ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 443-444

ตอนที่ 443 หากสูญเสียฮองเฮา ก็ไม่ต่าง...

 

 


 


 


จีเฉวียนตรัสเรื่องทั้งหมดออกมาในคราวเดียว ทำให้ฉางซุนอิงต้องกลืนคำพูดที่มาถึงลำคอลงไป 


 


 


พักใหญ่ค่อยได้ยินนางถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ส่ายศีรษะกล่าวว่า “แต่ว่าวันนั้น…..ที่ข้าปรากฏตัว และจูบท่าน ท่านไม่ได้ปฏิเสธ” 


 


 


ทันใดนั้นในใจของนางก็หล่นวูบ “ท่านจงใจใช่ไหม?” 


 


 


จงใจทดสอบนาง….จงใจแสดงว่าความสัมพันธ์ของพระองค์กับฉางซุนอิง ‘ผูกพันลึกล้ำ’ 


 


 


นับตั้งแต่ที่นางจูบพระองค์ จีเฉวียนก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่ฉางซุนอิง 


 


 


ที่แท้แล้วตั้งแต่แรกเริ่ม พระองค์ก็ใช้วิธีแผนซ้อนแผนมาโดยตลอด….. 


 


 


ท่านประมุขมีคำสั่งให้นางทำลายแคว้นของเขา ทำร้ายร่างกายของเขา ให้เขาต้องเจ็บปวดทรมานอย่างไม่มีทางพลิกฟื้นขึ้นมาได้อีก  


 


 


นางคิดว่าตนเองสามารถทำลายแคว้นของเขาไปทีละก้าวทีละก้าว…แต่ว่าพอถึงสุดท้ายแล้วจึงได้พบว่า ที่แท้นางถูกหลอกใช้มาตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


นางคิดว่าตนเองทำได้อย่างแนบเนียนราวผืนฟ้าไร้ตะเข็บ แต่กลับไม่รู้เลยว่าตนเองตกลงไปในหลุมพรางของผู้อื่น ราวกับตัวละครที่ถูกผู้อื่นชักไปมา 


 


 


คนผู้นี้…..ที่จริงแล้วจิตใจลุ่มลึกเพียงใดกันแน่ถึงได้กระทำการได้อย่างเยือกเย็นถึงเพียงนี้ ค่อยๆรวบแหอย่างช้าๆ ทำให้ตัวหมากอย่างนางกลายเป็นหมากในมือของเขา 


 


 


นางไม่กล้าคาดคิด….. 


 


 


นางเงยหน้าขึ้นมองดูพระศอของจีเฉวียน ตรงที่นางเคยจุมพิต ตอนนี้กลายเป็นบาดแผลใหม่อีกครั้ง ราวกับว่ามันถูกเฉือนเอาเนื้อหนังออกไป 


 


 


หัวใจของนางเย็นวาบลงไปในทันที 


 


 


คนผู้นี้ช่างแสดงได้เก่งเกินไปแล้ว ดีขนาดถึงขั้นที่ว่าช่วงเวลาที่เขา ‘โปรดปราน’ นางอยู่นั้น แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกยิ้มกริ่มยินดีปรีดาอยู่ในใจ นึกว่าทุกสิ่งล้วนเป็น ‘เรื่องจริง’ 


 


 


ตอนที่นางจุมพิตที่ลำคอตอนนั้น เป็นเรื่องที่ทำผิดพลาดที่สุดในชีวิตแล้ว 


 


 


ดวงเนตรของจีเฉวียนเป็นประกายเย็นชา ความเย็นยะเยือกเช่นนี้ยามที่กวาดผ่านร่างของฉางซุนอิงเพียงผ่านๆกลับนำกลิ่นอายโลหิตกำจายออกมา 


 


 


“ตอนนี้ ถึงเวลาต้องรับผิดชอบแล้ว” 


 


 


เพียงประโยคเดียวของเขา ก็ทำเอาเหน็บหนาวขึ้นมาทันที 


 


 


“ท่านคิดจะทำอะไร?” นางถามออกไป “ฆ่าข้ารึ?” 


