หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 452-453
บทที่ 452 ใบหน้าซากศพ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ความทรงจำของหวังเป่าเล่อเกี่ยวข้องกับการเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ช่างพร่าเลือน ดูเหมือนว่านิมิตของเขาจะเหมือนจริงเกินไป ทำให้ทุกๆ อย่างตรงหน้าเขาขณะนี้แม้จะดูคุ้นตาแต่ก็ดูแปลกใหม่อยู่ในที
ระหว่างการเดินทางขากลับ หลังจากที่เขาได้ขับร้องบทเพลงแห่งวิญญาณซ้ำไปซ้ำมา หวังเป่าเล่อก็จ้องมองขึ้นไปยังท้องฟ้าเกลื่อนดาว แล้วก็พลันนึกถึงนิมิตขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มจำได้รางๆ ว่าเขาเป็นบุคคลที่หน้าตาดีที่สุดในสหพันธรัฐ ซ้ำยังมีคู่รักมากมาย เช่น กระต่ายน้อย เจ้าเยี่ยเหมิง หลี่หว่านเอ๋อร์ หลี่อี้ และหลี่ซิ่ว…
ไม่ใช่สิ ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับหลี่อี้! หวังเป่าเล่อหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มงุนงงเล็กน้อย เขาจำได้ว่าหลี่ซิ่วเป็นผู้ชาย แต่ความทรงจำของเขาไม่ชัดเจนนัก หวังเป่าเล่อถึงกับหัวหมุนด้วยความตกใจ เขาทั้งฉงนและตื่นกลัว
เป็นไปไม่ได้…ในนิมิตนั้น…ไม่นะ ข้า หวังเป่าเล่อ ไม่ใช่คนประเภทนั้น! หวังเป่าเล่อตัวสั่นด้วยความกลัว ชายหนุ่มพยายามนึกให้ออกว่าเกิดอะไรขึ้นในนิมิตนั้น เขาเริ่มนึกอะไรขึ้นมาได้ เริ่มจำได้ว่าหลี่ซิ่วเป็นเพียงน้องชายของหนึ่งในบรรดาคู่รักของเขาเท่านั้น ชายหนุ่มถึงกับถอนใจด้วยความโล่งออก
ทว่าเมื่อความทรงจำจากนิมิตเริ่มผุดขึ้นมา ความลังเลใจและโหยหาอดีตก็พวยพุ่งขึ้นมาในใจของชายหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว มีทั้งความรู้สึกที่มีต่อบิดามารดา บรรดามิตร คู่รัก และสหพันธรัฐ…
มันเป็นเพียงนิมิตเท่านั้น…หวังเป่าเล่อทอดถอนใจอยู่เงียบๆ ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาหันมามองหวังเป่าเล่อ ชายชราพูดเสียงเบา
“หวังเป่าเล่อ เจ้ายังคิดถึงสหพันธรัฐในนิมิตนั่นอยู่อีกหรือ”
“เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อรีบเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ทันที ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นจึงเอ่ยปากถามว่า “ท่านอาจารย์ขอรับ ทำไมคนเราจึงต้องฝันด้วย นิมิตเกี่ยวกับสหพันธรัฐนี้ดูสมจริงยิ่งนัก…”
ชายชราจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยใบหน้าเปี่ยมความรัก ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวชายหนุ่มและเอ่ยอย่างใจดี
“เป่าเล่อ ในฐานะบุตรแห่งความมืด เจ้าต้องรู้ว่าในโลกนี้ไม่มีนิมิตหรอก…สิ่งที่เจ้าคิดว่าเป็นนิมิตนั้น แท้จริงแล้ว คือตัวเจ้าอีกคนหนึ่ง!”
“ตัวข้าอีกคนหนึ่งหรือ” หวังเป่าเล่อสันสนเล็กน้อย ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากถามต่อ แต่เมื่อก้มลงมองมือของอาจารย์ก็เห็นว่ามีนิ้วหนึ่งหายไป ชายหนึ่งลืมเรื่องนิมิตไปเสียสิ้น เขาตกใจร้องตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง
“อาจารย์ นิ้วของท่าน…”
ชายชราก้มศีรษะลงมองนิ้วตนเอง ก่อนจะยิ้มบางๆ ไม่มีความตกใจปรากฏในดวงตาทั้งคู่แต่อย่างใด เขาละสายตามามองหวังเป่าเล่ออีกครั้งด้วยความเมตตาในดวงตาที่ฉายชัดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก เป็นเพียงแผลเก่าเท่านั้น”
หวังเป่าเล่ออยากซักไซร้ให้มากกว่านี้ ทว่าชายชราได้หันหน้าหนีไปเสียแล้ว เขาขยับไม้พายตะเกียงเพื่อส่งเรือมุ่งหน้าไปยังที่ห่างไกล เรือลำน้อยนั้นล่องลอยผ่านท้องฟ้าไปอย่างเชื่องช้า เวลาผ่านไปนานแสนนาน…อาณาเขตที่ปกคลุมไปด้วยแสงดาวพร่างพราวก็มาปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
หมู่ดาวนั้นปกคลุมไปด้วยดาวเคราะห์สวยงามดาษดื่น มีดาวเคราะห์ล่องลอยอยู่นับล้าน!
