หมอดูยอดอัจฉริยะ 451-457
ตอนที่ 451 กฎเกณฑ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
มีคำเล่าลือว่าหลิวป๋อเวินแห่งราชวงศ์หมิงเป็นคนในสำนักเชียน หลังจากถูกจูหยวนจางล่วงรู้ถึงแผนการแล้ว สำนักเชียนก็สิ้นสุดลงที่รุ่นเขา นับแต่นั้นมาก็ไม่มีคนในสำนักเชียนสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้อีกเลย
ตั้งแต่เริ่มต้นราชวงศ์ชิง นักต้มตุ๋นบางส่วนในยุทธภพต่างเรียกตัวเองว่าเป็นคนในสำนักเชียนเพื่อโอ้อวดศักดา เวลาผ่านไปเนิ่นนาน สายตาที่ผู้คนมองต่อสำนักเชียนจึงเริ่มเปลี่ยน และมักเอาชื่อสำนักเชียนไปเทียบเคียงกับพวกต้มตุ๋น
แต่เยี่ยเทียนกลับรู้ว่า สำนักเชียนแม้จะไม่ได้ตกต่ำไปกว่าสำนักพยากรณ์เสื้อป่านของเขา แต่ก็คงอยู่ยั้งมาอย่างยาวนาน กระทั่งปัจจุบันยังคงหลงเหลืออยู่บนโลก เพราะเยี่ยเทียนเคยติดตามนักพรตเฒ่าแล้วพบกับผู้สืบทอดสำนักเชียนในปัจจุบัน
ดังนั้นที่เปาเฟิงหลิงบอกว่าตัวเองมาจากสำนักเชียน เยี่ยเทียนจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ สำนักต้มตุ๋นก็คือสำนักต้มตุ๋น ไม่จำเป็นต้องลากสำนักเชียนเข้ามาเกี่ยวพันด้วย สำนักอาชีพล่างเก้าสาย ในยุทธภพพวกนี้ ไม่มีทางโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
ในสมัยโบราณ ชนชั้นในสังคมแบ่งออกเป็นบน กลาง ล่างอย่างละเก้าสาย ทว่าคนในยุทธภพแบ่งออกเพียงบนและล่างอย่างละเก้าสาย
อาชีพอย่างพระสงฆ์ นักพรต จิตรกร แพทย์ หมอดูฮวงจุ้ย ผู้ทำนายดวงชะตา พ่อครัว ครูอาจารย์ ล้วนเป็นเก้าอาชีพสายบน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสถานะของคนเหล่านี้จะสูงส่งมากนัก เพียงแต่ไปมาหาสู่กับสังคมหลักมากกว่า อาศัยความสัมพันธ์ก้าวหน้าได้
ทว่าเก้าอาชีพสายล่างคือนักแสดง นางทาส นางคณิกา นักเลงหัวไม้ โรงรับจำนำ โรงอาบน้ำ ช่างไม้ โจรขโมย อาชีพอย่างพวกนักต้มตุ๋นก็ถูกจัดอยู่ในประเภทเดียวกับอันธพาลในเก้าอาชีพสายล่างนั่นเอง
“หัวหน้าจี๋ของพวกเราเป็นผู้สืบทอดสำนักเชียนจริงๆ เขายังใช้วิชาเทพเซียนได้ด้วยครับ สหายท่านนี้ หาเงินข้ามเขตเป็นความผิดของพวกเราเอง แต่ว่าผมแนะนำให้คุณปล่อยพวกเราดีกว่า ทุกคนจะได้มีสันติภาพต่อกัน!”
เมื่อพูดถึงหัวหน้าของตัวเอง เปาเฟิงหลิงดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อาการระแวดระวังเมื่อครู่ล้วนหายไปจนหมด ทั้งยังกล้าออกปากข่มขู่เยี่ยเทียน
“วิชาเทพเซียน? ฉันก็ใช้วิชาเทพเซียนได้เหมือนกันนะ? จะแสดงให้ดูเอาไหมล่ะ?”
เยี่ยเทียนตอบอย่างหงุดหงิด “เลิกเล่นลิ้นกับฉันสักที เอาเงินออกมาเดี๋ยวนี้ ฉันตัดมือแกไปข้างหนึ่ง ถ้ายังไม่เอาออกมาล่ะก็ จะให้หัวหน้าของพวกแกมารับศพ ดูสิว่าวิชาเทพเซียนของเขาจะชุบชีวิตคนตายให้กลับมามีชีวิตได้ไหม?!”
ขณะที่เยี่ยเทียนพูดไม่ได้กลบเกลื่อนจิตสังหารของตนเองเลยแม้แต่น้อย ไอชั่วร้ายนั้นแผ่เข้าไปยังในร่างของเปาเฟิงหลิง จนเขารู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาฉับพลัน สั่นสะท้านไปทั้งเนื้อตัว
“เยี่ยเทียน นี่…”
“น้องชาย ดูเฉยๆ ก็พอ!”
เยี่ยตงผิงไม่เคยเห็นท่าทีของลูกชายอย่างนี้มาก่อน ใช้กฎหมู่หั่นมือของคนอื่น นี่นับว่าเป็นการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย ขณะที่เยี่ยตงผิงกำลังจะออกไปเตือนสักคำ กลับถูกหูหงเต๋อรั้งเอาไว้
“ท่าน…ท่านปู่ พวกเรา…พวกเราสองคนเหลืออยู่เพียงสองล้านเท่านั้น เงินที่เหลือ ยกให้หัวหน้าจี๋ไปหมดแล้วจริง ๆ…”
บนโลกนี้คนที่สามารถต้านทานจิตสังหารของเยี่ยเทียน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อเปาเฟิงหลิงรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้สามารถฆ่าพวกเขาได้จริงๆ จึงไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป เล่าเรื่องออกมาอย่างตรงไปตรงมา
หัวหน้าจี๋ที่พวกเขาพูดถึง เป็นชาวเจียงซี ปีนี้อายุประมาณห้าสิบกว่า เปิดร้านน้ำชาอยู่ที่หนานชาง มณฑลเจียงซี แน่นอนว่าทำการค้าเพื่อบังหน้าเท่านั้น
ในความเป็นจริงหัวหน้าจี๋กลับเป็นหัวหน้าผู้ควบคุมสำนักต้มตุ๋นที่กว่างตงและเซี่ยงไฮ้สองพื้นที่นี้ในมณฑลเจียงซีและหูหนาน คดีหลอกลวงต้มตุ๋นที่เกิดขึ้นในสองมณฑลนี้ โดยหลักแล้วล้วนอยู่ภายใต้สำนักของเขา
เมื่อห้าปีที่แล้ว หัวหน้าจี๋รู้สึกว่าพื้นที่หากินไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงเสาะส่ายสายตาเพ่งเล็งมายังตลาดที่ว่างทางเหนือ ส่งแม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาออกมาสองคน ซึ่งก็คือเปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อนั่นเอง
และสองคนนี้ก็ไม่ได้พังทลายความคาดหวังยิ่งใหญ่ของหัวหน้าจี๋ ปักหลักในเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งคนหนึ่งยังค้าขายวัตถุโบราณ ส่วนอีกคนเนื่องจากพอเป็นภาษากวางตุ้ง ในปีนั้นจึงผันตัวไปเป็นนักธุรกิจชาวฮ่องกงผู้โด่งดัง
แรกเริ่มทั้งสองคนทำงานเล็กๆ น้อยๆ ก็พอหาเงินได้นิดหน่อย แต่เพียงไม่นานก็ไม่พอกิน จึงกลับมาหารือกับหัวหน้าจี๋ที่มณฑลเจียงซี แล้วจับตามองตลาดค้าวัตถุโบราณที่นับวันยิ่งเฟื่องฟู
ด้วยเงินทุนของหัวหน้าจี๋ ทำให้สองคนตัดสินใจว่าจะค่อยๆ ตีสนิทพ่อค้าของเก่าในเมืองหลวงสักจำนวนหนึ่ง รอจนกระทั่งเวลาสุกงอมได้ที่ ค่อยเจรจาการค้าครั้งใหญ่แล้วบินหนีจากไป
รอเวลาถึงสามสี่ปี เปาเฟิงหลิงที่รู้สึกว่าสมควรแก่เวลา จึงเริ่มวางตาข่ายในที่สุด และคนแรกที่เข้าไปตกหลุมพรางนั้นก็คือเยี่ยตงผิง
หลังจากได้รับเงินสามสิบล้านก้อนนั้นของเยี่ยตงผิงแล้ว เปาเฟิงหลิงก็เอายี่สิบแปดล้านส่งให้หัวหน้าจี๋ทันที จากนั้นทิ้งห้องเช่าที่อยู่มาสามปี มาหลบอยู่ในโรงแรมนี้กับหลิวเหล่าเอ้อ
หลังจากฟังที่เปาเฟิงหลิงว่ามาจนจบแล้ว เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วถาม “จากความเคยชินของสำนักต้มตุ๋นอย่างพวกแก หลังทำสำเร็จแล้วควรจะหนีไปทันทีไม่ใช่เรอะ? ทำไมผ่านไปสองวันแล้วยังอยู่ในเมืองหลวงอีก?”
เปาเฟิงหลิงลังเลอยู่ชั่วครู่ พูดว่า “ตอนนั้นพวกเราวางหลุมพรางไว้ทั้งหมดห้าคน ดักคนอื่นได้อีกสองคนแล้ว พวก…พวกเราอยากจะเจรจาค้าขายให้ได้อีกก้อนหนึ่ง พอถึงเวลาค่อยกลับไป”
เรื่องเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนคาดการณ์ไว้ พวกสำนักต้มตุ๋นนี้กระทำการหลอกคน จะไม่วางไข่ไก่ทั้งหมดลงในตะกร้าใบเดียว ต่อให้หลอกเยี่ยตงผิงไม่สำเร็จ พวกเขาก็ยังสามารถฉวยเงินจากคนอื่น
เพียงแต่ว่านี่ก็คือมนุษย์ ล้วนหลีกไม่พ้นคำว่าละโมบ สำนักต้มตุ๋นล่อลวงคนโดยใช้ประโยชน์จากความโลภของคนมาหลอก สุดท้ายแล้วกระทั่งตัวเองกลับติดอยู่ที่คำนี้
ที่สำคัญ ถ้าหากเปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อบินหนีจากไปในทันที แม้ว่าเยี่ยเทียนจะมีความสามารถ ก็ยังยากจะเจอที่ซ่อนตัวที่แน่ชัดของพวกเขา หรืออย่างน้อยก็ไม่อาจคว้าตัวออกมาได้เร็วอย่างนี้
“เหล่าหู ชื่อหัวหน้าจี๋ที่มณฑลเจียงซี คุณเคยได้ยินไหมครับ?” เยี่ยเทียนหันหน้าไปมองหูหงเต๋อ เมื่อสมัยปี 80 ที่เขาตะลอนกับนักพรตเฒ่าเคยไปยังมณฑลเจียงซี แต่กลับไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้
“ไม่เคย เหล่าหูอย่างฉันคนนี้ออกจากเขตตะวันออกเฉียงเหนือน้อยมาก ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน” หูหงเต๋อส่ายหน้า
“งั้นเดี๋ยวถามศิษย์พี่เอาแล้วกัน”
เยี่ยเทียนมองยังเปาเฟิงหลิง กล่าวว่า “การกระทำของสำนักต้มตุ๋นไม่เกี่ยวกับฉัน แต่มาทำการค้าบนหัวฉัน จึงไม่เกี่ยวไม่ได้”
เมื่อเห็นพวกเปาเฟิงหลิงเผยสีหน้าตื่นตระหนก เยี่ยเทียนก็โบกมือพูด “พวกแกไม่ต้องกลัวไป โทรศัพท์หาหัวหน้าจี๋ซะ ขอเพียงเรื่องนี้จัดการเรียบร้อย สิ่งที่ฉันต้องการอย่างมากก็แค่มือข้างหนึ่งของแก ด้วยวิธีการของแพทย์ปัจจุบัน เส้นเอ็นมือที่ขาดก็ยังสามารถเชื่อมติด!”
ในยุทธภพก็มีกฎของยุทธภพ เมื่อทำความผิด ก็จำเป็นต้องรับโทษทัณฑ์ ต่อให้หัวหน้าจี๋นำเงินออกมา ทั้งสองคนนี้ก็ยังไม่อาจเลี่ยงถูกตัดเอ็นข้อมือ
แต่ว่าโทษทัณฑ์ที่เยี่ยเทียนพูดถึงนับว่าเบาที่สุดแล้ว ถ้าหากเผชิญกับพวกโหดเหี้ยมอำมหิตในยุทธภพเดียวกัน ย่อมหนีไม่พ้นโดนตัดแขนตัดขา
เปาเฟิงหลิงทำวงการนี้มาหลายปีแล้วเช่นกัน รู้ว่าเยี่ยเทียนพูดไม่ผิด หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ จึงพยักหน้าตอบ “ได้ ผมจะโทรศัพท์!”
“เซี่ยวเทียน เอาเสื้อผ้าให้พวกเขา!”
เยี่ยเทียนเองก็ไม่กลัวว่าพวกเขาสองคนจะเล่นลูกไม้อะไร หกคนภายในห้องนี้มีสองคนที่เป็นสุดยอดกำลังภายใน เมื่อรวมกับตัวเอง ต่อให้เปาเฟิงหลิงคิดจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายก็ทำไม่ได้
เปาเฟิงหลิงนับว่าว่องไวมาก ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมากด ไม่นานก็โทรติด เยี่ยเทียนเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงคนวัยกลางคนอยู่ภายในลำโพงโทรศัพท์
ได้ยินเปาเฟิงหลิงกัดฟันพูดภาษาจีนกลางกับคนผู้นั้น เยี่ยเทียนก็หัวเราะกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ใช้ภาษาถิ่่นของพวกแกคุยก็ได้ ฉันไม่กลัวแกเล่นลูกไม้หรอก!”
ในอดีตตอนที่ติดตามนักพรตท่องไปทั่วยุทธภพ เยี่ยเทียนยังอายุน้อย เป็นช่วงเวลาเหมาะเรียนภาษา ดังนั้นพื้นฐานภาษาถิ่นซึ่งอยู่คนละทิศละทางอย่างนี้เขายังพอฟังและพูดได้
ภาษาถิ่นในแต่ละพื้นที่ของประเทศจีนล้วนแตกต่างกัน คนที่ไม่เข้าใจสำเนียงเมื่อฟังแล้วจะรู้สึกราวภาษาต่างชาติ ตอนเปาเฟิงหลิงพูดพล่ามในโทรศัพท์ เยี่ยตงผิงกับหูหงเต๋อต่างมองตากันและกัน ด้วยไม่เข้าใจสักประโยค
แต่ว่าโจวเซี่ยวเทียนเขยิบมาข้างเยี่ยเทียน กล่าวว่า “อาจารย์ เขาพูดภาษากั้นหนาน ไม่ได้เล่นลูกไม้”
“ทำไมนายถึงฟังเข้าใจล่ะ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วสะดุ้ง คำพูดนี้เขาฟังยังรู้สึกว่าเปลืองสมอง แต่โจวเซี่ยวเทียนกลับฟังออก?
โจวเซี่ยวเทียนเกาหัวแกรก บอกว่า “บ้านเก่าผมอยู่กั้นหนานครับ ตอนเด็กๆ พ่อผมพูดสำเนียงนี้บ่อยๆ”
เยี่ยเทียนหัวเราะ “ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย ตระกูลโจวของพวกนายเป็นเจ้าถิ่นมณฑลเจียงซูนี่นา”
ขณะที่เยี่ยเทียนคุยกับโจวเซี่ยวเทียนอยู่นั้น เปาเฟิงหลิงใช้มือหนึ่งปิดไมค์โทรศัพท์เอาไว้ กล่าวว่า “ปู่เยี่ยครับ หัวหน้าจี๋ของเราอยากคุยกับท่าน!”
