หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 454-459
บทที่ 454 วิชาแห่งศาสตร์มืด หัตถ์สื่อวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เฉินชิงก็ยังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความภูมิใจในตนเอง และขณะที่หวังเป่าเล่อจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อและริษยา เสียงกระแอมกระไอเบาๆ ก็ดังขึ้นด้านหลังพวกเขาทั้งคู่ มันสะท้อนก้องจนทำให้เฉินชิงผู้ภาคภูมิใจอยู่เมื่อครู่สั่นสะท้าน เขาหันหลังไปมองอย่างรวดเร็ว ความสุขที่เคยฉาบอยู่บนใบหน้าบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความนิ่งขึง สีหน้าท่าทางหื่นกระหายเมื่อครู่กลายเป็นสีหน้าจริงจัง เฉินชิงลดเสียลงต่ำและก้มศีรษะคำนับ
“คารวะท่านอาจารย์!”
เฉินชิงผู้นี้เป็นผู้มีประสบการณ์มาก ทำให้สามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้ทันท่วงที หวังเป่าเล่อนั้นยังไร้เดียงสาและเปลี่ยนสีหน้าได้ช้ากว่ามากนัก ต้องใช้เวลาไปถึงชั่วอึดใจกว่าเขาจะหันหลังมาพบหน้าอาจารย์หมิงคุนจื่อที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“คารวะท่านอาจารย์!” หวังเป่าเล่อรีบกุลีกุจอโค้งคำนับ ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าตนนั้นตอบสนองช้าเกินไป แต่เป็นศิษย์พี่เฉินชิงซึ่งอับอายกับการกระทำของตน จึงเปลี่ยนกริยาอย่างรวดเร็ว
หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าอาจารย์หมิงคุนจื่อดูไม่ได้ใส่ใจเฉินชิงนัก ชายชราจ้องมองมาทางเขาด้วยสายตาเปี่ยมเมตตา
“เป่าเล่อ ใบหน้าซากศพของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเล่า”
หวังเป่าเล่อละล่ำละลักตอบคำอาจารย์
“อาจารย์ขอรับ ศิษย์ต่ำต้อยผู้นี้เริ่มเคยชินกับวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดแล้ว ข้าได้ทำตามเจตจำนงของเต๋าสวรรค์ทุกประการตอนที่วาดใบหน้าซากศพให้ดวงวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้น ในทุกๆ ครั้ง ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจก็จะเอ่อล้นขึ้นมาในใจข้า ข้าจึงมักจะวาดแต่งเติมให้พวกเขาไปเล็กน้อยอยู่เสมอๆ” หวังเป่าเล่อภูมิใจกับทักษะการวาดภาพของตนอย่างยิ่ง เมื่อเขาพูดจบ เฉินชิง ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างกายก็กะพริบตาปริบ เขารู้สึกว่าคำถามของอาจารย์ดูจะแปลกอยู่สักหน่อย ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย เฉินชิงจึงพยายามจะเปลี่ยนเรื่องเสีย โดยขณะนี้หัวข้อเรื่องศิษย์น้องหวังเป่าเล่อของเขาดูจะเหมาะสมที่สุด
ชายหนุ่มรีบพูด “ท่านอาจารย์ อย่าไปฟังเรื่องเหลวไหลของศิษย์น้องเป่าเล่อเลยขอรับ ข้านั่งอยู่ข้างๆ เขาและรู้ดีว่าศิษย์น้องเป่าเล่อนั้นร้ายกาจนัก จริงอยู่ว่าใบหน้าซากศพของเขาสวยงามพอใช้ แต่เจ้าคนนี้…ข้าก็ไม่แน่ใจนักว่าทำไม แต่เขาเอาแต่วาดคนตัวอ้วนท้วน…ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง พวกเขาทุกคนต่างก็อ้วนท้วนสมบูรณ์กันหมด ข้าคิดว่าข้าสามารถมองเห็นอนาคต เมื่อดวงวิญญาณกลุ่มนี้ไปเกิดใหม่ โลกจะต้องเต็มไปด้วยคนตัวอ้วนท้วนไปเสียสิ้น…” เฉินชิงถอนหายใจ เขาหลุบศีรษะลงต่ำและขยิบตาให้หวังเป่าเล่อ เขาอยากจะขอโทษศิษย์น้อง อยากจะบอกว่าศิษย์พี่ผู้นี้ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องใช้เขาเป็นเครื่องเบี่ยงเบนความสนใจ
หวังเป่าเล่อตาแทบถลน ชายหนุ่มอยากจะแก้ต่างให้ตนเอง แต่ก็มองเห็นสัญญาณที่ศิษย์พี่ส่งมาเสียก่อน เขาจึงยอมกลืนความรู้สึกของตนและเริ่มทำท่าทีสลดใจ ไม่ได้พูดสิ่งใดต่อไป
หมิงคุนจื่อไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เฉินชิงพูดเท่าใดนัก ชายชราไม่ได้ซักไซ้ต่อ เขาเพียงบอกเคล็ดลับการวาดใบหน้าซากศพให้หวังเป่าเล่ออีกสองสามประการ เฉินชิงที่อยู่ข้างๆ มีท่าทีนบนอบ พยักหน้าตามอยู่โดยตลอด ราวกับว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่อาจารย์กำลังพูด ราวกับว่าความรู้ของอาจารย์นั้นช่างมหัศจรรย์เสียเต็มประดา
หลังจากนั้นพักใหญ่หมิงคุนจื่อก็จากไป ขณะที่ชายชรากำลังเดินไปนั้น หวังเป่าเล่อก็มองเห็นมือขวาของอาจารย์ มันพร่าเลือนยิ่งกว่าก่อน เหมือนกับคราวที่เขาได้เห็นนิ้วมือของอาจารย์บนเรือพายลำน้อย
สิ่งนั้นทำให้หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากถามแต่อาจารย์ก็เดินลับสายตาไปเสียก่อน
“สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นเพราะอะไรกัน” หวังเป่าเล่อชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจปรึกษาเรื่องนี้กับศิษย์พี่ เมื่อเฉินชิงได้ยินคำถาม เขาก็ดูตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าน่าจะตาฝาด ข้าไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปกติเลย”
หวังเป่าเล่อตกตะลึงไปเล็กน้อย ชายหนุ่มคิดใคร่ครวญเรื่องนี้และสงสัยว่าเขาตาฝาดไปจริงๆ วันต่อมา เมื่อเขาตัดสินใจเดินทางไปเยี่ยมอาจารย์อีกครั้งและตั้งใจมองให้ชัดก็เห็นว่ามือของอาจารย์นั้นปกติดี ชายหนุ่มอดขยี้ตาไม่ได้ พลางคิดว่าบางทีเขาอาจจะมีปัญหาเรื่องการมองเห็นก็เป็นได้
แม้กระนั้นความสงสัยในใจของเขาก็ไม่ได้ลดลง ชายหนุ่มเพียงแต่เก็บงำมันไว้ในใจเท่านั้น
วันเวลาผ่านไปเช่นเคย สองสัปดาห์ผ่านไป ช่วงนี้หวังเป่าเล่อยังคงวาดใบหน้าซากศพอยู่ทุกวัน ด้วยการวาดใบหน้าซากศพจำนวนมาก ทำให้วิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดของเขานั้นมีระดับสูงส่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งศิษย์พี่ช่วยให้เขาได้ความทรงจำกลับคืนมามากเท่าใด เขาก็ยิ่งจำวิชาแห่งศาสตร์มืดระดับสองได้มากเท่ากัน
วิชาแห่งศาสตร์มืดระดับสองมีชื่อว่า…หัตถ์สื่อวิญญาณ!
วิชาแห่งศาสตร์มืดระดับหนึ่งคือใบหน้าซากศพ ส่วนระดับสองคือหัตถ์สื่อวิญญาณ สิ่งนี้เป็นทั้งพลังเทพและทักษะการฝึกปราณ…เปลวไฟสีดำก็เหมือนปราณวิญญาณ มันจะค่อยๆ รวบรวมอยู่ในกาย…ยิ่งความทรงจำของหวังเป่าเล่อกลับมามากเพียงใด เขาก็ยิ่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิชาแห่งศาสตร์มืดเอาไว้ในแบบที่ตนเข้าใจได้มากขึ้นทุกที
ชายหนุ่มยังรู้อีกด้วยว่าวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดนั้นคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาฝึกตนที่ศิษย์ขั้นรากฐานตั้งมั่นของสำนักแห่งความมืดเคยสอน การฝึกปรือเคล็ดวิชานี้อาจทำให้บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น และสร้างแก่นในแห่งความมืดเพื่อเริ่มฝึกวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณต่อไป ถึงกระนั้น วิธีการฝึกตนเช่นนี้ก็โบราณไปเสียแล้ว
สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์ สำนักแห่งความมืดจะให้ศิษย์ฝึกวิชาใบหน้าซากศพจนกระทั่งพวกเขาบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ จากนั้นจึงค่อยเริ่มฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดระดับสอง ซึ่งก็คือหัตถ์สื่อวิญญาณ วิธีนี้จะกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ของเปลวไฟสีดำภายในกาย และเปลวไฟสีดำก็จะยิ่งทวีความแข็งแกร่งและเพิ่มจำนวนขึ้น เมื่อศิษย์มีแก่นในของตนเองแล้ว เปลวไฟสีดำก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย
นั่นเพราะวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณช่วยเร่งการดูดซึมปราณมืดและเข้าไปบีบอัดเปลวไฟสีดำในร่างกาย
ส่งผลให้มีเปลวไฟสีดำหลายๆ ดวงปรากฏขึ้นในกายพร้อมๆ กัน จำนวนของเปลวไฟสีดำจะแตกต่างกันไปตามพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล
ตามบันทึกของสำนักแห่งความมืด จำนวนเปลวไฟสีดำที่แบ่งตัวมากสุดซึ่งเคยมีคนทำไว้คือแปดสิบเอ็ดครั้ง แปลว่าเปลวไฟสีดำแปดสิบเอ็ดดวงนั้นซ้อนทับกันไปมาจนในที่สุดจึงกลายเป็นแก่นในแห่งความมืด พลังของมันมหาศาล ผู้ที่ทำสำเร็จนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น…คือศิษย์พี่เฉินชิงผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขานี่เอง!
คนอื่นๆ ก็สามารถสร้างเปลวไฟสีดำได้หลายสิบดวงเช่นกัน
ในด้านการโจมตี วิชาหัตถ์สื่อวิญญาณจะสร้างหัตถ์แห่งความมืดออกมาจากกาย หัตถ์แห่งความมืดนี้สามารถทะลุผ่านกายเนื้อของสิ่งมีชีวิตใดก็ตามและเข้าไปจับวิญญาณได้!
นี่คือวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ!
ทรงพลังจนเหลือจะกล่าว!
หากผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในแห่งความมืดใช้วิชานี้ พลังก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก!
หลังจากที่ได้ความทรงจำเหล่านี้กลับคืนมา ลมหายใจของหวังเป่าเล่อก็ถี่เร็วขึ้น นอกจากการวาดใบหน้าซากศพแล้วนั้น เขาก็เริ่มฝึกวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณด้วย การฝึกพลังเทพนี้ยากยิ่ง แต่พลังในการเพิ่มพูนเปลวไฟสีดำของมันนั้นสัมผัสได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหวังเป่าเล่อ เปลวไฟสีดำในกายเขาเริ่มเติบโตจากสามดวงไปสี่ แล้วก็ห้า แล้วก็หก แล้วก็เจ็ด…
หลังจากผ่านไปสองสัปดาห์ ชายหนุ่มก็มีเปลวไฟสีดำอยู่ในร่างถึงสิบเจ็ดดวง เมื่อทั้งหมดมาเรียงซ้อนกัน พลังของพวกมันก็เกินไปกว่าที่เขาเคยมีในอดีต!
ขณะนี้นั้น เมื่อหวังเป่าเล่อเดินไปมาอยู่ในบริเวณสำนัก เพียงแค่รัศมีที่ตัวเขาแผ่ออกมาก็ทำให้วิญญาณคนบาปซึ่งถูกลงโทษให้มาเป็นข้ารับใช้ต่างพากันตื่นกลัว เมื่อพวกมันเห็นเขา พวกมันจะตัวสั่นงันงกและพากันก้มคำนับด้วยความกลัว
นี่คือรัศมีอันยอดเยี่ยมที่หวังเป่าเล่อไม่เคยมีมาก่อนตอนที่เพิ่งกลับมายังสำนักแห่งความมืด!
ชายหนุ่มคิดว่าวันเวลาต่อๆ มาก็จะสงบสุขเช่นเดียวกับตอนนี้ และเขาจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างเงียบๆ ทว่า หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน จู่ๆ ตอนเที่ยงของวันหนึ่ง ก็มีลมกรรโชกแรงเข้ามาในสำนักแห่งความมืด สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาจนกระทั่งท้องฟ้ยังสั่นสะเทือนและพลันมืดสนิท มีรัศมีอันทรงพลังแผ่ลงมาจากท้องฟ้าที่เกลื่อนดาว!
