หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 448-451

 บทที่ 448 นครใต้ดิน!

โดย

Ink Stone_Fantasy

การที่ทางออกหายไปแปลว่าผู้ฝึกตนจากต่างดาวทั้งสามจะติดอยู่ภายในชั้นที่สองของโลกใต้ดิน แม้ว่าด้วยระดับการฝึกตนแล้วพวกเขาคงไม่ติดอยู่นานนัก แต่ก็พลาดโอกาสที่จะสังหารหวังเป่าเล่อไปอย่างฉิวเฉียด!


ชานหน้าตะขาบขณะนี้มีสีหน้าเหยเก เขาคำรามก่อนจะฉีกซากศพรอบๆ กายออกเป็นชิ้นๆ เมื่อชายหนุ่มกระโจนมาถึงจุดที่หวังเป่าเล่อเคยยืนอยู่ เขาก็ใช้กำปั้นทุบดินสุดแรง แต่กระแสน้ำวนได้อันตรธานไปนานแล้ว


“โลกใบนี้ช่างโหดร้ายกับเรานัก…” ทั้งสามต่างก็จ้องหน้ากันด้วยใบหน้าถมึงทึงสุดขีด การเดินทางของพวกเขาจนถึงจุดนี้ราบลื่นมาตลอด พวกเขาไม่เคยพบเจออุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นการสังหารหมู่บนดาวพุธ หรือการชิงต้นกำเนิดดารามาจากดาวพุธเองก็ตาม มีเพียงบนดาวอังคารเท่านั้นที่อุปสรรคจำนวนมากเริ่มปรากฏขึ้น


หากว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มีอิทธิพลหรือเป็นใครสักคนที่มีระดับการฝึกตนเท่าเทียมคนทั้งสาม ก็คงจะไม่เป็นไร ทว่าอีกฝ่ายกลับเป็นเพียงเจ้าอ้วนที่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น ทำให้พวกเขารู้สึกทั้งเจ็บทั้งอายอย่างเหลือจะกล่าว


ก่อนหน้านี้ พวกเขาต้องการจับเป็นหวังเป่าเล่อ ทว่าพอเข้ามาในโลกใต้ดิน และเห็นว่าโลกนี้ลำเอียงเข้าข้างหวังเป่าเล่อ ถึงขนาดที่ว่าพลังปราณของทั้งสามคนนั้นแทบจะไร้ประโยชน์


ขณะนี้การติดตามหวังเป่าเล่อไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว การที่หวังเป่าเล่อหลบหนีไปได้ทำให้แผนการไล่ล่าของพวกเขาหยุดชะงัก ทั้งสามไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคิดถึงความเป็นไปได้ว่าหวังเป่าเล่ออาจจะออกจากโลกนี้ไปได้ก่อนพวกเขา หากชายหนุ่มหลุดออกไปและไปบอกเหล่าผู้อาวุโสที่กำลังควานหาตัวพวกเขาอยู่ ต้องไม่เป็นผลดีแก่คนทั้งสามอย่างแน่นอน


“บัดซบ!” ผู้ฝึกตนจากต่างดาวทั้งสามล้วนโกรธจัด พวกเขาจ้องหน้ากันไปมาและดูเหมือนว่าจะตกลงกันได้ ทั้งสามคนล้มเลิกแผนการไล่ล่าหวังเป่าเล่อ ตั้งใจที่จะล่าถอยและหลบหนีแทน


พวกเขาไม่อยากเสี่ยง ทั้งสามตั้งใจว่าจะถอยกลับไปตั้งหลักที่ดาวบ้านเกิด แล้วจึงกลับมาใหม่พร้อมจำนวนคนที่มากกว่าเดิม จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างบนดาวดวงนี้ก็จะตกเป็นของดาวบ้านเกิดของพวกเขาไปเสียสิ้น


จากนั้นในฐานะผู้ที่พาทุกคนมายึดครองดวงดาว พวกเขาจะได้รับรางวัลมหาศาล มากพอที่จะผลักดันพลังปราณของพวกเขาให้บรรลุขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง!


เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทั้งสามจึงล่าถอยอย่างเร่งรีบ ทว่าแม้แผนของพวกเขาจะฟังดูสมเหตุสมผล แต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างเสี่ยงอยู่ไม่น้อย ตอนที่เข้ามาในโลกนี้ พวกเขาไล่หลังหวังเป่าเล่อมาติดๆ ทำให้เข้ามาได้ง่ายดย มาบัดนี้ พวกเขาต้องการจะออกไป และจำเป็นต้องหาทางออกให้พบ เพราะหากหาไม่พบ พวกเขาจำต้องหาบริเวณที่เกราะป้องกันเปราะบางที่สุดและระเบิดเพื่อสร้างทางออกเอง


และการจะทำเช่นนั้นต้องใช้เวลา!


ผู้ฝึกตนทั้งสามกังวลยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะหนีไปก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่ ครั้งหน้าที่กลับมา พวกเขาจะปล้นจั่วอี้เซียนให้สิ้นเนื้อประดาตัวเลยเชียว!


เมื่อทั้งสามล่าถอยและล้มเลิกความตั้งใจที่จะไล่ล่าหวังเป่าเล่อต่อพวกเขาก็แยกย้ายกันไปในบริเวณต่างๆ ของโลกใต้ดินชั้นที่สองเพื่อมองหาทางออก ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งเข้ามาในถ้ำใต้ดิน ดูเหมือนกำลังเดินอยู่บนทางเดินเคลื่อนย้าย ทางเดินนั้นสว่างเจิดจ้า ทำให้ยากที่จะมองสิ่งรอบข้างได้ชัดเจน โชคยังดีที่ระยะทางนั้นใช้เวลาไม่กี่อึดใจ เมื่อแสงสว่างเลือนหายไปและคลื่นความร้อนเข้ามาแทนที่ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อเมื่อเขาก้าวออกมาจากถ้ำคือนครโบราณขนาดมหึมา!


นครนี้คือชั้นที่สามของโลกใต้ดิน!


เมื่อมองจากไกลๆ นครแห่งนี้มีรูปทรงคล้ายศีรษะอสูรขนาดใหญ่ มีแรงกดดันรุนแรงแผ่กระจายออกมา รอบนครรายล้อมไปด้วยสิ่งก่อสร้างทรงสูงคล้ายปล่องไฟนับสิบที่ปล่อยควันสีดำขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวกันเป็นเมฆสีดำบนท้องฟ้าที่ทำจากโคลน มองเห็นแสงแวบวาบของสายฟ้าได้เป็นระยะๆ ควันดำและเมฆดำหมุนวน ก่อให้เกิดเสียงที่ดังจนน่าสะพรึง ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจ


สถานที่แห่งนี้คือแหล่งอารยธรรมที่แตกต่างจากสหพันธรัฐอย่างสิ้นเชิง!


ที่เรียกว่าเป็นอารยธรรมเพราะมีนครคล้ายคลึงกันนี้อย่างน้อยๆ สิบแห่งอยู่ภายในชั้นสามของโลกใต้ดิน นครทุกแห่งคล้ายคลึงกับนครที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ เพียงแค่นครแห่งนี้นั้นใหญ่ที่สุด


ส่วนท้องฟ้าที่ทำจากโคลนนั้น แม้จะถูกปกคลุมด้วยเมฆดำ ก็ยังมีแสงเรืองเรื่อสีแดงที่ส่องลอดลงมาจากหมู่เมฆดำปกคลุมพื้นที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา นอกจากนครหลายต่อหลายแห่งแล้ว ยังมีภูเขาไฟใต้ดินจำนวนมากที่มีหินหลอมละลายไหลบ่าออกมาไม่หยุดยั้ง ภูเขาไฟเหล่านี้ถีบให้อุณหภูมิของที่นี่สูงขึ้นลิบลิ่ว กระทั่งสายลมอ่อนๆ ก็ยังร้อนเสียจนทำให้คนเป็นลมแดดได้ง่ายๆ การอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานานอาจทำให้ความชื้นในกายระเหิดออกไปจนหมดเกลี้ยง จนกระทั่งร่างกลายเป็นเพียงศพที่แห้งกรอบ!


สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับมนุษย์อย่างยิ่ง เหมาะแค่กับสิ่งมีชีวิตใต้ดินเท่านั้น!


สิ่งมีชีวิตก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าสถานที่แห่งนี้มีอารยธรรมตั้งอยู่ มีอสูรร้ายมากมายอยู่ในนครเหล่านี้ อสูรพวกนี้แตกต่างจากที่หวังเป่าเล่อพบเจอในเหตุอสูรหลั่งไหล พวกมันไม่บ้าคลั่งเท่า และยังมีสติปัญญาอยู่บ้าง แถมยังมีประกายของวิญญาณปรากฏอยู่ในดวงตา


ทว่าพวกมันก็ไม่ฉลาดเท่าใดนัก ถึงกระนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังตื่นตกใจและยังรู้สึกได้ถึงคลื่นอารมณ์ที่ถาโถม เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นเกินจินตนาการของเขาไปไกลลิบ


นี่คือภายในของวัตถุเวทแห่งความมืดเช่นนั้นหรือ หรือเป็นสถานที่ที่อยู่ใต้พื้นผิวของดาวอังคารกันแน่ หวังเป่าเล่อค่อยๆ ทำใจให้สงบ เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวปุบปับ เพราะขณะนี้เขายืนอยู่กลางนครที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ ยืนอยู่บนสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าเป็นลานจัตุรัสสาธารณะที่ใหญ่โตที่สุดในเมือง!


ใจกลางของลานจัตุรัสสาธารณะนี้อยู่ห่างหวังเป่าเล่อไปไม่ถึงสามร้อยเมตร ตรงนั้นมีลมหมุนลูกใหญ่อยู่ ควันดำหลั่งไหลออกมาจากลมหมุนนั้น เสียงเพรียกที่สะท้อนก้องอยู่ในหัวของหวังเป่าเล่อดังออกมาจากลมหมุนลูกนั้น


ชายหนุ่มมั่นใจว่าสิ่งที่ส่งเสียงเพรียกหาเขาต้องอยู่ในลมหมุนอย่างแน่นอน!


แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่เขาไม่กล้าเคลื่อนไหว สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อเป็นกังวลคือพิธีกรรมที่ดำเนินอยู่ในบริเวณลานจัตุรัสสาธารณะแห่งนี้ มีอสูรดุร้ายรูปลักษณ์หลากหลายจำนวนมากมารวมตัวกัน พวกมันล้อมรอบพายุหมุนเอาไว้และดูเหมือนกำลังสวดมนต์ ขณะเดียวกันก็มีร่างสองร่างลอยอยู่บนอากาศเหนือลมหมุนนั้น!


ร่างทั้งสองนั้นพร่ามัว หากเป็นคนอื่นคงไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน แต่เพราะเปลวไฟสีดำในดวงตา หวังเป่าเล่อจึงสามารถมองเห็นทุกอย่างได้แจ่มชัด


ชายหนุ่มไม่อาจเห็นร่างหนึ่งในสองนั้นได้โดยละเอียด เขามองเห็นเพียงชุดคลุมสีดำเท่านั้น และเมื่อมองใกล้เข้าไปก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีร่างมนุษย์อยู่ภายใน มีเพียงชุดคลุมสีดำที่ลอยอยู่!


ส่วนอีกร่างที่ยืนอยู่ข้างๆ ชุดคลุมสีดำปริศนาเป็นเด็กชายที่มีใบหน้าสีเขียวแทนที่จะเป็นสีอมชมพูเช่นเด็กทั่วไป เขาดูเหมือนภูตผีที่ดุร้าย อสูรร้ายมากมายกำลังสวดมนต์ต่อเด็กชายและชุดคลุมสีดำนั้น อสูรจำนวนไม่น้อยมีลักษณะเหมือนซากศพ!


มองดูราวกับว่าชุดคลุมสีดำและเด็กชายเป็นผู้สร้างพวกมันขึ้นมากระนั้น!


ตรงหน้าชุดคลุมสีดำและเด็กชายมีกองโคลนที่เคลื่อนไหวอยู่ไปมา ราวกับว่ามันกำลังสลายตัว บนกองโคลนนั้นมีด้วงหน้าตาน่าเกลียดขนาดเท่าเล็บมืออยู่หลายตัว พวกมันเหมือนกำลังลอกคราบ และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เลือดเนื้อกำลังถูกย่อยสลาย!


ราวกับว่ามีพลังงานลึกลับบางอย่างที่ส่งให้ทุกชีวิตแปรสภาพไป!


เมื่อหวังเป่าเล่อมองเห็นทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ เป็นไปได้ว่าข้างล่างนี้อาจไม่มีโลกอยู่ตั้งแต่ต้น แต่เพราะการมีอยู่ของวัตถุเวทแห่งความมืดและสิ่งที่มีเอกลักษณ์บางอย่าง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ขึ้นใต้ดิน ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไวรัส หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใด ต่างก็พากันวิวัฒนาการภายใต้พลังของวัตถุเวทแห่งความมืด และค่อยๆ สร้างโลกใหม่นี้ขึ้นมา!


หากการคาดเดาของหวังเป่าเล่อถูกต้อง ก็จะถือเป็นคำอธิบายการเกิดเหตุอสูรหลั่งไหลและเหตุผลว่าทำไมเหตุเหล่านี้จึงเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน เป็นเพราะในโลกใต้ดินแห่งนี้ ตราบเท่าที่วัตถุเวทแห่งความมืดยังคงอยู่ กระบวนการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดก็จะดำเนินต่อไป!


และหากการคาดเดานี้ถูกต้อง พายุหมุนกลางลานจัตุรัสสาธารณะที่หวังเป่าเล่อคิดว่าเป็นจุดกำเนิดของเสียงเพรียก ย่อมต้องเป็นตำแหน่งของวัตถุเวทแห่งความมืดอย่างแน่นอน!


ความคิดนี้แล่นวาบผ่านมโนสำนึกของชายหนุ่ม ทว่าตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวขึ้นกระทั่งถึงตอนนี้ หวังเป่าเล่อทำได้เพียงยืนคิดเท่านั้น ทันใดนั้นเอง ชุดคลุมสีดำและเด็กชายที่ลอยอยู่เหนือพายุหมุนก็ปรากฏตัวตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!


ส่วนบรรดาอสูรร้ายที่ดูเหมือนกำลังสวดมนต์อยู่นั้น ก็พากันหันศีรษะมาจ้องมองหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว


เด็กชายนั้นเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อก็ดูตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาซ่อนมือขวาที่เพิ่งงอกออกมาใหม่ในอ้อมกอดโดยไม่รู้ตัว และร่างของเขาก็อันตรธานไปในบัดดล…


หวังเป่าเล่อไม่ได้สังเกตเห็นการกระทำของเด็กชายแม้แต่น้อย ขณะนี้ชายหนุ่มกำลังเหงื่อตกขณะคิดหาทางอธิบายว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เขาอยากพูดคุยกับผู้ที่อาศัยในอารยธรรมแห่งนี้และอธิบายว่าตนเองไม่ได้มาร้าย การที่เขามาที่นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น…


ทว่าก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้เปิดปากพูด ชุดคลุมสีดำที่ลอยอยู่ในอากาศก็เริ่มสั่น ในพริบตานั้น แสงสีหม่นคู่หนึ่งดูละม้ายคล้ายดวงตาก็ปรากฏขึ้นในชุดคลุมสีดำและจ้องมองมาที่หวังเป่าเล่อ  มันดูตื่นตกใจเผยให้เห็นคลื่นอารมณ์อันหลากหลายอย่างแจ่มชัด


“หวังเป่าเล่อ!”


