อตัวขึ้น หลังจากส่งเสียงร้องแหลมออกมาแล้ว ก็แผดเสียงเข้าหาหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงเห็นชายฉกรรจ์ผมแดงเข้ามาถึง ก็แสดงการโจมตีออกมาร้ายกาจเช่นนี้ เขาก็ค่อยๆ หรี่ตาทั้งคู่ลง
เขาร่นถอยไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็ร่นถอยออกไปอย่างพร่ามัว จนอยู่ห่างออกไปหลายจั้ง และพอที่จะหลบแสงสีเขียวที่วิหคยักษ์พ่นออกมาติดต่อกันได้
ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนขึ้นมา จากนั้นกระบี่เล็กสีเงินก็ปรากฏอยู่ในมือ และเขาก็ปล่อยพลังเวทเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
เสียงกระบี่ดังกังวานขึ้นมา!
สายรุ้งสีเงินฟันเข้าใส่ปีกข้างหนึ่งของวิหคยักษ์
พอวิหคยักษ์ขยับปีก ก็หลบสายรุ้งสีเงินไปได้ จากนั้นมันก็พ่นแสงสีเขียวออกไปรับมือกับสายรุ้งสีเงินที่วกกลับมาอีกครั้ง
“ฟู่!”
แสงสีเงินกับแสงสีเขียวเปล่งประกายประสานกันไปมา จากนั้นแสงสีเขียวก็ค่อยๆ สลายตัวเป็นจุดๆ สายรุ้งสีเงินที่มืดลงกว่าก่อนหน้านั้นก็พุ่งทะลุออกไป พริบตาเดียวก็เจาะทะลุปีกของวิหคยักษ์
วิหคยักษ์ส่งเสียงร้องอย่างเวทนา ร่างของมันสั่นสะท้าน และกระพือปีกถอยออกไปด้านหลัง
หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือในทันที และชี้นิ้วไปยังสายรุ้งสีเงิน
ทันใดนั้นสายรุ้งสีเงินก็ม้วนตัวเข้ามา และก่อตัวเป็นเงากระบี่ยักษ์ที่มีแสงสีเงินเปล่งประกาย จากนั้นก็พุ่งเข้าหาวิหคยักษ์
ภายใต้การควบคุมของชายฉกรรจ์ผมแดง วิหคยักษ์พยายามกระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง ลวดลายสีเขียวปรากฏขึ้นบนปีกของมัน พายุบ้าระห่ำก่อตัวขึ้นมาเป็นระลอกๆ และพุ่งเข้าหาสายรุ้งสีเงิน
แต่ทว่าสายรุ้งกลับเปล่งแสงสว่างออกมา และพุ่งทะลุพายุบ้าระห่ำราวกับไม่มีอะไรมาต้านทานไว้ จากนั้นก็โจมตีลงบนหัวของวิหคยักษ์
วิหคยักษ์ร่วงลงมาพร้อมกับเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ขณะที่มันร่วงลงมานั้น ก็ค่อยๆ กลายเป็นจุดแสงสีเขียว และหายไปตามแรงลม จากนั้นก็กลายเป็นแท่งหยกสีเขียวก่อนตกลงบนพื้น
ชายฉกรรจ์ผมแดงที่อยู่ไกลๆ มีสีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ชี้ไปบนอากาศ จากนั้นกระบี่บินก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ และกลายเป็นสายรุ้งสีเงินพุ่งไปหาชายฉกรรจ์ผมแดง
ภายใต้ความตกใจ ชายฉกรรจ์ผมแดงก็พ่นโล่สีดำขนาดเล็กออกมา จากนั้นก็พ่นโลหิตเข้าใส่
โลหิตกลายเป็นหมอกโลหิตจมหายเข้าไปในนั้น ขณะเดียวกัน เขาก็ร่ายคาถาออกมา และชี้มือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ
โล่เล็กเปล่งประกายแสงออกมา ทันใดนั้นก็กลายเป็นโล่ยักษ์สีดำราวกับหมึก มีลวดลายสีเลือดปรากฏอยู่บนนั้นรำไร
“เพล้ง!”
แสงสีเงินเปล่งประกายตรงหน้า โล่ยักษ์สีดำที่ดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษสั่นไหวอย่างรุนแรง ใจกลางโล่ถูกสายรุ้งสีเงินฟันจนกลายเป็นรูเล็กๆ แต่ครู่ต่อมาหมอกโลหิตก็พวยพุ่ง พริบตาเดียวก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
สายตาหลิ่วหมิงดูเยือกเย็นขึ้นมา พอทำท่ามือกระตุ้นอีกครั้ง กระบี่สีเงินก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ และส่งเสียงดังออกมา จากนั้นก็ฟันใส่โล่สีดำอีกครั้ง
ครู่ต่อมา มีเสียงแตกหักดังขึ้น!