“ไม่จำเป็น นายกับเขาคุยกันก็พอ” เยี่ยเทียนโบกมือ หัวหน้าจี๋คนนั้นเพียงอยากสนทนาต่อรองกับเขาด้วยถ้อยคำซ้ำซากในยุทธภพ เยี่ยเทียนเบื่อจะคุยไร้สาระกับเขา
“หลังจากนี้สามวัน พบกันที่เทียนจิน ไม่รู้ว่าคุณเห็นด้วยกับข้อตกลงนี้ไหม?” เปาเฟิงหลิงพูดใส่โทรศัพท์อีกครั้ง แล้วเงยหน้ามองเยี่ยเทียน
“กลัวว่ามาเมืองหลวงแล้วจะถูกฉันจัดหนักหรือไง?”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ “เอาตามที่หัวหน้าจี๋ของพวกแกบอก สามวันหลังจากนี้ พบกันที่เทียนจิน ช้าไปหนึ่งวันก็ตัดแขนหนึ่งข้าง ถ้าหากช้าไปห้าวันล่ะ พวกแกสองคนคงต้องเลือกระหว่างน้องชายข้างล่างหรือสมองแล้ว”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำเอาหลิวเหล่าเอ้อที่เวลานี้ยังเปลือยกาย ลนลานหนีบขาทั้งสองข้าง ลูกผู้ชายถ้าไม่มีสิ่งนี้ หากต้องอยู่ต่อไปสู้ตายดีกว่า
หลังจากวางสาย เปาเฟิงหลิงวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะอย่างว่าง่าย กล่าวว่า “ปู่เยี่ย หัวหน้าของพวกเราบอกว่าข้ามเขตแดนครั้งนี้ ต้องขออภัยท่านด้วย เที่ยงตรงสามวันหลังจากนี้ พบกันที่ร้านน้ำชาเทียนโฮ่วกง ไม่พบไม่เลิกรา!”
“ได้ พวกแกสองคนเก็บของซะ สองวันนี้ติดตามฉันมา!” เยี่ยเทียนพยักหน้า ขบคิดอยู่ภายในใจ จะเอาสองคนนี้ส่งไปอยู่ไหนสักสามวันดี?
เห็นเยี่ยเทียนดูไม่เหมือนคนไร้เหตุผล เปาเฟิงหลิงจึงกล้าเอ่ยปากถามว่า “ปู่เยี่ย มีเรื่องอยากขอคำชี้แนะจากท่านสักหน่อย ท่านตามหาตัวพวกเราเจอได้อย่างไร?”
ได้ยินเปาเฟิงหลิงถามขึ้นมาอย่างนี้ เยี่ยเทียนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “ฉันก็อยากจะถามแกเหมือนกัน สำนักต้มตุ๋นกระทำการส่วนใหญ่ไม่เผลอเรออย่างนี้นี่? เอาเงินปลอมยี่สิบกว่าใบมาหลอกลวงพ่อฉัน ไม่กลัวความแตกเอาหรือไง?”
“เงิน…เงินปลอมเหรอ?”
เปาเฟิงหลิงได้ยินแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโดดขึ้น ถีบลงไปบนตัวหลิวเหล่าเอ้อ ด่าว่า “ไอ้บัดซบ ให้แกไปแลกเงินฮ่องกงยังจะโดนคนเขาหลอก ข้าจะล้วงปอดเอ็ง!”
…..
ตอนที่ 452 จัดการให้เรียบร้อย
โดย
Ink Stone_Fantasy
แก๊งต้มตุ๋นที่เกิดจากการรวมตัวของเปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อสองคน เป็นดั่งปี่และขลุ่ย คนนึงยั่วให้หัวเราะ คนนึงโต้ตอบ อย่ามองว่าคนที่ทำเรื่องการค้ากับเยี่ยตงผิงคือหลิวเหล่าเอ้อ แต่ถ้าพูดถึงการมีประโยชน์ เปาเฟิงหลิงจะสำ
คัญกว่า
ตั้งแต่ติดต่อกับกลุ่มเป้าหมายจนถึงเก็บเกี่ยวในตอนสุดท้าย ระหว่างนี้เป็นเวลานานหลายปีเต็มๆ ถ้าผิดพลาดเพียง
นิดเดียว สิ่งที่วางแผนไว้ทั้งหมดก็จะสูญเปล่า ดังนั้นความสำคัญของเปาเฟิงหลิงจึงไม่ต้องพูดถึงแล้ว
“บัดซบเอ้ย พวกเราเป็นถึงบรรพบุรุษนักต้มตุ๋น แกดันถูกคนอื่นเขาหลอก ฉันจะเตะแกให้ตายเลย!”
เมื่อได้ยินว่าแผนที่ตนเองวางไว้เป็นเวลานานถึงสามสี่ปี กลับทำให้มีคนมาหาถึงประตูเพราะธนบัตรปลอมไม่กี่ใบ ความโกรธได้ก่อขึ้นในหัวใจของเปาเฟิงหลิงจนกล้าทำทุกอย่าง จนเขาอยากจะใช้เท้าเตะหลิวเหล่าเอ้อให้ถึงตาย
เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อเป็นผีร้ายเรื่องกาม พวกเขาจะพาสาวๆ มาที่โรงแรมแห่งนี้แทบจะวันเว้นวัน
ดังนั้นหลังจากที่เปาเฟิงหลิงเห็นธนบัตรปลอมแล้ว เขาจึงคิดได้ทันทีว่า หลิวเหล่าเอ้อที่เป็นคนคอยแลกเงินต่างประเทศนั้นทำพลาด จึงทำให้เยี่ยเทียนสืบรู้ที่พักของพวกเขา
“พี่เฟิง ฉัน…ฉันไม่เคยเห็นเงินดอลล่าร์ฮ่องกง จะรู้ได้ยังไงอันไหนจริงอันไหนปลอม?” หลิวเหล่าเอ้อถูกเปาเฟิงหลิง
เตะจนร้องโอ๊ยๆ “ถ้าฉันเจอไอ้บ้านั่น ฉันจะเอามีดแทงมันให้ตาย!”
หลังจากที่ดูการแสดงของสองคนนี้แล้ว เยี่ยเทียนกลั้นหัวเราะและพูดว่า “พอเถอะ ใส่เสื้อผ้าแล้วไสหัวไปซะ”
เมื่อเห็นลูกกะตาของเปาเฟิงหลิงหลอกไปมาอยู่อย่างนั้น เยี่ยเทียนจึงพูดต่อว่า “อ้อใช่ พวกแกออกไปแล้วจะร้องก็ได้ จะวิ่งก็ได้ ขอเพียงพวกแกคิดว่าสามารถหนีพ้นมือทั้งสองข้างของเหล่าหูได้ก็พอ”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด หูหงเต๋อที่อยู่ในห้องจึงกวาดตามอง แล้วจึงเหลือบไปเห็นแก้วเคลือบดินเผาหนึ่งอันวางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงใช้มือขวาหยิบมันไป แต่ทันทีที่มือออกแรง แก้วนั้นก็แตกกระจายทันที
เขาถูฝ่ามืออยู่อย่างช้าๆ รอหูหงเต๋อกางฝ่ามือขวาออกแล้ว เป่าเบาๆ แล้วผงละเอียดก็ลอยขึ้นจากฝ่ามือของเขา
กระจายใส่หัวและหน้าของเปาเฟิงหลิ่งกับหลิวเหล่าเอ้อ
ในแก๊งต้มตุ๋น มีคนที่ใช้วิธีพิเศษเพื่อให้มีเวลาที่มากขึ้น ซึ่งก็คือคนที่รับผิดชอบการแย่งพื้นที่โดยใช้กำลังโดยเฉพาะ
ลูกน้องหลายคนของจี๋เหล่าต้าก็คือคนที่ได้ขนานนามว่า “ยอดฝีมือยุทธภพ” แต่ถ้าเทียบกับหูหงเต๋อ คนพวกนั้นก็เหมือนเด็กอายุสามขวบที่รำมีดใหญ่ ขึ้นเวทีไม่ได้เลย
ดังนั้นวิธีการที่หูหงเต๋อใช้นี้ มีประโยชน์มากกว่าคำขู่ใดๆ เปาเฟิงหลิงทั้งคู่ตกใจจนหน้าซีด แล้วแผนชั่วๆ ที่อยู่ในใจตอนแรก ก็หายสาบสูญไปในพริบตา
ส่วนผู้หญิงสองคนที่อยู่ในห้อง หูหงเต๋อการจัดการอย่างมีขอบเขต เพียงนอนหลับชั่วโมงกว่าเดี๋ยวก็ตื่นขึ้นมาเอง โดยธรรมชาติของอาชีพอย่างพวกเธอก็ไม่กล้าประกาศโวยวายออกไปอยู่แล้ว
“เยี่ยเทียน แกจะพาพวกเขาไปที่ไหน?”
หลังจากที่ออกจากโรงแรม เยี่ยตงผิงมองไปที่ลูกชาย เขาเคยมีประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาก่อนที่ไหนกัน? นอกจาก
เริ่มใช้กำลังเพื่อระบายแล้ว เรื่องอื่นล้วนเป็นเยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อเป็นคนตัดสินใจ
เยี่ยเทียนสบตาเปาเฟิงหลิง พูดว่า “หาสักที่ แล้วเฝ้าพวกมันไว้ เท้าของพวกต้มตุ๋นมันทาน้ำมันไว้ ไม่ระวังครู่เดียว
พวกมันก็ลื่นหนีไปแล้ว”
เปาเฟิงหลิงหัวเราะอย่างขมขื่น พูดว่า “ท่านเยี่ย พวกเรากล้าที่ไหน ครั้งนี้ยอมแล้วจริงๆ!”
ความแตกต่างของพวกแก๊งต้มตุ๋นกับยอดฝีมือในยุทธภพคือ คนหนึ่งใช้สมอง คนหนึ่งใช้กำลัง ก็เหมือนกับคนเก่งเจอกับทหาร…มีเหตุผลแต่พูดยังไงก็ไม่รู้เรื่องอย่างนั้น ถ้าคนสองประเภทนี้มาเจอกัน คนที่กำลังอ่อนกว่าอย่างพวกต้มตุ๋นก็จะเสียเปรียบไปโดยปริยาย
เยี่ยเทียนครุ่นคิด จู่ๆก็คิดถึงสถานที่หนึ่งขึ้นมา มองไปที่พ่อและพูดว่า “พ่อครับ พ่อเรียกรถกลับบ้านไป ผมหาที่จัดการพวกมันให้เรียบร้อยก่อน”
สำหรับเรื่องบางเรื่องในยุทธภพ เยี่ยเทียนไม่ต้องการให้พ่อมีส่วนร่วมมากนัก เพราะเขาไม่ใช่คนในยุทธภพ รู้เยอะใช่
ว่าจะเป็นเรื่องดี
“ลูกชาย มานี่ ฉันมีอะไรจะพูดด้วย”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด เยี่ยตงผิงลังเลไปครู่นึง ดึงเยี่ยเทียนไปที่ข้างๆ พูดด้วยเสียงเบาว่า “ดูไว้อย่าให้พวก
มันหนีก็พอ ห้ามตีพวกมันเด็ดขาด สองคนนี้หลอกต้มตุ๋นมันก็มีความผิดอยู่แล้ว เรากักขังแบบนี้ก็ผิดกฎหมายเหมือนกัน”
ถึงแม้เยี่ยตงผิงไม่รู้ว่าลูกชายจะจัดการพวกเขายังไง แต่เขารู้ว่าเยี่ยเทียนซ้อมคนแรงจริงๆ ตั้งแต่เด็ก ตอนที่อายุเจ็ดแปดขวบก็สามารถตีเด็กอายุสิบขวบจนเลือดเต็มหน้า เขากลัวว่าเยี่ยเทียนจะทำเรื่องประเภทที่ว่าตัดแขนตัดขาสองคนนี้มาก
“ครับ ผมทราบแล้ว พ่อ พ่อไปเรียนกฎหมายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้เรื่องนี้ดีเชียวนะ?”
สิ่งที่พ่อพูดทำให้เยี่ยเทียนจะร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออก ไม่ว่าจะอยู่ยุคสมัยไหน ยุทธภพนั้นคงอยู่เสมอ มันจึงมีกฎเกณฑ์ของมันอยู่หนึ่งอย่าง ถึงแม้ไม่กล้าพูดว่ามันอยู่เหนือกฎหมาย แต่กฎหมายปัจจุบันที่ผูกมัดยุทธภพก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน
ก็เหมือนครั้งนี้ พี่ใหญ่จี๋ส่งคนข้ามแดนมาเอาเงินซึ่งทำผิดกฎ แม้ว่าเยี่ยเทียนจะส่งศพกลับไปสองศพ พี่ใหญ่จี๋ก็ไม่กล้าไปแจ้งตำรวจอยู่ดี และยังต้องใช้ร้อยวิธีเพื่อปิดซ่อนเรื่องนี้ไว้
ส่วนพี่ใหญ่จี๋จะแก้แค้นเยี่ยเทียนเพราะเรื่องนี้หรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องนึง ท้ายที่สุดแล้วถ้าประชาชนไม่แจ้งความ ข้าราชการก็ไม่สืบ ทุกเรื่องจบด้วยการจัดการแบบลับๆ
หลังจากส่งพ่อเสร็จ เยี่ยเทียนไปนั่งตำแหน่งคนขับ ส่วนหูหงเต๋อกับโจวเซี่ยวเทียนซ้ายหนึ่งคน ขวาหนึ่งคนคุมตัวเปา
เฟิงหลิงทั้งคู่เอาไว้ที่เบาะหลัง แม้สองคนนั้นอยากกระโดดลงรถ ก็ไม่สามารถทำได้
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า จึงเห็นเยี่ยเทียนเลี้ยวรถเข้าไปในซอยแถวทะเลสาบโฮ่วไห่ โจวเซี่ยวเทียนพูดว่า “อาจารย์ นี่จะไปหาศิษย์พี่ชิวเหรอ?”
“ใช่ นอกจากที่ของเหล่าชิวแล้ว ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าจะพาพวกเขาไปที่ไหน”
เยี่ยเทียนมองเปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อจากกระจกหลังรถ ถึงแม้สองคนนี้จะใบหน้านิ่ง แต่คนที่เดินอยู่ข้างทะเลสาบเป็นประจำจะไม่ให้รองเท้าเปียกเลยได้ยังไง? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาสะดุดล้ม
ระหว่างที่พูดคุยอยู่ รถยนต์ขับเข้าไปถึงปากซอยของสำนักสอนวิชาการต่อสู้อันเต๋อ หลังจากรถจอดเสร็จเรียบร้อย ทุกคนทยอยลงจากรถ และเริ่มเดินไปที่สำนักสอนวิชาการต่อสู้
“เฮ้ มาทำอะไรกัน?” กลุ่มของเยี่ยเทียนมีสี่ห้าคนเป็นเป้าสายตามาก ยังไม่ถึงหน้าประตูสำนัก คนหนุ่มจำนวนหนึ่ง
ที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เดินเข้ามา
ลูกน้องของชิวเหวินตง เวลาอยู่แถวปักกิ่งถิ่นชาววังมักจะหาเรื่องกันอยู่แล้ว ดังนั้นเวลาพูดจาจึงไม่สุภาพเป็นธรรมดา เพียงแต่คนหนุ่มที่อยู่หน้าสุดพอเห็นเยี่ยเทียน จู่ๆ ก็กลับหัวและวิ่งหนีไป
“ทำ……ทำลายสำนักมาอีกแล้ว!” ไอ้หนุ่มวิ่งไปตะโกนไป เยี่ยเทียนถึงกับหัวเราะ ครั้งก่อนกุมมือและพูดคุยด้วยดี
แล้ว ดูเหมือนเขาจะฝังใจหรือเป็นอะไรหรือเปล่า?
เสียงที่ตะโกนดังออกไป ทำให้คนในสำนักสอนวิชาการต่อสู้ก็กรูกันออกมาสิบกว่าคน ในมือยังถือดาบหอกพลองกระบองเอาไว้ คนที่นำหน้าคืออู่เฉินศิษย์โตของชิวเหวินตงนั่นเอง
“บัดซบ ท่านเยี่ยมาที่นี่คือแขกพิเศษ แกตะโกนเรียกทำไม?”
พอมองเห็นเยี่ยเทียน อู่เฉินจึงเคาะที่หัวของคนนั้นอย่างแรง แล้วหันกลับมาพูดว่า”กลับไปให้หมด เก็บของพวกนั้นให้หมดด้วย ท่านเยี่ยไม่ใช่คนนอก”
หลังจากไล่พวกลูกน้องกลับไปเสร็จ อู่เฉินจึงเดินเข้ามาต้อนรับเยี่ยเทียน และคารวะแบบจีนเหยียดมือตรงทับกำปั้น พลางยิ้มพูดว่า “ท่านเยี่ย วันนี้ท่านมาที่นี่ได้ยังไง? น้องเซี่ยวเทียน นายไม่ได้มาที่นี่นานแล้วเหมือนกันนะ?”