 


 


จีเฉวียนแย้มสรวลอย่างเย็นชา พึ่งจะสิ้นเสียง ที่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรพลันปรากฏนักพรตที่ดูบริสุทธิ์งดงามกลุ่มหนึ่ง 


 


 


พวกเขาสวมใส่ชุดยาวสีเขียวแบบเดียวกัน ผู้นำเป็นนักพรตชราเคราขาวผู้หนึ่ง 


 


 


“โอ้ เง็กเซียนบนสวรรค์…” พอเข้ามาในห้องทรงพระอักษร เจ้าอารามเทียนเก๋อกวนอู๋ซื่อค่อยเอ่ยคำติดปากออกมา 


 


 


งานนี้ที่จริงสมควรมอบหมายให้กับอู๋เจิน แต่ว่าเขายังติดภารกิจชำระวิญญาณผู้ตายทั้งหลายอยู่ที่ภูเขาฝูซางเมืองกู่เย่ว ตอนนี้จึงไม่อาจกลับมาได้ 


 


 


ได้แต่ต้องให้เขาลงมือด้วยตนเอง 


 


 


“เราต้องการรู้ความลับในร่างของนางทั้งหมด ภายในหนึ่งวัน” จีเฉวียนตรัสเพียงประโยคเดียวด้วยน้ำเสียงเย็นชา 


 


 


หลังจากนั้นก็เห็นท่านเจ้าอารามผงกศีรษะ ดวงตาชราทั้งคู่ของเขาก็ทอแสงเย็นวาบออกมาเช่นกัน 


 


 


เป็นเพราะสตรีผู้นี้ ทำให้อารามเทียนเก๋อกวนของพวกเขาต้องสูญเสียท่านเซียนอย่างไทเฮาน้อยไป 


 


 


ผลกรรมนี้ ย่อมต้องค่อยๆทวงคืนมาจากร่างของนาง! 


 


 


‘ฉางซุนอิง’ ถูกจับตัวไว้ ดวงตาทั้งสองของนางแดงก่ำดุจเลือด 


 


 


จดจ้องจีเฉวียนอย่างเ**้ยมเกรียม พลางตะโกนออกไปว่า “ท่านกับตู๋กูซิงหลันย่อมต้องไม่มีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน! หนี้ที่บรรพบุรุษตระกูลจีติดค้าง ย่อมต้องทวงคืนจากลูกหลานอย่างพวกเจ้า!” 


 


 


“จีเฉวียน เจ้าจะต้องโดดเดี่ยวไปจนชั่วชีวิต!” 


 


 


จีเฉวียนไม่สนใจนางอีก ปล่อยให้คนของอู๋ซื่อใช้เวทย์จัดการกับนาง นำตัวนางออกไป 


 


 


หนี้ที่บรรพบุรุษตระกูลจีติดค้าง…… 


 


 


ท่านปู่ติดค้างหนี้เลือดไว้มากมาย ก่อตั้งแคว้นแคว้นหนึ่ง มือของเขาย่อมมีแต่กลิ่นคาวโลหิต 


 


 


หนี้ที่หนักหนาที่สุด ย่อมเป็นจากแคว้นกู่เย่ว….. 