ลวดลายบนโล่เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็แตกกระจายออกมา
ชายฉกรรจ์ผมแดงรู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ทะลักเข้ามาได้ทันที ร่างของเขาร่นถอยออกไปหลายก้าวอย่างช่วยไม่ได้
และหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่ไกลๆ ก็พร่ามัวขึ้นมาทันที และกระพริบมาอยู่ตรงหน้าชายฉกรรจ์อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน กำปั้นที่มีไอดำลอยวนก็โจมตีออกไป
ปราณแกร่งคุ้มร่างชายฉกรรจ์ผมแดงสลายไปทันที ร่างของเขาร่นถอยออกไปหลายก้าว จากนั้นก็โซซัดโซเซกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“หยุด……หยุด……พลังจิตของสหายน่าตกใจมาก ข้าน้อยยอมแพ้” ขณะที่หลิ่วหมมิงมาปรากฏตัวตรงหน้าชายฉกรรจ์นั้น เขาก็โบกไม้โบกมือยอมแพ้ในทันที
หลิ่วหมิงได้ยินก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา จากนั้นไอดำบนมือก็สลายไป
ชายฉกรรจ์ผมแดงมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา แต่ทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาทันที ร่างของเขาระโหยโรยแรงจนถึงขีดสุด
“พรรคฉางเฟิงชนะ!”
แม่ชีชุดดำรู้สึกไม่พอใจมาก แต่ก็จำเป็นต้องประกาศออกมา
“ท่านออมมือแล้ว!”
หลิ่วหมิงกล่าวกับชายฉกรรจ์ด้วยสีหน้าสงบ จากนั้นก็หันตัวเดินไปทางพรรคฉางเฟิง
เฟิงจ้านย่อมให้กำลังใจหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเบิกบานอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์ผมแดงที่หมดพลังไปนานแล้ว ก็ถูกศิษย์นิกายวิหคสวรรค์สองสามคนพยุงออกไป ในระหว่างนั้นก็ทานโอสถรักษาอาการบาดเจ็บไปด้วย
“วันนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว สหายหลิ่วจากพรรคฉางเฟิงกับเจียหลานจากนิกายวิหคสวรรค์ ก็ผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ย่อมสูญเสียพลังไปไม่น้อย การต่อสู้รอบสุดท้ายสำคัญมาก หากวันนี้ต่อสู้อีกก็ดูไม่เป็นธรรม ข้าขอเสนอให้พรุ่งนี้ค่อยเดิมพันการต่อสู้รอบสุดท้าย ไม่ทราบทุกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?” แม่ชีชุดดำพูดว่า ‘ทุกท่าน’ แต่สายตากลับมองไปที่นักพรตแซ่สือ
…………………………………
ตอนที่ 461 การต่อสู้รอบสุดท้าย (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
หญิงแซ่เซียวเห็นเช่นนี้ ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา และไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“เช่นนี้ก็ดี” นักพรตแซ่สือคิดใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะนี้
“ในเมื่อสหายทั้งสองไม่มีข้อค้านใดๆ คืนนี้แต่ละฝ่ายต่างก็หาที่พักผ่อนกันเถอะ” แม่ชีชุดดำประกาศออกมาอย่างราบเรียบ
จากนั้นแม่ชีก็ไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ อีก นางเดินไปข้างเจียหลาน และกระซิบอะไรบางอย่างเบาๆ
เนื่องจากอยู่ไกล ทั้งยังดูเหมือนว่าแม่ชีชุดดำจะกระตุ้นชั้นจำกัดบางอย่างปิดกั้นไว้ ทำให้เฟิงจ้านและคนอื่นๆ ไม่ยินได้คำพูดที่พวกนางพูด
เห็นเพียงแค่ใบหน้าที่ดูเหมือนเต็มไปด้วยความรักและเมตตา กำลังชี้แนะอะไรบางอย่างอยู่ ทำให้หญิงสาวงดงามพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เฟิงจ้านกับนักพรตแซ่สือและคนอื่นๆ สนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อปล่อยเรือเหาะสีเงินออกมา และสั่งให้คนจำนวนหนึ่งยกเว่ยจ้งกับซินหยวนที่หมดสติอยู่ขึ้นไปบนเรือ หลังจากนั้นก็พาหลิ่วหมิงกับเฟิงไฉ่และคนอื่นๆ เดินไปขึ้นเรือ
เกิดเสียงดังก้องฟ้า!
เรือเหาะทะยานขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีเงินที่เปล่งประกาย และพุ่งยิงไปยังเกาะอื่นๆ ที่อยู่บริเวณหุบเขาเปลวเพลิง
ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ถูกนักพรตแซ่สือ หญิงงดงามแซ่เซียวพาขึ้นอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาของตนเอง และทะยานจากไป
พอฝูงชนไปกันหมดแล้ว แม่ชีชุดดำก็สั่งประมุขนิกายวิหคสวรรค์ให้พาคนในนิกายไปตั้งมั่นอยู่บริเวณหุบเขาเปลวเพลิง พอสะบัดแขนเสื้อ พัดขนนกสีดำก็โผล่ออกมา เมื่อโบกสะบัดอย่างไม่ใส่ใจ ลมเย็นก็กลายเป็นฉากกำบังล้อมรอบผู้คนอารามชิงสุ่ย เพื่อปิดกั้นอุณหภูมิบริเวณหุบเขาเปลวเพลิงไว้
“พวกเราไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ พักผ่อนอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว” เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ แม่ชุดดำก็สั่งอย่างราบเรียบ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงไป
“ทราบ!”
เจียหลานและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับพร้อมกัน จากนั้นก็พากันนั่งขัดสมาธิทำสมาธิ
พอคนของพรรคฉางเฟิงนั่งเรือเหาะสีเงินไปจากหุบเขาเปลวเพลิงแล้ว ก็เดินทางต่ออีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ค่อยๆ ร่อนลงบนตีนยอดเขาที่ดูไม่เตะตาลูกหนึ่ง
ทางเดินเล็กๆ ที่ทอดยาวตามภูเขา มีหินกรวดสีแดงอยู่ทั้งสองด้าน และคดเคี้ยวไปด้านหน้า ตรงจุดสิ้นสุดมีปากถ้ำอยู่รำไร
หลังจากที่ฝูงชนเข้าไปในถ้ำแล้ว ก็ค้นพบว่ามันมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีพื้นที่ไม่กี่หมู่เท่านั้น และรอบด้านต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยหินย้อยสีน้ำตาลมันวาว รูปทรงแปลกประหลาดยิ่งนัก
ตรงส่วนลึกของถ้ำยังมีโพรงจำนวนมาก ราวกับว่าเป็นถ้ำที่พักของผู้ฝึกฝนที่ถูกละทิ้งไว้ ดูเหมือนว่าจะรองรับคนสิบกว่าคนของพรรคฉางเฟิงได้อย่างเหลือเฟือ
ดูเหมือนเฟิงจ้านจะค่อนข้างพอใจกับสิ่งนี้ พอโบกมือข้างหนึ่ง ธงเล็กสิบกว่าอันก็พุ่งยิงออกไป หลังจากวางค่ายกลง่ายๆ ไว้หน้าปากถ้ำแล้ว ก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันพักผ่อน
……
หนึ่งชั่วยามต่อมา
ภายในโพรงแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในถ้ำที่คนของพรรคฉางเฟิงพักอาศัยอยู่ เว่ยจ้งกำลังนอนอยู่บนก้อนหินสีดำขนาดใหญ่ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น ใบหน้ายังคงแสดงความเจ็บปวดออกมาตลอดเวลา ประจักษ์ชัดว่าจิตรับรู้ยังคงหลงอยู่ในวิชาละเมอฝัน จนไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้
และขณะเดียวกัน ภายในโพรงเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง มีชายสอง หญิงหนึ่งอยู่ในนั้น
ชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิ ดูเหมือนกำลังเข้าฌานอยู่
และหญิงสาวกลับสวมชุดหลากสีสัน รูปร่างอรชร ใบหน้างดงาม ขณะนี้กำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่
พวกเขาก็คือหลิ่วหมิงกับซินหยวน และเฟิงไฉ่ที่เป็นบุตรสาวของประมุขพรรคฉางเฟิงนั่นเอง!
เนื่องจากซินหยวนได้รับผลกระทบของวิชาละเมอฝันไม่มาก จึงฟื้นขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ และกำลังจ้องมองคนทั้งสองที่กำลังสนทนาอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
วันนี้เฟิงไฉ่เห็นหลิ่วหมิงต่อสู้จนศัตรูแข็งแกร่งพ่ายแพ้ติดต่อกันถึงสามครั้ง ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกสนใจหลิ่วหมิงขึ้นมา แม้ก่อนหน้านั้นจะรู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนอิสระคนหนึ่ง และยังเคยสอบถามที่มาของเขากับเฟิงจ้านมาแล้ว แต่นางก็ยังมาหาหลิ่วหมิงทั้งสองถึงที่ และสนทนาพาทีกับพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ
“วันนี้พี่หลิ่วแสดงอานุภาพได้น่าตกใจมาก! ดูท่าสีหน้าของเหล่าพันธมิตรจินอวี้คงดูไม่ได้เป็นอย่างมาก! ใช่สิ! วิชากระบี่ของพี่หลิ่วก็มีอานุภาพน่าตกใจ ไม่ทราบว่าฝึกมาจากสำนักใด?” หญิงชุดหลากสีจ้องมองหลิ่วหมิง และสอบถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“แม่นางเฟิง ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกฝนอิสระคนหนึ่งเท่านั้น วิชาขี่กระบี่ก็เพียงแค่ได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือโดยบังเอิญ จึงเรียนมาเพียงผิวเผิน ไม่คู่ควรแก่การพูดถึง” พอเผชิญหน้ากับคำถามของหญิงสาว หลิ่วหมิงก็จ้องมองนางทีหนึ่ง และตอบด้วยสีหน้าสงบ
“แค่เพียงผิวเผินก็มีอานุภาพน่าตกใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังทำให้พันธมิตรจินอวี้ผู้นั้นแสดงวิชาอสรพิษหยกออกมา ท่านพ่อบอกว่า แม้เด็กคนนั้นจะมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่มีพลังแข็งแกร่งมาก เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากในระดับของเหลวขั้นกลางด้วยกัน ยอดฝีมือที่พี่หลิ่วกล่าวถึง จะต้องมีระดับการฝึกฝนสูงมาก ไม่ทราบว่าพอจะมีโอกาสแนะนำให้ข้าได้บ้างหรือไม่?” หญิงสาวชุดหลากสียังคงพูดคุยไม่หยุด และร่างของนางก็เข้าใกล้ยิ่งกว่าเดิม
“เฮ้อ! ยอดฝีมือผู้นั้นไปมาไร้ร่องรอย ข้าเองก็มีวาสนาพบเจอไม่กี่ครั้งเท่านั้น ใช่สิ! พี่ซิน ท่านฟื้นแล้ว ร่างกายมีอะไรผิดปกติหรือไม่?” ขณะที่พูด หลิ่วหมิงก็หันไปถามซินหยวนที่อยู่ด้านข้าง