หลังจากเรื่องทำลายสำนัก โจวเซี่ยวเทียนเคยมาสำนักศิลปะการต่อสู้อยู่หลายครั้ง และเรียนเคล็ดวิชามวยแปดสุดยอดกับเฝิงเหิงหวี่ จนได้เป็นเพื่อนกับอู่เฉิน
“อู่เฉิน เหล่าชิวอยู่ไหม?ฉันมีเรื่องจะรบกวนเขาหน่อย” เยี่ยเทียโบกมือ และไม่เกรงใจกับอู่เฉินเท่าไหร่ เดินตรงเข้า
ไปข้างในเลย
“อาจารย์เพิ่งโทรศัพท์มาเมื่อกี้ เดี๋ยวก็มาครับ ท่านเยี่ย ท่านเข้าไปดื่มน้ำชาก่อน”
อู่เฉินยิ้มและนำทางเยี่ยเทียนเข้าไปข้างใน ในยุทธภพจะให้ความเคารพกับคนที่พละกำลังสูงกว่า การที่เยี่ยเทียนทำลายสำนักในครั้งนั้น ทำให้อู่เฉินยอมรับตัวเขาจากใจจริง
เทียบกับครั้งนั้น ในสำนักจะมีคนมากกว่านิดหน่อย บางคนที่ไม่รู้จัก เยี่ยเทียนะใช้สายตาที่ดุร้ายจ้องมองไปที่คนพวกนั้น
คนที่เพิ่งหัดเรียนศิลปะการต่อสู้ จิตใจของพวกเขายังไม่แน่วแน่ เรียนไปไม่กี่ท่าก็คิดว่าตนเองเก่งจนไม่มีใครเทียบ แต่
พวกนั้นก็ถูกอู่เฉินจ้องกลับทีละคนๆ
หลังจากเดินมาถึงกลางสำนัก เยี่ยเทียนนั่งลงที่เก้าอี้แปดเซียนตัวหนึ่งซึ่งอยู่ข้างๆ เก้าอี้ประธาน พลางชี้ไปที่เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อแล้วพูดว่า “สองคนนี้ข้ามแดนมาเอาเงิน หลอกเงินมาถึงฉัน อู่เฉิน ขังไว้ที่นี่วันสองวันได้ไหม? อย่าให้พวกมันหนีไปได้!”
เดิมที่ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาก็น่าขายหน้าอยู่บ้าง แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ออกแล้วจริงๆ ว่าจะเอาสองคนนี้ไปไว้ที่ไหน จึงทำได้เพียงยอมขายหน้าตัวเอง และให้คนในสำนักช่วยดูเอาไว้
“หลอก…หลอกท่านเลยเหรอ? นี่มันไอ้เลวมาจากที่ไหนกัน ช่างกล้าอะไรขนาดนี้?”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด อู่เฉินอึ้งจนปากค้าง สายตาคู่นั้นจ้องมองไปที่เปาเฟิงหลิงสองคนนั้น จนสองคนนั้น
รู้สึกอึดอัดเลยทีเดียว
เมื่อมาถึงที่สำนักนี้ และเห็นท่าทางชายหนุ่มร่างเตี้ย ล่ำบึ้ก ที่มีต่อเยี่ยเทียน เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อลบความคิดที่จะหนีไปอย่างถาวร ครั้งนี้เจอของจริงเข้าแล้ว
สำหรับเรื่องน่าอายเช่นนี้ เยี่ยเทียนไม่ต้องการพูดอะไรมาก โบกมือไปมาพูดว่า “คนทางใต้ ฉันไม่คุ้นเคยเท่าไหร่
นายหาห้องๆ หนึ่งแล้วขังไว้สามวันก็พอ”
“ครับ ไม่มีปัญหา!”
อู่เฉินเป็นคนที่รู้จักจัดการเรื่องเป็นเหมือนกัน จึงได้เรียกคนสองคนมาทันทีและพูดว่า “เอาพวกมันไปขังไว้ที่ข้างหลัง ดูแลเรื่องอาหารการกินด้วย แต่ห้ามให้พวกมันออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว เข้าใจมั้ย?”
สำนักศิลปะการต่อสู้อันเต๋อเพียงแค่ช่วยเยี่ยเทียนเฝ้าไม่กี่วัน จึงไม่จำเป็นต้องไปพัวพันเรื่องของเยี่ยเทียน ดังนั้นอู่เฉินจึงมีคำสั่งแบบนั้น เพราะในภายภาคหน้าถ้าเรื่องมันจบแล้ว สองคนนี้ก็จะไม่มาหาเรื่องถึงสำนักศิลปะการต่อสู้ที่นี่
“พี่อู่ วางใจได้ พวกเรา ไปกันเถอะ!”
การจัดการเรื่องราวของคนในยุทธภพ ก็มีบ้างที่จะใช้วิธีที่เปิดเผยไม่ได้ ชิวเหวินตงสามารถดูแลกิจการให้ใหญ่ได้
ขนาดนี้ จึงหนีไม่พ้นการกระทบกระทั่งกับผู้คนในเรื่องเงินทอง และบางครั้งจะจับคนที่หูตาไม่สว่างมาขังเอาไว้
ดังนั้นเรื่องแบบนี้ คนในสำนักจึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ฉันก็ว่า วันนี้ตอนตื่นนอนทำไมถึงได้ยินเสียงร้องของนกกางเขน ที่แท้น้องเยี่ยมานี่เอง?”
ทางนี้เพิ่งพาเปาเฟิงหลิงสองคนไป ชิวเหวินตงก็เดินเข้ามาจากประตูข้างนอก ถึงแม้เขากับเฝิงเหิงหวี่จะเรียกกันฉันพี่น้อง แต่ก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงแยกเรื่องของใครของมันออกต่างหาก
“เหล่าชิว วันนี้รบกวนคุณจริงๆ”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นจากเก้าอี้ เข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม สุภาษิตเคยกล่าวไว้ว่า เกี้ยวสวยๆ เอาไว้คนแบกคน การใช้ชีวิตในยุทธภพ ก็ต้องการหน้าตาไว้ก่อนไม่ใช่หรือ?
……
ตอนที่ 453 รอเก้อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พูดอะไรแบบนั้นน้องเยี่ย พวกเราใช้ชีวิตในปักกิ่งด้วยกัน เรื่องของน้องก็คือเรื่องของฉันไม่ใช่หรือ? พูดอะไรกันเรื่อง รบกวนไม่รบกวน?”
ชิวเหวินตงเป็นคนเฉียบขาดและมีสัจจะ แล้วก็อยากคบหาเยี่ยเทียนอย่างจริงใจ คำพูดที่พูดออกมาจึงน่าฟังเสนาะหู
“น้องเยี่ย พี่คนนี้คือ?”
ชิวเหวินตงกับโจวเซี่ยวเทียนรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่เพิ่งเจอหูหงเต๋อครั้งแรก ชายแก่คนนี้รูปร่างสูงใหญ่ ถึงแม้อายุหกสิบกว่าแล้ว แต่ดูกระปรี้กระเปร่าเหมือนคนหนุ่มอย่างนั้น มองครู่เดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นคนเรียนศิลปะการต่อสู้
หูหงเต๋อไม่จำเป็นต้องให้เยี่ยเทียนแนะนำ แล้วจึงคารวะแบบจีนเหยียดมือตรงทับกำปั้นแล้วพูด “หูหงเต๋อจากภูเขาฉางไป๋ซาน มาโดยละลาบละล้วง หวังว่าน้องชิวจะไม่ถือสา”
ได้ยินชื่อฉางไป๋ซาน ชิวเหวินตงจึงใจเต้นทันที แล้วถามต่อว่า “พี่แซ่หู ไม่ทราบว่าหัวหน้าหูอวิ๋นเป้าของสามมณฑลตะวันออกต้องเรียกว่าอย่างไร?”
“นั่นเป็นท่านพ่อ ทำไมเหรอ? น้องชิวรู้จักท่านพ่อด้วยเหรอ?” หูหงเต๋อได้ยินจึงอึ้งไปครู่หนึ่ง ชิวเหวินตงดูแล้วน่าจะ ห้าสิบต้นๆ ไม่น่าจะรู้จักพ่อของตัวเองหรอกมั้ง?
“ฮ่าๆ!”
ชิวเหวินตงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่คนนอกแล้ว พี่หู พ่อของฉันเคยเป็นคนคุ้มกันภัย ขนส่งของผ่านสามมณฑลตะวันออกมาก่อน รู้จักกับหัวหน้าหูอยู่บ้าง พรหมลิขิต พรหมลิตจริงๆ!”
เดิมทีชิวเหวินตงคือลูกที่เกิดตอนแก่ พ่อของเขาชิวอานเต๋อเป็นนักศิลปะการต่อสู้รุ่นแรก ๆ ของปักกิ่ง ในยุทธจักรทางตอนเหนือถือว่ามีชื่อเสียงพอสมควร มีคนรู้จักอย่างกว้างขวาง การที่รู้จักหูอวิ๋นเป้านั้นจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ยุทธภพจะพูดว่าใหญ่ก็ใหญ่ แต่จะว่าเล็กมันก็เล็ก หลังจากที่ชิวเหวินตงทำตัวสนิทสนมเช่นนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็สนิทขึ้นมากว่าเมื่อครู่
หูหงเต๋อยังแสดงกรงเล็บอินทรีย์ของภูเขาฉางไป๋ซานให้ลูกศิษย์ของชิวเหวินตงดูอีกด้วย ตัดท่อนเหมยฮัวที่หนาเท่าขอบถ้วยให้หักเพียงนิ้วเดียว ทำให้คนที่อยู่ในสำนักเห็นแล้วถึงกับอึ้งกันไปหมด
ตอนกลางวันชิวเหวินตงเป็นเจ้ามือ เมื่อทุกคนมาถึงร้านอาหาร ก็ได้คารวะเหล้าสองสามแก้วกันก่อนแล้ว หนำซ้ำยังเป็นพี่น้องที่สนิทกัน จึงทำให้บรรยากาศคึกครื้นมาก
“น้องเยี่ย เรื่องนี้จัดการง่ายมาก เดี๋ยวอีกสองสามวันฉันเชิญคนในยุทธภพไปพร้อมกับนาย และอธิบายตัวเลขให้พวกเขาอย่างละเอียด ไม่เพียงแต่ต้องได้เงินคืนมา เรื่องนี้ก็ต้องคิดบัญชีอย่างละเอียดด้วยเหมือนกัน!”
หลังจากที่สุราถูกเวียนดื่มไปสามรอบ ชิวเหวินตงจึงตบหน้าอกตัวเองต่อหน้าเยี่ยเทียน เขาคือคนในพื้นที่ปักกิ่งบวกกับความสัมพันธ์ของพ่อ ไม่ว่าจะเป็นเหอเป่ยหรือเทียนจินต่างก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ก่อนไม่ค่อยได้จัดการเรื่องขัดแย้งแบบนี้ ก็พอมีประสบการณ์มากเหมือนกัน
“เยี่ยเทียนนิ่งไปสักครู่ พูดว่า “ตกลง งั้นก็รบกวนพี่ด้วย”
เรื่องของยุทธภพ ต้องใช้กฎของยุทธภพจัดการ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามให้บัญญัติมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่สามารถโห่ร้องฆ่าฟันอีก ไม่เช่นนั้นถึงจะมีเหตุผลแต่ก็จะกลายเป็นไม่มีเหตุผลไปโดยปริยาย
ในเวลานี้ การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายไม่ใช่การต่อสู้ด้วยกำลังของตนเอง แต่เป็นการต่อสู้ว่าใครจะสามารถเชิญใครมาเป็นผู้เจรจา ผู้ที่ถูกเชิญมีระดับรุ่นยิ่งสูงคนยิ่งรู้จักมาก ก็จะมีความชอบธรรมในการเจรจาที่เพียงพอ
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเป็นคนในวงการยุทธภพก็ตาม แต่ตลอดที่ผ่านมาเขาไม่เคยเข้าไปอยู่ในนั้นเลย ตอนนั้นที่ติดตามอาจารย์และได้รู้จักกับผู้คน ก็เป็นกลุ่มคนที่มีลำดับศักดิ์สูงมาก เพียงแต่เป็นเรื่องที่เก่าไปแล้ว ถ้าหากให้เยี่ยเทียนอยากเชิญใคร เขาจึงไม่สามารถเรียกชื่ออกมาได้จริงๆ
“นั่นสิ พี่ชิว ฉายาพี่ใหญ่จี๋ของเจียงซี พี่เคยได้ยินบ้างไหม?” ตอนนั้นเยี่ยเทียนเคยไปแถวจังหวัดกั้น ไปเยี่ยมผู้อาวุโสหลายคนของยุทธจักรทางใต้ แต่เขาไม่เคยได้ยินแซ่จี๋ในยุทธภพเลย
ชิวเหวินตงส่ายหน้าไปมา พลางพูดว่า “ไม่เคย น้องเยี่ย ยุทธจักรทางใต้กับทางเหนือไม่เหมือนกัน พวกเขาให้ความสำคัญเรื่องเงินมากกว่า สมัยแรกบางคนเปิดสำนักศิลปะการต่อสู้ที่ต่างประเทศ บางคนกลับใช้เล่ห์กลหลอกลวงมีทั้งคนดีและคนไม่ดี การไปมาหาสู่ของทั้งสองฝั่งนั้นจึงมีไม่มากนัก”
ในยุทธจักรเหนือใต้มีความคิดเห็นแตกต่างกันมาก จึงแบ่งออกเป็นสองยุทธภพ ทางเหนือดูถูกทางใต้ ส่วนทางใต้ยิ่งดูแคลนทางเหนือ ชิวเหวินตงจึงรู้ไม่มาก
“น้องเยี่ย หรือจะเป็นแบบนี้ ฉันมีเพื่อนที่จังหวัดกั้นเหมือนกัน เดี๋ยวฉันจะถามให้นายดีไหม?”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอบว่า “ในเมื่อพี่ชิวมีคนรู้จัก งั้นก็ลองดูท่าทีของฝ่ายตรงข้ามกันก่อน เรื่องนี้ผมรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้”
เหล้ามื้อนี้ดื่มกันจนถึงบ่ายสี่ห้าโมง เยี่ยเทียนจึงพาหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนร่ำลาจากไป ส่วนเปาเฟิงหลิงสองคนนั้น ก็ทิ้งไว้ที่สำนักศิลปะการต่อสู้
“เยี่ยเทียน ไม่ได้ทำอะไรสองคนนั้นใช่ไหม?”
หลังจากที่เยี่ยตงผิงกลับมาถึงบ้าน เขาก็รอเยี่ยเทียนอยู่ที่เรือนสี่ประสานตลอด พอเห็นพวกเขากลับมา จึงรีบเข้าไปหา เพราะเขาเป็นคนรู้อะไรควรไม่ควร จึงกลัวว่าลูกชายจะทำเรื่องผิดกฎหมาย
“พ่อ ไม่มีอะไร มีคนช่วยเฝ้าแล้ว หลังจากนั้นจะพาพวกเขาไปเจรจาก็เสร็จแล้ว” เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วพูด “ พ่อไม่ต้องกังวลแล้ว เรื่องนี้ผมจัดการเองได้ วันนี้ผมเหนื่อยมากแล้ว ขอไปพักก่อนที่ห้องก่อน”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนที่กินเหล้าช่วงกลางวัน ในใจของเยี่ยเทียนอยู่ไม่เป็นสุขและรู้สึกบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าพี่ใหญ๋จี๋ตอบตกลงเร็วเกินไป
สุภาษิตกล่าวไว้ว่า คนค้าประเวณีไร้ความจริงใจ คนมารยาไร้คุณธรรม และพวกต้มตุ๋นไม่ได้ดีไปกว่าคนสองกลุ่มนี้ ถ้าพูดตามหลักเหตุผลแล้ว พี่ใหญ่จี๋ไม่น่าจะเป็นคนที่จริงใจและมีคุณธรรม
ในปี 98 นั้น เศรษฐีเงินล้านพบได้น้อยมาก มูลค่าทรัพย์สินร้อยล้านยิ่งล้ำค่าและหายากกว่า เยี่ยเทียนจึงไม่แน่ใจ ว่าพี่ใหญ่จี๋คนนี้จะยอมคืนสามสิบล้านที่ได้ไป เพียงเพราะลูกน้องสองคน?