รัศมีนั้นช่างทรงพลังนัก ปรากฏเป็นตัวตนทั้งหมดเจ็ดตน หกตนนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าเทพยดาในสรวงสวรรค์ เมื่อพวกมันลงมา ท้องฟ้าก็สะเทือนเลื่อนลั่น แม้กระทั่งดวงดาวที่อยู่ห่างออกไปจากสำนักแห่งความมืดก็ยังสั่นสะเทือน สรรพชีวิตรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมลงมาบนร่าง ราวกับว่าเวลานั้นเดินช้าลงไป
แต่พวกมันก็ยังเป็นรองตัวตนที่เจ็ด ทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้น ดวงดาวทั้งหมดที่อยู่ห่างสำนักแห่งความมืดไปก็ส่งเสียงกัมปนาทดังสนั่นออกมา ราวกับว่าพวกมันจะแตกสลาย รอยร้าวบนดวงดาวเหล่านั้นมองเห็นได้ชัดเจน ประตูวัฏสงสารทั้งหมดเริ่มสั่นไหวและแสงสว่างเริ่มมืดมัวลง แม่น้ำแห่งวิญญาณที่ไหลผ่านประตูอยู่ก็สั่นสะเทือนและหยุดนิ่ง ราวกับว่าถูกปิดกั้นเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวต่อไปได้
ลมหายใจของศิษย์สำนักแห่งความมืดทุกคนเริ่มไม่คงที่ ความตื่นตระหนกตกใจแผ่ไปทั่วในใจทุกคน เช่นเดียวกับดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่สำนักแห่งความมืดตั้งอยู่ บรรดาอสูรต่างก็ตัวสั่นเทา วิญญาณนับไม่ถ้วนส่งเสียงกรีดร้อง โลกทั้งใบสั่นไหว ท้องฟ้าส่งเสียงร้องคำรน บนท้องฟ้าเหนือสำนักแห่งความมืดปรากฏ…ดวงอาทิตย์เจ็ดดวง!
ในบรรดาดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ด หกดวงเป็นสีแดงฉาน มีดวงเดียวเท่านั้นที่เป็นสีม่วง!
ทันทีที่พวกมันปรากฏขึ้น เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเกรี้ยวกราดก็ระเบิดออกมาจากดวงอาทิตย์สีม่วง
“หมิงคุนจื่อ คืนวิญญาณลูกสาวของข้ามา!”
เมื่อเสียงคำรามนั้นดังออกมา แสงเข้มข้นสีม่วงก็ระเบิดออกจากดวงอาทิตย์สีม่วง เช่นเดียวกันกับดวงอาทิตย์สีแดงฉานทั้งหก แสงเจิดจ้าปกคลุมทั่วผืนทวีปในพริบตา ปลดปล่อยทั้งความรุนแรงและความร้อนอันแสนสาหัสที่มีพลังทำลายไร้ที่สิ้นสุด ราวกับจะข่มขู่ทำลายดินแดนส่วนนั้นไปในพริบตา! ราวกับจะพุ่งเข้าชนให้ทุกสิ่งแหลกเป็นผุยผงไปกระนั้น!
เมื่อพลังอันเหลือล้นนั้นปะทุขึ้น ภายในสำนักแห่งความมืด รัศมีที่รุนแรงพอๆ กันก็ปะทุออกมา ดวงจันทร์จำนวนมากปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พวกมันมีทั้งหมดสิบสามดวงด้วยกัน แต่ละดวงนั้นมีพลังเทียบเคียงได้กับดวงอาทิตย์สีแดงฉาน ดวงจันทร์ต่างผลักรัศมีอันทรงพลังของดวงอาทิตย์สีแดงให้ออกไป จังหวะนั้นเอง ดวงจันทร์ดวงที่สิบสี่ก็เผยโฉมขึ้นบนท้องฟ้า
ดวงจันทร์ดวงนั้นมีสีดำสนิท!
บทที่ 455 ไม่มีอนาคต!
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้าทำเกินไปแล้ว!” เมื่อดวงจันทร์ดวงที่สิบสี่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เสียงของหมิงคุนจื่อก็ดังสนั่นขึ้นจากภายใน ราวกับจะตอบข้อความของดวงอาทิตย์สีม่วง เสียงของหมิงคุนจื่อนั้นเย็นชา ปราศจากซึ่งอารมณ์ แถมยังเปี่ยมไปด้วยเจตจำนงแห่งเต๋าสวรรค์ที่ดังสะท้อนก้องไปทั่วท้องนภา
ทันทีที่เสียงนั้นดังก้องออกไป อาณาเขตที่เพิ่งสั่นสะเทือนเพราะแรงกดดันของดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ดก็เริ่มจะดีขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับว่าทุกอย่างถูกลบออกไปในบัดดล ราวกับว่า…เต๋าสวรรค์ได้ลงมาและโอบอุ้มสำนักแห่งความมืดเอาไว้ เต๋าสวรรค์ได้ปกป้องดินแดนจากดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ดที่เข้ามารุกรานและเริ่มโจมตีกลับ!
ท้องฟ้าสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น และดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ดก็สั่นสะเทือนเช่นกัน ดวงอาทิตย์สีม่วงฉายแสงแรงกล้าขึ้นเมื่อมีร่างๆ หนึ่งปรากฏขึ้นบนนั้น เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วง ด้านหลังเขามีร่างมายาขนาดยักษ์ที่ดูเหมือนว่าได้รวมตัวอยู่กับดวงอาทิตย์ ร่างนั้นมีสามหัวและหกแขน!
“หมิงคุนจื่อ สำนักแห่งความมืดของเจ้ากล้าดีอย่างไรมานำทางดวงวิญญาณลูกๆ ของข้า พวกเราตระกูลไม่รู้สิ้นต้องการคำตอบ!”
“ทุกสรรพชีวิตล้วนเป็นส่วนหนึ่งของวัฏสงสาร ตัวเต๋าสวรรค์เองนั้นคือวัฏจักร ผู้ที่ตื่นขึ้นแล้วไม่จำเป็นต้องฝัน มีเพียงชาติภพหน้าเท่านั้น…หลักการนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้!” หมิงคุนจื่อในชุดคลุมสีดำก้าวออกมาจากดวงจันทร์ดวงที่สิบสี่พลางพูดด้วยเสียงกังวาน ชายชรายืนอยู่บนท้องฟ้าขณะที่พูดอย่างใจเย็น
“เปลี่ยนแปลงไม่ได้เช่นนั้นหรือ” ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากดวงอาทิตย์สีม่วง เขาหัวเราะด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนจะยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นแสงแรงกล้าก็ฉายออกมาจากดวงอาทิตย์หกดวงที่รายล้อมกายเขาอยู่และเข้าปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดในทันที เมื่อมองจากไกลๆ จะดูเหมือนกับทะเลสีแดงที่คลุ้มคลั่งและกำลังถาโถมเข้าใส่หมิงคุนจื่อ
หมิงคุนจื่อยิ้มเยาะ เขายกมือขึ้นโบกเช่นกัน แสงสีดำกระจายออกไปทั่วในบัดดล ดูราวกับเป็นคืนเดือนมืด พุ่งเข้าปะทะกับแสงสีแดงที่ส่องเข้ามา ทั้งคู่เริ่มต่อสู้กันบนท้องฟ้า เป็นการต่อสู้ที่หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจแม้สักนิด!
สวรรค์สั่นสะท้าน แผ่นดินก็สั่นสะเทือน ไม่มีใครในการต่อสู้นั้น มีเพียงแสงสีแดงและสีดำที่พุ่งใส่กันไปมาอยู่บนฟ้า ผลักไส และพยายามจะกลืนกินกันและกัน!
กระทั่งกระแสธารแห่งกาลเวลาก็ได้รับผลกระทบ เวลาที่ควบคุมสวรรค์และพื้นพิภพไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หนึ่งลมหายใจบนโลกเปรียบได้กับหนึ่งวันของร่างทั้งสองที่อยู่บนท้องฟ้า!
ตอนที่หวังเป่าเล่อเริ่มหายใจติดขัด หัตถ์ขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นภายในแสงสีแดงบนท้องฟ้า มันพุ่งผ่านทะเลแห่งแสงไปยังปราสาทที่ตั้งของสำนักแห่งความมืดและกำเอาไว้ในอุ้งมือ!
“ช่างเหิมเกริมนัก!” หมิงคุนจื่อคำรามเสียงดังลั่นขึ้นไปถึงสวรรค์ ไม้พายตะเกียงปรากฏขึ้นจากแสงสีดำบนท้องฟ้า มันขยายตัวอย่างไร้ที่สิ้นสุด จนมีขนาดใหญ่จนแบกท้องฟ้าเอาไว้ได้ จากนั้นมันก็เหวี่ยงไปยังทิศทางของหัตถ์ยักษ์สุดแรง!
แต่ก็สายเกินไป อีกฝ่ายเตรียมตัวไว้แล้ว หัตถ์ยักษ์นั้นลากดวงวิญญาณดวงหนึ่งออกมาจากโถงวัฏสงสารภายในสำนักแห่งความมืด!
ดวงวิญญาณนั้นเป็นหญิงสาวที่ได้รับใบหน้าซากศพอันสมบูรณ์ไปแล้ว นางงดงามยิ่ง ดวงตาทั้งคู่ของนางปิดสนิทราวกับว่ากำลังหลับลึก หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ในวันนี้ อีกสองสามวันข้างหน้า นางจะถูกส่งตัวไปเกิดและเริ่มต้นชีวิตใหม่ตามกฎแห่งเต๋าสวรรค์
นางถูกชิงตัวออกมาเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทว่าทันทีที่นางกำลังจะออกมานั้น ไม้พายตะเกียงของหมิงคุนจื่อก็ฟาดลงมาเพื่อหวังจะหยุดหัตถ์ยักษ์เอาไว้ หัตถ์ยักษ์ไม่อาจทนรับการโจมตีได้ไหวจึงสลายไปในทันที แรงกระแทกของการปะทะกันนั้นมีพลังทำลายรุนแรง แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ก็ยังไม่อาจทานทนได้ นับประสาอะไรกับดวงวิญญาณธรรมดาๆ
ดวงวิญญาณนั้นถูกแรงกระแทกที่เกิดจากการปะทะทำลายไปต่อหน้าต่อตาทุกคนในสำนักแห่งความมืด มันสลาย…กลายเป็นผงธุลีในชั่วพริบตา!
ไม่มีใครบอกได้ว่าผู้ที่สังหารดวงวิญญาณนั้นคือตระกูลไม่รู้สิ้นหรือหมิงคุนจื่อ แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ดวงวิญญาณก็แตกสลายไปแล้ว มันสูญสลายไปจากภพนี้และไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไป
ลมพายุที่เกิดจากการปะทะกันนั้นไม่เพียงทำลายดวงวิญญาณดวงนี้เท่านั้น แต่มันยังแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นที่กวาดไปทั่วทั้งสำนักแห่งความมืด แม้ว่าจะมีวงแหวนปราณคอยคุ้มกันอยู่ แต่แรงกระแทกจากผู้ฝึกตนที่ทรงพลังของตระกูลไม่รู้สิ้นก็มีอานุภาพรุนแรงยิ่งนัก ผู้ฝึกตนทุกคนที่พลังปราณต่ำกว่าระดับดาวพระเคราะห์รู้สึกได้ถึงเสียงดังลั่นอยู่ในศีรษะ
หวังเป่าเล่ออยู่เพียงขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น ชายหนุ่มได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นอยู่ในหูก่อนที่โลกตรงหน้าจะดับมืดไป เขาหมดสติไปทันที
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบได้ เมื่อหวังเป่าเล่อตื่นขึ้น การต่อสู้ก็ได้จบลงแล้ว สิ่งแรกที่เขาเห็นคือแผ่นหลังของอาจารย์หมิงคุนจื่อ
หลังจากที่มาดูให้แน่ใจว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้เจ็บหนัก หมิงคุนจื่อก็จากไป แต่ก่อนจะไปเขามองเห็นความไม่แน่ใจในสายตาของลูกศิษย์ ชายชราจึงจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างเปี่ยมความหมายแล้วกล่าวว่า
“เป่าเล่อ พวกเราชาวสำนักแห่งความมืดรับใช้เต๋าสวรรค์ ไม่ว่าเราจะเคยเป็นใครในอดีต นี่คือภารกิจของเราในปัจจุบัน เจ้าจงจำเอาไว้ว่า…เราจะต้องไม่ย้อนวัฏจักรความเป็นและความตายเป็นอันขาด!” หลังจากที่พูดจบ หมิงคุนจื่อก็หันหลังเดินจากไปอย่างช้าๆ
หวังเป่าเล่อเงียบกริบ ชายหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่ง เขาไม่รู้เลยว่าตระกูลไม่รู้สิ้นหรือสำนักแห่งความมืดกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก หลังจากที่ค้นคว้าเรื่องของสำนักแห่งความมืดมาระยะหนึ่ง เขาก็พบว่าผู้ที่บุกเข้ามาในสำนักของพวกเขาวันนั้นชื่อตั่วมู่ เป็นหนึ่งในเก้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลไม่รู้สิ้น!