เหนือดาวเคราะห์ทั้งหมดมีประตูมายาขนาดใหญ่กว่าดวงดาวตั้งอยู่ ประตูเหล่านั้นตั้งอยู่บนดาวเคราะห์ทุกดวงและมีหน้าตาเหมือนกันทั้งสิ้น ประตูทั้งหมดนั้นสวยงามยิ่งใหญ่และยังแผ่รัศมีความขลังดูงดงามยิ่ง
หากมองจากไกลๆ ก็จะมองเห็นภาพดาวเคราะห์และประตูมากมายนับไม่ถ้วน…แม่น้ำวิญญาณนั้นไหลผ่านประตูมายาทั้งหมด วนเวียนไปตามหมู่ดาวไม่จบสิ้น
มีผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่บินไปมาอยู่บนท้องฟ้า พวกเขาดูเหมือนจะเป็นทั้งผู้นำทางและผู้ปกป้อง ทุกคนต่างพากันก้มศีรษะคำนับอาจารย์ของหวังเป่าเล่ออย่างนอบน้อมเมื่อเห็น ดวงตาของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อผู้อาวุโสอย่างลึกซึ้งและจริงใจ
ชายชราไม่อาจตอบรับการทักทายจากทุกคนได้หมด จึงเพียงผงกศีรษะรับเล็กน้อย เขาส่งเสียงพูดอย่างแผ่วเบา เหมือนว่าจะพึมพำกับตัวเองและอธิบายบางอย่างไปด้วยในเวลาเดียวกัน
“สิ่งนี้คือประตูแห่งวัฏสงสาร!”
“ประตูแห่งวัฏสงสาร…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ชายหนุ่มขณะนี้เหมือนตกอยู่ในภวังค์ เรือลำน้อยพาพวกเขามาถึงจุดศูนย์กลางของดาราจักรแห่งนี้และตรงกลางนั้นก็มี…ดาวเคราะห์ขนาดมหึมาที่ใหญ่เกินกว่าระบบสุริยะ!
เมื่อหวังเป่าเล่อมองเห็นดาวดวงนี้ เขาก็ถึงกับตกตะลึง
ดาวเคราะห์ดวงนี้กว้างใหญ่ยิ่ง มันสว่างไสวไปด้ววยจุดแสงหลากสีสันมากมาย ทั้งยังมีฝูงวิญญาณบินออกมาอีกด้วย หากมองจากไกลๆ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำแห่งความมืด ดวงวิญญาณที่ล่องลอยออกมานั้นรวมตัวกันเป็นแม่น้ำที่แตกสายออกไปเป็นธารน้ำเล็กๆ และไหลผ่านประตูแห่งวัฏสงสารหลายต่อหลายบานซึ่งรายล้อมดวงดาวเอาไว้!
“นี่คือหน้าที่ของพวกเราสำนักแห่งความมืด การกำเนิดใหม่!” น้ำเสียงราบเรียบของผู้อาวุโสดังขึ้น หวังเป่าเล่อนั้นสติแทบจะหลุดลอยไปเพราะภาพตรงหน้า ชายหนุ่มจ้องมองด้วยนัยน์ตาเบิกโพลงปากอ้าค้าง กระทั่งเรือลำน้อยแล่นเข้าไปถึงดาวเคราะห์ดวงขนาดเท่าระบบสุริยะ เขาจึงได้เห็นทิวเขากว้างไกลและแม่น้ำมากมายที่อยู่บนพื้นผิวดวงดาว และยังมี…ปราสาทที่กว้างไกลไปถึงเส้นขอบฟ้า!
ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป หวังเป่าเล่อมองเห็นฝูงอสูรนับไม่ถ้วน พวกมันไม่ได้ดูดุร้ายแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าพวกนี้จะเป็นอสูรรักสงบ พวกมันกำลังช่วยเหลือกลุ่มผู้ฝึกตนในการก่อสร้าง…รูปปั้นศิลาใหญ่ยักษ์!
รูปปั้นศิลานั้นเพิ่งอยูในขั้นต้นของการก่อสร้าง แม้กระนั้นโครงสร้างของมันก็ยังสูงเสียดฟ้า ช่างเป็นทิวทัศน์ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่ง!