หลังจากกลับมาถึงห้อง เยี่ยเทียนหยิบเหรียญทองแดงออกมาสามอันและเริ่มทำการทำนาย ทำนายติดต่อกันสามครั้ง ผลทำนายที่ได้ล้วนเป็น “ซันเจ๋อสุ่น” ทำให้สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นแย่ลงทันที นี่มันชะตาล้มละลายชัดๆ
ถึงแม้ว่าการทำนายจะไม่ใช่ของตัวเอง แต่ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนที่พัฒนาขึ้น ทำให้สามารถทำนายได้อยู่บ้าง ตอนนี้การทำนายทั้งสามครั้งคือล้มละลาย ถือได้ว่ามันถูกกำหนดไว้แล้ว
ช่วงกลางวันของวันที่สอง เยี่ยเทียนได้รับโทรศัพท์จากชิวเหวินตง
ข้อมูลที่ส่งมาจากจังหวัดกั้นคือ พี่ใหญ่จี๋มีตัวตนจริง แต่เขาไม่ใช่คนของยุทธภพอย่างแท้จริง เขาเป็นเพียงคนที่รวบรวมพวกต้มตุ๋น รังแกผู้คนและทำตัวเป็นอันธพาล
ถ้าเป็นไปตามที่เพื่อนของชิวเหวินพูด ไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น พี่ใหญ่จี๋ไม่ออกมาให้เห็นหน้าที่จังหวัดกั้นอีกเลย ดูเหมือนมีคนเห็นเขาที่สนามบินด้วย
หลังจากได้ยินสิ่งที่ชิวเหวินตงพูด เยี่ยเทียนยิ่งมั่นใจในการทำนายของตัวเอง พี่ใหญ่จี๋กำหนดวันนัดพบสามวัน ก็คงจะเพียงพอสำหรับตนเองได้เตรียมการและหลบหนีไป เงินสามสิบล้านที่มากมายนั้น เพียงพอต่อการกำจัดหลักฐานที่มีอยู่และหลบหนีไป
หลังจากขอบคุณชิวเหวินตงทางโทรศัพท์แล้ว เยี่ยเทียนก็บอกตัวเองว่าไม่ต้องเชิญเพื่อนในยุทธภพไปด้วย ถ้าไปแล้วแต่อีกฝ่ายไม่โผล่หน้าออกมา ก็จะเป็นหนี้บุญคุณเปล่าๆ
แน่นอน เยี่ยเทียนต้องไปอยู่แล้ว เช้าวันที่สาม เขาเพียงแต่พาโจวเซี่ยวเทียนไปด้วยเท่านั้น และไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใครเลย เขาขับรถตรงไปถึงร้านน้ำชาหลังวัดเทียนโฮ่วตามที่นัดกันไว้
เยี่ยเทียนรอตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงบ่ายสอง ก็ยังไม่เห็นหน้าพี่ใหญ่จี๋โผล่หน้าออกมา ส่วนเบอร์มือถือที่เปาเฟิงหลิงใช้ ไม่ว่าจะโทรยังไงก็ไม่อยู่ในขอบเขตการให้บริการ ไม่สามารถติดต่อได้ชั่วคราว
“บัดซบเอ้ย ตีห่านทุกวันกลับโดนห่านตัวใหญ่จิกจนตาบอด!”
เยี่ยเทียนเกิดความเคียดแค้นขึ้นในใจ ถ้าในวันนั้นเขาเขาไปจังหวัดกั้นทันที ก็มีโอกาสที่จะจับพี่ใหญ่จี๋ได้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะหลงกลแผนจักจั่นหลอกคราบของฝ่ายตรงข้าม
ตั้งแต่เยี่ยเทียนเข้าวงการ ยังไม่เคยต้องเสียเปรียบขนาดนี้มาก่อน ระหว่างทางที่ขับรถกลับปักกิ่ง เขาจึงขบฟันเสียงดัง รถที่ขับก็พุ่งตรงไปสำนักของชิวเหวินตงอย่างรวดเร็ว
“น้องเยี่ย ฝ่ายตรงข้ามไม่มาหรือ?” เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเยี่ยเทียน ชิวเหวินตงก็รู้ทันทีว่าเยี่ยเทียนถูกปล่อยให้รอเก้อ
“อืม ทำตามกฎเถอะ” เยี่ยเทียนพยักหน้า และเดินไปถึงห้องที่ขังเปาเฟิงหลิงสองคนนั้นพร้อมกับชิวเหวินตง
“ท่านเยี่ย เรื่องจัดการเรียบร้อยดีไหมครับ?” สองวันนี้เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อกินดีอยู่ดีไม่เบา สีหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมาไม่น้อย
“พี่ใหญ่จี๋ของพวกแกไม่มา เข้าใจกฎกันนะ? มือข้างนึงขาข้างนึง บุญคุณและความแค้นก็จบเท่านี้
เยี่ยเทียนพูดอย่างไร้อารมณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะความผิดของสองคนนี้ไม่ถึงกับตาย ความคิดที่จะฆ่าสองคนนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว จะว่าไปเงินสี่สิบล้านที่เยี่ยเทียนได้มา เขาต้องรักษาโรคให้ถังเสวี่ยเสวี่ยหนึ่งเดือน และในแต่ละวันจะต้องสูญเสียวรยุทธไปแทบหมดสิ้น เงินนี้จึงเป็นเงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก
“บัดซบเอ้ย ฉันทำงานรับใช้มันมาเป็นสิบๆ ปี ไอ้…ไอ้คนชาติชั่ว”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน สีหน้าของเปาเฟิงหลิงและอีกคนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มือข้างหนึ่งกับขาข้างหนึ่ง คงใช่การหักแขนหักขาง่ายดายขนาดนั้น แต่เป็นการตัดแขนตัดขาออกมาต่างหาก
“ท่านเยี่ย เพราะพวกเราสองคนตาบอดเอง อยู่กับคนผิด นายท่านโปรดเห็นใจ ครั้งนี้ช่วยปล่อยพวกเราไปเถอะนะ?”
เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อคุกเข่าลงต่อหน้าเยี่ยเทียน หน้าผากโขกไปกับพื้นจนเสียงดัง “ตึงตึง” สองคนนี้อายุสามสิบกว่าทั้งคู่ ถ้าไม่มีมือไม่มีขา ชีวิตต่อจากนี้จะอยู่ยังไง?
“ท่านเยี่ย พวกเราขอทำงานชดเชยความผิด พวกเรามีวิธีจะช่วยนายท่านจับเอาตัวพี่ใหญ่จี๋ออกมาได้!”
ประโยคนี้ของเปาเฟิงหลิง ทำให้เยี่ยเทียนใจเต้นไปครู่นึง “ถ้าพวกแกสามารถหาพี่ใหญ่จี๋เจอ? ล่อให้มันออกมาได้ เรื่องของพวกแก ฉันจะไม่เอาเรื่องก็ได้”
สำหรับเยี่ยเทียนแล้วการตัดแขนขาของสองคนนี้ไป ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เงินยี่สิบแปดล้านที่บินหายไปยังไงก็หาไม่เจอ
เมื่อเห็นเรื่องราวมีการเปลี่ยนทิศทาง เปาเฟิงหลิงรีบพูดต่อว่า “ท่านเยี่ย เมื่อก่อนนี้พี่ใหญ่จี๋ก็เคยทำเรื่องไว้แล้วจัดการไม่ได้ เขาก็จะหลบไปสักพัก ผ่านไปสักปีกว่าเดี๋ยวก็กลับมา ถ้าท่านปล่อยพวกเราไป พวกเราจะหาพี่ใหญ่จี๋มาให้นายท่านให้ได้!”
“ปล่อยพวกแก? ถ้าพวกแกหนีไปฉันจะไปหาที่ไหนหล่ะ?”
เยี่ยเทียนหัวเราะแห้งๆ จู่ๆ ก็ก้าวไปข้างหน้า มือขวากดจุดตรงท้องน้อยของทั้งสองคนอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ ปล่อยพลังพิฆาตให้ซึมเข้าสู่อวัยวะภายในของทั้งสองคน
“ท่านเยี่ย นี่ท่าน……ท่านทำอะไร?” ทั้งสองคนรู้สึกเพียงตัวเย็น ตัวสั่นไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอื่นๆ อีกเลย
เยี่ยเทียนพูดอย่างเย็นชาว่า “ไปเถอะ ไปหาพี่ใหญ่จี๋ แล้วค่อยกลับมาหาฉัน”
“ท่านเยี่ย ท่าน……ท่านไม่ได้ล้อเล่นกับพวกเราใช่ไหม? ปล่อย…ปล่อยพวกเราไปแบบนี้เลย?”
ท่าทีของเยี่ยเทียนเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ ทำให้เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่
……
ตอนที่ 454 มวยใต้ดิน (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“น้องเยี่ย นายพูดผิดหรือเปล่า?”
ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเปาเฟิงหลิงสองคนที่ไม่เชื่อเยี่ยเทียน แม้แต่ชิวเหวินตงก็แสดงอาการประหลาดใจออกมา ในยุทธภพอันวุ่นวายนี้ใครบ้างที่ไม่เป็นคนโหดร้าย? เยี่ยเทียนจะปล่อยให้พวกเขาไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร?
ตามกฎแล้ว หากมีการฉ้อโกงและไม่ได้เงินคืนนั้น ถ้าจะตัดแขนข้างหนึ่งหรือขาข้างหนึ่งก็ยังถือว่าน้อยไปสำหรับเขาทั้งสอง กระทั่งถูกยัดใส่ในกระสอบแล้วเอาไปทิ้งน้ำ นั่นก็ยังถือว่าสมเหตุสมผล
แต่การกระทำของเยี่ยเทียนนั้นเกินความคาดหมายของทุกคนในห้อง ถ้าปล่อยสองคนนี้ไป พวกเขาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยแน่นอน
“พี่ชิว พี่คิดว่าฉันล้อเล่นเหรอ?” เยี่ยเทียนมองพวกเปาเฟิงหลิงด้วยใบหน้าที่อมยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมหรือ? พวกแกต้องการให้ฉันอยู่เป็นผู้ดูแลอาหารการกินให้พวกแกอีกงั้นหรือ?”
“ท่านเยี่ย อย่าล้อเล่นกับพวกเราเลยนะ? หรือไม่ ฉันทิ้งนิ้วไว้ที่นี่นิ้วหนึ่ง?”
เปาเฟิงหลิงยิ้มอย่างขมขื่น เขาเองก็เป็นคนที่จิตใจเด็ดเดี่ยว เงยหน้าขึ้นแล้วจึงเห็นก้อนหินที่ทับกระดาษบนโต๊ะ จากนั้นก็เอาหินมาแล้วก็ทุบลงบนนิ้วก้อยทันที
“แค่นิ้วเดียวก็พอแล้วหรือ?”
เยี่ยเทียนยกมือขึ้นและคว้าข้อมือของเปาเฟิงหลิง และกล่าวว่า “จริง ๆ แล้วฉันไม่ต้องการให้แกเหลืออะไรไว้เลย แต่จำคำพูดของแกไว้ให้ดี เมื่อไหร่ก็ตามที่พบพี่ใหญ่จี๋ ก็ให้กลับมาหาฉัน ฉันเชื่อว่าพวกแกต้องร้อนใจมากกว่าฉันแน่”
สองล้านที่เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อแบ่งมานั้น ได้ถูกใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายไปแล้วสามสี่หมื่น ส่วนที่เหลือถูกเยี่ยเทียนนำกลับไปแล้ว ไม่มีประโยชน์จริงๆ ที่จะเก็บคนสองคนนี้ไว้ แค่เห็นหน้าก็ยังอารมณ์เสีย
“ท่านเยี่ย, ท่านพูดเรื่องจริงเหรอ?” เปาเฟิงหลิงมองเยี่ยเทียนอย่างไม่เชื่อ เวลานี้เขาสงสัยว่าสมองของเยี่ยเทียนผิดปกติแล้วหรือเปล่า?
เยี่ยเทียนโบกมือแล้วพูดว่า “ออกไปจากที่นี่ให้ไว ตามหาพี่ใหญ่จี๋ให้พบก็แล้วกัน แล้วพวกแกจะได้หลุดพ้นในเร็ววัน”
“ครับ ท่านเยี่ย ท่านวางใจได้ พวกเราสองคนจะหาไอ้สารเลวนั้นให้พบโดยเร็ว ท่านวางใจได้นะครับ!”
เมื่อมองไปที่เยี่ยเทียนดูเหมือนจะไม่เป็นเรื่องล้อเล่น เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อก็ดีใจเหลือเกิน แล้วก้าวเท้าของพวกเขาเดินออกไปนอกประตู เนื่องจากเยี่ยเทียนออกปากแล้ว จึงไม่มีใครในสำนักศิลปะการต่อสู้จะหยุดเขาไว้สักคน
“เหล่าเปา นายว่านี่มันเรื่องอะไรกัน? เขา…เขาปล่อยเราจริงๆ หรือ” ทันทีที่ออกจากสำนักศิลปะการต่อสู้ ชายทั้งสองคนวิ่งออกมาอึดใจเดียวก็วิ่งไกลถึงสามสี่ไมล์แล้ว จากนั้นมองหน้าอีกฝ่ายเหมือนกับฝันไป
“สงสัยว่าจะเป็นคนโง่จริงๆ เหล่าเอ้อ รีบเก็บข้าวของและออกจากเมืองหลวง พี่ใหญ่จี๋ ไอ้คนชั่วนี้ก็ยังคงต้องตามหา เงินสามสิบล้านนั้น ยังไงพวกเราสองคนก็ต้องได้ส่วนแบ่งบ้างแหละ!”
เปาเฟิงหลิงแสดงใบหน้าที่โหดเหี้ยม เวลานี้พี่ใหญ่จี๋ได้ผลักพวกเขาตกลงไปในหลุมไฟแล้ว หากไม่ใช่ว่าได้พบเจอกับเยี่ยเทียนเจ้าเด็กโง่ ก็ไม่รู้ว่าศพของพวกเขาจะนอนอยู่ที่ไหน
แม้ว่าเงินและบัตรในร่างกายของเขาถูกเยี่ยเทียนริบไว้หมดแล้ว แต่อาชีพที่พวกเขาทำ มักจะเป็นเหมือนกระต่ายเจ้าเล่ห์ที่มีสามโพรง ไม่ว่าพวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็มักจะเหลือหนทางไว้ให้ตนเองเสมอ ทั้งสองก็อยู่ที่ปักกิ่งเป็นเวลาสองสามปีมาแล้ว จึงพอมีเงินและฐานะอยู่บ้าง
…
“น้องเยี่ย นี่เล่นไม้ไหนกันแน่?”
หลังจากที่พวกเปาเฟิงหลิงทั้งสองคนออกไปแล้ว ชิวเหวินตงก็มองหน้าเยี่ยเทียนด้วยความงุนงงและพูดว่า “ถ้านายกลัวว่าการหักมือและเท้าของพวกเขาจะถูกสงสัยโดยทางการ พี่คนนี้จะช่วยลงมือเอง คนเช่นนี้ถ้าไม่จัดการกับมัน ในวันข้างหน้าคนภาคเหนืออย่างเราจะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อจากพวกชาวใต้เหล่านั้นเหรอ?”
พฤติกรรมของเยี่ยเทียนเมื่อสักครู่นั้นถ้าเป็นการมองในแบบคนในยุทธภพนี้ มันจะเป็นการแสดงออกที่ขี้ขลาด ทำผิดใหญ่หลวงแต่เขากลับไม่ไล่ตามและจัดการ ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ไม่แน่คนโง่เหล่านี้จะรวมตัวกันในเมืองหลวงได้อีก
ใบหน้าของเยี่ยเทียนยิ้มออกมาอย่างเยาะเย้ย โบกมือแล้วพูดว่า “พี่ชิว ไม่เป็นไร ถ้าสองคนนี้ไม่สามารถหาพี่ใหญ่จี๋จนพบ ในอนาคตพวกเขาไม่สามารถอยู่อย่างลูกผู้ชายได้แน่ ฉันไม่เชื่อว่าพวกเขาจะทนอยู่ได้?”
