ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 451-455
ตอนที่ 451 มุกพลังวารีสองเม็ด
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอเฟิงจ้านเห็นฝูงชนไปกันหมดแล้ว เขาก็โบกมือปล่อยเรือเหาะสีเงินออกมา และพาเว่ยจ้งกับเฟิงไฉ่จากไปเช่นกัน
เกิดเสียงดังกึกก้อง เรือเหาะเปล่งแสงสีเงินออกมาก่อนทะยานขึ้นฟ้า และพุ่งยิงไปยังเกาะมัจฉาเขียว
“การประลองคัดเลือกในครั้งนี้ สองคนนั่นกลับชนะคนอื่นๆอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะหลิ่วหมิงผู้นั้นเป็นถึงผู้ฝึกฝนกระบี่ ช่างเหนือความคาดหมายเล็กน้อย ไม่ทราบคุณชายเว่ยจ้งมีความเห็นว่าอย่างไร?” ในห้องรับรองบนเรือเหาะ เฟิงจ้านพูดถึงการประลองในก่อนหน้า และยังถามความเห็นของเว่ยจ้งอย่างไม่ใส่ใจ
“ผู้อาวุโสเฟิง ที่ทั้งสองสองสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่ว่าพลังของพวกเขาแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะว่าคนอื่นๆ อ่อนแอกว่ามากก็เท่านั้น หากเป็นข้าล่ะก็ ไม่เกินสิบกระบวนท่าก็ทำให้พวกเขายอมแพ้แต่โดยดีแล้ว” เว่ยจ้งได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวโดยไม่ถือว่าจะเป็นเช่นนั้น
“แน่นอน แม้ทั้งสองจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ไหนเลยจะเทียบกับคุณชายได้ เดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ คงต้องพึ่งคุณชายเว่ยแล้ว” เฟิงจ้านกล่าว
แม้หลิ่วหมิงกับซินหยวนจะแสดงออกได้ไม่ธรรมดา แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้แสดงพลังออกมาทั้งหมด ย่อมทำให้เฟิงจ้านไม่อาจคาดหวังในตัวพวกเขามากนัก ด้วยเหตุนี้จึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเว่ยจ้งแล้ว
“ผู้อาวุโสเฟิงโปรดวางใจ ถึงแม้ต้องสู้กับพันธมิตรจินอวี้สามต่อหนึ่ง ข้าก็สบายมาก” ขณะที่พูด เว่ยจ้งก็เหลือบมองเฟิงไฉ่ด้วยท่าทีทระนงอาจ
“ท่านพ่อ เดินพันการต่อสู้ในครั้งนี้ มีศิษย์พี่อยู่ย่อมไม่มีปัญหาอะไร แต่แขกสองคนนั่นก็คุ้มค่าที่จะบ่มเพาะพวกเขา” พอเฟิงไฉ่เห็นเช่นนี้ นางก็พูดถึงหลิ่วหมิงกับซินหยวน และดูเหมือนนางจะสนใจคนทั้งสองมาก
“เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเอง” เฟิงจ้านได้ยินก็กล่าวออกมาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
……
อีกหนึ่งเดือนให้หลังถึงจะเป็นเวลาเดิมพันการต่อสู้กับพันธมิตรจินอวี้ ดังนั้นเวลาที่เหลือ หลิ่วหมิงกับซินหยวนต่างก็ตั้งใจฝึกฝนอยู่ในถ้ำที่พัก ขณะเดียวกัน ก็ทานโอสถชิงซ่านตามเวลาที่กำหนด เพื่อขับไล่พิษในร่างออกมา
วันนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หลังจากนับดูวันเวลาแล้ว เขาก็ลุกขึ้นมาทันที จากนั้นก็ค่อยๆ เดินออกไปจากถ้ำที่พัก
นับๆ ดูแล้ว มันถึงเวลาที่ได้นัดหมายกับหวงเจินแล้ว
หลิ่วหมิงออกเดินทางไม่นาน ก็มาปรากฏตัวหน้าถ้ำที่พักของหวงเจินอีกครั้ง
และผู้ที่มาเปิดประตูก็เป็นหญิงผิวดำผู้นั้น ซึ่งก็คือบุตรสาวของหวงเจินนั่นเอง
“คารวะผู้อาวุผู้โสหลิ่ว อาวุธจิตวิญญาณของท่านได้หลอมเสร็จเมื่อหลายวันก่อนแล้ว ท่านพ่อมีธุระข้างนอก ก่อนไปได้กำชับข้าว่า หากผู้อาวุโสมาก็ให้พาไปเอาสิ่งของได้เลย” หญิงผิวดำกล่าวอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ขยับตัวหลีกทางให้
“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนแม่นางหวงแล้ว” พอได้ยินว่าอาวุธจิตวิญญาณของตนเองหลอมสำเร็จแล้ว หลิ่วหมิงก็รู้สึกดีใจเล็กน้อย หลังจากพยักหน้าตอบรับแล้ว ก็เดินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ และถูกหญิงผิวดำพามายังห้องหินแห่งหนึ่ง
หญิงสาวชี้ไปยังกล่องหยกที่อยู่บนโต๊ะหินแล้วกล่าวออกมา
“ผู้อาวุโสหลิ่ว อาวุธที่ท่านพ่อหลอมให้ท่านอยู่ในนั้นแล้ว”
หลิ่วหมิงพยักหน้าและคว้ามือไปกลางอากาศ จากนั้นกล่องหยกก็ถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือ
พอเปิดฝาออกจะเห็นว่ามีมุกกลมๆ สีดำขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือวางอยู่เม็ดหนึ่ง พื้นผิวของมันแวววาว ไอดำลอยวนเป็นเส้นๆ มองดูจากภายนอกแล้ว มันมีลักษณะเหมือนกับมุกพลังวารีในมือเขาไม่มีผิด เพียงแต่ว่าไอเย็นชุ่มชื้นที่มันแผ่ออกมา จะมีมากกว่าเล็กน้อย
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว นิ้วทั้งสองคีบมุกสีดำกลมๆ ขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด
เขาค้นพบว่ามุกพลังวารีชนิดนี้ ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่มีสิบแปดชั้นจำกัดเช่นกัน จากนั้นเขาก็กล่าวชมด้วยความดีใจ
“สหายหวงช่างมีมือยอดเยี่ยมจริงๆ สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงในพรรค”
หลิ่วหมิงกล่าวจบ ก็หยิบถุงที่ใส่หินวารีลึกลับออกมา และโยนให้หญิงสาวผู้นี้ ประจักษ์ชัดว่านี่คือค่าใช้จ่ายของวัสดุเสริม จากนั้นหลิ่วหมิงก็ถอยออกไป
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็ขี่เมฆเหาะออกจากถ้ำหวงเจินไปไกลร้อยกว่าลี้ และมาปรากฏตัวตรงตีนเขาลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะมัจฉาเขียว
พอเขายืนตั้งหลักได้ก็สะบัดแขนเสื้อในทันที จากนั้นมุกพลังวารีที่เพิ่งหลอมขึ้นมาใหม่ก็ถูกนำออกมา พอเขาออกแรงที่นิ้วเบาๆ มุกพลังวารีก็เปลี่ยนรูปร่างได้ดังใจนึก
หลิ่วหมิงส่งพลังเวทเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงสีดำเปล่งประกายออกจากพื้นผิวของมุกพลังวารี และค่อยๆ เกาะตัวเป็นไอหมอกแน่นหนา
“ไป!”
หลิ่วหมิงคำรามเสียงออกมา พอสะบัดข้อมือ มุกกลมๆ ที่มีน้ำหนักมากก็พุ่งไปกระแทกใส่เขาลูกเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบจั้ง
“ตู๊ม!” เศษหินดินทรายกระเด็นไปทั่วทิศ
หลุมขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางห้าถึงหกจั้งปรากฏบนพื้นผิวของภูเขา จากนั้นเศษหินก็กระจายไปทั่วทิศ และหินบริเวณรอบๆ หลุมขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ แตกร้าวออกมา
ด้วยพลังระดับหลิ่วหมิง อานุภาพของมุกพลังวารีในตอนนี้ ย่อมแข็งแกร่งกว่าตอนที่ยังไม่ได้หลอมมาก
พอหลิ่วหมิงคว้ามือออกไป ไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกจากหลุมขนาดใหญ่ หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว มันก็กลายเป็นมุกกลมๆ อีกครั้ง และมืออีกข้างก็หยิบมุกพลังวารีอีกเม็ดออกมา จากนั้นก็ใส่พลังเวทเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง พอถูฝ่ามือทั้งสองไปมา มุกพลังวารีทั้งสองก็รวมตัวเข้าด้วยกัน
ที่หลิ่วหมิงสามารถปรับแต่งมุกพลังวารีสองเม็ดนี้ได้ นั่นเป็นเพราะว่าอาวุธจิตวิญญาณชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษ จึงสามารถรวมหรือแยกออกจากกันได้ดังใจนึก
พอเขาสะบัดข้อมืออีกครั้ง มุกพลังวารีที่รวมตัวเข้าด้วยกัน ก็ปะทะใส่เขาลูกเล็กๆ อีกลูกอย่างรุนแรง
“ตู๊มต๊าม!” เสียงแผ่นดินไหวดังสะเทือนเลือนลั่น!