ผู้ฝึกตนจากสำนักแห่งความมืดจำนวนมากต่างก็เดินทางไปมาอยู่บนดาวดวงนั้นและรอบๆ พิกัดดาว ทุกอย่างดูประหลาดและแปลกใหม่อย่างยิ่งสำหรับหวังเป่าเล่อ แต่เขาก็ยังบอกตัวเองว่าคุ้นเคยกับทุกสิ่งเป็นอย่างดี ความรู้สึกที่ตรงข้ามกันสองอย่างปะทะกันอยู่ภายในใจ ลมหายใจของเขาเริ่มขาดช่วงและชายหนุ่มก็เริ่มสับสนเป็นอันมาก
ในที่สุดเรือลำน้อยของอาจารย์ก็พาเขามาถึงภูเขาที่สูงที่สุดบนดาวดวงนี้ ปราสาทนั้นตั้งอยู่เป็นกลุ่ม กระจายตัวไปจนสุดขอบฟ้า ไม่ใช่เพียงบนพื้นเท่านั้นที่ดาษดื่นไปด้วยห้องโถงและผู้ฝึกตน บนท้องฟ้าก็เช่นกัน ปราสาทนับไม่ถ้วนลอยเด่นอยู่บนฟ้า และผู้ฝึกตนจำนวนมากก็เดินทางไปมาระหว่างกัน มีสัตว์ขนาดยักษ์รูปร่างคล้ายปลาคุนนกเผิงบินอยู่ทั่วท้องฟ้า
ทุกๆ สิ่งที่หวังเป่าเล่อเห็นส่งเอาคลื่นความรู้สึกอันรุนแรงให้ถาโถมอยู่ในใจ ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าอาจารย์ได้จอดเรือไว้ข้างๆ ปราสาทแห่งหนึ่งและเดินจากเขาไปแล้ว จนกระทั่งเมื่อมีเสียงบ่นมากระทบโสตประสาทนั่นเองหวังเป่าเล่อจึงได้สติกลับคืนมา
“ทำไมรอบนี้ถึงได้มากมายนัก พวกเราต้องยุ่งอีกแน่นอน เป่าเล่อ เจ้าจะยืนตกตะลึงทำไมกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้ามาที่นี่สักหน่อย มาช่วยข้าตรงนี้เร็วๆ เข้า!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดกับเขา เขาแต่งตัวในชุดดำและมีใบหน้าตกกระ สีหน้าดูเปี่ยมความสุข เด็กหนุ่มคนนั้นจ้องมองท้องฟ้าและแม่น้ำที่เกิดจากการรวมตัวกันของดวงวิญญาณจำนวนมหาศาลซึ่งหมิงคุนจื่อนำทางมา แล้วก็ทอดถอนใจ
หวังเป่าเล่อรีบหันศีรษะกลับไป ความรู้สึกที่คุ้นเคยถาโถมอยู่ในใจเมื่อมองเห็นเด็กหนุ่มผู้นี้ ชายหนุ่มบอกได้เพียงว่าคนผู้นี้เป็นศิษย์รุ่นพี่ จึงรีบไปตามคำสั่งทันที แต่หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งใด หลังจากที่ละล้าละลังอยู่ชั่วขณะ เขาจึงตัดสินใจถาม “ศิษย์พี่ขอรับ ข้าต้องทำอะไรหรือ”
“นี่เจ้าจะอู้งานอีกแล้วใช่หรือไม่ เป่าเล่อ คราวนี้น่ะมีวิญญาณคนตายเยอะเหลือเกิน ศิษย์พี่ของเจ้ารับมือคนเดียวไม่ไหวหรอกนะ เจ้าจะหนีหายไปดื้อๆ อีกไม่ได้!” เด็กหนุ่มจับแขนหวังเป่าเล่อและดึงเขาไปทางห้องโถงใหญ่ซึ่งมีขนาดเท่าเมืองย่อมๆ มันดูหรูหรามากและมีรูปปั้นถึงเก้ารูปตั้งตระหง่านอยู่ภายใน หนึ่งในนั้นเป็นรูปปั้นของหมิงคุนจื่อ!
เห็นได้ชัดว่ารูปปั้นอีกแปดรูปนั้นมีสถานะเดียวกับหมิงคุนจื่อ…พวกเขาคือผู้อาวุโสชั้นสูงของสำนักแห่งความมืด!
ตรงใจกลางของรูปปั้นทั้งเก้าคือกระจกสัมฤทธิ์ขนาดสูงเท่าตัวคน มีกระจกอยู่อย่างน้อยๆ ราวหนึ่งล้านบาน ตรงหน้ากระจกทุกบานมีผู้ฝึกตนจากสำนักแห่งความมืดนั่งอยู่ ทุกคนต่างก็วาดรูปอยู่หน้ากระจกอย่างไม่ลดละ…
ในบรรดากระจกร่วมล้านบานนั้น มีสองบานที่โดดเด่นกว่าใคร ไม่เพียงมีขนาดใหญ่กว่าเท่านั้น แต่ทั้งคู่ยังมีสีที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย กระจกทั้งหมดเป็นสีทองแดงแต่กระจกสองบานนั้นเป็นสีม่วง ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นกระจกบานหลัก!