“จริงหรอ? ฮ่าๆ วิธีการของน้องเยี่ยยอดเยี่ยมจริงๆ นี่คือเรื่องที่ผู้ชายจะทนไม่ได้แน่นอน!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ชิวเหวินตงจึงเข้าใจเรื่องนี้ และหยุดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ดัง อย่ามองว่าเขาเองก็เป็นผู้ชายในวัยห้าสิบกว่าแล้ว แต่ใช่ว่าจะไม่เป็นที่พึงพอใจของหญิงสาว แน่นอนจึงสามารถเข้าใจความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างดี
เพียงแต่ชิวเหวินตงยังไม่ทราบ ว่าวิธีการของเยี่ยเทียนนั้นไม่หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อครู่เขาไม่เพียงใช้แผนการเจ้าเล่ห์ทำให้สองคนนั้นสูญเสียสมรรถภาพบางอย่างไป ขณะเดียวกันก็ยังซ่อนเงาลมปราณพิฆาตไว้ในร่างกายของทั้งสองคนด้วย
หลังจากวันนี้ทุกวันขึ้นหนึ่งค่ำและสิบห้าค่ำ เมื่อพลังหยินเพิ่มขึ้นและพลังหยางอ่อนแอลง จะทำให้พลังพิฆาตภายในร่างกายเริ่มออกฤทธิ์ เหมือนกับมีมีดขนาดเล็กตัดอวัยวะภายในของพวกเขาอยู่ ความเจ็บปวดขนาดนั้นคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจจะทนได้อย่างแน่นอน
เยี่ยเทียนเชื่อว่า ขอเพียงทั้งสองคนนี้ได้ลิ้มลองเพียงครั้งเดียว เว้นแต่ว่าพวกเขาจะมีความกล้าที่จะฆ่าตัวตาย ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะต้องตามหาพี่ใหญ่จี๋อย่างสุดชีวิต เพราะมันเจ็บปวดกว่าการหักมือและเท้าของพวกเขา ทำให้พวกเขาเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
หลังจากสนทนากับชิวเหวินตงสองสามประโยค เยี่ยเทียนได้ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “พี่ชิว ครั้งนี้รบกวนพี่แล้ว ต่อไปหากมีเรื่องอะไร ขอให้เรียกน้องชายคนนี้ได้เลย พวกเราขอตัวก่อนนะ”
แม้ว่าเรื่องจะจัดการได้ไม่เรียบร้อยดีนัก แต่ก็ได้ติดหนี้บุณคุณชิวเหวินตงแล้ว นั่นก็ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เขาไม่รู้จะอธิบายให้พ่อฟังอย่างไรดีเมื่อเขากลับถึงบ้าน
เมื่อเห็นว่าเทียนจะออกไปแล้ว ชิวเหวินตงรีบคว้าเขาแล้วพูดว่า “น้องเยี่ย เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องจับตัวไอ้คนร้ายนั้นได้แน่นอน แต่มีการแข่งขันชกมวยคืนนี้ ไม่รู้ว่านายสนใจจะดูไหม?”
“ แข่งขันชกมวย หมายความว่ายังไงครับ?” เยี่ยเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาชอบดูรายการชกมวยสากลของต่างประเทศ ที่ต้องชกกันถึงห้ายก อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะไม่มีอาชีพชกมวยในประเทศจีน
ชิวเหวินตงยิ้มแล้วพูดว่า “มันเป็นมวยใต้ดิน ในนั้นฉันมีหุ้นส่วนอยู่บ้าง เป็นยังไง? ต้องการที่จะเปิดหูเปิดตาไหม?”
“มวยใต้ดิน นี่มันเรื่องอะไรกัน พี่ชิวคุณพูดให้ละเอียดสิ” ในยุทธภพนี้เยี่ยเทียนได้ยินเพียงจ้างมือปืนเพื่อแก้แค้น แต่เขาไม่เคยได้ยินคำว่ามวยใต้ดินสามคำนี้
“แท้จริงแล้วมันเป็นเกมส์ที่คนรวยเล่นกันในพื้นที่ปักกิ่งและเทียนจิน มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย มวยใต้ดินนี้เป็นเพียงหนึ่งในนั้นก็เท่านั้นเอง…”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่รู้จริงๆ ว่ามวยใต้ดินคืออะไร ชิวเหวินตงจึงอธิบายกับเขาด้วยรอยยิ้ม มวยใต้ดินจะพูดตรงๆ ก็คือเป็นการพนันอย่างหนึ่ง แต่เครื่องมือในการพนัน เปลี่ยนจากลูกเต๋าและไพ่ให้เป็นคนก็เท่านั้นเอง
นักมวยใต้ดินสองคนต่อสู้บนเวทีมวย และผู้เข้าชมสามารถลงเงินเดิมพัน เจ้ามือบ่อนยึดตามอัตราการเดิมพันแพ้ชนะของทั้งสองฝ่าย และจ่ายเงินเดิมพันให้กับฝ่ายที่ชนะ
ผู้จะขึ้นต่อสู้ในมวยใต้ดินนี้ ต้องลงนามล่วงหน้าในเรื่องความเป็นความตายของชีวิต
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากเข้าสู่เวทีมวย ความเป็นความตายไม่ขึ้นอยู่กับคุณเองอีกต่อไป แรงกระตุ้นอันแรงกล้าระหว่างชีวิตกับความตายนี้เอง ทำให้คนร่ำรวยที่แต่งตัวดีรีบเร่งเข้ามาในฝูงชน ทำให้มวยใต้ดินนี้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่ปักกิ่งเทียนจิน ไม่เพียงแต่มีการแข่งขันมวยใต้ดินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการพนันสุนัข ชนไก่เป็นต้นซึ่งยังดึงดูดกลุ่มคุณชายที่ร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จจำนวนมากแต่มีจิตใจที่ว่างเปล่าไปร่วมพนันได้ ทว่าความเร้าใจสู้การแข่งขันมวยใต้ดินไม่ได้เท่านั้นเอง
ตามที่ชิวเหวินตงกล่าวมานั้น คนที่จัดการแข่งขันชกมวยใต้ดินนี้ เป็นชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ในเมืองหลวงเขามีภูมิหลังที่ลึกลับมาก ดูเหมือนว่ายังมีความสัมพันธ์กับทางทหาร การชกมวยใต้ดินนี้ดำเนินการมาสามปีแล้ว ยังไม่เคยมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
ในฐานะที่เป็นบุคคลที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง ชิวเหวินตงก็มีชื่อเสียงกับเขาขึ้นมาบ้าง เมื่อสามปีที่ผ่านมาร่วมลงทุนหนึ่งล้าน ซึ่งคิดเป็นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของจำนวนหุ้น มากน้อยก็ยังถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นอยู่
“หนึ่งล้านได้หุ้นเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินชิวเหวินตงพูดถึงตรงนี่แล้ว เยี่ยเทียนก็อดตะลึงไม่ได้ ควรต้องรู้ว่า เมื่อสามปีก่อน ไม่ต้องพูดถึงเศรษฐีเงินล้าน แค่เศรษฐีเงินแสนก็มีไม่มาก แต่หากควักหนึ่งล้านและได้หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น สถานที่นั้นต้องใหญ่แค่ไหนกัน?
“ น้องเยี่ย ฉันพอใจแล้ว แม้ว่าจะไม่ให้ฉันสักส่วน ฉันก็ต้องไปดูสนามให้เขาอยู่ดี
ชิวเหวินตงหัวเราะอย่างขมขื่น ไม่เห็นท่าทีในความอวดดีตามปกติของเขา ความจริงแล้วในสายตาของคนบางคน เขาก็เป็นเหมือนสุนัขที่ได้รับการเลี้ยงดูทั่วไป เมื่อไหร่ที่เขาได้รับการปล่อยตัว เขาก็พร้อมที่จะกัดผู้คนได้ทุกเมื่อ
ในตอนนั้นที่มีคนมาเชิญเขา ได้จัดส่งกองกำลังทหารมาพร้อมทั้งปืนและอาวุธเรียงแถวกันมา จะขาดก็แต่เอาปืนเล็งไปที่หัวของเขาแล้วพาเขาขึ้นรถไป
ในสถานการณ์เช่นนั้น ชิวเหวินตงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงยอมเชื่อฟังและควักเงินหนึ่งล้านเพื่อลงหุ้น ไม่กล้าแม้แต่จะขอใบเสร็จรับเงินจากพวกเขา
แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ชิวเหวินตงได้ลิ้มรสความหอมหวานแล้ว เพราะกำไรของมวยใต้ดินนั้น เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการ เขามีเพียงหุ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่เงินปันผลประจำปีของชิวเหวินตงนั้นมากกว่าห้าล้านหยวน
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า มวยใต้ดินนี้ถูกจัดขึ้นเป็นเวลาสามปีแล้ว และผลกำไรที่สร้างขึ้นนั้นมีอย่างน้อยหนึ่งพันล้าน แน่นอนว่า การกระจายผลประโยชน์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ชิวเหวินตงจะสามารถรู้ได้
ชิวเหวินตงพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นยังไง? น้องเยี่ย อยากออกไปเปิดหูเปิดตาไหม? ด้วยสายตาของน้อง เพียงแค่วางเดิมพันไม่กี่ครั้ง สามารถได้เงินล้านมาอย่างง่ายดายมาก”
“พนันมวย?” เยี่ยเทียนส่ายหัวแล้วพูดว่า “ลืมไปเลย ผมไม่ค่อยสนใจด้านการพนัน”
แม้ว่าในเรื่องนี้เกือบจะถูกพ่อของเขาทำให้ล้มละลาย แต่เยี่ยเทียนยังคงไม่เลือกใช้วิธีนี้ในการหาเงิน เขาสืบทอดสายเลือดแห่งสำนักเสื้อป่านมาแล้ว สิ่งที่เขาเล่นคือสมองและเคล็ดวิชาที่มาจากการใช้กำลังล้วนๆ หากไปพนันเกรงว่าอาจารย์ปู่อาจจะกระโดดออกมาหลุมและดุด่าเขากับการกระทำที่ไม่คู่ควร
“ท่านอาจารย์ พวกเราไม่ต้องพนันแค่ไปดูเฉยๆ ก็ได้นี่ครับ”
เยี่ยเทียนผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง เขาจึงไม่สนใจในการชกมวยแบบนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามโจวเซี่ยวเทียนยังไม่เคยเห็นฉากชีวิตและความตายเช่นนี้ คำชักชวนของชิวเหวินตงทำให้เขามีความอยากไปขึ้นมา
“ ใช่ น้องเยี่ย วันนี้มีแข่งมวยใต้ดิน อีกทั้งยังมีนักชกมือดีต่างชาติอีกสองคน” ชิวเหวินตงยังคงบอกอยู่ข้างๆ
“มีคนต่างชาติด้วยเหรอ? ว้าว ยังมีการเชื่อมต่อกับมวยสากลด้วยหรือ?”
เมื่อเยี่ยเทียนได้ฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเกิดความสนใจขึ้นภายในใจของเขา คิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตกลง คืนนี้พวกเราลองไปดูกัน เหล่าหูและโจวเซี่ยวเทียนรวมกับผม สามคนไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ?”
“ ไม่มีปัญหา ฉันเหล่าชิวเอาคนเข้าไปสองสามคน สามารถทำได้อยู่” ชิวเหวินตงแสดงใบหน้าที่มีความสุขออกมา การที่เขากระตุ้นให้เยี่ยเทียนไปดูการแข่งขันชกมวยนั้น ภายในใจของเขาก็มีแผนการเล็กน้อย
ต้องรู้ก่อนว่า ถึงแม้ชิวเหวินตงจะมีคนรู้จักในเมืองหลวงจำนวนมาก แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นธรรมดา และเนื่องจากการขยายอิทธิพลของมวยใต้ดินที่ยังขยายอย่างต่อเนื่อง จึงมียอดฝีมือมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ชิวคนนี้กลับรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย
……
ตอนที่ 455 มวยใต้ดิน (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
มวยใต้ดินนั้นสามารถทำกำไรสูงทุกปี จึงเป็นที่ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก บนหนทางนี้มีคุณชายคนหนึ่งที่มีอิทธิพล คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง จนถึงวันนี้ไม่เคยประสบปัญหากับเจ้าหน้าที่คนใดมาก่อน
แต่ในวงการนี้มันแตกต่างกัน หลังจากการเปิดประเทศแล้ว พวกที่เคยอยู่ในยุทธภพนี้บางคนก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของการใช้เงินเป็นตัวนำ ในอดีตที่พึ่งพาหมัดมวยเพื่อเอาชนะโลกนั้นได้หายไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว
คนเหล่านี้ไม่กล้าไปหาเรื่องผู้จัดมวยใต้ดิน พวกเขาได้แต่จับตาดูส่วนแบ่งหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของชิวเหวินตงอยู่อย่างนั้น
ตั้งแต่ปีที่แล้ว มีคนในยุทธจักรศิลปะการต่อสู้มาเยี่ยมชม แม้ว่าพวกเขาจะพูดคุยกันในฐานะเพื่อนร่วมวงการศิลปะการต่อสู้ แต่ในความเป็นจริงทุกคนรู้อยู่ในใจ ว่าพวกเขาเพียงต้องการที่จะได้รับส่วนแบ่งจากมวยใต้ดินนี้
คนของชิวเหวินตงก็มีความสามารถอยู่บ้าง ในตอนแรกพวกเขาสามารถรับมือกับมันได้ มีพวกฝีมือดีหลายคนแพ้การต่อสู้กับวิชาฝ่ามือแปดทิศของเขา
อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมา ก็มีผู้ที่มีฝีมือดีหลายคนไม่น้อย หากไม่เชิญเฝิงเหิงหวี่ที่มีชื่อเสียงของมวยแปดสุดยอดมาจากชางโจวล่ะก็ เกรงว่าหุ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นคงจะเปลี่ยนเจ้าของแล้ว
แต่หลังจากเฝิงเหิงหวี่ ฝึกฝีมือถึงขั้นลมปราณแฝงแล้ว เพื่อที่ฝึกฝีมือให้สูงขึ้น เขาจึงกลับไปกักตนฝึกวิชาที่ชางโจว
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นผลให้ชิวเหวินตงตกที่นั่งลำบากเล็กน้อย เพราะเขาไม่มียอดฝีมือนั่งอยู่ในสนาม จึงรู้สึกไม่มั่นคง ดังนั้นจึงหาทุกวิธีการและทำทุกอย่างเพื่อเชิญชวนเยี่ยทียนไปดูการแข่งขันชกมวยใต้ดินให้ได้
เยี่ยเทียนไม่ได้คิดถึงเจตนาความคิดของชิวเหวินตง หลังจากตอบตกลงแล้ว ก็พาโจวเซี่ยวเทียนกลับไป เพราะพ่อของเขาเองก็รอคอยอย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่บ้าน
เมื่อเห็นลูกชายเข้าบ้าน เยี่ยตงผิงที่เดินวนไปมาอยู่ในลานบ้านเกือบตลอดทั้งวัน ดึงมือของเยี่ยเทียนอย่างรวดเร็ว เดินไปที่ประตูกลางทางด้านหน้า (ฉวนฮวาเหมิน) กระซิบถามว่า “เยี่ยเทียน เป็นยังไงบ้าง? พวกเขาเอาเงินกลับมาได้หรือเปล่า?”
เรื่องที่เยี่ยตงผิงถูกคนโกงสามสิบล้านหยวน นอกจากคนสองสามคนที่รู้เรื่องแล้ว ป้าใหญ่ของเยี่ยเทียนและคนอื่นก็ยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้กระทั่งลุงเขยกับป้ารอง
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างขมขื่น และพูดว่า “พ่อครับ โดนคนพวกนั้นเชิดเงินหนีไปแล้ว”
“อะไรนะ? แบบนี้…แบบนี้จะทำยังไงดี?”