ดวงอาทิตย์สีแดงทั้งหกคือราชันสวรรค์ภายใต้การนำของเขา!
พลังปราณของพวกเขาเกินกว่าระดับดารานิรันดร์ไปแล้ว ขณะนี้พวกเขาอยู่ในระดับจักรพิภพ ถือเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล ส่วนลูกสาวของเขา…ในช่วงเวลาอันยาวนานนั้น แม้กระทั่งตั่วมู่เองก็คงจำไม่ได้ว่าเขามีลูกสาวกี่คน
เมื่อหวังเป่าเล่อได้อ่านเอกสารเหล่านั้น เขาก็นิ่งงันไป ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขารู้ดีว่ามีความเป็นไปได้สูงว่า จักรพรรดิของตระกูลไม่รู้สิ้นบุกมาถึงที่นั้นไม่ใช่เพราะดวงวิญญาณของลูกสาวเขาแต่อย่างใด!
หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจถึงเหตุผลของการบุกมา ชายหนุ่มไม่อาจหาเหตุผลใดๆ มารองรับได้ แต่เมื่อได้เห็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง เขาก็เริ่มกลุ้มใจกับระดับการฝึกปราณของตนเอง เมื่อเทียบกับพวกนั้นแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกอ่อนแอเกินไป เขารู้สึกไร้พลังดั่งกิ่งไม้กลางพายุ
หลังจากตื่นขึ้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มมุ่งมั่นกับการฝึกมากขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าศิษย์พี่ของเขาก็แยกตัวไปถือสันโดษเช่นกันเพราะไม่ได้พบหน้าอีกฝ่ายมานานพอสมควร
หนึ่งเดือนผ่านไป เปลวไฟสีดำในกายหวังเป่าเล่อทวีคูณขึ้นมาก จนตอนนี้มีถึงสามสิบเจ็ดดวง ตอนนั้นเองหมิงคุนจื่อได้พาเขาไปยังห้องโถงใหญ่ในสำนักแห่งความมืด ห้องโถงนั้นปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำสนิท
หมอกที่ปกคลุมด้านนอกนั้นหนาทึบเช่นเดียวกับหมอกด้านใน ส่วนที่มองเห็นได้มีเพียงจุดศูนย์กลางของห้องโถงเท่านั้น ตรงนั้นมีสระน้ำไร้สีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ หมอกสีดำพวยพุ่งออกมาจากสระนั้น มีฟองอากาศก่อตัวและแตกอยู่ในสระด้วย
สระนี้คือบ่อน้ำวิญญาณ!
ในสำนักแห่งความมืดมีบ่อน้ำวิญญาณจำนวนมาก สระนี้เป็นเพียงหนึ่งในนั้น หลังจากที่ดวงวิญญาณคนตายถูกนำทางมายังสำนักแห่งความมืด พวกมันจะมารวมตัวกันที่สระนี้ก่อน จากนั้นจึงจะเข้าไปในกระจกใบหน้าซากศพเพื่อรับใบหน้าใหม่จากบรรดาศิษย์ ต่อไปก็จะถูกส่งไปยังเส้นทางแห่งวัฏสงสารหรือไม่ก็ผ่านวงแหวนปราณมายาวัฏสงสาร เมื่อผ่านมิติมายานั้น พวกเขาจะได้รับร่างกายใหม่ ท้ายที่สุดก็จะเฝ้ารอเต๋าสวรรค์นำทางไปยังแม่น้ำวิญญาณ แล้วจึงล่องลอยต่อไปยังประตูแห่งวัฏสงสาร
มีวิญญาณนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถออกจากบ่อน้ำวิญญาณได้ บ้างก็ขึ้นมาอย่างยากลำบากเพราะว่าฟองอากาศ บ้างก็ขึ้นมายังพื้นผิวได้พร้อมทั้งเผยใบหน้าให้เห็น
มีวิญญาณทั้งชายและหญิง เด็กและแก่ ใบหน้าก็มีทั้งที่ดูสงบสุข บ้างก็ดูขุ่นเคือง บ้างก็ร่ำไห้ บ้างก็หัวเราะ ทั้งยังมีสีที่แตกต่างกันอีกด้วย บ้างก็เป็นสีเดียวกับบ่อ บ้างก็มีสีดำสนิท กระทั่งน้ำในบ่อก็ไม่อาจชะล้างพวกเขาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
“วิญญาณไร้สีคือวิญญาณทั่วไป สีดำแปลว่าพวกเขาแบกความโกรธแค้นแสนสาหัสเอาไว้ เป่าเล่อ ใช้วิชาหัตถ์สื่อวิญญาณของเจ้าและจับวิญญาณจากบ่อน้ำวิญญาณออกมาสามดวง ชำระล้างพวกเขาและใช้พวกเขาเพื่อหลอมวัตถุเวทแห่งความมืดในอนาคตของเจ้า…ในฐานะวิญญาณวุธของเจ้าเอง!” หมิงคุนจื่อพูดอย่างเนิบช้าขณะที่หวังเป่าเล่อจ้องมองไปยังบ่อน้ำวิญญาณ สายตาของชายชรานั้นมีแววลึกซึ้งเมื่อจ้องมองมายังหวังเป่าเล่อ
“วิญญาณวุธเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกได้ถึงความทรงจำที่เลือนราง
“บุตรแห่งความมืดต้องมีวัตถุเวทแห่งความมืดสามชิ้น เรือวิญญาณ ชุดคลุมสีดำ และไม้พายตะเกียง สิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุที่บุตรแห่งความมืดทุกคนต้องมี วิญญาณวุธภายในวัตถุเวทเหล่านี้เจ้าจะต้องเป็นผู้เลือกด้วยตนเอง” เมื่อพูดจบหมิงคุนจื่อก็ไม่พูดสิ่งใดอีกต่อไป
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ชายหนุ่มจำได้รางๆ ว่ามีบางอย่างที่เหมือนเป็นเรื่องสำคัญ แต่เขาก็เลิกที่จะสนใจ ชายหนุ่มกลับมามุ่งมั่นและจดจ้องอยู่กับสิ่งที่หลับใหลอยู่ในบ่อ จากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกและใช้เปลวไฟสีดำ หวังจะปลดปล่อยวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณออกมา หลังจากที่ล้มเหลวไปถึงหกครั้ง เขาก็ทำได้ในครั้งที่เจ็ด หวังเป่าเล่อใช้วิชาหัตถ์สื่อวิญญาณได้สำเร็จ!
หัตถ์มายาขนาดใหญ่พุ่งออกไปจากกายของชายหนุ่มลงไปในบ่อ จับวิญญาณขึ้นมาสามดวง!
ดวงแรกเป็นชายตัวใหญ่ท่าทางน่ากลัว!
ดวงที่สองเป็นชายชราหน้างอ!
และดวงสุดท้าย…เป็นเด็กชายอายุเจ็ดหรือแปดขวบเท่านั้น!
บทที่ 456 ดวงวิญญาณพยศทั้งสาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่ทราบว่าตนเองดึงดวงวิญญาณทั้งสามออกมาได้อย่างไร อาจเป็นเพราะอำนาจที่มองไม่เห็นที่ทำให้หัตถ์สื่อวิญญาณของเขาดึงดวงวิญญาณเหล่านั้นออกมาจากบ่อได้โดยธรรมชาติก็เป็นได้
“ชะตาของบุตรแห่งความมืดทุกคนล้วนผูกติดกับวิญญาณวุธในวัตถุเวทแห่งความมืดทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าดวงวิญญาณในบ่อน้ำวิญญาณทั้งสามดวงนี้จะเป็นสมบัติของเจ้า” หมิงคุนจื่อยิ้มบาง ขณะมองหวังเป่าเล่อใช้หัตถ์สื่อวิญญาณดึงวิญญาณทั้งสามดวงขึ้นมาจากบ่อน้ำวิญญาณ
“แต่พวกนี้เป็นวิญญาณสีดำทั้งหมด แปลว่าทั้งสามได้กระทำความชั่วใหญ่หลวงมาในชาติก่อน จึงทำให้ยังไปเกิดใหม่ไม่ได้ หน้าที่ของเจ้าคือชำระล้างดวงวิญญาณพวกนี้ ในเมื่อชะตาของเจ้าผูกติดอยู่กับดวงวิญญาณทั้งสาม ดังนั้นเจ้าจึงมีหน้าที่ทำให้พวกเขาหมดสิ้นบาปกรรมและความพยาบาท เจ้าต้องทำให้พวกเขาสมัครใจยอมติดตามในฐานะวิญญาณวุธ!”
หวังเป่าเล่อมองดวงวิญญาณสามดวงที่จับมาได้ พวกมันมีสีดำสนิท ตอนนี้ดวงวิญญาณทั้งสามอยู่ในหัตถ์มายาของเขา แต่ละดวงมีท่าทีกระวนกระวาย แต่ก็แสดงสีหน้าและพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป
ใบหน้าของวิญญาณเด็กชายถมึงทึงด้วยความเดือดดาล ยิ่งเขากระวนกระวายมากขึ้น เขาก็ยิ่งดูโกรธเกรี้ยว เด็กชายจ้องหวังเป่าเล่อเขม็ง จนดูราวกับว่าจะเขมือบหวังเป่าเล่อเข้าไปทั้งตัวทันทีที่มีโอกาส
เทียบกับเด็กชายที่แสดงอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนโจ่งแจ้ง ชายชราข้างกายเขามีปฏิกิริยาที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้เขามีใบหน้าบึ้งตึง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะใจเย็นลงแล้ว ชายชรายกมือแสดงความเคารพพร้อมค้อมศีรษะให้หวังเป่าเล่อ ดูราวกับว่ายอมศิโรราบ แต่หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของชายชราขณะที่ที่อีกฝ่ายยืนอยู่บนหัตถ์มายา ชายชราผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบายและเป็นคนจิตใจคดโกง ต่อหน้าดูเหมือนยอมจำนน แต่เบื้องหลังกลับถือมีดพร้อมแทงด้วยเจตนาแสนชั่วร้าย!
ชายร่างสูงหน้าตาน่ากลัวที่ยืนข้างๆ ดูอ่านง่ายกว่ามาก แม้เขาจะดูป่าเถื่อนน่ากลัว แต่หลังจากที่ถูกดึงออกมาจากบ่อน้ำวิญญาณ เขาก็เริ่มมองไปรอบๆ ด้วยความกระวนกระวาย เมื่อเขาเห็นบ่อน้ำวิญญาณที่รายล้อม และศิษย์หญิงหลายคนยืนคุ้มกันบ่อน้ำอยู่ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายด้วยความหื่นกระหาย จนน้ำลายแทบจะไหลลงคาง แต่ด้วยความที่เป็นวิญญาณ จึงไม่มีน้ำลายให้ไหลออกมา
สีหน้าหื่นกระหายและกระเหี้ยนกระหือรือของเขา บอกชัดว่าชายผู้นี้เป็นคนมักมากในกาม!
“นี่มัน… ท่านอาจารย์ การพยายามชำระบาปให้วิญญาณทั้งสามดวงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” หลังจากมองสำรวจดวงวิญญาณในมือตนเอง หวังเป่าเล่อก็เริ่มปวดหัวตุบ ชายหนุ่มสงสัยว่าจะปรึกษาอาจารย์และลองเลือกวิญญาณใหม่อีกครั้งจะได้หรือไม่
หมิงคุนจื่อเดาออกว่าหวังเป่าเล่อกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ชายชราเหลือบตามองอีกฝ่าย ก่อนเดินหนีไปโดยไม่สนใจใยดีชายหนุ่มอีก ก่อนจะจากไปยังได้ทิ้งเส้นตายเอาไว้ด้วย
“อย่ามัวแต่คิดสิ่งไร้ประโยชน์ให้เสียเวลาเปล่าเลย เจ้ามีเวลาหนึ่งเดือน จงชำระบาปวิญญาณเหล่านี้ให้เรียบร้อยเสีย!”