หวังเป่าเล่อถูกลากถูตามศิษย์พี่ไป พวกเขาเมินการทักทายจากฝูงชนจนเดินมาถึงกระจกหลักทั้งสองบาน ศิษย์พี่ของเขาดูตั้งใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ยอมให้เขาหนีไปได้
หวังเป่าเล่อปวดศีรษะเป็นอย่างยิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าเขาแม้จะดูแปลกประหลาดแต่ก็คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะต้องทำสิ่งใดต่อไป เขายกมือขึ้นเกาศีรษะแล้วถามอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ขอรับ นี่ข้าต้องทำอะไรกันแน่”
เด็กหนุ่มหน้าตกกระจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเปี่ยมความหมาย ก่อนจะถามอย่างแผ่วเบา
“เป่าเล่อ เจ้าไม่รู้วิธีการวาดใบหน้าซากศพหรือ”
ใบหน้าซากศพ! หวังเป่าเล่อตัวสั่น พลางจ้องมองเข้าไปในกระจกสีม่วงตรงหน้า เขามองเห็นวิญญาณดวงหนึ่งกำลังก่อตัวขึ้นในกระจก มันยกมือขึ้นคำนับ แต่ใบหน้าว่างเปล่าไม่เป็นรูปทรง…
“เป่าเล่อ อย่าทำงานชุ่ยๆ เล่า เมื่อเหล่าดวงวิญญาณมาถึงที่นี่ ใบหน้าของพวกเขาในชีวิตที่แล้วจะค่อยๆ เลือนหายไป เจ้าต้องฟังการนำทางแห่งเต๋าสวรรค์และวาดใบหน้าใหม่ให้พวกเขา สิ่งที่เจ้าวาดให้คือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับในชาติภพหน้า!” หลังจากที่พูดจบ ศิษย์พี่ก็เลิกสนใจหวังเป่าเล่อ และเริ่มใช้นิ้วมือแทนพู่วาดใบหน้าให้กับวิญญาณคนตายในกระจก
ลมหายใจของหวังเป่าเล่อเริ่มขาดช่วง เขารู้วิธีใช้วิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดเป็นอย่างดี สิ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้ก็คือ เขารู้วิธีนี้อยู่แล้วแต่แรกหรือว่าได้เรียนรู้มาจากในนิมิตกันแน่ ความทรงจำของเขายุ่งเหยิงไปหมด ชายหนุ่มมองเห็นวิญญาณคนตายกำลังเฝ้ารออยู่ จึงต้องหยุดคิดฟุ้งซ่านและยกมือขวาขึ้น หวังเป่าเล่อหลับตาลง วิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดที่เขาได้ร่ำเรียนมา ปรากฏขึ้นในมโนสำนึก
อย่างแรกคือคิ้วซากศพ จากนั้นก็ดวงตาซากศพ แล้วก็จมูกซากศพและริมฝีปากซากศพ ท้ายที่สุดจึงประกอบกันเป็น…ใบหน้าซากศพ!
อึดใจต่อมา หวังเป่าเล่อก็เปิดตาขึ้น ขณะที่นิ้วชี้ข้างขวาของเขากำลังจะสัมผัสกระจกเพื่อเริ่มต้นการวาด ก็มีดวงจิตดวงหนึ่งประทับลงในใจของเขา ชายหนุ่มมองเห็นทารกเพศหญิงถือกำเนิดขึ้นบนดวงดาวแห่งหนึ่ง เขามองเห็นชีวิตของนางทั้งหมดตั้งแต่เกิดขึ้นจนแตกดับ…
นี่ไม่ใช่ชีวิตที่แล้วของวิญญาณ แต่เป็นชีวิตต่อไป!
