หมอดูยอดอัจฉริยะ 446-449
ตอนที่ 446 สำนักต้มตุ๋น (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พ่อ เกิดอะไรขึ้น? พ่อทำธุรกิจนี้มาตั้งสิบยี่สิบปีแล้ว ทำไมถึงดูผิดไปได้?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยตงผิงแล้ว เยี่ยเทียนยังอดตะลึงไม่ได้ จ่ายค่าโง่เพราะถูกตบตาในการทำธุรกิจค้าของโบราณนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย แต่เยี่ยตงผิงอายุปูนนี้ อีกทั้งประสบการณ์ในสายงาน โอกาสเช่นนี้มีต่ำมาก
ต้องบอกก่อนว่า เยี่ยตงผิงเริ่มค้าขายของเก่ามาตั้งแต่ยุค 80 นับว่าเป็นกลุ่มแรกๆ ภายในประเทศ เขารับของโบราณแท้ๆ มานับไม่ถ้วน ต่อให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ไม่แน่ว่าจะมีความสามารถสูงไปกว่าเยี่ยตงผิงสักเท่าไหร่
“พ่อ…พ่อโดนคนจัดฉากล่อลวงไงล่ะ!” เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ใบหน้าของเยี่ยตงผิงก็แดงก่ำ พอปล่อยให้ผ่านไปนานกว่าครึ่งวันแล้วจึงยอมพูดความอัดอั้นออกมา
“หา แล้วจัดฉากครั้งนี้ มาทำถึงในบ้านเราเลยเหรอ?”
เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ตกตะลึง แล้วแค่นยิ้ม ว่ากันว่าพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวงมีอยู่ทั่วยุทธภพ หลังจากปลายราชวงศ์ชิงล่มสลาย ก็มีสำนักหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญการหลอกลวงคนมารวมอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม มีชื่อเรียกในยุทธภพว่าสำนักวิชาต้มตุ๋น
แตกต่างจากสำนักเจียงเซียงผู้อาศัยป้ายพยากรณ์ ออกหากินโดยลำพังเป็นหลัก สำนักวิชาต้มตุ๋นนั้นมีความเหนือชั้นกว่า มักก่อคดีกันเป็นกลุ่ม ตั้งแต่โต๊ะเก้าอี้ม้านั่งถ้วยชาธรรมดาไปจนถึงไข่มุกทองคำเครื่องเงินเครื่องประดับ ไม่มีสิ่งไหนที่ไม่โกง
เยี่ยเทียนเคยได้ยินนักพรตเต๋าเล่าว่า ที่หาดเซี่ยงไฮ้ในเขตที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติยุคปี 20 มีพ่อค้าชื่อดังคนหนึ่ง ถูกคนจากสำนักวิชาต้มตุ๋นใช้เวลาสามปี หลอกลวงจนสิ้นเนื้อประดาตัว สุดท้ายจึงกระโดดลงแม่น้ำหวงผู่จบชีวิต
และว่ากันตามเนื้อหาบางอย่างแล้ว วิชาต้มตุ๋นมีเส้นทางทำกินและวิธีการกว้างขวางกว่าวิชายุทธภพอยู่มาก จึงก่อหายนะต่อผู้คนได้มากกว่า
ดังนั้นจึงมีจุดหนึ่งที่สำนักวิชาต้มตุ๋นเหมือนกับสำนักเจียงเซียง นั่นก็คือหลังจากสถาปนาประเทศก็ถูกรัฐบาลปราบปรามอย่างเข้มงวด
ยอดฝีมือนักต้มตุ๋นรุ่นแรกปัจจุบันล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว และความสามารถที่จะหลอกลวงพวกวัยหนุ่มสาวก็ไม่ดีนัก ส่วนใหญ่ก็สามารถหลอกพวกตาแก่ยายแก่ คนที่สามารถหลอกลวงเยี่ยตงผิงได้นั้น จะต้องเป็นยอดฝีมือของยอดฝีมืออย่างแน่นอน
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรแน่ ถึงแม้ในใจจะนึกสงสัย แต่ก็ไม่กล้าด่วนสรุป หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก็มองพ่อแล้วกล่าวขึ้น “พ่อครับ ลองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน่อยสิ”
เยี่ยตงผิงถอนหายใจ พูดว่า “เฮ้อ เรื่องนี้…ก็ต้องโทษที่พ่อโลภมากด้วย คืออย่างนี้ เมื่อปีนั้นที่พ่อมาเปิดร้านที่ปักกิ่ง ก็รู้จักกับลูกค้าชาวฮ่องกงคนหนึ่ง คนผู้นี้ถึงแม้จะซื้อของไปไม่มาก แต่เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณอย่างมาก…”
เรื่องนี้ของเยี่ยตงผิงเป็นเรื่องยาวมาก ต้องฟังมากว่าครึ่งชั่วโมงเต็ม เยี่ยเทียนถึงพอจะฟังรูปแบบบางอย่างออก
ที่แท้ หลังจากที่เยี่ยตงผิงปรองดองกับครอบครัวแล้ว ก็เปิดร้านขายวัตถุโบราณที่ตลาดพานเจียหยวนในทันที อีกทั้งยังให้น้องเขยของตัวเองช่วยดูแลภายในร้าน เรื่องพวกนี้อธิบายไว้หมดในตอนต้น ๆ
ถึงแม้ว่าเยี่ยตงผิงจะเป็นชาวเมืองหลวง แต่ก็ถือเป็นครอบครัวที่มาจากเขตอื่นมาเปิดร้านในตลาดพานเจียหยวน หลังจากเปิดร้าน ธุรกิจค้าขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้งยังถูกกดดันจากบรรดาพ่อค้าสายเดียวกัน ช่วงเวลานั้นเยี่ยตงผิงจึงอยู่อย่างค่อนข้างยากลำบาก
ขณะที่เพิ่งเปิดร้านได้เดือนเดียว เยี่ยตงผิงก็ได้ต้อนรับลูกค้าวัยกลางคนพูดจาด้วยน้ำเสียงภาษากวางตุ้งคนหนึ่ง แนะนำตัวเองว่าเป็นชาวฮ่องกงมาเปิดบริษัทในปักกิ่ง และชื่นชอบสะสมวัตถุโบราณเป็นปกติ
คนผู้นี้ชื่อว่าเปาเฟิงหลิง แม้รูปร่างจะไม่สูงมาก หน้าตาค่อนไปทางอัปลักษณ์ แต่พูดจาฉะฉาน เมื่อพบกับกับเยี่ยตงผิงเสมือนได้พบสหายเก่าก่อน และชื่นชมเลื่อมใสในความรู้ด้านวัตถุโบราณของเยี่ยตงผิงมาก
ว่ากันว่า “คำพูดไพเราะคำเดียวอบอุ่นไปทั้งฤดู คำพูดหยาบคายเจ็บปวดถึงหกเดือนหนาว” เวลานั้นเยี่ยตงผิงกำลังค่อนข้างร้อนใจ ด้วยความคุ้นเคยจึงเล่าปัญหาการเปิดร้านไปไม่น้อย หลังจากคบหากันมากขึ้น ทั้งสองคนก็ค่อยๆ สนิทสนมกันทีละนิด
จากที่เยี่ยตงผิงว่ามา เปาเฟิงหลิงคนนั้นเปิดบริษัทค้าขายต่างประเทศแห่งหนึ่ง เขายังเคยไปดื่มชากังฟูของกวางตุ้งที่บริษัทของอีกฝ่าย จึงพอเข้าใจรูปแบบของบริษัทนั้นอยู่บ้าง
อีกทั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เปาเฟิงหลิงซื้อวัตถุโบราณจากมือเยี่ยตงผิงติดต่อกันไปแสนกว่าชิ้น คนผู้นี้สายตาแม่นยำ สิ่งของที่ซื้อไปไม่มีของปลอมเลยสักชิ้นเดียว จึงทำให้เยี่ยตงผิงยิ่งยกย่องชื่นชมเขาขึ้นไปอีก
เมื่อปีที่แล้ว เปาเฟิงหลิงกำลังพักผ่อนดื่มชาอยู่หนหนึ่ง บังเอิญพูดถึงช่วงเวลาที่หยวนหมิงหยวน (พระราชวังฤดูร้อนเก่า) ถูกเผาทำลายเมื่อในอดีต เคยโดนผู้บุกรุกชิงรูปหล่อทองแดงสิบสองนักษัตรหลบหนีไป
ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะเมีย วอก กุน เจ็ดชิ้นในนั้นล้วนอยู่ต่างประเทศ ทว่ารูปหล่อ จอ มะโรง มะเส็ง ระกา มะแม ห้าชิ้นนั้นกลับไม่รู้เบาะแส ตามที่เขาวิเคราะห์จากเอกสาร น่าจะถูกคนภายในประเทศแอบซ่อนเอาไว้
เวลานั้นเปาเฟิงหลิงชื่นชมรูปหล่อทองแดงสิบสองชิ้นนี้อย่างมาก บอกว่าหากตัวเองสามารถเก็บสะสมได้สักหนึ่งชิ้น ชีวิตนี้ก็ไม่เสียดาย ทั้งยังไว้วางใจให้เยี่ยตงผิงสอดส่องเอาใจใส่ ถ้าหากมีข่าวคราวจะต้องแจ้งให้เขาทราบ
ด้วยการค้าขายเครื่องใช้ทองแดงโบราณ ถูกจำกัดจากรัฐบาลอย่างเข้มงวดมาตลอด อีกทั้งรูปหล่อสิบสองนักษัตรประเภทนี้ ยิ่งเป็นสมบัติล้ำค่าประจำชาติ
ในเวลานั้นถึงแม้เยี่ยตงผิงจะรับคำ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะถึงอย่างไรข้อแรก การค้าขายของประเภทนี้ผิดกฏหมาย ข้อสองเบาะแสที่รูปหล่อพวกนั้นหลุดมาสู่มือชาวบ้านสูญหายไปร้อยกว่าปี มีหรือจะบังเอิญขนาดที่มาถูกเขาพบเจอได้?