ฝุ่นควันและเศษหินจำนวนมากกระจายออกไปทั่วทิศราวกับพายุบ้าระห่ำ จากนั้นหินขนาดใหญ่ก็กลิ้งลงมา เขาลูกเล็กๆ ที่สูงสิบกว่าจั้งกลายเป็นพื้นราบเรียบ ราวกับว่าถูกตัดออกไปครึ่งหนึ่ง
หลังจากรวมตัวกันแล้ว นึกไม่ถึงว่ามุกพลังวารีจะมีอานุภาพถึงเพียงนี้ มันย่อมทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเขาเรียกมุกพลังวารีกลับมาแล้ว ก็ชี้มือไปกลางอากาศ จากนั้นมันก็แยกตัวออกจากกัน และเขาก็เก็บมันเข้าไปอย่างระมัดระวัง
หลิ่วหมิงไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานมากนัก พอทำท่ามือ เมฆดำก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้า จากนั้นก็เหาะกลับไปยังถ้ำที่พักของตนเอง
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
ในระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงเพียงแค่เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในถ้ำที่พัก และพิษในร่างก็ได้ถูกขับออกไปจนหมดสิ้นแล้ว บนตัวเขาไม่มีภัยแอบแฝงใดๆ อีก และมุกพลังวารีสองเม็ดก็ถูกปรับแต่งไปหนึ่งรอบแล้ว
ในตอนท้ายเขายังไปหาสถานที่เปล่าเปลี่ยว เพื่อทดสอบการโจมตีของมุกพลังวารีทั้งสองอีกครั้ง เพียงแค่ค้นพบว่าพลังโจมตีของมันพอที่จะเปรียบเทียบกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดได้ เขาก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
……
บนเกาะธรรมดาแห่งหนึ่งในอาณาเขตควบคุมของพรรคฉางเฟิงที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เขตแดนพันธมิตรจินอวี้
เกาะแห่งนี้มีขนาดแค่หนึ่งในสามส่วนของเกาะมัจฉาเขียวเท่านั้น พื้นที่ในนั้นถูกครอบครองด้วยเทือกเขารูปวงแหวน บนนั้นไม่ได้มีสิ่งก่อสร้างมากมาย มีแค่บ้านไม้เก่าๆ จำนวนหนึ่งเท่านั้น ภายใต้การพัดพาของพายุที่ส่งเสียงอื้ออึง ทำให้รู้สึกโงนเงนไปมา
ตรงตีนยอดเขาที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง แต่กลับมีถ้ำสีดำขนาดใหญ่ และทางเข้าก็ถูกท่อนไม้สองสามท่อนค้ำไว้ สถานที่แห่งนี้ก็คือถ้ำสายแร่นั่นเอง
และขณะนี้ บนทางเดินภายในส่วนลึกของถ้ำสายแร่
เงาร่างลึกลับที่สวมชุดคลุมสีเทากำลังเดินอย่างช้าๆ
ทางเดินภายในอุโมงค์ตัดสลับกัน จนดูเหมือนว่าเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็จะมีทางแยกสายหนึ่ง และคนผู้นี้ก็ดูจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก หลังจากเดินลัดเลาะไปมา ทางเดินตรงหน้าก็ถูกผนังหินที่ปกคลุมด้วยฝุ่นสีเทาปิดตายไว้ ดูท่าด้านหน้าคงเป็นทางตันอย่างแน่นอน
แต่เงาร่างลึกลับผู้นี้กลับหยิบแผนที่ขาดๆ ออกมาจากอก หลังจากเทียบดูตำแหน่งแล้ว ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น จากนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกายบนแขน และจมหายไปในผนังหินตรงหน้า เมื่อดึงแขนกลับ ก็มีหินหยกสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นอยู่ในมือ พื้นผิวของมันเปล่งแสงแวววาวใสแจ๋ว ภายในเป็นสีสันสวยงาม มองดูก็รู้ว่าเป็นหยกจิตวิญญาณระดับสูงสุด
“ที่แท้ก็เป็นสายแร่หินหยกระดับสูงสุด มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีวัสดุจิตวิญญาณเกิดขึ้นในส่วนที่อยู่ลึกเข้าไป มิน่าล่ะแม้แต่กลุ่มอิทธิพลระดับหอเทียนเซียงยังอยากได้มัน” เงาร่างลึกลับพูดพึมพำสองสามประโยค พอแสงสว่างบนแขนม้วนตัวออกไป เขาก็คิดจะทำอะไรบางอย่าง
แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงถอนหายใจดังมาจากด้านหลังของเงาร่างลึกลับ
เขาหันตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว และค้นพบว่ามีเงาร่างของคนอีกคนปรากฏออกมา และพอเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างชัดเจน เขาก็ต้องหลุดปากออกมา
“ท่านประมุข”
เงาร่างของคนผู้นี้ก็คือเฟิงจ้านนั่นเอง
และหมวกที่คลุมศีรษะชายลึกลับอยู่ ก็ร่วงลงในขณะที่เขาร่นถอยออกไป ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า คนผู้นี้ก็คือชวีหลิง รองประมุขพรรคฉางเฟิงนั่นเอง!
เพียงแต่ว่าขณะนี้เขามีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก
“คิดไม่ถึงว่าพี่เฟิงก็รู้เรื่องการดำรงอยู่ของสายแร่แห่งนี้ ดูท่าการหายตัวไปของฟ่านเจิ้งคงจะเกี่ยวข้องกับท่าน ไม่ทราบว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีหลิงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่ความหวาดกลัวในแววตายังคงอยู่ ซึ่งปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ? ข้าดีกับเจ้าทั้งสองไม่น้อย สุดท้ายพวกเจ้ากลับรวมกันหักหลังข้า คนหนึ่งสมคบคิดกับพันมิตรจินอวี้ อีกคนกลับสมคบคิดนิกายวิหคสวรรค์” เฟิงจ้านกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“ในเมื่อท่านรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ใยต้องพูดจาให้มากความด้วยเล่า สายแร่ระดับนี้ ไหนเลยกลุ่มอิทธิพลอย่างพรรคเราจะสามารถครอบครองได้ พวกข้าทั้งสองก็แค่หาร้านค้าดีๆ ให้กับพรรคเราเท่านั้น แต่ท่านรู้เรื่องแหล่งที่อยู่ของสายแร่หยกตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ชวีหลิงพูดออกมาภายในอึดใจเดียว
“แหล่งที่อยู่ของสายแร่ระดับนี้ ข้าเป็นถึงประมุขพรรคฉางเฟิง ไหนเลยจะไม่รู้ ความจริงข้ารู้เรื่องสายแร่แห่งนี้เมื่อหลายปีก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นรู้สึกหวาดกลัวไปหน่อย จึงไม่กล้าทำการขุดและปล่อยข่าวออกไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามันจะถูกคนอื่นค้นพบเข้า เจ้าสารเลวกูตู๋ยังแอบซุ่มโจมตีข้าอีก แม้จะโชคดีที่ข้ารอดไปได้ แต่ก็รู้ดีว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจอยู่ในเขตทะเลหนานไห่ได้อีก ถึงได้ไปหลบภัยอยู่ที่แผ่นดินจงเทียน” เฟิงจ้านตอบอย่างไม่รีบร้อน
“สมคบคิดพันธมิตรจินอวี้คือฟ่านเจิ้ง วางแผนซุ่มโจมตีท่านก็เป็นแผนของเขา ข้าไม่รู้เรื่องในวันนั้นเลยแม้แต่น้อย” ชวีหลิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ฮึ! ข้าสงสัยว่าเขาสมคบคิดกับคนนอกเมื่อหลายปีก่อนแล้ว เพียงแต่ยังสืบไม่ได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร จึงไม่อาจลงมือได้” เฟิงจ้านกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
“อ๋อ! ตอนนี้พี่เฟิงสังหารเขาไปแล้ว ท่านไม่กลัวว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเขาจะ……” ขณะที่ชวีหลิงกำลังพูดอยู่นั้น เขากลับสะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน
“ฟู่!” แสงสีเขียวพุ่งยิงเข้ามา ขณะเดียวกัน เขาก็ขยี้ยันต์ที่อยู่ถืออยู่ในแขนเสื้อจนแตกกระจุย แสงสีเหลืองเปล่งประกายบนตัว จากนั้นก็จมหายลงไปใต้พื้นอย่างไร้ร่องรอย
ตอนที่ 452 หุบเขาเปลวเพลิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เฟิงจ้านเห็นเช่นนี้กลับไม่รู้สึกตกใจเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ภายใต้การก่อตัวของพายุบ้าระห่ำ แสงสีเขียวเหล่านี้ก็ถูกม้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นเขาก็อ้าปากพ่นระฆังเล็กสีทองออกมา
ระฆังเล็กมีขนาดเท่าฝ่ามือ ดูจากภายนอกแล้วมันงดงามและประณีตมาก พื้นผิวของมันมีลวดสายสีทองแปลกประหลาดปกคลุมอยู่
เฟิงจ้านโบกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ระฆังเล็กลอยขึ้นมา หลังจากหมุนวนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นระฆังยักษ์ที่สูงสามจั้งในพริบตา
“เต๊ง!” เสียงระฆังดังขึ้นมา
แสงสีทองเปล่งประกายบนพื้นผิวระฆังยักษ์ อักษระสีทองเล็กๆ จำนวนมากลอยออกมา และทอสลับกันไปมาจนกลายเป็นแสงสีทอง ภายใต้การชี้นิ้วของเฟิงจ้าน มันก็กระพริบจมหายไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว
ชวีหลิงอาศัยพลังของยันต์พยายามดำดินอย่างสุดชีวิต ขณะเดียวกันก็ส่งพลังจิตกวาดดูด้านหลังอยู่ไม่หยุด หลังจากไม่เห็นมีทีท่าว่าเฟิงจ้านจะตามมา เขาก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้
แต่ครู่ต่อมา พลันมีคลื่นก่อตัวด้านหลังของเขาเบาๆ จากนั้นแสงสีทองก็ม้วนเข้ามาปกคลุมตัวเขาไว้
ชวีหลิงรู้สึกว่าร่างกายแข็งตัวขึ้นมา จนไม่อาจกระดิกได้เลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันพลังเวทย์ภายในร่างก็เกาะตัวแน่น จนไม่อาจกระตุ้นออกมาได้
“ระฆังหยุดเซียน!” เขาหลุดปากออกมา
ขณะนี้เฟิงจ้านที่อยู่ด้านบน ก็ยกมือปล่อยพลังเวทออกมา
ระฆังยักษ์สีทองสั่นไหวเบาๆ และส่งเสียงดังกังวาน “เต๊ง!” จากนั้นแสงสีทองก็ม้วนตัวออกไป และจมหายไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว
พริบตาที่ชวีหลิงได้ยินเสียงระฆังดังเป็นครั้งที่สองนั้น ร่างของเขาก็ถูกความร้อนอันน่ากลัวห่อหุ้มไว้ ทันใดนั้นโลหิตของเขาก็ไหลย้อนกลับมา หลังจากกระอักเลือดออกมาพร้อมกับอวัยวะภายในแล้ว ดวงตาของเขาก็ไร้ซึ่งสีสันใดๆ
ครู่ต่อมา แสงสีทองบนตัวก็รัดแน่นอีกครั้ง ร่างของชวีหลิงระเบิดออกมาในพริบตา แม้แต่วิญญาณก็ยังไม่ทันได้หนี
เฟิงจ้านกวาดสายตามองพื้น หลังจากมั่นใจว่าชวีหลิงตายแล้ว เขาถึงเก็บระฆังอย่างไม่รีบร้อน
“ฮึ! กะอีแค่หอเทียนเซียงกับนิกายวิหคสวรรค์เท่านั้น! ผลลัพธ์การเดิมพันต่อสู้ในครั้งนี้ได้กำหนดไว้แล้ว มีอะไรที่ข้าต้องกังวลเล่า” เฟิงจ้านพูดพึมพำออกมาเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
……
