หมอดูยอดอัจฉริยะ 442-445
ตอนที่ 442 เงื่อนไขสามข้อ (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้ว่าซ่งเฮ่าเทียนจะได้รับบริการบำรุงรักษาทางการแพทย์อย่างดีที่สุดในประเทศ แต่ถึงอย่างไรก็มีอายุแปดสิบปีแล้ว เมื่ออวัยวะภายในร่างกายเสื่อมถอยลง จึงทำให้สุขภาพของเขาย่ำแย่กว่าที่เคยเป็น
เดิมทีหากทำตามคำแนะนำของหมอที่ดูแลรักษา ซ่งเฮ่าเทียนอย่าหวังจะได้ดื่มเหล้าถ้วยนี้ลงท้อง แต่เพราะวันนี้ได้พบกับสหายสนิทเก่าแก่ที่คบหากันมากว่าครึ่งศตวรรษ เขาจึงปล่อยเลยตามเลย และยังเตรียมตัวเมามายอย่างเต็มที่
แต่ซ่งเฮ่าเทียนคิดไม่ถึงว่า หลังจากเหล้าหนึ่งถ้วยลงท้องไปแล้ว สมองของเขากลับแจ่มใสขึ้นอีกหลายส่วน ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นจุดที่แตกต่างไปในเรือนสี่ประสาน แม้ว่าภายนอกจะมีลมหนาวพัดหวีดหวิว แต่ทว่าภายในเรือนนั้นกลับอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ
“ฉันสร้างค่ายกลไว้ในบ้านหลังนี้ อากาศก็จะอุ่นกว่าข้างนอกสักหน่อย น้องเหวินซวน ฉันแก่กว่านายเกือบสิบปี แต่ไม่ได้ชราอย่างเห็นได้ชัดเหมือนนายหรอกนะ”
เมื่อได้ยินคำถามของซ่งเฮ่าเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็เหมาเป็นเรื่องของตัวเอง เขาอยู่ที่นี่ก็เพื่อคุ้มกันเยี่ยเทียน เนื่องจากบางครั้งคนหนุ่มมักชอบสำแดงความสามารถจนเกินไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนัก
“วิธีการของพี่หยวนหยางนั้นช่างลึกลับยากคาดเดา หากสามารถพักอยู่ที่นี่ไปนานๆ คงจะมีความสุขอย่างยิ่ง.……”
ด้วยสถานภาพของซ่งเฮ่าเทียน สำหรับเขาแล้วความลับบนโลกนั้นมีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด เขารู้ถึงการมีตัวตนของสำนักคาถาอาคม แต่ว่าหลายสิบปีที่ผ่านมารัฐบาลมีเจตนาแบ่งแยกทำลาย วงการสำนักคาถาอาคมจึงไม่รุ่งเรืองเฟื่องฟูเหมือนก่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจ
ดังนั้นซ่งเฮ่าเทียนจึงไม่นึกสงสัยใดๆ ในตัวโก่วซินเจีย เขารู้ว่าโก่วซินเจียเป็นผู้วิเศษในโลกยุคปัจจุบัน กระทั่งในอดีตคุณเจียงยังเคยพึ่งพาอาศัยเขามากมายหลายอย่าง ที่เขาสามารถสร้างค่ายกลได้อย่างนี้ จึงไม่รู้สึกประหลาดใจ
“พักอยู่ที่นี่ไปนานๆ เหรอ? ถ้าคุณไม่กลัวตายไว จะลองเข้ามาอยู่ดูไหมล่ะ?”