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ มีพ่อค้าของเก่าที่เคยติดต่อซื้อขายกับเยี่ยตงผิงคนหนึ่งพบมันเข้า บอกว่าในมือมีสมบัติประจำชาติชิ้นหนึ่ง อยากจะปล่อยของแต่กลับหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ถามเยี่ยตงผิงว่ารับของชิ้นนี้หรือเปล่า?
ว่ากันตามตรง ทำการค้าแบบนี้ โดยเฉพาะค้าขายวัตถุโบราณ มีไม่กี่คนนักที่จะเคารพทำตามกฎหมาย ไม่อย่างนั้นก็นั่งรอขาดทุน ตอนนั้นเยี่ยตงผิงได้ยินเข้า จึงบอกว่าจะขอดูสินค้าก่อน
คนนั้นตอบตกลง พาเยี่ยตงผิงไปยังเขตชานเมืองแห่งหนึ่ง แล้วนำเอารูปหล่อหัวมังกรหนึ่งชิ้นออกมา เมื่อเยี่ยตงผิงได้เห็น ก็ตกตะลึงในทันใด
หัวมังกรชิ้นนี้ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนรูปร่างหรือว่าขนาด ล้วนเหมือนกับชิ้นนั้นที่สูญหายไปจากหยวนหมิงหยวนไม่ผิดเพี้ยน และพ่อค้าวัตถุโบราณคนนั้นยังเปิดเผยว่าของชิ้นนี้คือสมบัติประจำชาติชิ้นนั้น ทั้งเปิดราคาถึงสามสิบล้าน!
เยี่ยตงผิงทำการค้ามาหลายต่อหลายปี คำหลอกลวงล้วนฟังมาจนหูชาแล้ว จึงไม่อาจเชื่อคำพูดของเขาจนสนิทใจ หลังจากอาศัยเครื่องมือตรวจสอบที่พกติดตัวมา ก็ยังมองไม่เห็นรอยตำหนิใด ๆ
ที่สำคัญคือ เมื่อในอดีตเยี่ยตงผิงเคยพลาดประสบปัญหาจากหม้อสามขา นับตั้งแต่ครั้งนั้น เขาก็ทุ่มเทเวลาอย่างหนักเพื่อศึกษาเครื่องทองแดง จนแยกแยะเครื่องทองแดงได้อย่างเชี่ยวชาญ
อย่างไรเสียคนเราก็มีความเชื่อมั่นในตนเองระดับหนึ่ง หลังจากตรวจสอบคร่าวๆ แล้ว เยี่ยตงผิงรู้สึกว่าแปดในสิบส่วน ของชิ้นนี้เป็นของจริง แต่ว่าเขาเองก็ไม่รีบด่วนสรุป และถ่ายรูปที่ชัดเจนกลับมาสักสองสามใบ
เมื่อกลับถึงร้านแล้วเยี่ยตงผิงก็โทรศัพท์หาเปาเฟิงหลิง พอถามไปคำหนึ่ง พบว่าเขากลับไปอยู่ที่ฮ่องกงแล้ว เมื่อได้ยินเยี่ยตงผิงบอกว่าพบหัวมังกรทองแดง เปาเฟิงหลิงก็แสดงทีท่าดีอกดีใจแทบคลั่งขึ้นมาทันที
ทว่าการค้าที่เขาทำอยู่ในฮ่องกงนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างเร็วที่สุดต้องใช้เวลาสามวันจึงจะกลับถึงเมืองปักกิ่ง จึงให้เยี่ยตงผิงนำรูปถ่ายพวกนั้นส่งให้ผู้ช่วยของเขา เพื่อที่ตนเองจะได้ดูก่อนว่าสามารถรับของชิ้นนี้มาได้ไหม
ในร้านของเยี่ยตงผิงไม่มีแฟกซ์ แต่ว่าเขาเองก็คอยจับตามองอยู่เสมอ
หลังจากผู้ช่วยคนนั้นที่คุ้นเคยกันมาหา เยี่ยตงผิงก็ออกไปยังร้านแฟกซ์เพื่อส่งรูปภาพด้วยกัน ทั้งยังเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ช่วยจ่ายเงินไปหลายสิบหยวน ซึ่งส่งไปยังฮ่องกงแน่นอน
หลังจากได้รับแฟกซ์ไม่ถึงสิบนาที โทรศัพท์ของเยี่ยตงผิงก็ดังขึ้น เบอร์ที่เข้ามาเป็นหมายเลขจากฮ่องกง เปาเฟิงหลิงตัดสินว่าของชิ้นนั้นคือหัวมังกรที่สูญหายไป
เปาเฟิงหลิงให้เยี่ยตงผิงรั้งคนนั้นไว้ รอให้เขากลับเมืองหลวงแล้วเจรจาการค้าครั้งนี้กัน ทั้งยังบอกว่าขอเพียงราคาขายไม่ถึงพันล้าน เขายอมทุกอย่างเพื่อซื้อมาและย่อมแสดงความขอบคุณให้กับเยี่ยตงผิงผู้เป็นคนกลาง
ในเมื่อไม่ใช่สิ่งของที่เยี่ยตงผิงอยากจะซื้อ เขาเองก็ไม่กล้ารับประกันความเสี่ยงใดๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งก็ยอมรับคำเรียกร้องของเปาเฟิงหลิง รับปากว่าจะช่วยยื้อให้เขาอีกสามวัน
แต่กลับไม่คิดว่า เพียงวันที่สองเท่านั้น พ่อค้าวัตถุโบราณที่รู้จักกันโทรศัพท์มาหา บอกว่ามีเถ้าแก่คนหนึ่งสนใจของชิ้นนั้น ถ้าหากเยี่ยตงผิงไม่ต้องการ เขาจะปล่อยมือให้กับคนอื่น อีกทั้งเถ้าแก่คนนั้นยังสามารถจ่ายเงินรับสินค้าภายในตอนบ่ายวันนั้นได้
เยี่ยตงผิงได้ยินคำพูดนั้น ก็โทรศัพท์หาเปาเฟิงหลิงทันที
พอเยี่ยตงผิงเล่าสถานการณ์ให้ฟัง ทางนั้นก็ร้อนรนขึ้นมาทันใด บอกว่าตัวเองจะจองตั๋วเดี๋ยวนี้ แล้วจะรีบมาถึงปักกิ่งในตอนเย็น ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้เยี่ยตงผิงปกป้องหัวมังกรชิ้นนั้นเอาไว้ให้ได้
และหากว่ารั้งไว้ไม่ได้จริงๆ ก็ให้จ่ายเงินซื้อไปก่อน เขาไม่สนว่าเยี่ยตงผิงจะซื้อมาในราคาเท่าไหร่ แต่ยินยอมจะจ่ายให้ในราคาแปดสิบล้านหยวน
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างนั้น เยี่ยตงผิงก็ชักหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ ด้วยความเคยชินจากการทำธุรกิจ เขาจึงไม่ได้บอกราคาหัวมังกรกับเปาเฟิงหลิง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่า หากตัวเองซื้อมาก่อน จะสามารถขายต่อได้กำไรถึงห้าสิบล้านถ้วน!
หลังจากพิจารณาอยู่สามตลบ เยี่ยตงผิงก็ติดต่อพ่อค้าวัตถุโบราณคนนั้น บอกว่าตอนเย็นขอเจรจาดูสินค้าได้ไหม? แต่กลับถูกพ่อค้าวัตถุโบราณปฏิเสธ บอกว่าตอนบ่ายจะมีคนอื่นจ่ายเงินนำของไป เขาจึงไม่อาจปล่อยมือไม่ทำธุรกิจได้หรอกนะ?
หลังผ่านการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอีกหน เยี่ยตงผิงก็ตัดสินใจคว้าหัวมังกรชิ้นนั้นไว้ ถึงอย่างไรเขาก็ตรวจสอบสิ่งของชิ้นนั้นด้วยตาตัวเอง ในใจจึงมีความเชื่อมั่นอยู่หลายส่วน
ทำการค้ามาหลายปี โดยเฉพาะเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ธุรกิจค้าขายวัตถุโบราณของเยี่ยตงผิงเริ่มมีแนวโน้มเฟื่องฟู ในตัวเขามีอยู่สิบเอ็ดกว่าล้าน รวมกับทุนทั้งหมดในร้านขายของเก่า บวกกับเงินที่เยี่ยเทียนให้มาเหล่านั้น ก็เพียงพอสามสิบล้าน
หลังจากนำเงินสามสิบล้านใส่เข้าไปในบัตรแล้ว เยี่ยตงผิงก็พาโจวเซี่ยวเทียนไปหาพ่อค้าวัตถุโบราณคนนั้น การเจรจาธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นผิดจากทุกที หลังจากโอนเงิน หัวมังกรที่ถูกเขาตรวจสอบหลายต่อหลายครั้งชิ้นนั้นก็ตกเป็นของเยี่ยตงผิงอย่างเป็นทางการ
เมื่อรับหัวมังกรมาแล้ว เยี่ยตงผิงก็โทรศัพท์ไปหาเปาเฟิงหลิงทันที หลังจากโทรติดแล้วเปาเฟิงหลิงบอกว่ากำลังจะขึ้นเครื่องบิน รอให้ถึงปักกิ่งแล้วค่อยติดต่อ และบอกให้เยี่ยตงผิงคอยดูแลหัวมังกรเอาไว้ให้ดี
ทว่าจนกระทั่งห้าทุ่มกว่า เบอร์โทรศัพท์ฮ่องกงนั้นของเปาเฟิงหลิง ก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย เยี่ยตงผิงเปลี่ยนไปติดต่อโทรศัพท์มือถือภายในประเทศของเปาเฟิงหลิง ก็ไม่มีใครรับสายเช่นกัน
ตอนนั้นในใจเยี่ยตงผิงรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล เช้าตรู่วันต่อมาจึงรีบรุดไปยังบริษัทค้าขายต่างประเทศของเปาเฟิงหลิง พอไปครั้งนี้ก็ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
……
ตอนที่ 447 สำนักต้มตุ๋น (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในบริษัทค้าขายมีคนเดินไปมา พนักงานมากมายกำลังวุ่นวายกับธุระในมือ เริ่มแรกเยี่ยตงผิงยังถอนหายใจโล่งอก บริษัทใหญ่ขนาดนี้ยังอยู่ แล้วคนอย่างเขาจะหนีไปไหนได้?