วันนี้ หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ พลันค่อยๆ สะบัดแขนเสื้อปล่อยแสงสีขาวออกมาชั่วขณะหนึ่ง
เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และหยิบแผ่นค่ายกลสื่อสารออกมาแผ่นหนึ่ง มีอักษรแถวหนึ่งลอยออกมาจากในนั้น
“ในที่สุดก็ได้เวลาแล้ว” หลังจากหลิ่วมองดูอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็พูดพึมพำออกมา จากนั้นก็เดินออกไปจากห้อง
พอไอดำม้วนตัวออกมา เขาก็พุ่งไปทางที่ทำการพรรคทันที
ผ่านไปสักพัก ขณะที่เขามาถึงลานหน้าที่ทำการพรรคนั้น ก็มีเรือเหาะยักษ์ลำหนึ่งรออยู่ที่นั่นนานแล้ว
เฟิงจ้านที่สวมชุดคลุมสีดำ เฟิงไฉ่ เว่ยจ้ง และซินหยวนได้รออยู่ตรงนั้นแล้ว
เฟิงจ้านยืนเอามือไขว้หลัง พอเห็นหลิ่วหมิงมาถึง เขาก็ยิ้มให้เล็กน้อย
หลิ่วหมิงก้าวออกไปคารวะ
ชายหนุ่มอัปลักษณ์ที่ยืนอยู่ข้างเฟิงจ้าน ยังคงมีสีหน้าทระนงองอาจ และซินหยวนก็โบกมือให้เขาด้วยรอยยิ้ม
นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีศิษย์พรรคฉางเฟิงจำนวนหนึ่ง กำลังเร่งมือเตรียมการอย่างหนัก
“เอาล่ะ! ในเมื่อมากันครบแล้ว ก็ออกเดินทางกันเถอะ! ภายใต้การสั่งการของเฟิงจ้าน ฝูงชนจึงทยอยกันขึ้นไปบนเรือยักษ์
จากนั้นเรือเหาะยักษ์ก็ส่งเสียงดังออกมา และพุ่งยิงออกไป
ประจักษ์ชัดว่าเรือเหาะยักษ์ของเฟิงจ้านลำนี้ เป็นอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาที่มีคุณภาพไม่เลวเลย ความเร็วของมันยากที่เรือเหาะของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นจะเทียบได้
ขณะที่อาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาชิ้นนี้เหาะอยู่ ค่ายกลที่ประทับอยู่ด้านล่าง ก็แผ่ไอหมอกสีขาวออกมาพวยพุ่ง มันผลักดันแค่ทีเดียว เรือเหาะก็พุ่งออกไปร้อยกว่าจั้ง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรือเหาะยักษ์ก็ใช้เวลาเหาะสองวัน กว่าจะมาถึงเหนือเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงชายแดนระหว่างพรรคฉางเฟิงกับพันธมิตรจินอวี้
เกาะนี้มีรูปร่างแปลกประหลาด รอบๆ เกาะมีปล่องภูเขาไฟสิบกว่าลูกโผล่ขึ้นมาจากผิวทะเล ในนั้นมีจำนวนหนึ่งที่ปล่อยควันสีแดงดำออกมา ไอร้อนปะทุออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ก้อนเมฆที่ลอยอยู่บริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงขึ้นมา
ภูเขาไฟที่โผล่พ้นผิวทะเลเหล่านี้ ไม่มีหญ้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับถูกปกคลุมไปด้วยหินทรายสีแดง ภายใต้การหักเหของแสง ทำให้เกิดเป็นภาพหินละลายสีแดง มองดูไกลๆ ราวกับว่าเกาะที่อยู่ตรงกลางนั้นถูกเปลวเฟลิงห้อมล้อมไว้
สถานที่แห่งนี้ก็คือหุบเขาเปลวเพลิงที่มีชื่อเสียงในทะเลหนานไห่นั่นเอง
ภายใต้การปกคลุมของม่านแสงสีฟ้า เรือเหาะยักษ์ค่อยๆ เหาะผ่านเหนือปล่องภูเขาไฟอย่างมั่นคง และร่อนลงพื้นที่ต่ำที่ดูคล้ายท้องกระทะ
ขณะนี้ ภายในหุบเขามีเรือเหาะยักษ์ที่ยาวสิบกว่าจั้งจอดไว้ก่อนแล้ว
พื้นผิวภายนอกของเรือเหาะลำนี้มีลวดลายเป็นเส้นๆ ส่วนท้ายเรือมีผลึกหินสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นหลายสิบก้อนฝังอยู่ ด้านหน้ามีธงสีดำผืนใหญ่ตั้งตระหง่าน ผิวธงมีอักขระประทับอยู่หนึ่งตัว ‘จิน’
และบนพื้นส่วนหน้าของเรือในขณะนี้ มีเงาร่างคนอยู่เป็นจำนวนมาก
คนหน้าสุดเป็นผู้อาวุโสหนวดยาว คลุมผ้าคลุมสีทอง ซึ่งเขาก็คือตู๋กูอวี้ที่เป็นประมุขพันธมิตรจินอวี้นั่นเอง ด้านหลังของเขามีผู้อาวุโสผมขาวหน้าแดงยืนอยู่ ซึ่งเขาก็คือรองประมุขพันธมิตรจินอวี้ที่มาส่งสารต่อสู้ในวันนั้น และชายรูปร่างผอมแห้งที่ไปส่งสารต่อสู้ที่พรรคฉางเฟิงกับเขาในวันนั้น ก็ยืนอยู่กับผู้ฝึกฝนของพันธมิตรจินอวี้คนอื่นๆ
และในนั้นก็มีชายหนุ่มที่มีแผลเป็นเต็มหน้า มีไอหมอกสีเขียวลอยวนอยู่รอบตัว แลดูเตะตายิ่งนัก
“ประมุขตู๋กู พวกท่านมาเร็วไปนะ ดูท่าคงจะเอาชนะเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ให้ได้สินะ” พอเฟิงจ้านเห็นคนเหล่านี้ เขาก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา จากนั้นก็พาผู้คนลงจากเรือเหาะ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เฮ่อๆ! พรรคท่านมีศิษย์นิกายห้าวิญญาณอย่างคุณชายเว่ยเข้าร่วม ข้าจะกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร ที่มาครั้งนี้ ก็เพื่อเปิดประสบการณ์ให้กับศิษย์เท่านั้น” กูตู๋อวี้หัวเราะ และกล่าวอย่างไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น
เฟิงจ้านทำเสียงฮึดฮัดในใจ เขาย่อมไม่เชื่อคำพูดนี้อย่างแน่นอน จากนั้นก็พาผู้คนหาพื้นที่สะอาดๆ และนั่งขัดสมาธิลงไป
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงสังเกตดูบริเวณรอบๆ อย่างละเอียด แต่นอกจากพื้นที่ลุ่มต่ำที่เป็นจุดศูนย์กลางของเกาะแล้ว จุดสิ้นสุดของสายตาล้วนเป็นปล่องภูเขาไฟสูงตระหง่าน แต่อากาศบริเวณรอบๆ ไม่ได้ร้อนเหมือนกับตอนที่เหาะผ่านเหนือปล่องภูเขาไฟในก่อนหน้า และดินทรายบริเวณใกล้ๆ ก็มีไอหมอกสีขาวทะลุออกมาเป็นสายๆ ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม
พอหมิงมองมาถึงจุดนี้ เขาก็ละสายตากลับมา จากนั้นก็กวาดสายตามองไปทางพันธมิตรจินอวี้
ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกอย่างตู๋กูอวี้ไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่ยืนอย่างไม่ใส่ใจก็ดูทรงพลังเป็นมาก
แต่สมาธิของเขากลับถูกดึงดูดไปยังชายหนุ่มที่มีรอยแผลเต็มใบหน้าผู้นั้น
หลิ่วหมิงรับรู้ถึงกลิ่นไออันตรายจากคนผู้นี้อยู่ลางๆ หากเดาไม่ผิดล่ะก็ คงจะเป็นศิษย์เก่งกาจของพันธมิตรจินอวี้ตามที่เล่าลือ และก็เป็นผู้ที่ฝ่ายตรงข้ามฝากความหวังไว้กับเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้
ดูเหมือนชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า จะรับรู้ได้ถึงสายตาของหลิ่วหมิง จึงได้เงยหน้าจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาเยือกเย็น
พริบตานั้น สายตาหลิ่วหมิงร้อนผะผ่าวขึ้นมา ในใจรู้สึกเย็นสะท้าน แต่กลับยิ่งมองสายตาคนผู้นั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็ละสายตาออกมาด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดุร้ายออกมา
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็มีรถเหาะสีขาวค่อยๆ ร่อนลงมา หลังจากจอดนิ่งแล้ว ก็มีหญิงสาวสามคนค่อยๆ เดินลงมา คนแรกเป็นหญิงใบหน้างดงาม ซึ่งนางก็คือหญิงที่พูดคุยกับประมุขตู๋กูที่พันธมิตรจินอวี้ในวันนั้น
ขณะนี้นางคลุมผ้าคลุมสีเขียวบางๆ บนมวยผมมีปิ่นรูปร่างคล้ายนกยูงปักอยู่ ดวงตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าแพรวพราวเป็นอย่างมาก
หญิงสาวทั้งสองที่อยู่ด้านหลังของนาง ก็มีผ้าสีขาวบางๆ ปิดหน้าไว้ คนหนึ่งมีผิวขาวเนียนละเอียดราวกับหิมะ ระหว่างคิ้วดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก ส่วนอีกคนมีรูปร่างอรชร แต่ดวงตาใสแจ๋วทั้งคู่กลับเผยแววดุร้ายออกมา
“น้อมรับท่านเซียนเซียว!” พอประมุขตู๋กูเห็นนางมาถึง ก็รีบก้าวไปประสานมือคารวะ
“ประมุขตู๋กู คนของอารามจื่อเซียวยังมาไม่ถึงหรือ?” หญิงใบหน้างดงามหันมองดูรอบๆ และค้นพบว่าห่างออกไปไม่ไกลมีแต่คนของพรรคฉางเฟิง นางจึงถามออกมาอย่างราบเรียบ
“เหอะๆ! ข้าจะกล้าให้ท่านเซียนเซียวรอนานได้อย่างไร” น้ำเสียงเยือกเย็นดังมาจากท้องฟ้าไกลๆ
พอเสียงสิ้นสุดลง ก้อนเมฆสีม่วงก็พุ่งเข้ามาจากขอบฟ้า กระพริบไม่กี่ทีก็มาถึงเหนือพื้นที่แห่งนี้ และค่อยๆ ร่อนลงมา
นักพรตชุดม่วงจำนวนมากกระพริบออกมา ชายเสื้อโบกสะบัดท่ามกลางแสงสีเงินที่เปล่งประกาย แลดูมีราศียิ่งนัก
นักพรตวัยกลางคนที่มีใบหน้าซึมกระทือรอจนคนอื่นๆ ลงไปหมดแล้ว ถึงค่อยๆ โบกมือ จากนั้นเมฆสีเทาก็กระพริบหายไป ขณะเดียวกันก็มีสิ่งของที่ดูคล้ายกับแพรต่วนปรากฏอยู่บนมือ ไอสีม่วงพวยพุ่ง แค่มองก็รู้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง
ดูจากกลิ่นไอของคนอารามจื่อเซียวที่ยืนอยู่ด้านหลังนักพรตวัยกลางคนแล้ว ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว แค่มองก็รู้ว่าเป็นศิษย์สายตรงของอารามจื่อเซียว
“พี่สือ ไม่เจอกันนาน คิดไม่ถึงว่าจะเจอกันที่นี่” พอเฟิงจ้านเห็นนักพรตวัยกลางคน เขาก็เผยสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็รีบประสานมือคารวะทันที ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักกับนักพรตผู้นี้
“ที่แท้ก็เป็นสหายสือ ไม่เจอกันหลายปี ดูท่าการฝึกฝนของท่านจะก้าวหน้าขึ้น ครั้งนี้ทางอารามจื่อเซียวส่งท่านมา ดูท่าคงจะให้ความสำคัญกับเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้มาก” หญิงแซ่เซียวมองดูนักพรตแซ่สือทีหนึ่ง หลังจากขมวดคิ้วแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“แม้แต่ท่านเซียนเซียวยังมาที่นี่ได้ ข้าจะมาบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ข้าว่าคนของพรรคฉางเฟิงกับพันธมิตรจินอวี้ต่างก็มากันพร้อมแล้ว ถ้าอย่างนั้นเริ่มเดิมพันการต่อสู้กันเถอะ!” นักพรตวัยกลางคนพยักหน้าให้กับเฟิงจ้าน จากนั้นก็ตอบกลับหญิงใบหน้างดงามอย่างไม่สะทกสะท้าน
หญิงใบหน้างดงามได้ยินก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมาเบาๆ แต่กลับไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ขณะนั้นเอง มีเสียงเห็นร้องแหบแห้งของวิหคดังมาจากท้องฟ้า!