เมื่อสิ้นเสียงคำพูดของซ่งเฮ่าเทียน เสียงเย็นเยียบของเยี่ยเทียนก็ลอยตามมา ค่ายกลของเขาสามารถขจัดภัยรักษาโรคยืดอายุยืนนานได้จริง แต่หากบำรุงมากไปกลับช่วยเกื้อหนุนให้คนตายเร็วขึ้น
“เจ้า…เจ้าเด็กคนนี้…”
ซ่งเฮ่าเทียนจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออกกับคำพูดนี้ของเยี่ยเทียน ตัวเองช่างเป็นคุณตาที่ล้มเหลวจริง ถึงกับโดนหลานแท้ๆ แช่งให้ตาย หรือว่าเขาโดดเดี่ยวบนโลกนี้เสียแล้ว
แต่เมื่อคิดๆ ดู เหมือนว่านอกจากได้ชื่อว่าเป็นคุณตาแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดๆ กับเยี่ยเทียนอีกเลย
แม้ว่าเขาจะรู้ถึงการมีตัวตนของเยี่ยเทียนมานาน แต่เพราะเวลานั้นมัวแต่ยุ่งกับเรื่องของประเทศชาติ จึงไม่ได้นำมาใส่ใจ ตอนนี้เยี่ยเทียนมีท่าทีต่อเขาเช่นนี้ ทุกอย่างเป็นเพราะซ่งเฮ่าเทียนหาเรื่องเอง
เห็นท่าทีอย่างนี้ของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียเองก็ถอนใจ แล้วจึงพูดออกมาอย่างเหลืออด “เยี่ยเทียน คุณธรรมร้อยอย่างกตัญญูสำคัญที่สุด น้องเหวินซวนแม้มีหลายอย่างที่ผิด แต่ก็มีสาเหตุที่มาที่ไปของเรื่องราว เธอเองก็อย่าถือสาให้มากนัก มีเรื่องอะไรกันวันนี้เปิดใจคุยเสียให้หมด!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้ากล่าว “ศิษย์พี่คนให้กำเนิดผมคือแม่ คนเลี้ยงดูคือพ่อ แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ? “
พอคำพูดนี้ของเยี่ยเทียนหลุดออกมา สีหน้าของซ่งเฮ่าเทียนก็กระอักกระอ่วนขึ้น แม้ว่าชีวิตนี้ของเขาจะเคยตกต่ำ แต่ส่วนใหญ่แล้วมีสถานะสูงส่ง ยังไม่เคยถูกคนกล่าวโทษอย่างนี้มาก่อนเลย
โดยเฉพาะถูกหลานแท้ๆ ของตัวเองตำหนิต่อหน้า ยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดออกมาว่าอึดอัดใจแค่ไหน แต่คำกล่าวหาของเยี่ยเทียนล้วนเป็นความจริงทุกถ้อยคำ ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนยากจะเอ่ยคำพูดโต้เถียง
ซ่งเฮ่าเทียนถอนหายใจยาวหนึ่งเฮือก ถึงกับลุกขึ้นยืนโค้งให้เยี่ยเทียนหนึ่งที แล้วเอ่ยปากว่า “เยี่ยเทียน ในอดีตฉันทำผิดต่อพวกเธอสองคนพ่อลูก ฉันขอโทษเธอที่ตรงนี้ก็แล้วกัน!”
เขาเคยได้รับความร่ำรวยรุ่งเรืองในสังคมมนุษย์ อีกทั้งยังเคยไต่เต้าจนมีอำนาจถึงจุดสูงสุด แต่หลายเดือนมานี้หลังจากเกษียณซ่งเฮ่าเทียนจึงเข้าใจขึ้นมาก แม้ว่าจะไม่อาจเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปเมื่อในอดีต แต่ในใจก็รู้สึกละอายต่อเยี่ยเทียนอยู่หลายส่วน
อีกทั้งที่ซ่งเฮ่าเทียนน้อมตัวขออภัยเยี่ยเทียนโดยไม่เห็นแก่สถานะตัวเองนั้น ยังมีสาเหตุอื่น นั่นก็คือคำที่โก่วซินเจียพูดถึงเมื่อครู่ จึงกระตุ้นให้เขานึกอยากลบล้างความโกรธเคืองของเยี่ยเทียนให้หมดสิ้นไป
ความรุ่งเรืองของวงการสำนักคาถาอาคมในยุคก่อนปฏิรูปเศรษฐกิจ ซ่งเฮ่าเทียนก็เคยได้ทำความรู้จักกับสังคมนั้น จึงรู้ซึ้งว่าวิธีการของคนมีคาถาอาคมลึกลับแยบยล หากถูกคนเช่นนี้จดจำฝังใจ ไม่ว่าใครก็นอนหลับไม่เป็นสุข
เหมือนกับคำพูดของโก่วซินเจีย หากเยี่ยเทียนเกิดอารมณ์ร้อนวู่วามขึ้นมา ไปเล่นเล่ห์อะไรที่สุสานตระกูลซ่งสักอย่างเข้า มีหวังซ่งเฮ่าเทียนตายไปแล้วคงไม่มีหน้าไปพบรากเหง้าบรรพบุรุษอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าการโค้งคำนับของซ่งเฮ่าเทียนครั้งนี้ กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์ถึงกับหน้าถอดสี โดยเฉพาะโจวเซี่ยวเทียน ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าในชีวิตจะมีวันที่ได้เห็นภาพอันแปลกประหลาดอย่างนี้?