“ประธานเปา บริษัทของพวกเราไม่มีคนชื่อนี้ค่ะ? ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ?”
แต่ตอนที่เยี่ยตงผิงถามถึงประธานเปาของพวกเขาที่แผนกประชาสัมพันธ์ สาวสวยตรงประชาสัมพันธ์คนนั้นกลับทำตาโตขึ้นมาทันที บอกเยี่ยตงผิงตามหน้าที่ว่า บริษัทของพวกเขาไม่มีประธานหรือรองประธานนามสกุลเปา!
“เป็นไปไม่ได้ เขาชื่อว่าเปาเฟิงหลิง เป็นหัวหน้าของพวกคุณไง!”
เยี่ยตงผิงตอบไปว่าเป็นไปไม่ได้ทันควัน เขาเคยติดตามประธานเปามายังบริษัทแห่งนี้ อีกทั้งตอนนั้นยังเคยพูดคุยกับเปาเฟิงหลิงภายในห้องรับแขกบริษัทนี้เสียเนิ่นนาน เวลานั้นยังมีเลขาธิการยกน้ำมาให้ ทั้งยังเอ่ยเรียกชื่อประธานเปาเต็มปากเต็มคำ
“จริงสิ เธอคนนั้นไง คนที่เสิร์ฟน้ำให้ผมวันนั้นก็คือเธอนั่นเอง!”
ขณะที่เยี่ยตงผิงกำลังพูดอยู่นั้น พลันเห็นหญิงสาวร่างผอมเพรียวเดินผ่านตัวไป จึงรีบฉุดตัวเธอเอาไว้ ทำเอาหญิงสาวคนนั้นตกใจสะดุ้ง
“คุณคือประธานเยี่ยใช่ไหมคะ?” ถึงแม้เวลาจะผ่านไปเป็นปีแล้ว แต่ว่าความจำของหญิงสาวคนนี้ยังคงดีเยี่ยม เพียงเห็นก็จดจำเยี่ยตงผิงได้
“ใช่ ๆ ประธานเปาของพวกคุณไม่อยู่เหรอ? ผมมาหาเขา” เวลานี้เยี่ยตงผิงค่อยคลายใจขึ้นมาทีละน้อย เมื่อหาคนเจอก็ไม่กลัวว่าเขาจะหนีแล้ว
“ประธานเปาของเรา?” หญิงสาวคนนั้นมองเยี่ยตงผิงแปลกๆ แล้วถามขึ้น “คุณหมายถึงคุณเปาเฟิงหลิงใช่ไหมคะ?”
เยี่ยตงผิงรีบตอบ “ใช่ เขานั่นแหละ คราวก่อนผมมากับเขา คุณลืมแล้วเหรอ?”
ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นแปลกใจยิ่งขึ้น กล่าวว่า “ฉันจำได้ค่ะ แต่ว่าประธานเยี่ย คุณเปาไม่ใช่พนักงานที่นี่หรอกค่ะ เป็นเพียงลูกค้าของเราเท่านั้น”
“อะไรนะ? เขา…เขาเป็นแค่ลูกค้าของพวกคุณเหรอ?”
เยี่ยตงผิงรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า สับสนมึนงงไปหมด เรื่องราวหลอกลวงในวงการค้าวัตถุโบราณมีอยู่มากมาย เมื่อมาถึงตรงนี้ มีหรือที่เขาจะยังไม่เข้าใจ?
แต่ว่าเยี่ยตงผิงยังคงหาสถานที่แล้วดึงตัวเลขาสาวคนนั้นออกไปนั่งคุย โชคยังดีที่เลขาคนนั้นเข้าใจเรื่องราวเป็นอย่างดี จึงนับว่ายังสามารถสืบถามต้นสายปลายเหตุได้อย่างชัดเจน
ที่แท้ เมื่อปีก่อนเปาเฟิงหลิงเคยอาศัยชื่อของบริษัทฮ่องกงแห่งหนึ่ง ลงนามทำสัญญาส่งออกหนึ่งฉบับกับบริษัทค้าขาย
พอเซ็นสัญญาได้ไม่นาน จู่ๆ เปาเฟิงหลิงก็โทรศัพท์มาบอกว่ามีรายละเอียดเฉพาะบางอย่างต้องการเจรจากับประธานของพวกเขา แต่บังเอิญว่า ประธานของพวกเขาไม่อยู่บริษัทพอดี จากนั้นเปาเฟิงหลิงจึงเสนอว่าจะไปรอที่บริษัทของพวกเขา
เรื่องราวหลังจากนั้นเยี่ยตงผิงได้ประสบแล้วด้วยตัวเอง พอไปถึงบริษัท เปาเฟิงหลิงก็เกริ่นเรื่องจัดการธุรกิจในนามบริษัทกับเลขาคนนี้ก่อนสักครู่ แล้วจึงพาเขาเข้าไปในห้องประชุม หลังจากคุยกันชั่วโมงกว่าก็อ้างว่ามีงานต้องทำแล้วจึงขอตัวก่อน
มาถึงตรงนี้ เยี่ยตงผิงก็แน่ใจแล้วว่าเขาถูกหลอก แต่ยังคงเพ้อฝันว่าหัวมังกรชิ้นนั้นจะเป็นของแท้ จึงกลับไปบ้านในทันที
หลังจากเมื่อวานใช้เวลาทั้งวันเพื่อตรวจสอบอย่างตั้งใจ เยี่ยตงผิงก็เข้าใจในที่สุด ว่าเขาจ่ายเงินไปสามสิบล้านเพื่อซื้อผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ปลอมแปลงจนเหมือนของจริง!
อีกทั้งพ่อค้าวัตถุโบราณคนนั้นกับเปาเฟิงหลิงก็รวมหัวกัน เรื่องนี้ตั้งแรกเริ่มจนถึงท้าย ล้วนเป็นฝีมือของคนเพียงสองคนเท่านั้น!
แต่ว่าเยี่ยตงผิงคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เปาเฟิงหลิงคบหากับเขามานานถึงสามสี่ปี ที่จริงแล้ววันที่รู้จักกันนั้น ก็เริ่มต้นวางแผนทุกอย่างไว้แล้ว ทำไมคนเราถึงใจร้ายได้ถึงขั้นนี้?
พอเล่ามาถึงตรงนี้ เยี่ยตงผิงก็ถอนหายใจยาว ถูกหลอกเงินลำบากกาย แต่เมื่อถูกหลอกใช้ความรู้สึก ความเจ็บใจนี้ทำให้เขาปวดร้าวเหลือเกิน
หลังจากฟังเยี่ยตงผิงเล่าจนจบแล้ว เยี่ยเทียนก็เหยียดเม้มริมฝีปาก เอ่ยคัดค้านขึ้น “พ่อ เรื่องนี้มีอะไรแปลกหรือ ผมถามพ่อหน่อย ถ้าหากพ่อทุ่มเททำธุรกิจหนึ่ง ใช้เวลาสักสามสี่ปีก็หาเงินได้สามสิบสี่สิบล้าน พ่อจะยอมทำไหม?”
“เหลวไหล พ่อก็ต้องทำอยู่แล้ว พ่อทำธุรกิจวัตถุโบราณนี้มาอย่างยากลำบากถึงสิบกว่าปี ถึงจะหาเงินได้สิบล้าน ถ้ามีโอกาสหาเงินได้สามสี่สิบล้านในสามสี่ปี ใครจะไม่ทำ?”
คราวนี้เยี่ยตงผิงเกิดโมโหขึ้นมา แต่ก็ตอบโต้กลับไปว่า “เยี่ยเทียน แก…แกจะบอกว่า พวกนั้นโกหกเป็นอาชีพ หลอกคนเป็นหลักเพื่อหากินเรอะ?”
“เฮอะ แปลกใหม่มากหรือไง?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ถ้าไม่ได้โกหกเป็นอาชีพ จะหลอกมืออาชีพอย่างพ่อได้เงินไปเยอะขนาดนี้เหรอ?”
เยี่ยตงผิงถอนหายใจยาว เอ่ยขึ้น “เรื่อง…เรื่องนี้ต้องโทษที่พ่อโลภมากเอง ถ้าไม่เพ้อฝันว่าจะมีขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากสวรรค์ ก็คง…คงไม่ถูกหลอกเงินไปมากขนาดนี้”
“พ่อ ความโลภก็เป็นบาปดั้งเดิมที่ติดตัวมนุษย์อยู่แล้ว สาเหตุที่พวกต้มตุ๋นนั่นทำสำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เพราะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนนี้ของมนุษย์มาเอาเปรียบเรา…”
เยี่ยเทียนนิ่งไปสักครู่ พลันมองยังพ่ออย่างประหลาดใจเล็กน้อย ถามขึ้น “จริงสิ พ่อครับ พ่อระมัดระวังเวลานำเข้าและขายออกวัตถุโบราณเป็นพิเศษมาตลอด แล้วทำไมระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวัน ถึงตัดสินใจทำการค้าด้วยเงินจำนวนมากขนาดนี้?”