เสียงแหบพร่าดังก้องอยู่ภายในชุดคลุมสีดำ ก่อนจะกระจายไปทั่วทุกทิศทาง หวังเป่าเล่อถึงกับตาเบิกโพลง สมองมึนงง ชายหนุ่มไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะรู้จักเขา ทว่าในขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่


“เจ้าคือ…ข้ารับใช้แห่งความมืดเช่นนั้นหรือ”


บทที่ 449 ข้าเข้าใจเจ้าลาผิดไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

คำว่า ‘ข้ารับใช้แห่งความมืด’ กระตุ้นจิตสังหารในดวงตาของชุดคลุมสีดำให้ลุกโชนขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะกลัวสถานะของหวังเป่าเล่อและพลังของเปลวไฟสีดำก็คงพุ่งเข้าโจมตีทันที เพื่อกำราบหวังเป่าเล่อและเปลี่ยนให้ชายหนุ่มกลายเป็นข้ารับใช้แห่งความมืดเสียเอง!


ในความเป็นจริงนั้น หลังจากที่ชุดคลุมสีดำรู้ถึงสถานะของหวังเป่าเล่อ เขาก็ยังหวังจะสังหารชายหนุ่มอยู่ เขาผิดหวังและโกรธเกรี้ยวในความล้มเหลวของหุ่นเชิด ทั้งยังคิดวางแผนโจมตีระลอกสองด้วย


ทว่าก่อนที่มันจะคิดแผนได้ หวังเป่าเล่อก็เดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองเสียก่อน


“เจ้าเรียกเขามาที่นี่!” ชุดคลุมสีดำหรี่ตาลง ก่อนจะก้มลงมองลมหมุนที่ใต้เท้าตน สายตาแสดงความเกรี้ยวกราดอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้พูดออกมา เพียงแต่ส่งกระแสความคิดไปเท่านั้น


คำตอบที่ลอยออกมาจากลมหมุนคือควันสีดำหนาแน่นและเสียงเพรียกหาหวังเป่าเล่อที่รุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ เสียงนั้นดังก้องสะท้อนไปมาในศีรษะของหวังเป่าเล่ออย่างชัดเจน!


“บุตรแห่งความมืด…มาที่นี่…มาทางนี้…มาเถิด…”


“สังหารเขาเสีย!” ชุดคลุมสีดำหายใจถี่เร็ว มันยกมือขวามายาของตนขึ้นโบกแล้วเสียงเพรียกก็พลันอันตรธานไป ชุดคลุมสีดำส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำราวกับออกคำสั่ง เมื่อเสียงคำรามนั้นดังออกไป บรรดาอสูรร้ายในลานจัตุรัสสาธารณะก็เกิดบ้าคลั่งและพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันที


ชายหนุ่มถึงกับผงะ และหลบอสูรร้ายเจ็ดตัวที่พุ่งเข้ามาพร้อมๆ กันจนพวกมันชนกันเองระเนระนาด แต่กระนั้นอาการบาดเจ็บที่ใบไม้สีดำฝากไว้เมื่อครู่ก็ยังไม่หายดี แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะฟื้นฟูตนเองได้เร็วเพียงใดก็ตาม การเคลื่อนไหวสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้ชายหนุ่ม เขากระอักโลหิตออกมา แต่กระนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังรวดเร็วอยู่เช่นเดิม หลังจากที่หลบหลีกแล้วเขาก็ใช้ผนึกฝ่ามือเรียกอัสนีสวรรค์ทั้งสี่ออกมาพุ่งตรงไปหาอสูรเจ็ดตนนั้น


แต่เหล่าอสูรมีอยู่มากมายเกินไป หลายตนในนั้นอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นหรือกระทั่งขั้นกำเนิดแก่นใน หวังเป่าเล่อยังสัมผัสได้ถึงรัศมีอันรุนแรงซึ่งแผ่ออกมาจากที่ที่ห่างไกลออกไป ราวกับว่าพลังที่หลับใหลอยู่ก่อนหน้านี้กำลังตื่นขึ้นอย่างช้าๆ


แม่นางน้อย เจ้าจะมาหลับอะไรเอาตอนนี้นะ หวังเป่าเล่อเริ่มกังวล เขาคิดว่าตนเองช่างอับโชคที่ถูกผู้ฝึกตนจากต่างดาวสามคนไล่ล่า ตอนนี้เมื่อเอาตัวรอดมา ก็ยังต้องมาเจอสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่นี่อีก


โชคยังดีที่เจ้าชุดคลุมสีดำไม่กล้าโจมตีเขาตรงๆ ถึงกระนั้นอสูรร้ายเหล่านี้ก็แข็งแกร่ง ซ้ำร้ายหวังเป่าเล่อเองก็ยังบาดเจ็บอยู่ด้วย


ชายหนุ่มขณะนี้วิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่รู้ว่าจะทนได้อีกนานเพียงใด หากเขาสามารถฝ่าออกไปได้ ก็ยังยากที่จะหลุดออกจากชั้นที่สามของโลกใต้ดินแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาออกจากชั้นที่สามไปยังชั้นที่สองได้ ก็ต้องรับมือกับผู้ฝึกตนจากต่างดาวทั้งสามอยู่ดี


หวังเป่าเล่อรู้สึกติดกับ ราวกับว่าไม่มีทางหนีออกจากสถานการณ์คับขันนี้ไปได้เลย…


ไม่จริง! ทางออกอยู่ใต้ดินอย่างไรเล่า! หวังเป่าเล่อกลั้นหายใจ แววตาบ้าดีเดือดปรากฏขึ้นบนดวงตาของชายหนุ่ม เขารู้ดีว่าต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดให้กับแผนนี้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ที่นี่จะต้องกลายเป็นหลุมฝังศพของเขาอย่างแน่นอน ขณะนี้ทางเดียวที่เขาไปได้คือตรงไปหาลมหมุนซึ่งอยู่ห่างออกไปราวๆ สามร้อยเมตร!


หวังเป่าเล่อเชื่อมั่นในสัญชาติญาณของตนเอง สัญชาติญาณบอกเขาว่าเสียงเพรียกจากลมหมุนนั้นไม่ได้มุ่งร้ายต่อเขา เสียงเพรียกนั้นนำทางเขามาถึงที่นี่ และในเมื่อไม่มีทางอื่นแล้ว ทางเลือกเดียวก็คือต้องมุ่งไปหามัน!


เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็คำรามด้วยเสียงอันดัง พลางหยิบโทรโข่งอาวุธเวทออกมาและส่งเสียงตะโกนผ่านโทรโข่งไปในทุกทิศทาง เสียงคำรามที่เพิ่มพลังโดยอาวุธเวทนั้นเกิดเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่ คลื่นเสียงปรากฏขึ้นเป็นวงกระเพื่อมหลายชั้น อสูรร้ายนับสิบที่มุ่งเข้ามาหาเขาถูกทำลายสลายกลายเป็นเศษเนื้อไปในบัดดล


การเรียกใช้พลังปราณทำให้อาการบาดเจ็บของหวังเป่าเล่อยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เขากระอักเอาโลหิตสดๆ ออกมาอีก ชายหนุ่มไม่มีเวลาจะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้ เขารีบใช้ผนึกฝ่ามือและยกมือขึ้น ปล่อยยุงจำนวนมหาศาลออกมา กองทัพยุงพุ่งตรงเข้าใส่อสูรร้ายที่รายล้อมกันอยู่


หวังเป่าเล่อกัดฟันเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มส่งเสียงคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะมองตรงไปยังลมหมุนตรงหน้า เมื่อชุดคลุมสีดำเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังมุ่งหน้าไปยังลมหมุน มันก็พยายามจะสกัดเขา แต่ก็ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้นัก ชุดคลุมสีดำใช้ผนึกฝ่ามือ ส่งผลให้อสูรร้ายยิ่งคลุ้มคลั่งหนักกว่าเดิม ฝูงอสูรพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อชนิดไม่เกรงกลัวความตาย ราวกับว่าพวกมันกำลังถูกควบคุม


เสียงกัมปนาทดังสนั่นปะทุขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า หวังเป่าเล่อได้ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดไปแล้วถึงห้าครั้งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ร่างกายของเขากำลังจะทานไม่ไหว สายตาก็เริ่มพร่าเลือน แต่เขาก็ยังไม่ได้ใช้เปลวไฟสีดำ!