หวังเป่าเล่อเห็นท่าทียืนกรานของอาจารย์ตน และยิ่งรู้สึกปวดหัวมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่อาจารย์จากไปเรียบร้อย ชายหนุ่มก็นำวิญญาณทั้งสามดวงกลับไปที่ที่พัก ณ สำนักแห่งความมืดด้วยท่าที่ขุ่นเคือง
เขาปล่อยวิญญาณทั้งสามดวงในที่พัก ทันทีที่พวกมันปรากฏกายก็พากันเดินสำรวจห้องพัก หวังเป่าเล่อไม่ได้ใส่ใจพวกมันนัก เขาพูดเพียงว่า “เรามาคุยกันเสียหน่อยดีไหม พวกเจ้าทำบาปหนาในชาติก่อน ทำให้ไปผุดไปเกิดไม่ได้ พวกเจ้ามีทางเลือกเดียวคือมาเป็นวิญญาณวุธของข้า ด้วยเหตุนี้…”
ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้พูดจบ แววตาของเด็กชายก็สว่างวาบ เขาถอยหลังหนีในทันที ดูราวกับต้องการหนีออกจากที่แห่งนี้ แต่ห้องพักของหวังเป่าเล่อมีวงแหวนปราณควบคุมอยู่ เด็กชายที่กำลังเผ่นหนีเอาหัวพุ่งชนวงแหวนปราณเข้าอย่างจังจนเกิดเสียงดังโครมคราม เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะถอยกรูดไปอีกครั้ง แววตาของเด็กชายส่องแรงอาฆาตอันตรายออกมา เขากู่ร้องก่อนกระโจนเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ตั้งใจจะกลืนกินชายหนุ่มเข้าไปทั้งเป็น
แต่ก่อนที่เด็กชายจะได้เข้าประชิดตัวเป้าหมาย เปลวไฟสีดำในตัวของหวังเป่าเล่อก็พวยพุ่งออกมาเผาไหม้กายของเขา เด็กชายกรีดร้องอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด ในที่สุดเขาก็หยุดการกระทำมาดร้าย ร่างกายสั่นเทิ้ม เมื่อเด็กชายมองหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความดุร้ายและบ้าคลั่ง จนเหมือนไม่มีวันทำให้เชื่องได้
หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกไม่พอใจ เขามองเด็กชายตรงหน้า ก่อนจะเบือนสายตาไปมองวิญญาณอีกสองดวงที่เหลือ
วิญญาณหื่นมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าเยาะเย้ย ทัศนคติของเขาที่มีต่อหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ต่างกัน วิญญาณหื่นหาวหวอด เขาไม่ได้พยายามหนี แต่สีหน้าก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคิดสิ่งใดอยู่ เจ้าอยากบังคับขู่เข็ญให้ข้าเป็นวิญญาณวุธเช่นนั้นหรือ ไม่มีวันเสียหรอก!
วิญญาณชายชราก็ไม่ได้พยายามหนีเช่นกัน เมื่อเทียบกับดวงวิญญาณอีกสองดวงที่เหลือ สีหน้าของเขาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดูไม่ยินดียินร้าย ไม่ได้สุขใจหรือโกรธเกรี้ยว เขาค้อมศีรษะลงต่ำเหมือนข้ารับใช้อาวุโส
“ข้าจะไม่อ้อมค้อมกับพวกเจ้านะ หากพวกเจ้าไม่ตกลงเป็นวิญญาณวุธของข้า ข้าจะทำลายวิญญาณของพวกเจ้าให้กลายเป็นผุยผงเสีย!” หวังเป่าเล่อเริ่มหงุดหงิด เขารู้สึกว่าการพยายามชำระบาปให้วิญญาณทั้งสามนั้นเป็นเรื่องเสียเวลาไร้ประโยชน์ แม้เขาจะมองไม่เห็นว่าทั้งสามได้ทำบาปมหันต์อะไรไว้ในชาติที่แล้ว แต่ดูจากสีและทัศนคติของวิญญาณทั้งสามแล้ว เขาก็พอเดาได้ว่าคงเป็นเรื่องขืนใจหรือไม่ก็ปล้นสะดม หรืออาจเป็นฆาตกรรมไม่ก็ทารุณกรรม!
“เจ้าอยากให้ข้าเป็นวิญญาณวุธของเจ้าเช่นนั้นหรือ ฝันไปเถิด ความฝันของข้าคือการไม่มีวันแก่ และการให้บิดามารดาของข้าปรนนิบัติข้า อยู่เคียงข้างข้าไปตลอดชั่วกัลปาวสาน ความฝันของข้าเป็นจริงแล้วในช่วงหนึ่งของชีวิต ข้าไม่สนใจหรอกหากเจ้าจะฆ่าข้าให้ตาย ตายแล้วมันจะทำไมกันเล่า อย่างกับว่าข้าไม่เคยตายเช่นนั้นล่ะ!” เด็กชายหัวเราะเยาะด้วยเสียงเย็นเยือกเหมือนน้ำแข็ง
หวังเป่าเล่อตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายเป็นอันมาก เนื่องจากเด็กชายตรงหน้าดูเหมือนจะอายุเพียงเจ็ดถึงแปดขวบเท่านั้น ชายหนุ่มคิดถึงความฝันที่เด็กชายเอ่ยให้ฟังก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
วิญญาณชายหื่นข้างเด็กชายยังคงหาวไม่หยุด ก่อนจะเหลือบมองหวังเป่าเล่อ มองต้นขา และหน้าอก ก่อนจะทำสีหน้าเบื่อหน่ายในทันที
“หากเจ้าเป็นสตรีและยินดีจะเล่นสนุกกับข้า ข้าคงจะตกปากรับคำเป็นวิญญาณวุธของเจ้าทันที เจ้าจะทำอะไรก็ทำ จะฆ่าข้าเช่นนั้นหรือ ข้าไม่กลัวหรอก! ต่อให้วิญญาณของข้ากลายเป็นเถ้าธุลี สหายอีกนับล้านก็จะสานต่อเจตนารมณ์ของข้า พวกเขาจะพิชิตเพศตรงข้ามให้หมดทั้งโลกตามของข้าอย่างไรเล่า!” วิญญาณหื่นประกาศด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมยืดตัวให้สูงขึ้น
ความปรารถนาอันแรงกล้าของอีกฝ่ายทำให้หวังเป่าเล่อมีสีหน้าประหลาดขึ้นไปอีก เขาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปมองวิญญาณจิ้งจอกเฒ่าที่ทำท่าเหมือนข้ารับใช้ชราเป็นรายสุดท้าย
ข้ารับใช้ชรายิ้ม ก่อนทำมือคารวะหวังเป่าเล่อเป็นการทักทาย
“ท่านบุตรแห่งความมืดผู้ยิ่งใหญ่ ข้าคงทำตามคำขอของท่านไม่ได้ ข้าไม่อยากปิดบังสิ่งใดจากท่าน ชาติที่แล้วข้าเคยเป็นราชครูแห่งอาณาจักรคู่หลิง ข้ามีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว แต่มีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายหมื่นหลายแสนคน ในชีวิตข้าเสียใจอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นคือตัวข้ารับใช้อาณาจักรของข้าได้ไม่ถึงสามร้อยปี ข้ายังทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงไม่ได้เลย แล้วข้าจะเป็นวิญญาณวุธของท่านได้อย่างไรเล่า”
หวังเป่าเล่อพยักหน้าอีกครั้งพลางมองหน้าวิญญาณทั้งที่เต็มไปด้วยความความทะนงตนและความยโสโอหังสามดวงตรงหน้า จากนั้นชายหนุ่มก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะชี้ไปที่เด็กชายตัวจ้อย
“เจ้าอยากเป็นเด็กไปตลอดกาล และให้บิดามารดาปรนนิบัติดูแล อยู่เคียงข้างเจ้าไปชั่วกัลปาวสานเช่นนั้นหรือ เจ้าเป็นเด็กดี ฉะนั้นข้าจะช่วยให้ความฝันของเจ้าเป็นจริง” พูดจบ หวังเป่าเล่อก็ยกแขนขวาขึ้นจับตัวเด็กชายไว้ เขาปลุกผนึกฝ่ามือขึ้นมาชุดหนึ่ง ก่อนจะโยนเด็กชายไปในวงแหวนปราณของที่พัก
วงแหวนปราณเริ่มเปลี่ยนรูปร่างตามเวทของหวังเป่าเล่อ มันก่อตัวกลายเป็นพายุหมุน ก่อนจะดูดเด็กชายเข้าไปทั้งร่างในทันที หวังเป่าเล่อสร้างผนึกฝ่ามืออีกครั้งเพื่อปรับการทำงานของวงแหวนปราณ จากนั้นจึงหันมามองวิญญาณหื่น
“เจ้าอยากพิชิตเพศตรงข้ามให้หมดทั้งโลกเช่นนั้นหรือ ง่ายนิดเดียว ข้าจะทำให้ฝันของเจ้าเป็นจริงเอง!” ทันทีที่พูดจบ เขาก็ไม่ปล่อยให้วิญญาณหื่นได้มีเวลาตอบโต้ ชายหนุ่มวาดมือเป็นวงกว้างและโยนวิญญาณหื่นเข้าไปในพายุเช่นกัน เขาปรับวงแหวนปราณอีกครั้ง ก่อนจะหันมามองชายชราเป็นคนสุดท้าย
ราชครูชราถอยหลังด้วยความตื่นกลัว เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณสองดวงก่อนหน้า แต่ก็รู้สึกได้ว่าชะตาของการโดนโยนเข้าไปในวงแหวนปราณนั้นน่าจะเลวร้ายยิ่งกว่าตายเสียอีก ชายชรากำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว มือใหญ่ของหวังเป่าเล่อหยิบร่างของเขาโยนเข้าไปในพายุหมุนวงแหวนปราณ ชายชรารู้สึกเหมือนได้ยินหวังเป่าเล่อพนลมเยาะทันทีที่ร่างของเขาหายเข้าไปในพายุนั้น
“เจ้าเสียใจที่ตนเป็นราชครูได้เพียงสามร้อยปีเช่นนั้นหรือ ไม่มีปัญหา ข้าจะช่วยให้เจตจำนงของเจ้าสำเร็จเอง ข้าจะทำให้เจ้าไม่เสียใจอีกต่อไปในชีวิตนี้!”
หวังเป่าเล่อปรับวงแหวนปราณอีกครั้ง วงแหวนปราณที่หวังเป่าเล่อโยนวิญญาณทั้งสามเข้าไปนั้น คือวงแหวนปราณมายาวัฏสงสารของสำนักแห่งความมืด วงแหวนปราณนี้มีหน้าที่สร้างร่างของวิญญาณผู้ที่ตายแล้วขึ้นมาใหม่ เพื่อแยกชาติที่แล้วออกจากชาติใหม่อย่างชัดเจน ศิษย์หลายคนยังใช้วงแหวนปราณนี้เพื่อการตื่นรู้อีกด้วย ศิษย์จากสำนักแห่งความมืดเข้าไปฝึกปราณภายในวงแหวนปราณนี้ได้ เนื่องจากวงแหวนปราณมายาวัฏสงสารนั้นเชื่อมต่อกับเต๋าสวรรค์ จึงสร้างวัฏจักรของชีวิต ความตายและการกำเนิดใหม่ได้
แต่หากเข้าถึงอำนาจของวงแหวนปราณได้ถึงระดับหนึ่ง จะสามารถสร้างโลกมายาที่มีรายละเอียดเฉพาะตนขึ้นมาได้ มนุษย์หรือวิญญาณที่เข้าไปในโลกมายานี้จะแยกไม่ออกระหว่างความจริงและภาพวงตา ผู้ที่ควบคุมกำหนดได้แม้กระทั่งกระแสของเวลาที่ไหลไปในโลกมายา
หวังเป่าเล่อสร้างโลกที่เต็มไปด้วยสงครามให้ราชครูจิ้งจอกเฒ่า เพื่อที่ชายชราจะได้กลับไปทำหน้าที่เป็นราชครูอีกครั้งในโลกมายา…
ส่วนชายหื่น โลกมายาที่หวังเป่าเล่อสร้างนั้นง่ายดายยิ่งกว่า เขาปรับวงแหวนปราณให้สร้างโลกที่วิญญาณหื่นเป็นชายเพียงคนเดียว เสียแต่ว่าโลกนั้นเป็นโลกที่ผู้หญิงเป็นใหญ่…
ส่วนเด็กชายนั้นก็ง่ายดายพอกัน หวังเป่าเล่อทำให้ฝันทุกอย่างของเขาเป็นจริง ด้วยการสร้างโลกที่ตรงตามอุดมคติของเด็กชายทั้งหมด
กุญแจของเรื่องนี้คือเวลาที่ผ่านไปในโลกมายา เขาปรับโลกมายาแต่ละใบให้… เวลาหนึ่งวันในโลกแห่งความจริง เท่ากับเวลาหมื่นปีในโลกมายา!