ซ่งเฮ่าเทียนเป็นคนใคร? คือหนึ่งในผู้นำสูงสุดซึ่งมีสิทธิ์ตัดสินใจแนวทางการพัฒนาของประเทศ หากนับกันในยุคสมัยโบราณ ไม่เป็นฮ่องเต้ก็ต้องเป็นขุนนางใหญ่ในห้องอาลักษณ์ เขาถึงกับก้มคำนับขออภัยเยี่ยเทียนเชียวหรือ? เรื่องนี้ถึงกับทำให้ความคิดของโจวเซี่ยวเทียนขัดข้องเลยทีเดียว
“อย่าเลยครับ ผมรับไม่ไหวหรอก!”
แม้เยี่ยเทียนจะอัดอั้นไปด้วยความโกรธ แต่ก็คาดไม่ถึงว่าซ่งเฮ่าเทียนจะแสดงท่าทางอย่างนี้ออกมา รีบเคลื่อนตัวหลบจากการคำนับของซ่งเฮ่าเทียน
ที่เยี่ยเทียนไม่รับน้ำใจครั้งนี้ แน่นอนว่ามีเหตุผลเรื่องสถานะของทั้งสองฝ่ายอยู่ภายใน แต่เขาเองก็ไม่อยากจะอภัยให้กับซ่งเฮ่าเทียนง่ายๆ อย่างนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นด้วยสถานภาพของซ่งเฮ่าเทียน ต่อให้โมโหเดือดดาลยิ่งกว่านี้ ก็คงลบล้างไปได้ด้วยการคำนับเพียงครั้งเดียว
“เยี่ยเทียน เธอต้องการให้ฉันทำยังไง ถึงจะยอมยกโทษให้ฉัน?”
เห็นเยี่ยเทียนปัดผ่านการคำนับนี้ ซ่งเฮ่าเทียนเองจะยิ้มเจื่อนไม่หยุด เขาอายุปูนนี้แล้ว ลดตัวต่ำถึงขั้นนี้ แต่เยี่ยเทียนกลับยังไม่ยอมยกโทษให้ตัวเอง
แต่ว่าซ่งเฮ่าเทียนไม่เคยคาดคิดว่าตนเองสร้างความเจ็บช้ำให้กับเยี่ยเทียนอย่างร้ายกาจ เขาทำให้เด็กคนหนึ่งต้องสูญเสียแม่ไปตั้งแต่จำความได้ สูญสิ้นความรักของแม่
เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่า เยี่ยเทียนวัยเด็กที่ดูเหมือนเข้มแข็ง เคยฝันเห็นภาพของแม่ในความฝันนับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาน้ำตาล้วนเปียกหมอนจนชุ่ม เรื่องนี้สำหรับเด็กแล้ว เป็นเรื่องสุดแสนโหดร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ความโกรธแค้นหลายต่อหลายปี คิดจะใช้คำพูดประโยคเดียวหรือการโค้งคำนับเพื่อลบล้างให้หมดสิ้น คงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งเมื่อเยี่ยเทียนเองก็ไม่ใช่คนใจกว้างอะไร ตลอดมาเขาเพียงยอมรับกฎภายในสำนักที่ว่าเมื่อคนมอบความเคารพเท่าหนึ่ง ย่อมตอบแทนกลับคืนเป็นสิบเท่า
“อดีตก่อเหตุอะไรไว้ วันนี้ได้รับผลเช่นนั้น คุณซ่ง สำหรับตัวผม ชีวิตนี้ไม่ขอข้องเกี่ยวใด ๆ กับคุณอีก”
เยี่ยเทียนส่ายหน้ากล่าวอย่างช้าๆ “ตระกูลซ่งของคุณจะมีอำนาจล้นฟ้าก็ดี จะร่ำรวยมหาศาลก็ช่าง แต่ไม่เกี่ยวกับผมแม้แต่นิดเดียว ส่วนเรื่องจะให้ผมอภัยให้คุณนั้น ไม่ต้องพูดอีกแล้ว!”