ชายหนุ่มสังหรณ์ใจว่าเปลวไฟสีดำนั้นมีจำกัด การนำออกมาใช้อาจช่วยควบคุมสถานการณ์ได้บ้างก็จริง แต่ว่าหากเปลวไฟสีดำหมดสิ้นไปพร้อมบรรดาอสูร ก็อาจจะไปเข้าทางชุดคลุมสีดำพอดี


ในความเป็นจริงนั้น ลางสังหรณ์ของหวังเป่าเล่อถูกต้อง ชุดคลุมสีดำกำลังรอให้หวังเป่าเล่อใช้เปลวไฟสีดำ เพราะหากต้องการสังหารอสูรให้หมดก็จำเป็นต้องใช้ไฟจนหมดเช่นกัน เมื่อเปลวไฟสีดำถูกใช้ไปจนสิ้นแล้ว เขาจึงจะกล้าเข้าจู่โจม ทว่าขณะนี้ เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่เปลวไฟสีดำแม้แต่น้อย ชุดคลุมสีดำก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ตัวเขาเองก็สิ้นหวังอยู่พอประมาณเพราะไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่ภายใต้คำสั่งของเขา อสูรร้ายจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมก็พุ่งเข้าไปโจมตีหวังเป่าเล่อ


ในเวลาเดียวกัน เด็กชายผู้ซึ่งตกตะลึงเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อก็ไปปรากฏอยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง เขาจ้องมองดูรอบกายอย่างหวาดกลัว เด็กชายระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่ากำลังมองหาสิ่งที่ทำให้เขาตื่นกลัวตั้งแต่ต้น


ทว่าเมื่อเห็นแล้วว่าไม่มีร่างที่น่าหวาดกลัวหรือรัศมีจากมัน เด็กชายก็ทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เขารู้สึกได้ว่าตนอาจจะกลัวไปเอง และตอนนี้ เขาก็กำลังจ้องเขม็งไปที่หวังเป่าเล่อด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม


จะมีปีศาจปรากฏออกมาขัดขวางทุกครั้งที่ข้าพยายามจะกลืนกินชายผู้นี้ ราวกับว่าชายผู้นี้สำคัญกับปีศาจตนนั้นเป็นอย่างยิ่ง…เพราะฉะนั้น วันนี้ข้าจะกลืนกินเขาและคิดบัญชีให้สิ้นสุดกันไปเสีย!


ดวงตาของเด็กชายเป็นประกายน่าสะพรึงกลัว เขาหันหลังก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ ริมฝีปากของเด็กชายม้วนขึ้นเป็นรอยยิ้มเยียบเย็นที่แสดงถึงความโหดเหี้ยมและกระหายการแก้แค้น เขาเคลื่อนที่เข้ามาประชิดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว!


แต่ชุดคลุมสีก็สัมผัสการมาถึงของเขาได้ในทันที!


“ไอ้คนโง่เอ๊ย!” ชุดคลุมสีดำสบถอยู่เงียบๆ และไม่ได้พยายามหยุดเด็กชาย ในสายตาเขา จากบรรดาวิญญาณวุธทั้งสาม เขาฉลาดที่สุด อีกสองคนหากไม่จำศีลอยู่เป็นนิจก็อับจนปัญญา เจ้าคนโง่คงไม่ได้ยินเรื่องที่เขาพูดคุยกับหวังเป่าเล่อ ส่งผลให้ตัดสินใจเข้าจู่โจม


ช่างมันเถอะ ขอให้สูบเปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อให้หมดแล้วกัน!


ดวงตาของชุดคลุมสีดำเป็นประกาย เด็กชายผู้ซึ่งชุดคลุมสีดำเรียกว่าเจ้าโง่นั้นได้เคลื่อนผ่านฝูงอสูรร้ายมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อแล้ว จิตใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและหฤหรรษ์ เมื่อกำลังจะพุ่งทะลุกายของหวังเป่าเล่อและดับเปลวไฟแห่งชีวิตของชายหนุ่มไปชั่วกาลปวสาน


ทว่าในวินาทีที่เขาเข้ามาประชิดตัวนั้น ก็มีเสียงคำรามดังสนั่นออกมาจากลมหมุนที่ชุดคลุมสีดำพยายามสะกดเอาไว้ เมื่อเสียงคำรามดังออกมา ก็มีแรงกดดันมหาศาลระเบิดตามออกมาจากภายใน


พลังนั้นทำลายผนึกของชุดคลุมสีดำทันที ทำให้เขาต้องผงะถอยหลัง ร่างกายของเขาก็เริ่มพร่าเลือนเหมือนเสียความมั่นคงไปชั่วขณะ เสียงหอบหายใจอย่างวิตกกังวลและเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดก็ดังออกมาจากชุดคลุมสีดำ


“สหายเอ๋ย เจ้าเป็นข้ารับใช้แห่งความมืดมาถึงหนึ่งยุคสมัยเต็ม เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าที่สำนักแห่งความมืดจะล่มสลายและพวกเราได้รับอิสรภาพคืนมา แต่นี่เจ้ากลับยังอยากจะเป็นทาสต่อไปอีก! เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่ากำลังกำลังแก่นของตัวเอง! เจ้าเสียสติไปแล้ว!”


“เจ้าจะไปทำสิ่งใดก็ไป ไม่ต้องมายุ่งกับข้า!” ชุดคลุมสีดำคำรามอย่างกราดเกรี้ยวก่อนจะใช้พลังสะกดลมหมุนอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็คานกำลังกันไว้ด้วยพลังเต็มพิกัด ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขึ้น เขารีบใช้เปลวไฟสีดำอย่างไม่รอช้า!


ชายหนุ่มพลิกตัวกลับก่อนจะรีบพุ่งเข้าใส่ลมหมุนตรงหน้า


ในเวลาเดียวกัน เด็กชายก็เข้ามาประชิดตัว…


และเพราะว่าเด็กชายพุ่งนำไป เขาจึงปะทะเข้ากับเพลิงดำในพายุหมุนที่เปลวไฟสีดำสร้างขึ้นมาเข้าอย่างจัง


เด็กชายนัยน์ตาเบิกโพลง เขาไม่สามารถหลบหลีกได้ทันเวลา เปลวไฟสีดำห้อมล้อมตัวเขาไว้ทันที เด็กชายส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ร่างกายของเขาผุพังลงอย่างฉับพลันขณะที่ล่าถอยพร้อมส่งเสียงตะโกนลั่น เด็กชายถึงกับต้องสละร่างกายครึ่งหนึ่งที่โดนเปลวไฟสีดำคลอกอยู่เพื่อความอยู่รอด


นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงพุ่งตรงเข้าไปหาลมหมุน หาไม่แล้ว หากเด็กชายต้องการจะหนี มันก็คงไม่ง่ายเท่าการฉีกร่างตัวเองทิ้งครึ่งหนึ่ง


หลังจากที่หนีรอดมาได้ เด็กชายก็เริ่มร้องไห้ ร่างกายที่เหลือของเขาสั่นเทาเมื่อมองไปยังหวังเป่าเล่อด้วยความกลัวและตื่นตกใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ขณะนี้เขารู้สึกขอบคุณเจ้าลาขึ้นมาอย่างเหลือล้น…