นับตั้งแต่เยี่ยตงผิงทำธุรกิจแล้วสูญเงินตอนเยี่ยเทียนเข้ามหาวิทยาลัยครั้งนั้น เขาก็ขายของอย่างระมัดระวังเป็นที่สุด ปกติหากไม่แน่ใจว่าได้กำไรแน่นอนหรือซื้อขายด้วยจำนวนเงินที่สูงเกินไป น้อยครั้งที่เยี่ยตงผิงจะเข้าไปมีส่วนร่วม
แต่ว่าการกระทำของพ่อในครั้งนี้ กลับทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจอย่างที่สุด เขาอยู่กับพ่อมายี่สิบกว่าปี เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่พบว่าพ่อโลภมากได้ขนาดนี้?
เห็นสายตาสงสัยของลูกชาย เยี่ยตงผิงก็อ้ำอึ้งตอบ “พ่อ…พ่อทำไปไม่ใช่เพื่อ…เพื่อให้แม่…แม่ของแกมีหน้ามีตาหรือไง?”
เยี่ยตงผิงรู้ฐานะทางบ้านของซ่งเวยหลัน อีกทั้งหลังจากพบหน้ากันครั้งก่อน แม้ว่าทั้งสองจะพูดคุยกันอย่างสนิทสนม แต่จิตใจของเยี่ยตงผิงเอง กลับมีปัญหาเล็กน้อย
เยี่ยตงผิงในอดีตมีใบหน้าหล่อเหลา ทั้งยังเป็นนักศึกษาดีเด่นมหาวิทยาลัยหวาชิง แถมยังเขียนกลอนรักอะไรพวกนั้นเป็นด้วย และในกลุ่มเยาวชนเรือนแสนที่ออกไปใช้แรงงานในชนบท จึงกลายเป็นคนประเภทนกกระเรียนในฝูงไก่
ซ่งเวยหลันในเวลานั้นก็ไม่ได้เผยพรสวรรค์ทางด้านการทำการค้าออกมา อีกทั้งเผชิญหน้ากับดินโคลนทุกวัน ถึงมีพรสวรรค์แบบนั้นก็แสดงออกมาไม่ได้ เวลานั้นในสายตาคนอื่นทั้งสองคนจึงเป็นดังกิ่งทองใบหยก คู่ควรกันอย่างที่สุด
กระทั่งหลังจากแต่งงานกัน เยี่ยตงผิงยังออกนอกบ้านเป็นหลัก ซ่งเวยหลันอยู่แต่ในบ้าน รวมไปถึงงานหนักและสกปรกอย่างขุดอ่างเก็บน้ำเยี่ยตงผิงก็รับงานสองคนด้วยตัวคนเดียว สามารถเรียกได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของครอบครัว
แต่ว่าเวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปี เมื่อพบหน้าภรรยาที่ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก บวกกับการดูแลสุขภาพของซ่งเวยหลัน จึงดูเหมือนคนอายุสามสิบกว่า ทำให้เยี่ยตงผิงที่เวลานี้ค่อนข้างชรา มีความรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรอยู่ในใจ
แน่นอนว่าอยู่ต่อหน้าซ่งเวยหลัน เยี่ยตงผิงแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติมาก แต่ว่าพอกลับมาถึงในบ้าน กลับครุ่นคิดว่าตนเองจะต้องหาเงินให้มากขึ้นอีกหน่อยหรือเปล่า เพื่อวันหลังจะได้ไม่โดนภรรยาดูถูก?
ว่ากันว่าปัญญาของชายหญิงที่ตกอยู่ในห้วงรักจะลดลงมาก แม้ว่าเยี่ยตงผิงจะมีอายุสี่สิบห้าสิบปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าพวกเด็กหนุ่มอายุน้อยสักเท่าไหร่ กระทั่งความฉลาดยังลดลงไปไม่น้อย
ยังไม่ทันฟื้นสติจากอาการตื่นเต้นที่ได้พบซ่งเวยหลัน การซื้อขายหัวมังกรนั่นก็มาหาเยี่ยตงผิง จึงตรงกับคำว่า พอเคลิ้มก็ส่งหมอนให้นอน….พอดิบพอดี?
ดังนั้นเยี่ยตงผิงซึ่งสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจอย่างถูกต้องในเรื่องการค้า และต้องการทำอะไรสักอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง จึงพุ่งเข้าใส่กลางตาข่ายยักษ์ที่โอบล้อมเขาอยู่เนิ่นนานถึงสามปี!
ความจริงแล้วเยี่ยตงผิงอาจไม่ได้ต้องการหาเงินมามากมายเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เขาเพียงอยากพิสูจน์ว่าตัวเองประสบความสำเร็จในธุรกิจสายนี้ ทำได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับฐานะของซ่งเวยหลันในวอลสตรีท
แต่ไม่ว่าอย่างไรเสียเยี่ยตงผิงก็มาเมืองปักกิ่งได้ไม่นาน แม้การค้าจะราบรื่น แต่ก็ยังห่างไกลจากพ่อค้าวัตถุโบราณระดับแนวหน้าอยู่มาก จึงได้ติดกับเปาเฟิงหลิงคนนั้นทุกอย่าง!
“พ่อครับ พ่อ…พ่อถึงกับคิดอย่างนี้เหรอ?” ได้ยินคำอธิบายของพ่อแล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก
ฐานะตระกูลแม่ตัวเองอย่างต่ำก็สูงถึงแสนล้าน พ่อทำธุรกิจขายวัตถุโบราณสักร้อยชาติ ยังไม่แน่ว่าจะหาเงินได้มากขนาดนั้นหรือเปล่า? แต่เขากลับคิดใช้วิธีหาเงินเพื่อแสดงถึงความสามารถของตนเอง?
“พ่อ…พ่อก็ไม่อยากให้แม่แกดูถูกน่ะสิ?” เยี่ยตงผิงแข็งแกร่งต่อหน้าลูกชายมาตลอด แต่ว่าเวลานี้กลับก้มหน้าเหมือนเด็กที่ทำเรื่องผิดไป
เมื่อเห็นท่าทางพ่อของตัวเองอย่างนี้ เดิมทีเยี่ยเทียนที่ยิ้มน้อยๆ พลันสับสนขึ้นมาในใจ ราวกับมีสองมือบีบหัวใจของตัวเองแน่น ฉีกทึ้งอย่างรุนแรง ให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานอย่างที่สุด
เขายังเป็นพ่อของตัวเองใช่ไหม? นี่คือพ่อที่ถือไม้กวาดไล่ตามเขาวิ่งวุ่นไปทั่วบ้านใช่ไหม? นี่คือพ่อที่พอเวลาเขาทำผิดก็ไปตบโต๊ะกับอาจารย์ที่โรงเรียนใช่ไหม?
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ที่พ่อค่อยๆ ชราลง ด้วยความกดดันในชีวิต ทำให้จอนผมทั้งสองข้างของพ่อค่อยๆ กลายเป็นสีขาว แผ่นหลังเวลายืนนั้น ดูคล้ายจะไม่ตั้งตรงเหมือนอย่างในอดีต
เมื่อเห็นสีหน้าลังเลสับสนของพ่อแล้ว คิดถึงเงาหลังของพ่อที่ส่งตัวเองขึ้นรถไฟครั้งเมื่อในอดีต เบ้าตาของเยี่ยเทียนก็พลันแดงก่ำ
หลายปีมานี้เขาเอาแต่ห่วงความอิสระของตนเอง ทว่ากลับพูดคุยกับพ่อน้อยลงทุกที และความรู้สึกของพ่อ…ก็ยิ่งเหินห่างมากขึ้น
“พ่อครับ ไม่หรอก ไม่มีใครดูถูกพ่อได้หรอก!”
มือขวาของเยี่ยเทียนวางบนไหล่ของพ่อ เยี่ยเทียนมองยังดวงตาของพ่อ เอ่ยทีละคำว่า “ตอนนี้ไม่มี และในอนาคตก็จะไม่มีใครมาดูถูกพ่อได้ เพราะว่าพ่อเป็นพ่อของเยี่ยเทียน! ต่อให้เป็นซ่งเวยหลันก็ไม่กล้าดูถูกพ่อ!”
สามสิบปีก่อนดูลูกให้ดูพ่อ สามสิบปีหลังจะดูพ่อต้องดูที่ลูก!
จากความอ่อนแอที่เยี่ยตงผิงแสดงออกมานั้น เยี่ยเทียนถึงได้เข้าใจความกดดันที่แบกรับภายในใจของพ่อในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง
ในขณะเดียวกันเยี่ยเทียนเองก็แอบตัดสินใจว่า จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายพ่อที่ใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยกันและกันกับตัวเองมาตลอดยี่สิบปี!
“แต่ว่า…เยี่ยเทียน คราวนี้พ่อ…พ่อเอาเงินของแกลงไปด้วยน่ะสิ!” เยี่ยตงผิงพูดอย่างค่อนข้างละอายใจ เงินก้อนนั้นเดิมทีตั้งใจจะเก็บเอาไว้ให้เยี่ยเทียนใช้แต่งงาน
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ ตอบว่า “พ่อครับ พ่อค้าขายวัตถุโบราณความจริงแล้วก็คือการเดิมพัน ลงเดิมพันไม่ได้หมายความว่าจะแพ้ ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่รู้ผลเลยครับ?”
……
ตอนที่ 448 สำนักต้มตุ๋น (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เสี่ยวเทียน แกพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง? หรือ…หรือว่ายังสามารถตามตัวพวกมันเจอ?”