“เยี่ยเทียน ในอดีตที่ส่งเวยเวยไปต่างประเทศนั้น เป็นความผิดของฉันเอง เธอต้องการอะไรก็ขอให้พูดออกมาเถอะ”
ซ่งเฮ่าเทียนนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะเป็นคนดื้อรั้นถึงขนาดนี้ จึงถอนหายใจกล่าวว่า “ทรัพย์สินที่เวยเวยเคยก่อร่างสร้างเอาไว้ที่ต่างประเทศ ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลซ่งเท่าไหร่นัก เงินทองพวกนั้นให้เธอสืบทอดทั้งหมด แล้วตระกูลซ่งจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอีกต่อไป!”
หากเทียบกับการลบล้างความโกรธแค้นในใจของเยี่ยเทียน ทรัพย์สินจำนวนหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในเวลานี้ก็ไม่มีค่าอีกต่อไป ในอดีตซ่งเฮ่าเทียนเคยบริจาคอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลแก่ประเทศชาติเป็นจำนวนแสนล้าน จึงเห็นเงินทองเป็นแค่เพียงตัวเลขมานาน
อีกทั้งหลายปีมานี้ซ่งเฮ่าเทียนดูแลจัดการเศรษฐกิจภายในประเทศ และประเทศยิ่งใหญ่ที่มีประชากรนับพันล้านอย่างประเทศจีนนั้น อย่าว่าแต่หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเลย ต่อให้แสนล้านดอลลาร์สหรัฐก็ไม่อยู่ในสายตาเขา
“เงินเหรอ? ผมลืมไปเลย ว่าคนตระกูลซ่งชอบใช้เงินมาชั่งน้ำหนักกับความรู้สึก”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ “ตั้งแต่เล็กพ่อสอนผมว่าให้อาบเหงื่อของตัวเอง กินข้าวของตัวเอง เงินของคุณนายซ่งเป็นของเธอ ไม่เกี่ยวอะไรกับผมเช่นกัน!”
ด้วยความสามารถของเยี่ยเทียน อยากจะหาเงินนั้นง่ายเพียงแค่พลิกฝ่ามือ ทรัพย์สินวงศ์ตระกูลจะหมื่นล้านหรือแสนล้าน ความจริงแล้วก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ก็แค่มีเลขศูนย์เพิ่มขึ้นอีกตัวบนบัญชีธนาคารก็เท่านั้น
“เธอ…เธอไม่ต้องการทรัพย์สมบัติพวกนั้นเหรอ? เธอรู้ไหมว่า นั่น…นั่นน่ะหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเชียวนะ!”
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนไม่ได้เสแสร้ง จึงทำให้ซ่งเฮ่าเทียนประหลาดใจขึ้นมาอย่างจริงจัง เขามีชีวิตอยู่มาเจ็ดถึงแปดสิบปี สามารถมองเรื่องใดๆ ได้ทะลุปรุโปร่ง แต่ว่าเยี่ยเทียนอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น กลับสามารถมองข้ามชื่อเสียงเงินทองขั้นนี้ไปได้อย่างไรกัน?
เยี่ยเทียนมองซ่งเฮ่าเทียนเหมือนจะยิ้มได้แต่ไม่ยิ้ม แล้วเอ่ยปากว่า “ผมให้คุณสักสองสามหมื่นล้าน แล้วคุณซื้อแม่แท้ ๆ กลับมาให้ได้หรือเปล่าล่ะ?”
