ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 455-486

 ตอนที่ 455 เหอปี้อวิ๋นที่ปกป้องลูกของตัวเอง


ผ่านไปครู่ใหญ่เหอปี้อวิ๋นถึงจะเข้าใจความหมายของถานซูฟาง แทบจะกระอักเลือดออกมา คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าพูดว่าลูกสาวของเธอความประพฤติไม่ดี?


แถมยังพูดอีกว่าเยวี่ยเยวี่ยของเธอจะพาเหยียนหมิงต๋าออกนอกลู่นอกทาง?


ถุย!


ก็แค่เด็กโง่ๆ อย่างเหยียนหมิงต๋าคนนั้น ไหนเลยจะสู้เยวี่ยเยวี่ยของเธอได้ ตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่มีอะไรเทียบได้!


ความคิดที่เหอปี้อวิ๋นอยากจะเอาใจถานซูฟางนั้น เวลานี้หายสาบสูญไปหมด ถึงแม้ว่าจะเป็นภรรยาของนายกเทศมนตรีของเมืองนี้ ก็ไม่มีสิทธิ์มาทำให้ชื่อเสียงของลูกสาวสุดที่รักของเธอต้องแปดเปื้อนถึงบ้านได้!


“คุณหมอถานที่คุณพูดมาเนี่ยช่างน่าสนใจจริงๆ เยวี่ยเยวี่ยของฉันก็เพียงแค่ระยะนี้ถดถอยไปนิดหน่อย แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยสอบได้อันดับต่ำกว่าห้าสิบของทั้งโรงเรียน แต่หมิงต๋าเด็กคนนี้ ฉันจำได้ว่าเขาสอบครั้งที่ดีที่สุดก็ยังได้อันดับที่สองร้อยกว่าของทั้งโรงเรียนไม่ใช่เหรอ?”


เหอปี้อวิ๋นดูถูกถากถางถานซูฟางอย่างไม่ไหวหน้าเลยสักนิด หากไม่ใช่เห็นว่าเหยียนหมิงต๋ามีพ่อที่มีตำแหน่งดีๆ ละก็ เป็นนักเรียนที่อันดับแย่ๆ แบบนี้ แม้กระทั่งประตูยังจะไม่ให้เข้าเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นเพื่อนกับเยวี่ยเยวี่ยเลย


ถานซูฟางสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย คะแนนของลูกชายก็ไม่ควรค่าแก่การชมจริงๆ แต่ต่อให้แย่อย่างไรเขาก็ยังเป็นลูกสุดที่รักของเธอ เธอว่าได้คนอื่นห้ามว่า!


“อาจารย์เหอคงจะยังไม่เข้าใจประเด็นสำคัญในคำพูดของฉันสินะ ฉันพูดว่าความประพฤติ คนที่ความประพฤติไม่ดี คะแนนต่อให้ดียังไงก็ไม่มีประโยชน์ หมิงต๋าของฉันถึงแม้ว่าคะแนนจะไม่เป็นที่น่าพึงพอใจเท่าไร แต่ความประพฤติดีเลิศ แถมยังมีฉันกับพ่อของเขาคอยควบคุม วันหลังไม่มีทางทำตัวแย่แน่นอน แต่อู่เยวี่ยของเธอตอนนี้เป็นแบบนี้ จุ๊ๆๆ วันหลังฉันละกลัวว่าจะลำบากนะ!”


หากพิจารณาจากการเถียงกันแล้ว เหอปี้อวิ๋นสิบคนก็สู้ถานซูฟางคนเดียวไม่ได้ คำพูดเบาๆ ของถานซูฟางไม่กี่ประโยค พูดจนเหอปี้อวิ๋นโมโหอย่างรุนแรง อู่เยวี่ยยิ่งทนไม่ได้จนแม้กระทั่งยืนยังยืนได้ไม่มั่นคง


อู่เหมยมองดูความวุ่นวายตรงหน้าพลางกลั้นหัวเราะอย่างสุดชีวิต ถึงแม้ว่าเธอจะเกลียดถานซูฟาง แต่พลังการต่อสู้ของผู้หญิงคนนี้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ ดูจากที่เธอพูดคำพูดพวกนี้ จุ๊ๆๆ ตอนดึกอู่เยวี่ยจะต้องฝันร้ายอีกแน่นอน!


ถานซูฟางมองเหอปี้อวิ๋นที่หอบหายใจหนัก ตลอดจนอู่เยวี่ยที่น้ำตาไหลไม่หยุด ความโมโหที่กลั้นเอาไว้ทั้งวันก็ลดลงไปได้หน่อย


“ถ้าอาจารย์เหอมีเวลามาทะเลาะกับฉัน ไม่สู้เอาเวลาไปใส่ใจอบรมสั่งสอนลูกสาวให้มากหน่อยล่ะ อายุยังน้อยอย่ามีจิตใจที่มุ่งหวังมากจนเกินไป มิน่าล่ะคะแนนถึงได้ยิ่งแย่ลงทุกที จิตใจที่เอาแต่มุ่งหวังไปในทางที่คดโกงทุจริต คะแนนไม่ถดถอยสิถึงจะแปลก!”


คำพูดของถานซูฟางคมอย่างกับมีด ทำให้เหอปี้อวิ๋นเสียสติและไม่มีเหตุผลอีกต่อไป บวกกับระยะนี้เธอโดนกดขี่ อยากจะหาที่ระบายพอดี ตอนนี้ถานซูฟางมาถึงที่ด้วยตัวเอง ใครที่ไหนจะอดทนไหว


“ถานซูฟางเธอยังอยากจะมีหน้าอยู่ไหม คะแนนลูกชายของตัวเองแย่อย่างกับขี้ ยังมีจะมีหน้ามาพูดว่าคะแนนของลูกสาวฉันไม่ดี? ถ้าฉันมีลูกลูกชายที่คะแนนแย่ขนาดนั้น ออกจากบ้านฉันคงต้องใส่ผ้าปิดปาก ไม่มีหน้าจะไปพบเจอคนอื่นหรอก!”


“ช่างตลกจริงๆ เยวี่ยเยวี่ยของฉันไม่รังเกียจลูกชายโง่ๆ คนนั้นของคุณ แถมยังเป็นเพื่อนกับเขา แต่คุณยังมีหน้ามารังเกียจเยวี่ยเยวี่ยของฉัน? ถานซูฟางสมองของคุณคงโดนประตูหนีบล่ะสิ วันหลังคุณก็ควรใช้ความคิดจิตใจอบรมสั่งสอนลูกชายโง่ๆ ของคุณให้มากๆ อย่ามาหน้าด้านพัวพันเยวี่ยเยวี่ยของฉันทั้งวัน ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าที่คะแนนของลูกสาวฉันถดถอยเป็นเพราะได้รับผลกระทบมาจากลูกชายเธอหรือเปล่า!”


เหอปี้อวิ๋นที่โมโหเดือดดาลอย่างไม่มีอะไรเทียบเทียมได้ก็สู้อย่างเต็มที่ เอาท่าทางด่ากราดของคุณแม่เหอมาใช้ ทำเอาถานซูฟางคนที่มีการศึกษามีวัฒนธรรมแม้กระทั่งโอกาสที่จะเปิดปากยังไม่มี ทั้งยังหน้าเขียวเหมือนกับคนท้องผูกอย่างไรอย่างนั้น


อู่เจิ้งซือที่กำลังตระเตรียมแผนการสอนอยู่ในห้องได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวข้างนอกก็เดินออกมา ตกใจเป็นอย่างมาก เห็นเหอปี้อวิ๋นกำลังจะลงมือตบตีกับถานซูฟางแล้ว


“เหอปี้อวิ๋นรีบหยุดเดี๋ยวนี้นะ คุณเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก!”


อู่เจิ้งซือวิ่งกระหืดกระหอบไปดึงเหอปี้อวิ๋นที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟันให้หยุด รู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก


…………………………………………..


ตอนที่ 456 มองหมากัดกัน


เหอปี้อวิ๋นเวลานี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าบิดเบี้ยว ปากก็พ่นคำหยาบคาย ท่าทางเป็นผู้หญิงที่ปากคอเราะร้ายเป็นอย่างมาก อู่เจิ้งซือได้เห็นก็รู้สึกรังเกียจสะอิดสะเอียน เขาแอบรู้สึกเสียใจที่มองไม่ออกถึงใบหน้าที่แท้จริงของเหอปี้อวิ๋นในตอนแรก


“เหอปี้อวิ๋นหยุด!”


เหอปี้อวิ๋นไม่ได้ยินคำพูดของอู่เจิ้งซือ ร้องตะโกนว่าจะฉีกปากของถานซูฟาง ถานซูฟางคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนมีอารยธรรม ไหนเลยจะเคยเจอท่าทางทะเลาะวิวาทของผู้หญิงปากคอเราะร้ายแบบนี้ ทั้งโมโหทั้งกลัว กลัวจริงๆ ว่าเหอปี้อวิ๋นจะตีตัวเธอ จึงรีบร้อนไปหลบซ่อนอยู่ด้านหลังของอู่เจิ้งซือ


“ถานซูฟาง นังคนน่ารังเกียจหน้าไม่อาย คิดว่ามีใครบ้างที่ไม่รู้เรื่องอื้อฉาวของแก เมียหลวงของอธิบดีเหยียนยังนอนอยู่บนเตียง แกก็แต่งตัวงดงามเฉิดไฉไลมาสมคบคิดกับอธิบดีเหยียน ถุย! นังจิ้งจอกหน้าไม่อายน่ารังเกียจ ยังจะมีหน้ามาว่าลูกสาวของฉันอีก ล้างตูดตัวเองให้สะอาดก่อนเถอะ!”


เหอปี้อวิ๋นตาแดงก่ำ เอาเรื่องราวความเป็นชู้รักของถานซูฟางเมื่อปีนั้นเปิดโปงออกมาอย่างกับปืนกล เพื่อนบ้านซ้ายขวาได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอก ยังคิดว่าเป็นอู่เจิ้งซือสามีภรรยาทะเลากันขึ้นมาอีกแล้ว จึงรีบวิ่งออกมาดูความวุ่นวาย


พอถึงสิ่งที่ได้เห็นกลับเป็นภรรยาของอธิบดีเหยียนกับเหอปี้อวิ๋นทะเลาะวิวาทกัน ต่างก็มีชีวิตชีวาฮึกเหิมขึ้นมาทันที รวมตัวกันอยู่หน้าประตูบ้านอู่ไม่ยอมไปไหน ในไม่ช้า คนมารวมตัวกันยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ ข้างในสามกลุ่มข้างนอกสามกลุ่ม น่าสนใจกว่าดูหนังเสียอีก


ทั้งชีวิตของถานซูฟาง สิ่งที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือเรื่องในอดีตของเธอและเหยียนโฮ่วเต๋อเรื่องนั้น ถึงแม้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเธอจะคิดว่าแม่ของเหยียนหมิงซุ่นคือนังสารเลวไร้ยางอาย ทำลายความรักของเธอกับเหยียนโฮ่วเต๋อ แต่ความจริงก็คือเธอเป็นภรรยาคนที่สองของเหยียนโฮ่วเต๋อ


ไม่ว่าอย่างไร ในสายตาของคนอื่น เธอก็เป็นคนมาทีหลัง พูดอย่างไม่น่าฟังก็คือมือที่สามที่เข้ามาทำลายชีวิตครอบครัวของสามีภรรยาคนอื่น!


อีกทั้งถานซูฟางก็หวาดผวาจริงๆ เพราะว่าที่เหอปี้อวิ๋นพูดมาไม่ผิด ตลอดเวลาเธอกับเหยียนโฮ่วเต๋อไม่เคยตัดขาดกัน อีกทั้งยัง…


“เหอปี้อวิ๋นแกพูดจาไร้สาระอะไร ฉันกับคุณเหยียนบริสุทธิ์ใจ ไม่สิ ต่อให้ไปที่ไหนก็สามารถปักหลักมั่น แกดูแลลูกสาวของตัวเองให้ดีก่อนเถอะ วันหลังอย่าเอาแต่มาพัวพันกับหมิงต๋าของฉัน!”


ถานซูฟางหน้าเขียวด้วยความโมโห ไม่สนใจที่จะรักษากิริยาท่าทางอีก ด่ากันอย่างรุนแรง อู่เยวี่ยหน้าขาวซีด ร่างกายโอนเอนหรือโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่


“ความสัมพันธ์ของหนูกับหมิงต๋าเป็นแค่เพื่อนักเรียนกันธรรมดา คุณน้าถาน คุณอย่ามาทำลายชื่อเสียงของหนูนะคะ”


อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากอย่างรุนแรง อดทนเก็บความอับอายแล้วแก้ต่าง


ถานซูฟางยิ้มเยาะว่า “งั้นเธอก็จำคำพูดตัวเองไว้ให้ดี วันหลังก็อยู่ให้ห่างหมิงต๋าหน่อย!”


อู่เยวี่ยตัวสั่นแล้วสั่นอีก แทบจะกระอักเลือดออกมา ตรงหน้ากลายเป็นสีดำอยู่พักหนึ่ง เธออดทนต่อความโมโหอย่างรุนแรง กัดฟันพูดทีละคำทีละประโยคว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณน้าถานก็กรุณาควบคุมลูกชายของตัวเองให้ดี วันหลังก็ให้เขาอยู่ห่างๆ หนูหน่อยนะคะ!”


เหอปี้อวิ๋นมองหน้าของลูกสาวสุดที่รักที่ขาวซีดเหมือนหิมะ เจ็บปวดใจเหมือนโดนมีดแทง ด่าขึ้นมาว่า “แกควบคุมลูกชายไม่ได้ ก็เป็นตัวแกเองไม่มีความสามารถ มีสิทธิ์อะไรวิ่งมาว่าเยวี่ยเยวี่ยถึงบ้านฉัน? เชอะ ฉันยังไม่ได้ไปบ้านแกว่าลูกชายแกพาเยวี่ยเยวี่ยเสียเลย วันหลังก็อยู่ให้ห่างเยวี่ยเยวี่ยหน่อย อย่าทำตัวเป็นแมลงวันบินตอมหน่อยเลย!”


อู่เหมยย่อตัวอยู่ตรงมุมประตู ดูละครชุดใหญ่อยู่กับเพื่อนบ้าน ถานซูฟางไม่ใช่ของดีอะไร ส่วนเหอปี้อวิ๋นและอู่เยวี่ยแม้กระทั่งของยังไม่ใช่เลย หมากัดกันเองอะไรแบบนี้เป็นอะไรที่เธอชอบดูที่สุด!


ถานซูฟางโดนเหอปี้อวิ๋นทำให้โมโหจนเกือบตาย กำลังเตรียมตัวจะด่ากลับ เหยียนโฮ่วเต๋อก็มา เขาอยู่ชั้นบนแวะคุยอยู่กับจ้าวอิงหนาน ยังพูดไม่จบพูดได้แค่ไม่กี่ประโยค ก็ได้ยินว่าภรรยาของเขาทะเลาะกับเหอปี้อวิ๋น ก็ได้รีบร้อนตาลีตาลานวิ่งลงมาดูอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง


“ซูฟางคุณกำลังทำอะไร? รีบกลับไปกับผมเดี๋ยวนี้!”


เหยียนโฮ่วเต๋อรู้สึกเหมือนกับอู่เจิ้งซือ ขายขี้หน้าอย่างไรก็คือขายขี้หน้า เวลานี้เขาเพิ่งจะมาถึง ยังไม่ทันได้ยินเรื่องราวเลวทรามที่เหอปี้อวิ๋นพูดก่อนหน้านั้น


ไม่อย่างนั้น อธิบดีเหยียนจะต้องหาที่มุดลงไปเป็นแน่!


…………………………………………..


ตอนที่ 457 ที่พวกเราพูดก็คือความประพฤติ


ถานซูฟางค่อยๆ สงบลง การมาของเหยียนโฮ่วเต๋อทำให้เธอนึกถึงสถานภาพทางสังคมของตัวเองขึ้นมาได้ เธอรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ทะเลาะกับผู้หญิงปากร้ายอย่างเหอปี้อวิ๋น ช่างเป็นการลดค่าของตัวเองจริงๆ


เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขี้เกียจจะพูดจาไร้สาระกับเหอปี้อวิ๋น เปลี่ยนไปพูดกับอู่เจิ้งซือแทนว่า “อาจารย์อู่ ฉันพูดกับภรรยาของคุณไม่รู้เรื่อง ก็พูดกับคุณแทนแล้วกัน รบกวนอาจารย์วันหลังอบรมลูกสาวของคุณให้ดีๆ ตอนนี้ภาระหน้าที่สำคัญของเด็กๆก็คือการเรียน ลูกสาวของคุณโตไวไปหน่อย อีกอย่างอาจารย์อู่ คุณเองก็เป็นอาจารย์ตัวอย่าง หลักการเหตุผลเหล่านั้นคุณเข้าใจเสียยิ่งกว่าฉัน คิดๆ ไปแล้วคุณน่าจะเข้าใจความหมายของฉันนะ!”


สีหน้าของอู่เจิ้งซือดูไม่ได้เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายของถานซูฟาง ไม่ใช่อยากจะพูดว่าอู่เยวี่ยส่งผลกระทบต่อเหยียนหมิงต๋าหรอกหรือ!


โดนคนมาชี้หน้าสั่งสอนถึงบ้าน อย่างไรในใจของอู่เจิ้งซือก็รู้สึกไม่พอใจมาก พลันยิ่งรู้สึกไม่พอใจถานซูฟางมากยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าไม่ใช่ว่าเห็นแก่หน้าของเหยียนโฮ่วเต๋อ เขาจะต้องสั่งสอนฝ่ายตรงข้ามสักชุดแน่นอน


เวลานี้เขารู้สึกเสียใจที่ออกมา หากรู้ก่อนว่าถานซูฟางคนนี้เป็นพวกเข้าใจเอาเองว่าตนไม่เบาเช่นนี้ เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รับรู้หลบอยู่ในห้อง ให้เหอปี้อวิ๋นทะเลาะกับเธอเอาเอง


ถึงอย่างไรเหยียนโฮ่วเต๋อก็เป็นถึงอธิบดีไม่ต้องกลัวขายหน้า แต่เขามีอะไรให้คำนึงบ้าง?


อู่เจิ้งซือพยายามที่จะข่มกลั้นความโมโหอย่างสุดความสามารถ ยิ้มแล้วยิ้มอีกพูดว่า “เยวี่ยเยวี่ยของผมตลอดเวลาที่ผ่านมาคะแนนการเรียนก็ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่อย่างพวกผมทุกข์ใจ อีกทั้งเยวี่ยเยวี่ยแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคนมีน้ำใจมองโลกในแง่ดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ในโรงเรียนก็สนิทสนมกับเพื่อนๆ นักเรียน พูดจริงๆ แล้ว สำหรับเยวี่ยเยวี่ยผมค่อนข้างที่จะพอใจอยู่ สำหรับลูกชายของคุณเหยียนหมิงต๋า เรื่องการเรียนของเขาผมไม่ค่อยเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ขอถามหน่อยเขาได้ลำดับที่เท่าไรในโรงเรียน?”


การพูดครั้งนี้ช่างพูดได้อย่างปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ แฝงไว้ด้วยความประชดประชันเป็นอย่างมาก บ้านคุณมีนักเรียนเรียนบ๊วยแม้กระทั่งอันดับที่สองร้อยของโรงเรียนก็ยังเข้าไปไม่ได้ แต่เยวี่ยเยวี่ยของเขาต่อให้คะแนนถดถอยลดลงก็ยังเป็นนักเรียนเรียนเก่งที่อยู่ในอันดับห้าสิบแรกของทั้งโรงเรียน!


ขอถามหน่อย ท้ายที่สุดแล้วใครส่งผลกระทบต่อใครกันแน่?


เหอปี้อวิ๋นมีความมั่นใจกลับคืนมา นี่เป็นครั้งแรกที่สามีช่วยเธอพูดตอนอยู่ข้างนอกเลยนะ!


“แล้วไม่ใช่หรือยังไง ไม่เคยเห็นคนที่หน้าหนาขนาดนี้มาก่อน ลูกชายของตัวเองไม่พยายามเอง นึกไม่ถึงเลยว่ายังจะมีหน้ามาโทษคนอื่นว่าพาลูกของเธอเสีย ยังจะมีหน้าอีกไหม?”


เหยียนโฮ่วเต๋อฟังเข้าใจในที่สุด ถ้าคิดแบบนี้ ต้นตอของการทะเลาะกันคงจะเป็นเพราะภรรยาเป็นคนมายั่วยุด้วยตัวเอง เขารู้สึกไม่พอใจถานซูฟางเป็นอย่างมาก ระยะนี้ภรรยาค่อนข้างที่จะเหลิงแล้ว กลับไปเดี๋ยวต้องพูดคุยกับถานซูฟางดีๆ ตอนนี้เขายังเป็นแค่รองอธิบดีอยู่!


ยังไม่ใช่สถานภาพที่จะชักสีหน้าได้!


“อาจารย์อู่ ต้องขอโทษจากใจจริงๆ ผมจะเรียกซูฟางกลับบ้าน เยวี่ยเยวี่ยของคุณแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยม จุดนี้คือเห็นชัดแจ้งเหมือนกันทุกคน ไม่เหมือนหมิงต๋าของผม คะแนนแย่ ผมไม่มีหน้าที่จะพูดแล้ว”


เหยียนโฮ่วเต๋อทำหน้ายิ้มพูดจาด้วยดี ยกยออู่เยวี่ยเต็มที่อีกด้วย แถมยังตำหนิลูกชายของตัวเองอีกหนึ่งที อู่เจิ้งซือถึงจะมีรอยยิ้มขึ้นมาหน่อย ด้วยคำพูดที่เกรงอกเกรงใจไม่กี่ประโยค บรรยากาศก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง


แต่ถานซูฟางกลับไม่พอใจ ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเธอกับเหยียนโฮ่วเต๋อก็คือทัศนคติของทั้งสองคนที่มีต่อลูกชาย เหยียนโฮ่วแต่ไหนแต่ไรมามักจะชมเชยเหยียนหมิงซุ่นอยู่เสมอ ไม่เห็นลูกชายคนเล็กอยู่ในสายตา


แน่นอนว่าเธอจะต้องรักและห่วงใยลูกแท้ๆ ของตัวเองมากกว่า แต่ไหนแต่ไรมาก็คิดอยู่เสมอว่า ลูกชายสุดที่รักของเธอในภายภาคหน้าจะต้องมีอนาคตมากกว่าลูกนอกคอกที่นังสารเลวนั้นคลอดออกมาแน่นอน!


โดยเฉพาะในโอกาสนี้ ถานซูฟางยังมาได้ยินคำพูดแบบนี้ อารมณ์โมโหก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที สติปัญญาและการมีเหตุผลก็หายไปในทันที


“คุณอู่ คุณต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนสิ หมิงต๋าเพียงแค่คะแนนแย่ไปหน่อย แต่ความประพฤติของเขาดีมาก จิตใจดีมีเมตตา เทียบกับพวกมือเท้าสกปรก จิตใจดุร้ายแม้กระทั่งน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองยังทำร้ายได้ ยังไงก็ดีกว่าร้อยเท่าพันเท่า!”


…………………………………………..


ตอนที่ 458  เหอปี้อวิ๋นทำผิดพลาดโง่ๆ อีกครั้ง


เหอปี้อวิ๋นที่เดิมทีที่สงบลงมาแล้ว ได้ยินถานซูฟางใส่ร้ายป้ายสีลูกสาวสุดที่รักของเธอต่อหน้า ความโกรธที่เพิ่งจะควบคุมไว้ได้ ก็ค่อยๆ ขยับขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเธอกลายเป็นสีแดงก่ำ ใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด สาวเท้าพุ่งขึ้นไปข้างหน้า ไม่คิดอะไรทั้งนั้นตบหน้าถานซูฟางไปฉาดใหญ่


“ถุย! ถานซูฟาง นังสารเลวหน้าไม่อาย ตูดของตัวเองยังล้างไม่สะอาด ยังจะมีหน้ามาว่าเยวี่ยเยวี่ยถึงบ้านของฉัน? เธอคิดว่าเรื่องโสมมในปีนั้นใครไม่รู้บ้างฮะ? ทำให้ภรรยาหลวงคนอื่นโมโหจนตาย สมคบคิดกันอย่างไม่สะอาด แกมันเป็นพวกนังสารเลวหน้าไม่อาย นังคนใจง่าย ควรจะถอดเสื้อผ้าแกออกให้หมดแล้วแห่ขึ้นขบวนไปให้ทั่วถนนใหญ่เลย!”


เหอปี้อวิ๋นที่กำลังโมโหเดือดดาลเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดก็ไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่นิดเดียว ฉีกหน้าถานซูฟางอย่างไม่ยอมปรานีเลยแม้แต่น้อย


อันที่จริงเรื่องอื้อฉาวของถานซูฟางและเหยียนโฮ่วเต๋อ พวกอาจารย์ทั้งหมดต่างก็พอจะรู้อยู่บ้าง เพียงแต่ว่าต้องการไว้หน้าเหยียนโฮ่วเต๋อ ไม่ว่าใครก็จะไม่พูดออกมาต่อหน้า ก็เป็นเพียงการพูดลับหลังไม่กี่ประโยคก็เท่านั้น


มหาชนมากมายที่กำลังดูความวุ่นวายก็ตกใจยกใหญ่ โอ้โห! นี่มันเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว!


มีบางคนที่ฉลาดหน่อยเห็นสีหน้าที่ดูไม่ได้ของเหยียนโฮ่วเต๋อ ก็ไม่กล้าพากันล้อมชมอีก ค่อยๆ ทยอยกลับบ้านไป


พวกเขาไม่โง่ขนาดนั้น แต่เหอปี้อวิ๋นเป็นคนโง่ มันไม่คุ้มที่จะล่วงเกินเหยียนโฮ่วเต๋อ ถึงแม้ว่าถานซูฟางจะไร้ยางอาย แต่คนที่ไร้ยางอายมากกว่าก็คือเหยียนโฮ่วเต๋อ


สุภาษิตบอกว่า ตีคนห้ามตีหน้า ด่าคนห้ามเปิดเผยจุดอ่อน เหอปี้อวิ๋นเป็นคนโง่และทึ่มมากจนไม่มียาอะไรรักษาได้แล้วจริงๆ เดิมทียังเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ระหว่างเธอกับเหอปี้อวิ๋น แต่นี้กลับกันแล้ว แม้กระทั่งเหยียนโฮ่วเต๋อก็โดนด่ารวมเข้าไปด้วยแล้ว


ตอนนี้อู่เจิ้งซือคงจะมีก้นให้เช็ด[1]แล้วล่ะ!


มิน่าล่ะเขาถึงพูดกันว่า แต่งภรรยาต้องแต่งกับคนที่มีคุณธรรมมีเกียรติ คำพูดของบรรพบุรุษช่างเป็นสัจธรรมจริงๆ!


ผู้คนที่มุงดูค่อยๆ ทยอยออกไปกันแล้ว เหลือเพียงแค่พวกไม่กลัวตายกับพวกอยากดูความวุ่นวาย อู่เจิ้งซือหน้าคล้ำเขียว สีหน้าดีกว่าของเหยียนโฮ่วเต๋อกันไม่มาก เดิมทีพวกเขายังเป็นฝ่ายที่มีเหตุผลอยู่ แต่ตอนนี้โดนเหอปี้อวิ๋นก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ พวกเขาจึงกลับกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลอีกต่อไป!


เหอปี้อวิ๋นเห็นถานซูฟางโดนตัวเธอพูดใส่จนเงียบกริบพูดไม่ออก อย่าให้พูดเลยว่าลำพองใจมากแค่ไหน ตอนนี้ยิ่งรู้สึกสุขใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!


แท้จริงแล้วการปลดปล่อยอารมณ์ก็เป็นอะไรที่สบายใจมากเลยทีเดียว เมื่อก่อนเธอคิดแค่อยากจะเป็นแม่ที่ดีและภรรยาที่ดีอยู่เสมอ นิสัยเดิมที่กดเอาไว้ลึกๆ อย่าให้พูดเลยว่าอัดอั้นตันใจมากขนาดไหน


แต่ที่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกอัดอั้นตันใจมากสุดๆ ก็คือ การที่เธอต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมมากมายขนาดนี้ อู่เจิ้งซือไม่เพียงแต่ไม่ซาบซึ้ง แต่กลับทำตัวพูดจาเย็นชากับเธอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอทำไมจะต้องข่มกลั้นตัวเองเอาไว้ล่ะ!


แค่เพียงว่าความลำพองใจของเธอมันไม่ได้คงอยู่นานเท่าไร!


“เพี้ยะ”


เสียงตบกระทบบนใบหน้าของเหอปี้อวิ๋นดังขึ้น ดังกว่าเมื่อกี้ที่ถานซูฟางโดนอีก ทุกคนหันไปมองเหอปี้อวิ๋นอย่างพร้อมเพรียงกัน ใบหน้าของเธอบวมเป่งออกมาอีกทั้งยังมีรอยนิ้วมือห้านิ้วประทับอย่างชัดเจนอยู่อีกด้วย


“อธิบดีเหยียน ภรรยาผมโง่เขลาขาดความรู้ ชอบพูดจาไร้สาระหาความไม่ได้อยู่บ่อยๆ คุณอย่าเอาคำพูดของเธอไปใส่ใจเลยนะ คิดซะว่าเธอกำลังผายลมอยู่ก็แล้วกัน”


อู่เจิ้งซือสั่งสอนเหอปี้อวิ๋นแล้วก็ยังหันมาขอขมาขอโทษเหยียนโฮ่วเต๋ออีก เหยียนโฮ่วเต๋อต่อให้ยังโมโหแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว คนผู้นั้นตีภรรยาต่อหน้าทุกคนไปแล้ว เขายังจะสามารถพูดอะไรได้อีก?


แต่ในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ในชีวิตนี้เรื่องที่เขาทำผิดมีเพียงเรื่องเดียวก็คือ เรื่องที่ภรรยาคนก่อนตายไปยังไม่ถึงครึ่งปีก็แต่งกับถานซูฟาง เพราะว่าตอนนั้นถานซูฟางโกหกว่าเธอตั้งท้อง ดังนั้นเขาเลยไม่พิจารณาท่าทีต่อต้านคัดค้านของพ่อแม่แล้วก็แต่งถานซูฟางเข้ามา


เรื่องนี้เป็นราคีเดียวในชีวิตของเขา แม้กระทั่งตัวเขาเองยังไม่อยากจะไปนึกถึง แต่เหอปี้อวิ๋นกลับเปิดเผยจุดอ่อนของเขาต่อหน้าคนมากมาย เหยียนโฮ่วเต๋อไหนเลยจะไม่โมโห?


อีกทั้ง เดิมทีเขายังไม่ใช่คนที่ใจกว้างอะไร ความแค้นนี้เขาจำเอาไว้แล้ว เหอปี้อวิ๋นไม่ใช่ว่าคิดอยากจะย้ายไปทำงานในเมืองหรอกหรือ?