พอได้ยินคำพูดของลูกชาย เยี่ยตงผิงก็เบิ่งตาโต หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น กระทั่งความคิดจะแจ้งตำรวจเขาก็ยังไม่มี จึงไม่คิดว่าจะสามารถตามเงินจากเปาเฟิงหลิงกลับมาได้
ต้องรู้ก่อนว่า การแอบลักลอบซื้อขายวัตถุประจำชาติ หากเป็นของแท้ โทษนั้นหนักพอให้เขาต้องจำคุกสามถึงห้าปี
แต่ถ้าของที่ซื้อมาถึงมือเป็นเพียงผลงานศิลปะร่วมสมัยชิ้นหนึ่ง ก็ไม่นับว่าผิดกฎหมาย อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังมีโทษฐานฉ้อโกง ว่ากันตามกฎของวงการค้าวัตถุโบราณแล้ว สิ่งที่ทำได้สำหรับเรื่องนี้มีเพียงแต่กล้ำกลืนฝืนทน
แน่นอนว่าเยี่ยตงผิงสามารถเลือกไปแจ้งความ เพียงแต่หากทำเช่นนั้น เรื่องนี้ก็จะแพร่ออกไป แล้ววันหลังเยี่ยตงผิงก็ไม่ต้องคิดจะเงยหน้าอ้าปากในวงการค้าวัตถุโบราณได้อีก
“หาเจอแน่นอน พ่อครับ พ่อไม่รู้เหรอว่าผมทำงานอะไร? สิ่งที่หมอดูฮวงจุ้ยทำก็คือทำนายดวงชะตา ตามหาคนหาย เปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นดี”
เยี่ยเทียนหัวเราะหึ ๆ แล้วพูดต่อ “พ่อครับ พ่อรู้จักเขามาสามสี่ปี มีสิ่งของที่เขาเคยใช้บ้างหรือเปล่า? ยกตัวอย่างเช่นเส้นผม…”
เยี่ยเทียนสามารถตัดสินได้ว่า ชื่อเปาเฟิงหลิงนี้ต้องเป็นชื่อปลอมอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงต้องเสี่ยงทายทำนายหาเบาะแสของคนคนนั้น จึงต้องพึ่งสิ่งของที่เปาเฟิงหลิงเคยใช้มาก่อน แล้วสืบสาวจากการขับเคลื่อนพลังชี่ของเขา
“ของที่เขาเคยใช้เหรอ?”
เยี่ยตงผิงคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหน้า บอกว่า “ดูเหมือนจะไม่มีนะ? ถึงแม้คนสกุลเปานั้นจะหน้าตาไม่ดีเท่าไร แต่ก็ดูแลเอาใจใส่เรื่องภาพลักษณ์มาก จะใส่เจลแต่งผมบนศีรษะทุกครั้ง ลื่นแผลบเสียจนแมลงวันยังเกาะไม่อยู่ แล้วจะมีผมร่วงได้ยังไง?
หลายปีมานี้เวลาที่เยี่ยตงผิงกับเปาเฟิงหลิงอยู่ด้วยกัน สิ่งที่ทำบ่อยที่สุดก็คือดื่มชา แต่ว่าเครื่องชาพอใช้แล้วล้วนใช้น้ำสะอาดอุณหภูมิสูงล้างทั้งหมด แล้วจะมีอะไรหลงเหลือได้อีก?
“เยี่ยเทียน เงินก้อนนี้ที่พวกเขาเอาไป ไม่รู้ว่าปานนี้ไปถึงไหนแล้ว แก…แกสามารถหาเจอเหรอ?”
แม้จะรู้ว่าลูกชายแตกต่างจากคนธรรมดา แต่จากความคิดของเยี่ยตงผิง คนสกุลเปาผู้นี้ทำการฉ้อโกงมาหลายต่อหลายปี ไม่แน่ว่าอาจจะหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ต่อให้ลูกชายมีความสามารถสักแค่ไหน ก็ไม่แน่ว่าจะหาเจอหรอกกระมัง?
เยี่ยเทียนหัวเราะเจื่อนๆ ขึ้นมา และกล่าวว่า “พ่อครับ เพราะอย่างนั้นถึงต้องรีบหน่อยถึงจะได้ผล พ่อลองคิดให้ดีๆ อีกที ว่าเขายังมีของใช้อะไรทิ้งไว้ที่พ่ออีกหรือเปล่า?”
คนอย่างเปาเฟิงหลิงหากยังอยู่ในเมืองปักกิ่ง ด้วยการฝึกวรยุทธของเยี่ยเทียนในปัจจุบัน ยังพอที่ตามหาคนผู้นั้นได้
แต่ถ้าหากออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เขาคงได้แต่คาดเดาตำแหน่งคร่าวๆ เท่านั้น และหากสิบแปดมงกุฎพวกนี้หนีออกไปต่างประเทศ เยี่ยเทียนเองก็จนปัญญากับคนเหล่านี้เช่นกัน
แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า คนสำนักวิชาต้มตุ๋นเหล่านั้นเมื่อในอดีต มักก่อเรื่องต่อกันเป็นทอดๆ พวกเขาใช้เวลาถึงสามสี่ปีเพื่อจัดฉากนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ได้มีเป้าหมายแค่พ่อของเขาเพียงคนเดียว
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขายังอยู่ในเมืองหลวงเพราะยังมีเป้าหมายที่จัดการไม่สำเร็จ ถ้าหากเปาเฟิงหลิง คือคนของสำนักวิชาต้มตุ๋นเมื่อในอดีตล่ะก็ แปดถึงเก้าในสิบส่วนน่าจะยังอยู่ในเมืองหลวง
“ของที่เคยใช้ ไม่มีจริงๆ…”
เยี่ยตงผิงครุ่นคิดอย่างละเอียด พลันพบว่าเปาเฟิงหลิงผู้นี้กระทำการอย่างละเอียดรอบคอบ ตอนคบหาสมาคมกับตัวเองดูเหมือนจงใจหลีกเลี่ยงเรื่องบางอย่าง เพียงแต่เมื่อก่อนตัวเองไม่ทันสังเกตเท่านั้น
ทันใดนั้นเยี่ยตงผิงนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ขึงร้องขึ้นเสียงดัง “จริงสิ พ่อนึกออกแล้ว มีครั้งหนึ่งเขามาซื้อแท่นฝนหมึกจากพ่อ แล้วจ่ายเป็นเงินฮ่องกง เงินพวกนี้ใช้จ่ายภายในประเทศไม่ได้ พ่อเลยเก็บเอาไว้!”
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน มีครั้งหนึ่งเปาเฟิงหลิงมายังร้านของเยี่ยตงผิง บอกว่าอีกสองสามวันจะกลับฮ่องกง ต้องการซื้อแท่นฝนหมึกไปฝากคน เวลานั้นในมือไม่มีเงินหยวน จึงให้เยี่ยตงผิงหนึ่งหมื่นห้าพันดอลลาร์ฮ่องกง
ตอนนั้นเปาเฟิงหลิงยังบอกว่า คราวหน้าขอเชิญเยี่ยตงผิงมาเที่ยวฮ่องกงด้วยกัน เงินนี้เก็บไว้ใช้จ่ายในฮ่องกงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนเป็นเงินหยวน ดังนั้นเยี่ยตงผิงจึงเก็บเงินส่วนนี้ไว้
เหตุการณ์นี้ทำให้เยี่ยตงผิงยิ่งเชื่อมั่นในสถานภาพพ่อค้าชาวฮ่องกงของเปาเฟิงหลิง และเงินหนึ่งหมื่นกว่าดอลลาร์ฮ่องกงนั้นตอนนี้ก็ยังคงถูกเก็บไว้ภายในตู้เซฟที่บ้าน
“เงินเหรอครับ? ของพวกนี้ออกจะลำบากสักหน่อย…”
เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ขมวดคิ้ว ต้องบอกว่าของที่ผ่านมือคนมากมายที่สุดบนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือไปจากเงิน ข้อมูลที่ติดมานั้นมากมายเกินไป จนไม่แน่ว่าตัวเขาเองจะสามารถแยกแยะปฏิกิริยาการขับเคลื่อนพลังชี่ของปรมาจารย์นักต้มตุ๋นคนนั้นได้
“ช่างเถอะ ลองดูก่อนค่อยว่ากัน” เยี่ยเทียนส่ายหน้ากล่าว “พ่อครับ ไปกันเถอะ กลับไปบ้านกัน แล้วเอาเงินนั่นมาให้ผมดู!”
เยี่ยตงผิงพยักหน้า เอ่ยว่า “ได้ ความจริงถึงไม่สำเร็จก็ช่างมันเถอะ ลูกเอ๋ย พ่อจะเอาของมีค่าในร้านออกไปขาย และจะไม่ยอมให้ลูกไม่มีเงินแต่งงานเด็ดขาด!”
เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เยี่ยตงผิงรู้สึกละอายต่อลูกชายที่สุด เขารู้ว่าเยี่ยเทียนเอาเงินทั้งหมดที่มีมาฝากไว้ที่ตัวเอง เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น สองพ่อลูกจึงเท่ากับสิ้นเนื้อประดาตัว
“พ่อครับ พูดอะไรน่ะ? ผมเป็นลูกพ่อ พ่อผลาญเงินผมเป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรมอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” เยี่ยเทียนหัวเราะหยอกล้อโอบกอดไหล่ผู้เป็นพ่อ แม้จะเป็นคำพูดล้อเล่น แต่กลับทำให้เยี่ยตงผิงรู้สึกอบอุ่นใจ
จะว่าไปแล้วแม้เยี่ยเทียนรู้สึกเจ็บใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจริงจัง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่โสมไม่กี่ชิ้นภายในตู้เซฟในห้อง เขาหยิบไปหนึ่งอันก็ขายได้หลายสิบล้าน ทั้งยังราคาสูงแต่มีความต้องการทางตลาดน้อย
แน่นอนว่าของล้ำค่าอันหาได้ยากขนาดนี้เยี่ยเทียนไม่มีทางปล่อยมือไป ถึงจะขายออกง่าย แต่วันหลังหากนึกอยากซื้อกลับมากลับไม่ง่ายดายแล้ว
“หรือว่าคิดวิธีหาเงินมาสักหน่อย? แม่เอ๊ย รู้อย่างนี้รับหุ้นส่วนนั่นของกงเสี่ยวเสี่ยวมาก็ดีหรอก ถือคุณธรรมแต่ดันฆ่าคนตาย!”