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็เริ่มฝึกปรือวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณของตนต่อไป สามวันต่อมา ชะตากรรมของวิญญาณทั้งสามดวงก็หายไปจากความคิดของหวังเป่าเล่อเรียบร้อย จนเวลาล่วงเลยไปถึงสองสัปดาห์…
บทที่ 457 นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมา!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อเริ่มช่ำชองการใช้วิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ อันเป็นขั้นที่สองของวิชาแห่งศาสตร์มืดมากขึ้น ตลอดระยะเวลาการฝึกสองสัปดาห์ แต่พลังของวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณที่หวังเป่าเล่อใช้ได้ยังอยู่ในระดับต่ำ ชายหนุ่มไม่อยากคิดเลยว่าหากใช้มันเพื่อโจมตีผลจะออกมาเช่นไร
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะขั้นปราณของเขายังมีระดับต่ำเกินไป เนื่องจากวิชานี้เป็นวิชาสำหรับผู้ที่มีปราณขั้นกำเนิดแก่นใน
สิ่งที่เขาต้องทำไม่ใช่การใช้วิชาหัตถ์สื่อวิญญาณในการโจมตี หากแต่ต้องใช้มัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้และเพิ่มจำนวนเปลวไฟสีดำ เพื่อเตรียมตัวบรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นใน
ตอนนี้หวังเป่าเล่อมีเปลวไฟสีดำอยู่ในกายหกสิบสามดวงแล้ว พลังจากการระเบิดพลังปราณของเขารุนแรงเหลือเชื่อ มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนอยู่หลายเท่านัก!
สำนักแห่งความมืดมีข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับศิษย์พรสวรรค์ที่ใกล้บรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นใน พวกเขาต้องสะสมเปลวไฟสีดำในกายให้ได้สามสิบหกดวงเสียก่อน หวังเป่าเล่อผ่านข้อกำหนดขั้นต่ำเรียบร้อยแล้ว แต่เขารู้สึกว่าตนเองยังพัฒนาได้อีก!
ระหว่างที่กำลังฝึกวิชาอยู่อย่างขะมักเขม้นนั้น หวังเป่าเล่อลืมวิญญาณสามดวงที่ตนเองส่งไปอยู่ในวงแหวนปราณมายาวัฏสงสารเสียสนิท เส้นตายการชำระบาปดวงวิญญาณที่อาจารย์ของเขาขีดไว้กำลังคืบเข้ามาเรื่อยๆ วันเวลาเดินหน้าผ่านไปอีกเจ็ดวัน หวังเป่าเล่อที่บัดนี้มีเปลวไฟสีดำอยู่ในกายถึงเจ็ดสิบดวง ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองต้องทำภารกิจที่อาจารย์มอบหมายไว้ให้สำเร็จ
ข้ารู้สึกเหมือนลืมอะไรไป… หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ มองไปที่วงแหวนปราณอย่างละอายใจ
ข้าจำได้ว่าปรับเวลาไว้ให้หนึ่งวันในโลกเท่ากับหมื่นปีในโลกมายา… ชายหนุ่มกระแอมกระไออย่างเคอะเขิน เขาตัดสินใจว่าจะให้ดวงวิญญาณทั้งสามใช้ชีวิตตามความฝันเสียให้พอใจ แม้เขาแทบลืมไปแล้วว่าดวงวิญญาณทั้งสามนี้มีตัวตนอยู่ แต่…พอมาคิดดูดีๆ แล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดแต่อย่างใด
เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็เริ่มเบาใจ เขาไปยืนตรงหน้าวงแหวนปราณ พร้อมยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ ก่อนจะกดฝ่ามืดลงไปบนวงแหวนปราณ ทันใดนั้น ภาพตรงหน้าก็เริ่มพร่าเลือน ราวกับดวงจิตได้ออกจากร่างเป็นที่เรียบร้อย ดวงจิตของหวังเป่าเล่อก้าวเข้าวงแหวนปราณไปเพื่อรับดวงวิญญาณบาปหนาทั้งสามกลับมา
โลกมายาแรกที่เขาก้าวเข้าไป คือโลกของเด็กชายตัวจ้อย
โลกนี้เป็นโลกที่ไม่มีผู้ฝึกตน ถ้าจะพูดให้ถูก โลกนี้ดูคล้ายสหพันธรัฐในความฝันของหวังเป่าเล่อ เป็นสหพันธรัฐเมื่อหนึ่งพันปีก่อนที่มีแต่ความสงบสุข
เด็กชายอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง ตอนกลางวัน ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปทั่วบริเวณ ส่วนในยามกลางคืน แสงจากหลอดไฟหลากสีส่องสว่างทั่วท้องฟ้า เมืองแห่งนี้เป็นเมืองอันแสนมั่งคั่งและโอ่อ่างดงาม
หวังเป่าเล่อเดินทางมายังโลกนี้ในเช้าวันหนึ่ง ดวงอาทิตย์ทอแสงจ้าอยู่บนท้องฟ้า ยานพาหนะพากันหลั่งไหลไปตามถนน ชายหนุ่มมาโผล่ในย่านโรงเรียนของเมือง
ข้ารู้สึกว่าเจ้าเด็กนั่นน่าจะอยู่ที่นี่ หวังเป่าเล่อลอยละล่องอยู่บนอากาศ มือลูบคางขณะใช้ความคิด เขาเริ่มกวาดสายตาหาเด็กชาย และไม่นานก็มองเห็นเป้าหมายอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง เด็กชายตัวจ้อยอยู่ในชุดนักเรียน แบกกระเป๋าเป้หนักอึ้งเหมือนภูเขาไว้บนบ่า… เขาเดินโซเซไปข้างหน้า ดวงตาอ่อนล้าโรยแรง ท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา
เบื้องหลังของเด็กชายมีคู่สมรสวัยกลางคนคู่หนึ่ง ดูก็รู้ว่าเป็นบิดามารดาของเด็กชาย ทั้งคู่แบกกระเป๋านักเรียนที่หนักอึ้งเสียยิ่งกว่า และกำลังบ่นไม่หยุดว่าเด็กชายจะต้องทำอะไรบ้างในวันนี้ขณะก้าวเดิน
ภาพนี้ดูอบอุ่นจนหวังเป่าเล่อยังอดตื้นตันใจไม่ได้ แม้เขาจะมาถึงช้า แต่ภาพครอบครัวที่รักกันอย่างแน่นแฟ้นอบอุ่น ทำให้เขานึกถึงบิดามารดาของตนเองขึ้นมา
หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อกับความคิดนั้น เขารู้สึกว่าภาพของบิดามารดาในโลกนี้ของตนช่างพร่าเลือน แต่กลับจำภาพครอบครัวที่สหพันธรัฐได้อย่างแม่นยำ
ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกเหมือนหลงทาง เขามองดูโลกรอบกายอย่างไม่รู้ตัว มันดูเหมือนจริงอย่างไม่ผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะเป็นสายลมอ่อนที่พัดโชย หรือจะเป็นผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่ ทุกอย่างดูเหมือนจริงจนยากจะเชื่อว่าเป็นเพียงโลกมายา
ขณะที่หวังเป่าเล่อยังงุนงงกับความคิดตนเองอยู่นั้น เสียงของครอบครัวเด็กชายก็ลอยมาตามสายลม
“เสี่ยวเป่า เจ้าต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หยุดเล่นวีดิโอเกมกับใช้เงินเสียที เมื่อเจ้าโตขึ้น พ่อกับแม่จะไม่ได้อยู่คอยบ่นเจ้าจนปากเปียกปากแฉะเช่นนี้อีกแล้วนะ!”
“หยุดบ่นลูกเสียทีเถิด เสี่ยวเป่า บิดาของลูกหวังดีต่อลูกนะ ลูกยังเด็กนัก แต่ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันเกิดของลูก พวกเราคุยกันเรียบร้อยแล้วว่าหลังจากเลิกเรียน ลูกพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย วันนี้เราจะเรียนกันแค่แปดบท หลังจากนั้นก็ทำแบบฝึกหัดสิบสองชุด และท่องจำบทกลอนสักห้าสิบบท จากนั้นเราค่อยเป่าเค้กกัน!
“เสี่ยวเป่า ลูกยังเด็กอยู่เลย หยุดถอนหายใจเหมือนคนแก่ได้แล้ว ลูกต้องจดจำเวลาตอนเป็นนักเรียนเอาไว้ วัยประถมมีแค่สามหมื่นปีเท่านั้น บิดาลูกกับแม่คุยกันเรียบร้อยแล้วว่า ตอนลูกเรียนมัธยมอีกสองแสนปี พวกเราจะหาชั้นเรียนหลังเลิกเรียนที่ดีกว่านี้ให้!”
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง เด็กน้อยเกือบร้องไห้เมื่อได้ยินสิ่งที่บิดามารดาพูด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งไปหมดแล้ว ถุงใต้ตาของเด็กน้อยดำเหมือนถ่าน หน้าตาดูเหมือนจะสติแตกลงได้ทุกเมื่อ เขาไม่รู้เลยว่าตนเองทนเวลาสองแสนปีที่ผ่านมาได้อย่างไร… ทุกวันเขาต้องไปโรงเรียน จากนั้นก็เรียนเสริมหลังจากเลิกเรียน ทำแบบฝึกหัด และท่องจำข้อมูลมากมายล้านแปด…
แต่ละวันดำเนินไปเหมือนเดิม แต่ละปีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย… เขาเรียน เรียน เรียน แล้วก็เรียน ท่ามกลางการคุมเข้มของบิดามารดา…
เขาคิดจะลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่ไม่ว่าเขาจะทำวิธีใด แม้แต่การฆ่าตัวตาย เสี่ยวเป่าน้อยก็จะตื่นขึ้นในวันต่อมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาต้องศึกษาเล่าเรียนต่อไป และไปเรียนเสริมหลังเลิกเรียนที่โรงเรียน…
สิ่งเดียวที่ทำให้เสี่ยวเป่ามีกำลังใจใช้ชีวิตต่อไป คือการที่เขารู้ว่าโลกนี้ไม่ใช่โลกแห่งความจริง เด็กชายรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อจะต้องมารับเขากลับไปในวันหนึ่ง เสี่ยวเป่าจึงเฝ้ารอต่อไปวันแล้ววันเล่า เขารอหวังเป่าเล่อทุกวันทุกนาที จนเวลาผ่านไปถึงสองแสนปี แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่มาเสียที
หวังเป่าเล่อมีสีหน้าแปลกแปร่งเมื่อได้ยินสิ่งที่บิดามารดาของเสี่ยวเป่าพูด เขาตกใจเมื่อได้เห็นสีหน้าอมทุกข์หนักหนาสาหัสของเด็กชาย และเริ่มรู้สึกสงสารขึ้นมาทันที ชายหนุ่มกระแอมกระไอแก้เก้อ
ทันทีที่หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอออกมา บรรยากาศรอบตัวก็หยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีแต่หวังเป่าเล่อและเสี่ยวเป่าเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ได้
ตอนแรกเด็กชายยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เขาลากกระเป๋าหนังสือถูลู่ถูกังไปข้างหน้า สีหน้าอมทุกข์เหมือนกำลังตรอมใจตาย เสี่ยวเป่าก้าวไปสองสามก้าว ก่อนรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างแปลกๆ เขาเงยหน้าขึ้นฉับพลันและมองไปรอบกาย เมื่อเด็กชายเห็นหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นในทันที เขาระเบิดร้องไห้จ้าก่อนวิ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ และล้มลงคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่ม
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมา ได้โปรดพาข้าไปจากที่นี่เสียทีเถิด ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ข้าไม่อยากไปเรียนพิเศษแล้ว ข้าอยากกลับไปเป็นวิญญาณวุธ ได้โปรดเถิด นายท่าน พาข้าไปที ได้โปรด…”
เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้นน่าสงสาร กลัวว่าหวังเป่าเล่อจะเมินเขาจึงกอดขาชายหนุ่มเอาไว้แน่น และเริ่มร้องไห้ดังขึ้นอีก
หวังเป่าเล่อทำได้เพียงแสร้งทำสีหน้าขึงขัง ก่อนจะปล่อยเสี่ยวเป่าตัวน้อยออกจากวงแหวนปราณมายาวัฏสงสาร หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็เดินทางเข้าไปยังโลกที่ราชครูจิ้งจอกเฒ่าอาศัยอยู่
โลกของราชครูกว้างใหญ่ไพศาลกว่าโลกของเด็กชายมากนัก ดวงดาวนับไม่ถ้วนสว่างพร่างพรายสุดขอบฟ้า ดูเหมือนโลกแห่งความจริงยิ่งนัก ในโลกนี้มีผู้ฝึกตน ผู้ฝึกตนหลายคนมีพลังที่แก่กล้ามากจนน่าตกใจ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่มีใครมองเห็นหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสามารถทำลายโลกใบนี้ให้ย่อยยับได้ในเสี้ยววินาทีเพียงแค่ใช้ความคิด
หวังเป่าเล่อก้าวเข้ามาในโลกมายานี้ และพบจิ้งจอกเฒ่าที่เคยเป็นราชครูในชาติที่แล้ว ชายชรากำลัง… วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต!