เหอะ! ชั่วชีวิตนี้อย่าได้คิดอีกเลย!


…………………………………………..


 [1] มีก้นให้เช็ด หมายถึง มีปัญหาต้องไปจัดการ


ตอนที่ 459 แม่จะฆ่าพ่ออีกแล้ว


แต่ว่าเหยียนโฮ่วเต๋อกลับได้มองอู่เจิ้งซือในมุมมองใหม่จริงๆ เห็นได้ชัดว่าดูๆ แล้วเหมือนนักวิชาการอ่อนแอที่ไม่มีอำนาจ แต่พอถึงเวลาตีภรรยาขึ้นมาก็ทำได้โหดเหี้ยมมาก!


ไม่ควรตัดสินคนจากที่เห็นภายนอกจริงๆ!


ไม่ใช่เพียงแค่เหยียนโฮ่วเต๋อที่คิดแบบนี้ คนอื่นๆ ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน รู้สึกว่าแม้อู่เจิ้งซือจะไม่ค่อยเข้าตาเท่าไร ถึงอย่างไรก็เป็นปัญญาชน อย่างไรก็สามารถอธิบายเหตุผลต่างๆ ให้กับภรรยาได้ ทำไมจะต้องลงไม้ลงมือด้วย!


แบบนี้แตกต่างกับผู้ชายหยาบๆ แถวบ้านนอกตรงไหน?


อีกทั้งอู่เจิ้งซือยังเป็นอาจารย์แบบอย่างอีกนะ!


ช่างขายขี้หน้า ทำให้วงการการศึกษาเสื่อมเสียจริงๆ เลย!


ชั่วพริบตาเดียว สายตาที่ทุกคนมองอู่เจิ้งซือก็เปลี่ยนไป เหมือนกับอู่เยวี่ย ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างพังทลาย ไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีก


มีการทะเลาะตบตีกัน แน่นอนว่าจะต้องมีการไกล่เกลี่ยกัน ไม่นานก็มีคนเข้ามาพูดดีๆ ดึงเหอปี้อวิ๋นที่โมโหเดือดดาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไว้


“อู่เจิ้งซือ คนอื่นต่างก็เหยียบหัวปาขี้ใส่ภรรยาและก็ลูกของคุณแล้ว คุณไม่ช่วยพวกฉันก็ช่างมัน แต่นึกไม่ถึงว่ายังจะช่วยคนนอกตีฉันอีก คุณเป็นผู้ชายภาษาอะไร!”


“ทำไมฉันถึงได้ตาบอด แต่งงานกับเศษสวะอย่างคุณได้!”


เหอปี้อวิ๋นด่าไปกระหืดกระหอบไป ไม่ไว้หน้าอู่เจิ้งซือเลยสักนิด คนข้างๆ จะพูดโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ อู่เจิ้งซือตบหน้าเธอต่อหน้าคนนอก เหอปี้อวิ๋นที่จิตใจหยิ่งในศักดิ์ศรีของเองไหนเลยจะรับไว้


ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอสร้างภาพพจน์เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีความสุขต่อหน้าคนอื่นอยู่เสมอ แต่วันนี้อู่เจิ้งซือกลับฉีกเสื้อคลุมที่สวยงามนี้ด้วยมือของตัวเอง เหอปี้อวิ๋นเป็นบ้าไปแล้ว


เธอคิดเพียงแค่อยากคืนความภาคภูมิใจในตนเองแค่เล็กน้อย วิธีที่ระบายความโกรธได้ดีที่สุดก็คือเหยียบหน้าของอู่เจิ้งซือให้หนัก จะขายขี้หน้าก็ขายขี้หน้าด้วยกันให้หมดทุกคนเนี่ยแหละ!


ถึงอย่างไรแม่เหอก็เคยพูดมาก่อนว่า อู่เจิ้งซือไม่สามารถหย่ากับเธอได้อย่างแน่นอน!


แล้วเธอยังมีอะไรที่ต้องกลัวอีก?


อู่เหมยพอใจกับความบ้าบิ่นของเหอปี้อวิ๋นเป็นอย่างมากถึงมากที่สุด นี่สิถึงจะเป็นวิธีปกติที่เอาไว้เปิดว่าคนๆ นี้เป็นโรคประสาท!


ตอนนี้ถึงเวลาที่เธอต้องลงสนามแล้ว!


“คุณพ่อคะ ไม่ใช่ว่าคุณแม่ดีขึ้นมาสักพักแล้วเหรอ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้อีก คุณพ่อคะ หนูกลัว!”


อู่เหมยมองเหอปี้อวิ๋นอย่างขี้ขลาด ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สองคนที่จับเหอปี้อวิ๋นเอาไว้นิ่งชะงักงัน ฟังไม่เข้าใจความหมายของอู่เหมยไปชั่วขณะ น่าจะพูดว่าพวกเขารู้สึกว่าตัวเองเข้าใจผิดพลาดแล้ว ถึงแม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะโง่เขลาไปหน่อย แต่คงไม่ถึงกับเป็นขนาดที่พวกเขาคิดไว้แบบนั้นใช่ไหม!


อู่เจิ้งซือที่โมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมากลับฟังเข้าใจอย่างรวดเร็ว เพราะว่าแต่ก่อนอู่เมยพูดอยู่บ่อยๆ ว่าโรคประสาทของอู่เยวี่ยได้รับการถ่ายทอดกรรมพันธุ์มาจากเหอปี้อวิ๋น แต่ก่อนเขาคิดว่าเป็นการพูดด้วยอารมณ์ของเด็ก แต่ตอนนี้…


อู่เจิ้งซือใจเต้น หลังจากที่ตีเหอปี้อวิ๋นลงไปก็รู้สึกเสียใจ เวลานั้นเพียงแค่อยากจะแสดงให้เหยียนโฮ่วเต๋อเห็น ไม่ได้คิดอะไรเยอะ แต่หลังจากที่สงบลงมาได้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองทำพลาดแล้ว


การตีภรรยาเป็นการกระทำที่ขายขี้หน้าทำให้วงการการศึกษาเสื่อมเสียอย่างแท้จริง ยังไม่รู้เลยว่าวันหลังเพื่อนร่วมงานจะมองเขาอย่างไร!


แต่ถ้าหากว่าภรรยาเป็นโรคประสาทแล้วล่ะก็ ตีไม่กี่ครั้งก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร!


อู่เจิ้งซือยังคงลังเล แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจชื่อเสียงของเหอปี้อวิ๋น แต่คนที่เขาสนใจคืออู่เยวี่ย เดิมทีโรคประสาทของอู่เยวี่ยก็ไม่ค่อยดี ถ้าหากยังมีข่าวออกไปว่าประสาทของเหอปี้อวิ๋นมีปัญหา ต่อให้เขาใช้นิ้วเท้าก็ยังสามารถเดาได้ว่าข้างนอกจะมีข่าวลือออกมาแบบไหน


แน่นอนว่าจะต้องพูดว่าเหอปี้อวิ๋นจิตไม่ปกติ แล้วจากนั้นก็ยังถ่ายทอดให้อู่เยวี่ยอีก ผลลัพธ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะเห็น


อู่เหมยรู้ว่าอู่เจิ้งซือกำลังกังวลอะไร สงสัยว่าพ่อเธอที่เห็นแก่ตัวและจอมปลอมคนนี้ จะยังรักและห่วงใยอู่เยวี่ยจากใจลึกๆ อยู่ไหม


มุมปากเธอกดลึกเล็กน้อย วันนี้โรคประสาทของคู่แม่ลูกอู่เยวี่ยจะต้องจัดการให้เรียบร้อย!


“คุณพ่อคะ คุณแม่จะทำร้ายพ่อเหมือนครั้งที่แล้วหรือเปล่าคะ? พ่อรีบมัดแม่ขึ้นมาเร็ว ถ้ามัดขึ้นมา แม่ก็จะไม่สามารถฆ่าคนได้แล้ว!”


อู่เหมยตะโกนด้วยความกังวลและหวาดกลัว คำพูดของเธอปลุกความทรงจำของทุกคนได้สำเร็จ บาดแผลใหญ่บนหัวของอู่เจิ้งซือเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แต่ว่าเพิ่งจะหายเป็นปกติเมื่อไม่นานมานี้เอง!


…………………………………………..


ตอนที่ 460 เละเป็นโจ๊ก


ทุกคนมองไปที่เหอปี้อวิ๋นที่ยังร้องตะโกนไม่หยุด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าที่สง่างามในวันปกติธรรมดาบิดเบี้ยวอย่างหนัก ดูๆ แล้วตอนนี้ก็มีความรู้สึกว่าไม่ค่อยปกติสักเท่าไร!


พอได้มองท่าทางที่ดูหวาดกลัวของอู่เหมย แน่นอนว่าคืนวันนั้นจะต้องถูกทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก เด็กคนนี้น่าสงสารจริงๆ!


ปัญญาชนเหล่านี้กลับคิดลึกซึ้งไปกว่านั้น เมื่อก่อนพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าเพราะอะไรเหอปี้อวิ๋นถึงมีท่าทีและทัศนคติต่อลูกสาวสองคนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งที่เป็นลูกของเธอทั่งคู่แท้ๆ!


แต่ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้ว คนที่จิตไม่ปกติจะสามารถใช้บรรทัดฐานของคนปกติไปเปรียบเทียบได้อย่างไร?


เหอปี้อวิ๋นจะต้องเป็นผู้ป่วยทางจิตที่หวาดระแวงอย่างแน่นอน ดังนั้นเวลาเธอจะดีกับใครก็จะดีมาก ตัวอย่างเช่นอู่เยวี่ย แต่เวลาร้ายกับใครก็จะร้ายมากจริงๆ ตัวอย่างเช่นอู่เหมยผู้โชคร้ายและยังมีอู่เจิ้งซืออีก


แม้กระทั่งชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะปกป้องไม่ได้!


เหอปี้อวิ๋นไม่ใช่แค่คนฟั่นเฟือนปกติธรรมดา แต่เป็นพวกป่าเถื่อนชอบใช้ความรุนแรงที่น่าหวาดกลัวต่างหาก!


สองคนที่ดึงเหอปี้อวิ๋นไว้ปล่อยมือพร้อมกัน จากนั้นก็ล่าถอยไปในเวลาเดียวกัน คนที่ป่วยเป็นโรคประสาทฆ่าคนไม่ผิดกฎหมาย พวกเขาอยู่ในวัยที่กำลังชีวิตดี มีอนาคตที่สดใส ชีวิตนี้มีค่ามาก ไม่คุ้มที่จะมาเคราะห์ร้ายเพื่อคนบ้านอื่นเพราะเรื่องไร้สาระเวรๆ นี่ แล้วทอดทิ้งชีวิตที่สุดแสนจะล้ำค่าของตัวเองหรอกนะ!


ความเห็นของคนอื่นๆ ก็เหมือนกันหมด ทุกคนต่างก็ค่อยๆ เขยิบถอยหลังไปหนึ่งเมตร แต่จะตัดใจละทิ้งไม่ดูความวุ่นวายก็ไม่ได้ ยืนดูอยู่ห่างๆ ถ้าหากว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงอะไร พวกเขาก็ยังหนีเอาชีวิตรอดทัน!


อู่เยวี่ยที่กำลังเสียใจอับอายขายหน้าและเคียดแค้น ในไม่ช้าก็ตระหนักถึงวัตถุประสงค์ของอู่เหมย เธอมองไปทางเหอปี้อวิ๋นที่เหมือนกับยังไม่รู้สึกตัว เหอปี้อวิ๋นที่เป็นอิสระอีกครั้งถลันมุ่งตรงไปทางอู่เจิ้งซือ เธอต้องต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของตัวเอง!


เป้าหมายก็คืออู่เจิ้งซือที่เหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีของเธอ!


ด้านหลังเหอปี้อวิ๋นคือตู้ลิ้นชัก มีที่ทับกระดาษชิ้นนั้นที่เดือนก่อนนั้นทุบอู่เจิ้งซือลงไปนอนอย่างสงบ ตอนนี้กลับโดนเหอปี้อวิ๋นคว้ามาไว้ในมืออีกครั้ง


เพราะว่าที่ทับกระดาษชิ้นนี้เป็นเครื่องมือที่สะดวกและทรงพลังที่สุด เหอปี้อวิ๋นที่กำลังเดือดดาลมากคว้ามันมาโดยไม่ต้องคิด เพื่อนของที่ทับกระดาษ…ไม้ขนไก่ถูกเธอทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี


อู่เหมยมองเหอปี้อวิ๋นที่ดูเหมือนคนบ้าไปแล้วจริงๆ อย่างตื่นเต้นดีใจ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา เลือดในกายเดือดพล่าน!


เหอปี้อวิ๋นช่างให้ความร่วมมือกับเธอมากจริงๆ ถ้าหากว่าอู่เจิ้งซือโดนตีหัวแบะอีก อาการทางจิตของเหอปี้อวิ๋นนี้ จะไม่คิดก็ไม่ได้แล้วล่ะ!


เพียงแค่อู่เจิ้งซือจะต้องเจอเรื่องที่ทรมานสักหน่อยอีกครั้ง อู่เหมยที่เคยผ่านประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่งไม่ได้เป็นห่วงชีวิตของอู่เจิ้งซือมากนัก ก็แค่ทุบแค่นั้นเอง ไม่ถึงชีวิตหรอก ไม่เห็นจะเป็นไร!


“แม่อย่า!”


อู่เยวี่ยตะโกนเสียงดังด้วยความรีบร้อน เธอถลันไปทางเหอปี้อวิ๋น ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเธอคือจะหยุดเหอปี้อวิ๋น ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอื่นซ่อนเร้น คิดแค่เพียงว่าไม่สามารถให้เหอปี้อวิ๋นทำเรื่องโง่ๆ ได้อีกครั้ง


แต่ไม่นานอู่เยวี่ยก็มีความคิดอื่น แค่เพียงแวบเดียว หัวของอู่เยวี่ยก็ทำงานด้วยความเร็วสูง เธอกำลังคำนวณกำไรและขาดทุน และเธอก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว!


“คุณแม่รีบหยุดเดี๋ยวนี้ อย่าทำร้ายพ่ออีกเลย!”


ด้านหนึ่งอู่เยวี่ยตะโกนด้วยความร้อนใจ อีกด้านก็ชะลอฝีเท้า เชื่องช้าอยู่แบบนี้แค่ชั่วประเดี๋ยว เหอปี้อวิ๋นก็พุ่งไปหน้าอู่เจิ้งซือแล้ว เธอกระทำอย่างรวดเร็ว อู่เจิ้งซือไม่ทันที่จะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งจะหลบยังทำไม่ทัน


“เหอปี้อวิ๋นคุณบ้าไปแล้ว!”


อู่เจิ้งซือทั้งโมโหทั้งกลัว เขาไม่คิดอยากจะให้หัวโดนทุบจนแบะอีกแล้ว เจ็บก็เท่านั้นเองไม่เห็นเป็นไร แต่การรักษาหน้าเป็นเรื่องที่สำคัญ


“ไอหยา! อาจารย์เหอรีบหยุดมือเถอะ อย่าทุบนะ!”


ผู้สังเกตการณ์ทุกคนก็วิตกกังวลเช่นกัน แต่ทุกคนก็ทำแค่ตะโกน ไม่มีใครกล้าก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุด แน่นอนว่าอู่เหมยก็ไม่สามารถให้อู่เยวี่ยแสดงออกมาแค่คนเดียว เธอก็ร้องแล้วก็ถลันขึ้นไปเช่นกัน


ชั่วพริบตาเดียว ตระกูลอู่เละเหมือนโจ๊กก็ไม่ปาน คล้ายกับน้ำร้อนที่กำลังเดือดพล่าน แต่ว่าก็เงียบลงมาอย่างรวดเร็ว


ทันใดนั้น อู่เยวี่ยก็ลงไปนอนอยู่บนพื้น บนหน้าผากมีเลือดไหลเต็มไปหมด เหมือนกับอู่เจิ้งซือเดือนก่อนไม่มีผิด


…………………………………………..


ตอนที่ 461 คนบ้าทุบด้วยหิน


ทุกคนต่างก็จ้องเขม็งไปยังอู่เยวี่ยที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้นอย่างประหลาดใจ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


ทำไมกลายเป็นอู่เยวี่ยโดนตีหัวแทนได้?


เหอปี้อวิ๋นรักใคร่ลูกสาวคนโตขนาดนั้น จะสามารถทุบอู่เยวี่ยได้ไง?


“เยวี่ยเยวี่ยลูกเป็นอะไร? ลูกอย่าทำให้แม่ตกใจสิ เยวี่ยเยวี่ยทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้ ลูกถลันเข้ามาทำไม?”


เหอปี้อวิ๋นกอดอู่เยวี่ยร้องไห้อยากเจ็บปวด เธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าคนที่โดนทุบจะเป็นตัวเอง อู่เยวี่ยเป็นแก้วตาดวงใจของเธอนะ!


อู่เหมยไหนเลยจะนึกถึงว่าอู่เยวี่ยจะสละชีวิตเพื่อช่วยพ่อ รับที่ทับกระดาษแทนอู่เจิ้งซือ มองไปที่อู่เจิ้งซือที่ทำหน้าตาตื้นตันใจซาบซึ้งใจ แผนทรมานร่างกายของอู่เยวี่ยถือว่าสำเร็จแล้ว!


นังสารเลวสมควรตาย กับตัวเองยังเหี้ยมโหดได้ขนาดนี้เลย!


อู่เหมยเริ่มระมัดระวังตัว ยิ่งตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าต้องรีบหยุดยั้งความตั้งใจของอู่เยวี่ย ไม่สามารถให้อู่เยวี่ยมีโอกาสเต็มที่ได้อย่างเด็ดขาด จะต้องให้เธอโดนตัวฉันเหยียบไว้ใต้เท้าตลอดไป


“คุณพ่อคะ พวกเรารีบส่งพี่ไป…”


คำพูดของอู่เหมยทำให้เหอปี้อวิ๋นหยุดชะงัก เหอปี้อวิ๋นน่าจะโดนยั่วยุ ไม่สนใจอู่เยวี่ยที่ยังมีเลือดไหลอยู่บนพื้น คว้าที่ทับกระดาษอีกครั้ง พุ่งไปทางถานซูฟาง


“ถานซูฟาง เป็นเพราะเธอทำร้ายเยวี่ยเยวี่ยของฉัน ฉันจะตีแกให้ตายนังผู้หญิงใจง่าย ต้องตีแกให้ตาย!”


เวลานี้เหอปี้อวิ๋นร่างกายเปื้อนไปด้วยเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ท่าทางดุร้าย ในมือยังจับที่ทับกระดาษที่เปื้อนเลือดไว้ จะมองอย่างไรก็เหมือนภาพสยองขวัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนที่มีเสียงกรีดร้องและมีลมแรงตอนกลางคืนเช่นนี้


ทุกคนรอบข้างต่างก็สะดุ้งโหยงตกใจตัวสั่น ถอยหลังลงไปหลายก้าว เพื่ออยู่ให้ห่างเหอปี้อวิ๋น คนประเภทที่มีความอันตรายสูง!


ถานซูฟางเองก็ยิ่งตกใจจนแม้กระทั่งคำว่า ‘ผู้หญิงใจง่าย’ เธอก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป ที่สำคัญในตอนนี้คือรักษาชีวิตของตัวเอง จิตใต้สำนึกของเธอทำให้เธอไปหลบซ่อนอยู่ด้านหลังของเหยียนโฮ่วเต๋อ ทำเหมือนเขาเป็นโล่มนุษย์


เหยียนโฮ่วเต๋อก็ตกใจไม่เบา แต่ว่าเขาเป็นผู้ชาย แน่นอนว่าไม่สามารถตื่นตระหนกเหมือนผู้หญิงได้ จะต้องแสดงท่าทีเป็นลูกผู้ชายที่องอาจกล้าหาญถึงจะถูก


“อาจารย์เหอสงบลงหน่อย ก่อนอื่นรีบห้ามเลือดให้อู่เยวี่ยก่อน ไม่อย่างนั้นอู่เยวี่ยจะเป็นอันตรายได้ หรือว่าแม้กระทั่งสุขภาพร่างกายของลูกสาวคุณก็ไม่คำนึงถึงแล้วหรือ?”


เหยียนโฮ่วเต๋อสมแล้วที่เป็นผู้นำ ประโยคเดียวเข้าประเด็นอย่างจัง เหอปี้อวิ๋นยังขยับตัวช้า ความรักต่อลูกสาวทำให้เธอสงบลงอย่างรวดเร็ว เหอปี้อวิ๋นเลิกมองหาถานซูฟางเพื่อชำระบัญชี เหยียนโฮ่วเต๋อพูดถูก อาการบาดเจ็บของเยวี่ยเยวี่ยนั้นสำคัญกว่ามาก


ครั้งนี้อู่เจิ้งซืออุ้มอู่เยวี่ยขึ้นมาแล้ว เตรียมที่จะไปหาคุณยายหยางเพื่อห้ามเลือด คนอื่นๆ ก็เข้าไปใกล้ๆ เพื่อช่วยเหลือ ทำให้เหอปี้อวิ๋นแทรกเข้าไปไม่ได้


“คุณอู่ เยวี่ยเยวี่ยเป็นยังไงบ้าง ให้ฉันดูลูกหน่อย!”


เหอปี้อวิ๋นที่มองไม่เห็นอู่เยวี่ยก็ร้อนรนเหมือนอยู่บนหม้อไฟไม่ปาน เป็นกังวลจนกระทืบเท้าด้วยความโกรธอย่างสุดขีด อู่เหมยมองเธออย่างเย็นชา จงใจพูดว่า “แม่ พี่อู่เยวี่ยก็เป็นแม่ที่ทุบหัวเธอ แล้วบนหัวก็มีแผลที่ใหญ่มากเลย แถมเลือดยังไหลเยอะมาก อย่างนี้พี่สาวจะตายหรือเปล่า?”


“ไร้สาระ ฉันจะตีแกให้ตายนังเด็กเวร พี่สาวของเธอดีมากๆ ต่อให้แกตายก็ช่างปะไร แต่ยังไงพี่แกก็ต้องไม่ตาย!”


เหอปี้อวิ๋นที่ค่อยๆ สงบลงแล้วโดนอู่เหมยยั่วยุให้เสียสติอีกครั้ง ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะทำตัวเสแสร้ง คำด่าในเวลาปกติที่ใช้ด่าอู่เหมยในบ้าน โดนเธอทำให้โมโหจนด่าออกมา คนอื่นๆ ได้ฟังต่างก็ขมวดคิ้ว ยิ่งรู้สึกเชื่อว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นโรคประสาทมากขึ้นไปอีก


คนปกติธรรมดาจะสามารถพูดจาเลอะเทอะแบบนี้ออกมาได้อย่างไร?


จ้าวอิงหนานที่ได้ยินข่าววิ่งลงมาบังเอิญเห็นเหอปี้อวิ๋นแยกเขี้ยวยิงฟันใส่อู่เหมย ก็โมโหขึ้นมา ผลักเหอปี้อวิ๋นออกแล้วกอดอู่เหมยปกป้องไว้ในอ้อมกอด


“เหอปี้อวิ๋นคุณยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า? เหมยเหมยเธอไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจ เป็นแม่ภาษาอะไรสาปแช่งลูกตัวเองให้ตาย ฉันว่านะหัวใจของคุณยังดำอำมหิตมากกว่าแม่เลี้ยงเสียอีก!”


จ้าวอิงหนานด่าออกมาอย่างรุนแรง ไม่อาจทนเหอปี้อวิ๋นได้อีกต่อไป ถ้าหากไม่ใช่ว่าสถานการณ์ตอนนี้วุ่นวายมากละก็ เธอยังคิดอยากจะด่าอู่เจิ้งซือสักชุดเลย!


“อาจารย์จ้าวคุณไม่รู้ละสิ เหอปี้อวิ๋นเธอจิตใจไม่ปกติ คุณจะอธิบายให้คนจิตใจไม่ปกติฟังเข้าใจได้ที่ไหน ไปเร็ว อย่าเปลืองน้ำลายอีกเลย”


ถานซูฟางที่จับหน้าตัวเองอยู่ เกลียดเหอปี้อวิ๋นเข้ากระดูกดำ จะปล่อยโอกาสที่จะเหยียบย่ำเหอปี้อวิ๋นไปได้อย่างไร!


…………………………………………..


ตอนที่ 462 โรคประสาทสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้


“ถานซูฟางแกพูดไร้สาระอะไร ฉันไม่ได้เป็นบ้า จิตใจฉันปกติดีมาก แกมันนังผู้หญิงใจง่าย น่ารังเกียจ หน้าไม่อาย!”


เมื่อได้รับความสะเทือนใจติดต่อกันหลายครั้ง สติสัมปชัญญะของเหอปี้อวิ๋นในเวลานี้ก็ไม่ค่อยแจ่มใสเท่าไร สมองและสติของเธอเลอะเลือนไปหมด สายตาที่มองถานซูฟางเต็มไปด้วยน่ากลัว เหมือนกับจะกินเธอก็ไม่ปาน มองดูแล้วเหมือนคนที่อาการโรคประสาทกำเริบมากจริงๆ


ถานซูฟางตกใจจนรีบหลบซ่อนอยู่หลังของจ้าวอิงหนาน เธอไม่กล้ายุ่งกับคนบ้า จ้าวอิงหนานขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่พอใจว่า “อาจารย์อู่นี่มันเกิดอะไรขึ้น ภรรยาจิตใจไม่ปกติก็ไม่บอกให้เร็วๆ ยังให้เธออาศัยอยู่ที่บ้านนานขนาดนี้ ถ้าหากว่าอาการกำเริบแล้วไปทำร้ายคนอื่นขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ?”


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คนอื่นๆ ที่ดูความวุ่นวายก็เย็นสันหลังวาบ เหงื่อเย็นๆ ก็ผุดออกมาเต็มไปหมด!


คนบ้าฆ่าคนไม่ผิดกฎหมาย คุณตายไปก็ทำได้แค่เพียงยอมรับไปว่าโชคร้าย พอคิดว่าพวกเขาอาศัยอยู่กับผู้ก่อการร้ายที่มีความเสี่ยงสูงมาหลายปี ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ ทุกนาทีและทุกวินาทีมีความเป็นไปได้ที่จะถูกทำร้ายจากคนที่ป่วยมีอาการทางจิต คนพวกนี้ต่างรู้สึกหวาดกลัวในภายหลัง มากกว่านั้นคือรู้สึกว่าโชคดี


โชคดี โชคดีจริงๆ!


เหอปี้อวิ๋นที่ดูอันตราย แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นกับเธอเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอาจจะมีเรื่องน่ากลัวอื่นๆ ตามมาอีกได้!


เรียกได้ว่าตอนนี้ถานซูฟางได้รับความดีความชอบเข้าไปเต็มๆ หากเธอไม่ได้ใช้ตัวเธอเสี่ยงอันตราย จะเปิดโปงเหอปี้อวิ๋นได้อย่างไร?


ถ้าต้องรอจนเหอปี้อวิ๋นอาการกำเริบ คนที่จะซวยเป็นรายต่อไปก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นใคร?


ไม่เห็นเหอปี้อวิ๋นลงมือกับสามีกับลูกของตัวเองอย่างโหดเหี้ยมขนาดนั้นหรือไง!


“อาจารย์จ้าวพูดไม่ผิด เรื่องนี้อาจารย์อู่ทำไม่เหมาะสม หากป่วยเป็นโรคประสาทก็ควรไปโรงพยาบาลจิตเวช จะให้เธออยู่กับคนปกติด้วยกันได้ยังไง เรื่องนี้ต้องขอให้อาจารย์อู่อธิบาย!”


มีบางคนคล้อยตาม อู่เจิ้งซือเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากของสามีเธอ ทุกๆ ปีต้องพลาดโอกาสเป็นอาจารย์แบบอย่างไปต่อหน้าต่อตา เมื่อผู้หญิงคนนี้ได้โอกาสแล้ว จะไม่เหยียบซ้ำแรงๆ หน่อยเลยหรือ?


ถานซูฟางพอได้ยินทุกคนพูดวิพากษ์วิจารณ์มาในทิศทางฝั่งเธอ ฉับพลันก็รู้สึกมีแรง เติมเชื้อไฟเข้าไปอีกว่า “ไม่ใช่แค่นั้น อาจารย์อู่ทำเรื่องเลวร้ายเป็นอย่างมาก เป็นคนมีพรสวรรค์ วงศ์ตระกูลก็ดี ทำไมถึงได้แต่งเอาคนบ้าเข้าบ้านมาได้ หรือว่าเขาไม่รู้ว่าโรคประสาทเนี่ยมันถายทอดทางกรรมพันธุ์ได้นะ โดยเฉพาะโอกาสที่แม่จะส่งต่อให้ลูกน่ะ ก็มีอัตราสูงมากเป็นอย่างยิ่ง!”


เหอปี้อวิ๋นจะจิตไม่ปกติหรือไม่ อันที่จริงเธอไม่สนใจเลยสักนิด เธอสนใจแค่เพียงลูกชายสุดที่รักของเธอไม่ควรหลงนังจิ้งจอกนั่น เพราะจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางอนาคตที่รุ่งเรืองที่เธอจัดวางไว้เพื่อลูกชายของเธอ!


ดังนั้น ทุกอย่างที่สามารถสกัดโอกาสของอู่เยวี่ยได้ ถานซูฟางไม่มีทางที่จะพลาด


ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็ไม่ได้พูดไร้สาระ แต่มีข้อมูลทางการแพทย์ สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ เรียกได้ว่าเธอยังมีความรอบคอบอยู่ไม่น้อย!


มีคนอุทาน “ไอหยา ฉันจำได้แล้ว บ้านแม่ฉันในชนบทมีครอบครัวหนึ่ง ทั้งยายทั้งแม่เป็นโรคประสาทกันหมดเลย ผลสุดท้ายมีลูกหกคน ลูกสาวทั้งสามคนเป็นโรคทุกคน แต่ลูกชายไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ที่แท้โรคประสาทส่วนใหญ่จะถ่ายทอดกรรมพันธุ์ให้ลูกสาวสินะ หากคุณหมอถานไม่พูดฉันก็ไม่รู้นะเนี่ย!”


พอคุณพูดแบบนี้ฉันก็นึกขึ้นมาได้ ที่จริงแล้วเป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าแม่หัวสมองไม่ดี ลูกชายกลับดีทั้งหมด ลูกสาวนั้นไม่แน่นอน อุ๊ย! พอพูดแบบนี้ขึ้นมา บ้านของอาจารย์อู่มีลูกสาวตั้งสองคนแหน่ะ!”


สีหน้าท่าทางของทุกคนแปลกประหลาดขึ้นมา นึกถึงเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาก่อนหน้านี้โดยมิได้นัดหมาย อู่เยวี่ยลุกขึ้นมาบีบคอน้องสาวตอนกลางคืน อู่เหมยยังพูดอยู่เสมอว่าพี่สาวของเธอจิตใจไม่ปกติ


ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เอามาใส่ใจอะไรมาก คิดว่าเป็นคำพูดไร้สาระของเด็ก แต่ตอนนี้ดูแล้ว โรคประสาทของเหอปี้อวิ๋นจะต้องถ่ายถอดทางกรรมพันธุ์ให้อู่เยวี่ยแปดถึงเก้าเต็มสิบอย่างแน่นอน!