 


 


สิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนไม้ไผ่บนชั้นบนสุดของตำหนักเฟิ่งหมิง เขาได้อ่านอย่างชัดเจนจนจดจำได้ทั้งหมดแล้ว 


 


 


จีเฉวียนย่อมรู้เรื่องหนี้เลือดของแคว้นกู่เย่วดี 


 


 


……………… 


 


 


 


 


 


พอถึงยามค่ำ อู๋ซื่อก็ใช่เสียงส่งข่าวกลับมาว่า “ฟ่านอิง ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน” 


 


 


เพียงไม่กี่คำสั้นๆก็ทำให้ความสงสัยที่รุมเร้าจีเฉวียนมาเนิ่มนานคลี่คลายลงจนหมดสิ้น สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ถูกร้อยเรียงด้วยเชือกเส้นเดียว 


 


 


ฟ่านอิง…….ว่าที่สามีที่มิได้อภิเษกกับเจียงเย่ว ผู้ที่ตกตายใต้คมดาบของท่านปู่จีจ้านในวันแต่งงาน 


 


 


หรือบางที…..เขาอาจจะไม่ตาย หรือไม่ก็ ใช้วิธีการอย่างไรอย่างหนึ่งในการกลับมา ซุ่มซ่อนอยู่ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 


 


 


มิว่าจะเป็นทางใด ขอเพียงเขายังอยู่ ย่อมต้องเกลียดชังราชวงศ์จีแห่งต้าโจวเข้ากระดูก คิดหาทุกหนทางมาล้างแค้น 


 


 


หมากของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนทุกตัวย่อมต้องถูกลงคาถาปิดวาจา แต่ว่า ‘ฉางซุนอิง’ ออกจะพิเศษออกไป ร่างของนางกำเนิดจากดินเหนือสุสานของฉางซุนอิง จึง ‘ตาย’แต่แรกแล้ว แต่ว่าอู๋ซื่อกลับยังมีหนทางล้วงหาคำตอบจากร่างของนางออกมาได้ 


 


 


ดังนั้น ‘ฉางซุนอิง’ จึงเป็นตัวหมากที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนตระเตรียมเอาไว้แต่แรกแล้ว ทั้งยังถูกส่งออกมาในยามสำคัญคิดจะจัดการเขาให้ถึงฆาต 


 


 


สิ่งที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต้องการมิใช่ชีวิตของเขา แต่ต้องการให้เขาทุกข์ทรมานอย่างไม่อาจฟื้นฟูได้ไปตลอดชีวิต 


 


 


ทั้งยังต้องการให้แคว้นต้าโจวเกิดความวุ่นวายราวแดนนรก….. 


 


 


เพียงแต่ว่าจีเฉวียนออกจะรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้อยู่บ้าง ในเมื่อฟ่านอิงเกลียดชังลูกหลานราชวงศ์จี ไยจึงไม่ลงมือด้วยตนเอง 


 


 


หากแต่ใช้วิธีลอบส่งตัวหมากลับๆมาทีละตัวๆ ช่างยุ่งยากนัก 


 


 


อืม…..อย่างน้อยหากจีเฉวียนต้องการจะล้างแค้นคนผู้หนึ่ง ย่อมไม่ใช้วิธีที่อ้อมค้อมไปมาเช่นนี้ 


 


 


หากว่ามีแค้น….เขาคงจัดการตรงๆแต่แรกไปแล้ว 


 


 


‘ฉางซุนอิง’ ตายแล้ว…หากบอกให้ถูกต้องหน่อยย่อมต้องเป็นว่าร่างที่กำเนิดจากดินสุสานและเหง้าบัวนั่นตายไปแล้ว 


 


 


วิญญาณที่อยู่ภายในร่างนั้น ไม่มีผู้ใดได้เห็นอย่างชัดเจน เห็นเพียงแต่กลุ่มควันที่แดงดั่งสีเลือด สลายไปจาก ‘ร่างกาย’ ที่กลายเป็นผุยผง จนไม่หลงเหลือสิ่งใดทั้งสิ้น 


 


 


เมื่อถูกอู๋ซื่อใช้ฝีมือต่างๆล้วงคำพูดออกมา ‘ร่างกาย’ นั้นย่อมไม่อาจทนรับได้ แม้แต่วิญญาณที่สิงสถิตอยู่ ‘ในร่าง’ ก็ยังต้องบอบช้ำอย่างหนัก 