ฝูงชนทั้งหมดต่างก็รู้สึกตะลึงงัน!
ตอนที่ 453 จับฉลาก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองหาต้นตอของเสียง ก็ค้นพบว่าขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ มีวิหคจิตวิญญาณตัวหนึ่งแผดเสียงร้องเข้ามา
มันมีลำตัวยาวราวๆ สองสามจั้ง ขนสีฟ้าปกคลุมเต็มตัว มีหงอนสีแดงเลือดอยู่บนหัว ปีกทั้งสองกระพืออย่างรวดเร็ว จนก่อเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำ มีคนราวๆ สิบกว่าคนยืนอยู่บนนั้น
“นิกายวิหคสวรรค์” ตู๋กูอวี้เห็นเช่นนี้ก็พูดโพล่งออกมาด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
เฟิงจ้านเองก็หรี่ตาลงทันที!
พอเสียงสิ้นสุดลง ก็มีเรือเหาะพุ่งมาจากด้านหลังของวิหคหกยักษ์
เรือลำนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก พื้นผิวเป็นสีฟ้าอ่อน ปลายทั้งสองมีผลึกหินสีเทาจางๆ ฝังอยู่
พอหญิงแซ่เซียวกับนักพรตแซ่สือเห็นเช่นนี้ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
หลังจากวิหคยักษ์เหาะมาอยู่เหนือพื้นที่ท้องกระทะแล้ว ชายที่มีจมูกราวกับปากเหยี่ยว ก็เหาะลงมาจากบนนั้น
จากนั้นเรือเหาะที่อยู่ด้านหลังก็ตามมาถึง และค่อยๆ ร่อนลงพื้น แม่ชีสวมชุดคลุมสีดำหลายคนเหาะลงมาเช่นกัน
แม่ชีสวมชุดคลุมสีดำที่นำหน้ามานั้น สวมหมวกสีเทา ใบหน้าหมดจด มีท่าทีอ่อนโยนมาก ซึ่งนางก็คือคนที่พาเจียหลานไปจากเกาะเล็กๆ ในวันนั้น
“อารามชิงสุ่ย!”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลุดปากออกมา
“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นเมี่ยวซินซือไท่กับสหายจากนิกายวิหคสวรรค์นั่นเอง ท่านทั้งสองไม่ได้อยู่กลุ่มอิทธิพลเดียวกับพวกเรา มาเกาะเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้ทำไมกัน?” หญิงแซ่เซียวหัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยปากออกมา
“ท่านเซียนเซียว ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะได้ยินว่าพันธมิตรจินอวี้กับพรรคฉางเฟิงทำการเดิมพันต่อสู้กันเอง ลืมไปแล้วหรือว่านิกายวิหคสวรรค์เรา ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่แถบนี้? ในเมื่อเกี่ยวข้องกับการแบ่งพื้นที่กันใหม่ ข้าคิดว่านิกายวิหคสวรรค์ก็มีสิทธิ์เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้” แม่ชีชุดดำยิ้มเล็กน้อย และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
หญิงแซ่เซียวได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ
“เมี่ยวซินซือไท่ ในเมื่อเป็นจุดเชื่อมต่อของพรรคฉางเฟิงกับพันธมิตรจินอวี้ พวกเขาทั้งสองจะแย่งชิงกัน ก็ไม่มีอะไรที่พอจะวิจารณ์ได้ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายวิหคสวรรค์นะ เหตุผลของซือไท่ดูไม่หนักแน่นพอ” นักพรตวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ข้าไม่คิดว่ามีตรงไหนที่ไม่หนักแน่นพอ! หากท่านทั้งสองไม่ยอมรับปากล่ะก็ ไม่ว่าผลการเดิมพันต่อสู้ในครั้งนี้จะออกมาเป็นเช่นไร อารามชิงสุ่ยข้าก็จะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน” แม่ชีถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงยังคงสงบเช่นเดิม แต่คำพูดข่มขู่ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นกลับรับรู้ได้อย่างชัดเจน
“สหายคิดว่าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าจะตอบตกลงงั้นหรือ?” หญิงแซ่เซียวได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“เรื่องนี้มิได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหอท่านแล้ว ในเมื่ออารามเราเป็นเบื้องบนของนิกายวิหคสวรรค์ ย่อมต้องช่วยพวกเขาเรียกร้องความยุติธรรม หรือสหายคิดว่าทางอารามเราจะยอมรับเรื่องนี้โดยปริยายหรือ?” แม่ชีกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ สำนวนการพูดคมกริบมาก
หญิงแซ่เซียวมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และไม่อาจกล่าวปฏิเสธออกมาได้จริงๆ ทันใดนั้น นางก็หันไปถามนักพรตใบหน้าซึมกระทือด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“สหายสือ ท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”
“ข้าไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ท่านเซียนเซียวตัดสินใจได้เลย” นักพรตวัยกลางคนแสดงสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เจ้าเฒ่าจิ้งจอกนี่!” พอหญิงเซียวได้ยินก็แอบตำหนิอยู่ในใจ
คำพูดลอยๆ ของฝ่ายตรงข้ามก็เท่ากับว่าให้นางเผชิญหน้ากับความกดดันของอารามชิงสุ่ยเพียงผู้เดียว
ถ้าจะให้ทางด้านแม่ชีเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ ก็จะมีศัตรูแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ในใจนางย่อมรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ทุกท่านวางใจได้ เพียงแค่นิกายวิหคสวรรค์ได้เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ ข้าจะสาบานในนามของอารามชิงสุ่ยว่า ไม่ว่าผลลัพธ์การต่อสู้จะออกมาเป็นรูปแบบใด ก็จะไม่มีข้อคัดค้านใดๆ นอกจากนี้เพื่อความยุติธรรม สหายหยวนของนิกายวิหคสวรรค์ก็ยอมใช้พื้นที่หนึ่งในสามเป็นของเดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วย” แม่ชีกล่าวอย่างราบเรียบ
“ไม่ผิด! เป็นอย่างที่ซือไท่พูด หากพวกท่านทั้งสองมีความมั่นใจจริงๆ ก็ลองเอาเกาะเปล่าเปลี่ยวสองสามแห่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนิกายวิหคสวรรค์ของเราไปให้ได้สิ” ชายจมูกเหยี่ยวหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ในเมื่อซือไท่พูดเช่นนี้ หากข้าไม่ยินยอมก็คงถูกหาว่าเป็นคนเลวแล้ว” หญิงแซ่เซียวเงียบไปพักใหญ่ๆ จากนั้นก็กัดฟันตอบรับในที่สุด
นักพรตสือแห่งอารามจื่อเซียวกลับไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด และก็พยักหน้าตอบรับอย่างเงียบๆ
แม้เฟิงจ้านกับตู๋กูอวี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกเช่นกัน แต่ต่อหน้าหนึ่งในสิบนิกายขนาดใหญ่ของทะเลหนานไห่ กลับไม่สามารถแทรกแซงการตัดสินใจในครั้งนี้ได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับมองหน้ากันด้วยความเห็นอกเห็นใจ
หลังจากแม่ชีกับหญิงแซ่เซียวและคนอื่นๆ เจรจาต่อรองกันเรียบร้อยแล้ว ก็ตัดสินการต่อสู้จากสองฝ่ายให้เป็นสามฝ่าย และหมุนเวียนกันต่อสู้
“สหายหยวน ไม่ทราบว่านิกายวิหคสวรรค์ส่งผู้ใดเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้?” เฟิงจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชายจมูกเหยี่ยวหัวเราะแล้วพลันโบกมือไปยังวิหคยักษ์ที่ลอยอยู่ด้านบน จากนั้นศิษย์ชายหญิงที่สวมชุดนิกายวิหคสวรรค์จำนวนสิบกว่าคน ก็ค่อยๆ เหาะลงมาด้านล่าง และผู้ที่ร่วมการประลองเป็นหนึ่งหญิงกับสองชาย
ชายหนึ่งในนั้นเป็นชายฉกรรจ์ผมแดงที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ส่วนอีกคนกลับผอมแห้งราวกับท่อนไม้ หน้าตาอัปลักษณ์มาก
ส่วนหญิงสาวกลับสวมชุดสีฟ้า ใบหน้างดงาม ดวงตาทั้งคู่ใสแจ๋วไร้ตำหนิ
พอหลิ่วหมิงกับซินหยวนเห็นใบหน้าของหญิงสาวชุดสีฟ้าอย่างชัดเจน ต่างก็รู้สึกตกตะลึงในทันที
หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่นใด นางคือเจียหลานที่พลัดจากกันหลังจากออกจากจุดตัดมิตินั่นเอง!