…………………………………………..


ตอนที่ 463 ผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะถ่ายถอดทางกรรมพันธุ์ เด็กก็เหมือนกัน


ถานซูฟางได้ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนอย่างชัดเจน พอใจเป็นอย่างมากที่คำพูดของเธอแค่ประโยคเดียวทำให้เกิดผลที่ดีถึงเพียงนี้ คำพูดวิพากษ์วิจารย์ของคนลื่นไหลไม่มีที่สิ้นสุด ในเมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร ข่าวลือที่อู่เยวี่ยได้รับการถ่ายทอดโรคประสาททางกรรมพันธุ์ จะต้องแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางแน่นอน


ถึงเวลานั้นต่อให้อู่เยวี่ยไม่ได้เป็นโรคประสาท เธอก็ต้องตกที่นั่งลำบากจนเป็นโรคประสาทอย่างช่วยไม่ได้!


คนที่เป็นโรคประสาทยังคิดที่จะแต่งงานและคลอดลูก?


เชอะ! ฝันกลางวันไปเถอะ!


อันที่จริงที่ถานซูฟางพูดเมื่อกี้ เธอก็ไม่ได้พูดให้ครบถ้วน แม่ที่เป็นโรคประสาทมีอัตราที่จะส่งต่อกรรมพันธุ์ให้กับรุ่นต่อไปสูงก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อัตราที่อู่เยวี่ยจะเป็นโรคประสาทหรือเป็นคนปกตินั้นน่าจะครึ่งๆ


เพียงแต่ว่าถานซูฟางจงใจพูดให้ทั้งสองอย่างเหมือนจะเกิดขึ้นจริง และชี้นำให้คนเหล่านี้สรุปว่าอู่เยวี่ยจะต้องเป็นโรคประสาทที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แน่นอนที่สุด และผลสรุปแบบนี้จะทำให้เกิดผลกระทบแบบไหนต่ออู่เยวี่ย เดิมทีถานซูฟางก็ไม่สนใจอยู่แล้ว


เธอสนใจที่ไหนว่าอู่เยวี่ยจะตายหรือจะมีชีวิตอยู่น่ะ!


เดิมทีเธอก็เป็นคนที่หากเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอสามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ปีนั้นแม่ของเหยียนหมิงซุ่นจะตายไปทั้งที่อายุยังน้อยๆ แบบนั้นได้ยังไงล่ะ!


ขณะนี้ทุกคนกำลังคุยกันอย่างถึงพริกถึงขิง ไม่มีอะไรมากไปกว่าเสียดายอู่เยวี่ย เด็กผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งแต่เป็นเพราะไม่ได้ไปเกิดในครรภ์ดีๆ ผลสุดท้ายก็ต้องมาเป็นโรคที่ใครเห็นใครก็กลัว


มีแม่ที่เป็นโรคประสาท ต่อให้หน้าตาจะดีแค่ไหน ต่อให้การเรียนจะดีเลิศอย่างไร พวกเธอต่างก็ไม่มีทางที่จะให้ลูกชายบ้านตัวเองแต่งผู้หญิงแบบนี้เข้าบ้านหรอก


ไม่ได้ยินที่คุณหมอถานพูดหรือ โรคประสาทสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ พวกเธอไม่อยากให้หลานชายหรือหลานสาวต่างก็มีกรรมพันธุ์เป็นโรคประสาทหรอกนะ ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว!


เพียงแต่ว่า ความสนใจของคนพวกนี้ต่างก็พุ่งไปที่ร่างของอู่เยวี่ย ทุกคนต่างมองข้ามอู่เหมยโดยมิได้นัดหมาย ไม่พูดถึงเลยแม้แต่คำเดียว


ปากไม่พูดไม่ได้หมายความว่าในใจไม่ได้คิดแบบนี้ ทุกคนไม่ใช่คนโง่ เพราะแม่บุญธรรมของอู่เหมยก็คือจ้าวอิงหนาน ยืนอยู่ตรงหน้าเลยเนี่ย!


มันไม่คุ้มที่พวกเธอจะล่วงเกินจ้าวอิงหนาน!


เพียงแต่บางคนไม่ได้คิดแบบนั้น เธอรู้สึกว่าควรจะเตือนจ้าวอิงหนาน หญิงสาวบนโลกใบนี้มีตั้งเยอะแยะมากมาย ทำไมจะต้องเอาชีวิตไปแขวนไว้กับลูกสาวคนเล็กของตระกูลที่อาจจะมีกรรมพันธุ์โรคประสาทล่ะ?


ที่บ้านพวกเธอก็มีลูกสาวที่ทั้งน่ารักแล้วก็ฉลาด ดีเลิศกว่าอู่เหมยไม่รู้ตั้งกี่ร้อยเท่า!


คนที่กระโดดออกมาพูดคนแรกนี้เป็นผู้หญิง สาเหตุก็เพราะว่าสามีของเธอแข่งขันอยู่กับอู่เจิ้งซือ เธอขัดหูขัดตาตระกูลอู่ทุกคน แน่นอนว่ารวมถึงอู่เหมยด้วย!


“หากให้ฉันพูด ผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะถ่ายถอดทางกรรมพันธุ์ เด็กก็จะไม่เป็นเชียวหรือ? โรคประสาทโรคประเภทนี้ ตอนยังไม่เป็นอะไรก็เหมือนกับคนปกติดี แต่ในกรณีที่อาการกำเริบขึ้นมาก็ทำให้คนตกใจเกือบตาย พวกคุณดูเหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยตอนปกติสิ ไม่ใช่ว่าเหมือนกับคนปกติทั่วไปมากเลยหรอกหรือ ถ้าไม่ใช่ว่าคืนนี้อาการกำเริบ ใครจะรู้ว่าสองแม่ลูกนี้เป็นโรคประสาทล่ะ ให้ฉันมองนะ อู่เหมยเด็กคนนี้ก็ยากที่จะไม่เป็นแบบนั้นเหมือนกันแหละ!”


ผู้หญิงคนนี้มองอู่เหมยที่ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ยังไม่ส่งเสียงสักคำด้วยเจตนาที่ไม่ดี ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นแค่เด็กคนหนึ่งถึงจะปล่อยเธอไป คำพูดที่ออกมาทุกประโยคนั้นเหมือนกับมีดก็ไม่ปาน


หากเป็นเด็กธรรมดาคนอื่น จะสามารถรับความกดดันต่อการโจมตีที่ดุร้ายแบบนี้ได้อย่างไร?


เพียงแต่ว่าอู่เหมยก็ไม่ใช่เด็ก อีกทั้งเธอก็ไม่สนใจเลยสักนิดว่าคนอื่นจะพูดถึงตัวเองอย่างไรบ้าง


รอเธอได้ชำระความแค้นอันใหญ่หลวงของเธอก่อน เธอก็จะพาฉิวฉิวออกไปจากเมืองนี้ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่สักที่หนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักเธอ ใครจะไปรู้ว่าเธอเป็นหรือไม่เป็นโรคประสาท!


ให้พูดอีกเท่าไรก็คงไม่มีใครเข้าใจชัดแจ้งเท่าเธอว่า แม่ลูกเหอปี้อวิ๋นแท้ที่จริงแล้วเป็นโรคประสาทหรือไม่?


คนอื่นๆ มองไปทางอู่เหมยอย่างเห็นใจ น่าเสียดายจริงๆ เด็กผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ มีทั้งความสามารถและหน้าตา แต่กลับมีแม่และพี่สาวที่เป็นโรคประสาท


วันหลังกลัวว่าคิดจะแต่งกับคนดีๆ สักคนก็คงจะยาก!


ใบหน้าที่สวยงามของจ้าวอิงหนานอึมครึมทันที มองไปที่ผู้หญิงคนนั้นที่เอาใจตัวเธอเองสุดความสามารถอย่างเย็นชา พูดอย่างรังเกียจว่า “ฉันว่าเธอน่ะสมองมีปัญหาแล้วนะ เหมยเหมยเป็นลูกบุญธรรมของฉัน ฉันจะไม่เข้าใจชัดแจ้งมากกว่าเธอหรือ? วันหลังถ้าหากว่าฉันได้ยินใครพล่ามนินทาพูดซี้ซั้วสุ่มสี่สุ่มห้าลับหลังล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ!”


…………………………………………..


ตอนที่ 464 หนึ่งรุ่นส่งต่อแค่คนเดียว


จ้าวอิงหนานแผลงฤทธิ์ระบายอารมณ์ออกมา ทุกคนต่างก็หุบปากสนิท ส่งสายตาเหยียดหยามไปให้ผู้หญิงคนนั้นที่อยากจะประจบเอาใจจ้าวอิงหนาน


นังโง่เง่า จะประจบประแจงเอาใจแต่ดันประจบไม่ถูกทาง!


คนที่พูดให้อู่เหมยหน้าแดงขึ้นมา หัวเราะอย่างเก้อเขิน เธอคาดไม่ถึงเลยว่าจ้าวอิงหนานจะมองอู่เหมยสำคัญขนาดนี้ เห็นๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือว่าเพิ่งรับเป็นลูกบุญธรรมได้เพียงแค่หนึ่งเดือนกว่าเท่านั้นเอง เอาความรักความผูกพันธ์ที่ลึกซึ้งมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน?


จ้าวอิงหนานจ้องเขม็งที่ผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้เป็นคนจำพวกเดียวกับเหอปี้อวิ๋นไม่มีผิด ต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร!


ถานซูฟางกะล่อนเป็นน้ำกลิ้งบนใบบอน รีบหัวเราะพูดขึ้นมาว่า “การถ่ายทอดโรคประสาททางกรรมพันธุ์โดยทั่วไปแล้วส่งต่อหนึ่งคนต่อหนึ่งรุ่น มีความเป็นไปได้น้อยมากๆ ที่จะส่งต่อให้ลูกสาวทั้งสองคน พวกคุณต่างก็คิดมากเกินไปแล้ว!”


เป้าหมายของเธอก็คืออู่เยวี่ย อู่เหมยจะเป็นโรคประสาทหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย เพียงแต่ว่ามันไม่คุ้มที่จะล่วงเกินจ้าวอิงหนานด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้!


คนอื่นๆ พยักหน้าสนับสนุนเห็นด้วย ไปไกลแม้กระทั่งมีบางคนถึงกับให้หลักฐานสนับสนุนที่ชัดแจ้งว่าหมู่บ้านที่แม่เธออยู่มีครอบครัวหนึ่งเป็นโรคประสาท หนึ่งรุ่นส่งต่อแค่คนเดียวจริงๆ ลูกคนอื่นๆ ก็เป็นปกติกันทุกคน!


ทุกคนเลือกที่จะลืมสิ่งที่เคยเธอพูดเมื่อก่อนหน้านี้ จำได้ชัดว่าลูกสามทั้งสามคนเป็นโรคประสาท ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นหนึ่งรุ่นส่งต่อแค่คนเดียว ช่วงระยะเวลาที่พูดกลับไปกลับมายังไม่ถึงสามนาทีเลยด้วยซ้ำ


จ้าวอิงหนานขี้เกียจที่จะสนใจพวกที่ไม่มีจุดยืน เอนลู่ไปตามใครได้ก็แล่นเรือไปตามทิศทางลมนั้น ตั้งแต่เล็กจนโตเห็นมามากแล้ว ที่พวกเขาประจบเอาใจไม่ใช่เพราะตัวเธอ แต่เป็นตระกูลจ้าวที่อยู่เบื้องหลังของเธอต่างหาก


แต่ถ้าในวันหนึ่งตระกูลจ้าวหมดอำนาจ คนพวกนี้ก็จะเปลี่ยนหน้าทันที ก็ใช่ว่าเธอจะไม่เคยประสบพบเจอเสียหน่อย?


ปีนั้นหลังจากที่พ่อของเธอเกิดเรื่องขึ้น คนที่เคยโค้งคำนับคุกเข่าต่อหน้าพ่อพวกนั้น พริบตาเดียวก็เปลี่ยนหน้าเป็นคนไร้น้ำใจ ไร้ความปรานี ทุกคนต่างก็ระบุว่าเป็นความผิดของพ่อ เขียนเอกสารมากมายมหาศาลเป็นกองหนาๆ ช่างลำบากเสียจริงที่ต้องลงทุนคิดอะไรออกมามากมายขนาดนั้น


เป็นเพราะข้อกล่าวที่แต่งขึ้นมาเพื่อโกหกพวกนี้นี่เอง พ่อของเธอจึงได้โดนตัดสินโทษ ต้องจำคุกแยกกันกับแม่ในสถานที่ที่เป็นความลับ ยังมีเธอและพี่ชายอีกสามคน ที่ต่างก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ตระกูลจ้าวที่โดดเด่นไม่มีใครเทียบได้ แค่คืนเดียวก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ หนีตายแยกย้ายกันไปไกลสุดขอบฟ้า


ตอนนี้ตระกูลจ้าวลุกขึ้นมาผงาดได้แล้ว คนพวกนั้นก็กลับมาใกล้ชิดสนิทสนมอีกครั้ง สีหน้าท่าทางที่น่ารังเกียจพวกนั้นเธอมองแล้วอยากจะอ้วก พ่อแม่ของเธอยังจะต้อนรับพวกสารเลวพวกนี้อย่างเกรงอกเกรงใจอีก ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเธออยู่บ้านละก็ จะต้องหยิบไม้กวาดมาไล่คนพวกนั้นออกจากบ้านไปอย่างแน่นอน!


ต่อให้เหอปี้อวิ๋นโง่เขลาขนาดไหน เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าคำพูดของคนพวกนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อเธอและลูกสาวสุดที่รักของเธออย่างไร ส่วนเธอก็ช่างมันเถอะ ผ่านไปครึ่งชีวิตแล้ว แต่อู่เยวี่ยไม่เหมือนกัน ชีวิตของเธอเพิ่งจะเริ่มต้นเอง


ถ้าหากต้องมีชื่อเสียงว่าเป็นคนบ้า วันหลังเยวี่ยเยวี่ยจะทำอย่างไร?


เธอไม่สามารถให้คนพวกนี้พูดใส่ร้ายเยวี่ยเยวี่ยของเธอได้อย่างเด็ดขาด!


เหอปี้อวิ๋นไม่ใช่คนที่มีหัวสมองฉลาดมากนัก ตอนนี้ก็คิดไม่ออกหาว่าจะรับมือกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไรได้เลย อู่เจิ้งซือไม่อยู่ เธอก็เหมือนกับแมลงวันหัวขาด ประหวั่นพรั่นพรึงไปหมด


เวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดเหอปี้อวิ๋นก็คิดวิธีแก้ปัญหาที่ตัวเองคิดเอาเองว่าเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด ถานซูฟางไม่ใช่ว่าพูดว่าหนึ่งรุ่นส่งต่อแค่คนเดียวหรอกหรือ เธอแค่พูดไปว่าคนที่เป็นโรคประสาทเป็นนังเด็กสมควรตายนั่นก็จบ


แบบนั้นเยวี่ยเยวี่ยของเธอก็จะไม่เป็นไรแล้ว!


แต่เหอปี้อวิ๋นที่โง่เขลากลับไม่คิดเลยว่า เธอพูดแบบนี้ คนอื่นจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?


นอกจากนี้เธอควรจะทำอะไรให้มากกว่านี้ เธอไม่ควรเลือกแหล่งที่มาสำคัญของตัวเธอเองให้ได้โดยเร็วที่สุดหรือ?


“เยวี่ยเยวี่ยของฉันไม่ได้เป็นโรคประสาท แต่อาจจะเป็นเหมยเหมย เด็กสมควรตายคนนี้แปลกๆ ตั้งแต่เด็กแล้ว มันต่างหากที่จิตไม่ปกติ มันต่างหากที่เป็นบ้า!”


เดิมทีทุกคนต่างก็จะแยกย้ายแล้ว เหอปี้อวิ๋นกลับชี้ไปที่อู่เหมยส่งเสียงขึ้นมากะทันหัน ทุกคนก็เลยหยุด มองผู้หญิงบ้าคลั่งคนนี้อย่างประหลาดใจ


ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่ค้นพบเลยนะว่า เหอปี้อวิ๋นจะโง่ได้ถึงขนาดนี้!


…………………………………………..


ตอนที่ 465 ขึ้นแสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีน


จ้าวอิงหนานมองเหอปี้อวิ๋นอย่างเย็นชา ไม่อยากจะพูดกับคนที่โง่เขลามากขนาดนี้เลยสักนิด ใจคิดอยากแต่จะให้ลูกสาวคนเล็กเป็นแพะรับบาป อีกทั้ง กลับยอมรับทางอ้อมว่าตัวเองเป็นโรคประสาท ช่างเป็นคนโง่เขลาที่ไม่มียารักษาให้หายเสียจริง


“เหอปี้อวิ๋น คุณไม่เป็นห่วงลูกสาวสุดที่รักของคุณหรือไง?”


จ้าวอิงหนานพูดเตือนสติ เหอปี้อวิ๋นสะดุ้งตกใจ ถึงจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าอู่เยวี่ยไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว เธอมองไปที่กองเลือดที่อยู่บนพื้นอีกครั้ง หน้าขาวซีดไปหมด


“เยวี่ยเยวี่ยไปไหนแล้ว? เยวี่ยเยวี่ยของฉันไปไหนแล้ว?!”


เหอปี้อวิ๋นตะโกนด้วยความตื่นตระหนก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ตาแข็งทื่อ มองดูแล้วเหมือนกับคนบ้าไม่มีผิด


มีคนส่งเสียงบอกว่า “หัวของอู่เยวี่ยโดนคุณทุบเป็นแผลใหญ่ขนาดนั้น อาจารย์อู่ส่งเธอไปหาคุณย่าหยางแล้ว”


เหอปี้อวิ๋นเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน นึกถึงความทรงจำของเธอที่พยายามลืมอย่างสุดความสามารถ ก็คือสิบนาทีก่อนที่ เธอทุบลูกสุดที่รักผู้เป็นแก้วตาดวงใจด้วยมือของตัวเอง กองเลือดที่อยู่บนพื้นนั้นเป็นของอู่เยวี่ย


“เยวี่ยเยวี่ย!”


เหอปี้อวิ๋นเหมือนคนบ้าก็ไม่ปาน ถลันพุ่งออกไปทางประตูด้านนอก เธอต้องไปหาคุณย่าหยาง ดูว่าลูกสุดที่รักของเธอเป็นอะไรไหม ส่วนถานซูฟาง เธอค่อยกลับมาคิดบัญชีกับนังสารเลวนี่วันหลัง!


เมื่อคนก่อเรื่องวิ่งออกไปแล้ว ทุกคนก็ไม่มีความสนใจที่จะดูความวุ่นวายอีก ทยอยกันออกไป ในบ้านอู่เหลือแค่เพียงครอบครัวของจ้าวอิงหนานและเหยียนโฮ่วเต๋อสองสามีภรรยารวมถึงอู่เหมย


เหยียนโฮ่วเต๋อจ้องเขม็งไปที่ถานซูฟาง ยิ้มให้กับจ้าวอิงหนานสองสามีภรรยา แล้วก็กลับบ้าน มีถานซูฟางตามหลังไปไวๆ เธอไม่ใช่คนโง่ วันนี้ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ เหยียนโฮ่วเต๋อจะต้องโมโหมากแน่นอน ไหนจะยังมีตาแก่ยายแก่หนังเหนียวสองคนนั้นอีก ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับเธออีกบ้าง!


แต่ว่าเธอไม่กลัวเลยสักนิด เหยียนโฮ่วเต๋อหูเบาเชื่อคนง่าย ตอนดึกเธอแค่ต้องพูดจาดีๆ และพูดคำหลอกลวงไม่กี่ประโยคก็ได้ผลแล้ว ส่วนพวกคนแก่หนังเหนียวพวกนั้น ก็อยู่ได้อีกไม่กี่ปีแล้ว เธอยิ่งไม่ต้องกลัว!


เพื่อนาคตของลูกชายสุดที่รัก ไม่ว่าอะไรเธอก็ยินดีที่จะทำ!


ชื่อเสียงก็เป็นแค่เพียงเสียงผายลม!


นางสนมของฮ่องเต้ต่างก็มีสมญานามกันทั้งนั้น!


เรื่องไร้สาระพวกนั้นของเธอจะกังวลอะไร ใครคนไหนจะกล้ามาพูดต่อหน้าเธอ?


นอกจากเหอปี้อวิ๋นที่โง่เขลาคนนี้ วันหลังต่อให้เธอจะส่งผลไม้ดีๆ มาให้กิน เหยียนโฮ่วเต๋อคงไม่ยกโทษให้นังประสาทนี่แน่นอน!


ถานซูฟางถือว่าเข้าใจความคิดของคนที่ร่วมเรียงเคียงหมอนได้ทะลุปรุโปร่งมาก เหยียนโฮ่วเต๋อไม่ใช่ว่าเกลียดเหอปี้อวิ๋นจนคันฟันไปหมดแล้วหรือ!


เรื่องตลกครั้งนี้แพร่กระจายไปยังอาคารครอบครัวเก่าแก่ในไม่ช้า ผู้ที่นำเรื่องงามหน้าแบบนี้มาเล่าอย่างละเอียดก็คือคุณย่าหยาง เธอโมโหจนแทบจะกระอักเลือด เรื่องคุณแม่ของเหยียนหมิงซุ่น สำหรับคนแก่สองคนอย่างพวกเขาแล้วถือเป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ เพราะฉะนั้นพวกเขาถึงไม่ชอบถานซูฟาง ไม่ชอบจนกระทั่งยังบอกให้ลูกชายกลับบ้านให้น้อยลงหน่อย


เพราะว่าเพียงแค่ได้เห็นสองคนนี้ พวกเขาก็จะนึกถึงลูกสะใภ้ที่น่าสงสารคนนั้น ในใจเจ็บปวดไปหมด ยิ่งรู้สึกอยากเอาแต่ขอโทษหลานชายคนโต ขอโทษที่ให้เธอแต่งงานเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน!


ทว่าวันนี้กลับดีหน่อย เหอปี้อวิ๋นนำเรื่องในอดีตที่ถูกแช่งแข็งไปนานแล้วกระทุ้งออกมาอีกครั้ง ทำเอาหัวใจแก่ๆ ของคนแก่อย่างพวกเขาทั้งคู่เลือดไหลโกรก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะโทษที่เหอปี้อวิ๋นพูดเรื่อยเปื่อย แต่ก็ยังเกลียดการยั่วยุของถานซูฟางมากกว่า


คิดว่าตัวเองเป็นใคร นึกไม่ถึงว่าจะวิ่งไปสั่งสอนลูกสาวของคนอื่นถึงในบ้าน แล้วเหอปี้อวิ๋นก็เป็นคนโง่ที่ปกป้องลูกของตัวเองสุดขีดอย่างกับอะไร คิดว่าเธอจะไม่โต้ตอบรุนแรงหรือ?


ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ยังเห็นว่าถึงขั้นเลือดตกยางออกกันแล้ว คนแก่ตระกูลเหยียนสองคนอย่างพวกเขาก็ยิ่งรังเกียจถานซูฟางมากถึงมากที่สุด หากไม่ใช่ว่าจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางชีวิตการรับราชการของลูกชายแล้วละก็ พวกเขาจะต้องให้ลูกชายเลิกกับนังผู้หญิงหน้าด้านอวดดีคนนี้แน่นอน!


ฝั่งจ้าวอิงหนานพาอู่เหมยมาที่บ้านของตัวเอง แถมยังบอกข่าวดีกับเธออีกด้วย


“เหมยเหมย กรมการศึกษาเลือกการแสดงของลูกกับมู่มู่ให้เข้าร่วมแสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองแล้ว ทั้งเมืองมีโรงเรียนเยอะขนาดนั้น แต่มีเพียงแค่การแสดงของพวกเธอโดนเลือกไปนะ”


…………………………………………..


ตอนที่ 466 ฉันไม่สนใจว่าจะเป็นโรคประสาท


ที่แท้เมื่อกี้เหยียนโฮ่วเต๋อมาบ้านตระกูลสยงก็เพราะจะพูดเรื่องนี้นี่เอง ส่วนใหญ่ก็เน้นหนักหนาว่าเขาพยายามกับเรื่องนี้มากเพียงใด แน่นอนว่าจ้าวอิงหนานรู้ว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร ไม่ใช่เพราะจะเอาใจตระกูลจ้าวหรือไง!


พูดให้ถูกก็คือ คิดจะเอาใจพี่ชายเล็กของเธอ จ้าวอิงหัว!


แต่ว่าเธอคิดไม่ถึงจริงๆ นับว่าการรับข่าวสารของเหยียนโฮ่วเต๋อค่อนข้างไวทีเดียว เธอยังเพิ่งจะรู้ แต่เหยียนโฮ่วเต๋อกลับสืบหาข่าวมาได้แล้ว


แน่นอนว่าเธอไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าการที่พวกอู่เหมยมาเข้าร่วมแสดงงานกลางคืนในเทศกาลตรุษจีนของเมืองแล้วถูกลอบกัดจะน่าแปลกตรงไหน ถึงแม้ว่าจะไม่ยุติธรรมกับการแสดงที่ยอดเยี่ยมของคนอื่นๆ แต่ว่าบนโลกใบนี้ไหนเลยจะมีความยุติธรรมที่แน่นอนล่ะ?


ถ้าหากว่าไม่สามารถทนดูการแสดงของพวกอู่เหมยได้ แน่นอนว่าจ้าวอิงหนานจะไม่รับไมตรีจากเหยียนโฮ่วเต๋อแน่นอน แต่ปัญหาก็คือการแสดงของพวกอู่เหมยยอดเยี่ยมมากจริงๆ ทำไมเธอจะยังต้องเสแสร้งเป็นคนมีคุณธรรมอีกล่ะ!


ตอนที่อู่เหมยมาถึงบ้านตระกูลสยง ในหัวยังคงสับสนมึนงง นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะสามารถเข้าร่วมแสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองได้?


สยงมู่มู่ เราไม่ได้ฝันกลางวันกันใช่ไหม!


“พี่ชายเคยพูดตั้งนานแล้วว่าได้ พวกเธอก็ยังไม่เชื่อฉัน แล้วเป็นไงล่ะ วันหลังต้องเชื่อฟังพี่ชายทุกเรื่องนะ!” สยงมู่มู่อวดเก่งอวดดี ยืน ตรงหน้าเด็กอ้วนน้อยกับเสี่ยวเหมยเหมยที่อ่อนน้อม


“ได้เลย ต่อไปฉันจะฟังที่นายพูดทั้งหมด!”


อู่เชาและอู่เหมยกระตือรืนร้นทุบไหล่ทุบหลังให้สยงมู่มู่อย่างขยันขันแข็งที่สุด เลื่อมใสด้วยความจริงใจ


แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยนึกถึงการเข้าร่วมแสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองเลย พวกเขามักจะรู้สึกว่ามันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไกลแสนไกล ทำได้แค่เพียงนั่งมองจากในทีวี แต่วันนี้พวกเขาได้ออกทีวีแล้ว


เหล่าญาติและเพื่อนนักเรียนตั้งเยอะจะสามารถชื่นชมการปรากฏตัวของพวกเขาในทีวี!


เป็นเรื่องที่สร้างหน้าสร้างตาได้มากเลย!


สามคนจินตนาการถึงอนาคตที่สดใสด้วยกัน ดูมีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่า แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรอคอยให้ตรุษจีนมาถึงขนาดนี้เลย!


“ใช่แล้ว เด็กอ้วนน้อยยังไม่รู้ล่ะสิ บ้านอารองของนายเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว จุ๊ๆ เลือดไหลโชกเลย!”


สยงมู่มู่ชอบใจที่เรื่องราวมันใหญ่โต นำเอาเรื่องเมื่อคืนวานมาถ่ายทอดอย่างออกรส อู่เชาได้ฟังก็ตกตะลึง สุดท้ายทอดถอนใจพูดมาหนึ่งประโยคว่า “มิน่าล่ะอู่เยวี่ยถึงได้เป็นโรคประสาท ต้นตอของเรื่องราวเป็นเพราะอาสะใภ้รองของฉันนี่เอง!”


“เพี้ยะ!”


หัวของเด็กอ้วนโดนตบไปหนี่งที เป็นผลงานชิ้นเอกของสยงมู่มู่ เด็กอ้วนน้อยถมึงตาจ้องมอง เขาพูดผิดตรงไหนกัน?


“วันหลังพูดถึงได้แค่อู่เยวี่ย อย่าพูดถึงเรื่องที่อาสะใภ้รองของนายเป็นโรคประสาท อย่าทำร้ายเหมยเหมย!” สยงมู่มู่พูดสั่งสอน


เมื่อคืนเขาได้ยินคนอื่นพูดว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นโรคประสาทก็รู้ว่าไม่ดี ถึงแม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะเป็นโรคประสาท ยิ่งสามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่าจิตใจของอู่เยวี่ยก็มีปัญหา แต่เรื่องยุ่งยากคืออู่เหมยก็จะซวยไปด้วย


เธอกับอู่เยวี่ยเป็นตั๊กแตนผูกติดอยู่กับเชือกเดียวกัน ทั้งหมดต่างก็เกิดมาจากแม่ แม่กับพี่ต่างก็เป็นโรคประสาทแล้ว อู่เหมยยังจะสามารถวิ่งหนีสิ่งนี้ได้อีกหรือ?


อู่เชาก็เป็นคนที่ฉลาด พอได้ฟังก็เข้าใจสิ่งที่สยงมู่มู่กังวล มองอู่เหมยอย่างกังวลใจ เขาคิดไปไกลและลึกซึ้งยิ่งกว่าสยงมู่มู่อีก กลัวแค่ว่าอู่เหมยจะหลบซ่อนไม่พ้น!


อู่เหมยกลับไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย พูดอย่างไม่สนใจว่า “แต่ฉันไม่กลัวหรอก คนอื่นจะพูดยังไงก็แล้วแต่ เป็นโรคประสาทก็ดีนะ ฆ่าคนก็ไม่ผิดกฎหมาย อย่างนี้คนอื่นๆ ก็ต้องกลัวฉันสิ มีอะไรไม่ดีตรงไหน?”


“เธอมันยัยโง่ ถ้าเธอเป็นโรคประสาทไปจริงๆ วันหลังใครยังจะกล้าแต่งงานกับเธอ?” สยงมู่มู่พูดอย่างเข้มงวดหวังให้อู่เหมยได้ดีในอนาคต


อู่เหมยยักไหล่ “ฉันไม่ได้วางแผนที่จะแต่งงานกับใคร แล้วนายจะเป็นห่วงเรื่องอะไร?”


สยงมู่มู่โดนตอกหน้าหงายจนลมหายใจติดขัด ถูกอู่เหมยสกัดจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงจ้องเขม็งไปที่เธอด้วยความแค้นใจ


อู่เชาถามถึงอู่เยวี่ย “วันนี้อู่เยวี่ยไม่มาเรียน ไม่ได้โดนทุบแรงมากใช่ไหม?”