เด็กชายคิดว่าเขามองเจ้าลาผิดไป แม้ว่ามันจะกัดเขาอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่เพราะนิสัยดุร้าย แต่เป็นเพราะความเมตตา มันไม่อยากให้เขารีบรนหาที่ตายเร็วนักต่างหาก…


ขณะที่เด็กหนุ่มวิ่งหนีนั้น สายตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายขึ้นอีกครั้งเมื่อเปลวไฟสีดำถูกปล่อยออกมาจนหมด ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่เปลวไฟสีดำปะทุออกมาเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ราวกับว่าเขาได้แปรสภาพเป็นดาวหางพุ่งทะยานเข้าไปหาลมหมุน เมื่อเขาวิ่งผ่านอสูรตัวใด มันก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกเปลวไฟสีดำเผาไหม้ไปเสียสิ้น


บทที่ 450 นิมิตมืด

โดย

Ink Stone_Fantasy

เปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อเองก็ริบหรี่ลงเช่นกัน และจากการกระทำที่เร่งรีบทั้งหมดนั้น อสูรดุร้ายจำนวนมหาศาลก็ทำให้เปลวไฟสีดำดับลง และหวังเป่าเล่อก็ดูอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด!


ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็กะจังหวะได้เหมาะเหม็ง แม้ว่าเปลวไฟสีดำจะดับมอดไป เขาก็ยังสามารถแทรกตัวเข้าไปในลมหมุนได้ ขณะที่ชุดคลุมสีดำตามเข้าไปไม่ทัน!


ทันที่ที่ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในลมหมุน ชุดคลุมสีดำก็ส่งเสียงกรีดร้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังออกมา เสียงกรีดร้องนั้นดังสนั่นไปทั่วทั้งชั้นสามของโลกใต้ดิน เขย่านครทุกแห่งให้สั่นไหว แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว!


“โธ่สหาย ปล่อยให้เขาเข้าไปแล้วจะได้อะไร สำนักแห่งความมืดล่มสลายไปแล้ว และเหล่าบรรดาผู้ที่หากินกับจักรวาลต่างก็พากันล้มตายอย่างน่าอนาถไปสิ้น!”


“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ใส่ใจประวัติศาสตร์หรอกนะ แต่ในที่สุดพวกเราก็ได้มีเสรีภาพแล้ว ทำไมเราจึงจะต้องไปเป็นเครื่องสังเวยให้กับพิธีศพของสำนักแห่งความมืดด้วยเล่า”


“เจ้าควรจะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่ทำลายสำนักแห่งความมืดนั้นขณะนี้เป็นเจ้าแห่งอาณาเขตดวงดาราไร้สิ้นสุดไปแล้ว!” ชุดคลุมสีดำกรีดร้องด้วยความเกรี้ยวกราด และเพราะแรงโทสะทำให้เขาเผยร่างจริงออกมา เขาไม่ใช่ชายชราในชุดคลุมสีดำแต่อย่างใด หากแต่เป็นใบหน้าเหี่ยวย่นที่ปรากฏขึ้นเหนือชุดคลุมสีดำ ราวกับว่าชุดคลุมนั้นเป็นร่างกายของเขาก็ไม่ปาน!


เด็กชายปรากฏกายขึ้นข้างชุดคลุมสีดำด้วยสีหน้าฉงนสงสัย เหมือนว่าเขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์สักเท่าใดนัก เด็กชายหันไปมองชุดคลุมสีดำสลับกับลมหมุนอยู่ไปมา ไม่มั่นใจว่าเหตุใดชุดคลุมสีดำจึงได้พูดเช่นนั้นออกมา


“เจ้าโง่!” ชุดคลุมสีดำยิ่งโมโหขึ้นไปอีกเมื่อเห็นเด็กชาย แต่เด็กชายก็ไม่ยอมถูกว่าอยู่ฝ่ายเดียว


“ไอ้เจ้าเสื้อทุเรศ เจ้าด่าใครไม่ทราบ!”


“ด่าเจ้านั่นแหละ เจ้าแก่! จะแสร้งทำตัวเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลาทำไมกัน!”


ในชั้นที่สามของโลกใต้ดินนั้น ชุดคลุมสีดำและเด็กชายต่างก็ด่าทอกันอยู่ไปมา ทั้งยังโจมตีใส่กันด้วย อสูรร้ายจำนวนมากที่ยืนอยู่และเพิ่งจะมาถึงต่างก็จ้องมองไปที่ผู้นำทั้งสองของพวกมันอย่างงุนงง พวกมันไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่าม ทำได้เพียงหลุบศีรษะลงต่ำและรอเท่านั้น


ในเวลาเดียวกันนั้น ในจักรวาลอันไกลโพ้นจากระบบสุริยะมีสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่น ดูเหมือนว่าผู้คนจะพากันหลงลืมสถานที่แห่งนั้นไปเสียสนิท ราวกับว่ามันไม่เคยมีตัวตนมาก่อน มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นภายในกระแสน้ำวนที่ครั้งหนึ่งเคยส่งโลงศพออกไป


ทันทีที่เสียงนั้นดังออกมา ใบหน้าขนาดเท่ากับกระแสน้ำวนก็ปรากฏขึ้นภายในนั้น มันจ้องมองมายังทิศทางของระบบสุริยะ หลังจากนั้นครู่หนึ่งใบหน้านั้นก็ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะหลับตาลง ดวงจิตของมันแผ่ออกไปในทุกทิศทาง เข้าไปผสานรวมกับจักรวาลผ่านวิธีการอันลี้ลับ…


ขณะนี้ภายในชั้นสองของโลกใต้ดิน ผู้ฝึกตนจากต่างดาวทั้งสามที่แยกย้ายกันไปหาทางออกก็เริ่มกังวลเพราะไม่ว่าจะพยายามเท่าใด พวกเขาก็หาทางออกไม่พบ


ในที่สุดพวกเขาก็พบจุดหนึ่งที่เกราะป้องกันนั้นเปราะบางกว่าจุดอื่นๆ อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเขาพยายามระเบิดมันออกเพื่อจะหนี โลกใต้ดินทั้งหมดก็เริ่มสั่นสะเทือน ท้องฟ้าแปรเปลี่ยน สายลมกรรโชกแรง หมู่เมฆก็เริ่มหมุนวน จุดดที่เปราะบางทั้งหมดเริ่มเสริมตนเองขึ้นมาทันที วิญญาณจากมหาสมุทรวิญญาณที่ชั้นแรก พร้อมทั้งซากศพที่ชั้นสองต่างก็พากันหยุดนิ่ง ราวกับว่าสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนที่ไปเสียสิ้น


มหาสมุทรวิญญาณนิ่งสงบ ดินแดนหลุมศพเองก็นิ่งสงัด ในชั้นสาม แม้แต่เหล่าอสูรร้ายที่หลุบศีรษะลงต่ำก็หยุดเคลื่อนไหว ราวกับว่าดวงจิตอันน่าสะพรึงกลัวกำลังใช้วิธีการบางอย่างในการมาปรากฏตัวที่นี่ผ่านวัตถุเวทแห่งความมืด!


ตัวตนนั้นช่างมีพลังอย่างล้นเหลือ และการมาถึงของมันทำให้ทุกชีวิตกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดไปสิ้น!