หวังเป่าเล่อไม่อาจมองเห็นโชคชะตาของมันได้ แต่เขารู้ว่ามันจะต้องมีหน้าตาเป็นเช่นไร ใบหน้าของวิญญาณดวงนั้น…ฝังตัวเองลงไปในจิตใจของหวังเป่าเล่อราวกับเป็นพลังที่นำทางมือของเขาไป ชายหนุ่มเริ่มวาดตามอย่างช้าๆ…
บทที่ 453 ศิษย์พี่เฉินชิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อจดจำได้ว่าใบหน้าของหญิงสาวงดงามเพียงใด แต่นางผอมเกินไปเสียหน่อย…ดูราวกับว่าหากลมพัดแรงๆ นางก็อาจล้มคว่ำไปได้ง่ายๆ
รูปร่างผอมบางทำให้นางมีภูมิต้านทานที่อ่อนแอ ในสภาวะหยั่งรู้อันแปลกประหลาดนี้ หวังเป่าเล่อยังรู้อีกด้วยว่าในชีวิตหน้าของนางนั้น นางจะเสียชีวิตเพราะเรื่องเดียวกันนี้
ขณะกำลังวาดรูปใบหน้าซากศพ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนต้องช่วยเหลือดวงวิญญาณดวงนี้ ชายหนุ่มวาดลายเส้นเพิ่มเติมไปอีกเล็กน้อยขณะที่วาดตามภาพซึ่งปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ…ในที่สุดเขาก็วาดเสร็จ เขามองไปที่ดวงวิญญาณหน้าตาอ้วนท้วนในกระจกแล้วก็ส่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อหวังเป่าเล่อโบกมือหนึ่งครั้ง วิญญาณที่ตื่นตะลึงนั้นก็หายลับไป และถูกแทนที่ด้วยวิญญาณดวงใหม่…
หวังเป่าเล่อเริ่มชีวิตการวาดภาพของเขาที่สำนักแห่งความมืด ชายหนุ่มวาดใบหน้าแห่งซากศพเป็นประจำทุกวัน
แม้ในวันที่งานน้อยที่สุดเขาก็ยังต้องวาดกว่าหนึ่งหมื่นใบหน้า ในวันที่งานเยอะอาจจะมากถึงสี่หรือห้าหมื่นใบหน้าทีเดียว แม้ว่าเขาจะยังไม่ชำนาญกับวิชานี้นัก ทว่าเขาก็ใช้เวลาไม่นานในการเรียนรู้และวาดได้อย่างคล่องแคล่ว ชายหนุ่มพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
หวังเป่าเล่อไม่ต้องมองเข้าไปในกระจกเสียด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นและวาด ความสามารถนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบอันใหญ่หลวงในการต่อสู้
เวลาผ่านไปสองสัปดาห์ตั้งแต่หวังเป่าเล่อกลับมาที่สำนักแห่งความมืด ในช่วงเวลานี้ นอกจากวาดรูปใบหน้าซากศพแล้ว ใบหน้าที่เขาเห็นบ่อยที่สุดคือใบหน้าตกกระของศิษย์พี่ผู้นั้น
หลังจากที่ได้รู้ว่าหวังเป่าเล่อนอนหลับและฝันไปขณะที่ตามอาจารย์ไปนำทางวิญญาณ แถมยังตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีงุนงง ศิษย์พี่ของเขา เฉินชิง ก็แสดงความเห็นอกเห็นใจเป็นการใหญ่ ชายหนุ่มช่วยหวังเป่าเล่อจัดลำดับความทรงจำ ทำให้หวังเป่าเล่อค่อยๆ ระลึกและทำความเข้าใจความทรงจำของเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ความทรงจำของเขาก่อนเข้ามายังสำนักแห่งความมืดยังคงไม่ชัดเจน ทว่าความทรงจำของเขาในสำนักแห่งความมืดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มรู้ว่าเขาไม่ใช่ศิษย์เพียงคนเดียวของหมิงคุนจื่อ แต่ยังมีศิษย์พี่อีกนับร้อย…
ทุกคนล้วนเป็นศิษย์ของหมิงคุนจื่อ พวกเขาอายุต่างกัน โดยคนที่อายุมากที่สุดฝึกตนมาเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ชายผู้นั้นก็มีลูกศิษย์เช่นกัน หวังเป่าเล่อเป็นศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมด แม้ว่าจะอายุน้อยและเข้าสำนักมาช้ากว่าใคร แต่ระดับของเขาก็สูงใช่ย่อย
ส่งผลให้ศิษย์คนอื่นๆ จำนวนมากพากันเรียกหวังเป่าเล่อว่าท่านลุงปรมาจารย์หรือชื่อที่แสดงความเคารพอื่นๆ เมื่อพบเจอเขาในสำนัก ชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งกับชื่อนั้น และยิ่งส่งเสริมความมุ่งมั่นของเขาในการก้าวขึ้นเป็นประมุขสำนักแห่งความมืดด้วย!