“นอนอยู่ในบ้านน่ะ คุณย่าหยางให้พักผ่อน คุณพ่อขอให้เธอหยุดลาแล้วหนึ่งอาทิตย์” อู่เหมยบอก


…………………………………………..


ตอนที่ 467 จำเป็นต้องหย่า


เมื่อคืนวานที่อู่เยวี่ยได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นถือว่าหนักหนาสาหัสอยู่มาก สาหัสกว่าอู่เจิ้งซือเมื่อครั้งก่อนเสียอีก สภาพหัวของอู่เยวี่ยโดนทุบไปไม่เบาเลยนะ!


แต่ว่าครั้งนี้ที่เธอตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุดกลับได้ผลมาก อู่เจิ้งซือเปลี่ยนท่าทีที่เมื่อก่อนเย็นชา ไถ่ถามทุกข์สุขอย่างอบอุ่นอีกครั้ง น่าจะเป็นเพราะโดนจิตใจที่กตัญญูสละชีวิตเพื่อรักษาชีวิตพ่อของอู่เยวี่ยทำให้ซาบซึ้งใจล่ะมั้ง!


อู่เหมยกลับไม่ได้รู้สึกอะไรมากเป็นพิเศษ เดิมทีเธอก็ไม่ได้หวังอยู่แล้วว่าอู่เจิ้งซือจะสามารถทอดทิ้งอู่เยวี่ยได้ ตอนนี้เธอก็บรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว และการที่อู่เยวี่ยเป็นโรคประสาทก็กลายเป็นเรื่องจริงแล้ว


ต่อให้หลังจากนี้อู่เยวี่ยจะแสดงออกมาได้ดีเลิศเลอขนาดไหน ก็ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว!


คนอื่นอาจจะพูดว่า “ผู้หญิงคนถือว่าดีเลิศมากอยู่หรอก เพียงแต่น่าเสียดายที่เป็นโรคประสาท!”


‘โรคประสาท’ สามคำนี้ จะเป็นเครื่องพันธนาการอันหนักอึ้งที่จะลงโทษอู่เยวี่ยไปชั่วชีวิต เธอไม่ต้องคิดจะได้โงหัวขึ้นมาอีกเลย!


เด็กอ้วนตัวน้อยเป็นคนที่มานะพยายามในการเป็นลำโพงกระจายเสียง ในไม่นานก็ถ่ายทอดเรื่องชวนหัวของตระกูลอู่ให้กับพวกคุณปู่อู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ทำเอาคุณปู่โมโหแทบจะเส้นเลือดในสมองแตกออกมา


หลังจากคุณปู่อู่ตื่นขึ้นมา ก็โทรศัพท์เรียกหาอู่เจิ้งซือ สั่งสอนอย่างรุนแรงหนึ่งชุด คุณปู่รู้สึกผิดหวังกับลูกชายเป็นอย่างมาก ครึ่งปีที่ผ่านมา ในบ้านของลูกชายมีแต่เรื่องไม่หยุดเรื่องอื้อฉาวหนึ่งเรื่องต่อด้วยอีกหนึ่งเรื่อง หน้าแก่ๆ ของเขาไม่มีที่จะไว้แล้ว!


“หย่าซะ แกจำเป็นต้องหย่ากับเหอปี้อวิ๋น!” คุณปู่พูดอย่างเฉียบขาด อู่เจิ้งต้าวก็หมายความตามนี้เหมือนกัน


อู่เจิ้งซือลังเล แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีความรักความผูกพันธ์กับเหอปี้อวิ๋นแล้ว ที่เขากังวลก็คือหน้าที่อาชีพการงานของตัวเขาเองก็เท่านั้น


เขายังอยากพยายามให้ได้รับพิจารณารางวัลอาจารย์แบบอย่างอีกสามปีต่อไปอยู่!


แบบนี้เขาก็จะเป็นแบบอย่างของเมืองสิบปีติดต่อกัน ไม่พูดก็รู้กันอยู่ว่าแม้กระทั่งในเมืองจินก็หาไม่เจอแม้แต่คนเดียว


“คุณพ่อครับ ผมเป็นสมาชิคพรรค อีกทั้งผมยังคิดว่าปีหน้าจะก้าวหน้าไปอีกขั้น เมื่อก่อนพ่อกับพี่ใหญ่บอกว่าอย่าให้เรื่องหย่ามาส่งผลกระทบต่อการงานของผมไม่ใช่หรอกหรือ?” อู่เจิ้งซือรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง


เห็นได้ชัดว่าครั้งที่แล้วเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะหย่ากับเหอปี้อวิ๋น พ่อกับพี่ใหญ่กลับพูดโน้มน้าวให้หยุดไว้ บอกให้เขาคิดทบทวนก่อนลงมือทำ ไม่ควรจะเสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็ก


แต่ตอนนี้กลับบอกให้เขาหย่า ช่างขัดแย้งกันจริงๆ!


อู่เจิ้งต้าวพูดว่า “สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้น แน่นอนว่าตอนนั้นไม่สามารถหย่าได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจิตของเหอปี้อวิ๋นไม่ปกติไม่ใช่เหรอ อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรง นายหย่าก็เพราะว่าจะปกป้องความปลอดภัยส่วนตัวของตัวเองและลูกๆ กฎหมายก็มีข้อกำหนดระบุเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้สักคำ!”


คุณปู่อู่มองลูกชายคนโตด้วยความชื่นชม สุดท้ายแล้วก็มีแต่ลูกชายคนโตที่คิดได้ลึกซึ้งรอบคอบ ระดับความคิดลึกซึ้งของลูกคนที่สองยังด้อยกว่า!


อู่เจิ้งซือคิดได้ในทันที ดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เขาทำไมถึงไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยนะ!


“ใช่แล้ว เหอปั้อวิ๋นเป็นโรคประสาท หย่ากับคนเป็นโรคประสาทเป็นหลักการที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย พ่อ พี่ใหญ่ วันพรุ่งนี้ผมจะไปทำเรื่องหย่าทันที!” อู่เจิ้งซืออดทนรอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว


สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้เขารังเกียจเหอปี้อวิ๋น ผู้หญิงคนนั้นมากขนาดไหน!


รังเกียจแม้กระทั่งการต้องอยู่ร่วมห้องกับเธอ!


“ยังไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ยังไม่สามารถทำให้คนอื่นรู้สึกได้ว่าพวกเราตระกูลอู่ไม่มีน้ำใจ เรื่องหย่ารอผ่านพ้นปีใหม่ไปก่อนค่อยเอ่ยถึง นายอยู่ที่บ้านก็อย่าแสดงท่าทีที่แสดงออกถึงเจตนาหรือความในใจออกมา เพื่อจะได้ไม่ไปกระตุ้นเหอปี้อวิ๋นอีกก็แล้วกัน” อู่เจิ้งต้าวพูดห้ามปรามขึ้นมา


คุณปู่อู่ก็พยักหน้าพูดขึ้นมาว่า “พี่ชายแกพูดถูก จะทำเรื่องอะไรก็ตามก็อย่าเหลือจุดอ่อนไว้ให้คนอื่นเล่นงานได้ ลูกรองแกก็เรียนรู้จากพี่ชายให้มากๆ หน่อย ทุกเรื่องจะต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบ!”


“ใช่!”


อู่เจิ้งซือเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ เทียบกับพ่อและพี่ชายแล้ว เขาขาดการพิจารณาให้รอบคอบจริงๆ


ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกับเหอปี้อวิ๋นอีกเดือนกว่าๆ แต่จิตใจของเขาก็ดีขึ้นมาก ยืนหยัดอย่างมากที่สุดก็สองเดือน เขาก็จะหลุดพ้นจากเธอได้แล้ว!


แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง?


ยี่สิบปีก่อนอิงหัวผู้หยิ่งยะโสโอหังคนนั้นจะอยู่หรือตายก็ไม่มีใครรู้ ไม่แน่ตอนนี้ซินหย่าอาจจะยังโสดอยู่!


จิตใจของอู่เจิ้งซือกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง รอคอยให้ตรุษจีนรีบๆ ผ่านไปให้ไวเป็นอย่างยิ่ง!


…………………………………………..


ตอนที่ 468 คะแนนสอบปลายภาคก้าวหน้าขึ้นเยอะ


คุณปู่อู่กับอู่เจิ้งต้าวก็อารมณ์ดีไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องของเหอปี้อวิ๋นแม่ลูกที่ทำให้ไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก แต่ข่าวดีก็ช่างทำให้ทั้งสองคนตื่นเต้นฮึกเหิมขึ้นมาได้อีกครั้ง


“อู่เหมยเด็กคนนี้มีความพยายามมุมานะไม่เป็นรองใคร วันหลังลูกรองจะต้องเลี้ยงดูสั่งสอนเธอให้ดีๆ ฉันประเมินคร่าวๆ แล้ว ต่อไปความรุ่งโรจน์ของครอบครัวพวกเราคงต้องเพิ่งเสี่ยวเชากับเหมยเหมย” คุณปู่เอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก


อู่เจิ้งซือลำพองใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังถ่อมตนพูดว่า “เสี่ยวเจี๋ยกับเหวินเฟิงพวกเขาก็ดีเหมือนกัน”


คุณปู่ส่ายหน้า ถอนหายใจพูดว่า “เสี่ยวเจี๋ยกับเหวินเฟิงฉลาดก็ฉลาดอยู่ แต่พรสวรรค์กลับมีน้อย หลังจากนี้ไปหากมีวินัยประพฤติดีมีระเบียบกลางๆ ก็ถือว่าใช่ได้มากแล้ว แต่คิดอยากจะเป็นคนเหนือคนน่ะยาก!”


พูดก็พูดเถอะ ถึงคุณปู่จะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวชอบประจบเอาใจผู้อำนาจแต่ยโสโอหังกับคนที่ต่ำต้อยกว่า แต่สายตากลับร้ายกาจ ลูกพี่ลูกน้องสองคนนี้ชาติที่แล้วก็เป็นแค่คนที่มีวินัย ประพฤติดีมีระเบียบในระดับกลางๆ ไม่ใช่หรือไง!


อู่เจิ้งซือยังเสียดายอยู่บ้าง เสียดายที่อู่เหมยไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา ถ้าหากคนที่เข้าร่วมงานกลางคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองเป็นอู่เยวี่ย เขาจะยิ่งดีใจมากกว่านี้อีก


ความรุ่งโรจน์ของอู่เหมยทำให้เขาหวาดผวาไม่น้อย ขโมยมาอย่างไรก็คือขโมยมา เขากังวลอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเธอค้นพบความจริง แล้วมาตรวจสอบกับเขา เขาควรจะทำอย่างไร?


แต่ว่าเขาก็สงบใจลงมาได้อย่างรวดเร็ว เรื่องนี้เขามั่นใจเต็มร้อยว่าไม่มีวันทำพลาด เหยียนซินหย่าจะไม่มีวันค้นพบ เขาไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองวิตกกังวล อู่เหมยเป็นลูกสาวของเขา จะไม่มีใครสงสัยหรือซักถามแน่นอน!


สามพ่อลูกตระกูลอู่มีความสุขที่ได้ชี้ขาดหนทางของเหอปี้อวิ๋น แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำถึงอู่เยวี่ย


หลานสาวคนนี้ทำให้เขาภูมิใจอย่างที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้ในอดีต (ทั้งแม่ทั้งลูกสาว) แต่ตอนนี้กลับมีแต่เรื่องอัปยศอดสู เกรงว่าเวลาผ่านไปอีกหน่อย พวกเขาอาจจะไม่พูดถึงชื่อนี้อีกเลย!


อีกไม่นานก็จะปิดเทอมฤดูหนาวแล้ว หลังจากใช้เวลาสามวันที่บ้าน อู่เหมยก็มาโรงเรียนอีกครั้งเพื่อรับใบแจ้งผลการเรียน เธอทั้งคาดหวังแล้วก็กังวล สอบปลายภาคครั้งนี้ที่เธอได้เขียนอธิบายไป ตัวเธอเองก็รู้สึกว่าออกมาดีไม่น้อย ตอนนี้แค่เพียงอยากเห็นใบแจ้งผลการเรียนไวๆ ว่าเธอได้คะแนนบรรลุเป้าหมายที่คาดเอาไว้หรือไม่


“นักเรียนอู่เหมยเทอมนี้มีพัฒนาการมากที่สุด สมุดโน้ตเล่มนี้อาจารย์ตั้งใจซื้อมาให้นักเรียนอู่เหมยเป็นพิเศษ หวังเป็นอย่างมากกว่าเทอมหน้านักเรียนอู่เหมยจะสามารถปกป้องความภูมิใจนี้ได้อย่างอดทน รักษาคะแนนดีๆ ให้คงอยู่ต่อไป และพยายามก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นให้ได้ ต่อไปเธอจะได้มีระดับที่สูงขึ้นไปอีกนะ!”


อาจารย์อู่นำสมุดโน้ตปกหนังเล่มหนากับใบแจ้งผลการศึกษาส่งให้อู่เหมย ในสมุดโน้ตหน้าที่สองเขียนไว้สองบรรทัดเป็นตัวหนังสือที่เรียบร้อยแต่ทรงพลัง เขียนไว้ว่า : ‘ปกป้องความภูมิใจอย่างอดทน รักษาให้คงอยู่ต่อไป ตั้งใจเรียนล่ะ!’


อู่เหมยรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เกรดเฉลี่ยของการสอบปลายภาคนั้นเกินกว่าที่เธอคาดหวังไว้มาก วิชาภาษาเก้าสิบคะแนน วิชาคณิตศาสตร์เก้าสิบสองคะแนน วิชาภาษาอังกฤษเก้าสิบห้าคะแนน ตอนที่ได้รับใบแจ้งผลการศึกษา เธอไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยด้วยซ้ำ


คะแนนแบบนี้มากจนกระทั่งสามารถเบียดขึ้นไปเป็นสิบอันดับแรกของชั้นเรียนได้!


จากอันดับโหล่สุดมาจนได้สิบอันดับแรกของชั้นเรียน แม้กระทั่งตัวอู่เหมยเองก็นึกไม่ถึงว่าเธอจะได้คะแนนที่ดีขนาดนี้!


คะแนนที่เป็นที่น่าพอใจกับการรับรองของอาจารย์ อู่เหมยมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก เธอหันไปพยักหน้าให้อาจารย์อู๋รัวๆ ไม่ต้องให้อาจารย์สั่ง เทอมหน้าเธอก็จะตั้งใจเรียนและพยายามก้าวขึ้นไปอีกขั้น


“ภาคเรียนนี้จบแล้ว อาจารย์ต้องการจะเตือนสักสองสามประโยค ปิดเทอมฤดูหนาวอยู่บ้านก็ต้องใส่ใจกับความปลอดภัย โดยเฉพาะนักเรียนชาย ตอนจุดประทัดจะต้องระมัดระวัง อาจารย์ไม่ต้องการเห็นนักเรียนได้รับบาดเจ็บเพราะจุดประทัดในตอนเปิดเทอมหน้า พวกเธอจำไว้แล้วใช่ไหม?”


อาจารย์อู๋มักจะพูดซ้ำซากน่าเบื่อ ปิดเทอมฤดูหนาวทุกปี เธอก็จะชอบเน้นเรื่องจุดประทัดเป็นประจำ เหมือนกับปิดเทอมฤดูร้อน อาจารย์อู๋ก็จะพูดเน้นว่าไม่ให้ว่ายน้ำ ทุกปีก็เป็นเช่นนี้


พวกนักเรียนส่งเสียงดังว่า “จำไว้แล้วค่ะ/ครับ!”


อาจารย์อู๋ยิ้มตาหยีพูดว่า “อาจารย์จะพูดเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่อง เพื่อนร่วมชั้นอู่เหมยและเพื่อนร่วมชั้นอู่เชาจะมีการแสดงในงานกลางคืนเทศกาลตรุษจีนของเมือง ถึงตอนนั้นพวกเธอจะต้องดูโทรทัศน์กับพ่อแม่ปู่ย่าตายายนะ นี่เป็นชื่อเสียงเกียรติยศของห้องพวกเราเลยนะ!”


…………………………………………..


ตอนที่ 469 อู่เยวี่ยผู้ตกลงไปในโคลนตม


                ทางด้านอู่เหมยเต็มไปด้วยความปลื้มปีติยินดี ส่วนทางด้านอู่เยวี่ยกลับเงียบสงัด วันนี้เธอก็กลับไปที่โรงเรียนเอาใบแจ้งผลการเรียนเช่นกัน ท่ามกลางความคาดหวังของอาจารย์และเพื่อนนักเรียน คะแนนของอู่เยวี่ยกลับไม่เป็นที่พึงพอใจ แม้ห้าสิบอันดับแรกของทั้งโรงเรียนเธอก็ยังไม่ได้


                ได้อันดับหกสิบแปดของทั้งโรงเรียน ก็เป็นตัวเลขที่ดีมากแล้ว!


                แต่สำหรับเหอปี้อวิ๋นสองแม่ลูกและอู่เจิ้งซือแล้ว ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่ขวางหูขวางตาอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบ ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกอัปยศอดสูมากขึ้นไปอีก


                ตั้งแต่ที่อู่เยวี่ยได้รับใบแจ้งผลการเรียนมาจากมือของของอาจารย์ประจำชั้น สายตาของอาจารย์ประจำชั้นก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา อีกทั้งยังมีความผิดหวังเป็นอย่างมาก เห็นกับตาตัวเองว่านักเรียนยอดเยี่ยมคนหนึ่ง จากอันดับหนึ่งของทั้งโรงเรียน ก้าวเดินทีละก้าวทีละก้าวลดลงไปถึงอันดับที่หกสิบแปดของทั้งโรงเรียน ไม่รู้เลยว่าอาจารย์ประจำชั้นของอู่เยวี่ยถอนหายใจอยู่ลับหลังไปมากเท่าไร


                ช่างน่าเสียดายเป็นอย่างมากจริงๆ!


                แต่สิ่งที่ทำให้อาจารย์ประจำชั้นยิ่งรู้สึกเสียดายมากที่สุดก็คือ ความประพฤติของอู่เยวี่ยเด็กคนนี้!


                เธอสามารถทนต่อนักเรียนที่สอบตกแล้วก็สามารถทนกับนักเรียนที่ดื้อดึงสร้างความวุ่นวายได้ แต่เธอไม่สามารถทนกับนักเรียนที่มีความประพฤติที่เลวร้ายได้อย่างเด็ดขาด ประจวบเหมาะกับที่อู่เยวี่ยทำความผิด นั่นทำให้เธอกลัวเป็นอย่างมาก


                แม้กระทั่งน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองก็ยังลอบทำร้ายได้ นักเรียนแบบนี้ต่อให้คะแนนดีแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถรักใคร่เอ็นดูได้จริงๆ


                ยิ่งไปกว่านั้นอู่เยวี่ยยังมีปัญหาเรื่องโรคประสาท ได้ยินมาว่าเป็นโรคประสาทที่มีผลกระทบร้ายแรงถ่ายทอดกรรมพันธุ์ส่งต่อให้กับคนในครอบครัวที่สืบเชื้อสายร่วมกัน ตอนที่อาจารย์ประจำชั้นได้ยินข่าวนี้ เธอตกใจเสียยิ่งกว่าใคร แต่หลังจากได้เห็นผ้าพันแผลอยู่รอบหัวอู่เยวี่ยตอนที่มาเรียน เธอจะไม่เชื่อก็ไม่ได้


                แม้กระทั่งลูกสาวแท้ๆ เหอปี้อวิ๋นยังลงมือได้โหดเหี้ยมขนาดนี้ แสดงว่าโรคประสาทนี้คงจะมีอาการหนักหนาสาหัสพอสมควรเลยทีเดียวเชียว!


                โรคประสาทของแม่ต่อให้หนักหนาสาหัสเช่นนั้น แสดงให้เห็นว่าอาการทางประสาทของอู่เยวี่ยก็ไม่ได้ดีมากไปกว่ากัน อาจารย์ประจำชั้นมองอู่เยวี่ยอย่างเสียดายแถมยังเห็นใจ หยิบเอาใบแจ้งผลการเรียนมอบให้บนมือของเธอ และพูดเบาๆ ขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ตั้งใจเรียนให้ดีล่ะ!”


                เรื่องๆ อื่นเธอก็ไม่ได้พูดอะไร อู่เยวี่ยกัดฟันแล้วกัดฟันอีก หยิบเอาใบแจ้งผลการเรียนกลับไปตรงที่นั่งของตัวเอง


                บาดแผลบนหัวของเธอยังไม่หายดีทั้งหมด ยังคงพันผ้าพันแผลเอาไว้ อีกทั้งเพียงแค่เธอตื่นเต้นนิดหน่อย เธอก็จะปวดหัวจนแทบจะแตกเหมือนกับจะระเบิดออกมา


                ไม่เพียงแต่คะแนนที่ตกลงไปอย่างชัดเจน แม้กระทั่งประกาศนียบัตรอู่เยวี่ยก็ไม่ได้ติดมือกลับมาสักใบ เมื่อก่อนทุกๆ เทอมเธอจะได้รับประกาศนียบัตรนักเรียนสามดี[1]กลับมาสักใบ และยังมีแม้กระทั่งประกาศนียบัตรนักเรียนดีเด่นของโรงเรียน


                เดิมทีอาจารย์ประจำชั้นคิดจะทำประกาศนียบัตรนักเรียนสามดีให้เธอหนึ่งใบเพื่อให้กำลังใจ ถึงอย่างไรคะแนนของเธอก็มีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ ของห้อง แต่รองอาจารย์ใหญ่กลับห้ามไว้ เหตุผลก็คือความประพฤติไม่ดี


                คนที่มีความประพฤติไม่ดี จะมีคุณสมบัติอะไรได้รับใบประกาศนียบัตรนักเรียนสามดี?


                “เฮ้ย! พวกเธอวันหลังอยู่ให้ห่างอู่เยวี่ยหน่อย เธอเป็นโรคประสาท อาการกำเริบขึ้นมาแม้กระทั่งคนใกล้ๆ ก็ยังกล้าฆ่าเลยนะ คนบ้าฆ่าคนไม่ผิดกฎหมายด้วย เธอเป็นหนู พวกเราเป็นเครื่องหยก ถ้าโดนเธอทุบ พวกเราจะซวยมากเลยนะ!”


                อู่เยวี่ยได้ยินเสียงกระซิบที่มาจากด้านหลัง เสียงดังมาก ราวกับว่าต้องการให้เธอได้ยิน ทุกคำและทุกประโยคต่างผ่านเข้ามาในหูของเธอทั้งหมด เธอไม่อยากจะได้ยินก็คงจะยาก


                เธอพักผ่อนอยู่ที่บ้านอาทิตย์หนึ่งก็ไปโรงเรียน ตอนที่ไปโรงเรียนก็พบว่าตัวเองโดนคนทั้งโรงเรียนปลีกตัวออกห่างโดดเดี่ยวที่สุด ไม่มีแม้แต่สีหน้าและอารมณ์ความรู้สึกส่งมาถึงเธอเลย ไปไกลจนกระทั่งมีคนไม่น้อยที่เรียกเธอลับหลังว่ายัยบ้า


                ทุกคนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนมีมีดทิ่มแทงเข้าที่ร่างเธอทีละแผล เจ็บปวดรวดร้าวถึงหัวใจ


                อู่เยวี่ยไม่มีแรงที่จะโต้เถียงกับเพื่อนนักเรียนแล้ว เวลานี้เธออยากจะมีคนพูดคุยด้วยเป็นอย่างมาก เธอไม่ชอบพวกที่ปฏิบัติแบ่งแยกแตกต่างกันแบบนี้ เหมือนกับอู่เหมยเมื่อก่อนอย่างไรอย่างนั้น


                เธอเงยหน้าโดยไม่รู้ตัว คิดอยากจะหาเงาของคนที่คุ้นเคย แต่กลับไม่ค้นพบ ความผิดหวังลึกๆ โจมตีที่หัวใจ


                เวลานี้เธอถึงจะนึกขึ้นมาได้ คนนั้น คนที่มักจะยืนอยู่ข้างกายเธออย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตั้งหลายวันแล้วที่เขาไม่ได้ปรากฏตัว


                เหยียนหมิงต๋ามองอู่เยวี่ยอยู่ไกลๆ เห็นกับตาว่าเธอโดนเพื่อนร่วมห้องเย้ยหยันอย่างโดดเดี่ยว รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าเข้าไป ถ้าหากพ่อแม่รู้เข้า จะต้องสั่งสอนเขาอย่างรุนแรงเป็นแน่


                หรือว่ารอตอนที่ไม่มีคนค่อยไปหาเยวี่ยเยวี่ยดีกว่า!


…………………………………………..


ตอนที่ 470 กองไฟในหน้าหนาว


                ปิดเทอมฤดูหนาวอู่เหมยก็ไม่ได้หยุดพัก ทุกๆ วันเธอจะต้องไปคณะวัฒนธรรมของเมืองเพื่อฝึกซ้อมการแสดงกับอู่เชาและสยงมู่มู่ ลูกพี่ลูกน้องของสยงมู่มู่ชี้แนะพวกเขาด้วยตนเอง ลูกพี่ลูกน้องของสยงมู่มู่คนนี้ชื่อว่าสยงชิงชิง อายุสิบเก้าปี เป็นลูกสาวของลุงสยงมู่มู่ เธอดีดสีตีเป่าร้องเต้นและทำการแสดงได้อย่างชำนาญมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีทักษะไหนที่เธอทำไม่ได้ จะมีก็เพียงเธออ่านหนังสือไม่ออกเท่านั้น


                เธอเรียนมัธยมปลายผ่านมาอย่างกระท่อนกระแท่นและเอ้อระเหยไปวันๆ จนจบ กระทั่งต้นปีนี้ก็ได้เข้ามาคณะวัฒนธรรม ครั้งนี้หมือนปลาได้น้ำ ไม่ถึงครั้งปีก็กลายเป็นตัวเอกของคณะวัฒนธรรม หน้าที่การแสดงมีการวางตัวไว้ถึงปีหน้า งานคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองปีนี้ สยงชิงชิงก็ต้องทำการแสดงเช่นกัน การร้องเพลงเดี่ยวระดับเสียงสูงโซปราโนในเพลง <หิมะทางเหนือข้างกำแพงเมืองจีน> เป็นการแสดงที่เธอเชี่ยวชาญมาก


                นอกจากร้องเพลง พรสวรรค์ด้านอื่นๆ ของสยงชิงชิงก็เก่งมาก อีกทั้งคนอื่นๆ ในคณะต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาเฉพาะทางด้านการแสดง ฝีมือเก่งกว่าเฮ่อเหวินจิ้งไม่มากไม่น้อยไปกว่ากันเลย เมื่อเพิ่งเห็นพวกอู่เหมยแสดงไปรอบหนึ่ง ก็รู้ว่าตรงไหนที่ควรแก้ไข


                พวกอู่เหมยเดิมยังไม่เลื่อมใสสักเท่าไร แต่พอหลังจากได้รับการแก้ไขจากสยงชิงชิง ผลของการแสดงก็มีความสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นจริงๆ


                นี่แหละคือผู้เชี่ยวชาญ พอลงมือทำก็ถึงได้รู้ว่ามีหรือไม่มีฝีมือ สมแล้วที่สยงชิงชิงเป็นมืออาชีพด้านการแสดง พื้นฐานของเธอดีอย่างแท้จริง แม้กระทั่งสยงมู่มู่หนุ่มน้อยที่หยิ่งทะนง อยู่ต่อหน้าเธอยังต้องเก็บหางให้เรียบร้อย


                สยงชิงชิงเป็นคนนิสัยสบายๆ ไม่อินังขังขอบอะไร หน้าตาไม่งดงามเท่าลูกพี่ลูกน้องของเธอ แต่ก็เป็นหญิงสาวที่สวยวิจิตรเลยทีเดียว โดยเฉพาะรูปร่างที่ดีมาก สัดส่วนเว้าโค้งดูมีเสน่ห์ ด้านหน้านูนด้านหลังงอนราวกับตัวเอส เป็นรูปร่างที่ดีจริงๆ


                อีกทั้งผู้หญิงคนนี้แต่งตัวได้ทันสมัยมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้เป็นยุดแปดสิบ แต่การแต่งหน้าและจับคู่เสื้อผ้าของสยงชิงชิงก็ถือได้ว่าหากจับไปไว้ในยุคหลังก็ยังดูไม่ล้าสมัย


                ผมยาวดัดเป็นลอนใหญ่เบาๆ แต่งหน้ามีสีสันเล็กน้อย ต่างหูขนาดใหญ่ ท่อนบนเป็นยีนส์เดนิมและกางเกงหนังสีดำ รองเท้าบูทหนังแกะที่ยาวถึงหัวเข่า จากนั้นสวมเสื้อโค้ทยาวสีเบจ ไม่ได้ด้อยไปกว่านางแบบเสื้อผ้าแฟชั่นเลย ถ้าไปเดินบนถนน จะต้องดึงดูดผู้คนให้มองมาเต็มร้อยถึงสองร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นแน่


                ตั้งแต่สยงชิงชิงแต่งหน้าแต่งตัว อู่เหมยก็สามารถประเมินลักษณะนิสัยใจคอของเธอได้ จะต้องเป็นหญิงสาวที่ดื้อรั้นแล้วก็หยิ่งยโสนิดหน่อย แต่ในเนื้อแท้ก็ยังเป็นหญิงสาวที่อนุรักษ์นิยมอยู่


“พี่ชิงชิง พี่ใส่แบบนี้ดูดีมากจริงๆ เหมือนกับดาราในหนังเลย”


                อู่เหมยชมเชยอย่างใจกว้างชมเชยไม่หยุด จริงใจร้อยเปอร์เซ็นต์ สยงชิงชิงสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานทันที


                “ดูปากหวานเล็กๆ ของเธอสิ สายตาก็ดี เป็นคนที่มีความรู้คนหนึ่งเลยนะเนี่ย”


                สยงมู่มู่กรอกตามองบน เขาไม่เห็นจะรู้สึกว่าสวยตรงไหน ไม่ต้องพูดถึงว่าใส่แล้วทั้งดูแก่ทั้งแปลกประหลาด แต่งหน้าก็เหมือนผีไม่มีผิด แค่ดูก็ไม่เหมือนผู้หญิงที่สูงส่งแล้ว


                “ปั้นน้ำเป็นตัว ดูดีอะไร ป้าที่ไปซื้อผักในตลาดยังจะดูดีซะกว่า!” สยงมู่มู่กระซิบเสียงเบา


                อู่เชากลืนน้ำลาย ไม่ง่ายเลยกว่าจะละสายตาไปจากร่างของสยงชิงชิงได้ พูดกระซิบประท้วงว่า “ลูกพี่ลูกน้องของนายดูดีมากนะ เหมือนกับกองไฟในหน้าหนาวยังไงอย่างนั้น ฉันมองจนรู้สึกร้อนๆ อุ่นๆ เลย!”