“ข้าได้รับผลกระทบจากวิชาละเมอฝันไม่ค่อยมาก ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” ตอนแรกซินหยวนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็รับรู้ได้ในทันที จากนั้นก็ตอบกลับไป
“วันนี้ลำบากสหายซินแล้ว! เฟิงไฉ่ได้ยินก็หันมากล่าวกับซินหยวนด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณแม่นางเฟิงที่ห่วงใย น่าเสียดายที่ความสามารถของข้าสู้ผู้อื่นมิได้ วิชาละเมอฝันของหญิงสาวนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้นร้ายกาจมาก บวกกับพลังพุทธะยิ่งทำให้ทำลายยากขึ้นไปใหญ่ ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก” ซินหยวนนึกถึงศึกที่ต่อสู้กับเจียหลาน จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่ซินอย่าโทษตัวเองนักเลย หญิงสาวนิกายวิหคสวรรค์มีฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ แม้แต่ศิษย์พี่เว่ยของข้า ก็โดนวิชาละเมอฝันของนางจนสลบไสล ขณะนี้พี่ซินฟื้นขึ้นมาแล้ว ดูท่าคงจะมีพลังเวทหนาแน่นกว่าเขามาก” เฟิงไฉ่หันมามองซินหยวน และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูปลอบใจ
ซินหยวนได้ยินก็หัวเราะอย่างขมขื่น และไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี
“พี่หลิ่ว ได้ยินว่าท่านกับพี่ซินต่างก็ไม่ใช่คนในเขตทะเลหนานไห่ พวกท่านมาจากที่ใดกันแน่ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?” พอเฟิงไฉ่เห็นว่าซินหยวนไม่ตอบ นางก็กระพริบตาปริบๆ แล้วหันมาถามหลิ่วหมิง
“ข้ากับซินหยวนมากจากสถานที่เล็กๆ ที่มีชื่อว่าทะเลชังไห่ เทียบกับแผ่นดินจงเทียนแล้ว นับว่าอยู่ห่างไกลมาก” หลิ่วหมิงตอบออกมา
“ทะเลชังไห่……ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน ทางนั้นก็เป็นเหมือนกับทะเลหนานไห่ของเราหรือ?” เฟิงไฉ่ได้ยินก็แสดงสีหน้าครุ่นคิด
ในที่สุดหลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าจนปัญญาออกมา หลังจากมองดูซินหยวนที่จ้องมองตนเองด้วยรอยยิ้มแปลกๆ แล้ว ก็พูดถึงแผ่นดินอวิ๋นชวนให้นางฟังอย่างคลุมเครือ ในนั้นมีเรื่องจริงบ้างเท็จบ้าง ส่วนเรื่องสำคัญเขาย่อมไม่พูดออกมาแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม เฟิงไฉ่ก็กล่าวลาหลิ่วหมิงทั้งสองในที่สุด
…..
ตอนดึกคืนนั้น หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูสภาพร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์ที่สุด เพื่อเตรียมต่อสู้กับเจียหลานในวันพรุ่งนี้
ด้วยเหตุที่ว่าอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย เขาย่อมไม่กล้านำจิตเข้าฌานทั้งหมด แต่กลับใช้หนึ่งจิตสองพลังปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกมาพร้อมกัน ด้านหนึ่งใช้โคจรพลัง อีกด้านหนึ่งคอยระแวดระวังสถานการณ์ภายนอกโพรง
ทันใดนั้น เปลือกตาของเขาค่อยๆ ขยับตัว เขารับรู้ได้อย่างลางๆ ว่าโพรงที่อยู่ด้านข้างมีการเคลื่อนไหวบางอย่างที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน จากนั้นก็มีเงาดำพุ่งออกมา และจากไปอย่างไร้สุ้มเสียง
กลิ่นไอบนตัวเขาปรากฏขาดๆ หายๆ หากหลิ่วหมิงไม่ใช้หนึ่งจิตสองพลัง เกรงว่าคงไม่อาจค้นพบได้ และผู้ที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ก็มีแค่เฟิงจ้านที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกเท่านั้น
หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา แม้จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่หลังจากคิดไปคิดมาแล้ว ก็นั่งพักผ่อนต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เช้าวันที่สอง
ขณะที่หลิ่วหมิงกับซินหยวนเดินออกมาจากถ้ำ ก็ค้นพบว่าเฟิงจ้านได้เอามือไขว้หลัง และยืนรออยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าปกติแล้ว
และในขณะเดียวกัน ศิษย์ในพรรคที่มาพร้อมกัน ก็ทยอยกันเดินออกมา
“สหายหลิ่ว เมื่อคืนพักผ่อนสบายดีใช่ไหม ศึกในวันนี้ต้องพึ่งสหายหลิ่วแล้ว” พอเห็นหลิ่วหมิงทั้งสองเดินมา เฟิงจ้านก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ข้าน้อยจะพยายามอย่างสุดความสามารถ!” หลิ่วหมิงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
เฟิงจ้านเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าพอใจออกมา ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อปล่อยเรือเหาะสีเงินออกมา และพาผู้คนขึ้นไปบนนั้น