ชายหนุ่มอดรู้สึกไม่ได้ว่าเส้นทางนี้เหมาะสมกับตัวเขาที่สุด ผู้นำแห่งสหพันธรัฐเป็นเพียงตำแหน่งในความฝันเท่านั้น แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อยเมื่อนึกย้อนกลับไป หวังเป่าเล่อเฝ้าเตือนตนเองว่าเป็นเพราะเขาตื่นขึ้นมาเร็วเกินไปสักหน่อย หาไม่แล้ว ชายหนุ่มเชื่อมั่นว่าเขาจะต้องได้ขึ้นเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐอย่างแน่นอน
เมื่อความทรงจำเกี่ยวกับสำนักแห่งความมืดเริ่มกลับคืนมา หวังเป่าเล่อก็จำสถานะของสำนักแห่งความมืดในจักรวาลแถบนี้ได้อีกด้วย สำนักแห่งความมืดควบคุมความตายและการกำเนิดใหม่ของจักรวาลแถบนี้ทั้งหมด ทุกสรรพสิ่งที่ดับสูญไปต้องอยู่ภายใต้อาณัติของสำนักทั้งสิ้น สำนักแห่งความมืดยิ่งใหญ่อย่างมาก เหนือกว่าอารยธรรมหรือสำนักอื่นใดทั้งปวง สำนักแห่งความมืดเป็นตัวแทนแห่งความตาย!
เห็นได้ชัดเจนจากชื่อของจักรวาลบริเวณนี้ เพราะมันมีชื่อว่า…จักรวาลแห่งความมืด!
จักรวาลที่เป็นของสำนักแห่งความมืด!
ที่ที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในจักรวาลแห่งความมืดเท่านั้น สำนักแห่งความมืดแผ่อิทธิพลไปทั่วเขตแดนทั้งเก้าในจักรวาล พิกัดดาวทั้งเก้านี้กระจัดกระจายอยู่ทั่วอวกาศ มีผู้อาวุโสชั้นสูงซึ่งเป็นประธานประจำอยู่ที่ละคน ดินแดนเขตนี้เป็นของประธานหมิงคุนจื่อ!
แม้สำนักแห่งความมืดนั้นทั้งเข้มแข็งและทรงอิทธิพล แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งศัตรู ศัตรูคู่แค้นของสำนักก็คือ…ตระกูลที่ตั้งขึ้นมาจากการรวบรวมองค์กรและอารยธรรมที่ไม่ต้องการตาย เป็นผลให้พวกเขามารวมตัวกันและก่อตั้ง…ตระกูลไม่รู้สิ้นขึ้นมา!
พวกเขามีชื่อว่าตระกูลไม่รู้สิ้นเพราะคำว่า “ไม่รู้สิ้น” หมายถึงการไม่รู้จักความตาย แสดงถึงความต้องการมีชีวิตอยู่ชั่วกัลปาวสาน พวกเขาจะไม่มีวันตายโดยเด็ดขาด แม้ว่าพวกเขาจะร่วงหล่นหรือล่มสลาย ก็จะฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่นของตนเอง มิใช่จากวัฏสงสาร ซึ่งร่องรอยที่เหลือจากชีวิตที่แล้วถูกลบเลือนไปจนสิ้นก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง!
ทั้งสองกลุ่มเปรียบดั่งชีวิตและความตาย พวกเขาปะทะกันอยู่หลายครั้งหลายคราในอวกาศ แม้กระนั้น ก็ดูเหมือนว่าการทะเลาะวิวาทของทั้งคู่จะมีแบบแผนเช่นกัน ไม่เคยมีสงครามขนาดใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่าย ทั้งคู่ดำรงอยู่กันอย่างสมดุล นั่นเพราะตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นไม่มั่นใจว่าจะกำราบสำนักแห่งความมืดได้หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ
สำนักแห่งความมืดนั้นไม่มีความทะเยอทะยานแต่อย่างใด ภารกิจเดียวของพวกเขาคือการนำทางวิญญาณคนตาย พวกเขาทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนแห่งเต๋าสวรรค์!
พวกเขาไม่นิยมความรุนแรง เพราะอย่างไรเสีย สมดุลก็เป็นส่วนหนึ่งของเต๋าสวรรค์เช่นกัน!
ทุกๆ อย่างนี้ควรจะเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับหวังเป่าเล่อ แต่เขากลับรับรู้ได้ถึงความทรงจำที่คุ้นเคยซึ่งผุดขึ้นมาชัดเจนอยู่ในใจ ในที่สุดชายหนุ่มก็บรรลุถึงความเข้าใจพื้นฐานเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสำนักแห่งความมืดและจักรวาลแห่งนี้
ชายหนุ่มยังนึกได้อีกด้วยว่า อนุสาวรีย์ศิลายักษ์ที่ฝูงอสูรและผู้ฝึกตนกำลังก่อสร้างอยู่บนดาวดวงก็คือ…
“นี่คืออนุสาวรีย์ของบุตรแห่งความมืด!” ศิษย์พี่หน้าตกกระของหวังเป่าเล่อพูด สายตาจับจ้องอยู่ที่อนุสาวรีย์ซึ่งอยู่ไกลออกไป มีสำเนียงแห่งความภาคภูมิใจและความเร่าร้อนปะปนอยู่ในน้ำเสียงของเขา
“บุตรแห่งความมืดนั้นเป็นทั้งสถานะและสัญลักษณ์!”