เมื่อคำพูดนี้ของเยี่ยเทียนเอ่ยออกไป พลันทำให้คนรอบข้างเบิ่งตาโต แต่เมื่อคิดถี่ถ้วนแล้ว คำพูดนี้รุนแรงทว่าไม่หยาบคาย เพราะเรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจใช้เงินซื้อมาได้จริง ๆ
“ผมรู้ว่าคุณกังวลเรื่องอะไร ผมจะบอกอะไรให้”
บทสนทนาของซ่งเฮ่าเทียนตอนเข้าเรือนสี่ประสานมากับโก่วซินเจีย ในเวลานั้นก็ไม่ได้รอดพ้นไปจากหูเยี่ยเทียนเช่นกัน ท่าทีตอนนี้ที่เขามีต่อซ่งเฮ่าเทียนก็เป็นเพราะรู้อยู่แก่ใจ ว่าฝ่ายตรงข้ามกลัวว่าเขาจะทำลายฮวงจุ้ยของตระกูลซ่ง
“คุณซ่ง ความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยและซ่งสองตระกูล เหตุเกิดขึ้นกับอาของคุณ ในอดีตตระกูลซ่งถอนการตกลงเรื่องสินบนจากตระกูลเยี่ย บรรพบุรุษผมตกลงรับคำ แต่ภายหลังเมื่อเกิดเรื่องขึ้นคุณเองก็รู้ดี ว่าไม่ใช่บรรพบุรุษของผมไม่รักษาสัญญา แต่ว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้!
แต่ว่าตระกูลซ่งของพวกคุณกลับเกลียดชังบรรพบุรุษตระกูลเยื่ยด้วยเหตุนี้ ตอกย้ำซ้ำเติมจนทำให้ตระกูลเยี่ยของผมตกต่ำมาจนถึงปัจจุบัน ล้วนมีเหตุจากความใจแคบของตระกูลซ่งอย่างพวกคุณ
ถ้าหากคิดถึงความบาดหมางระหว่างสองตระกูลเยี่ยและซ่ง ผมคงจะสลายพลังแผ่นดินของบรรพบุรุษคุณ ทำลาย ฮวงจุ้ยของตระกูลซ่งไปนานแล้ว คุณควรจะดีใจนะ ที่ให้กำเนิดลูกสาวดีๆ มาคนหนึ่ง!”
เยี่ยเทียนยกนิ้วชี้ขึ้นมา กล่าวว่า “ข้อแรก ความแข็งแกร่งของตระกูลซ่งมาจากชื่อเสียงของตระกูล ตีพิมพ์คำขอขมาต่อตระกูลเยี่ยบนหนังสือพิมพ์เกาะฮ่องกง จึงจะเป็นวิธีเดียวที่สามารถขจัดความบาดหมางร้อยปีจากตระกูลซ่งของพวกคุณได้!”
ความบาดหมางระหว่างเยี่ยเทียนและเยี่ยตงผิงที่มีต่อตระกูลซ่งนั้น เป็นเพียงเรื่องส่วนตัว แต่ตระกูลเยี่ยนั้นเริ่มถูกตระกูลซ่งบีบบังคับตั้งแต่ปี 1920-1930 ในศตวรรษนี้ ความเจ็บแค้นนี้…เยี่ยเทียนจำต้องระบายออกมา
“ข้อเรียกร้องนี้ฉันยอมรับ เธอยังมีเงื่อนไขอะไรอีก พูดออกมาให้หมดเลย!”
ซ่งเฮ่าเทียนพึมพำอยู่สักครู่ แล้วพยักหน้าตกปากรับคำ ครั้งนี้ที่เขามาเคาะประตูบ้านตระกูลเยี่ย เดิมทีก็เพื่อสะสางความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยและซ่งทั้งสองตระกูล
เยี่ยเทียนยกนิ้วขึ้นมาอีกหนึ่งนิ้ว กล่าวว่า “ข้อสอง ทรัพย์สมบัติของคุณนายซ่งเวยหลัน ผมจะไม่รับสืบทอด แต่ว่าคนในตระกูลซ่งก็ห้ามมีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน และทรัพย์สินส่วนนั้นจะต้องให้คุณนายซ่งจัดการด้วยตัวเอง ถ้าหากผมรู้ว่าพวกคุณใช้วิธีการใดแทรกแซงล่ะก็ อย่ามาโทษว่าผมยังอายุน้อยจนวู่วามกับเรื่องเล็กๆ ก็แล้วกัน!”