ไม่เจอกันหลายเดือน รูปร่างหน้าตาของนางไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่เสน่ห์บนตัวนางดูเหมือนจะจางลงไปเล็กน้อย แต่กลับดูเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์ เพียงแต่ดวงตาแวววาวทั้งคู่ ยังคงแผ่พลังยั่วยวนที่ทำให้คนไม่อาจปฏิเสธได้
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมหญิงสาวที่ราชาปีศาจสมุทรพามาถึงมาอยู่ที่นั่นได้? ทั้งยังเข้าร่วมนิกายวิหคสวรรค์ด้วย?” ซินหยวนส่งเสียงไปให้หลิ่วหมิงเบาๆ
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ เดิมทีคิดว่าเวลาที่นางข้ามจุดตัดมิติแตกต่างกับพวกเรา สถานที่ก็ควรจะห่างไกลกันมาก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้พบเจอกันเร็วเช่นนี้” หลิ่วหมิงมองดูเจียหลานทีหนึ่ง และส่งเสียงกลับไปให้ซินหยวน
ซินหยวนได้ยินก็เงียบไปขณะหนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ดูท่าพี่ซินก็คงคิดถึงเรื่องนี้ ในเมื่อเจียหลานถูกส่งมาเขตทะเลหนานไห่ ถ้าอย่างนั้นราชาปีศาจสมุทรก็อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งของเขตทะเลแห่งนี้ หากเจอกับเขาเข้าจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากอย่างแน่นอน” พอหลิ่วหมิงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนของซินหยวน เขาก็ส่งเสียงกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ขณะนี้ เจียหลานก็มองมาทางผู้คนในพรรคฉางเฟิงพอดี หลังจากกวาดสายตามองผ่านหลิ่วหมิงกับซินหยวนไปแล้ว ก็หยุดนิ่งอยู่ที่ชายหนุ่มชุดดำครู่หนึ่ง
หลิ่วหมิงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ขณะที่ยังคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น กลับเหลือบไปเห็นว่าเว่ยจ้งที่อยู่ไม่ไกล ก็จ้องมองหญิงสาวงดงามของฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาเร่าร้อน
ความงดงามของเจียหลาน ดึงดูดศิษย์นิกายห้าวิญญาณผู้นี้โดยสมบูรณ์ จนไม่อาจละสายตากลับมาได้
เฟิงไฉ่เห็นเช่นนี้ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
ไม่เพียงแค่เพียงแค่ชายหนุ่มชุดดำเท่านั้น ศิษย์คนอื่นๆ ที่จิตไม่แข็งแกร่งพอ ก็ถูกความงามของนางดึงดูดจนต้องแอบมองอยู่ไม่หยุด
“ร่างละเมอฝันนี้ สำหรับผู้ที่มีการฝึกฝนอ่อนแอ และผู้ที่ไม่ทันได้ระวังแล้ว ย่อมมีผลลัพธ์น่าตกใจยิ่งนัก” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พูดพึมพำออกมาเบาๆ
หลังจากประมุขนิกายวิหคสวรรค์ประกาศว่า ศิษย์ที่เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ ก็คือเจียหลาน กับชายสองคนที่อยู่ด้านข้างแล้ว นักพรตแซ่สือ หญิงแซ่เซียว และแม่ชี ก็พากันกันทำการสาบาน เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะไม่กลับคำใดๆ หลังจากผลลัพธ์เดิมพันการต่อสู้ปรากฏออกมา
“สหายสือ ท่านเซียนเซียว ในเมื่อทำการสาบานกันแล้ว ศิษย์ของพวกเราที่เข้าร่วมก็มีค่อนข้างมาก กฎการประลองที่เป็นรูปธรรมก็ควรจะกำหนดกันใหม่” หลังจากแม่ชีชุดดำคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้ว นางก็กล่าวออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น! สหายเมี่ยวซินมีข้อเสนออะไรก็พูดมาได้เลย” หญิงแซ่เซียวเห็นแม่ชีทำการสาบานแล้ว นางก็แอบโล่งใจไปเปราะหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
นักพรตแซ่สือได้ยินก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่มองไปยังแม่ชีด้วยสีหน้าซึมกระทือเช่นเดิม
“ในเมื่อท่านเซียนเซียวพูดเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว ข้าเสนอให้ผู้เข้าร่วมเดิมการต่อสู้ทั้งเก้าคน จับฉลากพร้อมกัน นอกจากกลุ่มอิทธิพลเดียวกันแล้ว พอจับฉลากได้หมายเลขเดียวกัน ก็ทำการต่อสู้ในทันที ผู้พ่ายแพ้จะถูกคัดออก ผู้ชนะเข้ารอบต่อไป จากนั้นจะจับฉลากอีกครั้ง หากผู้ใดไม่มีคู่ต่อสู้ก็เข้ารอบต่อไปเลย จนกระทั่งเหลือแค่กลุ่มอิทธิพลเดียว หรือผู้ชนะเพียงคนเดียว” แม่ชีเมี่ยวซินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“นี่เป็นวิธีการที่ดี” หญิงแซ่เซียวคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วพยักหน้าทันที
นักพรตสือย่อมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
“ในเมื่อท่านทั้งสองไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ก็เริ่มกันเถอะ!” แม่ชีเมี่ยวซินสั่งการลงไปทันที นางสั่งให้คนทำแผ่นไผ่ที่มีความยาวพอๆ กันมาเก้าอัน บนนั้นเขียนเลขหนึ่งถึงสี่ไว้ โดยแบ่งตัวเลขเป็นสี่กลุ่ม ส่วนอันสุดท้ายเป็นแผ่นไผ่เปล่าๆ
สุดท้ายแม่ชีก็สะบัดแขนเสื้อหยิบบาตรสีเงินที่มีลวดลายจิตวิญญาณปกคลุมอยู่ออกมาใบหนึ่ง และนำไผ่ทั้งเก้าอันใส่ลงไปในนั้น
“บาตรนี้ป้องกันไม่ให้พลังจิตเข้าไปด้านในได้ ทุกสิ่งล้วนถูกฟ้ากำหนดมา” แม่ชีเมี่ยวซินค่อยๆ อธิบายออกมา
พูดจบนางก็ทำท่ามือ และชี้นิ้วลงบนบาตรเงิน ทันใดนั้น แสงสีเงินก็เปล่งประกายออกมา
หญิงแซ่เซียวกับนักพรตแซ่สือที่อยู่ด้านข้าง ปล่อยพลังจิตออกไปทันที หลังจากทดลองดูก็ค้นพบว่าไม่สามารถนำจิตเข้าไปในนั้นได้ จากนั้นก็พยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าไม่มีปัญหาใดๆ
“ประมุขเฟิง ประมุขตู๋กู ประมุขหยวน ให้ศิษย์ที่เข้าร่วมต่อสู้มาจับฉลากเถอะ!” แม่ชีเมี่ยวซินกล่าวออกมา จากนั้นก็โยนบาตรออกไปเบาๆ และมันก็ลอยอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง
ผู้ที่เข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ทั้งเก้าคนเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ เดินมาด้านหน้าด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป
ขณะที่เดินไปนั้น หลิ่วหมิงก็มองไปทางพันธมิตรจินอวี้อย่างอดไม่ได้
และผู้ที่เดินออกมาคนแรกก็คือชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ที่หลิ่วหมิงให้ความสนใจในตอนแรก ส่วนอีกสองคนก็เป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่กับบัณฑิตชุดคลุมสีทอง
หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูคนทั้งสาม ก็ค้นพบว่าชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ก็อยู่ระดับของเหลวขั้นกลางเหมือนกับเขา ส่วนอีกสองคนนั้นกลับมองไม่เห็นระดับการฝึกฝนได้อย่างชัดเจน คิดว่าคงจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย
ต่อมา แม่ชีเมี่ยวซินก็ให้คนนิกายวิหคสวรรค์ทั้งสามคนออกมาจับฉลากก่อน
ชายผอมแห้งผู้นั้นยื่นมือขวาเข้าไปในบาตรเงิน และหยิบไผ่สีเขียวออกมาหนึ่งอัน บนนั้นมีหมายเลข ‘สาม’ เขียนอยู่ จากนั้นก็หัวเราะแล้วเดินออกไปด้านข้าง
ต่อมา ชายฉกรรจ์ผมแดงก็ยื่นมือไปหยิบไผ่ที่เขียนหมายเลข ‘สี่’ ไว้ จากนั้นก็เดินไปยืนอยู่ข้างๆ ชายผอมแห้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ขณะที่ถึงตาเจียหลานนั้น เมื่อนางยื่นมือไปหยิบออกมา ก็ได้ไผ่อันที่มีหมายเลข ‘สอง’ เขียนอยู่
“หมายเลขสองหรือ?” เว่ยจ้งซุบซิบเบาๆ แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็มีระดับการฝึกฝนที่ไม่เลว ย่อมได้ยินอย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปแต่อย่างใด แต่เฟิงจ้านที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ กลับมีสีหน้าแข็งกระด้างขึ้นมา หญิงแซ่เซียวกลับจ้องมองเฟิงจ้านอย่างยิ้มน้อยยิ้ม ดวงตาฉายแววเย้ยหยันออกมา
แม่ชีเมี่ยวซินเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย หลังจากมองดูชายหนุ่มชุดดำทีหนึ่งแล้ว ถึงประกาศออกมาอย่างราบเรียบ
“ต่อไปให้คนของพรรคฉางเฟิงมาจับฉลากได้”
พอตู๋กูอวี้เห็นว่าแม่ชีเมี่ยวซินเอาพันธมิตรจินอวี้ไว้หลังสุด เขาก็เผยสีหน้าไม่พอใจออกมา แต่กลับไม่พูดอะไรมาก
ตอนที่ 454 พลังของซินหยวน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ต่อมา ภายใต้การแสดงท่าทีของเฟิงจ้าน หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็เข้าไปจับฉลากตามลำดับ
ซินหยวนเข้าไปหยิบไผ่ออกมาอันหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ
“หมายเลขหนึ่ง!” ซินหยวนมองสิ่งที่อยู่ในมือแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้จะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่ดูท่าตนเองจะต้องเข้าต่อสู้เป็นคนแรกอย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงเดินเข้าไปหยิบต่อจากซินหยวน หลังจากลูบๆ คลำๆ แผ่นไผ่ที่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เขาก็หยิบไผ่ที่เขียนว่า ‘สาม’ ออกมา
ดูเหมือนเขาจะหันกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับเห็นชายผอมแห้งนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้น กำลังสังเกตดูเขาด้วยสายตาไม่ประสงค์ดี
หลิ่วหมิงย่อมไม่สนใจสายตาของคนผู้นี้ เพียงแค่กวาดสายมองดูทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปอยู่ข้างๆ ซินหยวนด้วยรอยยิ้ม
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงหัวเราะด้วยความพอใจดังมาจากด้านหลัง
“ฮ่าๆ! ที่แท้ก็เป็นหมายเลขสอง” ในมือของเว่ยจ้งกำลังคีบไผ่ที่มีหมายเลข ‘สอง’ เขียนอยู่ ดูเหมือนเขาจะพอใจกับสิ่งนี้มาก หลังจากหัวเราะออกมาแล้ว ก็มองไปทางเจียหลาน