                สยงมู่มู่ที่โดดเดี่ยวไม่มีใครสนับสนุนเห็นด้วยก็ยิ่งโมโห ฉุนกึกพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “คนในครอบครัวพวกเธอสายตาต่างมีปัญหากันหมดสินะ อะไรคือกองไฟในหน้าหนาว ฉันมองแล้วก็เป็นแค่กองหญ้าป่าในหน้าหนาวแค่นั้นเอง ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด!”


                สยงชิงชิงกับอู่เหมยมองบนใส่พวกเขาพร้อมกัน ตามีแต่ขี้ตาจริงๆ สายตาอะไรของนายกัน!


                “พี่ชิงชิง พี่ตื่นเต้นไหม?”


                อู่เหมยรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง พรุ่งนี้เป็นการซ้อมการแสดงก่อนจะแสดงจริง ถึงตอนนั้นผู้นำรัฐบาลของเมืองจิน รวมไปถึงบุคคลมีชื่อเสียงที่น่านับถือมีเกียรติของทั้งเมืองต่างจะนั่งดูการแสดงอยู่ที่โต๊ะ


                ถ้าหากว่าเกิดอุบัติเหตุ คงจะหน้าแตกอย่างถึงที่สุด!


                ถึงแม้ว่าสยงชิงชิงจะมีประสบการณ์การแสดงผ่านมามากมาย แต่งานคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองที่มีมาตรฐานแบบนี้ก็ยังถือว่าเป็นครั้งแรก จึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา แต่ว่าต่อหน้าอู่เหมยเด็กน้อยพวกนี้ แน่นอนว่าเธอไม่สามารถแสดงความขี้ขลาดออกมาได้


                “มีอะไรให้ตื่นเต้น เธอก็คิดซะว่าคนข้างล่างเป็นท่อนไม้ก็จบ ปกติเต้นยังไงก็เต้นแบบนั้นแหละ อย่าไปกลัว!”


                คำพูดของสยงชิงชิงเหมือนกับเจียงซินเหมยไม่มีผิด อู่เหมยอดไม่ได้ที่จะมุ่ยปาก เธอจะเอาความใจกล้ามาจากไหนถึงจะมองเลขาธิการคณะกรรมการเทศบาลพวกนั้นเป็นขอนไม้ท่อนซุงได้?


                สยงมู่มู่นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง พูดขึ้นมากะทันหันว่า “ไม่ต้องให้ถึงเวลานั้นหรอก คุณป้าเล็กของฉันก็จะไปดูการแสดงด้วยนะ!”


…………………………………………..


[1] นักเรียนสามดี คือ ความประพฤติดี การเรียนดีและสุขภาพ ซึ่งจะมีประกาศนียบัตรทุกปลายภาคให้


ตอนที่ 471 สุขภาพร่างกายของคุณป้าเล็กแย่มากแย่มากๆ


สยงชิงชิงถามอย่างแปลกใจว่า “คุณป้าเล็กของนายไม่ใช่อยู่ทางภาคใต้หรอกเหรอ? ทำไมถึงได้มาถึงนี่ได้?”


สยงมู่มู่มีใจคิดอยากจะเอาข่าวเรื่องที่คุณลุงเล็กของเขากำลังจะเข้ามารับตำแหน่งพูดออกมา แต่จ้าวอิงหนานกลับดึงหูของเขาเพื่อเตือนไม่ให้เขาพูดเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ไม่อย่างนั้นทั้งคู่จะได้รับการปรนนิบัติอย่างจัดหนักจัดต็มชุดใหญ่


เขาอดทนต่อหัวใจที่กำลังปั่นป่วน พูดว่า “ก็ก่อนที่คุณลุงเล็กของฉันจะกลับเมืองหลวงเพื่อฉลองปีใหม่ เขาจะมาที่เมืองจินเพื่อพาคุณป้าเล็กไปหาหมอ แล้วก็ค่อยกลับเมืองหลวงเพื่อฉลองปีใหม่ด้วยกันกับครอบครัวฉันไงล่ะ”


สุขภาพของเหยียนซินหย่ายิ่งนานยิ่งแย่ กินยาไปแล้วนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่ได้ผล ทุกๆ วันจ้าวอิงหัวได้แต่ตื่นตระหนกหวาดกลัว เขากลัวว่าภรรยาของเขาจะจากไปก่อนเขาและลูกชาย แล้วไปอยู่กับลูกสาวเขา


นั่นเป็นเหตุผลที่พอจ้าวอิงหัวได้ยินน้องสาวบอกว่าที่เมืองจินมีหมอเทวดา มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนรีเวชวิทยา เขาก็ตัดสินใจมาเพื่อขอคำปรึกษา ไม่ยอมรอถึงฤดูใบไม้ผลิ


หลายปีที่ผ่านมาเขาก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงได้ยินข่าวคราวว่าที่ไหนมีหมอเทวดา เขาจะพาภรรยาของเขาไปที่นั่นเพียงขอให้จ่ายยาให้ เพียงแต่น่าเสียดาย หาหมอมาเยอะขนาดนี้ สุขภาพร่างกายของภรรยายังคงไม่ดีขึ้นมาเสียเลย


แต่จ้าวอิงหัวแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ ขอเพียงยังมีความหวังเส้นบางๆ เขาจะยืนหยัดมุ่งมั่นไม่ท้อถอยอย่างแน่นอน!


อู่เหมยนึกขึ้นมาได้ ถามอย่างเป็นห่วงว่า “สุขภาพร่างกายของคุณป้าเล็กนายแย่มากไหม?”


“ฉันก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก แต่ว่าตอนฉันยังเด็กร่างกายของเธอก็แย่มากแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าดีขึ้นหรือยัง?” สยงมู่มู่รู้สึกเศร้าสลด เขาชอบผู้หญิงที่ทั้งสวยและอบอุ่นคนนั้นมากจริงๆ หวังว่าเธอจะมีชีวิตที่ดี อายุยืนร้อยปี


ระหว่างทางที่กลับบ้าน สยงมู่มู่ดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา น่จะเป็นเพราะนึกถึงเหยียนซินหย่า ดูท่าทางบูดบึ้งไม่พูดไม่จา


“อันที่จริงคุณป้าเล็กของฉันร่างกายย่ำแย่มากๆ ฉันได้ยินพ่อแม่พูดลับหลังว่า ถ้าหากคุณป้าเล็กยังหาคุณหมอที่เก่งไม่เจออีก มีความเป็นไปได้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่ปี!”


สยงมู่มู่สูดจมูก จ้าวอิงหนานไม่ได้พูดคำพูดพวกนี้ต่อหน้าเขา เป็นเขาไปแอบได้ยินมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะเผชิญกับเวลาที่มีญาติใกล้ตัวตายจากไป ทำให้หลายวันมานี้เขามักจะไม่มีความสุขอยู่เสมอ


อู่เหมยตกใจยกใหญ่ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยเจอคุณป้าเล็กของสยงมู่มู่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ผู้หญิงคนที่เธอไม่เคยเจอเลยคนนี้มักจะทำให้เธอเป็นห่วงโดยไม่มีสาเหตุ หวังแค่เพียงว่าเธอจะมีชีวิตที่ดี


แต่ตอนนี้เธอกลับได้ยินข่าวร้ายนี้อย่างกะทันหัน ความรู้สึกภายในใจของอู่เหมยก็แย่ลงทันที!


“เธออย่ากังวลมาก พี่หมิงซุ่นบอกว่าคุณหมอคนนั้นเก่งมากๆ คุณยายของพี่หมิงซุ่น ยังมีแม่ของพี่เหมยซูหาน ต่างก็ล้มป่วยมาสิบกว่าปี เพียงแค่กินยาที่คุณหมอจ่ายให้ไม่กี่ชุด ตอนนี้ต่างก็ลงจากเตียงได้แล้ว คุณป้าเล็กของนายต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ นายวางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย!”


อู่เหมยปลอบใจสยงมู่มู่ แล้วก็เพื่อคลายกังวลใหตัวเองในเวลาเดียวกัน


สยงมู่มู่พอได้ยินว่าคุณหมอเทวดาเก่งขนาดนี้ ก็มีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กน้อยที่ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไร ไม่นานก็มีความสุขขึ้นมาแล้ว


อู่เหมยกลับเก็บเรื่องเอาไว้ในใจ ตั้งใจจะหาเวลาไปถามเหยียนหมิงซุ่นว่า หมอเทวดาคนนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ สามารถรักษาคุณป้าเล็กของสยงมู่มู่ให้หายได้ไหม!


ระยะนี้เหยียนหมิงซุ่นยุ่งมากๆ เพราะว่าซื้อบ้านหลังใหญ่หลังนั้น สภาพการเงินของเขาว่างเปล่ามาก แม้กระทั่งเงินที่ติดอู่เหมยไว้ก็ยังไม่ได้คืน เพิ่งจะปิดเทอมฤดูหนาว เหยียนหมิงซุ่นก็เริ่มที่จะหาเงินแล้ว เขาไปรับซื้อของเก่ากับลุงเล็กทั่วทุกสารทิศด้วยกัน ยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นเลยทีเดียว


หลายวันมานี้เขากับลุงเล็กเพิ่งจะไปทางใต้มารอบหนึ่ง เก็บของมาได้ไม่เลว โถเหยือกหม้อและไหสิ่งของชำรุดทรุดโทรมพวกนี้เขาก็รับมาไม่น้อย ส่วนพวกของที่ไม่แตกหักเสียหายง่ายๆ และมีราคาไม่ค่อยแพงเขาก็ฝากขนส่งไป ส่วนของมีค่าราคาสูงก็จะพกติดตัวแบกไปเองเพื่อความปลอดภัย เหยียนหมิงซุ่นจึงเจาะจงซื้อตั๋วตู้นอนบนรถไฟโดยเฉพาะ


“หมิงซุ่น หลังจากรอบนี้พวกเราคงสามารถทำเงินได้ไม่น้อยเลยนะ ปีนี้ก็จะเป็นปีที่มั่งคั่งร่ำรวยได้แล้ว”


ลุงเล็กของเหยียนหมิงซุ่นมีชื่อว่าโม่เหวินต้ง อายุยี่สิบต้นๆ หน้าตาคล้ายกับเหยียนหมิงซุ่นอยู่สิบส่วน เพียงแต่ส่วนสูงเตี้ยกว่าหน่อย ผิวคล้ำ นัยน์ตาบ่งบอกถึงการวางแผนที่ฉลาดเฉียบแหลมแบบชาวชนบท แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความซื่อสัตย์


…………………………………………..


ตอนที่ 472 รถไฟขบวนเดียวกัน


เหยียนหมิงซุ่นชำเลืองมองกระเป๋าสองใบใหญ่ที่ปูดบวมบนชั้นวางกระเป๋า และพูดเบาๆ ว่า “อีกแค่สี่วันก็จะฉลองตรุษจีนแล้ว ถ้าขายไปตอนนี้ก็ออกจะรีบร้อนไปหน่อย และไม่น่าจะขายได้ราคาดีด้วย รอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิค่อยขายออกไปจะดีกว่า!”


แน่นอนว่าโม่เหวินต้งเองก็รู้สภาวะตลาด แต่ว่า…


“แต่ถ้าไม่ขายออกไปตอนนี้ พวกเราจะฉลองตรุษจีนกันยังไง? แม่เองก็หยุดยาไม่ได้  ในมือของพวกเรามีเงินเหลืออยู่แค่สิบกว่าหยวนเองนะ!”


โม่เหวินต้งขมวดคิ้ว มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างกังวล หวังว่าหลานชายคนสำคัญจะหาวิธีออกมาได้


อย่ามองว่าเหยียนหมิงซุ่นอายุน้อย ทั้งยังอายุน้อยที่สุดในครอบครัว แต่ในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นการตัดสินใจของเหยียนหมิงซุ่นทั้งหมด เขาและพี่ชายอีกจำนวนหนึ่งต่างก็เชื่อฟังหลานชายคนนี้ทั้งหมดด้วยความเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ


เหยียนหมิงซุ่น ยิ้มพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป ไม่ใช่ว่าตอนนี้ยังมีค่าเช่าอยู่เหรอ ตอนนั้นเก็บเงินค่าเช่ามาแค่เพียงครึ่งเดียว ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้เก็บนี่ รวมๆ ขึ้นมาแล้วก็จะมีประมาณสี่ร้อยกว่าหยวน หากประหยัดหน่อยก็สามารถถูไถไปได้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วล่ะ”


โม่เหวินจิ้งตบหน้าผาก แสยะยิ้มพูดว่า “ใช่แล้ว พวกเรายังมีเงินค่าเช่า โชคดีที่ตอนนั้นหมิงซุ่นนายเก็บแค่เพียงครึ่งเดียว ไม่เช่นนั้นปีนี้พวกเราคงต้องลำบากแล้ว!”


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร หากให้ลุงๆ ของเขาเฝ้าสมบัติเก่าดูแลของที่ตกทอดกันมาน่ะก็พอได้ แต่ถ้าให้สร้างใหม่เองน่ะไม่กล้า แต่ว่าแบบนี้ก็ดี คนขี้ขลาดมักจะไม่ก่อเรื่อง ขอเพียงพวกเขาประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ออกนอกลู่นอกทาง เขารับรองว่าจะช่วยให้พวกเขามีกินมีใช้ไปทั้งชาติ


อีกทั้งลูกพี่ลูกน้องและลุงๆ ของเขาก็ถือว่าเป็นคนดีกันทั้งหมด และยังเก่งกว่าคนที่อายุมากๆ เยอะเลย โดยเฉพาะลูกพี่ลูกน้องคนที่สอง โม่ซิวหยวน เป็นคนฉลาด อุตสาหะ ทั้งยังทะเยอทะยาน เรียนหนังสือก็เก่งมาก ตอนนี้กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองหลวง


โม่ซิวหยวนโตกว่าเขาสองปี เพิ่งจะขึ้นปีหนึ่ง เรียนสาขาการเงิน เขาวางแผนกรุยทางด้านการค้าไว้ให้กับตระกูลโม่ โม่ซิงหยวนคือคนที่เขามองว่าจะมาเป็นเสาหลักสำคัญ


“คุณลุง ผมไปเทน้ำร้อนกินกับหมั่นโถวนะ”


เหยียนหมิงซุ่นถือโถน้ำชาเตรียมที่จะไปเทน้ำร้อน เพื่อประหยัดเงิน พวกเขาสองคนไม่ได้ไปกินข้าวที่ห้องอาหาร แต่กลับซื้อหมั่นโถวถุงใหญ่ไว้กินเป็นกับข้าว กินกับน้ำร้อน ก็พออิ่มท้องแล้ว


 “ฉันไปเองๆ หมิงซุ่นพักอยู่ที่นี่เถอะ”


โม่เหวินต้งรีบยืนขึ้นมา เขาเป็นผู้อาวุโสกว่า แน่นอนว่าจะต้องดูแลหลานชายสิ!


“ผมไปแปปเดียวเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ลุงเล็กคอยดูกระเป๋าเดินทางไว้เถอะ”


เหยียนหมิงซุ่นเดินไปด้วยตัวเองแล้ว โม่เหวินต้งทำได้แค่เพียงนั่งลง ดวงตาทั้งสองข้างจ้องกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย ตรงนั้นเป็นเสบียงอาหารของทั้งครอบครัวและค่ายาของแม่อีกด้วย ไม่อาจให้เกิดความผิดพลาดเสียหายขึ้นได้เด็ดขาด


อีกขบวนหนึ่ง เหยียนซินหย่าอยากจะลงจากเตียงไปเดินๆ หน่อย เตียงของรถไฟแข็งมากจริงๆ นอนจนร่างกายปวดไปหมด จ้าวอิงหัวรีบเข้ามาประคองเธอ มองภรรยาที่ใบหน้าซีดขาว ในใจของเขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร


“ซินหย่าอยากจะไปเข้าห้องน้ำเหรอ? ให้ผมประคองคุณไปนะ!” จ้าวอิงหัวนั้นพออยู่ต่อหน้าภรรยาก็เหมือนผู้ชายปกติทั่วไป อ่อนโยนเอาใจใส่ดูแล เสียงอ่อนเสียงหวาน ไม่มีมาดเกรงขามเหมือนตอนทำงานเลยสักนิด


เหยียนซินหย่ายิ้มอย่างอบอุ่นอ่อนหวาน “ไม่ได้จะไปเข้าห้องน้ำหรอก ฉันแค่นอนจนรู้สึกไม่สบาย อยากจะลุกขึ้นมาขยับตัวสักหน่อย แล้วก็ถือโอกาสออกไปดูทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างด้วย”


สิ่งก่อสร้างและสะพานเล็กๆ กับสายน้ำที่คุ้นเคยนอกหน้าต่างนั้น กระตุ้นความทรงจำในวัยเด็กของเหยียนซินหย่า มีทั้งความสุขที่หอมหวานทั้งความทุกข์และความเจ็บปวด แต่ตอนนี้เธอเหลือแค่เพียงความเจ็บปวดแล้ว!


คนที่ใกล้ชิดกับเธอค่อยๆ ไปจากเธอเรื่อยๆ ศพของพ่อแม่ก็เป็นเธอที่บรรจุศพด้วยตัวเอง ร่างของลูกสาวและคุณปู่คุณย่าก็เป็นเธอเองอีกที่ทำด้วยตัวเอง ความทรงจำพวกนี้ก็เหมือนมีดก็ไม่ปาน ทิ่มแทงออกมาตลอดเวลา ค่อยๆ ตัดความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอยู่ของเธอไปทีละนิด


การที่ต้องเห็นคนใกล้ชิดกับเธอค่อยๆ ไปจากเธอเรื่อยๆ เช่นนี้


เธอเหนื่อยมากแล้วจริงๆ!


ถ้าไม่ใช่เพราะว่ายังนึกถึงสามีและลูกชาย ยี่สิบปีก่อนเธอคงจะจากไปพร้อมกับลูกสาว ไปจากโลกที่มีแต่ความทุกข์ยากลำเค็ญนี้!


…………………………………………


ตอนที่ 473 ชนกันแล้ว


จ้าวอิงหัวประคองเหยียนซินหย่าลงจากเตียง บ่นว่า “ผมไม่ควรเชื่อคุณที่บอกว่าให้นั่งรถไฟเลย เตียงแข็งขนาดนี้คุณนอนสบายเหรอ? ตอนแรกคุณน่าจะนั่งเครื่องบินตามที่ผมบอก เพียงสองชั่วโมงก็ถึงเมืองจินแล้ว คุณก็ไม่ต้องมาทุกข์ทรมานแบบนี้แล้ว”


“นั่งเครื่องบินฉันจะแย่กว่านี้อีก วันเดียวเหมือนเป็นปี ยิ่งกว่านั้นตู้นอนแบบนี้ฉันไม่ได้นั่งมายี่สิบปีแล้ว อยากจะนั่งอีกครั้งมากๆ เลย”


เหยียนซินหย่าโค้งตัวออกไปทางหน้าต่างเพื่อชมวิวข้างนอก มองดูอย่างมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก จ้องมองอย่างไม่กะพริบตา เหมือนอยากจะเอาทัศนียภาพด้านนอกพิมพ์เก็บเอาไว้ในหัวก็ไม่ปาน


อีกทั้งไม่มีใครรู้ถึงสุขภาพร่างกายของเธอได้ชัดแจ้งเท่าเธออีกแล้ว เพียงแค่กลัวว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้นั่งรถไฟตู้นอนนี่แล้วล่ะมั้ง?


ความตายนั้นเธอไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด เธอคิดไปไกลจนกระทั่งยังรอคอยเลยด้วยซ้ำ ในไม่ช้าก็จะสามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่และลูกสาวแล้ว พอคิดๆ แล้วก็ดี แต่เธอก็ยังมีความไม่ยินดีนิดหน่อย


เธอยังเป็นห่วงสามี ยังเป็นห่วงลูกชาย พวกเขาเป็นญาติเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ที่ยังเหลืออยู่ของเธอ เธอยังทำใจไม่ได้จริงๆ!


โชคดีที่ลูกชายเติบโตแล้ว อีกทั้งยังยอดเยี่ยมในทุกเรื่อง สามีก็ไม่ใช่หนุ่มน้อยเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว จัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังเข้มแข็งและมีอำนาจมากด้วย


ถ้าเธอไม่อยู่แล้ว สองพ่อลูกก็ยังจะมีชีวิตที่ดีมากต่อไปอยู่!


“เสวียหลิน เห็นแม่น้ำเล็กๆ ที่โค้งไปรอบๆ ไหม? นี่ก็คือหมู่บ้านริมน้ำเจียงหนานที่แม่พูดกับลูกอยู่บ่อยๆ ตอนที่แม่เด็กๆ แม่จะไปด้วยกันกับคุณตา นั่งเรืออู่เผิง แกว่งไปแกว่งมา เข้าไปซื้อผักในเมือง พอซื้อผักเสร็จ คุณตาของลูกก็จะไปซื้อน้ำตาลปั้นให้แม่กิน เคาะเสียงดังตึงตังสักพักก็ได้มาอันนึง แม่ก็จะเคี้ยวตั้งแต่ในเมืองจนกลับบ้าน เหนียวติดฟันไปหมดเลยล่ะ”


ตอนนี้รถไฟผ่านเมืองเล็กๆ ชื่อว่าเจียงหนาน สะพานหินเล็กๆ เรืออู่เผิง คนถ่อเรือ และผู้หญิงที่มาซาวข้าวซักผ้าริมแม่น้ำ…


สิ่งเหล่านี้ถักถอขึ้นมาเป็นภาพเจียงหนานในยามเช้ามีชีวิตชีวาอบอุ่นอ่อนโยน ในอากาศถึงกับมีกลิ่นหอมของผักเค็มตากแห้งลอยตามลมมา เหยียนซินหย่าสูดลมหายใจ ดูแล้วมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย


“หอมจังเลย นี่จะต้องเป็นผักเค็มที่ตากแห้งมานานแน่นอน ไม่อย่างนั้นไม่หอมขนาดนี้หรอก น้ำลายฉันจะไหลออกมาแล้ว”


ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยกับกลิ่นที่คุ้นเคย กระตุ้นความทรงจำตอนเด็กที่อบอุ่นอ่อนหวานของเหยียนซินหย่าขึ้นมา ถ้าหากไม่ใช่ว่ารถไฟกำลังเดินรถอยู่ เธอก็คิดอยากจะลงจากรถตอนนี้ วิ่งไปที่บ้านเก่าของเธอบูชาเซ่นไหว้คุณปู่คุณย่า!


เธอช่างไม่กตัญญูเลยจริงๆ ยี่สิบปีไม่เคยกลับมาเซ่นไหว้ที่หลุมศพของคุณปู่คุณย่าและพ่อแม่เลย พวกเขาจะต้องตำหนิเธอทุกวันแน่ๆ!


 “อิงหัว ฉันอยากจะหาเวลาว่างกลับเมืองอู่สักครั้ง เซ่นไหว้ที่หลุมศพของคุณปู่คุณย่าและพ่อแม่ แล้วก็ยังมี…เหมยเหมยของพวกเรา!”


มันยากมากที่เหยียนซินหย่าจะพูดชื่อของลูกสาวออกมา ในใจเจ็บเหมือนโดนทิ่มแทง พอเห็นเช่นนี้แล้วจ้าวอิงหัวก็ยิ่งไม่สบายใจ เขาพยักหน้าพลางพูดว่า “ได้สิ รอพวกเราหาหมอเสร็จ ก็ค่อยไปเมืองอู่ไปเยี่ยมเยียนพ่อตาแม่ยายพวกเขากัน”


“แม่ พวกเราไปดูที่หน้าต่างทางโน้นกันเถอะ ตรงนั้นยิ่งสวยเลย!”


จ้าวเสวียหลินเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปี รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา เหมือนกับพ่อเขา จ้าวอิงหัวอีกหลายส่วน แต่คนที่เหมือนยิ่งกว่ากลับเป็นคุณปู่จ้าว แทบจะเหมือนกับคุณปู่จ้าวตอนหนุ่มๆ เลยทีเดียว


อีกทั้งนิสัยชอบจัดการเรื่องราวของจ้าวเสวียหลินก็แสดงออกเหมือนคุณปู่ค่อนข้างมาก ใจเย็นมั่นคงแต่กลับไม่เคร่งในกฎเกณฑ์ กล้าหาญและไม่บุ่มบ่าม ถึงแม้ว่าอายุจะน้อย แต่อุปนิสัยกลับหนักแน่นยิ่งกว่าเส้นเหล็กซะอีก ทำให้คนตั้งมากมายต่างรู้สึกพิจารณาตัวเองว่าดีไม่เท่า


เหยียนซินหย่ามีชีวิตชีวาไม่เลว แล้วก็ไม่ต้องให้จ้าวอิงหัวคอยประคอง เธอเดินไปตามทางเดินฝั่งตรงข้ามด้วยตัวเอง แต่กลับเดินชนกับคนที่เดินผ่านเข้ามา โชคดีที่คนที่ชนประสาทค่อนข้างไว หมุนกลับไปทิศทางเดิม ไม่ได้ชนกันจริงๆ


 “ขอโทษครับ ไม่ได้ชนโดนคุณใช่ไหม?”


เหยียนหมิงซุ่นยื่นมืออกไปประคองเหยียนซินหย่า มองไปที่เธออย่างกังวล กลับตะลึงชะงักงันในทันที ตื่นตกใจจนนิ่งแข็งทื่อไป


…………………………………………..


ตอนที่ 474 เหมือนมาก


จ้าวอิงหัวพ่อลูกรีบร้อนมาทางนี้ มองสังเกตเหยียนซินหย่าขึ้นลง เห็นเธอไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงจะวางใจลงมา


เหยียนซินหย่าส่ายหัวยิ้มๆ แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง “ไม่เป็นไร เป็นความผิดของฉันเอง ไม่ได้ดูทาง โชคดีที่สหายน้อยคนนี้มีท่าทีตอบโต้ไว”


“สหายน้อย ชอบใจมากนะ สหายน้อย…เป็นอะไรไป?”


เหยียนซินหย่าหันไปขอบคุณเหยียนหมิงซุ่น แต่กลับโดนท่าทางตกตะลึงของเขาทำให้ตกใจ ยังคิดไปอีกว่าเด็กคนนี้โดนชนจนโง่ไปแล้ว รีบโบกมือไปมาตรงหน้าของเหยียนหมิงซุ่น แต่ดวงตาของเขาไม่กะพริบเลย


จ้าวอิงหัวรู้สึกประหลาดใจ ภรรยาที่เหมือนทำจากเต้าหู้ของเขาไม่เป็นอะไรเลย เด็กหนุ่มคนนี้ดูแล้วน่าจะมีฝีมือไม่น้อย จะโดนชนจนโง่ไปได้อย่างไร?


“สหายน้อยไม่เป็นอะไรใช่ไหม? มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า?” จ้าวอิงหัวถามเสียงเบา


ในหัวของเหยียนหมิงซุ่นปรากฏภาพวาดนั้นไม่หยุด ในรูปภาพเป็นผู้หญิงสวยที่ใส่ชุดสีขาว คิ้วด้านซ้ายมีไฝสีแดงชาดเม็ดหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่อยู่ในฝันของอู่เหมยที่อู่เหมยวาดนั่นเอง


ผู้หญิงตรงหน้าเหมือนกับผู้หญิงในภาพคนนั้นเป็นอย่างมาก เครื่องหน้า ใบหน้า ไฝสีแดงชาด ยังมีความระทมทุกข์บนหน้านั่นอีก ไม่มีความแตกต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว ชัดเจนมากกว่ารูปภาพเสียอีก


นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


“อิงหัว ไม่ใช่ว่าเด็กคนนี้โดนชนจนโง่ไปจริงๆ หรอกใช่ไหม? นี่จะทำอย่างไรดี? แล้วก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเขาอยู่ที่ขบวนไหน?” เหยียนซินหย่าร้อนใจเป็นอย่างมาก


“ผมไม่เป็นไร!”


เหยียนหมิงซุ่นตั้งสติได้ในไม่ช้า รีบส่งเสียงปลอบใจเหยียนซินหย่า ในใจรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ลักษณะท่าทางการพูดของผู้หญิงตรงหน้าคนนี้เหมือนกับยัยเด็กบื้อคนนั้นมากเกินไปแล้ว!


เหยียนซินหย่าพอเห็นเหยียนหมิงซุ่นกลับมาเป็นปกติ ก็ผ่อนลมหายใจ “ไม่เป็นไรก็ดี สหายน้อยเมื่อกี้ทำฉันตกใจแทบตายแหน่ะ”


เหยียนหมิงซุ่นยิ้มๆ ถามอย่างอดไม่ได้ว่า “คุณน้า คุณเคยไปเมืองจินไหม?”


เหยียนซินหย่านิ่งอึ้งไป รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป ความทุกข์ระทมบนหน้าก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก เธอถอนหายใจ “ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองจินอยู่หลายปี แต่ว่าไม่ได้กลับไปเป็นสิบปีแล้ว ได้ยินสำเนียงของสหายน้อยแล้ว เธอคงเป็นคนเมืองจินสินะ?”


“ใช่ครับ ผมเป็นคนเมืองจิน อีกสองป้ายก็จะลงจากรถไฟแล้ว” เหยียนซินหย่ายิ้ม “พวกเราก็จะลงรถที่เมืองจินเหมือนกัน ดวงช่างสมพงศ์กันจริงๆ นะ!”


จ้าวเสวียหลินกลอกตามองบน แม่ของเขาช่างไร้เดียงสาจริงๆ จุดหมายปลายทางของรถไฟนอนขบวนนี้ก็คือเมืองจิน คนที่ลงป้ายอื่นๆ ก็คงลงกันไปหมดแล้ว คนที่เหลือก็คงจะลงป้ายเมืองจินกันหมด ยังจะต้องถามอีกหรือ?


เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้าทักทายให้กับจ้าวอิงหัวพ่อลูก หยิบเอาโถน้ำชาเดินไป จ้าวอิงหัวมองเขาอย่างระแวงสงสัยอยู่หลายรอบ รู้สึกอยู่ตลอดว่าเด็กคนหนุ่มคนนี้แปลกๆ


“ซินหย่า คุณนั่งตรงนี้ดูทิวทัศน์นะ เสวียหลิน ไปเอาเบาะนั่งนุ่มๆ มา”


จ้าวอิงหัวประคองเหยียนซินหย่านั่งลง ระมัดระวังเป็นอย่างมาก เหยียนซินหย่ารู้สึกขำขันอยู่บ้าง พูดอย่างเคืองๆ ว่า “ที่ตรงไหนๆ ของฉันต่างก็ทำมาจากเต้าหู้สินะ เมื่อก่อนยังลงที่นาทำงานอยู่เลย!”


เหยียนหมิงซุ่นที่ยังเดินไปไม่ไกลเท่าไรก็ตื่นเต้นขึ้นมาทั่วร่างทันที หันกลับมาอย่างตกใจ


ซินหย่า?


ซินตัวไหน หย่าตัวไหน?


จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่คนนั้นที่อู่เหมยเคยพูดไหม?