“เมื่อได้เป็นบุตรแห่งความมืด บรรดาศิษย์จึงจะสามารถเดินทางรอนแรมไปคนเดียวและได้รับอนุญาตให้นำทางวิญญาณคนตายได้…มีวิธีการเป็นบุตรแห่งความมืดอยู่สองทาง ทางแรกคือสิ่งที่พวกเราทั้งคู่ได้ทำ คือเข้าเป็นศิษย์ของหนึ่งในเก้าผู้อาวุโสชั้นสูง เมื่อทำเช่นนั้น ผู้คนก็จะเห็นเจ้าเป็นบุตรแห่งความมืดทันที!”
“แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่คนอื่นคิดเท่านั้น…ไม่ได้แปลว่าเจ้าเป็นบุตรแห่งความมืดจริงๆ การจะเป็นบุตรแห่งความมืดที่แท้จริงมีเพียงทางเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือวิธีที่สอง ได้แก่…การที่ชื่อของเจ้าถูกสลักอยู่บนอนุสาวรีย์บุตรแห่งความมืด!”
“เจ้าทำเองไม่ได้นะ มีเพียงผู้อาวุโสชั้นสูงเท่านั้นที่มีสิทธิสลักชื่อลงไป หลังจากนั้นชื่อของเจ้าจะยังอยู่บนอนุสาวรีย์หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับการยอมรับจากเต๋าสวรรค์!”
“เป่าเล่อ หากเต๋าสวรรค์รับรู้ตัวตนของเจ้า ชื่อเจ้าก็จะยังคงอยู่บนอนุสาวรีย์ศิลา หาไม่แล้วอนุสาวรีย์บุตรแห่งความมืดก็จะลบมันออกไปหลังจากที่อาจารย์สลักลงไป!”
“ชื่อของข้านั้น…อาจารย์จะสลักลงไปหลังจากที่อนุสาวรีย์บุตรแห่งความมืดชิ้นนี้เสร็จสิ้น ข้าเชื่อว่าเต๋าสวรรค์จะต้องรับรู้และยอมรับข้า เจ้าเองก็เตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ เป่าเล่อ!” ดวงตาของเฉินชิงส่องประกายกล้า ในวินาทีนั้น เขาไม่ใช่ชายหนุ่มที่วาดใบหน้าซากศพอยู่เคียงข้างหวังเป่าเล่ออีกต่อไป เขาคือหนึ่งในศิษย์ของหมิงคุนจื่อ ผู้ที่แม้พลังปราณจะไม่ได้สูงที่สุด แต่ก็มีพรสวรรค์โดยกำเนิดและความสามารถที่เหนือกว่าใคร!
หลังจากที่ได้รับความทรงจำกลับคืนมา หวังเป่าเล่อก็จำได้ว่าพรสวรรค์ของเฉินชิงนั้นยอดเยี่ยมเสียจนไม่มีใครเทียบได้ติด ผู้อาวุโสชั้นสูงคนอื่นๆ ในสำนักแห่งความมืดกล่าวว่าเขาได้ก้าวข้ามขีดจำกัดทุกอย่างไปหมดแล้ว และอาจจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสชั้นสูงคนที่สิบได้ในอนาคต!
พลังปราณของเขาขณะนี้ก็แข็งแกร่ง ในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ สำนักแห่งความมืดจัดระดับพลังปราณเอาไว้เป็นห้าระดับ ได้แก่ ระดับจิตวิญญาณอมตะ ระดับดาวพระเคราะห์ ระดับดารานิรันดร์ ระดับจักรพิภพ และระดับจักรวาล!
ระดับทั้งหมดนั้นยังถูกแบ่งออกเป็นขั้นๆ ตัวอย่างเช่น ระดับจิตวิญญาณอมตะ แบ่งออกเป็นขั้นรากฐานตั้งมั่น ขั้นกำเนิดแก่นใน ขั้นจุติวิญญาณ ขั้นเชื่อมวิญญาณ และขั้นจิตวิญญาณอมตะ!
ระดับดาวพระเคราะห์ ระดับดารานิรันดร์ และระดับจักรพิภพก็คล้ายคลึงกัน ระดับจักรวาลนั้นเป็นข้อยกเว้น เพราะเป็นระดับปริศนาที่ยากจะหยั่งถึง จนถึงปัจจุบัน มีเพียงผู้อาวุโสชั้นสูงคนที่เก้าเท่านั้นที่ไปถึงระดับจักรวาลแล้ว!
ผู้อาวุโสชั้นสูงคนอื่นอยู่ในระดับจักรพิภพชั้นสมบูรณ์ทั้งสิ้น การจะก้าวเข้าสู่ระดับจักรวาลนั้นท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
เฉินชิงนั้นยังอายุไม่ถึงสามร้อยปี แต่พลังปราณของเขาก็รุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดด เขาบรรลุขั้นไปเมื่อหกเดือนก่อน ก้าวจากระดับดาวพระเคราะห์ขั้นสุดท้ายสู่ระดับดารานิรันดร์ขั้นแรก!