เยี่ยตงผิงตกตะลึงไปพักหนึ่ง ใบหน้าของเขาดูไม่ได้เลย พลางคิดว่าเงินพวกนั้นไม่ใช่มีแค่ของลูกชายยี่สิบล้านหยวน แต่ยังมีเงินส่วนที่เขาทำงานอย่างหนักมาทั้งชีวิตอยู่ด้วย และทุ่มเข้าไปในนั้นเกือบทั้งหมด
“พ่อครับ มันก็แค่เงินไม่กี่สิบล้าน มีลูกชายอยู่ทั้งคน พ่อยังจะกลัวทวงกลับมาไม่ได้อีกหรือ?”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของผู้เป็นพ่อ ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกเศร้าเสียใจไม่น้อย เขารู้ว่าพ่อของเขาไม่ได้แค่รู้สึกเสียดายแค่เงินเหล่านี้ แต่ที่สำคัญกว่าคือเขาถูกหลอกในคราวนี้ ทำให้ความมั่นใจในตัวเองของพ่อนั้นลดลง
เยี่ยตงผิงส่ายหัวของเขาแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน ปีหน้าลูกก็จะแต่งงานกับเสี่ยวหย่าแล้ว นี่เป็นเรื่องด่วนที่จะใช้เงินนะ ไม่ได้การละ พ่อต้องนำของบางส่วนนำออกไปขายแล้ว”
พูดตามตรงแล้ว ถ้าหากจะพูดถึงกระแสเงินสดแล้ว เยี่ยตงผิงไม่สามารถติดห้าสิบอันดับแรกในร้านขายของเก่าของปักกิ่งได้ แต่ถ้าพูดถึงรายได้สุทธิของเขา เขาสามารถติดอันดับหนึ่งในสามอันดับแรกได้
ต้องรู้ว่า เยี่ยตงผิงเล่นของเก่ามานาน และราคาของของเก่าในเวลานั้นราคาต่ำจนน่าตกใจ เขาได้จัดเก็บของดีๆ มากมายในยุคนั้นซึ่งมีโบราณวัตถุระดับชาติมากมาย
เพียงแต่เยี่ยตงผิงมักจะยึดมั่นในหลักการที่รับเข้า ไม่นำออกขายมาโดยตลอด และของที่เขาขายนั้นก็เป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่มีค่ามากนัก ในคลังสินค้าของเขา เขาซ่อนของเก่าหลายชิ้นที่มีมูลค่ากว่าสิบล้านเอาไว้
“พ่อครับ นั่นคือสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดมาทั้งหมดเลยนะ พ่ออย่าเพิ่งขายเลย ให้เวลาผมครึ่งปี ถ้ายังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ พ่อค่อยลองคิดดูอีกที”
เยี่ยเทียนส่ายหัว ดึงการ์ดออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้วพูดว่า “มีหนึ่งล้านในนี้ รหัสผ่านคือ 123456 พ่อเอาไว้ใช้ก่อน ถ้าแม่กลับมา พ่อจะได้ไม่เสียหน้า “
การดำเนินงานของซ่งเฮ่าเทียนมีประสิทธิภาพสูงมาก วันที่สองหลังจากที่เขาตกลงรับเงื่อนไขสามข้อของเยี่ยเทียน หนังสือพิมพ์ที่ฮ่องกงก็ตีพิมพ์แถลงการณ์ขอโทษในนามของซ่งจือเจี้ยน ซึ่งยึดพื้นที่ไปครึ่งหน้าของหนังสือพิมพ์
คำแถลงการณ์นี้ทำให้เกิดความฮือฮาในฮ่องกงไม่น้อย แต่ไม่มีใครรู้ว่าตระกูลเยี่ยเป็นครอบครัวที่ศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน ในแถลงการณืนี้มีเพียงถังเหวินหย่วนและไม่กี่คนที่รู้และเข้าใจ
ในเวลาเดียวกันซ่งเฮ่าเทียนยังสื่อสารกับลูกสาวของเขาด้วย บอกว่าเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการกระทำของเธออีกต่อไป รวมถึงกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์เหล่านั้นที่อยู่ภายใต้ชื่อของเธอ และสิ่งนี้เองที่ทำให้ซ่งเวยหลันตัดสินใจกลับประเทศก่อนตรุษจีน
เยี่ยเทียนรู้ดีว่า พ่อของเขาเป็นกังวลและเร่งรีบที่จะขายของรักของหวงเหล่านั้น เพราะยังมีปัจจัยก็คือแม่ของเขากำลังจะกลับมายังประเทศจีน พ่อเป็นคนรักหน้าตา และเขาไม่ต้องการให้ภรรยาดูแคลนตัวเอง
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชายแล้ว เยี่ยตงผิงก็คลายกำปั้นของเขา พูดว่า “เอาล่ะ ลูกพ่อ ลูกวางใจได้ พ่อจะต้องหาเงินเหล่านั้นกลับคืนมาให้ได้!”
“พ่อครับ ผมเชื่อว่าพ่อต้องทำได้อย่างแน่นอน พอละนะ ผมขอกลับไปที่บ้านแล้วนะครับ ศิษย์พี่ใหญ่อาจจะกลับมาวันนี้”
เมื่อเดินไปที่ประตูของเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็หันกลับมา ยิ้มและพูดว่า “พ่อครับ ผมขอพูดกับพ่ออีกประโยคหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรอย่าเอาเงินไปเทียบกับแม่เลยนะ เพราะพ่อจะพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์!”
“รีบไปเลย พ่อของแกดูเหมือนเป็นพวกเกาะผู้หญิงกินหรือไง?” เยี่ยตงผิงจ้องมองลูกชายของเขา แต่ความซึมเศร้าในใจของเขาก็ลดลงอย่างมากด้วยประโยคนี้
เมื่อกลับมาที่เรือนสี่ประสาน โก่วซินเจียก็อยู่ที่ลานบ้านกำลังคุยอยู่กับหูหงเต๋อ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนและลูกศิษย์ของเขาทั้งสองเดินเข้ามา จึงอดยิ้มพูดไม่ได้ว่า “ช่วงนี้ศิษย์น้องโชคไม่ค่อยดีเลยนะ เหมือนว่าจะได้เสียทรัพย์ แต่ก็อย่าโกรธจนเกินไปล่ะ”
“ศิษย์พี่ พี่รู้เรื่องช้าไปนะ” เยี่ยเทียนนั่งอยู่ในลานบ้านพร้อมกับยิ้มพูดว่า “ เป็นยังไงบ้าง? คุยกับคนแก่คนนั้นสนุกไหม?”
“เจ้าเด็กคนนี้ ยังไรก็ตามเหวินซวนก็เป็นตาของเธอนะ อย่าเรียกเขาอย่างนั้นสิ”
โก่วซินเจียมองศิษย์น้องของเขาอย่างจนปัญญา และพูดว่า “เหวินซวนเล่าเรื่องเกี่ยวกับปีนั้นให้ฉันฟัง ตอนนั้นยังมีผู้อาวุโสในตระกูลซ่งอีกหลายคน แรงกดดันของเขาจึงมีมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอย่างลุงสองของเหวินซวน หลังจากที่รู้เรื่องพ่อแม่ของเธอแล้ว จึงยิ่งไม่ยอมและไม่ให้อภัย เกือบตัดขาดออกจากตระกูลซ่งในประเทศจีนแล้ว ดังนั้นปู่ของเธอจึงส่งแม่ของเธอไปต่างประเทศ “
เมื่อครอบครัวมีขนาดใหญ่ ไม่ใช่แค่คนคนเดียวจะสามารถพูดและตัดสินใจเองได้อีกต่อไป ซ่งเฮ่าเทียนในเวลานั้น ไม่สามารถพูดอะไรกับสกุลซ่งได้ และเหนือกว่าเขายังมีบุคคลผู้ทรงอิทธิพลอีกหลายท่าน
การแต่งงานของซ่งเวยหลันและเยี่ยตงผิง จึงได้รับการคัดค้านที่ใหญ่หลวง โดยมาจากญาติผู้ใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลและลุงสองของซ่งเฮ่าเทียนที่เสียชีวิตในคุก ซ่งเฮ่าเทียนถูกบีบจนไม่มีทาง จึงคิดวางแผนให้ซ่งเวยหลันออกนอกประเทศ
อย่างไรก็ตามทำผิดก็คือผิด ความเสียหายที่เกิดกับวัยเด็กของเยี่ยเทียนก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถชดเชยได้เช่นกัน ด้วยสถานะของซ่งเฮ่าเทียนเขาไม่สามารถอธิบายให้เยี่ยเทียนฟังได้อย่างแน่นอน จึงใช้คำพูดของโก่วซินเจีย เพื่อถ่ายทอดแก่เยี่ยเทียนให้ทราบถึงความความทุกข์ทรมานของเขา
“ ศิษย์พี่ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว ผมมีเรื่องอยากขอคำปรึกษาจากศิษย์พี่”
เรื่องของเยี่ยเทียนและตระกูลซ่งถือได้ว่าสิ้นสุดลงแล้ว ก่อนที่แม่ของเขาจะกลับมาจึงไม่ต้องการพูดถึงมันอีก รีบโบกมือพูดว่า “ศิษย์พี่ ที่จังหวัดกั้น ในยุทธภพตอนนั้น มีคนแซ่จี๋ไหม?”
เยี่ยเทียนได้รู้จากปากของเปาเฟิงหลิง ว่าพี่ใหญ่จี๋คนนี้มีพรรคพวกอยู่บ้าง การทำนายเสียงโชคนนั้นแม่นยำมากกว่าใครๆ และกำลังภายในของเขานั้นเก่งกาจมาก จากการทำนายนี้ จึงเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเป็นคนในยุทธภพจริง
“แซ่จี๋? ไม่มี…”
โก่วซินเจียจ้องมองโจวเซี่ยวเทียนที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยเทียน แล้วพูดว่า ” ยุทธภพในพื้นที่จังหวัดกั้นถูกปกครองโดยอำนาจของตระกูลโจว ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเซี่ยวเทียน
แต่คนที่ขโมยมรดกในบ้านของเซี่ยวเทียนล้วนเป็นศิษย์ที่ไม่ได้เรื่อง ในเวลานั้นฉันได้ฆ่าพวกเขาไปสองคน และคนอื่น ที่เหลือก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนกัน…”
การสืบทอดของตระกูลโจวนั้นมีพื้นฐานมาจากบรรพบุรุษของโจวเซี่ยวเทียน ในตอนปลายของราชวงศ์ชิงมีปัญหาภายในตระกูล และมรดกนั้นกลับตกเป็นของคนนอกตระกูล ทำให้ปู่ของเซี่ยวเทียนถูกบังคับให้ออกไปจากบ้านเกิด
เพียงแต่คนนอกตระกูลที่ได้สืบทอดไปเป็นคนที่คิดคด ในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่นเขาใช้มันอย่างเปิดเผย และให้การช่วยเหลือญี่ปุ่นทำลายราชวงศ์ชิงแตกสลายรวมกันคนในยุทธภพและพรรคเชียนในจังหวัดกั้น
ในเวลานั้น โก่วซินเจียนำคนในยุทธภพจากทุกส่วนของที่ราบภาคกลางต่อสู้ฆ่าฟันกับตระกูลโจวสายนั้น แม้ว่าหลายคนถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุ แต่ก็ยังมีบางคนที่หนีออกมาได้
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโจวเซี่ยวเทียน โก่วซินเจียไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย หากไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนถามเกี่ยวกับยุทธภพในจังหวัดกั้น เขาจะไม่พูดเรื่องพวกนี้ออกมา
หลังจากฟังเรื่องนี้จบ ตาของโจวเซี่ยวเทียนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที เขาไม่คิดเลยว่าตระกูลโจวจะเคยมีคนทรยศ ทำให้โจวเซี่ยวเทียนผู้ซึ่งมีความภูมิใจในบรรพบุรุษโจวตุนอี๋มาตลอดนั้นรู้สึกยากที่จะยอมรับได้
เมื่อเห็นน้ำในตาของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนก็ตบที่ไหล่ของเขา และพูดว่า “เซี่ยวเทียน พวกหมาเห่าใบตองแห้งมีอยู่มากมายในยุทธภพ จะว่าไปแล้วคนพวกนี้เขาขโมยมรดกบรรพบุรษของนายไป มันไม่เกี่ยวข้องกับสายเลือดของนายมากหรอก”
“แซ่จี๋ ไม่เคยได้ยินแซ่นี้ในยุทธภพนะ”
ในขณะที่เยี่ยเทียนกำลังปลอบโยนศิษย์น้องของเขา ตาของโก่วซินเจียก็สว่างขึ้นมา และพูดว่า “ศิษย์น้อง เธอดูคำว่าโจวถ้าเอากรอบออก จะอ่านว่าอะไร?”
“คำว่าโจวเอากรอบออก? อย่างนั้น…อย่างนั้นก็คือคำว่าจี๋ใช่มั้ย?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตกใจ “ศิษย์พี่ ความหมายของพี่คือคนที่หลอกเงินของฉัน คือลูกหลานของตระกูลโจวเหรอ?”
โก่วซินเจียพยักหน้า และพูดว่า “บรรพบุรุษพวกเขาเป็นคนทรยศ พวกเขาจึงไม่กล้าใช้แซ่เดิม ถ้าคนๆ นี้แซ่จี๋และยังเป็นคนในยุทธภพอีก มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ”
“บ้าเอ้ย นี่เป็นหายนะที่แท้จริง”
เยี่ยเทียนมองไปที่ลูกศิษย์ และพูดว่า “เซี่ยวเทียน นายสามารถมั่นใจได้ เมื่อไหร่ที่ได้พบพี่ใหญ่จี๋ ฉันจะพานายไปด้วย ถ้าเป็นมรดกการถ่ายทอดของตระกูลโจวจริงๆ จะเป็นวันที่สิ่งของกลับไปยังเจ้าของเดิม!”
“ครับ อาจารย์ ผมจะเชื่อฟังอาจารย์ครับ” โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ ใช่แล้ว ศิษย์พี่ เหล่าหู มีการแข่งขันชกมวยในค่ำคืนนี้ ทุกคนอยากไปดูไหม?” เยี่ยเทียนมองดูเวลาจวนจะหนึ่งทุ่มแล้ว คาดว่าไม่นานชิวเหวินตงจะขับรถมารับตัวเอง
หลังจากฟังเยี่ยเทียนเล่าการแข่งขันชกมวยเสร็จ โก่วซินเจียจึงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ฉันไม่ไปด้วยดีกว่า เธอพาสองคนนี้ไปเถอะ ศิษย์น้องเล็ก ในตัวเธอมีพลังพิฆาตมากเลยนะ ฉะนั้นในตอนกลางคืนก็อย่าได้ลงมือเลย”
ในระหว่างการสนทนา โทรศัพท์ก็ดังขึ้น หลังจากรับโทรศัพท์ เยี่ยเทียนและโก่วซินเจียจึงร่ำลากัน พาหูหงเต๋อกับโจวเซี่ยวเทียนออกจากเรือนสี่ประสานไป
…..
ตอนที่ 456 มวยใต้ดิน (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หือ? อู่เฉิน คุณมาคนเดียวเหรอ? แล้วเหล่าชิวล่ะ?”
ขณะที่เดินไปด้านนอกเรือนสี่ประสาน ก็ได้มีรถอเนกประสงค์จอดอยู่ที่นั่นคันหนึ่ง เยี่ยเทียนขึ้นรถมา นอกจากอู่เฉินที่ขับรถก็ไม่มีใครอยู่ในรถอีก
ชิวเหวินตงและเยี่ยเทียนสามารถเรียกกันแบบพี่น้องได้ แต่อู่เฉินไม่กล้า หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เขาจึงรีบพูดว่า “ท่านเยี่ย อาจารย์ไปที่สนามก่อนครับ วันนี้มีแข่งทั้งหมดหกนัด เขาจะต้องไปจัดการที่สนามเร็วหน่อยครับ “
“ อู่เฉิน ใครคือผู้เข้าร่วมการแข่งขันชกมวยทั้งหกนัดนี้บ้าง?” เยี่ยเทียนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความเสี่ยงในการเล่นชกมวยใต้ดินนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก อาจถึงชีวิตและตายได้ เขาไม่รู้ว่าผู้จัดงานไปหานักมวยเหล่านี้มาจากที่ไหนบ้าง?
“ท่านเยี่ย มีคนทุกประเภทครับ มีลูกศิษย์ในประเทศบ้าง แล้วก็มีพวกกองกำลังทหารพิเศษที่เกษียณบ้าง และแชมป์มวยใต้ดินต่างชาติบ้าง วันนี้มีราชามวยจากรัสเซียมาหนึ่งคนครับ”
อู่เฉินหยุดพูดไปครู่นึง และพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “คนที่เข้าร่วมในการแข่งขัน ส่วนใหญ่จะขัดข้องด้านการเงิน แต่ก็มีบางคนที่อยากจะหาแรงกระตุ้นและความเร้าใจให้ตัวเอง วันนี้ท่านเยี่ยก็จะเห็นได้ครับ”
แม้ว่าครั้งก่อนนั้นโจวเซี่ยวเทียนจะลงมือต่อยตีอู่เฉินจนเจ็บหนัก แต่หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ก็ดีขึ้น ดังนั้นโจวเซี่ยวเทียนก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกันว่า “พี่อู่ ฝีมือกังฟูระดับพี่ ถ้ามีส่วนร่วมในการแข่งขันชกมวยด้วย จะจัดอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่กัน ?”
“การชกมวยใต้ดินแบบนี้ไม่ต้องจัดอันดับก็ได้ “
อู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ถ้าฉันแข่งขันเองฉันสามารถขึ้นไปชกได้นิดหน่อย แต่มันเป็นการพนันต่อชีวิตและความตาย ถ้าฉันขึ้นไปต่อสู้ กลัวว่ายังไม่จบสามยก ฉันก็อาจจะถูกตีตายแล้ว”
ตาของโจวเซี่ยวเทียนเบิกกว้างเมื่อได้ยิน และพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไม่จริงมั้ง ฝ่ามือเหล็กของพี่อู่ไม่ธรรมดาเลยนะ ไม่สามารถแข่งถึงสามยกได้เชียวเหรอ?”