กระทั่งเด็กชายและชุดคลุมสีดำที่กำลังฟาดฟันกันยังตกตะลึง ร่างของพวกเขาสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว ความกลัวและความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ภายในใจผุดกลับขึ้นมาพร้อมกับการมาถึงของดวงจิตนั้น ทันทีที่ความทรงจำเหล่านั้นกลับเข้ามาในใจ เด็กชายก็ถึงกับทรุดลงคุกเข่าก่อนจะกรีดร้องอย่างเจ็บปวด


“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว! โปรดไว้ชีวิตข้าเถิดนายท่าน!” ขณะที่เด็กชายกรีดร้องอ้อนวอน ชุดคลุมสีดำเองก็สั่นสะท้านแรงขึ้น ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องขอความเมตตา เขาเพียงอุทานอย่างไร้เสียงด้วยความไม่อยากเชื่อ


“ดวงจิตนี้… เป็นไปไม่ได้! นี่มัน… มัน… เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้! เขาตายไปแล้ว! การต่อสู้ครั้งนั้น… เขาตายไปตั้งแต่ตอนนั้น!”


ขณะที่เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงคุกเข่าขอความเมตตา ขณะที่ชุดคลุมดำสูดลมหายใจเข้าอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงจิตที่มาถึงกลับไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขา มันลอยผ่านเข้าไปในถ้ำเสียอย่างนั้น!


ตอนนี้หวังเป่าเล่อที่อยู่ในถ้ำกำลังสับสน ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกถึงการมาถึงของดวงจิตที่โหดร้าย ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเสียงเพรียกด้วยเช่นกัน ทุกๆ สิ่งดูเหมือนจะอันตรธานไปเมื่อเขาเข้ามาในลมหมุนนี้


ไม่เพียงแค่นั้น ภายในลมหมุนนี้ไม่มีทั้งสวรรค์หรือพื้นพิภพ มีเพียงความว่างเปล่าอันดำมืดเท่านั้น!


หวังเป่าเล่ออยู่บนเรือพายลำจ้อย ที่กำลังล่องลอยเข้าไปหาความว่างเปล่าอย่างช้าๆ เรือพายนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาดและเก่าโบราณ มันมีสีดำสนิทกลมกลืนไปกลับความว่างเปล่าได้เป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อก้มศีรษะลงมองตนเองและเห็นว่าเขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าชุดเดิมอีกต่อไป แต่กลับอยู่ในชุดคลุมสีดำที่คุ้นตา!


ยิ่งไปกว่านั้น ตรงหน้าเขามีไม้พายอยู่หนึ่งด้าม หากจะพูดให้ชัดกว่านั้นก็ต้องบอกว่าเป็นไม้พายตะเกียง เพราะที่ปลายด้านหนึ่งมีตะเกียงที่ทำมาจากกระสอบสีเขียวแขวนอยู่!


เรือพาย ชุดคลุมสีดำ ไม้พายตะเกียง…


ทันทีที่หวังเป่าเล่อเห็นสิ่งของทั้งสามก็พลันคิดไปถึงรูปสลักฝาผนังของเจ้าผินฟาง ภาพที่เขาเห็นเมื่อครั้งอยู่ที่ศูนย์วิจัยดาวอังคาร…


สิ่งเหล่านี้ให้เขาสับสนเป็นอย่างยิ่ง ความคิดของชายหนุ่มเริ่มพร่าเลือนเพราะความเงียบของความว่างเปล่าที่รายล้อมอยู่ เรือพายนั้นเคลื่อนที่ไปช้าๆ เมื่อประกอบกับความนิ่งสงบของสิ่งรอบข้าง หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจฝืนเปิดตาไว้ได้อีก เขานั่งลงบนเรือพายก่อนจะเอนหลังพิงข้างลำเรือและกำลังจมสู่ห้วงนิทราลึก


ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ชายหนุ่มได้ยินเสียงเพลงรางๆ ดังมาจากที่ไกลออกไป เสียงร้องเพลงนั้นไม่ใช่เสียงเด็ก แต่เป็นเสียงของคนชราที่ฟังดูอบอุ่น เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหู นำทางเขาเข้าไปสู่ดินแดนแห่งนิทรารมณ์


“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”


“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”


“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”


เสียงเพลงนั้นดังก้องสะท้อนไปทั่ว ในไม่ช้าก็เข้าปกคลุมสติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อไปเสียสิ้น ศีรษะของเขาเอียงและเปลือกตาก็เริ่มขยับเพราะต้องการลืมตา แต่ชายหนุ่มเหนื่อยล้าเกินไป และเขาก็หมดสติไปในที่สุด…


ขณะที่เขาผล็อยหลับไปนั้น ดวงจิตที่เพิ่งมาถึงก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างเรือพายลำน้อยที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่ความ


ว่างเปล่า ดวงจิตนั้นค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นร่างมายาของชายชรา ยืนอยู่บนเรือพายพลางจ้องมองหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของชายชรานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ แต่สายตาของเขาอบอุ่น


เมล็ดพันธุ์หนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่บนโลกนี้…บางทีนี่อาจเป็นการกลับชาติมาเกิดใหม่…


ลืมมันไปเสียเถิด…ชายชราถอนหายใจเบาๆ พลางยกมือขวาขึ้นและกดลงตรงหว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ พลางพึมพำ


“นิมิตมืด…”


หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเขาอยู่ในความฝัน เป็นความฝันอันสุดจะบรรยาย ในโลกแห่งความฝันนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่างสวยงามที่ทำให้เขาไม่อยากตื่น


หลังจากเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบได้ หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงเพลงอีกครั้ง เสียงนั้นอบอุ่นและเป็นมิตรเช่นเคย และฟังดูราวกับว่าดังมาจากที่ห่างไกล เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูเขา และชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น


เขายังคงอยู่บนเรือพาย ทว่าเขาไม่ได้ถูกรายล้อมด้วยความว่างเปล่าอีกต่อไป ขณะนี้เขาอยู่ท่ามกลางจักรวาล!


ห้วงจักรวาลนั้นกว้างไกลไร้ขอบเขตกระทั่งหวังเป่าเล่อสามารถมองเห็นละอองดวงดาว รวมถึงฝุ่นละอองอื่นๆ ที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มมองเห็นกระทั่งดาวหางที่พุ่งและม้วนตัวผ่านไป


ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกใหม่เสียจนหวังเป่าเล่อตะลึงงันไปชั่วขณะ ในขณะเดียวกันเขามองเห็นชายชราคนหนึ่งยืนถือไม้พายตะเกียงอยู่ตรงหน้า ชายชราสวมชุดคลุมสีดำเช่นกัน!


ชายชราผู้นั้นใช้ไม้พายตะเกียงในการท่องไปในจักรวาล…


“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”


“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”


“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”


เสียงแหบพร่าที่ฟังดูสงบนิ่งดังออกมาจากปาก เมื่อสัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อตื่นแล้ว เสียงของชายชราก็หยุดนิ่ง เขาหันหลังกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแต่เปี่ยมด้วยเมตตาภายใต้ชุดคลุมสีดำ ความแก่ชราและความอบอุ่นปกคลุมสายตา ขณะที่เขาจ้องมองมายังหวังเป่าเล่อก่อนจะยิ้มให้


“เป่าเล่อ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”


บทที่ 451 ท่านอาจารย์ ข้าฝันขอรับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

จักรวาลอันกว้างใหญ่ปกคลุมไปด้วยดวงดาวประกายแสง ทางช้างเผือกที่หมุนวน และดาวหางกับกลุ่มละอองดาวที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว ทุกอย่างช่างสมจริง


ความสับสนและงุนงงฉายชัดออกมาทางสายตาของหวังเป่าเล่อผู้ซึ่งเพิ่งตื่น ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร ชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็หันหลังกลับมา สายตาแฝงความใจดีประสานกับสายตาของหวังเป่าเล่อ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับชะงักไป น้ำเสียงของชายชราเหมือนสายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านกายของหวังเป่าเล่อและซึมลึกไปถึงวิญญาณ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับตัวสั่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน…


จากนั้น…ความทรงจำมากมายก็ไหล่บ่าเข้ามาในใจเขา คลื่นความทรงจำเหล่านั้นกวาดเอาความตื่นตะลึงและเศษส่วนนิมิตของเขาหายไปจนสิ้น ราวกับว่าหวังเป่าเล่อได้ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ในวินาทีนั้น ชายหนุ่มจำชื่อของตนในนิมิตเหล่านั้นได้ เขามีชื่อว่า…หวังเป่าเล่อ!