“ได้ ฉันรับปาก ต่อให้เวยเวยบริจาคเงินทั้งหมดนั้น ตระกูลซ่งก็จะไม่มีใครกล้าออกความเห็นแม้แต่ประโยคเดียว!” ได้ยินเงื่อนไขของเยี่ยเทียนแล้ว ในใจซ่งเฮ่าเทียนยังอดรู้สึกไร้สาระขึ้นมาไม่ได้
ด้วยสถานภาพผู้นำประเทศอันยิ่งใหญ่ของตน แต่ทำไมกลับต้องมาเจรจากับอันธพาลตัวเล็ก ๆ แห่งชิงปังเหมือนอย่างเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เมื่อในอดีตด้วย? อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามจะทำอะไรก็ข่มขู่เขาได้ไปซะหมด!
……
ตอนที่ 443 เงื่อนไขสามข้อ (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทำไมตระกูลซ่งของเราถึงไม่มีลูกชายรับมือยากอย่างนี้บ้างนะ?”
เผชิญหน้ากับหลานคนนี้ของตัวเองแล้ว นอกจากซ่งเฮ่าเทียนจะร้องไห้หรือยิ้มก็ไม่ออกแล้ว ยังเกิดความรู้สึกน้อยใจอีกด้วย ถึงแม้วิธีเหล่านี้ของเยี่ยเทียนออกจะถ่อมตน แต่ก็ทำให้ตัวเขาทำได้แค่เพียงอ่อนน้อมก้มหน้ายอมรับ
วิธีการของเยี่ยเทียนแม้จะดูอันธพาล แต่ก็สามารถกุมบานประตูชีวิตของซ่งเฮ่าเทียนไว้ได้ สถานภาพของเยี่ยเทียนในกลุ่มผู้มีคาถาอาคม ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างแท้จริง
บางทีอาจมีคนบอกว่า ต่อให้เยี่ยเทียนแข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นแค่คนคนหนึ่ง ด้วยฐานะของซ่งเฮ่าเทียน จะตรงเข้าจับเขาคุมขังหรือจะสังหารเขาทิ้ง ล้วนเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง
แต่คนที่พูดแบบนี้ได้นั้น จะต้องเป็นคนที่ไร้พ่อแม่ขาดญาติขาดมิตร แม้ว่าจะไม่สนิทสนมใกล้ชิดกับเยี่ยเทียน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นหลานในไส้ของซ่งเฮ่าเทียน หากทำเรื่องนั้นลง หลังตายไปแล้วคงจะถูกก่นด่าประณามเป็นแน่
และอย่าเห็นว่าเยี่ยเทียนเป็นพวกใจกล้าบ้าบิ่น เมื่อครู่ตอนอยู่ข้างนอกแม้จะมีความคิดสังหารคน แต่คนที่เขาจะฆ่าก็คือบอดี้การ์ดพวกนั้นที่มาข่มขู่ กลับไม่กล้าแตะต้องซ่งเฮ่าเทียนแม้แต่ปลายขน
“เยี่ยเทียน แล้วเงื่อนไขข้อที่สามของเธอคืออะไร? พูดออกมาได้เลย”
ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนชักรู้สึกเสียใจขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ถ้าหากตนเองใส่ใจหลานชายคนนี้ให้เร็วสักหน่อย ถึงแม้เขาไม่ได้ใช้นามสกุลซ่ง แต่ก็คงเป็นแขนขาช่วยเหลือตระกูลซ่งให้ก้าวหน้าได้เป็นอย่างดี
“เงื่อนไขข้อที่สามเหรอครับ?” เยี่ยเทียนพึมพำอยู่สักครู่ แต่กลับยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะพูดกับซ่งเฮ่าเทียนให้ชัดเจนเลยดีไหม
“เธอพูดมาเถอะ ขอให้เป็นเรื่องที่ฉันสามารถทำได้ ฉันจะตกลงทุกอย่าง!” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมีความลังเลเล็กน้อย ซ่งเฮ่าเทียนเองก็ชักสงสัยขึ้นมา เจ้าหนูไม่สนกฎไม่กลัวฟ้าดินคนนี้ ยังจะมีอะไรให้คิดมากอีก?