เยี่ยเทียนเหลือบมองไปที่ลูกศิษย์ของเขา ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เซี่ยวเทียน การต่อสู้แบบเอาชีวิตและความตายนั้นไม่เหมือนกับศิลปะการต่อสู้ จะอาศัยแต่วิชาการต่อสู้นั้นยังไม่พอ แต่ต้องมีความกล้าและพลังที่ดุร้าย มีเพียงผู้ที่ไม่คำนึงถึงชีวิตและความตายของพวกเขาเท่านั้น ที่จะสามารถไปต่อสู้มวยชนิดนี้ได้…”
การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ท่ามกลางยุทธภพนี้ ให้ความสนใจกับจุดสิ้นสุดเท่านั้น และหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ในกระบวนท่าเดียว ก็จะไม่ดำเนินการต่อไปอีก
แต่มวยใต้ดินนั้นแตกต่างกัน ทั้งสองข้างถ้าไม่ตายก็จะไม่หยุดต่อสู้ ถ้าคุณทำให้อีกฝ่ายล้มลงแล้วคุณจะดึงกำปั้นของคุณกลับเพื่อออมมือ เกรงกว่าอีกฝ่ายจะฆ่าคุณด้วยมือที่โหดเหี้ยม
อีกประเด็นหนึ่งคือ การชกมวยชั้นสูงไม่ได้หมายถึงความกล้าหาญ บางคนฝึกมวยมาตลอดชีวิต และกังฟูก็ไม่ลึกนัก แต่เมื่อพวกเขาได้พบกับผู้ที่ไม่มีความสามารถในศิลปะการต่อสู้ เป็นไปได้ว่าอาจสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
ก็เหมือนเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเจิ้งโจว อาจารย์ไท๋จี๋ที่รู้จักกันดีในโลกศิลปะการต่อสู้ในประเทศ มีครั้งหนึ่งถูกปล้นระหว่างทาง อาจารย์ท่านนี้ฝึกฝนกังฟูมาสามถึงสี่สิบปี เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา แน่นอนว่าคนในยุทธภพจึงรู้กันทั่ว
โจรวัยหนุ่มคนนั้น น่าจะวัยยี่สิบต้นๆ เมื่อเห็นคนมาขวางทางก็ชักมีดพกออกมา ไม่สนใจอะไร แทงตรงไปหาอาจารย์คนนั้น
อาจารย์ไท่จี๋คนนี้เคยฝึก และสอนลูกศิษย์มาบ้าง มากที่สุดก็คือการประลองมวยกับคนสายเดียวกัน ไม่เคยได้เห็นสถานการณ์ที่คุกคามชีวิตจริง ความกล้าหาญของเขาจึงหมดลงทันที
คำโบราณกล่าวว่า ในทางแคบได้เจอผู้กล้า อีกฝ่ายพยายามหลบหนีเอาชีวิตรอด และอีกฝ่ายแม้มีวิชากังฟูแต่ไม่มีความกล้าหาญ เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน อาจารย์ไท่จี๋ที่มีชื่อเสียงก็เลยถูกแทง อย่าพูดถึงการจับกุมผู้ลงมือก่อเหตุ เพราะแม้แต่ชีวิตของเขาเองก็เกือบจะถูกทำลาย
และนี่ก็เป็นที่รู้จักกันว่ากำปั้นที่ซี้ซั้วสามารถเอาชนะอาจารย์แก่ได้ การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย กับการประลองวิชา เป็นนิยามที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ท่านอาจารย์ คนที่ฝึกมวยกับคนที่ไม่เคยฝึกยังไงก็มีความแตกต่างกันแหละมั้ง?” หลังจากฟังคำอธิบายของเยี่ยเทียนแล้ว โจวเซี่ยวเทียนพูดอย่างไม่ยอมแพ้
“ แน่นอนว่ามันแตกต่างกัน แต่ตราบใดที่แรงผลักดันของนายไม่ถูกทำลาย คนธรรมดาจะไม่สามารถเอาชนะนายได้”
เยี่ยเทียนยิ้มและพูดว่า”เซี่ยวเทียนอย่าคิดว่ากังฟูของนายได้เข้าสู่ขั้นพลังแฝงแล้ว แต่ถ้าเหล่าหูต่อสู้กับเธอถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย แค่ประมือกันท่าเดียวเขาก็สามารถฆ่านายได้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โดยปราศจากเลือด “
เมื่อฟังเยี่ยเทียนพูดถึงการได้เห็นเลือด หูหงเต๋ออดขนลุกไม่ได้ และพูดว่า “พอได้แล้ว เยี่ยเทียน สมัยนี้แล้วจะมีเลือดมากมายที่ไหนให้เห็นเล่า เซี่ยวเทียนเรียนรู้ฝึกฝนกังฟูให้มีสุขภาพแข็งแรงก็เพียงพอแล้ว”
ฉากการฆ่าฟันของเยี่ยเทียนในป่าไม้เก่า หูหงเต๋อยังจดจำได้ดี โจวเซี่ยวเทียนเป็นต้นกล้าที่ไม่ธรรมดา อย่าเรียนแบบอย่างเหมือนเยี่ยเทียนที่เหมือนดั่งปีศาจสังหาร
ขณะที่พูดอู่เฉินก็เริ่มสตาร์ทรถ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงทางแยกเขตของปักกิ่งและหลางฝาง แล้วมาหยุดที่ลานบ้านด้านนอกตึกอาคารเล็กสามชั้น
หลังจากจอดรถ อู่เฉินจึงมองเยี่ยเทียน และพูดว่า “ท่านเยี่ย เดิมทีที่นี่เป็นสโมสรส่วนตัว แต่ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสนามมวยใต้ดิน นัดแรกจะเริ่มตอนสามทุ่ม พวกเราไปหาอะไรทานกันก่อนเถอะครับ”
“ได้สิ ฉันมาที่นี่เพื่อเปิดหูเปิดตา วันนี้ไปตามที่พวกนายจัดการได้เลย ” เยี่ยเทียนพยักหน้า และผลักประตูออกจากรถ
“มีคนไม่น้อยเลยนะที่มาที่นี่?”
ชั้นแรกของสโมสรคือห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ มองผ่านหน้าต่างสูงจากเพดานจรดพื้น สามารถเห็นผู้คนที่อยู่ทั้งภายในและภายนอก มีทั้งชายและหญิง ดูแล้วเหมือนงานเลี้ยงค็อกเทลอย่างนั้น
อู่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน คนรวยในปักกิ่งและเทียนจิน น้อยมากที่จะไม่มีใครเคยมาที่นี่”
เมื่ออู่เฉินนำทาง เยี่ยเทียนและพรรคพวกของเขาก็เดินไปอย่างปราศจากการขัดขวาง ทันทีที่ทั้งสี่คนเข้ามาในห้องอาหาร พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก
โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของคุณปู่หูนั้นเด่นชัดมาก ความสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเมตรบวกกับผมสีเงิน อยากจะทำตัวธรรมดาหน่อยก็เป็นไปได้ยาก
อย่างไรก็ตามหูหงเต๋อไม่ใช่คนนิสัยดีเท่าไหร่ สายตาของเขาจ้องมองดวงตาที่มองมาเหล่านั้น ทันใดนั้นดวงตาที่แหลมคมก็ทำให้ทุกคนต้องหลบและหันกลับไป
“น้องเยี่ย มาแล้วหรือ ฉันกำลังคิดจะโทรหาเสี่ยวอู่อยู่พอดี”
เยี่ยเทียนหยิบจานและกำลังจะไปตักอาหาร เสียงของชิวเหวินตงก็ดังขึ้น และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ชิวเหวินตงเดินมากับผู้ชายคนหนึ่งในวัยสามสิบต้นๆ
ชายคนนั้นมีความสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร มีใบหน้าค่อนข้างตอบ ดวงตาแคบยาวดูอ่อนโยน เพียงแต่เวลาจ้องมองผู้คน ดวงตาก็จะเผยประกายออกมาจนหมดโดยไม่รู้ตัว ทำให้ดูทรงพลังอย่างเห็นได้ชัด
เยี่ยเทียนมองไปที่ชายคนนั้นแล้งจึงชักสายตากลับ พลางแอบพูดในใจว่า “ฝีมือของชายคนนี้ไม่อ่อนด้อยเหมือนกัน ดูเหมือนจะออกมาจากกองทัพ”
แน่นอนว่าสิ่งที่เยี่ยเทียนเรียกว่าไม่อ่อนด้อยนั้น แค่เปรียบเทียบกับคนทั่วไปเท่านั้น แต่ไม่อาจเปรียบเทียบสิ่งใดกับเขาได้เลย
“น้องเยี่ย ฉันขอแนะนำให้คุณ นี่คือท่านประธานจู้ จู้เหวยเฟิง เป็นเจ้าของสโมสรแห่งนี้”
หลังจากมาถึงตรงหน้าเยี่ยเทียนแล้ว ชิวเหวินตงจึงก้าวออกไปเล็กน้อย แล้วหลีกให้ชายคนนั้นไปที่ตำแหน่งของเขา เยี่ยเทียนมองออก ขณะที่ชิวเหวินตงพูด ในสายตาของเขาแฝงความกลัวประธานจู้คนนี้อยู่กลายๆ
“ท่านประธานจู้ นี่คือเยี่ย…”
ขณะที่ชิวเหวินตงกำลังจะแนะนำเยี่ยเทียน จู้เหวยเฟิงจึงโบกมือแล้วพูดว่า “เหล่าชิว คุณไม่ต้องแนะนำ ชื่อเสียงที่โด่งดังของน้องเยี่ยฉันได้ยินมานานแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่เคยมีโอกาสได้รู้จัก วันนี้น้องเยี่ยมาร่วมสนุกในสนามด้วย ช่างเป็นเกียรติของผมเป็นอย่างยิ่ง! “
“หือ? ท่านประธานจู้รู้จักผมหรือ?” ถึงแม้อีกฝ่ายเรียกว่าน้องเกือบทุกคำ แต่ว่าเยี่ยเทียนก็ยังไม่ต่อคำพูดของเขา และเรียกขานอย่างมีมารยาท
จู้เหวยเฟิงยิ้มและพูดว่า “เรื่องที่น้องเยี่ยสั่งสอนหวงซือจื้อ ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว”
“ โอ้? ท่านประธานจู้กับคุณชายหวงรู้จักกัน?” ใบหน้าของเยี่ยเทียนแสดงให้เห็นถึงความขี้เล่น คนนี้รู้จักหวงซือจื้อ ก็คงจะเป็นทายาทของพวกสร้างความดีความชอบเหล่านั้นด้วยแหละมั้ง
บนพื้นที่ของเมืองหลวง มีคนที่ได้ตำแหน่งสูงๆ เพราะความสามารถของตนเอง หากพวกเขาพูดคุยถึงอำนาจและความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนต่างๆ ก็คงมีส่วนเกี่ยวข้องซับซ้อนกับครอบครัวเหล่านั้นที่มีส่วนการก่อตั้งเปิดประเทศจีน
พลังอันยิ่งใหญ่ของคนเหล่านี้ แม้กระทั่งผู้ที่อาศัยอยู่ในกำแพงสีแดงก็ไม่กล้าเพิกเฉยต่อพวกเขา เพราะลูกศิษย์ของชายแก่พวกนั้นอยู่ในวงการทหารและการเมืองเต็มไปทั่ว และหากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็จะถูกทำลายความสมดุลนั้นไป
แต่จนถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้ตระหนักว่า ในสายตาของคนที่มีความรอบรู้บางคน เขาก็กลายเป็นบุคคลในแวดวงนี้ไปแล้ว และยังเป็นพวกที่อยู่ในระดับที่สูงมากอีกด้วย
“ หวงซือจื้อถือว่าเป็นคุณชายได้เหรอ?”
จู้เหวยเฟิงแสดงสีหน้าดูถูกออกมาและพูดว่า “ฉันไม่เป็นมิตรกับไอ้สุนัขบ้านั่น ถ้าฉันไม่เห็นแก่หน้าปู่ของมันที่ตายไป ก็คงจะลงมือสั่งสอนมันไปนานแล้ว การจัดการครั้งนั้นของน้องเยี่ยเป็นที่สะใจมากจริงๆ!”
“ท่านประธานจู้ชมมากไปแล้ว พี่ชิว คุณอยู่กับท่านประธานจู้ก่อนนะ ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย ถ้างั้น…เดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกันภายหลังดีไหม?”
เยี่ยเทียนไม่ต้องการจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นอีก และจู้เหวยเฟิงก็ยืนอยู่ข้างๆ เขา ซึ่งเกือบจะดึงดูดสายตาของทุกคนในห้องอาหารมาทั้งหมด ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกอึดอัดและไม่คุ้นเคย
ทันทีที่เยี่ยเทียนพูดในสิ่งนี้ ใบหน้าของผู้คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็แสดงสีหน้าแปลก ๆ
จู้เหวยเฟิงมีสถานะเป็นใคร? แขกที่มาที่นี่หลายครั้งยังไม่เคยเห็นเขาอยู่เป็นเพื่อนใครเลย และชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่รับน้ำใจเลยสักนิด ถึงรังเกียจที่เขารบกวนตัวเองทานอาหารหรือ?
แต่จู้เหวยเฟิงก็ไม่ได้แสดงสีหน้าที่ไม่ดี แล้วจึงพยักหน้าพูด “ได้สิ น้องเยี่ยกินข้าวก่อน อีกสักพักฉันจะใช้ให้คนจัดส่ง เหล้าเหมาไถห้าสิบปีสองขวดมาให้ การแข่งขันชกมวยในวันนี้ ฉันเป็นคนดูแลน้องเยี่ยเอง! “
เมื่อจู้เหวยเฟิงกล่าวออกไป ไม่เพียงแต่บรรดาแขกที่มาต่างตกใจ แม้แต่ชิวเหวินตงเองก็มองเยี่ยเทียนด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเยี่ยเทียนสามารถทำให้ประธานจู้ที่อยู่เหนือกว่าเขาเสมอยินดีที่จะมานั่งรับรองแขก?
เดิมทีชิวเหวินตงแค่คิดว่าเยี่ยเทียนมีทักษะที่ดี และมีความอาวุโสของเขาในยุทธภพ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ เพราะถ้าเยี่ยเทียนมีตัวตนอยู่เฉพาะในยุทธภพนี้ จู้เหวยเฟิงจะไม่มีท่าทีเช่นนี้ต่อเขาเลย
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณท่านประธานจู้”
เยี่ยเทียนพยักหน้าและไม่เกรงใจ เหมาไถห้าสิบปีไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงิน ตอนนี้จึงจัดเตรียมอาหารที่มีรสชาติถูกปาก และทักทายหูหงเต๋อทั้งสองแล้วจึงนั่งลงในที่ลับตาคนหน่อย
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมื่อสักครู่ แม้ว่าการทำตัวของเยี่ยเทียนนั้นจะธรรมดา แต่มันก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการสนทนาของทุกคน ทำให้การกินอาหารมื้อนี้ค่อนข้างจืดชืด และหลังจากการดื่มสุราเหมาไถกับหูหงเต๋อหมดไปหนึ่งขวดแล้ว จึงลุกออกไปจากห้องอาหาร
……
ตอนที่ 457 สนามมวยใต้ดิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คุณเยี่ย ท่านประธานจู้รอคุณอยู่ที่ห้องรับรองแขกพิเศษค่ะ!”
เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ อีกสามคนเพิ่งเดินถึงหน้าประตูร้านอาหาร ก็ถูกผู้หญิงท่าทางสวยงามกันไว้ ผู้หญิงคนนี้อายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี รูปร่างสูงเพรียว แต่งหน้าอ่อน บุคลิกดีเป็นสง่า
“ครับ นำทางเลยครับ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า และให้สาวสวยผู้อยู่ตรงหน้าเป็นผู้นำทาง ผู้หญิงคนนั้นถึงแม้สั่งถูกสั่งสอนมาดีมาก แต่ก็แสดงอารมณ์โดยการกระทืบเท้า จากนั้นจึงพาเยี่ยเทียนอ้อมร้านอาหารไปที่ลิฟต์ด้านข้างแห่งหนึ่ง
“ทั้งหมดมีแค่สามชั้น ต้องมีลิฟต์ด้วยเหรอ ขี้อวดจริงๆ” เยี่ยเทียนส่ายหน้าไปมา เข้าไปในลิฟต์ตามผู้หญิงคนนั้น
“ชั้นสองชั้นสามเป็นสถานที่ส่วนบุคคล ท่านประธานจู้ไม่ค่อยเชิญเพื่อนขึ้นไปข้างบนเท่าไรค่ะ”
หญิงสาวไม่รู้ฐานะของเยี่ยเทียน ดังนั้นเวลาพูดจาจึงมีความหยิ่งนิดหน่อย ส่วนตัวของเธอนั้นก็มีความหยิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะลำดับศักดิ์ของเธอเทียบเท่ากับจู้เหวยเฟิง
“อ่อ? แล้วการแข่งขันมวยจัดที่ไหนเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินก็อึ้งไปสักครู่ อาคารนี้มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นหนึ่งคือร้านอาหาร ชั้นสองกับสามคือสโมสรส่วนบุคคล เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะจัดการแข่งขันมวยข้างนอก?