จากนั้นเรือเหาะก็ทะยานขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีเงินที่ห่อหุ้ม และพุ่งไปยังหุบเขาเปลวเพลิง
บนเรือเหาะ หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูผู้คนที่อยู่บนนั้น แต่กลับค้นพบว่า ขณะนี้เว่ยจ้งที่สลบไสลไม่ได้สติ ได้หายไปอย่างน่าประหลาดใจ
และเฟิงไฉ่ก็หายไปพร้อมกันด้วย
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร จึงไม่ถามอะไรมาก
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
ขณะที่เรือเหาะของพรรคฉางเฟิงปรากฏตัวเหนือหุบเขาเปลวเพลิงนั้น ทุกคนก็ค้นพบว่าหุบเขาเปลวเพลิงในขณะนี้ นอกจากอารามชิงสุ่ย นิกายวิหคสวรรค์ นักพรตแซ่สือจากอารามจื่อเซียว และคนอื่นๆ แล้ว หญิงงดงามแซ่เซียวกับคนพันธมิตรจินอวี้ก็อยู่ที่นี่ด้วย
หลังจากหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ลงจากเรือเหาะไปแล้ว กลุ่มอิทธิพลทั้งสามก็มารวมตัวกันอีกครั้ง
แม่ชีชุดดำทำเป็นไม่ได้ตั้งใจมองไปยังหญิงงดงามแซ่เซียวใบหน้าเยือกเย็นที่ยืนเงียบอยู่ไกลๆ ทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดกับนักพรตแซ่สืออย่างนอบน้อมสองสามประโยค และให้คนอื่นๆ นอกจากหลิ่วหมิงกับเจียหลานไปหาที่ตั้งมั่นเอาเอง เพื่อเหลือพื้นที่ตรงกลางไว้ทำการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
“เอาล่ะ! เดิมพันการต่อสู้รอบสุดท้ายเริ่มขึ้นได้แล้ว!” แม่ชีชุดดำกระแอมไอออกมาเบาๆ แล้วประกาศออกมา
จากนั้นนักพรตแซ่สือก็ปล่อยธงค่ายกลสร้างเขตการต่อสู้ไว้
หลิ่วหมิงกับเจียหลานเดินเข้าไปกลางค่ายกล ท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คนที่อยู่ในหุบเขา และยืนจ้องกันจากที่ไกลๆ
ดูเหมือนเจียหลานยังคงจำหลิ่วหมิงไม่ได้ แต่หลังจากที่เมื่อวานได้เห็นพลังอันรุนแรงของหลิ่วหมิงแล้ว นางก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมาเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้ พอเข้ามาถึงนางก็ร่ายคาถาทันที นิ้วเรียวทั้งสิบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แสงสีม่วงเปล่งประกายในดวงตาไม่หยุด ครู่เดียวก็มีเงาร่างปรากฏขึ้นตรงหน้า และลอยออกไปหาหลิ่วหมิงเป็นระลอกๆ
ต่อมานางก็พลิกฝ่ามือขึ้น ลูกประคำสีทองที่เคยแสดงอานุภาพหลายครั้งในก่อนหน้าปรากฏขึ้นในมือ พอโยนออกไป มันก็หมุนติ้วๆ อยู่เหนือศีรษะ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หลับตาลงทันทีราวกับได้เตรียมการไว้ก่อนแล้ว ด้านหนึ่งปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปปกป้องทะเลจิตรับรู้ไว้ อีกด้านหนึ่งก็สะบัดแขนเสื้อปล่อยทรายทองคำร่วงออกมาปกคลุมเต็มฟ้า และภายใต้การกระตุ้นด้วยท่ามือ หอกยาวสีทองที่ยาวหลายจั้งก็ก่อตัวขึ้นมา และพุ่งไปทางเจียหลาน
ตอนที่ 462 การต่อสู้รอบสุดท้าย (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฟิ้ว!” หอกยาวพุ่งผ่านอากาศ!
หัวหอกแผ่ไอเย็นสะท้านอันน่าตกใจออกมา มันดูแหลมคมเป็นอย่างมาก จากนั้นก็แทงลงบนม่านแสงห้าสีของเจียหลานอย่างรุนแรง
ม่านแสงสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีทีท่าจะไม่มั่นคงขึ้นมา
เจียหลานรู้สึกตกใจเล็กน้อย นางรีบทำท่ามือด้วยมือเดียว และปล่อยพลังเวทใส่ม่านแสงทันที
แสงห้าสีหมุนวนอยู่บนม่านแสงชั่วขณะหนึ่ง พริบตาเดียวก็สงบขึ้นมา และดีดหอกยาวสีทองจนกระเด็นกลับไป
อีกด้านหนึ่ง บริเวณรอบๆ ตัวหลิ่วหมิงมีเงาร่างจำนวนมากก่อกวนอยู่ เขารู้สึกแค่ว่าศีรษะหนักอึ้ง ทันใดนั้นจิตรับรู้ก็เริ่มง่วงเล็กน้อย แม้ว่าจะทำการป้องกันไว้ก่อนแล้ว แต่ท่ามือก็เริ่มคลายลง เขาเกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่าย แม้แต่นิ้วก็ไม่ยอมขยับ และยิ้มแปลกๆ ออกมา
ซินหยวนเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
วิชามายาที่นางแสดงออกมา เทียบกับที่ต่อสู้กับเขาเมื่อวานแล้ว มันรุนแรงกว่ามาก ตอนนี้เขารู้สึกว่าตนเองโชคดีกว่ามาก สายตาที่มองไปยังหลิ่วหมิงก็เต็มไปด้วยความเห็นใจ
เฟิงจ้านที่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกล กลับไม่แสดงสีหน้าร้อนใจออกมา แต่สายตากลับมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย
หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ทันใดนั้นก็กัดลิ้นในทันที ทำให้ตนเองได้สติกลับมาอีกครั้ง และพอพลิกฝ่ามือ โซ่เล็กๆ สีเงินขนาดชุ่นกว่าๆ ที่มีลวดลายประทับอยู่ก็ปรากฏออกมา
มันคือโซ่ตรวนสะกดวิญญาณนั่นเอง!