ชายหนุ่มมาจากดวงดาวซางหลุน เข้าร่วมสำนักแห่งความมืดเมื่ออายุได้เพียงเจ็ดขวบ และได้รับเลือกให้เป็นศิษย์ชั้นในของสำนักแห่งความมืด ชายชราตรงหน้คืออาจารย์ของเขา หนึ่งในเก้าผู้อาวุโสชั้นสูงของสำนักแห่งความมืดยุคปัจจุบัน!


นามของคนผู้นี้ก็คือ…หมิงคุนจื่อ!


ชายหนุ่มเป็นศิษย์ที่เด็กที่สุดของท่าน อาจารย์พาเขามาจากดวงดาวแห่งความมืดมาสู่ดวงดาวที่กำลังจะแตกดับ พวกเขามุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อจะนำทางวิญญาณคนตายกลับมาตามประสงค์ของเต๋าสวรรค์ พวกเขาเป็นผู้สร้างสมดุลให้กับชีวิตและความตาย


ภารกิจของสำนักแห่งความมืดคือการนำทางวิญญาณไปสู่การกำเนิดใหม่  สำนักแห่งความมืดเป็นผู้ใช้พลังแห่งความตายในจักรวาล เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ทุกยุคสมัยต้องเรียนรู้การนำทางคนตาย ด้วยเหตุนี้อาจารย์จึงพาตัวเขามาด้วยในวันนี้ เพื่อที่เขาจะได้เห็นกระบวนการทั้งหมดด้วยตาตนเองและได้รู้จักวิชาแห่งศาสตร์มืดอย่างลึกซึ้งขึ้น


ความทรงจำทั้งหมดของหวังเป่าเล่อย้อนกลับมาในวินาทีนั้น ชายหนุ่มถึงกับต้องสูดหายใจลึก เขาไม่ได้สับสนอีกต่อไปและตอนนี้ก็ตื่นอย่างเต็มที่แล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่อาจลืมสิ่งที่เห็นในนิมิต ขณะที่อาจารย์จ้องมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนและพูดด้วยน้ำเสียงเมตตา หวังเป่าเล่อก็ผุดลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับทันใด


“อาจารย์…ข้าเพิ่งตื่นจากนิมิตเมื่อครู่ เมื่อข้าตื่นขึ้น ข้าสับสนเล็กน้อย ไม่อาจบอกได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในนิมิตนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงภาพลวงตา” หวังเป่าเล่อพูด ชายหนุ่มรู้สึกเขินอายเพราะดันผล็อยหลับไปต่อหน้าอาจารย์ เขาอาจต้องทนรับการดุด่าเพราะเหตุนั้น


ชายชราจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาเปี่ยมความหมาย จากนั้นจึงโคลงศีรษะแล้วยิ้มออกมา


“นิมิตอะไรเล่า”


“อ้า” หวังเป่าเล่อลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อรู้ว่าอาจารย์ไม่ได้จะดุด่าว่ากล่าวเขาแต่อย่างใด หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็จำทุกรายละเอียดของนิมิตได้ทั้งหมด สายตาของเขาเริ่มดูเหม่อลอย ดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังพยายามทบทวนความทรงจำ หลังจากที่เงียบไประยะหนึ่ง เขาจึงเปิดปากพูดออกมาเบาๆ


“ท่านอาจารย์ มันช่างเป็นนิมิตที่แปลกประหลาดนักขอรับ ในนิมิตนั้น…ข้าชื่อหวังเป่าเล่อเช่นกัน แต่ว่าข้าไม่ได้อยู่ในสำนักแห่งความมืด ข้าไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ปีแล้วแต่ข้าอยู่บนดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลก…”


“สำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชื่อสหพันธรัฐ…ข้าจำได้ว่าในนิมิตนั้น ข้ามีความมุ่งหวัง ข้าอยากจะเป็นผู้นำของสหพันธรัฐ…ใช่ ผู้นำของสหพันธรัฐนั้นคล้ายคลึงกับตำแหน่งประมุขสำนัก” หลังจากที่พูดเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ดูจะเขินอายอยู่เล็กน้อย ชายหนุ่มรู้สึกว่าความทะเยอทะยานในนิมิตของเขานั้นเป็นสิ่งไร้สาระเสียเต็มประดา


“ท่านอาจารย์โปรดอย่าเข้าใจผิด มันไม่ใช่ว่าความคิดของข้าเข้าไปปรากฏอยู่ในนิมิตแต่อย่างใด ความฝันของข้าคือการได้เป็นประมุขสำนักแห่งความมืดเท่านั้น สิ่งนี้จะไม่มีวันเปลี่ยน ข้าไม่ใส่ใจตำแหน่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐแม้แต่น้อย ช่างเป็นนิมิตบ้าบอไร้สาระสิ้นดี!” หวังเป่าเล่อรีบยกมือทุบอกก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง


ผู้อาวุโสจ้องมองหวังเป่าเล่อพลางอมยิ้มน้อยๆ เขาไม่ได้พูดอะไร


หวังเป่าเล่อดูเขินอายอยู่เล็กน้อยเมื่อมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอาจารย์ ชายหนุ่มคิดจะเปลี่ยนเรื่องจึงรีบพูดขึ้นว่า “อาจารย์ขอรับ ท่านไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ข้า หวังเป่าเล่อผู้นี้ หล่อเหลาที่สุดในสำนักแห่งความมืด ในนิมิตนั้น ข้ายังเป็นผู้ที่หล่อเหลาที่สุดในสหพันธรัฐ สตรีงามมากมายต่างก็พากันหลงใหลในตัวข้า พวกนางลุ่มหลงข้าเป็นอย่างยิ่งและต่างอยากเป็นแม่ของลูกข้า…ช่างน่ารำคาญใจเสียจริง!” หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ


“ท่านอาจารย์ขอรับ ข้ามีชีวิตเช่นนี้ในสำนักแห่งความมืดก็เพียงพอแล้ว ใครจะไปรู้กันว่ากระทั่งในนิมิตข้าก็ยังเป็นเช่นเดิมอีก ท่านคิดว่าข้าควรจะทำเช่นไรดี ข้ากลุ้มใจเหลือเกิน” หวังเป่าเล่อแค่ตั้งใจจะเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง แต่ยิ่งพูดไปก็ยิ่งหมกมุ่นในคำพูดของตนเอง สีหน้าของผู้อาวุโสเริ่มจะแปลกแปร่ง ในที่สุดเขาก็ไม่อาจทนฟังหวังเป่าเล่อได้อีกต่อไป จึงกระแอมกระไอขึ้นมาครั้งหนึ่ง


เสียงกระแอมกระไอนั้นดังก้องอยู่ในหัวหวังเป่าเล่อ ทำเอาเขาชะงักและไม่ได้พูดต่อ


“เป่าเล่อ พวกเรามาถึงแล้ว” ขณะพูด ผู้อาวุโสก็ยกมือขวาขึ้นสูงก่อนจะโบกหนึ่งครั้ง เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นบนท้องฟ้าสงบเกลื่อนดาวเมื่อครู่ ราวกับว่าไม่อาจทานทนพลังของผู้อาวุโสได้ ราวกับว่ามีหัตถ์คู่มหึมาฉีกท้องฟ้าออกเป็นเสี่ยง ทำให้เกิดรอยแยกขนาดมหึมาขึ้นบนท้องฟ้าเหนือจุดที่ผู้อาวุโสยืนอยู่!


เป็นรอยแยกยืดยาวเท่ากับดวงดาวและกว้างขวางราวกับรอยแยกมหึมาบนพื้นโลก หากว่ายืนอยู่ใกล้เกินไปก็อาจจะมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลยทีเดียว เมื่อมองจากไกลๆ รอยแยกนั้นดูคล้ายรอยแผลเป็นของจักรวาลกระนั้น!