ราชครูเฒ่ากำลังหนีตายจ้าละหวั่น สภาพของเขารุ่งริ่งดูไม่ได้ ผมกระเซิงยุ่งเหยิงเหมือนรังนก แต่เขาก็ยังพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วอันน่าตกใจ ผู้เฒ่ากำลังวิ่งหนีบางอย่างอย่างไม่คิดชีวิตโดยไม่สนใจสิ่งใด
เบื้องหลังเขาคือผู้คนมากมายที่กำลังวิ่งไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ ในกลุ่มนั้นมีทั้งผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน และเรือบินอีกหลายลำที่เกาะกลุ่มกันมาเหมือนเมฆทะมึนบนท้องฟ้า ทุกคนต่างไล่หลังราชครูชนิดเอาเป็นเอาตาย
ผู้ฝึกตนและฝูงเรือบินเหล่านั้นมาจากหลายภาคส่วน เมื่อสำรวจดูใกล้ๆ จะเห็นว่ามีสิบภาคส่วนเป็นอย่างน้อย
หากพวกเขาทำเพียงวิ่งไล่หลังราชครู หวังเป่าเล่อก็คงไม่ตกใจมากนัก แต่มีบางสิ่งที่ต่างออกไปจากปกติ สีหน้าของชายหนุ่มเริ่มปุเลี่ยนขึ้นทุกที… ผู้ติดตามราชครูเหล่านี้ตะโกนกู่ร้องไปด้วย แต่ละภาคส่วนดูเหมือนกำลังต่อสู้แย่งชิงบางสิ่งกันอยู่
“ท่านราชครู ท่านไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มอีกต่อไปแล้วนะขอรับ ท่านไม่ควรวิ่งเร็วขนาดนี้ ระวังจะได้รับบาดเจ็บนะขอรับ”
“ท่านราชครู อย่าไปเลยขอรับ อาณาจักรของเราขาดท่านไม่ได้ ประชาชนหลายสิบล้านคนของเราต้องการท่าน!”
“ท่านราชครู ท่านจักรพรรดิได้ประกาศประกาศิตเอาไว้เรียบร้อย หากท่านไม่กลับไป พระองค์จะปลิดชีพตนเองเสีย…”
“ท่านราชครู เราค้นพบกาแล็กซีใหม่ มีประชาชนอยู่หลายพันหลายหมื่นคนเลยทีเดียว ทุกคนต้องการให้ท่านไปปกครอง!”
เสียงตะโกนนั้นดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า ชายชราที่กำลังหนีตายอยู่กำลังจะใกล้บ้า ผมกระเซิงของเขาปลิวปิดหน้าตนเอง ดวงตาแดงก่ำขณะกรีดร้องออกมาด้วยความทุกข์แสนสาหัส
“ไสหัวของพวกเจ้าไปให้หมด ข้าไม่ใช้ราชครู พวกเจ้าต่างหากเป็นราชครู ตระกูลของพวกเจ้าหมดทั้งโคตรต่างหากที่เป็นราชครู!” น้ำตาของชายชราไหลรินอาบแก้ม ความทุกข์สุดพรรณนาเข้าเกาะกุมหัวใจอันอ่อนแรงของเขา
บทที่ 458 จักรพรรดินีมากมายของมหาราช!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราชครูย้อนนึกถึงความหลังในเวลาสองแสนปีที่ผ่านมา ตอนแรกทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เขาทำหน้าที่เป็นราชครูของอาณาจักรเล็กๆ แห่งหนึ่ง และมีความสุขกับสถานะทางสังคมชั้นสูงของตนเองมาก จนเริ่มทะเยอทะยานหาอาณาจักรใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่าซึ่งกำลังต้องการราชครู อาณาจักรนั้นส่งคำเชิญให้เขาไปเป็นราชครูที่นั่น เขาจึงตกลงย้ายไปทำงานให้อย่างเต็มใจ หลายปีผ่านไป อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่าก็ส่งคำเชิญให้เขาไปรับตำแหน่งราชครูอีก…
ความมักใหญ่ใฝ่สูงของเขายังแรงกล้าอยู่ในตอนนั้น ทุกครั้งที่เขาก้าวขึ้นรับตำแหน่งใหม่ในอาณาจักรที่เกรียงไกรกว่าเดิม เขาจะมองหาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าแห่งอื่นไปด้วยเพื่อหาทางขยับขยาย วงจรนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ราชครูเฒ่าใช้ชีวิตเช่นนี้มาเป็นเวลาสองแสนปี เขาจำแทบไม่ได้แล้วว่าตนเองดำรงตำแหน่งราชครูมาแล้วกี่อาณาจักร
ชายชราเริ่มเบื่อหน่ายภาระหน้าที่การดูแลบ้านเมือง เขาทำซ้ำๆ อยู่อย่างนี้เป็นหมื่นเป็นแสนปีจนอยากจะอาเจียนออกมา… วงจรอุบาทว์นี้ดูไม่มีทีท่าว่าจะจบ เขายังคงค้นพบอาณาจักรที่ต้องการราชครูใหม่อยู่ร่ำไป… จนในที่สุดชายชราผู้ทะเยอทะยานก็เสียสติไปอย่างสมบูรณ์แบบ เขาทนชีวิตเช่นนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แค่ได้ยินคำว่า “ราชครู” เขาก็แทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความทุกข์
ด้วยเหตุนี้เขาจึงหนีตาย แต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จสักครั้ง ไม่ว่าเขาจะหนีไปแห่งหนใด คนพวกนี้ก็จะลากตัวเขากลับมารับตำแหน่งต่อได้เสมอ สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ราชครูต่อไปจนได้… ราชครูเฒ่าคิดหาทางหลุดพ้นแล้วทุกวิถีทาง ทำแม้กระทั่งทำลายอาณาจักรหนึ่งทิ้งเสียราบเป็นหน้ากลอง แต่ก็ยังมีอาณาจักรใหม่ๆ ที่ต้องการผู้ปกครองเสมอ เขามักถูกจับตัวไปยัดเยียดตำแหน่งราชครูให้อย่างไม่มีวันจบสิ้น…
ถึงตอนนั้น ราชครูก็ร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด จิ้งจอกเฒ่าร้องโหยหวยด้วยน้ำเสียงบีบหัวใจ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือการได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียที เขาไม่ได้อยากเป็นราชครูอีกต่อไปแล้ว หากได้ใช้ชีวิตปกติสุขเหมือนคนปกติทั่วไป ต่อให้ต้องกลายเป็นวิญญาณวุธเขาก็ยอม
ด้วยเหตุนี้ เมื่อจิ้งจอกเฒ่าเห็นหวังเป่าเล่อขณะที่กำลังหนีตายอยู่นั้น เขาก็ร้องไห้โฮออกมาทันที ชายชราทรุดลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น ก่อนหมอบราบอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ และเริ่มตะโกนโหยหวนออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลริน
“นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว ได้โปรดพาข้าออกไปจากที่นี่ทีเถิด ข้ายินดีที่จะเป็นวิญญาณวุธของท่าน ข้าไม่อยากเป็นราชครูอีกต่อไปแล้วในชีวิตนี้… เหตุใดตอนนั้นข้าจึงโง่เขลาเบาปัญญาถึงเพียงนั้น จึงมักใหญ่ใฝ่สูงคิดอยากเป็นราชครูต่อ”
หวังเป่าเล่อส่งราชครูเฒ่าที่กำลังน้ำตาเช็ดหัวเข่าออกไป เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโศกเศร้า ด้วยเริ่มเข้าใจสัจธรรมของชีวิตมนุษย์มากขึ้น
เจ้าพวกนี้ต้องขอบคุณข้า ที่ทำให้นึกออกเสียทีว่าชีวิตนี้ต้องการสิ่งใดอย่างแท้จริง!
ก็คือการเป็นวิญญาณวุธของข้าอย่างไรเล่า! หวังเป่าเล่อตบพุงตนเองด้วยความพึงพอใจ เขารู้สึกว่าการกระทำเมื่อครู่ทำให้รู้สึกอิ่มเอมเป็นอันมาก จึงตบพุงตนเองต่ออีกหลายครั้ง
เหตุใดข้าจึงรู้สึกเหมือนขาดสิ่งใดไป… หวังเป่าเล่อคิดหนัก สักพักก็คิดได้ว่าสิ่งสำคัญที่ขาดหายไปนั้นคืออะไร
น่าเสียดายเหลือเกิน ในฝันนั้นยังดีกว่านี้มาก เพราะว่ามีขนมมากมาย หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะด้วยความเสียดาย ก่อนจะเริ่มสนอกสนใจโลกมายาที่ชายหื่นอยู่
ข้าจำได้ว่าส่งหมอนั่นไปโลกที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ และให้หมอนั่นเป็นชายเพียงคนเดียว ชายหนุ่มตาเป็นประกาย เขาสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อเข้าไปยังโลกแสนประหลาดของวิญญาณหื่นนั้น
แรกเริ่มเดิมที โลกนี้เป็นโลกยุคโบราณที่อารยธรรมยังไม่พัฒนา แต่หลังจากผ่านไปสองแสนปี มิติของชายหื่นก็เติบโตกลายเป็นโลกที่มีอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองหลายอาณาจักรด้วยกัน แต่ละก๊กเหล่าพากันทำสงครามรบพุ่งเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง
ทุกชีวิตบนโลกนั้น ตั้งแต่จักรพรรดินีไปจนพลทหารล้วนเป็นเพศหญิง ไม่มีผู้ชายแม้แต่คนเดียวในโลกใบนี้ พวกเขาดำรงเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนปกติ หลังจากทำพิธีกรรมเฉพาะตนเสร็จสิ้น ประชากรหญิงรุ่นต่อไปก็ถือกำเนิดขึ้น
หากคิดตามหลักเหตุผลแล้ว ชายหื่นที่ถูกโยนเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยหญิงสาวมากมายนี้ คงมีชีวิตที่แสนสนุกสนานปรีดา ห้อมล้อมด้วยหญิงสาวน้อยใหญ่…
แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่เกิดจริงไปมากหากจะพูดว่าเขาใช้ชีวิตห้อมล้อมด้วยหญิงสาว และห่างไกลความจริงมากถ้าจะกล่าวว่าเขามีชีวิตที่สนุกสนานปรีดา เมื่อหวังเป่าเล่อไปถึงมิติที่วิญญาณหื่นอยู่ โลกทางนั้นกำลังจัดงานฌาปนกิจแสนยิ่งใหญ่อยู่…
สตรีมากมายในชุดเกราะยืนคุ้มกันพิธีศพ สตรีทุกนางมีใบหน้าสะสวยเหมือนนางสวรรค์ และมีทรวดทรงองเอวยั่วยวนใจ หากชายใดได้มองคงอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงเรื่องใต้สะดือ
หญิงสาวทุกคนกำลังยืนห้อมล้อมแท่นบูชาที่มีร่างหนึ่งนอนอยู่ ร่างนั้นผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มีสายระโยงระยางมากมายเจาะห้อยเป็นระย้าทั่วร่าง ของเหลวที่เต็มไปด้วยสารอาหารถูกอัดฉีดผ่านสายยางเข้าไปในร่างนั้น
สิ่งมีชีวิตบนแท่นบูชาก็คือ… วิญญาณหื่นที่หวังเป่าเล่อโยนเข้ามาในโลกนี้เมื่อสองแสนปีก่อน
ดวงตาของเขาเบิกโพลงด้วยความงุนงง ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม ขณะที่ของเหลวไหลเข้าร่างเพื่อทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ว่าเจ้าของร่างจะอยากจากโลกนี้ไปมากเพียงใดก็ตาม รอบกายเขามีหญิงสาวสิบสองคน แต่งกายในชุดสำหรับจักรพรรดินี ทุกคนยืนล้อมแท่นบูชานี้ไว้ และกำลังมองวิญญาณหื่นหนังหุ้มกระดูกด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยราคะ
ดวงตาของหญิงสาวเหล่านั้น เมื่อหันมามองกันเอง กลับเต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์และไม่เป็นมิตร
หวังเป่าเล่อตกใจกับภาพตรงหน้า แต่ก่อนที่เขาจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหล่าจักรพรรดินีก็เริ่มพุดคุยกัน
“ท่านจักรพรรดิมหาราช งานจัดการพระศพได้สิ้นสุดลงแล้ว เรามาเริ่มคุยธุระจริงกันเสียทีเถิด!”