ภายใต้การกระตุ้นพลังเวท ลวดลายบนโซ่เล็กๆ ก็สว่างขึ้น และส่งเสียงดังออกมา จากนั้นก็มีอักขระปรากฏออกมาหนึ่งตัว และจมหายเข้าไปในร่างอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นเฉียบภายในร่าง จากนั้นมันก็รวมตัวเป็นกระแสลมเย็นไหลรินไปในทะเลจิตรับรู้ ทำให้เขาสะดุ้งโหยงไปทั้งตัว ดวงตากลับมาแจ่มใสเป็นปกติ
โซ่ตรวนสะกดวิญญาณนี้ควบคุมวิชาละเมอฝันได้ดีเกินความคาดหมายยิ่งนัก!
หลิ่วหมิงกวักมือด้วยความดีใจ หอกยาวสีทองที่พุ่งกลับมากลายเป็นเม็ดทรายลอยวนอยู่ตรงหน้า
เจียหลานกระตุ้นท่ามือติดต่อกัน แต่กลับค้นพบว่าไม่สามารถกระตุ้นเงาร่างให้สั่นสะเทือนจิตรับรู้หลิ่วหมิงได้เลยแม้แต่น้อย นางจึงรู้สึกแปลกใจมาก
นางชี้มือข้างหนึ่งไปทางหลิ่วหมิงทันที จากนั้นลูกประคำสีทองก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีทองพุ่งยิงออกไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ยกมือทั้งสองขึ้นบนอากาศ และปล่อยพลังออกไป
ภายใต้การรวมตัวของทรายทองคำ มือยักษ์ขนาดใหญ่ข้างหนึ่งก็พุ่งออกไป และปะทะลงบนลูกประคำ
“ตู๊ม!”
แสงห้าสีบนลูกประคำหมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะต้านทานกำปั้นยักษ์สีทองไว้ได้
ทั้งสองหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ดูเหมือนว่ามันจะร้ายกาจพอๆ กัน
เจียหลานเปลี่ยนท่ามือในทันที และชี้ไปบนอากาศอีกครั้ง
ลูกประคำพร่ามัวหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา จุดแสงสีทองเปล่งประกายเหนือศีรษะหลิ่วหมิง และลูกประคำก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง เพียงแค่มันม้วนตัว ก็กลายเป็นแสงสีทองปกคลุมหลิ่วหมิงไว้
เหตุเกิดอย่างฉับพลันจนหลิ่วหมิงไม่ทันได้ตั้งตัว เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามีพลังกดดันไร้รูปปกคลุมไปทั่งร่าง ค่ายกลอักขระสีทองปรากฏอยู่ใต้เท้ารำไร อักขระสีทองแต่ละตัวโผล่ออกมาจากในนั้น และหมุนวนขึ้นมาตามเสียงภาษาสันสกฤต ทำให้เขารู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมา
“แย่แล้ว!”