“คนในตระกูลซ่งเคยลอบสังหารผมหลายครั้ง ถึงขั้นว่าจ้างองค์กรทหารรับจ้างให้มาตามล่าฆ่าผม คนผู้นั้น……”
เยี่ยเทียนพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดลง สายตามองยังซ่งเฮ่าเทียนอย่างเยือกเย็น ความหมายที่แฝงอยู่ภายในนั้นสามารถเข้าใจได้โดยไม่ต้องเอ่ยปาก จิตสังหารนั่นต่อให้เป็นซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่อาจต้านทาน
หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ซ่งเฮ่าเทียนก็ตอบกลับเสียงดัง “ไม่……เป็นไปไม่ได้ คนตระกูลซ่งของฉันไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก!”
หากว่ากันตั้งแต่เริ่มแรก ตระกูลซ่งก็เคลื่อนไหวภายในวงการธุรกิจมาตลอด เพิ่งจะเข้าสู่วงการการเมืองได้เพียงยี่สิบปีก่อนเท่านั้นเอง
นักธุรกิจให้ความสำคัญกับมิตรภาพกลมเกลียวเพื่อความมั่งคั่ง แม้จะมีการแย่งชิงในสนามธุรกิจบ้าง แต่โดยพื้นฐานล้วนมีกฎเกณฑ์ที่ต้องทำตาม ไม่อาจไปทำร้ายฆ่าฟันกันอย่างพวกสังคมมาเฟีย
เรื่องที่เยี่ยเทียนพูดออกมานั้น เกินกว่าขอบเขตจิตใจของซ่งเฮ่าเทียน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจเชื่อว่า ตระกูลซ่งจะเสื่อมทรามลงไปถึงขั้นนั้น?
“น้องเหวินซวน ที่เยี่ยเทียนพูดนั้นเป็นความจริงทั้งหมด เวลานั้นฉันก็อยู่ในสถานการณ์ ถ้าหากไม่มาพบฉันเข้า ชีวิตน้อย ๆ ของเยี่ยเทียนนี้จะรักษาไว้ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
พอพูดถึงเรื่องนี้ โก่วซินเจียเองก็ไม่ได้ปกป้องซ่งเฮ่าเทียนอีก เขาเองก็รังเกียจการห้ำหั่นระหว่างสองตระกูลใหญ่ ตระกูลซ่งถึงขั้นใช้วิธีเช่นนี้ นับว่าไม่ไกลจากคำว่าเสื่อมทรามแล้ว
“พี่หยวนหยาง ที่……ที่พี่พูดมาเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
ได้เห็นโก่วซินเจียพยักหน้า ซ่งเฮ่าเทียนก็ชะงักร่าง พลันหลังกลับกลายเป็นโค้งลง คล้ายแก่ชราขึ้นมาทั้งเนื้อตัวในทันควัน ขณะพูดจาริมฝีปากยังสั่นเครือเล็กน้อย
อุตส่าห์ทุ่มเทมาตลอดทั้งชีวิตเพื่อพัฒนาตระกูลซ่งให้รุ่งเรืองก้าวหน้า ซ่งเฮ่าเทียนกลับนึกไม่ถึงว่า ทันใดเมื่อตัวเองแก่ชรา ตระกูลซ่งกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นเช่นนี้ ความพยายามตลอดครึ่งชีวิตแรกของเขา พอมองดูในปัจจุบันแล้วช่างน่าขันอะไรอย่างนี้ !
ที่เข้าสู่วงการการเมือง นั้นเป็นเพราะความต้องการทางการเมืองบางอย่าง แต่หากพูดถึงเนื้อแท้แล้ว ซ่งเฮ่าเทียนกลับพอใจจะเป็นนักธุรกิจธรรมดามากกว่า ทว่าเป้าหมายในการต่อสู้ดิ้นรนตลอดชีวิตของเขา ตอนนี้กลับล่มสลายไปจนหมดสิ้น
การโจมตีแบบนี้ ทำให้คนอย่างซ่งเฮ่าเทียนที่เห็นคลื่นพายุมาจนชินชา ถึงกับไม่อาจทนรับไหว
เมื่อเห็นสีหน้าโศกเศร้าอย่างสาหัสของซ่งเฮ่าเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็จึงรีบพูดขึ้น “น้องเหวินซวน ตระกูลซ่งนั้นกว้างใหญ่นัก จะเกิดเรื่องเสื่อมทรามสักสองสามเรื่องก็พอเข้าใจได้ น้องอย่าเศร้าโศกขนาดนี้เลย”
ซ่งเฮ่าเทียนสูดลมหายใจลึก มองยังโก่วซินเจียอย่างซาบซึ้ง พยักหน้ากล่าว “พี่หยวนหยาง ขอบคุณมาก เยี่ยเทียน คนที่เธอพูดถึงนั้นชื่ออะไรเหรอ? เรื่องนี้ฉันจะต้องจัดการให้เธออย่างแน่นอน!”