ขณะที่กำลังรอพ่ออาบน้ำ เยี่ยเทียนก็ครุ่นคิดไปมาอยู่ในห้อง แม้ว่าเขาจะไม่เห็นเงินสำคัญนัก แต่การใช้ชีวิตบนโลกนี้ หากปราศจากเงิน แม้เพียงหนึ่งนิ้วยังยากจะก้าวเดิน
เฉกเช่นเดียวกับที่เยี่ยตงผิงสูญเสียเงินในครั้งนี้ ในมือของเยี่ยเทียนเองก็เหลือเงินเพียงเจ็ดแปดหมื่นหยวนเช่นกัน
อีกทั้งลำพังบ้านสองหลังกับร้านของเยี่ยตงผิงนั้น ในแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายถึงสามสี่หมื่น ถ้าหากตามเงินก้อนนั้นกลับมาไม่ได้ พวกเขามีหวังต้องกินแกลบกันทั้งครอบครัว
“หรือว่า ไปเบิกเงินจากเหล่าถังดี?”
สมองของเยี่ยเทียนผุดความคิดนี้ออกมา แต่แล้วก็ถูกเขาปัดตก “ต่อให้ปล้นเหล่าถัง ก็ยังไม่ใช่ทางออก ไปวุ่นวายกับเขา แล้วพวกพ้องไม่ต้องใช้เงินหรือไง?”
เมื่อคิดหาไอเดียดีๆ ไม่ได้ เยี่ยเทียนก็ไม่คิดอีกต่อไป พอเห็นพ่อออกมาจากห้องน้ำ ทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องพร้อมกัน เตรียมตัวไปเอาเงินฮ่องกงที่บ้านเก่า
“เยี่ยเทียน นี่นายจะไปทำอะไร?” พอเดินมาถึงเรือนกลาง ก็เห็นหูหงเต๋อกำลังสอนพื้นฐานวิชากรงเล็บอินทรีให้โจวเซี่ยวเทียน โดยให้โจวเซี่ยวเทียนจับลูกบอลในโอ่ง
“จริงสิ เหล่าหู คุณรู้เรื่องสำนักวิชาต้มตุ๋นหรือเปล่า? พ่อผมเจอดีเข้าแล้ว”
พอเห็นหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็ตาสว่างวาบ ตาแก่คนนี้มาจากสังคมยุคเก่า แม้ว่าจะไม่เชี่ยวชาญเท่าโก่วซินเจีย แต่ต้องรู้จักผู้คนและเรื่องราวไม่น้อย
“สำนักต้มตุ๋นหรือ? ฉันเคยได้ยิน”
หูหงเต๋อคิดอยู่สักครู่ กล่าวว่า “ความจริงสำนักต้มตุ๋นก็ชื่อว่าสำนักวิชาต้มตุ๋น ว่าไปแล้วก็เป็นสาขาแยกหนึ่งจากสำนักวิชาคาถาอาคม แต่ว่าสำนักล่อลวงแอบแฝงพวกนี้ส่วนใหญ่อยู่ทางใต้ ฉันจึงไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนัก”
ในอดีตสามมณฑลตะวันออกล้วนเต็มไปด้วยป้อมระวังภัย ผู้คนสัญจรไปมาในยุทธภพล้วนถือปืนไปไหนมาไหน มีหรือจะยอมให้ถูกหลอกถูกขโมย? ดังนั้นสำนักต้มตุ๋นจึงไม่ค่อยรุ่งเรืองในภาคเหนือสักเท่าไหร่
“น้องเยี่ยมีเรื่องอะไร? ถูกสำนักวิชาต้มตุ๋นเพ่งเล็งเอาหรือไง?” หูหงเต๋อมองยังเยี่ยตงผิงอย่างแปลกใจเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าเยี่ยตงผิงที่ให้กำเนิดลูกชายที่เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าผีปีศาจ กลับถูกวิธีการในยุทธภพพวกนั้นหลอกเอาได้?
“อืม พ่อผมโดนหลอกแล้ว อีกฝ่ายฝีมือสูง ใช้เวลาหลอกต้มสามถึงสี่ปี หลอกเงินไปได้ถือว่าไม่ขาดทุน…”
ทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าล้วนไม่ใช่คนนอก เยี่ยเทียนจึงไม่ปิดบังพวกเขา หลังจากเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดแล้ว จึงพูดว่า “วันนี้ไม่ต้องฝึกแล้ว เหล่าหู เซี่ยวเทียน ออกไปเดินเล่นกับผมหน่อย”
พอได้ยินเหตุการณ์การซื้อขายหัวมังกรวันนั้น โจวเซี่ยวเทียนก็ถลึงตาโตขึ้นมา พูดด้วยความเคียดแค้น “อาจารย์ ให้ผมจับสองคนนั้นเถอะ ผมจะได้ตีขาพวกมันให้หัก!”
“ไอ้หนู เกรงว่าจะไม่ถึงมือแกหรอก” หูหงเต๋อมองยังเยี่ยเทียนอย่างมีนัย เขาเคยเห็นวิธีการของเยี่ยเทียน ในใจจึงอดไว้อาลัยให้พวกสิบแปดมงกุฎพวกนั้นอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากกลับมาถึงบ้านเก่า เยี่ยตงผิงก็เอาธนบัตรฮ่องกงใบละห้าร้อย ยี่สิบกว่าใบส่งให้เยี่ยเทียน เอ่ยว่า “ลูกพ่อ เงินฮ่องกงก้อนนี้แหละ ลูกลองดูสิว่าพอจะค้นอะไรเจอไหม?”
เยี่ยเทียนรับเงินฮ่องกงมาไว้ในมือ หลังจากตรวจเงินฮ่องกงยี่สิบกว่าใบทีละแผ่นเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มขมขื่น “พ่อ ใช้ได้ไหมก็ถือว่าใช้ได้ แต่ว่าเงินก้อนนี้ของพ่อ มีเพียงสามใบที่เป็นของจริง!”
เยี่ยเทียนเคยเห็นเงินฮ่องกง อีกทั้งสัมผัสมือของเขาไวกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เพียงแตะเงินฮ่องกงเหล่านี้ ก็สัมผัสได้ว่าคุณภาพกระดาษสามแผ่นในนั้นไม่เหมือนกับแผ่นอื่นที่เหลือ เมื่อแยกแยะอย่างละเอียดอีกครั้ง คำตอบก็ปรากฎออกมา
“บัดซบเอ๊ย ขอสาปบรรพบุรุษไอ้สกุลเปาที! มิน่าไม่ยอมให้ฉันเอาไปแลกเงิน เพราะเป็นของเก๊ทั้งหมดนี่เอง?
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชายแล้ว เยี่ยตงผิงก็หน้าถอดสีแล้วถอดสีอีก จนพ่อค้าที่ยึดหลักของขงจื้ออย่างเขาอดสบถคำพูดหยาบคายที่สุดในชีวิตออกมาไม่ได้ โมโหจนเส้นเลือดบนหน้าผากแทบจะระเบิด
เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็หัวเราะ กล่าวว่า “พ่อครับ ธนบัตรปลอมพวกนี้ก็ทำเลียนแบบได้เหมือนของจริง เอาสิบกว่าล้านทิ้งไปเถอะครับแล้ว แล้วจะโกรธคนเลวๆ แบบนี้ไปทำไมกัน?”