การกระทำนี้ย่อมตกอยู่ในสายตาของเฟิงจ้าน คิ้วของเขาขมวดขึ้นมา และมีท่าทีอึดอัดเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน ตู๋กูอวี้กลับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา ในเมื่อพันธมิตรจินอวี้จับฉลากเป็นกลุ่มสุดท้าย ถ้าอย่างนั้นไผ่ที่ว่างเปล่าก็จะต้องเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน และรอบแรกก็จะมีคนเข้ารอบไปโดยปริยาย ซึ่งมันมีประโยชน์มากสำหรับสถานการณ์ในภายหลัง
ผลลัพธ์การจับฉลากในครั้งนี้ ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทองผู้นั้นได้หมายเลข ‘หนึ่ง’ ซึ่งเป็นคนที่จะต่อสู้กับซินหยวนเป็นคู่แรก และบัณฑิตชุดคลุมสีทองกลับจับหมายเลข ‘สี่’ ได้ ซึ่งคู่ต่อสู้ก็คือชายฉกรรจ์ผมแดงของนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้น ส่วนไผ่ที่ไม่มีหมายเลขยังไม่ถูกหยิบออกไป แน่นอนว่าต้องเป็นของชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าผู้นั้น
แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ กลับทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็เดินกลับไปอยู่ด้านหลังของตู๋กูอวี้โดยไม่กล่าวอะไรออกมา
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ตู๋กูอวี้กลับเผยสีหน้าดีใจออกมา หญิงแซ่เซียวกวาดสายตามองดูชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า และหัวเราะคิกคัก ดูเหมือนนางจะพอใจกับผลลัพธ์นี้เช่นกัน
“การจับฉลากรอบแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเดิมพันการต่อสู้อย่างเป็นทางการได้” แม่ชียกแขนเสื้อเก็บบาตรเข้าไป ขณะเดียวกันก็ประกาศออกมา
นักพรตแซ่สือได้ยินก็พยักหน้า และสะบัดแขนเสื้อปล่อยแสงสีเงินออกมาหลายลำทันที
มันคือธงค่ายกลสิบกว่าอันที่ยาวหลายฉื่อ เมื่อมันกระพริบหายไปในจุดศูนย์กลางของหุบเขาเปลวเพลิง ก็มีวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสิบกว่าจั้งปรากฏออกมาบางๆ
ขณะเดียวกันเขาก็กระตุ้นพลังเวท จากนั้นธงค่ายกลก็เปล่งแสงสีเงินออกมา และกลายเป็นชั้นจำกัดไร้รูปปกคลุมวงกลมไว้
“วิธีการแพ้ชนะจะพิจารณาจากการต่อสู้ของทั้งสอง แต่ถ้าออกไปจากวงกลมนี้ ก็นับว่าแพ้เช่นกัน หากไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แล้ว ขอเชิญผู้ที่จับหมายเลขหนึ่งได้เข้าไปได้เลย” นักพรตแซ่สือกล่าวออกมาเสียงดัง
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ซินหยวนก็มาปรากฏตัวในค่ายกลอย่างรวดเร็ว กระบองสีดำในมือถูกแบกไว้บนบ่า และจ้องมองชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทองด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทองก็เป็นผู้ฝึกร่างที่น่าเกรงขาม รูปร่างกำยำล่ำสันมาก เส้นเอ็นบนแขนทั้งสองนูนขึ้นมา กล้ามเนื้อบนตัวสั่นระริก ราวกับว่าพลังมหาศาลจะประทุออกมาได้ตลอดเวลา
เมื่อร่างผมแห้งของซินหยวนเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว ดูบอบบางกว่ามาก
ชายฉกรรจ์ทำเสียงฮึดฮัดใส่ผู้ที่เข้าไปในค่ายกลก่อน จากนั้นก็เหาะเข้าไปด้านใน และค่อยๆ ร่อนลงตรงหน้าซินหยวน
พอเขาลงมาถึง ก็พลิกมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงสีดำเปล่งประกายบนฝ่ามือ ค้อนยักษ์สีดำสองอันที่ยาวราวๆ ครึ่งจั้งปรากฏขึ้นบนมือ
แสงสีดำรุบหรู่เปล่งประกายบนพื้นผิว และมีลวดลายสีดำปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก
จากนั้นเขาก็จะโกนออกมา ไอดำพุ่งออกจากตัวทันที ลวดลายบนค้อนยักษ์เปล่งประกาย ไอดำเป็นชั้นๆ ลอยวนออกมา ร่างของเขาเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว สิ่งของบนมือก็ทุบไปทางซินหยวนอย่างรุนแรง
การกระทำนี้เชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่านี่เป็นวิธีการต่อสู้ที่ชายฉกรรจ์ใช้บ่อย
ค้อนยักษ์ทั้งคู่พร่ามัวในระหว่างทาง ไอดำพวยพุ่ง จากนั้นก็กลายเป็นเงาค้อนยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งที่มีรูปร่างเหมือนเดิมไม่มีผิด และโจมตีออกไปด้วยอานุภาพอันน่าตกใจ
ซินหยวนเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นสะท้านในใจ กระบองสีดำในมือเปล่งแสงสีดำออกมา แขนทั้งสองขยับตัวเล็กน้อย จากนั้นก็กลายเป็นเงากระบอง
ครู่ต่อมา พอรู้สึกได้ว่ามีพลังมหาศาลทะลักเข้ามา เงาค้อนยักษ์ก็ทุบใส่เงากระบองยักษ์อย่างรุนแรง และส่งเสียงโลหะกระทบกันออกมาหลายครั้ง
ภายใต้การโจมตีติดต่อกันของเงาค้อน ทำให้ซินหยวนร่นถอยออกไปสองสามก้าว จากนั้นถึงทำลายเงาค้อนยักษ์ให้สลายไปได้
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
เขารู้ถึงความสามารถของซินหยวนดี ลำพังแค่กายเนื้อก็ด้อยกว่าเขาไม่มาก เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์พรรคพันธมิตรจินอวี้ผู้นี้ จะมีพลังมากถึงเพียงนี้
“ประมุขตู๋กู หลายปีมานี้พันธมิตรท่านมีผู้มีความสามารถเข้ามาไม่น้อย พลังปราณดำของคนผู้นี้ คงจะสำเร็จขั้นแรกไปแล้ว” พอหญิงแซ่เซียวมองเห็นไอดำแปลกประหลาดบนตัวชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทอง นางก็กล่าวออกมาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
ที่นางถามเช่นนี้ ก็เป็นเพราะว่าวิชาอย่างพลังปราณดำมีที่มาไม่ธรรมดา ว่ากันว่าเป็นวิชาขั้นสูงในการฝึกร่างเมื่อหลายพันปีก่อนของนิกายมืดทมิฬในแผ่นดินจงเทียน แต่ว่านิกายนี้ได้สล่มสลายไปนานแล้ว วิชาที่เกี่ยวข้องถึงได้เริ่มถ่ายทอดออกมา
“ท่านเซียนชมเกินไปแล้ว พลังปราณดำเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของคัมภีร์ที่พันธมิตรเราค้นพบในสมัยก่อนเท่านั้น ซึ่งมันไม่สมบูรณ์ทั้งหมด พันมิตรเราก็มีแค่ศิษย์จินฮ่วนที่ฝึกวิชานี้ ซึ่งยังห่างจากขั้นสูงมากนัก” ตู๋กูอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
หญิงแซ่เซียวได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ถามอะไรมาก จากนั้นก็หันไปดูการต่อสู้ต่อ
แสงสีดำเปล่งประกายบนลานต่อสู้ ชายฉกรรจ์ใช้เงาค้อนยักษ์กดดันมาทางซินหยวนอีกครั้ง
ซินหยวนได้ป้องกันไว้ก่อนแล้ว พอร่างของเขาพร่ามัว ก็หลบหลีกไปได้อย่างน่าประหลาดใจ ขณะเดียวกัน เงากระบองสีดำก็ตวัดเข้ามาทางด้านข้างของชายฉกรรจ์
ชายฉกรรจ์ส่งเสียงคำรามออกมา พอขยับแขนข้างหนึ่ง เงาค้อนยักษ์ก็พุ่งไปรับเงากระบองไว้
“เต๊ง!”
ค้อนยักษ์กับกระบองเหล็กปะทะกันจนกระเด็นออกไป ส่วนทั้งสองก็ถูกพลังมหาศาลสั่นสะเทือนจนร่นถอยออกไป
“ดี! ที่แท้ก็พอมีพลังอยู่บ้าง แต่ว่าต่อไปข้าจะไม่ออมมือให้เจ้าอีกต่อไปแล้ว” ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น ไอดำบนตัวพุ่งออกมามากกว่าเดิม ภายใต้การเคลื่อนตัวของเขา ทำให้ค้อนยักษ์ในมือกลายเป็นเงาค้อนพุ่งไปหาซินหยวนอีกครั้ง กลิ่นไอก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นมาก และยังพัดพาพายุบ้าระห่ำม้วนตัวเข้ามา
ซินหยวนเผยแววตาดุร้ายออกมา เขาเริ่มร่ายคาถา ลวดลายสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้นมาบนแขน ขณะที่เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ แขนทั้งสองก็ขยายใหญ่เท่าตัว หลังจากสูดหายใจลึกๆ แล้ว แสงสีดำก็เปล่งประกายบนกระบองยักษ์ พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่เท่าตัว
ภายใต้การสะบัดแขนทั้งสอง เงากระบองสีดำจำนวนมากก็ปรากฏออกมา จากนั้นก็กลายเป็นพายุหมุนสีดำพุ่งไปรับมือกับเงาค้อน
“เต๊งๆ!” เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
เงาค้อนปะทะกับเงากระบองจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ จากนั้นก็สลายไปพร้อมกัน ซินหยวนกับชายฉกรรจ์โซซัดโซเซออกไปอีกครั้ง แต่ขณะนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ชายฉกรรจ์ร่นถอยไปไกลกว่าซินหยวนสองสามก้าวถึงจะตั้งหลักได้
ชายฉกรรจ์รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
พลังมหาศาลของเขาบวกกับวิชาฝึกร่างในสมัยบรรพกาลที่คนธรรมดาไม่อาจทนรับได้ ทำให้เขาแข็งแกร่งพอที่จะขย้ำเสื้อได้เลย แต่วันนี้กลับถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี จนแขนทั้งสองรู้สึกชาเล็กน้อย จนเกือบจะทนรับไม่ไหว
แต่ทว่าในขณะนั้น กระบองเหล็กของซินหยวนก็กลายเป็นหอกเหล็กในพริบตา เงาหอกเป็นสีทองอร่าม หลังจากโบกสะบัดติดต่อกัน ลำแสงสีทองก็พุ่งยิงออกไปราวกับสายฝนกระหน่ำ
ชายฉกรรจ์หน้าเปลี่ยนสีทันที จากนั้นก็โบกสะบัดค้อนยักษ์ขึ้นมาอีกครั้ง
พอแสงสีทองสัมผัสกับค้อนยักษ์ มันก็สลายตัวไป
ซินหยวนยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม หอกเหล็กในมือโบกสะบัดจนเงาหอกสีทองพุ่งใส่ชายฉกรรจ์อย่างต่อเนื่อง
ชายฉกรรจ์โบกสะบัดค้อนยักษ์ แต่รู้สึกว่ามันค่อนข้างจะกินพลังเล็กน้อย เงากระบองเจิดจ้ามาก ทำให้รู้สึกราวกับว่าแสงสีทองปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า เขาจึงได้แต่พยายามยกค้อนยักษ์ขึ้นมาหลบเลี่ยง
ทันใดนั้น ชายฉกรรจ์ก็ร่ายคาถาออกมา ไอดำบนร่างพวยพุ่งรวมตัวกัน พริบตาเดียวก็ดูหนาแน่นขึ้นมา และปกป้องร่างของเขาไว้
ทันใดนั้น มีลำแสงสีทองจำนวนมากพุ่งผ่านเงาค้อน และเข้ามาถึงไอดำที่ปกคลุมตัวเขาอยู่ แต่ไอดำเพียงแค่สั่นสะท้านเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ
ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แต่ครู่มาแขนของซินหยวนก็พร่ามัวจนดูเหมือนจะมีเจ็ดแปดแขน และโจมตีใส่เขาอย่างรุนแรง
ชายฉกรรจ์รู้สึกตกใจมาก เพียงแค่พยายามต้านทานอย่างสุดชีวิต แต่เมื่อเขารับมือกับการโจมตีระลอกสุดท้ายเสร็จ และหันไปมองฝ่ายตรงข้ามนั้น กลับค้นพบว่าซินหยวนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“แย่แล้ว!”