“ใช่แล้ว ท่านจักรพรรดิมหาราช อาณาจักรของข้ามีพสกนิกรหญิงกว่าสามสิบล้านคน ที่กำลังรอให้ท่านไปเยือน เพื่อมอบพรของความเป็นชายที่ท่านมีให้พวกเขา ทางเราขอเรียนเชิญท่านให้ไปเยี่ยมเยียนอาณาจักรของเราด้วยเถิด!”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้ ท่านจักรพรรดิมหาราชต้องไปเยี่ยมอาณาจักรข้าก่อน เพราะมีพสกนิกรกว่าห้าสิบล้านคนรอท่านอยู่ และก็รอมานานแสนนานจนเริ่มเหี่ยวแห้งแล้วเสียด้วย หากท่านไม่มาโปรดอาณาจักรของข้า ข้าเกรงว่าเหตุอาเพศจะเกิดขึ้นในเร็ววัน!”
“เหตุของพวกเจ้านั้นรอก่อนได้ ข้ามีพสกนิกรกว่าสองร้อยล้านคนที่กำลังจะก่อกบฏในตอนที่ข้าจากเมืองเพื่อมาร่วมงานนี้ หากข้าไม่นำท่านจักรพรรดิมหาราชกลับไปด้วย ราษฎรเหล่านี้จะต้องบุกเข้ามาโค่นบัลลังก์เป็นแน่!”
เหล่าจักรพรรดินียังคงทะเลาะกันไม่จบสิ้น จนกระทั่งนางหนึ่งขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย
“หยุดโต้เถียงกันเถิด เรามาปรึกษาท่านจักรพรรดิมหาราชกันดีกว่า อย่างเลวที่สุดเราก็แค่ต้องให้ท่านอยู่บนแท่นบูชานี้ต่อไป และให้พสกนิกรของเรามาจัดการภารกิจกับท่านด้วยตนเองที่นี่ หากเป็นเช่นนั้นเราอาจเก็บค่าเข้าร่วมกิจกรรมได้ด้วย แค่ต้องจัดการให้มีเวรยามเท่านั้น ท่านจักรพรรดิมหาราชจะได้ไม่เป็นอันตราย”
ทันทีที่พูดจบ ชายหื่นบนแท่นบูชาที่ไม่ต้องการอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไปก็เบิกตากว้าง น้ำตาเริ่มไหลลงมาเป็นสาย ขณะที่เขาละล่ำละลักพูดด้วยร่างกายที่อ่อนแรง
“ได้โปรดเถิด ข้าขอร้อง ปล่อยข้าไปเสียเถิด ข้าทำกิจนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…”
ชายหื่นที่กลัดมันเต็มที่ก่อนหน้านี้ บัดนี้ได้หมดน้ำยาลงสิ้นแล้ว เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดังด้วยความอัดอั้น แต่ไม่ว่าจะร้องไห้มากเพียงใด จักรพรรดินีก็ไม่สนใจและตกลงกันเองได้ในที่สุด พวกนางตัดสินใจว่าจะทิ้งเขาไว้ที่นี่และพาพสกนิกรมาหาเอง…
ในตอนนั้นเอง ชายหื่นที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์ถึงขีดสุดก็มองเห็นหวังเป่าเล่อลอยอยู่ในอากาศ เขาเริ่มร้องโหยหวยทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้า
“นายท่าน ช่วยข้าด้วย โปรดช่วยข้าน้อยด้วยเถิด ขอเพียงแค่ข้าออกไปจากที่นี่ได้ ข้ายอมทุกอย่าง ข้า… ข้ายินยอมถวายตัวเป็นวิญญาณวุธของท่าน!”
หวังเป่าเล่อมองชายผู้นั้นด้วยความเห็นใจ เขาโบกมือและโลกมายานั้นก็หายวับไป ชายหนุ่มกลับมายืนอยู่ในที่พักของตนเองอีกครั้ง เบื้องหน้าเขามีวิญญาณสามดวงที่กำลังคุกเข่าลงต่อหน้า บรรยากาศที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตหายไปแทบหมดสิ้น แม้ทั้งสามจะยังไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ก็ไม่ต่อต้านการรับหน้าที่เป็นวิญญาณวุธอีกต่อไป แต่กลับดูกระตือรือร้นเสียด้วยซ้ำ
หวังเป่าเล่อสบายใจขึ้นทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น เขารู้สึกว่าตนเองช่างมีวาทศิลป์โน้มน้าวใจอันแสนเหลือเชื่อ จึงทำให้วิญญาณทั้งสามดวงยอมศิโรราบต่อเขาได้ แต่เมื่อชายหนุ่มมองเด็กชายกับราชครูอีกครั้ง แววสงสัยก็วาบเข้ามาในดวงตา
ครั้งแรกที่ชายหนุ่มเห็นคนทั้งคู่ ก็รู้สึกว่าคุ้นเคยอย่างประหลาด แต่ก็นึกไม่ออกว่าเพราะเหตุใด ตอนนี้เมื่อได้มองทั้งสองใกล้ๆ อีกครั้ง ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาในใจหวังเป่าเล่อก็ยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก
ข้าน่าจะเคยเจอสองคนนี้มาก่อน… ชายหนุ่มนวดหน้าผาก เขาคิดอยู่นานแต่ก็คิดไม่ออกเสียที จึงตัดสินใจโยนเรื่องนี้ทิ้งไปก่อน เขารายงานผลสำเร็จให้ท่านอาจารย์ทราบ
หมิงคุนจื่อไม่ได้ถามรายละเอียด ว่าหวังเป่าเล่อจัดการชำระบาปให้ดวงวิญญาณสามดวงนี้ภายในเวลาที่กำหนดได้อย่างไร เขาเพียงแต่นำวิญญาณทั้งสามดวงไปเพื่อหลอมวัตถุเวทแห่งความมืดให้หวังเป่าเล่อ โดยหลอมรวมวัตถุเวทเข้าเป็นหนึ่งกับวิญญาณวุธ
นอกจากนี้หมิงคุนจื่อยังมอบภารกิจอีกอย่างให้หวังเป่าเล่อด้วย
“เจ้าจงไปที่ตำหนักหมื่นศิลป์ประจำสำนักแห่งความมืด และอ่านทุกอย่างเท่าที่หาได้เกี่ยวกับสำนักแห่งความมืด เคล็ดเวทและกระบวนเวทแห่งความมืดเสีย ต่อให้เจ้าศึกษาไม่ได้ทั้งหมด เจ้าก็ควรจะเข้าใจเคล็ดเวทและกระบวนเวทเหล่านั้นไว้บ้าง เมื่อเจ้าเข้าใจจนทะลุปรุโปร่งระดับหนึ่งแล้ว ก็ให้ลองพยายามก้าวผ่านปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นไปเป็นขั้นกำเนิดแก่นในมืดเสีย!”
หวังเป่าเล่อทำตามคำสั่งของอาจารย์อย่างว่านอนสอนง่าย เขาเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติขณะฟื้นฟูความทรงจำของตนกลับมาได้เป็นบางส่วน แต่ด้วยความที่ยังจำได้ไม่หมด จึงยังนึกไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาตั้งหน้าตั้งตาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสำนักแห่งความมืด และพลังสุดยิ่งใหญ่เขย่าจักรวาลของสำนักนี้ รวมถึงข้อมูลมากมายอื่นๆ เพื่อที่จะทำให้ตนเองฟื้นความทรงจำกลับมา
หวังเป่าเล่อใช้เวลาหนึ่งเดือนต่อมาไปกับการหมกตัวอ่านตำราอยู่ในตำหนักหมื่นศิลป์เสียเป็นส่วนมาก เขาตะลุยอ่านตำรามากมายและศึกษาเคล็ดเวทและกระบวนเวทนับไม่ถ้วน ความรู้ของชายหนุ่มเรื่องสำนักแห่งความมืดและวิชาแห่งศาสตร์มืดเพิ่มพูนมากขึ้นโข
ปราณระดับจิตวิญญาณอมตะนั้นประกอบไปด้วยขั้นปราณย่อยห้าขั้น รากฐานตั้งมั่น กำเนิดแก่นใน จุติวิญญาณ เชื่อมวิญญาณ และจิตวิญญาณอมตะ… วิชาแห่งศาสตร์มืดประจำแต่ละขั้นคือ วิชาใบหน้าซากศพ วิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ วิชาเศษเสี้ยววิญญาณ วิชาขบวนแห่สุสาน และวิชาห้วงเหวย้อนกลับ! ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายสว่างเจิดจ้า จากข้อมูลที่อ่านมา ชายหนุ่มจึงรู้ว่าระดับวิชาตั้งแต่ใบหน้าซากศพจนถึงห้วงเหวย้อนกลับ เป็นเพียงขั้นแรกของวิชาแห่งศาสตร์มืดเท่านั้น!
และวิชาแห่งศาสตร์มืดนั้น… มีทั้งหมด 7 ขั้นด้วยกัน!
นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังเจอความรู้เกี่ยวกับพลังอำนาจจากเทพเจ้า ที่ทรงพลังยากหาสิ่งใดเสมอเหมือน พลังนี้คล้ายวงแหวนปราณมายาวัฏสงสารแต่ก็แตกต่างไปในที
พลังนี้มีนามว่า… นิมิตมืด!
บทที่ 459 แก่นในแห่งความมืด!
โดย
Ink Stone_Fantasy
นิมิตมืดนั้นมีพลังอำนาจที่ทั้งแสนพิเศษ แปลกประหลาด และเป็นเคล็ดเวทที่จะดึงเป้าหมายเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน ดินแดนนี้ถือกำเนิดจากต้นกำเนิดแห่งเต๋า โดยใช้พลังชีวิตของผู้ใช้เคล็ดเวทนั้นเป็นเชื้อเพลิงในการสร้าง และวิชานี้มีแต่ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์เท่านั้นที่ใช้ได้!
เคล็ดเวทนิมิตมืดนี้ใช้เพื่อทำลายศัตรูได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ฝึกตนชั้นสูงมักใช้ในการถ่ายทอดวิชาและเคล็ดเวทต่างๆ ให้ศิษย์หรือทายาทมากกว่า กระแสของเวลาในดินแดนแห่งความฝันเดินในอัตราที่แตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริง โดยปรับได้ตามใจปรารถนา ดินแดนแห่งความฝันสามารถถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับวิชาต่างๆ เข้าไปในวิญญาณของผู้เรียนได้โดยตรง โดยจะเข้าไปผสานรวมกับวิญญาณของศิษย์คนนั้นๆ ถือเป็นการร่นระยะเวลาและลดทอนอุปสรรคในการฝึกวิชาไปได้มากโข กระนั้นก็ยังต้องฝึกอยู่ดี เนื่องจากวิชานิมิตมืดนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ถ่ายทอดส่งผ่านระดับปราณของตนไปยังผู้ถูกถ่ายทอด เพราะจะทำให้ฝ่ายหลังทรงพลังขึ้นมาในทันที ทว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่พัฒนาขั้นปราณไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว มักต้องการตื่นรู้ในต้นกำเนิดแห่งเต๋าและกฎแห่งเต๋า มากกว่าการพัฒนาขั้นปราณ
และเคล็ดเวทนิมิตมืดก็เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะถ่ายทอดความรู้นี้ได้!
นอกจากนี้มันยังมีประโยชน์อื่นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อบาดเจ็บสาหัส ผลกระทบของการบาดเจ็บนั้นจะลดน้อยลงในดินแดนแห่งความฝัน ทำให้มีเวลาพอที่จะฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้น
ทว่า… เคล็ดเวทที่ทรงพลานุภาพเช่นนี้ต้องใช้พลังอย่างมากในการเสก จึงทำให้คนส่วนมากไม่ได้ใช้บ่อยนัก นอกเสียจากว่าจำเป็นจริงๆ เคล็ดเวทนิมิตมืดนี้ถือว่าเป็นวิชาต้องห้ามกลายๆ ในสำนักแห่งความมืด
หลังจากที่อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเคล็ดเวทนิมิตมืดเสร็จเรียบร้อย ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เต็มไปด้วยรอยครุ่นคิด เขาหลับตาลงหลังจากผ่านไปสักพัก ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง แล้วมองไปรอบๆ อย่างเงียบเชียบ
สิบห้านาทีผ่านไป หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในตำหนักหมื่นศิลป์สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ชายหนุ่มเริ่มฝึกวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณต่อ
แม้จะยังมีขั้นปราณไม่ถึงระดับกำเนิดแก่นใน จึงทำให้ยังเข้าใจวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณไม่ถ่องแท้ หวังเป่าเล่อก็ยังทำให้วิชานี้แข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ปราณมืดของเขายังทรงพลังขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้ เปลวไฟสีดำภายในกายของหวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น
เวลาเดินหน้าผ่านไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อยังคงมุ่งมั่นกับการฝึกวิชาต่อไป ไม่นานนักสามเดือนก็ผ่านไปภายในพริบตา
ในช่วงสามเดือนนี้ หวังเป่าเล่อเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการเพิ่มจำนวนเปลวไฟสีดำในกาย จนกระทั่งมีถึงเจ็ดสิบแปดดวงด้วยกัน เขาใกล้จะทำลายสถิติเปลวไฟสีดำแปดสิบเอ็ดดวงได้แล้ว
โดยปกติแล้วยิ่งแข็งแกร่งขึ้นก็จะยิ่งพบอุปสรรคในการฝึกวิชา แต่หวังเป่าเล่อกลับเดินหน้าเพิ่มพูนพลังปราณให้ตนได้อย่างไร้ขีดจำกัด ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดอย่างไรอย่างนั้น
นี่ทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มฉุกคิด ชายหนุ่มเริ่มคลางแคลงใจว่าเพราะเหตุใดทุกสิ่งจึงง่ายดายถึงเพียงนี้ ทำอย่างไรก็สลัดความสงสัยนี้ออกไปไม่ได้เสียที หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจกดความรู้สึกนี้ลงไปเบื้องลึก เขากำลังจะเริ่มฝึกวิชาต่อ แต่แผ่นหยกในกำไลคลังเวทก็สั่นขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มหยิบแผ่นหยกตัวการออกมาดู ก่อนถอนใจยาว
เสียงถอนหายใจนั้นหนักอึ้งด้วยความรู้สึกซับซ้อน เสียดาย และสับสนที่ก่อตัวอยู่ในใจ
“ศิษย์น้องของข้า ข้าจะจากสำนักไปสักพักเพื่อฝึกตน ข้ามีบางเรื่องให้ต้องครุ่นคิดเล็กน้อย… รักษาตัวของเจ้าด้วย ข้าจะกลับมาเมื่อสะสางปัญหานั้นเรียบร้อยแล้ว!”