เขาจำได้ว่าแม่นว่าลูกพี่ลูกน้องของแม่ที่หน้าตาเหมือนเหมยเหมยมากๆ คนนั้นมีชื่อว่าเหยียนซินหย่า หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะคือเหยียนซินหย่า?


เหยียนหมิงซุ่นอยากจะไปถามให้รู้เรื่องให้รู้แล้วรู้รอด แต่เขาก็ไม่ได้กลับไป ตอนนี้ยังมีเวลาอีกสองชั่วโมงก่อนจะลงจากรถ ไม่ต้องรีบ


จ้าวเสวียหลินระวังเหยียนหมิงซุ่นอยู่ตลอด ตอนที่เขาหยุดสีหน้าท่าทางเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างไม่สงบ หนุ่มคนนี้ท่าทางลับๆ ล่อๆ มองดูแล้วไม่เหมือนคนดี เขาคงต้องระวังหน่อยแล้ว


เหยียนหมิงซุ่นรับถ้วยน้ำร้อนกรุ่นกลับมา เดินอย่างระมัดระวัง ตอนที่เดินผ่านพวกเหยียนซินหย่า เหยียนซินหย่าก็หันมาให้ยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นอ่อนโยน


…………………………………………..


ตอนที่ 475 คุณรู้จักเหอปี้อวิ๋นไหม


เหยียนหมิงซุ่นเห็นรอยยิ้มที่คล้ายคลึงกับอู่เหมยเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะหยุดเดิน ถามหยั่งเชิงว่า “คุณน้า ที่เมืองจินคุณน้ายังมีญาติอยู่ไหม?”


เหยียนซินหย่าสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ในสายตามีเจ็บปวดปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง เธอส่ายหัวช้าๆ “ไม่มีแล้ว ญาติพี่น้องของฉันเสียชีวิตกันหมดแล้ว แต่ว่าครอบครัวของน้องสาวของสามีฉันอยู่ที่เมืองจิน ครั้งนี้ก็คือจะไปบ้านของน้องสาวสามีนี่แหละ”


เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ถ้าหากผู้หญิงคนนี้คือเหยียนซินหย่า ในเมืองจินเธอคงจะไม่มีญาติพี่น้องแล้วถึงจะถูก คงจะไม่สาปแช่งคนเป็นๆ ให้ไปตายหรอก!


หรือว่าเธอไม่ใช่เหยียนซินหย่า?


แต่เขาแน่ว่าเมื่อกี้สามีของเธอก็เรียกเธอซินหย่าชัดๆ หรือว่าบนโลกนี้ยังมีผู้หญิงอีกคนชื่อซินหย่าแล้วก็หน้าเหมือนอู่เหมย?


เหยียนหมิงซุ่นรู้ว่าตัวเองเสียมารยาทแล้ว ก็รีบยิ้มขออภัยอย่างรู้สึกเสียใจ แต่ก็ยังไม่เลิกคิด ถามขึ้นมาว่า “คุณน้า คุณรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อเหอปี้อวิ๋นไหม?”


เหยียนซินหย่าสีหน้าเปลี่ยนหนักมาก รอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนหายไปทันที กล่าวปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่รู้จัก!”


ได้ยินชื่อที่ไม่ได้ยินมานาน เหยียนซินหย่ารู้สึกเหมือนได้กินแมลงวันที่น่าสะอิดสะเอียนก็ไม่ปาน ผู้หญิงที่น่ารังเกียจคนนั้น ยังมีพ่อแม่ที่ใจดำอำมหิตไร้น้ำใจของเธออีก ชีวิตนี้ของเธอไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก!


“อิงหัวประคองฉันไปเอนหลังที ฉันเหนื่อยแล้ว!”


อารมณ์จะดูทิวทัศน์ของเหยียนซินหย่าหายไปในชั่วพริบตาเดียว ความเจ็บปวดทรมานของเรื่องในอดีตทะลักขึ้นมาอย่างกับกระแสน้ำกลับไหลบ่ามากัดกินหัวใจของเธอ


คนพวกนั้นที่เรียกว่าญาติ ปีนั้นพ่อแม่ของเธอดีกับพวกเขามาก ช่วยให้ลุงได้โยกย้ายจากโรงเรียนบ้านเกิดในชนบทไปทำงานที่เมืองจิน ยังช่วยจัดการเรื่องงานให้กับลูกชายลุงอีกด้วย ครอบครัวลุงมีชีวิตที่ยากลำบาก พ่อให้แม่ช่วยเหลือเรื่องเงินทุกเดือนให้กับครอบครัวพี่ชายด้วยตัวเองสิบหยวน พูดได้ว่า ถ้าหากไม่ใช่เพราะพ่อแม่เธอ ครอบครัวนี้จะไม่มีทางมีชีวิตรอดได้ในเมืองจินโดยสิ้นเชิง


แต่เวลาพ่อแม่เกิดเรื่อง ครอบครัวลุงที่แสนดีของเธอกลับหลบเลี่ยงเหมือนคนใจดำอำมหิต แม้กระทั่งจะเก็บศพให้พ่อแม่เธอก็ยังไม่ยินยอมที่จะออกหน้า ยี่สิบปีก่อนเธอเข้าตาจนไม่มีทางไป คิดอยากจะให้พวกเขาช่วยเหลือสักหน่อย แต่พวกเขาก็ยังไร้น้ำใจไมตรีขนาดนั้น


ไล่แม่ลูกอ่อนอย่างเธอออกไป แม้แต่น้ำสักอึกก็ยังไม่ให้เธอดื่ม!


แต่คุณลุงก็ถือว่ายังมีคุณธรรมรู้คุณอยู่บ้างเล็กน้อย แอบยัดตั๋วข้าวและเงินให้เธอเล็กน้อย แต่ก็เพียงแค่นั้น


แต่คุณลุงกลับไม่กล้าที่จะเลี้ยงเธอไว้ ถ้าหากไม่ใช่เพื่อนที่เคยเดินทางไปชนบทด้วยกันช่วยเธอไว้ น่าเสียดายเหมยเหมยของเธอ…เธอโกรธแค้นมาก!


ถ้าหากว่าตอนนั้นพวกเขาช่วยเธอไว้ ให้เธอได้มีที่พักพิง สามารถได้กินซุปร้อนๆ ข้าวร้อนๆ บางทีเหมยเหมยของเธอก็อาจจะมีชีวิตรอดต่อไป


เธอเกลียดครอบครัวอกตัญญูที่เรียกว่าญาติพวกนี้ ชาตินี้เธอไม่มีทางไปมาหาสู่กับญาติประเภทนี้แน่ ไม่มีทางตลอดชาติ!


จ้าวอิงหัวมองเหยียนหมิงซุ่นอย่างไม่พอใจ เด็กหนุ่มลับๆ ล่อๆ คนนี้ ถามคำถามก็แปลกประหลาด สิ่งที่เหยียนซินหย่าไม่ชอบให้พูดถึงที่สุดก็คือพวกสารเลวใจดำอำมหิตพวกนั้น เขากลับจงใจถามขึ้นมา ชั่วครู่หนึ่งซินหย่าก็เจ็บหน้าอกอีกแล้ว


“นายเป็นคนที่ตลกจริงๆ พวกเราสนิทกับนายเหรอ? ไต่ถามเยอะแยะขนาดนั้นไปทำไม?”


จ้าวเสวียหลินจ้องเขม็งไปที่เหยียนหมิงซุ่น สีหน้าท่าทางไม่ดี ถึงแม้ว่าเขาจะเด็กกว่าเหยียนหมิงซุ่นหนึ่งปี แต่รูปร่างก็ไม่ต่างกันมาก เพราะว่าภูมิลำเนาเดิมของคุณปู่จ้าวอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ จึงมีรูปร่างสูงใหญ่สมบูรณ์แบบคนทางตะวันออกเฉียงเหนือ จ้าวเสวียหลินที่เหมือนคุณปู่นั้นร่างกายกำยำล้ำสันเป็นอย่างมาก มองดูแล้วร่างกายกำยำมากกว่าเหยียนหมิงซุ่นที่รูปร่างผอมบาง


เหยียนหมิงซุ่นเป็นคนที่ฉลาด แค่ดูก็รู้ว่าเมื่อกี้เหยียนซินหย่าไม่ได้พูดความจริง เธอจะต้องมีญาติอยู่ที่เมืองจินอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าญาติพวกนั้นจะต้องทำเรื่องที่เจ็บปวดรวดร้าวให้กับเธอ เธอจึงไม่ยินดีที่จะรู้จักก็เท่านั้น


“ขอโทษ เป็นผมที่เสียมารยาทแล้ว!”


ในใจของเหยียนหมิงซุ่นคำนวณไว้แล้วคร่าวๆ ว่า ผู้หญิงคนนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่อู่เหมย ผู้หญิงที่ชื่อเหยียนซินหย่าคนนั้น


…………………………………………..


ตอนที่ 476 จะต้องเป็นญาติสนิทสายเลือดเดียวกันแน่นอน


เหยียนหมิงซุ่นยิ้มให้จ้าวเสวียหลินอย่างรู้สึกเสียใจขอโทษ หิ้วโถน้ำชากลับไปที่ขบวนของตัวเอง เมื่อสักครู่เหยียนซินหย่าบอกว่าจะไปเมืองจินเพื่อไปเยี่ยมเยียนน้องสะใภ้ คิดๆ ดูแล้วไม่น่าจะจากไปในเวลาสั้นๆ เขายังมีโอกาสตรวจสอบอยู่


ถ้าหากเหมยเหมยรู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของแม่ที่เหมือนเธอคนนั้นกลับมาแล้ว เธอจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ!


คนที่เด็กน้อยคนนี้นึกถึงตลอดเวลา ก็คือลูกพี่ลูกน้องของแม่คนนี้ไม่ใช่หรือ!


เหยียนหมิงซุ่นพอนึกถึงอู่เหมยมุมปากก็ยกยิ้มไม่หยุด ครั้งนี้เขาได้รับพระแก้วมรกตที่สวยงามมากๆ มาหนึ่งชิ้น วัสดุก็ยังไม่เลว หลังจากที่กลับไปแล้วก็ให้เด็กน้อยพกไว้ ผู้ชายพกกวนอิมผู้หญิงพกพระ สามารถปกปักรักษาเด็กบื้อนั่นให้สงบสุขปลอดภัยไปทั้งชีวิต


“หมิงซุ่น นายไปเทน้ำร้อนที่ไหนถึงได้เสียเวลาไปนานขนาดนี้?”


โม่เหวินต้งที่รอจนทนไม่ไหวลุกขึ้นรับโถน้ำชาในมือของเหยียนหมิงซุ่น ถ้าไม่ใช่ว่ากลัวกระเป๋าเดินทางจะหายละก็ เมื่อสักครู่เขาคงจะเดินหาคนแล้ว เหยียนหมิงซุ่นเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ ถ้าหากว่าเกิดเรื่องขึ้นแค่เล็กน้อย พ่อของเขาจะต้องลอกหนังของเขาออกมาแน่!


“ในขบวนแออัดนิดหน่อย ลุงเล็กรีบกินหมั่นโถวเร็ว!”


เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้อธิบาย หยิบหมั่นโถวแข็งๆ ส่งให้โม่เหวินต้ง ส่วนตัวเองก็หยิบขึ้นมาขิ้นหนึ่ง น้ำร้อนหนึ่งคำหมั่นโถวหนึ่งคำกินขึ้นมา ในหัวยังนึกถึงเหยียนซินหย่า อยากรู้ว่าครอบครัวเหอปี้อวิ๋นไปทำอะไรให้เหยียนซินหย่า ทำให้ผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนคนหนึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชังมากถึงมากที่สุดเช่นนี้!


ทั้งยังมีภาพวาดของเหมยเหมย!


เห็นชัดๆ ว่าเป็นคนสองคนที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน กลับสามารถได้พบเจอกันในฝัน นี่มันมหัศจรรย์มากเลยจริงๆ!


คนที่อยู่ในสถานการณ์จะมองไม่ทะลุ แต่คนที่อยู่นอกสถานการณ์จะมองได้ทะลุปรุโปร่ง เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกเป็นห่วงอู่เหมย ทำให้หัวสมองของเขาสับสนวุ่นวาย จัดการไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง


“หมิงซุ่นรีบกินเร็วเข้า เดี๋ยวน้ำก็เย็นก่อนหรอก!”


โม่เหวินต้งเร่งรัดเขา ส่วนตัวเองกินอย่างตะกละตะกลาม อย่างกับอาหารอันโอชะก็ไม่ปาน


“ลุงเล็ก ลุงว่าคนหนึ่งฝันเห็นอีกคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับตัวเอง สองคนนี้ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่ในฝันกลับฝันเห็นหน้าตาของคนนี้ได้อย่างชัดเจน ไม่มีพลาดเลยแม้แต่นิดเดียว นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


เหยียนหมิงซุ่นที่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกอดไม่ไหวที่จะถามออกมา สามคนเขลาหากช่วยกันร่วมแรงร่วมใจก็อาจจะสามารถคิดวิธีดีๆ ได้เท่ากับคนมีปัญญาหนึ่งคน บางทีลุงเล็กอาจจะแก้ไขปัญหาให้เขาได้ก็ได้!


โม่เหวินต้งไม่หยุดเคี้ยว ตอบอย่างไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นว่า “จะสามารถเป็นอะไรได้? สองคนนี้ต้องเป็นญาติกันแน่นอน ไม่ใช่พี่ชายน้องชาย ก็พี่สาวน้องสาว ไม่งั้นก็พ่อลูกแม่ลูก สายเลือดเดียวกัน ต่อให้ห่างกันไกลและอุปสรรคมากมาย ก็จะเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน”


กลืนหมั่นโถวไปแล้วลูกหนึ่ง เขาก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ถอนหายใจอย่างรู้สึกเศร้าสลดใจ พูดว่า “ปีนั้นที่แม่ของนายไม่อยู่แล้ว คุณยายของนายทำงานอยู่ คนที่สุขภาพแข็งแรงดีกลับเจ็บปวดที่หน้าอก เจ็บจนหน้าขาวไปหมด บอกว่าแม่ของนายจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ เฮ้อ!”


นึกถึงชีวิตที่อาภัพของพี่สาวขึ้นมา โม่เหวินต้งก็หมดอารมณ์อยากกิน เขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในครอบครัว แม่ของเหยียนหมิงซุ่น โม่เหวินเซียงอายุมากกว่าเขาสิบกว่าปี ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นโม่เหวินเซียงที่ดูแลเขา ในใจของเขา พี่สาวคนนี้ก็เหมือนแม่


ความตายของโม่เหวินเซียง นอกจากพี่รองของตระกูลโม่ โม่เหวินต้งคือคนที่เจ็บปวดที่สุด และก็เป็นคนที่โกรธแค้นที่สุด!


“หมิงซุ่น นายว่าพวกเราจะแก้แค้นแทนแม่ของนายได้เมื่อไร? แค่ฉันนึกถึงหมาตัวผู้ตัวเมียไร้ยางอายสองตัวนั้นก็โมโหทุกที ทำร้ายแม่นายจนตาย ทำไมพวกเขาถึงยังมีชีวิตที่ดีขนาดนี้ได้? สวรรค์ไม่มีตาจริงๆ!”


โม่เหวินต้งยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห หมั่นโถวก็ไม่กินแล้ว โมโหฮึดฮัด แค่เพียงอยากจะไปฆ่าเหยียนโฮ่วเต๋อถึงบ้านเดี๋ยวนี้ ฟาดหมาคู่นี้อย่างโหดเหี้ยมสักชุด!


เหยียนหมิงซุ่นทำราวกับว่าไม่ได้ยิน บนหน้าของเขาเหมือนกับสงบเงียบ แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยคลื่นลูกใหญ่ที่น่ากลัว


คำพูดของโม่เหวินต้งก็เหมือนกับสายฟ้า ผ่าหมอกเมฆที่หนาทึบ ทำให้เหตุผลของเขาชัดเจนขึ้นมา!


…………………………………………..


ตอนที่ 477 ข้ออนุมานที่น่าตกใจ


เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่ในใจที่เลอะเลือนไปกับเรื่องนี้ ลุงเล็กพูดไม่ผิด สายเลือดเดียวกัน ไม่ว่าจะห่างไกลกันมากแค่ไหน ต่างก็จะเป็นห่วงเป็นใยกันและกัน


เหมือนกับคุณยายของเขา!


แล้วก็เหมือนกับอู่เหมย!


เหยียนซินหย่าคนนั้นสำหรับอู่เหมยแล้ว ไม่ใช่แค่เป็นเพราะลูกพี่ลูกน้องของแม่แค่นั้นแน่นอน ลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่จะสามารถทำให้อู่เหมยฝันถึงสามครั้งถึงเธอได้หรอ!


ยังมีท่าทางของเหอปี้อวิ๋นที่ทำกับอู่เหมย ไม่มีเส้นใยความรักความห่วงใยของแม่ลูกเลยสักนิด ถ้าหากว่าอู่เหมยไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเหอปี้อวิ๋น หากไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน ก็ตีความได้ง่ายมาก


หน้าตาของเหยียนซินหย่าเหมือนกับอู่เหมยมากขนาดนั้น อักทั้งยังปรากฏตัวในฝันของอู่เหมยอีก ทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถอธิบายได้ในปัญหาเดียว…


มีความเป็นไปได้ที่อู่เหมยจะเป็นลูกสาวของเหยียนซินหย่า!


ข้ออนุมานนี้ทำให้เหยียนหมิงซุ่นตะลึงไป หลังจากนั้นก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่าอู่เหมยคิดอยู่ตลอดว่าอยากจะหนีไปจากตระกูลอู่หรือ?


ถ้าหากว่าเธอเป็นลูกสาวของเหยียนซินหย่าจริงๆ ความฝันของเธอก็จะเป็นจริงแล้ว!


อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าเหยียนซินหย่าจะต้องเป็นแม่ที่อบอุ่นอ่อนโยนมากๆ ดีกว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นหมื่นเท่าแน่นอน


เลือดของเหยียนหมิงซุ่นเดือดพล่านไปทั้งร่าง เขาดีใจแทนอู่เหมยมากๆ แล้วก็หวังว่าข้ออนุมานของตัวเองจะเป็นจริง เพียงแต่ว่าเขายังมีบางสิ่งที่ไม่เข้าใจ เหยียนซินหย่าเธอรู้ไหมว่าตัวเองยังมีลูกสาวแท้ๆ อยู่หนึ่งคน?


เรื่องนี้เขาควรจะทำให้ชัดเจน ถ้าหากว่าเหยียนซินหย่ารู้เรื่องทุกอย่างอยู่แก่ใจล่ะ เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกว่าเรื่องนี้เขาคงต้องดำเนินการระมัดระวังรอบคอบ ส่งลูกสาวเข้าไปในถ้ำหมาป่าด้วยมือของตัวเอง กลัวว่าเหยียนซินหย่าคนนี้ก็คงจะไม่ใช่คนดีอะไร!


แต่ว่าเหยียนหมิงซุ่นยังคงรู้สึกว่าเหยียนซินหย่าคงจะไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ นิสัยของผู้หญิงคนนี้ทำให้คนรู้สึกสบายใจ เหมือนกับแม่ของเหมยซูหานไม่มีผิด ทำทุกอย่างจากใจ คนที่มีนิสัยเฉพาะตัวแบบนี้ หัวใจจะต้องอบอุ่นอ่อนโยนแน่นอน


“หมิงซุ่นนายเป็นอะไร? ฉันพูดกับนายอยู่นะ นายได้ยินไหม?”


โม่เหวินต้งโบกมือไปมาตรงหน้าเหยียนหมิงซุ่น รู้สึกว่าหลานชายของตัวเองนั้นแปลกๆ


เหยียนหมิงซุ่นได้สติคืนมา ถามโม่เหวินต้งว่าเมื่อกี้พูดอะไร โม่เหวินต้งเลยพูดใหม่อีกรอบ พูดอย่างโกรธแค้นว่า “หมิงซุ่น หรือว่าฉันจะไปหาพี่น้องสองสามคนมาดักสวมกระสอบหมาตัวผู้ตัวเมียคู่นี้ แล้วฟาดไปสักชุดระบายอารมณ์!”


“แล้วแต่ลุง แต่ว่าถ้าลุงเข้าไปแล้ว ผมก็ไม่มีวิธีขุดลุงออกมานะ!”


เหยียนหมิงซุ่นพูดเบาๆ ดูแล้วเหมือนไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ความจริงแล้วเขาโกรธแค้นมากกว่าใครทั้งนั้น!


คนที่ตายคนนั้นคือแม่อันเป็นที่รักของเขา ความแค้นที่แม่ถูกฆ่าจนเขาจะไม่ยอมอยู่ร่วมโลกเดียวกัน จะไม่ให้เขาลงมือแก้แค้นได้อย่างไร?


แต่การทุบตีที่ไม่เจ็บไม่คันแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ ที่เขาอยากได้ก็คือทำให้ชื่อเสียงและเกียรติยศของเหยียนโฮ่วเต๋อและถานซูฟางถูกทำปู้ยี่ปู้ยำจนป่นปี้ไปหมด คนเป็นพันชี้หน้าด่ากราด คนเป็นหมื่นถุยน้ำลายใส่และด่าประนาม ไม่มีวันที่จะมีหน้ามีตาหลุดพ้นจากสภาพเลวร้ายไปตลอดกาล!


ถ้าไม่ลงมือก็ไม่มีอะไร ขอแค่ลงมือเมื่อไรก็จะต้องเอาให้รุนแรงถึงแก่ชีวิต!


ดังนั้นตอนนี้เขาจำเป็นต้องสะสมความสามารถ รับประกันว่าการโจมตีของพวกเขาจะไม่ต้องสู้รบตบมือให้เปลืองแรงเลยแม้แต่นิดเดียว!


“หมิงซุ่นทำไมนายถึงไม่ร้อนใจเลยสักนิดล่ะ? นั่นเป็นแม่แท้ๆ ของนายนะ!” โม่เหวินต้งรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง


หมิงซุ่นพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “รีบร้อนไปจะมีประโยชน์อะไร? ลูกผู้ชายต่อให้อีกยี่สิบปีแก้แค้นก็ไม่สาย ทุบตีสักชุดสามารถระบายอารมณ์ได้ แต่ลุงเล็กลุงสามารถตีพวกเขาจนตายได้ไหม?”


ไม่ต้องให้โม่เหวินต้งตอบ เขาพูดต่อไปว่า “หากตีพวกเขาจนตายแล้ว ลุงก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตของลุง เพียงแค่ให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย หายดีแล้วพวกเขาก็จะเป็นข้าราชการและคุณหมอที่ทุกคนอิจฉา แก้แค้นแบบนี้มีประโยชน์อะไร?”


สีหน้าของโม่เหวินต้งชาวาบในทันที ไม่มีอะไรจะโต้แย้งหลานชาย เขารู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นพูดถูก แต่เขาแค่โมโหไง!


ไม่ได้ ต่อให้หมาตัวผู้ตัวเมียคู่นั้นได้รับบาดเจ็บทางกายเล็กน้อยก็ยังดี อย่างน้อยก็ระบายความไม่พอใจได้บ้าง ยังสามารถตอบโต้ไอ้สารเลวสองคนนั้นได้ด้วย!


หลังจากกลับไปแล้ว เขาจะหาพี่น้องสักสองสามคนไปทักทายหมาตัวผู้ตัวเมียคู่นั้น ให้พวกมันฉลองตรุษจีนอย่างไม่สงบ!


…………………………………………


ตอนที่ 478 แผนการของเหยียนหมิงซุ่น


หลังจากเกือบสองชั่วโมง ความเร็วของรถไฟก็ลดลง ส่งสัญญาณว่าใกล้จะเข้าสถานีแล้ว เสียงลำโพงดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หวานน่าฟัง บอกให้ผู้โดยสารเตรียมตัวลงจากรถไฟ อย่าให้ตกหล่น


โม่เหวินต้งตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่ก็ถือว่าถึงแล้ว เขาหยิบเอากระเป๋าเดินทางสองใบใหญ่ยกลงมา วางอย่างระมัดระวังไว้ข้างเท้า ไม่กะพริบตาอยู่อย่างนั้น


ฝั่งครอบครัวของเหยียนซินหย่าก็เตรียมตัวที่จะลงจากรถไฟแล้วเช่นกัน กระเป๋าสัมภาระของพวกเขาไม่เยอะมาก มีแค่เพียงเสื้อผ้าเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันนิดหน่อยและผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นที่นำมาให้จ้าวอิงหนาน ของอย่างอื่นก็ส่งขนส่งทั้งหมด


“เสวียหลิน ลูกประคองแม่นะ ส่วนกระเป๋าสัมภาระพ่อถือเอง”


จ้าวอิงหัวที่ร่างกายกำยำสูงใหญ่ก็ยกกระเป๋าสัมภาระสองใบขึ้นมา บอกให้ลูกชายประคองแม่ ตอนนี้เป็นการเดินทางช่วงก่อนตรุษจีน สถานีรถไฟจึงไม่มีแม้แต่ที่จะยืน


จ้าวเสวียหลินไม่ต้องรอให้พ่อตัวเองบอก เข้าไปประคองเหยียนซินหย่าอย่างใกล้ชิดตั้งนานแล้ว แม่ที่ร่างกายอ่อนแอและเจ็บป่วยก็เป็นหน้าที่สำคัญที่ครอบครัวพวกเขาจะต้องดูแล สำหรับเด็กผู้ชายคนอื่นๆ ตอนนี้ยังคงออดอ้อนแม่ แต่สำหรับเขาในตอนนี้ ได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ตัวน้อยของแม่แล้ว!


เหยียนหมิงซุ่นและโม้เหวินต้งปกป้องกระเป๋าของพวกเขาอย่างระมัดระวัง ตามกระแสคนหลั่งไหลไปตามทางออก เหยียนหมิงซุ่นมองไปทั่วทุกทิศ เขากำลังทองหาเงาของครอบครัวเหยียนซินหย่า


เขาอยากจะถามเหยียนซินหย่าว่าบ้านของน้องสะใภ้เธออยู่ที่ไหน ถึงแม้ว่าจะไม่มีมารยาท แต่เขาอยากจะเสียมารยาทสักครั้ง เขาอยากจะพาอู่เหมยไปเยี่ยมเยียนเหยียนซินหย่า


เมื่อมีคำพูดที่ว่าแม่ลูกอาจจะใจส่งถึงกัน บางทีสองคนนี้หลังจากได้พบหน้ากัน พอเหมือนกันเป็นอย่างมากจริงๆเรื่องก็อาจจะเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน!


“ไอหยา หมิงซุ่นนายดูทางหน่อย ระวังของพังเสียหายนะ!”


โม่เหวินต้งมองหลานชายที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อีกทั้งยังมีอยู่หลายครั้งที่เกือบจะทำให้กระเป๋าสัมภาระโดนคนชนเข้าให้ ใจนั้นก็กระวนกระวาย!


“หมิงซุ่นนายเอากระเป๋ามาให้ฉันแบกเถอะ นายแค่กังวลกับการเดินก็พอ!”


โม่เหวินต้งที่มีนิสัยใจร้อนก็ถือโอกาสดึงกระเป๋าไป แขวนไว้อย่างละข้าง ถึงจะผ่อนลมหายใจ เหมือนแม่แมวที่ปกป้องลูกพาเดินไปข้างหน้า


เหยียนหมิงซุ่นที่ไม่ต้องดูแลกระเป๋าก็หันไปพูดกับลุงเล็กเสียงเบา สักพักก็ไปที่อื่นเพื่อตามหาคนแล้ว เพียงแต่ท่ามกลางมหามวลชนที่เบียดเสียดขนาดนี้ก็ยากที่จะหาให้เจอ ยากกว่าหาปลาในมหาสมุทรอีก เหยียนหมิงซุ่นผิดหวังเดินไปทางทางออก โม่เหวินต้งกำลังรอเขาอยู่ตรงนั้น


โม่เหวินต้งดึงเขาอย่างกังวลสุดขีดขึ้นรถไป “หมิงซุ่นทำไมวันนี้นายถึงเชื่องช้าอืดอาดขนาดนี้นะ รีบๆ เลย ถ้าขึ้นรถเมล์รอบนี้ไม่ทัน ยังต้องรออีกตั้งครึ่งชั่วโมงนะ”


ลุงหลานสองคนวิ่งไปทางป้ายรถเมล์ ดวงดีไม่น้อย รถคันหนึ่งกำลังขับเข้ามาช้าๆ พอดี โม่เหวินต้งวิ่งไปอย่างดีใจและแปลกใจ แม้กระทั่งตะโกนว่า ‘พระโพธิสัตว์พระเจ้าคุ้มครอง’ เพียงแต่ว่า…


เหยียนหมิงซุ่นกลับวิ่งไปทางทิศตรงข้าม โม่เหวินต้งคิดอยากจะไปดึงเขาไว้ แต่หลานชายของเขาวิ่งไวมาก พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาแล้ว โม่เหวินต้งลนลานตามไป


ครอบครัวเหยียนซินหย่าและครอบครัวจ้าวอิงหนานกอดกันอย่างแนบแน่น ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ โดยเฉพาะผู้หญิงสองคนจ้าวอิงหนานและเหยียนซินหย่า ร้องไห้มากกว่าหัวเราะ น้ำตาไหลพรากลงมา


“แม่ คุณป้าเล็ก พวกคุณสองคนอยากจะร้องไห้ก็กลับไปร้องไห้ที่บ้านเถอะ คนอื่นๆ ต่างมองพวกเราอยู่นะ!”


สยงมู่มู่มองผู้หญิงตรงหน้าที่ใบหน้ามีแต่น้ำตาอย่างจนปัญญา คนหนึ่งเป็นแม่ของเขา อีกคนเป็นคุณป้าเล็กของเขา ต่างก็เป็นคนใกล้ชิดของตน จนปัญญาที่จะเมินเฉย!


จ้าวอิงหนานรีบร้อนเช็ดน้ำตา พยุงเหยียนซินหย่าขึ้นรถไป “ใช่แล้ว รีบกลับบ้าน ฉูฉู่อยู่บ้านกำลังเตรียมมื้อกลางวันอยู่ กลับไปก็สามารถกินกับข้าวที่ร้อนๆ ได้เลย”


“นานมากแล้วที่ไม่ได้กินฝีมือของฉูฉู่ คิดถึงมากจริงๆ ใช่แล้ว ลูกบุญธรรมของจ้าวอิงหนานเมื่อไรเธอจะพามาเจอพวกเราล่ะ หญิงสาวคนนี้เสียงเพราะมากจริงๆ เป็นคนที่ทำให้คนรักคนสงสารได้จริงๆ นะ”


พอกลับถึงบ้านคราวนี้ ความสนใจของเหยียนซินหย่าก็พุ่งสูงมาก พูดไปพูดมาก็พูดถึงอู่เหมย นับตั้งแต่ที่ได้คุยโทรศัพท์กันหลังจากนั้น เธอก็เอาแต่นึกถึงเสียงหวานๆ ของอู่เหมยและยังจดจำไว้ไม่ลืม!


…………………………………………..