“ไอ้หนู นี่แกปลอบฉันหรือว่าด่าฉันอยู่?” เยี่ยตงผิงไม่สบอารมณ์กับคำพูดของลูกชาย ตัวเองทำการค้ามาหลายต่อหลายปี กลับมาผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยแบบนี้ได้
“เอาน่า พ่อครับ พ่อไปอธิบายเรื่องที่ซ่งเฮ่าเทียนจะตีพิมพ์คำขอขมาให้ป้าใหญ่ฟังเถอะ”
เยี่ยเทียนหัวเราะฮิๆ แล้วจึงเปลี่ยนประเด็นพูด“ซ่งเฮ่าเทียนมาเยี่ยมเยียน ก็ถือว่าให้เกียรติมากพอแล้ว จริงสิ เหล่าหู คุณสอนวิชาเซี่ยวเทียนต่อไปนะ ผมขอเวลาส่วนตัวเงียบๆ สักครู่”
เงินปลอมก็มีประโยชน์ของเงินปลอม นั่นก็คือเงินเหล่านี้ถูกแพร่กระจายไปน้อยครั้ง ร่องรอยข้อมูลที่หลงเหลืออยู่บนนั้นจึงมีมาก เยี่ยเทียนจึงสามารถแยกแยะการขับเคลื่อนพลังชี่ของพ่อค้าสกุลเปาชาวฮ่องกงคนนั้นออกมาได้
……
ตอนที่ 449 เจ้าหนี้มาเยี่ยมเยียน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อวางธนบัตรยี่สิบกว่าใบไว้ตรงหน้า เยี่ยเทียนนั่งลงและตั้งสมาธิ ปลดปล่อยการขับเคลื่อนของพลังชี่ออกมา
กลิ่นอายซึ่งติดอยู่บนเงินนั้นไม่นับว่าซับซ้อน หลังจากผ่านการแยกแยะเพียงคร่าวๆ นอกเหนือจากกลิ่นอายของเยี่ยตงผิงแล้ว ก็มีกลิ่นอื่นเพียงเจ็ดแปดชนิด จึงทำให้เยี่ยเทียนเผยสีหน้ายินดี
หากเป็นเงินที่ใช้หมุนเวียนปกติ อาจมีความเป็นไปได้ว่าผ่านมือคนมานับร้อยนับพัน แม้เป็นเยี่ยเทียนก็ยังไม่สามารถอนุมานการขับเคลื่อนพลังชี่ของแต่ละคนได้ เพราะมันอาจส่งผลให้เขากระอักเลือดออกมา แต่มีเพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเยี่ยเทียน
ใช่ว่าเขาไม่คิดจะไปตรวจสอบหัวมังกรสัมฤทธิ์นั้นอย่างละเอียด เพียงแต่ด้วยคุณสมบัติการเป็นตัวนำของสัมฤทธิ์ สามารถดูดซับพลังชีวิตฟ้าดินได้ปริมาณน้อย ด้วยเหตุนี้จึงยากที่จะแทรกซึมกลิ่นอายบนตัวของมนุษย์
“คนนี้อยู่ทางใต้ จดไว้ก่อนดีกว่า”
“หืม? คนนี้อยู่ห่างไปหกร้อยกิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงเหนือ น่าจะเข้าเขตซานซีแล้ว คงไม่ใช่เขาหรอก”
“คนนี้อยู่ปักกิ่ง หืม? มีสองคนด้วย อยู่ทางต้าซิงกันทั้งคู่ เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นพวกเขานี่แหละ!”
” แล้วยังมีคนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง? คนพวกนี้อยู่เฉาหยางนี่เองหรือ? “
หลังจากเยี่ยเทียนใช้ประสาทสัมผัสกลิ่นอายและทำการอนุมานแล้ว ใบหน้าก็เผยให้เห็นถึงความยินดี เพราะเขาพบว่า ในกลุ่มคนที่เคยปะปนกับเงินปลอมเหล่านี้ มีสองคนที่ยังอยู่ในปักกิ่งตอนนี้
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่กล้าตัดสินว่า หนึ่งในสองคนนั้นจะเป็น เป่าเฟิงหลิง แต่ความหวังมีมากอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากเก็บเงินฮ่องกงเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง
“หือ ป้ารองก็มาเหรอ วันนี้อากาศหนาวจัด ทำไมถึงยืนอยู่ข้างนอกล่ะครับ?”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะผลักประตูออก ก็เห็นพ่อ และพวกป้าใหญ่ ป้ารองกำลังยืนคุยกันอยู่ตรงลานกลางบ้าน ดูเหมือนทุกคนในครอบครัวจะมากันหมด
“เยี่ยเทียน มานี่ ป้าใหญ่มีเรื่องจะถามเธอ!” คุณนายใหญ่กวักมือ เรียกเยี่ยเทียนให้ไปหา แล้วเอ่ยปากถาม “เมื่อวานไอ้แก่ตระกูลซ่งไปหาเธอเหรอ?”
“ครับ เขาบอกว่าต้องการสะสางความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่งสองตระกูล และตีพิมพ์แถลงการณ์คำขอโทษต่อตระกูลเยี่ยลงบนหนังสือพิมพ์ฮ่องกงครับ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า รู้สึกชื่นชมป้าใหญ่จากใจจริง จะว่าอย่างไรป้าใหญ่ก็เคยทำงานในหน่วยงานรัฐบาลอย่างเป็นทางการมาก่อน จึงไม่มีความเคารพต่อผู้เฒ่าคนนั้นแม้แต่น้อย
ขณะที่ลอบมองสีหน้าของคุณนายใหญ่ เยี่ยเทียนก็ปลอบโยน “ป้าใหญ่ครับ ปล่อยวางศัตรูไม่ยุ่งเกี่ยวกันดีกว่า ผมเห็นว่าอีกฝ่ายมีความจริงใจมากทีเดียว เรื่องนี้ให้มันแล้วกันไปเถอะนะครับ? “
ถึงแม้ตระกูลเยี่ยจะมีเยี่ยเทียนกับเยี่ยตงผิงเป็นผู้ชาย และเยี่ยตงผิงก็นับว่าเป็นหัวหน้าตะกูลเยี่ยในปัจจุบัน แต่ในบ้านซื่อเหอย่วนหลังนี้ คุณนายใหญ่มีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจมาโดยตลอด
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว คุณนายใหญ่ก็ยิ้มออกมา เอ่ยว่า “เสี่ยวเทียน ป้าใหญ่ไม่ได้พูดว่าไม่เห็นด้วย สามารถทำให้ไอ้แก่เดนตายตระกูลซ่งนั่นก้มหัวได้ ป้าใหญ่ก็ดีใจจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”
ช่วงเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ตระกูลซ่งรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน แต่ตระกูลเยี่ยกลับตกต่ำลงทุกที เดิมทีเยี่ยตงจู๋นึกว่าตระกูลเยี่ยจะไม่อาจเผชิญหน้ากับตระกูลซ่งได้อย่างเท่าเทียมอีก กลับนึกไม่ถึงว่าหลานชายจะนำพาความตื่นเต้นยินดีมาให้ตัวเองได้ขนาดนี้”
“ตงผิง สองสามวันนี้เธอแวะไปฮ่องกง รอให้หนังสือพิมพ์ขอขมาตีพิมพ์ออกมาแล้ว พวกเราค่อยเชิญญาติสนิทมิตรสหาย ฉันจะดูว่าใครยังกล้าดูถูกพวกเราอีก! “
ในอดีต แม้ตระกูลเยี่ยจะเคยย่ำแย่ แต่กระทั่งเรือที่แตกก็ยังคงเหลือตะปูสักสามเล่ม ความจริงญาติสนิทมิตรสหายที่มีก็นับว่าไม่น้อย เพียงแต่ด้วยความแค้นของตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่งที่ฝังลึก กลับทำให้ญาติมิตรห่างๆ หลายคนตัดสัมพันธ์ ไม่ไปมาหาสู่กันด้วยสาเหตุนี้
คุณนายใหญ่เป็นคนไม่ยอมใครแม้เรื่องเล็กน้อย วันนี้สามารถทำให้ตระกูลซ่งยอมก้มหัว เธอจึงต้องจัดแจงทำอะไรสักอย่าง จึงรีบดึงตัวน้องชายน้องสาวมาด้วยความตื่นเต้น ก็เพราะต้องการพูดคุยเรื่องรายละเอียด
“ป้าใหญ่ ผมกับพ่อยังมีธุระ เรื่องนี้ป้ากับป้ารองคุยกันเองก็ได้”
เยี่ยเทียนเห็นคุณนายใหญ่ตื่นเต้นดีอกดีใจอย่างนั้น ก็รีบดึงตัวพ่อมาบอกว่า “ฮ่องกงน่ะไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวผมให้เพื่อนที่อยู่ทางนั้นส่งหนังสือพิมพ์มาก็พอ!”
“ใช่ พี่ใหญ่ ฉันกับเยี่ยเทียนยังมีธุระอยู่ เรื่องนี้พวกเราค่อยปรึกษากันตอนเย็นนะ”
เยี่ยตงผิงเพิ่งสูญเงินไปสามสิบล้าน จนครอบครัวสิ้นเนื้อประดาตัว ไหนเลยจะมีอารมณ์มาคุยเรื่องฟื้นฟูวงศ์ตระกูล พอตอบคำไปประโยคหนึ่งแล้ว ก็ออกจากเรือนกลางไปพร้อมลูกชาย
หูหงเต๋อกำลังตะโกนเรียกอยู่ตรงเรือนหน้า พอออกจากเรือนสี่ประสานเยี่ยตงผิงก็รีบถามขึ้น “เป็นยังไง คนคนนั้นยังอยู่ที่ปักกิ่งหรือเปล่า?”
“อยู่ครับ แปดถึงเก้าในสิบส่วนต้องเป็นสกุลเปาที่พ่อพูดถึงนั่นแหละ!” เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “พ่อครับ ไปรถของผม พวกเราไปหาพวกมันเดี๋ยวนี้เลย!”
“ได้ หาไอ้สารเลวนั่นเจอเมื่อไหร่ พ่อจะถลกหนังมัน!” เมื่อเห็นเยี่ยตงผิงทำท่าทางดุเดือดอย่างนั้น เยี่ยเทียนจึงอดขำขึ้นมาไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพ่อโกรธอย่างกระหืดกระหอบจริงๆ
“ลูกพ่อ แล้วจะไปที่ไหนล่ะ?” พอกลับมาถึงบ้านของเยี่ยเทียนก็นั่งรถและขับออกไป เยี่ยตงผิงจึงมองไปยังลูกชาย
เยี่ยเทียนเอ่ยปากว่า “อยู่ที่เฉาหยางเนี่ยแหละ พ่อครับ ขับไปทางซานหลี่ถุนเลย”
“เลี้ยวขวา ใช่ แล้วตรงไปอีกร้อยเมตร!” เยี่ยเทียนคอยบอกทางพ่อไม่หยุด หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงกว่า รถก็มาจอดที่ริมตลาดแห่งหนึ่ง
เยี่ยตงผิงมองยังป้ายที่ติดอยู่ด้านหน้า เอ่ยถามเยี่ยเทียนด้วยความสงสัย “ลูกพ่อ นี่มันตลาดหย่าซิ่วนี่นา? ลูกว่าไอ้สกุลเปาคนนั้นจะอยู่ที่นี่เหรอ?”