ภาพนั้นทำเอาหวังเป่าเล่อตกตะลึง เขาเริ่มหายใจถี่เร็ว ชายหนุ่มไม่อาจนึกจินตนาการถึงพลังที่ต้องใช้ในสร้างฉากสุดอลังการนี้ได้ ทั้งที่ผู้อาวุโสเพียงแค่สะบัดมือครั้งเดียวเท่านั้น


รอยแยกนั้นยิ่งใหญ่พอจะทำลายดวงดาวได้ทั้งดวง!


ไม่เพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อมองผ่านรอยแยกนั้น และได้เห็นโลกอีกใบที่อยู่ห่างออกไป อาจจะถูกต้องกว่าหากจะเรียกรอยแยกนี้ว่าเป็นวิชาเคลื่อนย้ายแบบหนึ่ง โลกภายในรอยแยกนั้นอยู่ห่างไกลจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ไปโข


จักรวาลภายในรอยแยกนั้นมีดาวเคราะห์อยู่เพียงดวงเดียว เป็นดาวเคราะห์สีแดงที่แผ่ความร้อนสูงส่งออกมา มีแหล่งอารยธรรมอยู่บนดาวดวงนั้น มีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ที่นั่นด้วย ทว่าอารยธรรมนั้นกำลังจะเผชิญกับความสูญเสียและความสิ้นหวังอันยิ่งใหญ่…


เพราะดาวหางดวงใหญ่เพิ่งจะพุ่งชนดาวดวงนั้น ดาวเคราะห์นั้นสั่นไหว มันไม่ได้ล่มสลายหรือระเบิด แต่หายนะก็ยังบังเกิดอยู่นั่นเอง แรงกระแทกกวาดไปทั่วทั้งดวงดาวและผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนตายทันที!


เมื่อชีวิตเหล่านั้นปลิดปลิวไป วิญญาณของพวกเขาก็ล่องลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์ บ้างก็ล่องลอยไปไกลจนถึงดวงดาว คนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่อาจมองเห็นพวกเขาได้ แต่วิญญาณเหล่านั้นปรากฏชัดเจนต่อสายตาของผู้ฝึกตนจากสำนักแห่งความมืด วิญญาณคนตายจำนวนนับไม่ถ้วนล่องลอยออกจากโลกมาวนเวียนอยู่ระหว่างดวงดาว วิญญาณที่พากันร่ำไห้และเกาะกลุ่มกันนั้นมีจำนวนมากเหลือคณานับ…


ดาวเคราะห์เปลี่ยนสีจากสีแดงก่ำเป็นสีเทา ราวกับว่าดาวดวงนี้…กำลังเดินทางไปสู่จุดสิ้นสุด!


ภาพนั้นรบกวนจิตใจหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มรู้สึกว่าช่างเป็นภาพอันคุ้นตา ดูราวกับว่าเขาเคยเห็นภาพนี้มาก่อนแล้วในนิมิต บนภาพสลักฝาผนัง ภาพที่มองเห็นในตอนนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด


“เป่าเล่อ เจ้าจงจำเอาไว้เสมอว่า ความรับผิดชอบของสำนักแห่งความมืดคือการทำหน้าที่แทนเต๋าสวรรค์และส่งวิญญาณคนตายข้ามฟากไป พวกเราต้องนำทางวิญญาณเหล่านั้นไปยังที่ที่พวกเขาควรไป โดยไม่ปล่อยให้พวกเขาเดินหลงทางอยู่ในจักรวาล…”


“ดูข้าให้ดีนะ…” ผู้อาวุโสพูด ก่อนจะยกไม้พายตะเกียงในมือขึ้นและเขย่าเบาๆ หวังเป่าเล่อไม่อาจบอกได้ว่าชายชราร่ายคาถาใด แต่ทันทีที่ไม้พายตะเกียงสั่นไหว วิญญาณคนตายทั้งหมดบนดาวเคราะห์ดวงนั้นและที่รอนแรมอยู่ในจักรวาลก็สั่นสะท้านขึ้นมาพร้อมๆ กัน พวกมันหยุดร้องไห้ในบัดดล ดูราวกับคนกำลังจมน้ำที่จับทุ่นลอยเอาไว้ได้ทันท่วงที ดูราวกับพวกเขามองเห็นประภาคารท่ามกลางทะเลมืดมิด วิญญาณคนตายเหล่านั้นหันมาจับจ้องที่ชายชราในทันที และในวินาทีนั้น วิญญาณทุกดวงต่างก็หลั่งไหลมาทางเขา!


วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นเคลื่อนย้ายผ่านรอยแยก จากอีกฟากหนึ่งของจักรวาลมายังเรือลำน้อยที่หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสยืนอยู่ วิญญาณเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นแม่น้ำวิญญาณคนตาย!


แม่น้ำนั้นทอดยาวจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด และพัดพาเรือลำน้อยล่องลอยไปไกล…


รอยแยกค่อยๆ ปิดตัวลงช้าๆ ก่อนที่มันจะหายไป หวังเป่าเล่อมองเห็นดาวเคราะห์ข้างในรอยแยกนั้นเป็นครั้งสุดท้าย มันได้กลายเป็นสีเทาไปจนหมด


หวังเป่าเล่อผู้ตกตะลึงจ้องมองไปยังแม่น้ำวิญญาณคนตายตรงหน้า ก่อนจะหันหน้าไปมองอาจารย์ ตอนนั้นเองน้ำเสียงราบเรียบของอาจารย์ก็ก้องกังวาลขึ้นในหูเขา


“นี่คือภารกิจของสำนักแห่งความมืด พวกเรานำทางวิญญาณคนตายจากทั่วทั้งจักรวาลข้ามฟากไป…เป่าเล่อ ทำไมเจ้าจึงดูตกใจนักเล่า เริ่มร้องบทเพลงแห่งวิญญาณเสียสิ!”


หวังเป่าเล่อตัวสั่น ปากของเขาเปิดเองตามสัญชาตญาณ พลันมีท่วงทำนองที่แปลกประหลาด ฟังดูเหมือนบทสวดมนต์ดังออกมาและเริ่มสะท้อนก้องไปทั่วถึงสรวงสวรรค์ เสียงนั้นล่องลอยไปพร้อมๆ แม่น้ำวิญญาณคนตาย…


“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”


“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”


“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”


ขณะที่เสียงเพลงนั้นล่องลอยไปสู่ความเวิ้งว้าง ใบหน้านับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนแม่น้ำวิญญาณคนตาย ทั้งเด็ก ทั้งคนแก่ ทั้งชาย ทั้งหญิง บ้างก็มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ บ้างก็เป็นอสูร ใบหน้าทั้งหมดล้วนสงบ เปี่ยมสุข ไร้ซึ่งความเจ็บปวด ใบหน้าทั้งหมดรายล้อมเรือน้อยเอาไว้และเคลื่อนไหวคลอเคลียไปกับบทเพลงแห่งวิญญาณ


พวกเขาเดินทางไปสู่ที่ที่ไกลแสนไกล…ยังสำนักแห่งความมืด!


เมื่อนานแสนนานมาแล้ว…สมัยที่ยังเป็นยุครุ่งเรือง…ของสำนักแห่งความมืดอยู่!


เมื่อมองจากไกลๆ แม่น้ำวิญญาณคนตายนั้นดูกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด เรือพายลำน้อยล่องลอยไปบนสายน้ำนั้น บนเรือควรจะมีร่างสองร่าง ร่างหนึ่งแก่ชราอีกร่างหนุ่มแน่น ทว่าในวินาทีนั้น เงาของชายชรากลับดูเลือนลาง ขณะที่เงาของหวังเป่าเล่อยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)