แผ่นหยกสื่อสารของหวังเป่าเล่อมีข้อความนี้เพียงข้อความเดียวเท่านั้น ผู้ที่ส่งสารนั้นมาให้คือศิษย์รุ่นพี่ เฉินชิง!
ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อใช้เวลาส่วนใหญ่ในการถือสันโดษฝึกวิชาทำสมาธิ แต่เขาก็ยังติดตามข่าวสารบ้านเมืองภายในสำนักอยู่เพื่อที่จะไม่ตกข่าว ยกตัวอย่างเช่น… สิ่งที่เกิดขึ้นกับศิษย์พี่เฉินชิงคนนี้!
ศิษย์พี่ผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมยากหาผู้ใดทัดเทียมผู้นี้ ได้บอกความลับกับเขาเมื่อวันก่อนด้วยความดีใจและคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง… ว่าเนื้อคู่แห่งเต๋าที่กำลังจะเกิดใหม่ของศิษย์พี่เฉินชิง คือบุตรสาวของจักรพรรดิแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น!
เฉินชิงไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามและภูมิหลังของวิญญาณที่เขาวาดขึ้นด้วยวิชาใบหน้าแห่งซากศพ จนกระทั่งจักรพรรดิแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นมาเยือนสำนักแห่งความมืดเมื่อหลายเดือนก่อน เขารู้เพียงว่าวิญญาณดวงนี้จะกลายมาเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขาเมื่อนางเกิดใหม่ นี่คือเจตจำนงแห่งเต๋าสวรรค์ เป็นชะตาชีวิตของเขาที่ถูกกำหนดมาเรียบร้อยแล้วโดยสวรรค์เบื้องบน
เฉินชิงดีใจเป็นอันมากเมื่อทราบดังนี้ เขาแต่งแต้มใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นให้สวยเป็นพิเศษตามรสนิยมของตน ชายหนุ่มเฝ้ารอวันที่จะได้เจอนางในอนาคต
ทว่า… ไม่นานหลังจากนั้นโลกแห่งความจริงกลับถล่มลงมาใส่ชายหนุ่ม เมื่อจักรพรรดิแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นต่อสู้กับสำนักแห่งความมืดในศึกที่น่ากลัวจนเสียวกระดูกสันหลังวาบ ชายหนุ่มก็เห็นกับตาตนเองว่าวิญญาณของหญิงสาวซึ่งเป็นเนื้อคู่เขา ถูกดึงออกจากทะเลวิญญาณและสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไป นับแต่นั้นมา หัวใจของชายหนุ่มก็ถูกเกาะกุมด้วยความเงียบงัน
แม้ดวงชะตาของเฉินชิงจะผูกติดอยู่กับวิญญาณดวงนี้ในชาติหน้า และแม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้ทำความรู้จักจนเริ่มสร้างความสัมพันธ์กันในชีวิตจริง แต่ทุกสิ่งกลับพังทลายลงก่อนที่จะได้เกิดขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหลงทาง เฉินชิงไม่ได้เสียใจที่ดวงวิญญาณของหญิงสาวสลายไป แต่ศรัทธาในชะตาแห่งเต๋าของเขากลับสั่นคลอน
เฉินชิงไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายผิด จักรพรรดิแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นหรือสำนักแห่งความมืด แต่สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มมั่นใจคือ ดวงวิญญาณหญิงสาวผู้นั้นไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลย
หรือสำนักแห่งความมืดจะเป็นฝ่ายผิด แต่สำนักเพียงทำตามเจตจำนงของเต๋าสวรรค์เท่านั้น เต๋าสวรรค์คืออำนาจที่ถือเป็นเจตจำนงสูงสุดของกฎแห่งจักรวาล และเป็นต้นกำเนิดแห่งเต๋าภายในกายของผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทุกคน
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงตัดสินใจปลีกตัวไปใช้เวลาคิดเงียบๆ คนเดียวสักพัก เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามที่มากล้นจิตใจ เขาอยากตรึกตรองให้ถี่ถ้วน และตั้งใจว่าจะต้องหาคำตอบให้จงได้ ด้วยเหตุนี้เฉินชิงที่กำลังตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้า จึงตัดสินใจจากสำนักไปเป็นการชั่วคราวเพื่อจัดระเบียบความคิดตนเอง
หวังเป่าเล่อก็สองจิตสองใจในเรื่องนี้เช่นกัน แต่ตัวเขาเองไม่มีอำนาจอันใดจะแก้ปัญหานี้ได้ จึงทำได้เพียงลองสมมติดูว่าหากตนเองเป็นเฉินชิงจะทำอย่างไร
สุดท้ายเขาก็โยนคำถามทิ้งไป และเดินหน้าฝึกปราณต่อเงียบๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เวลาเดินหน้าผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เปลวไฟสีดำภายในกายหวังเป่าเล่อเพิ่มเป็นแปดสิบเอ็ดดวงเรียบร้อย!
ทันทีที่เปลวไฟครบแปดสิบเอ็ดดวง ร่างของชายหนุ่มก็สั่นเทา เขารู้สึกได้ถึงเปลวไฟทั้งแปดสิบเอ็ดดวงที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ และกำลังเผาไหม้อย่างเจิดจ้าอยู่ภายใน เปลวไฟที่สุมกันเป็นกองใหญ่นี้เริ่มหดตัวและควบแน่นจนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ มันหดเล็กลงอย่างต่อเนื่องจนอัดแน่นกลายเป็นแก่นในภายในกายของเขา!
ตลอดกระบวนการนี้ คลื่นพลังปราณที่รุงแรงกว่าขั้นรากฐานตั้งมั่นแพร่กระจายออกจากแก่นในที่สร้างจากเปลวไฟสีดำเหล่านี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับกระแสน้ำของสายธารนับล้านกำลังทะลุผ่านเส้นปราณของเขา และหลังไหลไปยังทั่วทุกส่วนของร่าง กระแสธารเหล่านั้นเอ่อท่วมเส้นปราณใหญ่น้อยทั่วร่างภายในพริบตา พลังที่มาพร้อมกระแสปราณแทรกซึมเข้าทั่วร่างกายของเขา ก่อนล้นออกมายังโลกภายนอก
ในตอนนั้นเองพายุกรรโชกก็อุบัติขึ้นรอบตัวหวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ พายุปราณนั้นส่งเสียงก้องและหมุนวนรอบตัวชายหนุ่ม แม้พลังนี้จะอ่อนแอสำหรับผู้ที่มีปราณขั้นสูง เพราะเป็นเพียงการบรรลุขั้นปราณจากขั้นรากฐานตั้งมั่นไปเป็นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แต่นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของหวังเป่าเล่อ ร่างทั้งร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้าน เขารู้สึกได้ถึงพลังปราณของตนที่ระเบิดออกจากกาย และเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด!
เสียงระเบิดเหมือนอสนีบาตปะทุขึ้นภายในกายของหวังเป่าเล่อ พายุรอบกายเขาเปลี่ยนสภาพเป็นทะเลไฟเยือกแข็ง เปลวไฟเย็นเหล่านั้นแพร่กระจายออกทุกทิศทาง และทวีความเย็นขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้พลังนั้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เส้นปราณในกายหวังเป่าเล่อสะเทือน ทั้งเลือดเนื้อและโลหิตของเขาสั่นไหว พลังปราณในกายหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง เปลวไฟสีดำยังคงอัดตัวแน่นขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นทุกที เปลวไฟสีดำที่อัดแน่นเหล่านี้กำลังจะรวมร่างกลายเป็นของแข็ง!
ตอนนั้นเอง หมิงคุนจื่อก็ปรากฎกายขึ้นอย่างเงียบเชียบต่อหน้าหวังเป่าเล่อในตำหนักหมื่นศิลป์ ดวงตาของเขาอ่อนโยนขณะมองหวังเป่าเล่อด้วยความเมตตา ร่างของอาจารย์ค่อนข้างพร่าเลือนจนทำให้มองไม่ออกเล็กน้อย ดูคล้ายกับตอนที่หวังเป่าเล่อเห็นนิ้วและมือโปร่งแสงของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ บัดนี้ไม่ใช่แค่มือเสียแล้วที่จางหากแต่เป็นร่างทั้งร่างของหมิงคุนจื่อ
กระนั้นเขาก็ยังยกมือขึ้นชี้ไปที่หน้าผากของหวังเป่าเล่อ!
ทันทีที่ปลายนิ้วของหมิงคุนจื่อสัมผัสหน้าผากของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาดภายในกายตน แก่นในภายในกายเขาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเร็วขึ้นภายในพริบตา จนเกิดเป็น… แก่นในแห่งความมืด!
ทันทีที่แก่นในแห่งความมืดเป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์ พลังของปราณขั้นกำเนิดแก่นในก็ระเบิดออกจากกายของหวังเป่าเล่อ พลังนั้นกระจัดกระจายไปในอากาศทั่วทุกสารทิศ ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น
เขาหายใจแรง สายตาจับต้นชนปลายไม่ถูก ความทรงจำเกี่ยวกับสหพันธรัฐที่คิดว่าเป็นเพียงความฝันผุดขึ้นในจิตใจอีกครั้ง และเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขาจำได้ว่าในฝันตนถูกผู้ฝึกตนจากนอกโลกสามคนไล่ล่า จนต้องหนีเข้าไปในวัตถุเวทแห่งความมืดและเข้าถ้ำใต้ดินมา และก่อนหน้านี้เขาก็นั่งอยู่บนเรือสีดำโดดเดี่ยวลำน้อย…
หวังเป่าเล่อจำได้ว่าก่อนที่ตนเองจะหลับไป เขาได้ยินเสียงชราที่แสนคุ้นเคยกระซิบอยู่ในหู เสียงนั้นเอ่ยคำสองคำออกมา…
“นิมิตมืด…”
ชายหนุ่มตกอยู่ในความเงียบงัน หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในดวงตาของหมิงคุนจื่อผู้เป็นอาจารย์ ที่บัดนี้ยืนอยู่ตรงหน้า
“ท่านอาจารย์… ข้า…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง แต่ก่อนที่จะพูดจบ ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าอาจารย์กำลังจะสลายหายไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในทุกคำที่เขาเอ่ย
หวังเป่าเล่อตัวสั่น แม้สีหน้าจะยังดูงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่คำตอบก็เริ่มก่อตัวขึ้นชัดเจนในจิตใจ บางที… ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาในตอนนี้ อาจเป็นความฝันด้วยก็ได้
ช่างเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนรู้ว่าตนเองกำลังนอนหลับและฝันไป เคล็ดเวทนิมิตมืดผุดขึ้นในใจอีกครั้ง หลังจากที่ลองทบทวนดู ชายหนุ่มก็คิดหาคำตอบได้ในที่สุด
ในใจเขายังเต็มไปด้วยคำถามและข้อสงสัยมากมาย เขาเงียบไปอีกสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นทำมือคารวะหมิงคุนจื่อและโค้งคำนับสุดตัว!
“ศิษย์พี่…” หวังเป่าเล่อตัวแข็งทันทีที่พูดคำนั้นออกไป เขาเงียบลงอีกครั้ง หลังจากที่หายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติ ชายหนุ่มก็เปิดปากเรียกชายตรงหน้า แต่ด้วยชื่อที่ต่างออกไป
“ท่านอาจารย์!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น