 


 


ในมุมมืด จีเฉวียนจับจ้อง ‘สีแดง’ ที่สลายตัวไป ดวงเนตรหงส์มีแต่ความเย็นยะเยือก 


 


 


“ฝ่าบาท” ท่ามกลางสายลมที่เหน็บหนาว ก็เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง คุกเข่าให้กับจีเฉวียนด้วยความเคารพนอบน้อม 


 


 


เป็นหลงเซียว 


 


 


หลังจากที่ติดตามฝ่าบาทไปยังก้นทะเล เขาก็ได้กลับมายังต้าโจวก่อนก้าวหนึ่ง 


 


 


“ตอนนี้ค้นพบปากทางเข้าสู่ก้นทะเลลึกแล้วพะยะค่ะ” หลงเซียวรายงาน 


 


 


“ปล่อยสัตว์อสูรพิทักษ์แคว้นออกมา” ยามที่ตรัสประโยคนั้น สีพระพักตร์ของจีเฉวียนมีแต่ความสงบนิ่ง 


 


 


“ฝ่าบาท…สัตว์อสูรพิทักษ์แคว้นหากไม่ถึงยามแคว้นใกล้ดับสูญไม่สมควรเรียกใช้สอยมิใช่หรือพะยะค่ะ?” 


 


 


“หากสูญเสียฮองเฮาไป จะต่างอะไรกับการสิ้นแคว้น” 


 


 


ประโยคเดียงของจีเฉวียน ทำเอาหลงเซียวต้องหุบปากลงไป แต่ว่าในใจของเขาก็ยังคงถกเถียง แคว้นต้าโจวมีฮองเฮาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? 


 


 


นี่เขาความจำเสื่อมไปแล้วหรืออย่างไร? 


 


 


ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสว่า “คำสั่งเสียของเราเรียบเรียงไว้เรียบร้อยแล้ว ซ่อนอยู่หลังป้ายในท้องพระโรง หากว่าไม่อาจกลับมา ถึงตอนนั้นเจ้าก็เอาออกมาประกาศออกไป….” 


 


 


ประโยคนี้ ทำเอาหลงเซียวเกือบจะถึงขั้นตกใจตาย 


 


 


คำสั่งเสีย? ฝ่าบาทยังทรงหนุ่มแน่นแข็งแกร่งดุจพยัคฆ์ดุจมังกร อยู่ดีๆจะสวรรคตได้อย่างไร…. 


 


 


แต่พอคิดถึงก้นทะเลลึกขึ้นมา หลงเซียวก็เข้าใจได้ในทันที ที่นั่นมีภยันตรายมากมายมหาศาล …..คือท้องที่ของเผ่ามังกรทมิฬที่ถูกกล่าวขานในตำนาน ต่อให้ฝ่าบาทแข็งแกร่งเพียงไร จะอย่างไรยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดามิใช่หรือ? 


 


 


โอกาสที่จะเกิดความพลาดพลั้งได้ย่อมมีอยู่มากมาย 


 


 


“ฝ่าบาท …..” หลงเซียงคิดจะทูลทัดทานพระองค์ แต่ว่าคำพูดพอมาถึงปากก็ถูกสายตาที่กวาดมาของจีเฉวียนกวาดกลับลงไป 


 


 


หลงเซียวจึงได้แต่กลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปในท้อง 


 


 


ถึงต้องไปตายพระองค์ก็ยังจะทรงเสด็จไป….ทั้งยังนำพาสัตว์อสูรพิทักษ์แคว้นไปด้วย 


 


 


เพื่อไทเฮาน้อย……ฝ่าบาททรงรักไทเฮาน้อยอย่างลึกล้ำถึงกระดูก ยินยอมละทิ้งแผ่นดินที่ทรงสร้างมาตลอดสิบปี ยินยอมเสี่ยงตายแว่นแคว้นดับสูญ ก็จะต้องไปช่วยนาง 


 


 


เรื่องของความรักนั้น มีผู้ใดจะสามารถอธิบายได้ชัดเจนบ้างเล่า? 