พรสวรรค์แต่กำเนิดเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นพรจากฟ้าอย่างแท้จริง!
หวังเป่าเล่อมองไปที่ศิษย์พี่ผู้มากความสามารถ ผู้ซึ่งแย่งเอาความเด่นดังไปจนหมด และลอบถอนหายใจอยู่คนเดียว ชายหนุ่มรู้สึกเครียดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อความทรงจำย้อนกลับมา เขาก็เริ่มจำได้ว่าศิษย์พี่ทั้งชายและหญิงของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด คนที่เก่งที่สุดนั้นขึ้นไปถึงระดับจักรพิภพแล้ว
คนที่ล้าหลังที่สุดก็ยังอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์…ชายหนุ่มเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ของระดับจิตวิญญาณอมตะ เขายังไปไม่ถึงขั้นกำเนิดแก่นในด้วยซ้ำ…
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังท้อใจอยู่เงียบๆ นั้นเอง เฉินชิง ผู้ซึ่งเมื่อครู่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและอารมณ์อันลึกซึ้งก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันมองไปรอบข้าง ก่อนจะก้มศีรษะลงและจับไหล่หวังเป่าเล่อเอาไว้ นัยน์ตาของเขาฉายแววลึกลับก่อนที่จะกระซิบว่า “เป่าเล่อ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าพบวิญญาณของใครตอนวาดใบหน้าซากศพเมื่อวาน”
หวังเป่าเล่อจ้องมองศิษย์พี่ของเขา ผู้ซึ่งพยายามทำตัวลึกลับ แต่กลับมีสีหน้าหื่นกระหายขึ้นมาแทน ก่อนจะกลอกตา
“ศิษย์พี่…ข้าได้ความทรงจำของข้ากลับมามากแล้ว ท่านไม่ต้องแกล้งขู่ข้าอีกแล้ว…”
“เมื่อสรรพสิ่งตายจาก หากไม่ใช่เป็นการตายหมู่อันเกิดมาจากดวงดาวถูกทำลาย โดยปกติแล้วพวกเราสำนักแห่งความมืดไม่จำเป็นต้องไปนำทางดวงวิญญาณด้วยตัวเอง เต๋าสวรรค์จะชี้นำและนำทางพวกเขาไปสู่ห้วงเหววัฏสงสารของสำนักแห่งความมืดที่ใกล้ที่สุด แล้วดวงวิญญาณก็จะมาปรากฏในกระจกใบหน้าซากศพของพวกเรา ถึงตอนนั้นพวกเราจึงวาดหน้าให้พวกเขาเพื่อไปใช้ในชาติภพถัดไป…
“เมื่อพวกเราวาดใบหน้าซากศพนั้น เจตจำนงแห่งเต๋าสวรรค์จะเข้ามาบอกเราว่าวิญญาณเหล่านั้นควรมีใบหน้าเช่นไรในชาติภพต่อไป พวกเราวาดหน้าของพวกเขาได้ แต่จะไม่รู้ว่าชาติก่อนวิญญาณนั้นเป็นใครหรือหน้าตาเป็นเช่นไร พวกเราจึงไม่อาจจำใครได้เลย ไม่ว่าใครจะมาปรากฏบนกระจกก็ตาม!”
นัยน์ตาของเฉินชิงจับจ้องมาที่หวังเป่าเล่อ ก่อนจะหันรีหันขวาง แล้วยื่นหน้ามากระซิบอย่างแผ่วเบา
“แน่นอนข้ารู้ดีว่าไม่อาจมองเห็นชีวิตที่แล้วของดวงวิญญาณได้ แต่ข้ามองเห็นชีวิตถัดไปของเขาได้ เมื่อวานนี้…ข้าพบวิญญาณดวงหนึ่งและมองเห็นชีวิตถัดไปของนาง นางจะได้มาเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของข้า! นางจะอยู่เคียงข้างข้า เราจะรักกันจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต จนกระทั่งเวลาสิ้นสลาย พวกเราจะมีลูกด้วยกันสามคน…”
“ข้าถึงได้ตื่นเต้นอย่างไรเล่า ข้าใช้พลังของข้าไปร้อยละร้อยยี่สิบเพื่อวาดให้นางงดงามที่สุด ทั้งเรือนร่างและใบหน้าของนางก็ตรงตามรสนิยมความงามของข้าไม่มีผิดเพี้ยน!” เฉินชิงยิ้มอย่างพึงใจ เขามีสีหน้าเหมือนกำลังรอคอย
“ท่านทำเช่นนั้นได้หรือ!” หวังเป่าเล่อตกตะลึง เขาแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น