“จัดใต้ดินสิคะ เดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง” หญิงสาวมองเยี่ยเทียน และไม่ยอมพูดมากกว่านี้
“พวกเราไม่ได้ล่วงเกินคุณใช่ไหม?” เยี่ยเทียนจับจมูกอย่างเซ็งๆ ไม่หือไม่อือและเดินตามเข้าไป หลังจากลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นสาม ประตูลิฟต์เปิดออก จู้เหวยเฟิงกับชิวเหวินตงก็ยืนรอรับอยู่ที่หน้าประตูลิฟต์แล้ว
“อาเฟิง ฉันพาคนมาแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนวิธีการเรียกเมื่อเจอจู้เหวยเฟิง และยังจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ
จู้เหวยเฟิงหัวเราะออกมา ยื่นมือคว้าเอวของผู้หญิงคนนั้นเอาไว้พูดว่า “ซาซา ลำบากคุณจริงๆ น้องเยี่ยเป็นแขกพิเศษ มีแค่คุณออกหน้าต้อนรับถึงจะดูยิ่งใหญ่น่ะสิ?”
ซาซาได้ยินก็อึ้งไปครู่หนึ่ง และถามอย่างสงสัยว่า “แขกพิเศษ? ลูกศิษย์ของใคร? ทำไมฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?”
ซาซาโตมาด้วยกันกับจู้เหวยเฟิง และรู้ดีว่า ว่าที่สามีของตนคนนี้ตาแหลมนัก บวกกับประสบการณ์ของเขานั้นน่ามหัศจรรย์มาก ลูกศิษย์ของพี่ใหญ่หลายๆ คนในปักกิ่ง ก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลย
แต่เยี่ยเทียนไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวหรือกิริยาท่าทาง เมื่อเทียบกับพวกลูกศิษย์ของตระกูลขุนนางแล้วยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง ซาซาไม่รู้ว่า ว่าที่สามีของตัวเองทำไมถึงมองเด็กหนุ่มคนๆ นี้แตกต่างไปจากคนอื่น?
“หลานชายคนโตนอกตระกูลซ่ง!” จู้เหวยเฟิงกระซิบข้างหูซาซา พูดด้วยเสียงค่อนข้างเบา แต่ในสายตาของคนนอกอาจจะคิดว่าสองคนนี้กำลังแสดงความรักต่อกัน
“พวกคุณเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า?” ซาซาเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง ในใจถึงแม้จะตกใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกมานั้นดูอะไรไม่ออกเลย เพียงแค่คล้องแขนของจู้เหวยเฟิงเอาไว้เท่านั้น
“พวกเราเป็นลูกผู้ชายอยู่แล้ว?” จู้เหวยเฟิงแซวซาซากลับ หันไปหาเยี่ยเทียน ยิ้มและพูดว่า “น้องเยี่ย คนนี้เป็นว่าที่ภรรยาของผม เรียกซาซาก็ได้ครับ”
คนที่มีระดับอย่างจู้เหวยเฟิง จะไม่ทำความรู้จักคบค้ากับคนธรรมดา แต่ถ้าเป็นคนที่เขายอมรับ เวลาคบหาคนนั้นเขามักจะทิ้งความประทับเอาไว้จนคนนั้นยังไม่ทันรู้ตัว
จู้เหวยเฟิงกระชับความสัมพันธ์กับเยี่ยเทียนไปได้อีกขั้น จากการแนะนำว่าที่ภรรยาของตนด้วยกิริยาท่าทางง่ายๆเพียงเท่านั้น
“เรื่องนี้เกิดในปักกิ่ง ไม่มีความลับอะไรให้พูดจริงๆ เหรอ?”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ ความสามารถในการได้ยินของเขามันอยู่ระดับไหน? ถึงแม้จู้เหวยเฟิงพูดกับซาซาด้วยเสียงที่เบามาก แต่ก็ไม่พ้นหูของเขา เพียงแต่เยี่ยเทียนคิดไม่ถึง ครั้งก่อนที่ซ่งเฮ่าเทียนมาหาอย่างลับๆ ขนาดนั้น ยังมีคนรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
“คุณซาซาสวยมากครับ เหมาะสมกับท่านประธานจู้จริงๆ”
คนอื่นไว้หน้าตัวเอง เยี่ยเทียนก็ไม่ถือที่จะต้องพูดคำดีดีตอบกลับ แต่ความอดทนของเขามีถึงเท่านี้จริงๆ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ไม่ทราบว่าการแข่งขันมวยของวันนี้จะเริ่มตอนไหน? คนบ้านนอกอย่างผมเพิ่งเคยมาครั้งแรกน่ะ”
“เริ่มสามทุ่มตรงครับน้องเยี่ย ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง พวกเรานั่งดื่มชากันก่อน”
จู้เหวยเฟิงนำทางอยู่ข้างหน้า ยิ้มและพูดว่า “น้องเยี่ยอยากดูสนามจริง หรือดูผ่านทีวี? สนามจริงจะมีกลิ่นคาวของเลือดนะ!”
ตอนพูดจู้เหวยเฟิงหันข้างเล็กน้อย มองไปที่โจวเซี่ยวเทียนกับหูหงเต๋อครู่หนึ่ง ลักษณะรูปร่างของนักต่อสู้สองคนนี้ชัดเจนมาก เขาจึงคิดว่าสองคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของเยี่ยเทียนเท่านั้น
“คนที่มาที่นี่ ก็มาเพื่อดูสนามที่เต็มไปด้วยคาวเลือดไม่ใช่หรือ?”เยี่ยเทียนหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “ดูสนามจริงดีกว่า ถึงแม้ผมไม่ใช่คนใจกล้ามาก แต่ก็ไม่อ่อนแอขนาดนั้น”
ระหว่างที่พูดคุยกัน ทุกคนเดินมาถึงหน้าห้องห้องหนึ่ง หลังจากผู้ชายใส่สูทที่ยืนอยู่ข้างหน้าผลักประตู เยี่ยเทียนเพิ่งเข้าใจความหมายที่จู้เหวยเฟิงสื่อถึงเมื่อสักครู่
ถ้าจะพูดว่าเป็นห้องทำงาน ควรพูดว่าเป็นห้องควบคุมน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะในห้องนี้เต็มไปด้วยหน้าจอควบคุมเล็กใหญ่แขวนอยู่ตามกำแพงสี่ทิศ
กล้องวงจรปิดจำนวนนับไม่ถ้วนหลายแบบติดอยู่ทั่วทุกมุมสามารถบันทึกภาพทุกอย่างไว้ทั้งหมด ไม่มีจุดบอดแม้แต่มุมเดียว และที่สำคัญสามารถเล่นภาพเร็วกับภาพสโลโมชั่นก็ยังได้ การดูการแข่งขันมวยผ่านตรงนี้ชัดเจนกว่าสนามจริงเสียอีก
“นี่อยู่ชั้นใต้ดิน?”
มองดูบรรยากาศในหน้าจอ เยี่ยเทียนไม่เชื่อสายตาและถามออกไปแบบนั้น เพราะกล้องเหล่านี้นอกจากจับมุมของสนามมวยไว้แล้ว ชั้นใต้ดินของอาคารทั้งหมดก็อยู่ในขอบเขตการควบคุมด้วย
ถึงแม้สิ่งที่เห็นในหน้าจอจะไม่ใช่การมองโดยตรง แต่เยี่ยเทียนก็สัมผัสได้ถึงขนาดของสนามมวยใต้ดินนั้นกว้างถึงหนึ่งถึงสองพันตารางเมตร เก้าอี้ถูกวางไว้เต็มทุกสี่ด้าน สามารถรองรับคนได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดร้อยคน
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนแสดงออกมาถึงความตกตะลึง จู้เหวยเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจ แล้วจึงยิ้มพูดว่า “ใช่ เมื่อก่อนที่นี่เป็นหลุมหลบภัย หลังจากนั้นถูกทิ้งให้ว่างเปล่า ผมเลยปรับเปลี่ยนให้เป็นสนามมวยแทน น้องเยี่ย ดื่มชาอะไรดี?”
เยี่ยเทียนโบกมือปฏิเสธและพูดว่า “ไม่ดื่มชาแล้วครับ ท่านประธานจู้ พวกเราลงไปดูกันเลยดีกว่า”
เยี่ยเทียนไม่เคยคิดจริงๆ ว่าในประเทศจีนยังมีสนามมวยใต้ดินแบบนี้ด้วย ในใจที่มองจู้เหวยเฟิงจึงเปลี่ยนเป็นอีกแบบไปเลย
“ตกลง งั้นพวกเราลงไปกันเถอะ!”
จู้เหวยเฟิงพยักหน้า หันกลับไปพูดกับชิวเวินตงว่า “เหล่าชิว คุณพาคนไปดูตรงนี้ มีเรื่องด่วนอะไรให้บอกผมทันที”
เมื่อได้ยินจู้เหวยเฟิงสั่ง ชิวเหวินตงก็รีบตอบ “ท่านประธานจู้ สบายใจได้ครับ ใครจะกล้ามาสร้างเรื่องในสนามของท่านละครับ?”
เยี่ยเทียนพบว่า ปกติชิวเหวินตงที่อกผายไหล่ผึ่งมาตลอด ตอนนี้กลับก้มตัวลง จึงแอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ
คำพูดที่ว่า “เรียนรู้ศาสตร์วิทยายุทธจนเก่งกล้าแต่แพ้ให้กับฮ่องเต้” นั้นพูดไว้ไม่มีผิด ชิวเหวินตงถือว่าเป็นหนึ่งในวงการศิลปะการต่อสู้ ในเทียนจิน แต่เวลาอยู่ต่อหน้าจู้เหวยเฟิง กลับแสดงออกมาเหมือนคนไม่มีความทะนง
“นี่น่าจะอยู่ใต้ดินสามสิบเมตร”
ลงลิฟต์จนถึงชั้นพื้นดิน เยี่ยเทียนคำนวณเวลาพบว่า ระยะห่างของสนามมวยกับภาคพื้นดินห่างกันถึงสามสิบสี่สิบเมตรทีเดียว ดูเหมือนว่านอกจากการสร้างหลุมหลบภัยแล้ว คนทั่วไปคงไม่สามารถขุดได้ลึกเพียงนี้
มองดูสนามจากกล้องวงจรปิดยังสู้ความตื่นตะลึงที่เยี่ยเทียนเห็นของจริงจากชั้นใต้ดินไม่ได้หรอก หลังจากออกจากลิฟต์ เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่พูดเสียงชื่นชมออกมา “ท่านประธานจู้ ท่านลงทุนมหาศาลจริงๆ!”
ขนาดของสนามมวยใต้ดินแห่งนี้เคยเห็นจากกล้องวงจรปิดแล้ว แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือ ความสูงของชั้นใต้ดินแห่งนี้แตกต่างจากหลุมหลบภัยทั่วไป มันกลับสูงถึงสิบกว่าเมตร
เพดานที่สูงจากพื้นสิบสี่ถึงสิบห้าเมตร ใช้โครงสร้างเหล็กกล้าเรียงเป็นแถวล็อกเอาไว้ และมีหลอดไฟสว่างมากถึงสี่สิบห้าสิบดวงอยู่ด้านบน เพื่อส่องสว่างถึงพื้นที่ใต้ดินไกลโดยมีรัศมีหนึ่งหรือสองกิโลเมตร
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าหลุมหลบภัยแห่งนี้เคยเป็นของทหารมาก่อน และสถานที่แห่งนี้ก็คือจุดจอดรถถังและเป็นที่เก็บอาวุธหนัก ดังนั้นขนาดของมันจึงใหญ่กว่าหลุมหลบภัยทั่วไปมาก
จุดตรงกลางของสนาม เป็นสนามมวยมาตรฐานขนาดหกเมตรคูณห้าเมตร วัสดุที่ใช้จะแตกต่างจากต่างประเทศ สนามนี้ไม่มีนวมรองปกป้องผู้เข้าแข่งขัน แต่กลับใช้หินก้อนใหญ่ขัดเรียบแทน
แม้แต่ราวตั้งรอบสี่ทิศของสนาม ก็ทำขึ้นจากหิน เชือกล้อมกลับใช้สายเหล็กล้อมแทน เยี่ยเทียนมองข้างบนอย่างสมาธิตั้งมั่น เขาเห็นพลังพิฆาตสีแดงดำมืดบางอย่างกำลังกระจายออกมาข้างนอก
ขณะนี้สนามเริ่มเต็มไปด้วยผู้คน มีบางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบๆ บางคนถือเอกสารเอาไว้และพูดซุบซิบกัน บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด ให้ความรู้สึกเหมือนความความสงบนิ่งก่อนพายุหนักกำลังจะถาโถมเข้าใส่
“เยี่ยเทียน นายมาที่นี่ได้ยังไง?”
ตอนที่จู้เหวยเฟิงพาเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ มาถึงเก้าอี้ที่อยู่ตรงกลางของสนามมวย มีคนหนึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเรียกชื่อของเยี่ยเทียนออกมา แถมยังขยี้ตาตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา
เยี่ยเทียนมองดูคนนั้นเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พลางพูด “พี่หู พี่มาได้ แล้วฉันจะมาไม่ได้หรือ?”
“เห้ ก็จริง ฉันลืมไปเลย…”
หูจวินขยี้หัว เพราะเขาก็รู้ฐานะของเยี่ยเทียน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เปิดเผย หูจวินจึงพูดได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็หยุดพูดไปทันที พลางชี้ไปที่จู้เหวยเฟิงและพูดว่า “ไอ้หนุ่มนี่เราโตมาด้วยกัน รบเร้าจะแบ่งหนึ่งส่วนให้ฉันอยู่ได้ ฉันไม่มีธุระอะไรก็เลยลองมาดู”
พ่อของหูจวินหลังจากที่หมดวาระในปีนี้ เขาก็นั่งอย่างมั่นคงในตำแหน่งที่หกของคณะกรรมาธิการทหาร อำนาจของเขาใหญ่กว่าตอนที่เยี่ยเทียนเกิดเรื่องหลายเท่า แม้แต่หูจวินเองก็ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างมาก
และการหาเงินในที่แบบนี้ในปักกิ่ง สิ่งที่ต้องห้ามก็คือการรับอยู่คนเดียว ถึงแม้จู้เหวยเฟิงจะเป็นผู้บุกเบิกมวยใต้ดิน แต่หุ้นส่วนที่ตัวเขาถือเองนั้นมีเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนที่เหลือได้ประจายออกไปจนหมด
ครั้งก่อนเรื่องที่โจวเซี่ยวเทียนพ่ายแพ้ ถูกกระจายข่าวออกไปในปักกิ่งอย่างกว้าขวาง จู้เหวิยเฟิงรู้ดีว่าหูจวินกับเยี่ยเทียนรู้จักกัน จึงพูดว่า “เหล่าหู นายอยู่เป็นเพื่อนน้องเยี่ยไปก่อน ฉันจะไปทักทายคนอื่น เดี๋ยวมา!”
หูจวินกับจู้เหวยเฟิงสนิทกันอย่างเห็นได้ชัด แล้วจึงยิ้มตอบ “เชิญน้องเยี่ยมาก็ไม่บอกฉันเลยนะ กลับไปฉันต้องปรับเหล้าเหมาไถห้าสิบปีสักสองขวด”
“เหล้าถูกน้องเยี่ยดื่มไปหมดแล้ว ถ้าจะเอา ไปเอาที่เขาเองละกัน”
จู้เหวยเฟิงหัวเราะฮ่าๆ และพาซาซาไปนั่งประจำเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ คนที่มาในวันนี้เป็นกลุ่มสถาบันการเงินมหาชนของภายในประเทศไม่น้อย เขาจึงจำเป็นต้องไปทักทายและให้เกียรติบ้าง
“ผมว่านะ อาชีพสุจริตไม่ทำ ทำไมถึงมาเข้าร่วมที่นี่ได้ล่ะ?” หลังจากที่จู้เหวยเฟิงเดินออกไป การพูดคุยของเยี่ยเทียนกับหูจวินจึงธรรมดากว่าเดิมเยอะ
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น