 

 

 


ตอนที่ 444 สตรีอื่นหรือจะอยู่ในสายตา?

 

 


 


 


คนเช่นฝ่าบาทของพวกเขา ผู้คนใต้หล้าต่างก็บอกว่าพระองค์เป็นมนุษย์ที่ไร้หัวใจ…แต่กลับไม่รู้ว่า มิใช่ไร้หัวใจ หากแต่เป็นเพราะไม่เคยได้พบผู้ที่สามารถทำให้พระองค์หวั่นไหวพระทัยได้มาก่อนต่างหาก 


 


 


พอหวั่นไหวขึ้นมา ความรักก็ลึกล้ำ เป็นจริงเป็นจังจนไม่อาจยับยั้งได้ 


 


 


…………………… 


 


 


ก้นทะเลลึก เผ่ามังกรทมิฬ 


 


 


เหนือหุบเหวไร้ก้น สายลมหนาวพัดกรู 


 


 


ราชินีหวาชางสุ่ยทรงมีบัญชาปิดเขตหุบเหวไร้ก้นมากว่าครึ่งเดือนแล้ว 


 


 


ตลอดครึ่งเดือนมานี้ เหนือหุบเหวไร้ก้นไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น ราวกับว่าคนสองคนที่ตกลงไปได้ตายกลายเป็นซากไปแล้ว 


 


 


ตอนแรกๆนั้น เหล่าทหารที่เฝ้าอยู่ริมหุบเหวต่างก็เฝ้ายามกันอย่างระมัดระวัง ทันทีที่มีสายลมพัดต้นหญ้าขยับ ก็เป็นต้องตื่นตระหนกเป็นกระต่ายตื่นตูม 


 


 


แต่ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมากลับยังไม่มีแม้แต่ยุงสักตัวบินขึ้นมา เหล่าทหารเฝ้ายามต่างก็พากันวางใจแล้ว 


 


 


วันนี้ ในวังครึกครื้นอย่างยิ่ง 


 


 


ก่อนหน้านี้องค์ไท่จื่อเกือบจะทรงกระทำผิดพลาดเสียแล้ว คว้าเอามนุษย์ผู้หนึ่งมาเป็นอนุ ช่างบังเอิญนัก ที่องค์หญิงจากทะเลตะวันตกถูกจับส่งตัวมาพอดี 


 


 


หึหึ….ถึงแม้จะบอกว่านางรูปโฉมไม่ได้งดงามจนสะท้านฟ้าสะเทือนดินเหมือนดั่งสตรีชาวมนุษย์ผู้นั้น แต่ว่าอย่างน้อยๆก็เป็นยอดโฉมสคราญผู้หนึ่ง 


 


 


โดยเฉพาะเส้นผมสีแดงเพลิง และดวงตาสีแดงคู่นั้น ช่างหาได้ยากในใต้หล้าแล้ว 


 


 


ที่สำคัญที่สุดก็คือ องค์หญิงจากทะเลตะวันตกผู้นี้คือผู้ที่มีร่างแท้เป็นมังกรทอง แต่ว่าที่น่าเสียดายก็คือนางถูกถอดกระดูกมังกรไปเสียแล้ว 


 


 


แต่ว่านั่นก็ไม่เป็นไร….ขอให้แก่นแท้ยังเป็นมังกรทองก็พอ อย่างไรเสียก็ยังสามารถคลอดบุตรได้ 


 


 


แต่ได้ยินมาว่า พวกที่ถูกจับมาพร้อมๆกับองค์หญิง ยังมีบุรุษชาวมนุษย์ผู้หนึ่ง และก็ยังมีสุนัขป่าและไก่อีกตัว 


 


 