ตอนที่ 479 เหยียนซินหย่าก็คือคุณป้าเล็ก


                จ้าวอิงหนานหัวเราะพูดว่า “เหมยเหมยเธอไปอยู่ที่บ้านของคุณปู่เธอน่ะ ไม่ได้อยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่ได้เห็นเธอมาตั้งหลายวันแล้ว แต่ว่าวันพรุ่งนี้เธอมีการแสดง พี่สะใภ้เล็กก็ไปดูเธอด้วยกันกับฉันได้นะ”


                เหยียนซินหย่าผิดหวังเล็กน้อย เธอนึกว่าอีกสักครู่ก็จะได้เจออู่เหมยแล้วซะอีก!


                แต่ว่าพอเธอได้ยินจ้าวอิงหนานเรียกเหมยเหมยก็ใจเต้น ใจคิดอยากจะถามว่าเหมยตัวไหน เหมยที่มาจากดอกเหมย หรือว่าเหมยที่มาจากคำว่าเหมยลี่ที่แปลว่าสวยงาม สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้ถาม ถอนหายใจเบาๆ เจ้าอาวาสบอกให้เธอลืมอดีตที่ผ่านมา อย่าจดจ่ออยู่กับความทรงจำในอดีต คิดถึงผู้คนรอบๆ ตัว เธอตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนี้จะฟังคำพูดของเจ้าอาวาส จะไม่คิดถึงเรื่องที่ทำให้เศร้าอีกแล้ว


                “งั้นก็วันพรุ่งนี้เถอะ ฉันอยากจะเห็นเด็กคนนี้ที่ทำให้เธอพูดถึงทั้งวันจริงๆ ว่าท้ายที่สุดแล้วจะดึงดูดให้คนรักสงสารได้มากแค่ไหน!” เหยียนซินหย่าพูดกลั้วหัวเราะ


                พอพูดถึงอู่เหมย จ้าวอิงหนานก็หน้าบานเป็นกระด้งทันที พูดไม่ได้ไม่หยุด “มิน่าเล่าถึงมีคำโบราณเขาชอบพูดบ่อยๆว่าลูกสาวก็เหมือนแจ็คเก็ตบุฝ้ายที่ให้ความอบอุ่นรู้ใจ ส่วนลูกชายเป็นเด็กเวรที่มาทวงหนี้ คำพูดนี้พูดไม่มีผิดเลยสักนิด เหมยเหมยทำให้ฉันสบายใจมากกว่าเด็กเวรลูกฉันตั้งเยอะ วันเกิดของฉันยังนึกถึงยังให้เครื่องประดับเงินฉัน เป็นเครื่องประดับเก่าสมัยก่อนที่พวกราชวงศ์เคยใส่เลยนะ อีกสักครู่พอกลับบ้านฉันจะเอาให้พี่สะใภ้เล็กดูนะ!”


                เหยียนซินหย่ามองน้องสาวสามีที่พูดน้ำไหลไฟดับ บนใบหน้าถึงแม้จะมีรอยยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนกินยาขมก็ไม่ปาน


                แจ็คเก็ตบุฝ้ายตัวน้อยของเธอไม่กลับมาอีกแล้ว!


                สยงมู่มู่ที่ความรู้สึกไวจับความรู้สึกของเหยียนซินหย่าที่เปลี่ยนไปได้ในทันที รู้ว่าจะต้องเป็นเพราะคำพูดของแม่เขา ไปกระตุ้นเรื่องที่เศร้าใจของคุณป้าเล็ก จึงพยายามกระทุ้งเอวจากด้านหลังของจ้าวอิงหนาน


                แน่นอนว่าจ้าวอิงหนานก็ไม่ใช่คนโง่ โดนลูกชายเตือนสติเธอก็รู้ตัวในไม่ช้าว่าตัวเองพูดจาผิดไป มองเหยียนซินหย่าอย่างละอายใจ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ!


                “เสวียหลินโตขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย ยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ดูร่างกายเล็กๆ นี่สิว่ากำยำล่ำสันมากแค่ไหน ดูแข็งแรงมากกว่าลิงผอมๆ อย่างมู่มู่เยอะเลย!”


                เพราะไม่สามารถพูดถึงลูกสาวบุญธรรมได้ จึงทำได้แค่เพียงยกยอหลานชายกับแดกดันลูกชายตัวเอง สยงมู่มู่กลอกตามองบน ไม่อยากจะสนใจแม่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว!


จ้าวเสวียหลินยิ้มอย่างเกรงใจไปทางเหยียนซินหย่า เปลี่ยนท่าทีหยิ่งผยองที่ทำต่อหน้าคนนอก เขายังคงพึงพอใจกับความรักที่อบอุ่นและหยอกล้อกันวุ่นวายของครอบครัวแบบนี้ เพียงแต่ลูกพี่ลูกน้องของฉัน…


                เขามองไปทางสยงมู่มู่คร่าวๆ ร่างกายนี้ค่อนข้างที่จะผอมบางมากเกินไปหน่อย ถือโอกาสที่มีเวลาว่างหลายวัน มาฝึกกีฬากับลูกพี่ลูกน้องหน่อยดีกว่า อย่างน้อยพยายามฝึกให้ได้หน้าท้องสักสองสามแพ็คก็ยังดี!


                เหยียนซินหย่ากลับไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้เท่าไร เธอยังอยากฟังเรื่องของอู่เหมย ต่อให้ฟังแล้วใจจะเจ็บปวด แต่เธอก็ยังอยากฟัง เธอรู้สึกว่าตัวเธอกับสาวน้อยคนนี้มีวาสนาร่วมกันอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพบหน้า แต่กลับเหมือนเคยพบเห็นกันมาก่อน


                “เหมยเหมยเด็กคนนี้อยู่ตึกเดียวกับอิงหนานไหม? เธอดึงดูดให้คนรักคนสงสารขนาดนี้ พ่อแม่คงจะรักใคร่ยิ่งกว่าใครใช่ไหม?” เหยียนซินหย่าถามอย่างสนใจ


                รอยยิ้มของจ้าวอิงหนานหายไปในทันที ขมวดคิ้วแล้วก็โมโหพูดขึ้นมาว่า “พูดถึงตรงนี้ฉันก็โมโห พี่สะใภ้เล็กรู้ไหมทำไมฉันถึงรับเหมยเหมยมาเป็นลูกบุญธรรม? ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าจิตใจของพ่อแม่โหดเหี้ยมจนเกินไป…”


                เธอพูดถึงอู่เจิ้งซือคู่สามีภรรยารวมถึงอู่เยวี่ยพูดเรื่องแปลกๆ ของคนพวกนี้สองสามเรื่องพูดออกมารวดเดียว ยิ่งพูดยิ่งโมโห คิ้วของเหยียนซินหย่าก็ขมวดหนักมาก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโลกใบนี้จะมีพ่อแม่แบบนี้อยู่ด้วย!


                “เหมยเหมยเป็นลูกที่พวกเขาให้กำเนิดเองเลยไหม? คงไม่ใช่รับเลี้ยงหรอกใช่ไหม?”


                จ้าวอิงหนานส่ายหัว “เป็นคนให้กำเนิดเองแท้ๆ เลยล่ะ เหมือนกับว่าตอนที่แม่ของเหมยเหมยคลอดเธอจะเสียเลือดมากจนเกินไป ทำให้สุขภาพเสีย ไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายได้อีก ยัยโรคประสาทคนนี้ก็เลยเอาความผิดทั้งหมดโยนไปให้เหมยเหมย ทั้งด่าทั้งตีเธอ โหดเหี้ยมมากกว่าแม่เลี้ยงอีก ไม่อยากพูดแล้ว พอพูดถึงผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาฉันก็โมโห ปวดหัว!”


                หัวใจของเหยียนซินหย่าบีบแน่นไปหมด รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเด็กน้อยคนนี้ที่ยังไม่เคยรู้จักพบเจอ บนโลกใบนี้ทำไมถึงได้มีพ่อแม่ที่มีจิตใจเหี้ยมโหดขนาดนี้อยู่ด้วย?


                เด็กคนนี้น่าสารมาก!


                เหยียนหมิงซุ่นมองตามหลังเหยียนซินหย่าและจ้าวอิงหนานสองแม่ลูกขึ้นรถเก๋งสีดำไป มุมปากยกขึ้น จิตใจลิงโลดด้วยความดีอกดีใจ!


                น้องสาวสามีของเหยียนซินหย่าก็คือจ้าวอิงหนาน แล้วก็ยังเป็นคุณป้าเล็กของสยงมู่มู่


                สองคนที่หน้าตาเหมือนกับอู่เหมย อันที่จริงแล้วคือคนเดียวกัน!


…………………………………………..


ตอนที่ 480 เป็นห่วงเหยียนหมิงซุ่น


โม่เหวินต้งและเหยียนหมิงซุ่นรอรถเมล์ด้วยความกระวนกระวายใจด้วยกัน แต่วันนี้ไม่รู้ว่ารถเมล์เป็นอะไร ครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่มีวี่แววที่จะปรากฏ โม่เหวินต้งทั้งหนาวทั้งหิว อดไม่ได้ที่จะโทษคนอื่นขึ้นมา


“หมิงซุ่นวันนี้ทำไมนายถึงมีท่าทางแปลกๆ? ถ้าไม่ใช่เพราะนายวิ่งไปผิดทาง ตอนนี้พวกเราคงถึงบ้านกันแล้ว ยังทันกินก๋วยเตี๋ยวหมูผักดองร้อนๆ ของร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ ข้างทางอีกด้วยนะ!”


โม่เหวินต้งสั่งขี้มูก พอนึกถึงผักดองและก๋วยเตี๋ยวหมูที่หอมกรุ่น ในปากก็น้ำสายสออกมา อยู่บนรถไฟสามวันกินหมั่นโถวเย็นๆ แทนข้าว กรดในกระเพาะจะพุ่งขึ้นมาอยู่แล้ว ตอนนี้เขาแค่อยากจะกินซุปร้อนๆ สักชามเพื่อให้กระเพาะอุ่นๆ


เหยียนหมิงซุ่นปล่อยให้โม่เหวินต้งพูดต่อว่าไปเรื่อยเลย ไม่ได้ฟังเข้าหูเลยสักคำ เขาไม่ได้อยากกินซุปกินก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ คิดแค่เพียงอยากจะกลับโรงเรียนเร็วๆ เขาอยากจะกลับไปพิสูจน์ยืนยันการคาดเดาของเขา และแก้ไขปัญหาที่เลืองรางไม่ชัดเจนของอู่เหมย


ตอนนี้อู่เหมยอยู่ที่คณะวัฒนธรรมซ้อมเต้น อู่เชาเองก็มาแล้ว เป็นอู่เจิ้งต้าวที่หิ้วเขามา บอกให้เขาตั้งใจซ้อม ถ้าหากว่าตอนที่แสดงงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองเกิดผิดพลาดขึ้นมา อู่เจิ้งต้าวก็จะแสดงให้เห็นว่าสามารถตีขาเขาให้หักได้!


“พี่ชิงชิง พรุ่งนี้พี่จะร้องเพลงนี้เหรอ?”


อู่เหมยที่เต้นจนเหนื่อยแล้วนั่งลงเพื่อพัก พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับสยงชิงชิงที่กำลังวอร์มเสียงอยู่ ได้ยินเสียงเธอทุกเช้า หูของเธอก็มีรังไหมขึ้นมาแล้ว


อารมณ์สนุกของสยงชิงชิงไม่ได้สูงมาก พยักหน้าหงึกหงัก เพลงนี้ ‘หิมะทางเหนือข้างกำแพงเมืองจีน’ เธอร้องมาทั้งปี เดิมทีในงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองเธออยากจะร้องเพลง ‘เถียนมี่มี่’ ของเติ้งลี่จวิน แต่คณะระบำขององค์กรต่างก็ไม่ฟังเธอร้อง ทั้งยังตีกลับคืนมา


“ทำไมไม่ร้อง ‘เถียนมี่มี่’ ล่ะ เพลงนี้เพราะมากเลยนะ!” อู่เหมยไม่เข้าใจ


                บนเวทีงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองต่างก็จะเป็นเพลงที่เสียงสูงมีอานุภาพ แน่นอนว่าเพลงพวกนี้น่าฟังทั้งนั้นแหละ แต่ปัญหาก็คือต่อให้เพลงพวกนี้จะเป็นเพลงที่วิเศษ แต่ถ้าหนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวันฟังทุกวัน ก็ฟังจนเบื่อเหมือนกันนะ


 ถ้าหากสยงชิงชิงร้องแสดงเพลง ‘หิมะทางเหนือข้างกำแพงเมืองจีน’ ต่อให้ร้องได้ดีขนาดไหนก็ไม่มีคนตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจอีกแล้ว รายการเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด ผู้ชมต่างก็จะฟังจนเบื่อ ก็เหมือนรายการการแสดงของเธอและสยงมู่มู่ไม่มีผิด ดังนั้นก็เลยเป็นเหตุผลที่การแสดงของพวกเธอถูกเลือก


                ไม่ใช่เพราะว่าพื้นฐานการแสดงพวกเขาดีมาก ในบรรดานักแสดงทั้งหมด มีนักแสดงสาขาการแสดงมากมายที่แสดงดีกว่าพวกเธอ อีกทั้งเพราะว่าการแสดงของพวกเขามีแนวความคิดใหม่ หากเทียบแล้ว ให้กินปลากินเนื้อทุกวัน ก็จะนึกอยากกินโจ๊กอ่อนๆ กับผักขึ้นมาทันที แน่นอนว่าเหตุการณ์ในอดีตยังคงเด่นชัดในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดเร็วๆ นี้


                สยงชิงชิงก็ถอนหายใจอย่างไม่มีชีวิตชีวา บ่นขึ้นมาว่า “ผู้นำบอกว่า ‘เถียนมี่มี่’ เป็นเพลงที่เสื่อมทราม แน่นอนว่าไม่สามารถนำขึ้นแสดงในงานการคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองได้ ถ้าฉันยังกล้าร้องก็จะไล่ออก!”


                อู่เหมยกะพริบตาปริบๆ เวลานี้เธอถึงได้รู้ตัวว่า ตอนนี้ไม่ใช่ชาติก่อนที่เพลงยอดนิยมจะมีหลายแบบหลายอย่าง แต่ว่ายุคแปดสิบที่เพิ่งจะเปิดประเทศมาไม่กี่ปี เพลงของฝั่งไต้หวันยังคงถูกควบคุมหนักมาก


                เทปคาสเซ็ตของทางฝั่งนั้นส่วนใหญ่ลักลอบนำเข้ามา ไม่มีช่องทางปกติในการจัดจำหน่าย คนทางใต้มีมากมายที่ทำเฉพาะทางด้านเทปคาสเซ็ตเป็นอาชีพ เทปคาสเซ็ตเปล่าๆ หนึ่งม้วนก็หลายสตางค์ หนึ่งวันสามารถอัดได้หลายร้อยเพลง หนึ่งม้วนสามารถขายได้หลานหยวน อย่างไรก็มีคนมากมายแย่งกันซื้อ


                ชาติก่อนอู่เหมยชอบดูรายการสัมภาษณ์เกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล แล้วผู้มีอิทธิพลทางฝั่งใต้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกขายพวกของลักลอบนำเข้า คนนั้นมีเงินทองมากมาย ขอเพียงแค่ใจใหญ่ใจกล้า หากมีสติปัญญาก็สามารถปรับตัวได้ให้เข้ากับทุกสถานการณ์ เช่นนี้แล้วไม่มีทางที่จะทำเงินไม่ได้


                แต่ก็เป็นเพียงไม่กี่ปีก่อน ถ้าเธอจำไม่ผิด ก็คือสองปีนี้ ประเทศก็จะกวดขันเข้มงวดปราบปรามพวกพ่อค้าหน้าเลือด  และพวก ‘พ่อค้าหน้าเลือด’ ทั้งหลายที่โชคดีหน่อยก็จะสามารถหลบหนีพ้นได้ แต่พวกที่โชคไม่ดีก็จะโดนประหาร หรือว่าติดคุกไปทั้งชีวิต


                พอนึกถึงตรงนี้ใจของอู่เหมยก็หล่นวูบทันที ไม่รู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นที่ตอนนี้เริ่มทำการค้า ซื้อแล้วขายของต่อในราคาที่สูงผิดปกติหรือไม่ ไม่ได้การละ พรุ่งนี้เธอจะไปหาเหยียนหมิงซุ่น ดูว่าเขากลับมาจากบ้านของคุณยายแล้วหรือยัง


…………………………………………..


ตอนที่ 481 อย่าลาออก


สยงชิงชิงพึมพำถอนหายใจกับตนเองอยู่สักพัก จู่ๆ ก็โมโหขึ้นมา บ่นอย่างคับแค้นใจว่า “ไม่ซ้อมแล้ว ร้องเพลงพวกนี้ทุกวัน ต่อให้ผู้ชมฟังไม่เบื่อ แต่ฉันเองร้องจนเบื่อแล้ว เพลงนี้ก็ห้ามร้องเพลงนั้นก็ห้ามร้อง อยู่ที่นี่จะไปมีความหมายอะไรกัน? ถ้าได้รับความนิยมขึ้นมาฉันจะลาออกไม่ทำแล้ว!”


อันที่จริงแล้วความคิดที่หญิงสาวแซ่สยงจะลาออกนั้นไม่ใช่ครั้งแรก ได้ทำงานที่คณะวัฒนธรรมยังไม่ถึงครึ่งเดือน หญิงสาวคนนี้ก็ประสบกับระบบขององค์กรที่ยุ่งยาก กฎระเบียบแย่ๆ จนทำให้รู้สึกแย่จนไม่คิดอยากจะทำต่อแล้ว แต่ก็โดนพ่อแม่ของเธอกดดันให้ทำต่อไป


ทำงานในคณะวัฒนธรรมเป็นการงานที่มั่นคง ไม่รู้ว่ามีคนตั้งกี่คนที่จ้องจะเอางานของสยงชิงชิงไป ถ้าหากสยงชิงชิงลาออกไม่ทำ คนพวกนั้นคงจะปรบมือร้องโห่ด้วยความดีใจอย่างแน่นอน ซึ่งพ่อแม่ของสยงชิงชิงคงไม่ยินดีนัก!


ลูกสาวของตัวเองมีงานดีๆ ทำ ถึงจะได้แต่งกับสามีที่ดี ต่อให้หน้าตาสวยขนาดไหน ถ้าหากเป็นคนไม่มีงานทำ ไม่ได้ทำอะไรเลย ผู้ชายดีๆ ก็คงไม่อยากจะได้แน่นอน!


เพื่ออนาคตของผู้หญิงคนนี้ พ่อแม่ของสยงชิงชิงก็ถือว่าเอาใจใส่ลูกอยู่ไม่น้อย คนหนึ่งทำหน้าถมึงทึง อีกคนทำหน้าใจดี อ้อนวอนขอให้สยงชิงชิงไปทำงานอย่างว่าง่าย อย่าทำตัวเหมือนลิงกระโดดโลดเต้นไปมาวุ่นวายไปทั่ว


อู่เหมยรำลึกความหลังอยู่ครู่หนึ่ง อันที่จริงเวลานี้เพลงป๊อปในประเทศก็ถือเป็นคลื่นใต้น้ำที่ไหลเชี่ยวทีเดียว เธอจำได้ว่าในปีหน้านี่แหละ จะมีนักร้องคนสำคัญคนหนึ่งจัดงานคอนเสิร์ตที่สนามกีฬาคนงาน ถือเป็นยุคที่เจริญรุ่งเรืองนับเป็นประวัติการณ์ในเมืองหลวง ประกาศให้รู้อย่างเป็นทางการว่าวงการดนตรีแนวใหม่ของประเทศจีนได้เริ่มขึ้นแล้ว


ตั้งแต่นั้นมาวงการดนตรีของประเทศจีนก็ขยายวงกว้างมากขึ้น ดั่งดอกไม้ที่เติบโตเจริญงอกงามอยู่บนผืนแผ่นดินนี้


แต่หากเวลานี้สยงชิงชิงพ้นจากหน่วยงานขององค์กรไปแล้ว ก็ต้องออกจากบ้านไปทำมาหากินพึ่งพาตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นทางขวากหนามที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก พวกองค์กรด้านดนตรีพวกนั้นจะต้องขัดขวางสยงชิงชิงแน่ๆ


สยงชิงชิงคนเดียวสู้กับพวกองค์กรดนตรี ก็ไม่ต่างอะไรกับเอาไข่ไปชนหิน จุดจบคงไม่ดีเท่าไรนัก!


“พี่ชิงชิงพี่รออีกสองสามปีค่อยทบทวนดูใหม่ พี่ลาออกตอนนี้จะสามารถทำอะไรได้ ? ไม่มีงานก็ไม่มีเงินเดือน ไม่มีเงินเดือนก็ไม่มีเงินไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ แล้วก็ของอร่อยๆ กิน น่าเศร้าจะตาย!” อู่เหมยพูดโน้มน้าว


สยงชิงชิงมองไปทางสาวน้อยที่ร้อนใจยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก พลันในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที แล้วก็หัวเราะก๊ากออกมา จิ้มหน้าผากของอู่เหมยพูดขึ้นว่า “ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยน่ะ จะลาออกจริงๆ ซะที่ไหน ต่อให้ลาออกจริงๆ ฉันก็ควรจะหาทางหนีทีไล่ให้ดีเสียก่อน ไม่อย่างนั้นหญิงสาวที่โตแล้วอย่างฉันยังต้องให้พ่อแม่เลี้ยง น่าขายขี้หน้าชะมัด!”


อู่เหมยค่อยวางใจลงหน่อย สยงชิงชิงก็เพียงแค่บ่นเท่านั้น เพียงแต่ตัวเธอกับสยงชิงชิงต่างก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้ ไม่ว่าทำเรื่องอะไรสุดท้ายผลลัพธ์มักจะตรงข้ามกับสิ่งที่คิดไว้เสมอ มีเรื่องเหนือความคาดหมายตั้งมากมายที่ทำให้คนเราเลือกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของตนเอง จนเส้นทางชีวิตมุ่งเบนไปอีกทาง แล้วบางทีอาจจะเป็นเส้นทางที่สดใสกว่าที่เป็นอยู่เดิม!


หรือบางทีอาจจะเป็นเส้นทางคับแคบที่เต็มไปด้วยขวากหนาม!


สยงชิงชิงกับอู่เหมยยิ่งพูดคุยกันอย่างถูกคอ ก็เลยไม่ซ้อมเสียเลย เธอทำตามคำเรียกร้องของอู่เหมย สยงชิงชิงร้องเพลง <เถียนมี่มี่> ขึ้นมา เสียงของเธอสูงใสไพเราะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม เป็นเสียงที่หาได้ยาก


เพียงแต่ว่าเสียงดีๆ แบบนี้กลับไม่เหมาะที่จะร้องเพลงที่ใช้เสียงหวานนุ่มแนวซาบซึ้งกินใจ!


การร้องเพลงของสยงชิงชิงสมบูรณ์ไม่มีที่ติ ยอดเยี่ยมในทุกๆ ด้าน แต่การขยายความของ ‘เถียนมี่มี่’ กลับรู้สึกอยู่ตลอดว่าขาดกลิ่นอายบ้างอย่าง ฟังแล้วให้ความรู้สึกประหลาด


มันก็เหมือนกับนายพลหญิงคนหนึ่งที่ควรจะขี่ม้าเพื่อฆ่าศัตรู แต่กลับบังคับเธอให้มาเด็ดดอกบัว มันแปลกไปหมดมันไม่เข้ากันเลยสักนิด!


”เพราะไหม ฉันร้องเป็นยังไงบ้าง?”


สยงชิงชิงมองเด็กน้อยสองคนอย่างร่าเริง อยากที่จะฟังความเห็นของพวกเขามาก


…………………………………………..


ตอนที่ 482 รักคุณมากเกินกว่าที่จะพูดออกไป


เด็กอ้วนอู่เชาลูบจมูก ถามกันไว้ก่อนว่า “คือให้ฉันพูดตามความจริงใช่ไหม?”


“แน่นอนสิ อยากจะฟังคำโกหกฉันจะถามพวกเธอทำไม!” สยงชิงชิงมองบนใส่


“ถ้าฉันพูดความจริง เธอห้ามลงไม้ลงมือนะ!”


อู่เชาลูบจมูกอีกครั้ง ภายใต้สายตาที่มองดูอย่างเงียบๆ ของสยงชิงชิง พูดอย่างช้าๆ ว่า “ไม่ค่อยเพราะเท่าไร ร้องยังไม่ดีเท่าเหมยเหมยเลยด้วยซ้ำ!”


อู่เหมยโมโหจนถีบไปทีหนึ่ง ไออ้วนสมควรตายทำไมต้องเอาเธอไปเปรียบเทียบ ถ้าสยงชิงชิงคิดมากจะทำยังไง!


อู่เชารีบหลบไปอยู่อีกข้างหนึ่ง ชี้ไปที่สยงชิงชิงพลางแก้ต้างว่า “ก็เธอบอกให้ฉันพูดตามความจริงอ่ะ ฉันก็แค่รู้สึกว่าเธอร้องเพราะกว่าสยงชิงชิงก็เท่านั้นเอง เดิมทีเพลงนี้ก็เหมือนกับขนมเค้กข้าว เธอกลับร้องกลายเป็นขนมปังปิ้งเนื้อลาไปได้ จะเพราะได้ยังไง!


อู่เหมยมองสยงชิงชิงอย่างกังวล กลัวว่าเธอจะโมโห แต่สายตาของหญิงสาวคนนี้กลับเปล่งประกายระยิบระยับ ดึงอู่เหมยมาให้เธอร้องให้ฟังหนึ่งรอบ อู่เหมยได้แต่ร้องขึ้นมาอย่างจนปัญญา สยงชิงชิงยิ่งได้ฟังสายตาก็ยิ่งเป็นประกาย เหมือนกับกระจกแก้วยังไงอย่างนั้น


“เหมยเหมยเธอร้องขึ้นมาได้ดีกว่าจริงดังคาด ถ้าหากเธอเรียนทักษะการส่งเสียงและการหายใจสักหน่อยนะ จะร้องเพราะกว่านี้อีก เพราะกังวาลกว่าเทปคาสเซ็ทอีก!”


สยงชิงชิงชมเชยอย่างใจกว้าง วิธีการพูดของเธอแทบจะคล้ายกับสยงมู่มู่ แนะนำให้อู่เหมยไปเรียนดนตรี แต่อู่เหมยกลับไม่ค่อยยินดีนัก


“ฉันยังเรียนวาดรูปอยู่เลย ตอนนี้ยังต้องเรียนเต้นอีก ถ้าต้องไปเรียนดนตรีอีกล่ะก็ ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนล่ะ? ค่อยว่ากันวันหลังแล้วกัน!”


สยงชิงชิงรู้สึกว่าน่าเสียดาย พูดอย่างอิจฉาว่า “ฉันล่ะอิจฉาเสียงของเธอจริงๆ ทั้งหวานทั้งนุ่ม คล้ายกับเติ้งลี่จวินเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับเสียงของฉัน สูงเกินไป ร้องทีรับไม่ไหว”


เธอรู้ดีกว่าใครๆ ทั้งหมดว่าเสียงของตัวเองมีพลัง ร้องเสียงสูงไม่ลำบากเลยสักนิด แต่ร้องทำนองเพลงที่เป็นเสียงอ่อนเสียงหวานก็จะลดเสน่ห์ของเพลงนั้นลงไป ทำให้เธอกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก


แต่เธอจะยังมีวิธีแก้ปัญหาทางไหนอีก แม่ของเธอร้องโอเปร่า ตั้งแต่เด็กเธอก็ฝึกออกเสียงกับแม่ ไม่แน่ว่าเดิมทีเสียงของเธออาจจะนุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนขนมเค้กข้าวก็เป็นได้ แต่โดนแม่ของเธอฝึกจนเสียงกลายเป็นขนมปังปิ้งเนื้อลาไปแล้ว


อู่เหมยไม่เข้าใจความคิดของสยงชิงชิงเลยจริงๆ “พี่ชิงชิงพี่มีเสียงที่ดีเป็นพิเศษ ไม่คิดเลยว่ายังจะไม่ชอบอีก? พี่นี่มีของดีตรงหน้ายังจะไม่รู้ถึงความล้ำค่าของมันอีก!”


สยงชิงชิงฟังแล้วรู้สึกรื่นหูไม่น้อย เด็กคนนี้ถือว่าพูดเป็นเลยนะเนี่ย ทำให้จิตใจของเธอเบิกบานมีความสุขมาก เธอถอนหายใจ พูดว่า “แต่เสียงของฉันร้องเพลง เถียนมี่มี่’ ไม่เพราะ ผู้หญิงในคณะพวกนั้นต่างก็ร้องเพราะกว่าฉันกันทั้งนั้น!”


อู่เหมยพูดออกมาจากความรู้สึก “พี่ทำไมจะต้องร้องเพลง ‘เถียนมี่มี่’ ให้ได้ล่ะ? พี่ร้องเพลงอื่นๆ ก็ได้นี่!”


เพลงเพราะๆ มีตั้งมากมาย หญิงสาวคนนี้กลับจะเป็นจะตายจะต้องร้องเพลงเถียนมี่มี่ให้ได้ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ!


สยงชิงชิงกลุ้มใจจนดึงทึ้งผมตัวเอง “ฉันไม่รู้ว่าต้องร้องเพลงอะไรถึงจะดี ฉันไม่อยากร้องเพลงที่ทางคณะจัดให้เลยสักนิด แต่นอกจากเพลงพวกนี้แล้ว ฉันก็ไม่มีเพลงอื่นให้ร้อง ไอหยา กลุ้มใจจริงๆ!”


อู่เหมยรีบจับมือของสยงชิงชิงเอาไว้ ถ้ายังให้เธอดึงต่อไปอีก ผมคงโดนดึงหมดหัว จนหัวล้านแน่!


“พี่ชิงชิงเสียงของพี่สามารถร้องเพลงได้เยอะมาก ฉันจำได้ว่ามีเพลงหนึ่งชื่อเพลงว่า ‘รักคุณมากเกินกว่าที่จะพูดออกไป’ พี่ร้องน่าจะเหมาะมากๆ!”


อันที่จริงเดิมทีแล้วเพลงนี้เป็นเพลงยอดนิยมของประเทศอเมริกาในยุคห้าสิบ ‘More than I can say’ ได้แปลเป็นภาษาของประเทศนั้นๆ อยู่หลายประเทศ เป็นเพลงรักที่มีท่วงทำนองไพเราะมาก เมื่อชาติที่แล้วมีนักร้องหญิงคนหนึ่งนำไปขับร้อง แพร่กระจายไปทั่วทั้งประเทศจีนอย่างกว้างขวาง


ตอนนี้เพลงที่ได้รับความนิยมในประเทศก็คิอเพลงของเติ้งลี่จวินที่มีท่วงทำนองที่หวาน เพลงที่อู่เหมยพูดไม่ใช่เพลงทั่วไป จนสยงชิงชิงนึกไม่ออก แต่พออู่เหมยพูดชื่อเพลงนี้เป็นภาษาอังกฤษ ทำให้เธอถึงนึกขึ้นมาได้ ลองฮัมเพลงไปสองสามท่อน ยิ่งร้องก็ยิ่งตื่นเต้น!