หลิ่วหมิงหลุดปากออกมา จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทควบคุมกำปั้นยักษ์ที่กลายร่างมาจากทรายทองคำให้หมุนวนหนึ่งรอบ และโจมตีลงบนค่ายกลสีทองที่อยู่ด้านล่างอย่างบ้าคลั่ง
ขณะเดียวกัน ไอหมอกดำก็พุ่งออกจากร่าง และแยกตัวเป็นสองสาย สายหนึ่งกลายเป็นมังกรดำ อีกสายหนึ่งกลายเป็นพยัคฆ์ดำ
ทั้งสองหมุนวนรอบหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มหมุนวนรอบตัวเขา
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็คว้ามือทั้งสองไปกลางอากาศ ทันใดนั้นไอดำสองกลุ่มก็หมุนวนออกไป และต่างก็กลายเป็นมุกกลมๆ ซึ่งก็คือมุกพลังวารีสองเม็ดนั้นเอง
เขาเพียงแค่ฝ่าถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน มุกพลังวารีทั้งสองก็รวมเป็นหนึ่ง และกำมันไว้แน่น จากนั้นก็โจมตีไปยังม่านแสงสีทอง
เสียงมังกรคำรามดังก้องขอบฟ้า ทำให้พื้นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ฝูงชนที่อยู่ในหุบเขาเพียงแค่รู้สึกว่าใบหูสั่นสะเทือน และมองเห็นเงามังกรดำคาบมุกกลมๆ สีดำเม็ดหนึ่งพุ่งออกจากค่ายกล หลังจากค่ายกลที่กลายร่างมาจากลูกประคำ ถูกกำปั้นยักษ์สีทอง และเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่มีมุกพลังวารีคอยช่วยโจมตี มันก็พังทลายลงมา
จากนั้นเงาร่างมนุษย์ที่มีไอดำลอยวน ก็ปรากฏออกมาท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังกึกก้อง และพุ่งเข้าหาเจียหลาน
และในระหว่างทาง เงามังกรดำก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ และพุ่งกลับมารวมเป็นหนึ่งกับเงาร่างมนุษย์
ภายใต้ความตกใจ เจียหลานพุ่งถอยออกไปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเงาร่างพร่ามัวจำนวนมาก
หลิ่วหมิงที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็ปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไป ภายใต้การเพิ่มพลังของโซ่ตรวนสะกดวิญญาณ ทำให้มันค้นหาตำแหน่งร่างที่แท้จริงของเจียหลานได้อย่างรวดเร็ว
เพียงแค่อึดใจเดียว ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าร่างที่แท้จริงของเจียหลาน และปล่อยกำปั้นข้างหนึ่งออกไป
ดูเหมือนเจียหลานจะเตรียมการป้องกันไว้ก่อนแล้ว พอนางชี้ไปทางหลิ่วหมิง ลูกประคำสีทองเส้นนั้นก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของหลิ่วหมิงอย่างน่าประหลาดใจ และร่วงลงมาห่อหุ้มหลิ่วหมิงไว้อย่างรวดเร็ว
พอมองดูอย่างละเอียด บนผิวลูกประคำมีรอยแตกร้าวอยู่!
คิดว่าการโจมตีอย่างรุนแรงในก่อนหน้านั้น คงทำให้อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้เกิดความเสียหายขึ้นมา
“เก็บ!”
เจียหลานชี้มือออกไปอีกครั้ง ลูกประคำสีทองเปล่งประกาย แต่ร่างหลิ่วหมิงกลับพร่ามัวและแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ที่แท้ก็เป็นแค่เงาร่างเท่านั้น
สีหน้าเจียหลานเปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นก็รู้สึกหนักตรงไหล่ ฝ่ามือที่ถูกปกคลุมด้วยไอดำกดอยู่บนไหล่อย่างไร้สุ้มเสียง
นางรีบทำท่าหลบด้วยความตกใจ มีเสียงดัง “ฟู่!” บนไหล่ จากนั้นคลื่นสั่นสะเทือนอันน่าตกใจก็ก่อตัวเป็นชั้นจำกัด และควบคุมร่างของนางไว้
ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงมาปรากฏตัวตรงหน้าของนางอย่างน่าประหลาดใจ
เจียหลานย่อมทั้งตกใจทั้งโมโห นางทำท่ามืออย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่สามารถกระตุ้นพลังเวทได้เลยแม้แต่น้อย
พอหลิ่วหมิงดีดนิ้วออกไป ก็มีวิชาบางอย่างจมเข้าไปในร่างเจียหลาน
ขณะนี้ นางไม่สามารถกระตุ้นพลังเวทได้เลยแม้แต่น้อย
“สหายมากความสามารถจริงๆ การต่อสู้ในครั้งนี้ข้ายอมแพ้แล้ว” พอเจียหลานเห็นว่าตนเองพ่ายแพ้แล้ว ก็เอ่ยปากยอมรับแต่โดยดี สีหน้านางกลับมาสงบอีกครั้ง
หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมา พอมือข้างหนึ่งพร่ามัว ก็มีวิชากระพริบผ่านไปปลดชั้นจำกัดบนร่างของนาง จากนั้นก็โบกมือเรียกทรายทองคำร่วงกลับเข้ามาในแขนเสื้อ
เจียหลานมองดูหลิ่วหมิงตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปจากค่ายกล และตรงไปยังอารามชิงสุ่ยทันที
ประจักษ์ชัดว่าชัยชนะของหลิ่วหมิง เหนือความคาดหมายของผู้คนจำนวนมาก
แม่ชีชุดดำไม่ได้ประกาศผลเดิมพันการต่อสู้ออกมา แต่กลับประนมมือสวดมนต์เบาๆ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปมาอยู่ไม่หยุด
นักพรตแซ่สือขมวดคิ้วจ้องมองหลิ่วหมิง และแสดงสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ภาพมังกรพยัคฆ์ทมิฬที่พุ่งออกจากตัวหลิ่วหมิง และโจมตีค่ายกลแสงพุทธะในเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเขาจะเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน แต่กลับนึกไม่ออก
หญิงงดงามแซ่เซียวจากหอเทียนเซียง ก็เผยรอยยิ้มอันเยือกเย็นออกมา และยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
ทูตของกลุ่มอิทธิพลทั้งสามต่างก็ไม่ได้เอ่ยปากออกมา ผู้คนที่รับชมการต่อสู้อยู่รอบๆ ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ และแสดงสีหน้าต่างๆ ออกมา ชั่วเวลานั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย
ทั่วทั้งลานต่อสู้เงียบเหงาไปชั่วขณะหนึ่ง
ส่วนเฟิงจ้านย่อมดีใจอย่างถึงขีดสุด!