เจ้าเผ่ามนุษย์ผู้นั้นยังปากมากเป็นพิเศษ …..พูดมากเสียจนแม้แต่พวกที่เฝ้าดูเขายังทนไม่ได้ จนต้องหาเข็มมาเย็บปากของเขาเอาไว้ 


 


 


วันนี้ช่างเป็นฤกษ์งามยามดี ไท่จื่อจะทรงรับนางเป็นอนุ ก่อนหน้านี้เพราะถูกมนุษย์สองคนนั้นก่อกวนจนวุ่นวาย สิ่งของที่พังทลายภายในวังหลายวันนี้ก็พึ่งจะเก็บกวาดจนเสร็จสิ้น ในที่สุดก็เรียบร้อยลงแล้ว 


 


 


ฝ่าบาทจะทรงรับอนุ ทั่วทั้งวังเพิ่มพูนกลิ่นอายมงคล รอคอยจะได้ดื่มสุรามงคลที่ไท่จื่อทรงประทาน 


 


 


…………………… 


 


 


ตำหนักไท่จื่อ ผ้าสีแดงถูกปูลงบนเตียง 


 


 


ทั้งพรม และหน้าต่าง ก็ล้วนแต่เป็นสีแดง 


 


 


ไข่มุกที่วางประดับเอาไว้แต่ละมุมต่างส่องประกายออกมา 


 


 


ทั้งๆที่เป็นการรับอนุ แต่ว่ากลับตกแต่งราวกับเป็นงามอภิเษกใหญ่โต 


 


 


ไท่จื่อเยี่ยเฉินประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่ นัยตาจับจ้องอยู่ที่สีแดงเหล่านั้น นับตั้งแต่ที่เขาได้เห็นตู๋กูซิงหลัน สายตาของเขาก็มองไม่เห็นหญิงอื่นอีกต่อไปแล้ว 


 


 


ถึงแม้ว่าจะเป็นองค์หญิงทะเลตะวันตกที่จับมาได้ในภายหลัง เขาก็ได้เห็นแล้ว นางงดงามอย่างโดดเด่น ถือว่าเลิศล้ำกว่าใครในบรรดาอนุสองร้อยกว่าคนของเขา 


 


 


หากว่าเขาไม่เคยได้พบตู๋กูซิงหลันมาก่อน องค์หญิงทะเลตะวันตกผู้นี้จะต้องเป็นอนุที่เขาโปรดปรานที่สุดอย่างแน่นอน 


 


 


แต่ว่าเมื่อได้พบกับของที่สุดยอดไปแล้ว สตรีอื่นยังจะอยู่ในสายตาอีกได้อย่างไรกัน? 


 


 


ตอนนี้เยี่ยเฉินย่อมตกอยู่ในสภาพเช่นนี้…หากจะบอกว่าชอบตู๋กูซิงหลันมากมาย ก็ไม่ใช่ 


 


 


เขาเพียงแต่ปรารถนาสตรีผู้นั้น ต้องการจะได้สตรีผู้นั้นมาไว้ในครอบครองก็เท่านั้น 


 


 


สิ่งที่ไม่อาจได้มาก็ยิ่งครุ่นคิดถึง ช่วงก่อนหน้านี้เขายังมักจะไปที่ริมหุบเหวอยู่บ่อยๆ คิดไปว่าแม้นางจะกระโดดลงไป แต่บางทีอาจจะยังไม่ตายก็ได้กระมัง? 


 


 


ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้นี้แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยก็ตาม…. 