“เขาอยู่ที่นี่หรือเปล่าผมไม่รู้”
สีหน้าเยี่ยเทียนออกแปลกประหลาดเล็กน้อย แล้วชี้ตรงหน้าต่างรถกั้นไปยังผู้ชายที่นั่งยองๆ อยู่ริมถนนห่างพวกเขาออกไปห้าหกเมตร แล้วพูดว่า “พ่อครับ พ่อดูสิ รู้จักคนนั้นหรือเปล่า?”
ผู้ชายคนนั้นดูราวอายุสามสิบกว่า มีไฝที่มุมปากหนึ่งเม็ด กลอกดวงตาคู่นั้นจ้องมองคนที่เดินไปมาบนถนน หนีบกระเป๋าหนังสีดำไว้ที่รักแร้ คอยเอ่ยปากทักทายคนที่เดินอยู่ริมถนนเป็นระยะ
เยี่ยตงผิงจ้องมองคนผู้นั้นเนิ่นนาน แล้วจึงส่ายหน้าตอบ “ไม่รู้จัก? แกว่า…เขาเป็นพวกเดียวกันกับเปาเฟิงหลิงหรือเปล่า?”
เยี่ยเทียนคาดเดาอยู่ในใจส่วนหนึ่ง แต่ว่าไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แล้วเอ่ยปากว่า “น่าจะไม่ใช่ พ่อครับ ไปเถอะ ไปต้าซิง”
“ได้” เยี่ยตงผิงพยักหน้า เขารู้ว่าตัวเองไม่มีปัญญาหาเงินก้อนนั้นกลับมา ตอนนี้จึงได้แต่ฟังคำลูกชาย
หลังจากสี่สิบนาทีผ่านไป รถแลนด์โรเวอร์ของเยี่ยเทียนก็มาจอดภายในลานจอดรถโรงแรมสี่ดาวแห่งหนึ่งที่ต้าซิง
เยี่ยเทียนอนุมานคร่าวๆ ในรถเงียบๆ มองไปยังอาคารหลังนั้นแวบหนึ่ง แล้วพูด “พวกเขาอยู่ในโรงแรมนี้แหละ พ่อครับ พวกเราขึ้นไปกันเถอะ”
“ลูกพ่อ แก…แกคิดว่า พวกเราควรแจ้งตำรวจดีไหม?”
กำลังจะเจอตัวพ่อค้าฮ่องกงสกุลเปาคนนั้นอยู่แล้ว แต่เยี่ยตงผิงกลับบ่นพึมพำขึ้นมา หลายปีมานี้เขาทำธุรกิจใช้วิธีหลบเลี่ยงภาษีไปไม่น้อย แต่หากพูดโดยรวมแล้วก็ยังเป็นพลเมืองดีที่เคารพกฎหมายบ้านเมืองคนหนึ่ง
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยตงผิงแล้ว หูหงเต๋อที่นั่งอยู่ด้านหลังก็อดหัวเราะขึ้นไม่ได้ กล่าวว่า “น้องตงผิง ยุทธภพก็มีกฎของยุทธภพ น้องเดินตามก็พอแล้ว เรื่องนี้ปล่อยให้พวกเราจัดการเอง!”
คนในยุทธภพจัดการเรื่องราวในยุทธภพ ไม่ว่าจะเป็นสมัยก่อนปฏิรูปเศรษฐกิจหรือยุคปัจจุบัน ข้อห้ามสำคัญที่สุดในยุทธภพก็คือห้ามติดต่อทางการ
โดยปกติพอเกิดเรื่องก็จัดการด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นต่อให้มีกฎเกณฑ์ก็อาจกลายเป็นไร้กฎเกณฑ์ได้ การจัดการแบบนี้หูหงเต๋อยังมีประสบการณ์มากกว่าเยี่ยตงผิงเยอะ
“ได้ ผมจะฟังพี่หูครับ!”
แม้เยี่ยตงผิงไม่เข้าใจกฎเกณฑ์นี้ แต่เขาก็รู้ว่า หากแจ้งความแล้วจะจัดการเรื่องราวได้ยากเย็นกว่าจัดการด้วยตัวเองมาก อีกทั้งหากเป็นอย่างนี้แล้ว เรื่องที่เขาตาลายซื้อของย้อมแมวมาสามสิบล้านก็จะปิดไว้ไม่อยู่
“เหล่าหู อยู่ชั้นเก้าครับ พวกเราจะเข้าไปก่อน พอผ่านไปสักสามนาทีแล้วคุณกับโจวเซี่ยวเทียนค่อยตามขึ้นไป!”
เยี่ยเทียนหันไปตกลงกับหูหงเต๋อ จากนั้นก็หยิบเอาคลิบหนีบกระดาษออกมาถือไว้ในมือ ดึงพ่อลงจากรถแล้วขึ้นลิฟท์ของโรงแรมไปยังชั้นเก้า
เมื่อรอสักสามสี่นาทีแล้ว หูหงเต๋อกับโจวเซี่ยวเทียนอีกสองคนก็ตามหลังขึ้นมาถึงชั้นเก้า จากนั้นเยี่ยเทียนจึงตรงไปยังหน้าประตูของห้องหนึ่ง
“หืม ทำไมถึงมีสี่คนอยู่ข้างในล่ะ?”
ด้วยระยะใกล้เพียงเท่านี้ เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสถึงการขับเคลื่อนพลังชี่ของคนด้านในได้อย่างชัดเจน แต่นอกจากการขับเคลื่อนพลังชี่ของสองคนที่ปะปนอยู่บนธนบัตรแล้ว ดูเหมือนยังมีคนอื่นอีกสองคนอยู่ข้างใน
“เยี่ยเทียน อยู่ข้างในนี้เองหรือ?” หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนหยุดฝีเท้า เดินมาถึงหน้าประตูก็ยกขาขึ้น คิดจะถีบประตูให้เปิดออก
“เหล่าหู ถีบประตูพังแล้วไม่ต้องชดใช้กันหรือไง?” เยี่ยเทียนรั้งหูหงเต๋อไว้ ยืดคลิบหนีบกระดาษในมือออกเป็นเส้นตรง แล้วแยงเข้าไปในรูของประตู
งานฝีมือชนิดนี้เยี่ยเทียนเรียนรู้มาจากจอมโจรที่ชางโจวตอนที่ติดตามหลี่ซั่นหยวนท่องเที่ยวในยุทธภพ โชคดีที่ประตูนี้ไม่เป็นแบบใช้บัตรอย่างโรงแรมในฮ่องกง
หลังจากหนึ่งนาทีผ่านไป เยี่ยเทียนก็วางมือลงบนมือจับประตู หมุนเบาๆ ประตูที่ล็อกจากด้านในตอนแรกก็ถูกผลักออก
เพียงแต่พอประตูบานนี้เปิดออก เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้ว เพราะว่ามีกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนโชยออกมาจากภายในห้อง แต่ละคนต่างทยอยเข้ามาในห้องทีละคน โจวเซี่ยวเทียนที่เดินรั้งท้ายก็ปิดบานประตูลง
“ให้ตาย นี่…นี่ทำอะไรกันน่ะ?”
นี่คือห้องเตียงคู่ทั่วไป เมื่อเดินเข้ามาในห้องเพียงสองก้าวก็สามารถมองเห็นเตียง แต่เหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนนั้น กลับล้ำเกินกว่าที่เขาจินตนาการ
บนผ้าปูเตียงสีขาวโพลนทั้งสองผืน เวลานี้มีหญิงชายเปลือยกายล่อนจ้อนเกี่ยวกระหวัดกันอยู่ด้านบน เสียงของเนื้อหนังที่กระทบกันและเสียงหายใจหอบอันหนักหน่วง อัดแน่นกระจายไปทั่วห้อง
กิจกรรมโรมรันบนเตียงดูท่ากำลังถึงจังหวะสำคัญ จนหญิงชายทั้งสองคู่นั้นไม่ทันสังเกตว่ามีคนเพิ่มสี่คนอยู่กลางห้อง!
เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนต่างเป็นเด็กหนุ่มแรกรุ่นที่ยังไม่เคยกับเรื่องอย่างนี้ มีหรือจะเคยเห็นภาพแบบนี้? เยี่ยเทียนจำต้องเบือนหน้าหนี กล่าวว่า “เหล่าหู คุณจัดการเถอะครับ ทำให้ผู้หญิงสลบ แล้วเหลือผู้ชายไว้!”
เสียงของเยี่ยเทียนแม้ไม่ดัง แต่ก็ยังทำให้แต่ละคนที่อยู่บนเตียงตกใจ สองคนที่อยู่ด้านบนนั้นยังไม่ทันจะหันหน้ามา ก็ถูกหูหงเต๋อจับคอโยนลงบนพื้น
ส่วนหญิงสาวสองคนที่นอนอยู่ ถูกกดจุดที่ลำคอทีละคน จนสลบไสลไม่ได้สติ เยี่ยเทียนและลูกศิษย์สองคนมองไปที่ร่างขาวราวหิมะอย่างตกตะลึง
สุดท้ายเยี่ยตงผิงอาบน้ำร้อนมาก่อน จึงรีบดึงผ้าปูมาคลุมร่างหญิงสาวสองคนนั้น ตอนที่หันหน้ามา มองไปยังคนบนพื้นที่ยังไม่ฟื้นสติกลับมา ดวงตาก็พลันแดงก่ำ
เวลานี้เยี่ยตงผิงไม่ใช่บัณฑิตผู้อ่อนแอในอดีตคนนั้นอีกแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าฟาดมือลงไป ปากด่าว่า “ไอ้คนแซ่เปา ไม่คิดว่าเยี่ยตงผิงอย่างฉันจะมาหาใช่ไหม?”
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น