”ความรู้สึกนี้แหละ ที่ฉันชอบก็คือความรู้สึกแบบนี้เนี่ยแหละ เหมยเหมย เธอนี่เป็นดาวนำโชคของฉันจริงๆ เลย!”


สยงชิงชิงทำเหมือนกับว่าหาทิศทางการดำรงชีวิตเจอแล้วยังไงก็ไม่ปาน กอดอู่เหมยอย่างแรงหอมไปหนึ่งที รีบร้อนกลับไป


…………………………………………..


ตอนที่ 483 อี้จงก็เป็นโรงเรียนเก่าของฉัน


เหยียนซินหย่ากลับอาคารอี้จงไปพร้อมกันกับจ้าวอิงหนาน มองเห็นโรงเรียนที่ตัวเองเคยเรียนในอดีต เหยียนซินหย่าปลงอนิจจังถอนหายใจออกมา “อี้จงยังเหมือนเดิมเลย นอกจากบ้านอาคารนี้แล้ว น่าจะสร้างเมื่อไม่กี่ปีมานี้ใช่ไหม?”


จ้าวอิงหนานมองไปทางเธออย่างตกใจ “พี่สะใภ้เล็ก เมื่อก่อนพี่เคยมาอี้จง?”


เหยียนซินหย่ายิ้มอย่างอ่อนหวาน เผยสีหน้ามีชีวิตชีวาที่ยากจะพบเห็นได้ออกมา “ฉันเรียนจบจากอี้จงน่ะ ฉันคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าเธอเสียอีก”


“โอ้ พระเจ้า หรือว่าพี่สะใภ้เล็กเป็นคนจินซื่อ? ฉันไม่เคยได้ยินพี่สะใภ้เล็กพูดถึงมาก่อนเลย พี่เล็กพี่ก็ไม่บอกฉัน” จ้าวอิงหนานมองจ้าวอิงหัวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย


เธอรู้แค่เพียงว่าเหยียนซินหย่าเป็นคนใต้ แต่กลับไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นคนจินซื่อ เสียแรงเปล่าจริงๆที่เมื่อก่อนเธอชอบยกยอจินซื่อต่อหน้าของเหยียนซินหย่าอยู่เสมอว่าภูเขาก็สวยน้ำก็ดีอาหารขนมขบเคี้ยวก็ดี น่าขายหน้ามากจริงๆ!


เหยียนซินหย่าพูดยิ้มๆ ว่า “เป็นฉันเองที่ไม่ให้พี่เล็กบอกเธอ อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่นับว่าเป็นคนจินซื่อ พ่อแม่ฉันเป็นคนอู่เจิ้น แต่พวกเขาทำงานที่จินซื่อ ฉันอยู่ที่อู่เจิ้นตั้งแต่เล็กจนโต ตอนที่เรียนมัธยมต้น พ่อแม่ฉันก็รับฉันมาที่จินซื่อ จนถึง…”


เธอหยุดชะงักลง รอยยิ้มเจือไปด้วยความเจ็บปวด เรื่องในอดีตที่แสนเจ็บปวดทำให้เธอจำใจต้องรำลึกย้อนกลับไปอย่างจนปัญญา ตรงหน้าปรากฏภาพศพของพ่อแม่ที่เสื้อผ้าอยู่ในสภาพยับยู่ยี่ พวกเขาแบกรับความอัปยศอดสูต่อไปไม่ไหวจึงปลิดชีวิตตัวเองลง


เธอรู้ว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงฆ่าตัวตาย ตอนนั้นเธออายุสิบหกปี ตอนที่มาเก็บร่างของแม่ที่เสียไป เธอก็รู้ว่าทำไมแม่ของเธอถึงเลือกที่จะฆ่าตัวตาย!


พวกเขามันไม่ใช่คน เป็นสัตว์เดรัจฉาน!


เหยียนซินหย่าเริ่มหายใจถี่ขึ้นมา เจ็บหน้าอกจนยืนได้ไม่มั่นคง


“ซินหย่า หายใจเข้าออกลึกๆ พร้อมกับผม อย่าไปคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วอีกเลย!”


จ้าวอิงหัวรีบโอบกอดภรรยาไว้ ตบหลังของเธอเบาๆ ใบหน้าที่หล่อเหลามีความกังวลอยู่ลึกๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะหมอแผนกนรีเวชที่มีฝีมือคนนั้น เขาไม่มีทางที่จะพาภรรยากลับมาที่จินซื่ออย่างแน่นอน


สิ่งที่สถานที่แห่งนี้ให้กับภรรยาของเขา เป็นเพียงแค่ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน!


จัาวอิงหนานตะลึงงันเหมือนกัน เธอนึกไม่ถึงเลยว่าสุขภาพร่างกายของเหยียนซินหย่าจะอ่อนแอขนาดนี้ มิน่าล่ะพี่เล็กถึงไม่ยอมรอจนถึงฤดูใบไม้ผลิ รั้นจะมารักษาอาการป่วยตอนนี้ให้ได้!


เธอก็เข้าใจว่าทำไมหลายปีมานี้เหยียนซินหย่าถึงไม่พูดถึงบ้านเดิมของพ่อแม่เลยแม้แต่คำเดียว น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ระทมเกินจะทานทนไหวอย่างแน่นอน!


ภายใต้การปลอบใจของจ้าวอิงหัว สีหน้าของเหยียนซินหย่าก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ เธอหันไปยิ้มให้สามีจ้าวอิงหัวที่เป็นห่วงเธอ พูดเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนว่า “ฉันไม่เป็นอะไร แค่หายใจไม่ทันอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วล่ะ”


ทุกคนเลี่ยงหัวข้อสนทนาเมื่อครู่โดยไม่ได้นัดหมาย จ้าวอิงหนานตั้งใจพูดถึงอู่เหมยขึ้นมา เธอดูออกว่าเหยียนซินหย่าชอบเรื่องที่เธอพูดถึงเหมยเหมย


“ลูกสาวบุญธรรมของฉันเนี่ยโดดเด่นอย่าบอกใคร นอกจากหน้าตาดีแล้ว วาดรูปก็เก่ง เต้นรำก็สุดยอดเป็นที่หนึ่ง อีกทั้งรอเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะเป็นตัวแทนกลุ่มเยาวชนของจินซื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับประเทศที่เมืองหลวง เด็กน้อยคนนี้ยุ่งเสียยิ่งกว่าประธานาธิบดีของประเทศเสียอีก ฉันอยากจะพบเธอก็ยังไม่ได้เจอเลย!”


จ้าวอิงหนานบ่นครึ่งหนึ่ง พูดโม้อีกครึ่งหนึ่ง เหยียนซินหย่าได้ฟังก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา ยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอู่เหมยมากยิ่งขึ้น


“สาวน้อยคนนี้ตอนนี้ทำไมถึงได้เก่งไปหมดขนาดนี้นะ เพิ่งจะสิบสองขวบเอง หัวสมองเล็กๆ ทำไมถึงได้บรรจุอะไรได้เยอะมากมายลงไปได้มากขนาดนี้!” เหยียนซินหย่าชื่นชมไม่หยุด


หางตาของเธอมองไปที่เด็กผู้ชายที่โตแล้วอย่างสยงมู่มู่ ก็ใจอ่อนขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดอีกว่า “ยังมีสยงมู่มู่ของพวกเราที่เก่งยิ่งกว่า อิงหนาน เธอช่างมีโชคมีวาสนาจริงๆ ลูกชายที่ให้กำเนิดก็มีพรสวรรค์ ลูกสาวบุญธรรมก็เก่งขนาดนี้”


สยงมู่มู่ที่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในตอนนี้จึงค่อยๆ ยิ้มออกมาได้ เพราะคุณป้าเล็กมีศิลปะในการพูด ไม่เหมือนแม่ของตัวเอง ไม่มีศิลปะการพูดเลยสักนิด!


เหอะ!


…………………………………………..


ตอนที่ 484 ลูกสาวของเหยียนตานชิง


สุขภาพร่างกายของเหยียนซินหย่าอ่อนแอมากจริงๆ เธอเพิ่งจะกินข้าวก็ขึ้นเตียงไปพักผ่อนแล้ว สองพี่น้องจ้าวอิงหนานนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกพูดคุยกันเสียงเบาๆ ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี จ้าวอิงหนานมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่าให้ฟัง


“พี่ชายเล็ก สุขภาพของพี่สะใภ้เล็กเป็นยังไงบ้าง? ฉันมองยังไงก็ไม่ค่อยดีเลย!” หน้าของจ้าวอิงหนานมีความกังวลใจอยู่


ต่อหน้าน้องสาวของตัวเอง จ้าวอิงหัวก็สลัดคราบความสุขุมเยือกเย็นที่ควบคุมเอาไว้ออกไป ใบหน้าปรากฎความหวาดกลัวและความกลัดกลุ้มอยู่ลึกๆ ออกมา ถอนหายใจพูดว่า “คุณหมอทุกคนต่างก็พูดว่าพี่สะใภ้เล็กของเธอเป็นไข้ใจ ไม่มียารักษาต่อให้เป็นยาวิเศษก็รักษาไม่ได้ ครั้งนี้ที่พี่พาพี่สะใภ้เล็กของเธอกลับมา หนึ่งก็คือมาหาหมอ สองก็คือหนามยอกเอาหนามบ่ง อยากจะให้พี่สะใภ้เล็กของเธอเผชิญหน้ากับความเป็นจริง มีสติและตื่นจากเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา เพียงแต่หวังว่ามันจะได้ผล!”


ลูกสาวไปสวรรค์แล้ว ไม่สามารถกลับมาได้อีก แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป!”


เขารู้ว่าที่ภรรยาเจ็บปวดเศร้าใจนั้นไม่ใช่แค่เพียงเพราะลูกสาว ความทุกข์ยากลำบากที่ผ่านมามากมาย ทำลายความปรารถนาในการดำเนินชีวิตของเธอ ดังนั้นเธอถึงได้อ่อนแอไม่มีแรงลงไปทุกๆ วัน จนไม่มีอะไรมากไปกว่าไม่คิดอยากจะมีชีวิตต่อไปแล้ว!


แต่เขาไม่ยินยอม เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง!


ต่อให้โลกใบนี้มีความทุกข์ยากลำบากมากมายขนาดไหน เขาก็อยากจะดึงภรรยาเขาไว้รับความทุกข์ไปด้วยกันกับเขา!


ถ้าหากไม่มีภรรยาอยู่เป็นเพื่อน เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะยังอยู่ต่อไปได้ไหม!


จ้าวอิงหนานก็ถอนหายใจ คนภายนอกรู้แค่เพียงความยิ่งใหญ่ความเจริญความมั่งคั่ง แต่กลับไม่รู้ถึงเบื้องหลังของความยิ่งใหญ่ความเจริญนี้ว่าต้องแลกมาด้วยเลือดและน้ำตา!


“พี่สะใภ้เล็กจะต้องดีขึ้นมาแน่ๆ เธอรักพี่กับเสวียหลินขนาดนี้ จะใจแข็งทิ้งพวกพี่ลงได้ยังไง พี่เล็กพี่จะต้องเข้มแข็งขึ้นมาให้ได้นะ!”


จ้าวอิงหัวลูบใบหน้า พูดอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีอะไร ฉันจะต้องทำให้เหยียนซินหย่าดีขึ้นมาให้ได้!”


จ้างอิงหนานรู้สึกอยากรู้เกี่ยวกับครอบครัวของเหยียนซินหย่า เมื่อสักครู่อยู่ต่อหน้าเหยียนซินหย่าถามไปคงไม่ดี แต่ตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว


จ้าวอิงหัวถอนหายใจอีกครั้ง ยิ้มเจื่อนๆพูดว่า “พ่อของซินหย่าชื่อเหยียนตานชิง เธอคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาบ้าง!”


จ้าวอิงหนานเบิกตาโต มองจ้าวอิงหัวอย่างตกใจ แน่นอนว่าเธอรู้จัก รู้จักมากๆ!


เหยียนตานชิงเป็นปรมาจารย์ด้านภาพวาดจีนที่โดดเด่นมีชื่อเสียงในยุคปัจจุบัน อีกทั้งเขายังเป็นนักแปล นักดนตรี และนักเขียนนักประพันธ์ที่มีขื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ไม่เพียงแค่นั้น เหยียนตานชิงยังเป็นผู้ก่อตั้งสำนัก ที่มีชื่อว่า ‘สำนักเหยียน’ ขึ้นมาอีกด้วย


ภาพวาดของสำนักเหยียนนั้นเหมือนกับภาพวาดจีนทั้งยังเหมือนกันกับภาพการ์ตูน ดูๆ แล้วเหมือนวาดเส้นแค่เพียงน้อยๆ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนมาก แต่ถ้าดูดีๆ กลับมีอะไรโดดเด่นสะดุดตาสะกิดใจให้จดจำ


เพียงแต่เสียดายปรมาจารย์ที่ทั้งเก่งทั้งยอดเยี่ยมคนนี้ ยี่สิบปีก่อนโดนใส่ร้ายทำให้โดนลงโทษข้อหากบฏขายชาติ อยู่ในคุกรับความอัปยศไม่ไหว ก็เลยฆ่าตัวตาย ภรรยาของเขาผู้เป็นนักเต้นที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ได้ตายก่อนเขาไปครึ่งเดือนก่อนหน้านั้นแล้ว


จ้าวอิงหนานคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพี่สะใภ้เล็กของตัวเองเป็นลูกสาวของเหยียนตานชิง!


จ้าวอิงหัวกำชับว่า “วันหลังเธออย่าพูดถึงพ่อแม่ของซินหย่าต่อหน้าของซินหย่า พ่อตาแม่ยายของพี่ พวกเขาเสียชีวิตได้น่าสงสารมาก อีกทั้งงานศพก็เป็นเหยียนซินหย่าเพียงคนเดียวที่จัดการ ในตอนนั้นเธออายุแค่สิบหกปี ไม่มีใครช่วยเหลือเธอสักคน ในเวลาเดียวกันกับตอนที่เกิดเรื่องคุณปู่คุณย่าของเธอก็จากไปอีก เธอก็เป็นคนที่จัดการกับร่างของพวกเขา นี่เป็นความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่อยู่ในใจของเธอมาตลอด”


จ้าวอิงหนานได้ฟังก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างสุดจะทน เมื่อก่อนเธอยังรู้สึกว่าพี่สะใภ้เล็กของเธอจะว่าดีก็ดี ติดแค่อ่อนแอไปหน่อย แต่ตอนนี้ดูแล้ว ไม่ใช่เหยียนซินหย่าไม่เข้มแข็ง!


ในชีวิตคนมีเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดอยู่สามเรื่อง กำพร้าตั้งแต่เด็ก เสียลูกตอนวัยหนุ่มสาว วัยกลางคนเสียภรรยา!


เหยียนซินหย่าได้ครองสองอย่างในนั้น เธอจะต้องรับความเจ็บปวดเสียใจมากมายแค่ไหนกัน!


ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนั้นที่ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรหลีกหนี เหยียนซินหย่าที่อายุแค่สิบหกยืนหยัดมาได้ยังไงกัน?


เธอหวังว่าเหยียนซินหย่าจะสามารถดีขึ้นได้ในเร็ววัน เธอไม่ยินดีที่จะเห็นพี่ชายคนเล็กของเธอต้องได้รับความเจ็บปวดกับ ‘วัยกลางคนเสียภรรยา’ แบบนั้น และยิ่งไม่ยินดีที่จะเห็นหลานชายจ้าวเสวียหลินต้องกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเด็ก!


ครอบครัวเดียวกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาถึงจะดีสิ!


…………………………………………


ตอนที่ 485 คนสำคัญที่จะต้องได้รับการปกป้องจากคนทั้งบ้าน


อู่เหมยกับอู่เชาออกจากคณะวัฒนธรรมกลับจินต้าด้วยกัน นับตั้งแต่หลังจากที่เหอปี้อวิ๋นทุบหัวอู่เยวี่ยจนได้รับบาดเจ็บนั้น อู่เยวี่ยก็โดนคุณย่ารับไปอยู่ด้วย คุณย่าท่านไม่ไหวใจเหอปี้อวิ๋น อันที่จริงเธอเชื่อจริงๆ ว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นโรคประสาท


คนดีๆ ที่ไหนจะสามารถลงมือกับสามีกับลูกสาวได้รุนแรงโหดเหี้ยมขนาดนั้น?


อีกทั้งหากเหอปี้อวิ๋นเป็นโรคประสาทจริงๆ ก็เป็นผลดีต่ออู่เจิ้งซือ เธอก็ไม่ค่อยพอใจภรรยาของลูกชายตั้งนานแล้ว ก็ฉวยโอกาสที่เหอปี้อวิ๋นเป็นโรคประสาทหย่าไปเสียเลย เธอจะจัดการหาลูกสะใภ้มีการศึกษาดีฉลาดมีปัญญาเพียบพร้อมในทุกๆ ด้านมีความสามารถมาให้ลูกชาย เก่งกว่าดีกว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นร้อยเท้า!


คุณปู่อู่เดิมทีจะให้อู่เจิ้งซือระงับอารมณ์และคำพูดเอาไว้ก่อน รอให้เหอปี้อวิ๋นสงบ พอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิค่อยพูดเรื่องหย่า แต่คุณย่ากลับไม่ยินยอม เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกชายแล้วก็หลานสาว


อยู่กับคนเป็นโรคประสาทตั้งแต่เช้ายันเย็น ถ้าหากว่ากลางดึก ดึกๆ ดื่นๆ เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา เรียกฟ้าก็ไม่มีใครได้ยินเรียกดินก็ไม่ได้ผล ข้างกายของอู่เจิ้งซือกับอู่เยวี่ยแม้กระทั่งคนช่วยเหลือสักคนก็ไม่มี!


ที่คุณย่ากังวลก็ถือว่ามีเหตุผล จนถึงตอนนี้ คนในตระกูลอู่ต่างก็เชื่อว่าเหอปี้อวิ๋นจิตมีปัญหา อาจจะไม่หนักเท่าที่คุณย่าพูด แต่ก็ไม่ปกติแน่นอน


ย่อมเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงมากกว่าจะเชื่อว่าว่ามันจะไม่เกิดขึ้น!


อู่เจิ้งซือยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว เขาไม่กล้าที่จะอยู่ร่วมห้องเดียวกับเหอปี้อวิ๋นแล้ว ถ้าหากว่ากลางดึกเอาที่ทับกระดาษมาทุบหัวเขาอีก เขาคงจะนอนตายตาไม่หลับจริงๆ!


อีกอย่างต่อให้เขาไม่อยากไล่เหอปี้อวิ๋นออกไป เหล่าเพื่อนบ้านที่ได้รับความหวาดกลัว โดยเฉพาะพวกอาจารย์ที่มีลูกอยู่ในบ้าน ต่างก็แห่ไปร้องทุกข์กับผู้อำนวยการกันยกใหญ่ ร้องขอให้เหอปี้อวิ๋นออกจากอาคารอีจงไปซะ ไม่สนว่าเหอปี้อวิ๋นจะไปที่ไหน ถึงอย่างไรก็ให้อยู่ที่อีจงไม่ได้


พวกเขาไม่กล้าที่จะอยู่ด้วยกันกับคนที่เป็นโรคประสาท!


พอได้รับความกดดันมาเรื่อยๆ อู่เจิ้งซือที่เดิมทีที่ยังลังเล วันต่อมาก็บังคับสั่งให้เหอปี้อวิ๋นกลับบ้านพ่อแม่ ถึงแม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะร้องไห้โวยวายด้วยความไม่เต็มใจ แต่เพราะผู้อำนวยการออกหน้าพูดแล้ว คงทำตามใจของเธอไม่ได้!


เหอปี้อวิ๋นที่แสดงท่าทีไม่เต็มใจที่จะกลับไป ทำได้แค่เพียงจัดการเก็บเสื้อผ้าสองสามตัว กลับบ้านพ่อแม่อย่างหน้าตาดูไม่ได้ ก่อนจะไปเธอร้องไห้สะอึกสะอื้นยอมรับผิดต่อหน้าอู่เจิ้งซือ ยังบอกให้เขารีบไปรับเธอกลับมาเพื่อฉลองตรุษจีนด้วยกัน


เพื่อให้เธอไปอย่างไม่โวยวายไม่ก่อเรื่อง อู่เจิ้งซือก็เลยรับปากเธอไปสองสามประโยคอย่างขอไปที เหอปี้อวิ๋นเชื่อไปแล้วว่าจริง เลยไม่ได้ร้องไห้โวยวายอีก


ถึงแม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะไม่อยู่บ้านนี้แล้ว แต่อู่เจิ้งซือก็ไม่คิดที่จะอยู่ในบ้าน หนึ่งคือไม่มีคนทำอาหาร สองคือเขาไม่อยากเห็นเพื่อนบ้านที่ทำท่าทางโบกไม้โบกมือซุบซิบ ก็ถือโอกาสไม่ต้องเห็นเลยจะดีกว่า คนในบ้านหลังนี้เลยย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านของคุณปู่อู่ด้วยกัน


แน่นอนว่าอู่เหมยก็ต้องไปอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะยินดีมากกว่าถ้าได้อยู่ที่บ้านเล็กๆ ของตัวเอง แต่อู่เจิ้งซือคงจะไม่อนุญาตให้เธออยู่บ้านคนเดียวอย่างแน่นอน อีกทั้งคุณปู่อู่ก็คงจะไม่เห็นด้วย


ใครใช้ให้เธอเป็นคนสำคัญที่จะต้องได้รับการปกป้องจากคนทั้งบ้านในตอนนี้กันล่ะ!


การดูแลปรนนิบัติในบ้านคงไม่ต้องดีมากก็ได้!


อู่เหมยเดินไปอย่างไม่พอใจ เดินไปสามก้าวก็หยุด ไม่เต็มใจเลยสักนิด อู่เชามองจนโมโห พูดเร่งรัดว่า “เธอรีบๆ เถอะ เดินช้าๆ ทำอะไร ถ้ายังไม่รีบอีกก็จะขึ้นรถเมล์ไม่ทันเวลาเหมือนเมื่อวานอีกหรอก!”


“เออ!”


อู่เหมยตอบกลับไปอย่ากลัดกลุ้ม เดินเร็วขึ้นมาหน่อย แต่ก็แค่เพียงเปลี่ยนจากหอยทากมาเป็นเต่าแค่นั้นเอง อู่เชาทั้งโมโหทั้งไม่พอใจ พูดด้วยความแค้นใจว่า “เธออย่าเหลวไหลไม่มีเหตุผลมากจนเกินไปสิ คุณปู่คุณย่ายังดีกับเธอไม่พออีกหรอ เมื่อวานน่องสองน่องนั้นก็ให้เธอกินไปทั้งหมด ยังมีปลาจวดเหลืองเมื่อวันก่อน ลงไปอยู่ในท้องของเธอมากกว่าครึ่งตัว……”


เด็กอ้วนน้อยหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นมาต่อว่าอู่เหมยทีละข้อ อิจฉาจนตัวจะบินขึ้นถึงฟ้าอยู่แล้ว ตอนนี้ในบ้านอู่เหมยคือที่หนึ่ง แม้กระทั่งเขายังหลุดออกจากตำแหน่งเลย!


…………………………………………..


ตอนที่ 486 เหอปี้อวิ๋นจนตรอก


อู่เชายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ของอร่อยเยอะแยะขนาดนั้น เมื่อก่อนเป็นเขาที่ได้รับมันทั้งหมด ขนาดอู่เยวี่ยยังต้องยอมให้เขาเลย แต่ตอนนี้คนที่ได้รับดันกลายเป็นยัยเด็กนี้หมดเลย ของดีขนาดนั้นยังทำตัวไม่มีเหตุผลอีก ทำเอาเขาโมโหแทบตาย!


อู่เหมยกรอกตามองบนใส่เขา “มีอันไหนที่อร่อยแล้วฉันไม่แบ่งให้นายไหม? ก็แค่ปลาจวดเหลืองเมื่อวันก่อนที่ฉันกินเยอะไปสองสามคำ นายยังจำมาจนถึงตอนนี้ จิตใจนายเล็กกว่าปลายเข็มหมุดซะอีก ตาบอดเหรอ นายอวบอ้วนไปทั่งร่างแล้วเนี่ย!”


อู่เชาลูบจมูกเขินเก้อเขิน หน้าอ้วนกลมแดงก่ำขึ้นมา รู้สึกอับอายที่ตัวเองจิตใจคับแคบ!


ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ถือว่าดีต่อเขาไม่เลวเลยจริงๆ สองสามวันมานี้เขาไม่ได้จะผอมลง เอวยังขยายขึ้นมาอีกหนึ่งนิ้ว!


“ได้ๆๆ เป็นฉันที่พูดผิดเอง เธอเร็วหน่อย ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันขึ้นรถเมล์จริงๆ แล้วนะ!”


รถเมล์คันหนึ่งค่อยๆ ขับเข้ามาช้าๆ อู่เชาตาเป็นประกาย หมุนร่างอวบอ้วนออกแรงวิ่งไป อู่เหมยที่อยู่ด้านหลังเขาแต่เพียงครู่เดียวก็วิ่งมาถึงข้างหน้าเขาแล้ว กระโดดขึ้นไปบนรถเมล์หันมาโบกไม้โบกมือให้เขา


เมื่อกี้อู่เชามีความทุกข์ละอายใจพุ่งขึ้นมาในใจ จนรู้สึกอยากจะหายตัวไป!


แต่ยัยเด็กสมควรตายนี่ก็ไม่รู้จักดึงเขาสักหน่อย น่ารังเกียจไม่สำนึกบุญคุณ ตอนเย็นจะไม่แบ่งเกี๊ยวให้กินเลยแน่นอน!


มีเหตุผลที่อู่เหมยอารมณ์ไม่ดี เป็นเพราะเธอไม่ได้เห็นเหยียนหมิงซุ่นมาหลายวันแล้ว ครั้งที่แล้วเธอหาเวลาว่างกลับไปอีจง ไปตระกูลเหยียนไปหาเหยียนหมิงซุ่น แต่คุณยายหยางบอกว่าเขากลับบ้านเกิดของแม่ไปแล้ว ต้องรออยู่หลายวันถึงจะกลับมา


คิดๆ ไปแล้วเธอกับเหยียนหมิงซุ่นก็เจอหน้ากันครั้งล่าสุดคือตอนที่เกิดเรื่องวันนั้น เหยียนหมิงซุ่นเป็นห่วงเธอ กลางดึกก็ปีนกำแพงมาดูเธอ คุยเรื่อยเปื่อยกับเธอสักพัก ไม่เห็นจะพูดว่าจะไปบ้านแม่ พูดแค่เพียงว่าผ่านไปไม่กี่วันจะพาเธอไปหาหมอฟัน แถมยังยึดลูกอมของเธอไปอีกด้วย


บอกว่าฉิวฉิวไม่อยู่ ไม่อนุญาตให้ตัวเธอมีลูกอมเก็บไว้!


อู่เหมยย่นจมูก ในใจรู้สึกหวานล้ำ เธอชอบที่มีคนมาเอาใจใส่แบบนี้ มีคนเต็มใจที่จะเอาใจใส่เธอ ก็แสดงให้เห็นว่าคนๆ นี้แคร์เธออยู่!


เมื่อก่อนอู่เจิ้งซือไม่สนใจไม่เหลียวแลเธอ เวลาเห็นก็ทำเหมือนมองไม่เห็น เหอปี้อวิ๋นมีแค่เพียงตอนที่อารมณ์ไม่ดีถึงจะนึกถึงเธอขึ้นมา ทั้งหมดก็เป็นเพราะแค่พวกเขาไม่ได้สนใจเธอ!


ดังนั้นก็เลยไม่เอาใจใส่เธอเช่นกัน!


อู่เหมยยังคิดถึงฉิวฉิวด้วย เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอไปถนนฮวายไห่รอบหนึ่ง ฉิวฉิวยังนอนอยู่บนเตียง มองดูแล้วเหมือนจะตัวโตขึ้นแล้วนิดหน่อย ขนก็อ่อนนุ่ม มีเพียงแค่ยังไม่ตื่นขึ้นมา


ครั้งนี้เวลาที่ฉิวฉิวนอนนั้นยาวนานกว่าครั้งแรกเป็นอย่างมาก ไม่มีเจ้าหนุ่มน้อยคอยอยู่เป็นเพื่อน เหยียนหมืงซุ่นก็มาหาไม่เจออีก อารมณ์ของอู่เหมยทำยังไงก็ไม่ดีขึ้นมา


“อาสะใภ้รองทำไมถึงยืนอยู่หน้าประตูได้ล่ะ?”


สองคนลงจากรถก็เดินไปบริเวณจินต้า จินต้าในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวทั้งหนาวแล้วก็เงียบสงัด อู่เชาสายตาแหลมคม เห็นเหอปี้อวิ๋นที่เดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าประตูตระกูลอู่แต่ไกลๆ


เหอปี้อวิ๋นที่ไม่ได้เจอหลายวันมองแล้วดูซีดเซียวเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนแต่ก่อนที่หน้าตาสดใส ไหนจะรอยย่นที่หางตาที่ปรากฏออกมา ยังมีผมเผ่าที่ยุ่งเหยิง เสื้อผ้าที่ไม่พอดีกับตัว บ่งบอกอย่างเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านคืนวันมาได้ไม่ดีเลยแม้แต่น้อย!


“เหมยเหมย เสี่ยวเชา พวกเธอกลับมากันแล้วหรอ?”


เหอปี้อวิ๋นที่โดนคุณย่าอู่ล็อคประตูใส่ไม่ให้พบหน้า เดินไปทางพวกอู่เหมยอย่างดีใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเอาใจ สุภาพนุ่มนวลกับอู่เหมยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


เพิ่งไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ยังไม่ถึงสามวัน น้องสะใภ้ก็เริ่มที่จะพูดจาแดกดันแล้ว ถึงแม้น้องชายจะไม่พูดอะไรแต่ก็ไม่ได้ช่วยพูดให้เธอ คุณแม่ก็ด่าเธอตั้งแต่เช้าจนค่ำ บอกให้เธอรีบคิดหาวิธีกลับตระกูลอู่ ยังพูดอีกว่าให้อยู่ถึงแค่วันที่ยี่สิบเก้าเท่านั้น พอถึงวันที่สามสิบวันนั้นจะต้องกลับไปบ้านตระกูลอู่ ไม่อย่างนั้นก็ไปนอนข้างถนน!


เหอปี้อวิ๋นรู้ดีว่าแม่ที่ไร้ความปราณีของตนเองนั้นทำได้อย่างที่พูดจริงๆ พอมองเห็นว่าวันนี้เป็นวันที่ยี่สิบเจ็ดแล้ว แต่อู่เจิ้งซือยังไม่มาปรากฏตัวให้เห็น เหอปี้อวิ๋นไหนเลยจะทนไหว จึงรีบรุดมาเยี่ยมถึงที่บ้านด้วยตัวเอง!


…………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)