 


 


“พี่ชาย วันนี้เป็นวันมหามงคล ท่านไม่ควรทำหน้าขมวดคิ้วเคร่งเครียด” ในตอนนั้นเอง เยี่ยอิงก็เดินเข้ามา 


 


 


นางยังคงสวมใส่ชุดกระโปรงสีครามเหมือนดั่งเช่นเคย คนดูสูงโปร่งงามระหง รัดเกล้าสีฟ้าและเงินยวงเปล่งประกายระยิบระยับ ทำให้ใบหน้าของนางดูกระจ่างงดงามดึงดูดผู้คน 


 


 


ในตำหนักมีแต่เพียงนางกำนัลรับใช้ไม่กี่คนเท่านั้น พอเห็นว่าเยี่ยอิงเข้ามา ต่างก็พากันถอยออกไป 


 


 


ในมือของเยี่ยอิงยังถือชุดแต่งงานเอาไว้ชุดหนึ่ง สีแดงบาดตา 


 


 


พอนางพึ่งจะเดิมมาถึงเบื้องหน้าของเยี่ยเฉิน เยี่ยเฉินก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ ดึงนางเข้าหาตนเอง จนเยี่ยอิงล้มลงในอ้อมกอดของตนเอง  


 


 


ชุดแต่งงานในมือหล่นลงไปบนพื้นดังตุ๊บ ราวกับปูพื้นห้องด้วยเลือด 


 


 


เยี่ยเฉินพลิกมือสวมกอดเยี่ยอิงเอาไว้ ดวงตาของเขาจดจ้องอยู่ที่ดวงตาดอกท้อสีครามคู่นั้น 


 


 


หากว่าดวงตาคู่นี้เป็นสีดำขลับละก็ จะยิ่งเหมือนกับตู๋กูซิงหลันอย่างที่สุด 


 


 


“พี่ชาย” เยี่ยอิงเองก็จดจ้องไปที่เขา “วันนี้เป็นวันที่ท่านจะรับอนุ พวกเราทำเช่นนี้….ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่” 


 


 


ถึงแม้ว่าจะพูดไปเช่นนั้น แต่นางก็ไม่ได้ผลักตัวออกจากเยี่ยเฉิน 


 


 


เยี่ยเฉินโน้มร่างลงมา ขบเบาๆบนริมฝีปากของนาง “เสี่ยวอิง เจ้าก็รู้ดี ไม่ว่าพี่ชายจะรับอนุมามากมายเพียงไร ก็ชอบแต่เจ้ามากที่สุด” 


 


 


ดวงหน้าของเยี่ยอิงแดงก่ำ นางหลุบตาลง ขนตาสั่นน้อยๆ ข้างแก้มกลายเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมา 


 


 


นางสูญเสียมือไปข้างหนึ่ง ตอนนี้จึงใส่มือปลอมเอาไว้ บนมือยังสวมถุงมือลูกไม้สีดำ 


 


 


แขนเสื้อของนางเลื่อนไหลลงมาเปิดเผยเรียวแขนที่ขาวละเอียด บนข้อมือสะอาดสะอ้านไร้รอยตำหนิ แต้มพรหมจรรย์ที่สมควรจะมีอยู่เลือนหายไปเนิ่นนานแล้ว 


 


 


ครั้งแรกนั้น คือวันที่นางพ้นวัยเด็กก้าวสู่วัยสาว ก็เป็นฝ่ายมอบกายถวายให้กับพี่ชาย 


 


 


นางชอบพี่ชาย ชอบมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว ชอบอย่างสุดจิตสุดใจ! 


 


 


พระบิดา และพระมารดาไม่ค่อยมีพระทัยต่อกัน ตั้งแต่เล็กๆก็ไม่มีผู้ใดสนใจใยดีนาง ตั้งแต่นางยังเป็นเพียงไข่มังกรใบหนึ่งก็มีแต่พี่ชายเท่านั้นที่คอยดูแลเอาใจใส่ 


 


 


พี่ชายเป็นทั้งบิดาและมารดา เลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ โลกของนางก็คือพี่ชาย 


 


 


พี่ชายคือท้องฟ้าของนาง คือพื้นดินของนาง 


 


 


นางยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อพี่ชาย 


 


 