ชายฉกรรจ์ตะโกนออกมาทันที และหยิบยันต์มาขยี้จนแตกละเอียดอย่างไม่ลังเล ทันใดนั้น แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมาปกคลุมร่างไว้
“ไป!”
แต่ขณะนั้นเอง ซินหยวนก็ปรากฏออกมาตรงด้านหลังของชายฉกรรจ์ อักขระสีดำเปล่งประกายบนตัว พอเขาดึงสายธนูยักษ์สีดำที่ไม่รู้ว่าอยู่บนมือเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลำแสงสีทองเจิดจ้าก็พุ่งยิงออกไป
พอชายกรรจ์ได้ยินเสียงที่ดังออกมา แสงสีทองกับไอดำที่ปกคลุมตัวอยู่ก็สลายไปพร้อมกัน ลำแสงสีทองเจิดจ้าจมหายเข้าไปในร่างของเขา
ครู่ต่อมา แสงสีทองก็สลายไปจนหมดสิ้น ร่างของชายฉกรรจ์ล้มลงพื้น โลหิตไหลออกมาเต็มตัว และไร้ซึ่งสติสมปฤดี
“คู่แรก พรรคฉางเฟิงชนะ” แม่ชีเมี่ยวซินเห็นเช่นนี้ ก็ประกาศออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พอประมุขตู๋กูเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย ส่วนหญิงแซ่เซียวที่อยู่ด้านข้าง ก็มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าพันธมิตรจินอวี้จะพ่ายแพ้ตั้งแต่คู่แรก ทั้งยังแพ้ให้กับแขกที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของพรรคฉางเฟิง
ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าจ้องมองซินหยวนด้วยสีหน้าดุร้าย จากนั้นก็จ้องมองชายฉกรรจ์ที่หมดสติอยู่บนลานต่อสู้ และหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น
“สหายซินทำชัยชนะครั้งแรกให้กับพรรคฉางเฟิงเรา ช่างน่ายินดียิ่งนัก รีบทานโอสถฟื้นฟูพลังเวทเถอะ!” เฟิงจ้านออกไปรับพร้อมกับเสียงหัวเราะ และหยิบขวดโอสถระดับสูงยื่นให้ซินหยวน
ซินหยวนพยักหน้าหัวเราะ และยื่นมือไปรับโอสถมา จากนั้นก็แบกกระบองสีดำไว้บนบ่า แล้วเดินไปนั่งขัดสมาธิอยู่มุมแห่งหนึ่ง
ขณะนี้ ศิษย์นิกายวิหคสวรรค์ต่างก็มองซินหยวนด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ตอนที่ 455 การต่อสู้ของเจียหลาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครู่ต่อมา ชายฉกรรจ์ที่หมดสติอยู่ก็ถูกศิษย์ของพันธมิตรจินอวี้สองสามคนไปยกตัวออกจากค่ายกล และการต่อสู้ของคู่ที่สองก็เริ่มขึ้น
ทางด้านพรรคฉางเฟิง เฟิงจ้านกล่าวอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“คิดไม่ถึงว่าสหายซินหยวนจะซ่อนพลังเช่นนี้ ตอนนี้นับว่าพรรคฉางเฟิงได้ชัยชนะไปหนึ่งยกแล้ว”
เว่ยจ้งที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา ใบหน้าดูบูดบึ้งไม่พอใจเล็กน้อย
เฟิงจ้านหัวเราะเฮ่อๆ! แล้วหันหน้ามากล่าว
“แน่นอนอยู่แล้ว คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ายังอยู่ในตอนท้าย อีกสักครู่ยังต้องดูการแสดงความสามารถของคุณชายเว่ยด้วย”
“ผู้อาวุโสเฟิงรอสักครู่ ข้าจะรีบไปรีบมา” เว่ยจ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น จากนั้นก็เหาะเข้าไปในค่ายกล
และห่างออกไปไกล เจียหลานกำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ และยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา
“การต่อสู้คู่ที่สองเริ่มขึ้นได้!” พอเมี่ยวซินซือไท่เห็นว่าทั้งสองเข้าไปในลานประลองแล้ว นางก็ประกาศออกมา
แม้การต่อสู้จะเริ่มขึ้นแล้ว แต่เว่ยจ้งไม่ได้รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด แต่กลับสังเกตดูความงดงามของหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่หวาดกลัว
“คิดไม่ถึงว่านิกายเล็กๆ อย่างวิหคสวรรค์จะมีหญิงสาวงดงามราวกับนางฟ้าเช่นนี้ด้วย! วันนี้ได้พบกับท่านเซียน นับว่าเรามีวาสนาต่อกันไม่เบา! ข้าน้อยเว้ยจ้ง ศิษย์นิกายห้าวิญญาณ ไม่ทราบว่าท่านเซียนพอจะบอกนามของท่านได้หรือไม่ ข้าน้อยจะได้จดจำไว้” เว่ยจ้งกล่าวด้วยสีหน้าเร่าร้อน
เจียหลานจ้องมองชายชุดดำตรงหน้าด้วยแววตาขยะแขยง ส่วนคำพูดของเขา นางก็ทำราวกับไม่ได้ยิน
เจียหลานค่อยๆ ยกมือสวยราวกับหยกขึ้นมาวางไว้บริเวณหน้าอก นิ้วทั้งสิบโค้งงอ ก่อเกิดเป็นท่ามือแปลกประหลาด
ครู่ต่อมา พอกระตุ้นท่ามือ แสงสีม่วงก็เปล่งประกายในดวงตาของเจียหลาน พริบตานั้นอากาศบริเวณที่นิ้วของนางวาดตัวผ่าน ได้ก่อตัวเป็นระลอกคลื่น และกระแผ่กระจายออกไปรอบด้าน
“หญิงนางนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด คุณชายเว่ยต้องระวังให้ดี” เฟิงจ้านรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลได้อยู่ลางๆ วิชาที่หญิงสาวงดงามนิกายวิหคสวรรค์ใช้ดูแปลกประหลาดมาก แม้แต่เขาก็ดูไม่ออกว่ามันคือวิชาอะไร จึงรีบส่งเสียงไปเตือนเว่ยจ้ง
“ท่านเซียนไม่ต้องตื่นเต้น ข้าเป็นผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจหญิงสาว ด้วยความงามระดับท่านเซียน แต่กลับอยู่ในนิกายเล็กๆ ของทะเลหนานไห่ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก หากครั้งนี้ข้าชนะ ท่านเซียนตามข้ากลับแผ่นดินจงเทียนดีหรือไม่ ข้ารับรองว่าจะให้เจ้าเข้านิกายห้าวิญญาณ นับแต่นี้ต่อไปจะมีทรัพยากรการฝึกฝนไม่จำกัด และการเข้าสู่ระดับผลึกก็เป็นเรื่องที่อยู่ไม่ไกลแล้ว” แม้ท่ามือของหญิงสาวตรงหน้าจะแปลกประหลาดมาก แต่เว่ยจ้งกลับค้นพบว่าการฝึกฝนของนางอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่เห็นด้วยกับคำเตือนของเฟิงจ้าน แต่กลับกล่าวด้วยความตื่นเต้น
เจียหลานได้ยินก็จ้องมองเว่ยจ้งอย่างเยือกเย็น และยังคงไม่สนใจเขาเช่นเดิม มือทั้งสองสั่นสะท้านเบาๆ แสงสีม่วงในดวงตาสว่างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! ในเมื่อท่านเซียนไม่พูดอะไรออกมา ข้าก็ถือว่าท่านยอมรับโดยปริยายแล้ว” เว่ยจ้งยิ้มอย่างมีเลศนัย ดูเหมือนเขาจะรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมาก
และเขายังคงไม่กระตุ้นท่ามือ ดูเหมือนคิดที่จะแสดงน้ำใจของตนเองออกมา
แม้เว่ยจ้งจะหยิ่งผยองไปหน่อย แต่เพราะเขาเป็นศิษย์สาขาของนิกายห้าวิญญาณ ระดับการฝึกฝนก็ไม่ด้อย บวกกับมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ผู้อาวุโสมอบให้ การรับมือกับหญิงสาวระดับของเหลวขั้นกลางย่อมเป็นเรื่องง่าย
เขาเชื่อว่าเพียงแค่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมกลับนิกายห้าวิญญาณพร้อมกับตนเองได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
“วิชาดวงตาละเมอฝัน……ช่างเป็นร่างละเมอฝันที่หาได้ยากยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่านิกายวิหคสวรรค์จะมีศิษย์ที่มีร่างจิตวิญญาณเช่นนี้ด้วย” พอนักพรตแซ่สือเห็นแสงสีม่วงแปลกประหลาดในแววตาของเจียหลาน เขาก็เงียบไปสักพักใหญ่ๆ ทันใดนั้นดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หญิงแซ่เซียวกับประมุขพันธมิตรจินอวี้ได้ยินเช่นนี้ก็ยังคงมีสีหน้าปกติ แต่กลับรู้สึกประหลาดใจมาก
แม่ชีเมี่ยวซินได้ยินนักพรตแซ่สือกล่าวเช่นนี้ นางก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด เพียงแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น
“คุณชายเว่ย ร่างละเมอฝันนี้สามารถดึงดูดจิตใจผู้คนได้อย่างไร้ร่องรอย ระวังอย่าให้นางครอบงำจิตรับรู้ได้” เฟิงจ้านได้ยินก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึง จึงรีบส่งเสียงออกไปอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้เว่ยจ้งมีท่าทีเคลิบเคลิ้ม ดวงตาเริ่มเลอะเลือน คิดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกแสงสีม่วงของวิชาละเมอฝันดึงดูดจิตรับรู้โดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงเฟิงจ้านดังขึ้นข้างหู ถึงได้สติขึ้นมา
ภายใต้ความตกใจ เขาคิดที่จะสงบจิต แต่กลับรู้สึกว่าจิตในทะเลจิตรับรู้เริ่มเชื่องช้าลง และมีเงาร่างลอยไปลอยมาตรงหน้า ใบหน้าอัปลักษณ์ของเขาเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา และเริ่มแสดงสีหน้าเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว
เว่ยจ้งรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล เขารีบกระตุ้นพลังจิตด้วยความรีบร้อน เพื่อต่อต้านไม่ให้เงาร่างตรงหน้าบุกเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ ส่วนมือของเขาก็รีบหยิบยันต์สีเหลืองจางๆ ออกมาแผ่นหนึ่ง และขยี้จนแหลกละเอียดอย่างไม่ลังเล
พอแสงสีทองจางๆ ม้วนขึ้นมา มันก็หมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ และจมเข้าไปในศีรษะของเว่ยจ้ง จากนั้นก็กลายเป็นอักขระสีเหลืองจางๆ ตัวหนึ่ง
ภายใต้การเปล่งประกายของอักขระ ทำให้จิตรับรู้ของชายหนุ่มก็ฟื้นฟูมาส่วนหนึ่ง
การกระทำของเขาในครั้งนี้เป็นการกระทำชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ขับไล่วิชามายาที่บุกเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ออกมาจนหมด หากคิดจะหลุดพ้นจากแดนมายานี้ เขาต้องจบศึกให้ไวที่สุด มิเช่นนั้นพอจิตไม่มั่นคง คงต้องจะจมอยู่ในนั้นจนไม่สามารถออกมาได้
เพราะเว่ยจ้งเป็นศิษย์ของนิกายที่มีประวัติมานับหมื่นปี พอคิดถึงจุดนี้ เขาก็อ้าปากพ่นธงเล็กๆ สีแดงออกมาอันหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ภายใต้การกระตุ้นท่ามือ ธงเล็กสีแดงขยายใหญ่ตามแรงลม พริบตาเดียวก็มีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ บนตัวธงมีภาพราวกับวิหคนับร้อยกำลังคำนับอยู่ ดูจากค่ายกลสีแดงที่ปรากฏออกมาแล้ว มันเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นหนึ่ง
เว่ยจ้งกำธงไว้แน่นและโบกสะบัดอย่างรุนแรง แสงสีแดงเปล่งประกายตรงหน้า ม่านเปลวเพลิงปรากฏออกมาล้อมตัวเขาไว้
จากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง เมื่อแสงสีเขียวม้วนตัวขึ้นมา ก็เผยให้เห็นดาบสั้นสีเขียวเล่มหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดเช่นกัน
“นิกายห้าวิญญาณมีสมบัติมากมายจริงๆ ศิษย์ระดับของเหลวยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดถึงสองชิ้น และแผ่นดินอวิ๋นชวนที่ข้าอยู่ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก ก็มีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น” พอหลิ่วหมิงเห็นเว่ยจ้งใช้อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดถึงสองชิ้น เขาก็แอบครุ่นคิดอย่างอดไม่ได้
พอเฟิงจ้านเห็นเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ดูเหมือนจะคลายความกังวลลงไปมาก ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มออกมา ประจักษ์ชัดว่าเขารู้จักไพ่ตายในมือเว่ยจ้งดี
เว่ยจ้งใช้มือข้างหนึ่งโบกธง จนพายุสีแดงกับเปลวเพลิงค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน ภาพหงส์บนธงสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง พริบตาเดียวก็พ่นแสงสีแดงไปทั่วทิศ
ดาบสั้นสีเขียวบนมืออีกข้างหลุดออกจากมือเขาในทันที จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีเขียวเจิดจ้าพุ่งเข้าใส่เจียหลาน
เจียหลานเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองก็พุ่งยิงออกมา และกลายเป็นลูกประคำสีทองเส้นหนึ่งหนีบอยู่บนมือของนาง พอส่งพลังเวทเข้าไป เสียงภาษาสันสกฤตก็ดังขึ้นบนอากาศเป็นระลอกๆ และลูกประคำก็เปล่งแสงห้าสีเจิดจ้า
จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นทันที ลูกประคำในมือหมุนติ้วๆ และพุ่งออกไปอีกครั้ง หลังจากหมุนวนไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ลอยอยู่เหนือศีรษะของนาง
นิ้วทั้งสิบปล่อยพลังใส่ลูกประคำติดต่อกัน ลูกประคำหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิม แสงห้าสีก็ดูแสบตามากขึ้น จากนั้นก็กลายเป็นม่านแสงปกคลุมร่างของตนเองไว้
ขณะนี้ คมวายุสีแดงพุ่งยิงออกมาเป็นเส้นๆ พอสัมผัสกับม่านแสงห้าสีรอบตัวเจียหลาน มันกลับค่อยๆ จมเข้าไปข้างใน จนทำให้เกิดแสงหลากสีหมุนวนอยู่บนพื้นผิว พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ
“เต๊ง!”
ดาบสั้นสีเขียวของเว่ยจ้งเล่มนั้น กลายเป็นแสงสีเขียวฟันเข้ามา ทำให้ม่านแสงหลากสีสั่นสะเทือนอีกครั้ง
แต่ทว่าในขณะที่เสียงร่ายคาถาของเจียหลานดังขึ้น อักขระสันสกฤตห้าสีก็มาปรากฏขึ้นบนม่านแสงเป็นจำนวนมาก และดีดดาบสั้นจนกระเด็นออกไป
พอเว่ยจ้งเห็นว่าการโจมตีของอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด ไม่อาจสั่นสะเทือนม่านแสงห้าสีได้เลยแม้แต่น้อย และวิชามายาในทะเลจิตรับรู้ยังคงไม่อาจลบออกไปได้หมด จนเขาต้องแบ่งพลังเวทส่วนหนึ่งไปควบคุมไว้ สีหน้าของเขาจึงดูร้อนรนขึ้นมา
พอเขาตะคอกเสียง ธงสีแดงขนาดใหญ่มือก็โบกสะบัดอีกครั้ง แต่ละครั้งทำให้เกิดเป็นคลื่นอัคคีขึ้นมาหนึ่งกลุ่ม ทำให้อุณหภูมิบริเวณนั้นร้อนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง คลื่นอัคคีจำนวนมากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นก็จมเข้าไปในธง พอมีเสียงดังกังวานออกมา หงส์เพลิงที่มีขนาดสี่ห้าจั้งก็บินออกจากธงท่ามกลางแสงสีแดง และกระโจนเข้าหาเจียหลาน
ขณะเดียวกัน ดาบสั้นสีเขียวที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมืออีกข้าง ก็ฟันเข้าหาเจียหลานอย่างต่อเนื่อง
และหงส์เพลิงก็พุ่งเข้าใส่ม่านแสง ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ห่อหุ้มรอบตัว
สีหน้าเจียหลานไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย และยังไม่คิดจะหลบหลีกด้วย แต่กลับร่ายคาถาออกมา นิ้วทั้งสิบเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ม่านแสงรอบด้านยิ่งเปล่งแสงเจิดจ้ามากขึ้น อักขระสันสฤตห้าสีจำนวนมากลอยออกมาจากในนั้น และลอยวนรอบๆ ดาบสั้นสีเขียวกับหงส์เพลิง
ขณะที่อักขระสันสกฤตเปล่งประกาย แสงสีเขียวที่เปล่งประกายอยู่บนดาบสั้นก็ค่อยๆ ดับลงไป และสูญเสียการควบคุมก่อนตกลงพื้น
และหงส์เพลิงที่กระโจนเข้ามา ก็เริ่มสลายตัวท่ามกลางเสียงร่ายคาถาที่ดังขึ้น และหลังจากส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาแล้ว มันก็กลายเป็นสะเก็ดไฟก่อนที่จะหายไปในอากาศ
“เมี่ยวซินซือไท่ แท้จริงแล้วนางผู้นี้เป็นศิษย์ของอารามชิงสุ่ยล่ะสิ อย่าบอกนะว่าวิชาที่นางแสดงออกมาไม่ใช่วิชาพุทธะของอารามชิงสุ่ย” นักพรตแซ่สือเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
หญิงแซ่เซียวกับตู๋กูอวี้สบตากันทีหนึ่ง พวกเขาทั้งสองดูประหลาดใจเล็กน้อย และเฟิงจ้านในขณะนี้กลับมีสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างมาก
“ทุกท่านพูดล้อเล่นแล้ว แม้ข้าจะชอบนางผู้นี้จริงๆ แต่นางไม่ใช่ศิษย์ของอารามข้า เพียงแต่นางมีวาสนากับพุทธะเท่านั้น นางเคยมีโอกาสอยู่ในหอเก็บคัมภีร์หลายเดือน คิดว่าความสามารถเหล่านี้คงเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอารามชิงสุ่ยเราแต่อย่างใด คิดว่าชายหนุ่มชุดดำผู้นี้ ก็เข้าร่วมพรรคฉางเฟิงแค่ครึ่งหนึ่งใช่ไหม!” เมี่ยวซินซือไท่พนมมือแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
คำพูดเช่นนี้ คนอื่นๆ จะเชื่อได้อย่างไร
แต่แม่ชีปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานใดๆ มายืนยันได้ จึงได้แต่ปิดปากเงียบ และให้เรื่องนี้มันแล้วกันไป
ในสายตาหลิ่วหมิง พลังของเจียหลานย่อมแตกต่างจากแต่ก่อนราวฟ้ากับดิน ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ในระหว่างนั้น มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงขึ้นในค่ายกล
ไม่รู้ว่าลูกประคำสีทองในมือเจียหลานไปปรากฏอยู่บนศีรษะเว่ยจ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว มันก็เปล่งแสงห้าสีออกมา และขยายใหญ่จนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวหลายจั้ง และล้อมตัวเขาไว้
ภายใต้ความตกใจ เว่ยจ้งพยายามโบกสะบัดธงสีแดงอย่างสุดฤทธิ์ จนก่อเกิดเป็นดาบอัคคีจำนวนมาก เพื่อคิดที่จะทำลายลูกประคำให้ได้ แต่พอดาบอัคคีสัมผัสกับแสงห้าสี มันก็จมเข้าไปในนั้นอย่างไร้สุ้มเสียง ซึ่งไม่สามารถสร้างการสั่นสะเทือนใดๆ ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น