ตู๋กูอวี้ก็จ้องมองเฟิงจ้านด้วยความเคียดแค้น
สำหรับเขาแล้ว ยอมให้เจียหลานที่เป็นตัวแทนของนิกายวิหคสวรรค์ชนะ ยังดีกว่าให้เจ้าเฒ่าแห่งพรรคฉางเฟิงผู้นี้ชนะ เพราะว่านิกายวิหคสวรรค์ไม่ได้มีความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์กับพันธมิตรจินอวี้มากนัก
และหากครั้งนี้พรรคฉางเฟิงได้สายแร่หินหยกกับพื้นที่หนึ่งในสามของสองกลุ่มอิทธิพลไปจริงๆ ล่ะก็ อิทธิพลของพรรคฉางเฟิงก็จะขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พันธมิตรจินอวี้จะยังสามารถรักษาไว้ได้หรือไม่ ก็ยังไม่อาจพูดได้
“ดีมาก! ในเมื่อรู้ผลชนะของเดิมพันการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว ตามกฎในก่อนหน้า คิดว่าทุกท่านคงไม่มีข้อคัดค้านใดๆ หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้าจะขอประกาศ……” นักพรตแซ่สือเก็บความสงสัยไว้ และพอเห็นว่าแม่ชีชุดดำยังไม่กล่าวอะไรออกมา เขาก็กระแอมไอเบาๆ และเตรียมประกาศผล
“ข้ามีข้อคัดค้าน เกรงว่าสายแร่หินหยกแห่งนี้ กลุ่มอิทธิพลของท่านคงไม่อาจรับไปได้โดยลำพัง” นักพรตแซ่สือกล่าวยังไม่ทันจบ ก็มีน้ำเสียงราบเรียบดังออกมากลางอากาศ ราวกับว่ากระซิบอยู่ข้างหูทุกคนเบาๆ
“ใครกัน?” นักพรตแซ่สือได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก แต่ก็ตะโกนออกไปทันที
ก่อนหน้านั้นอารามจื่อเซียวไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย จนเฟิงจ้านกลับมาได้ระยะหนึ่ง อารามจื่อเซียวถึงได้ทุ่มกำลังไปสืบหาการดำรงอยู่ของสายแร่หินหยกจนกระจ่าง
ด้วยเหตุนี้ก่อนออกเดินทาง เทียนกวงจื่อได้กำชับเขาให้ช่วงชิงสายแร่แห่งนี้มาให้ได้
ตอนนี้ศิษย์นิกายห้าวิญญาณอย่างเว่ยจ้งได้พ่ายแพ้ไปแล้ว แต่หลิ่วหมิงกลับเอาชนะได้ในตอนท้าย สิ่งนี้ย่อมเป็นโอกาสดีที่อารามจื่อเซียวจะยื่นมือเข้ามา
แต่เขากลับได้ยินน้ำเสียงแปลกๆ กล่าวออกมาเช่นนี้ ย่อมรู้สึกโมโหอย่างถึงขีดสุด
มีเสียงหัวเราะดังเข้ามา!
คลื่นก่อตัวขึ้นบนอากาศเหนือศีรษะบรรดาแม่ชีอารามชิงสุ่ย จากนั้นก็มีหญิงสาวดวงตาดำขลับ ใบหน้างดงามราวกับหยก ค่อยๆ ปรากฏออกมา
นางดูมีอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปีเท่านั้น ผมยาวเคลียบ่า ชุดสีขาวโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด พอนางปรากฏออกมา ก็กวาดสายตามองผู้คนที่อยู่ตรงนั้นอย่างราบเรียบ
“คารวะอาจารย์อาอวี้ชิง!”
พอแม่ชีเมี่ยวซินเห็นนาง กลับโค้งคารวะด้วยความดีใจ ศิษย์อารามชิงสุ่ยที่อยู่ด้านหลังก็รีบคุกเข่าคารวะทันที
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็รู้สึกตกใจมาก
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกอย่างแม่ชีเมี่ยวซิน ยังต้องคารวะหญิงชุดขาวผู้นี้ แท้จริงแล้วฝ่ายตรงข้ามมีสถานะใด และมีการฝึกฝนระดับใดกันแน่?
หลิ่วหมิงยังคงอยู่กลางค่ายกล ซึ่งอยู่ใกล้กับนางมาก แต่กลับไม่ค้นพบว่ามีพลังจิตวิญญาณสั่นสะเทือนบนร่างนางเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ขณะที่นางกวาดสายตามองดูเขานั้น กลับทำให้เขารู้สึกใจเต้น และรู้สึกเหมือนกับหายใจอึดอัดแบบแปลกๆ
หญิงชุดขาวละสายตากลับมามองแม่ชีเมี่ยวซินด้วยรอยยิ้ม พอโบกแขนเสื้อ สายลมอ่อนโยนก็พัดเข้ามา และพยุงคนของอารามชิงสุ่ยขึ้น จากนั้นถึงหันมากล่าวอย่างราบเรียบ
“สหายนิกายห้าวิญญาณผู้นี้ ท่านคิดว่าคำพูดของข้าในก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น