ตลอดหลายปีมานี้ นางกับพี่ชายก็รักษาสถานะต่อกันเช่นนี้มาตลอด…..เพราะนางเป็นน้องสาวแท้ๆของเขา ดังนั้นนางชั่วชีวิตนี้จึงไม่อาจแต่งเป็นภรรยาของเขาได้ 


 


 


ยิ่งไม่อาจคลอดบุตรให้กับเขา 


 


 


แต่ว่านั่นก็ไม่เป็นไร….ขอเพียงในใจของพี่ชายมีนางเป็นสตรีที่สำคัญที่สุดก็เพียงพอแล้ว 


 


 


ดูสิ หลายปีมานี้ ที่เขาไม่เคยแต่งตั้งไท่จื่อเฟย ก็เพราะว่าในใจของเขา ไท่จื่อเฟยของเขาก็คือนาง  


 


 


ดังนั้นเขาจึงรับแต่อนุ ไม่แต่งตั้งสนม 


 


 


แม้แต่เหล่าอนุของเขา….แต่ละคนต่างก็ต้องผ่านสายตาของนางก่อนจึงจะได้เข้าวังมา 


 


 


หลายปีมานี้ พี่ชายรับอนุมาแล้วสองร้อยกว่าคน แต่ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ในตอนนี้กลับมีไม่ถึงสิบคน 


 


 


พวกที่ตายๆไปนั้น บางก็เป็นเพราะว่าคลอดบุตรยาก บ้างก็ตายเพราะทำให้พี่ชายไม่พอพระทัย แต่ส่วนมากแล้วจะตายด้วยฝีมือของนางเอง 


 


 


ใครใช้ให้พวกมันไม่รู้จักส่องดูตัวเอง คิดว่าเป็นอนุของไท่จื่อแล้ว จะสามารถปีนป่ายขึ้นมาได้หรือ? 


 


 


ไม่รู้หรือว่า ทุกคืนใครจะได้ถวายตัวให้พี่ชายนั้น ต้องให้นางอนุญาตก่อน? 


 


 


พวกที่ไม่รู้จักเชื่อฟัง พวกที่คิดเหิมเกริมไปไกลเหล่านั้น สุดท้ายย่อมถูกนางโยนทิ้งลงไปในหุบเหวไร้ก้นน่ะสิ…. พี่ชายเองก็ทราบ ทั้งยังชมว่านางทำได้ดี 


 


 


พวกสตรีโลภมากที่ปรารถนาในสิ่งที่มิใช่ของนาง สมควรตายอย่างไร้ที่กลบฝัง 


 


 


พอได้ฟังเยี่ยเฉินพูดเช่นนั้นออกมา เยี่ยอิงก็พอใจอย่างที่สุด 


 


 


นางยื่นมือออกไป โอบรอบคอของเยี่ยเฉินเอาไว้ ประทับริมฝีปากแดงใกล้กลีบปากล่างของเขา เอ่ยว่า “เสี่ยวอิงก็ชอบพี่ชายที่สุดแล้ว” 


 


 


เยี่ยเฉินก้มศีรษะลงมามองนาง ยิ่งทีก็ยิ่งรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้เหมือนกับดวงตาของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


และเพราะเขาเอาแต่เฝ้าครุ่นคิดคะนึงหามาหลายวัน …..จึงยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าของเยี่ยอิงกับตู๋กูซิงหลันนั้นยิ่งคล้ายคลึงกันขึ้นมา 


 


 


ชั่วขณะหนึ่ง เขาเหมือนกับว่าได้เห็นตู๋กูซิงหลันอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


หัวใจของเขาไหววูบ จูบลงไปอย่างดื่มด่ำในทันที ทั้งยังครอบครองนางอย่างหลงใหล 


 


 


“ซิงหลัน….ซิงหลัน….” ขณะที่ถลำลึกลงไปในรสเสน่หา เขาก็เอ่ยชื่อของตู๋กูซิงหลันออกมา 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)