“ผมไม่ต้องการให้คุณจัดการอะไรให้ผมหรอกครับ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า กล่าวว่า “เรื่องของตัวผม ที่ผ่านมาไม่เคยชินให้คนอื่นจัดการให้ คุณซ่ง เงื่อนไขของผมนั้นไม่ใช่ว่าขอให้คุณจัดการให้หรอก!”
“ถ้าอย่างนั้นเธอ……เธอหมายความว่ายังไงล่ะ?”
เยี่ยเทียนพูดออกมาอย่างนี้ ไม่เพียงซ่งเฮ่าเทียนที่งุนงงสับสน แต่กระทั่งคนอย่างโก่วซินเจียเองก็มองมาทางเยี่ยเทียนอย่างสงสัย เขาพูดเรื่องนี้ออกมา ไม่ใช่ว่าอยากให้ซ่งเฮ่าเทียนยื่นมือเข้าไปจัดการหรือ?
“เวลาคนอื่นติดค้างผม ผมชอบไปทวงคืนด้วยตัวเอง แต่ว่าเรื่องนี้ตระกูลซ่งเป็นฝ่ายก่อขึ้น สิ่งที่ผมต้องการก็คือตระกูลเยี่ยที่อยู่ในเมืองหลวง ขออย่าได้รับผลกระทบใด ๆ จากเรื่องนี้!”
เยี่ยเทียนยิ้มกริ่ม กล่าวต่อว่า “คนอย่างผมน่ะใจแคบ ทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้น นิสัยแย่ ๆ ยังมีอีกไม่น้อย แต่ว่าในจุดนี้ ถ้าหากใครทำร้ายคนที่ผมรักล่ะก็ ผมจะตามฆ่าไปสุดหล้าฟ้าเขียว ไม่ตายไม่เลิกรา!!”
พอเยี่ยเทียนพูดคำพูดนี้ออกมา ซ่งเฮ่าเทียนก็พลันเข้าใจได้ในทันที ถึงสาเหตุที่เจ้าหนูคนนี้พูดวนในอ่างมาเสียเนิ่นนาน ที่แท้เพียงแค่ต้องการให้ตัวเขารับประกันความปลอดภัยของตระกูลเยี่ย
ถ้าหากคนอื่นใช้น้ำเสียงอย่างจะฆ่าแกงกันแบบนี้คุยกับเขา ซ่งเฮ่าเทียนคงจะหัวเราะเยาะใส่แน่นอน ด้วยรู้สึกว่าเด็กคนนั้นยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าพอออกมาจากปากเยี่ยเทียนแล้ว เขาจะต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ
เพราะว่าถ้าหากซ่งเฮ่าเทียนตกปากรับคำกับเยี่ยเทียนแล้ว เขาจะต้องทำตามนั้นให้ได้ ไม่อย่างนั้นหากคนในตระกูลเยี่ยเกิดได้รับบาดเจ็บอะไรขึ้นมา เจ้าเด็กเกเรคนนี้ จะต้องมาคิดบัญชีกับตระกูลซ่งอย่างแน่นอน
“ตกลง ฉันให้สัญญากับเธอ ว่าฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อช่วยคุ้มครองความปลอดภัยของคนตระกูลเยี่ยที่อยู่ในเมืองปักกิ่ง!”
หลังจากพึมพำอยู่สักครู่ ซ่งเฮ่าเทียนก็พยักหน้ารับคำในท้ายที่สุด แม้ว่าเขาจะถอนตัวออกจากตำแหน่งผู้นำแล้ว แต่จะให้จัดหาคนไปคอยดูแลตระกูลเยี่ยอย่างลับ ๆ นับว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร
เพียงแต่ว่าหลังจากรับคำเงื่อนไขนี้กับเยี่ยเทียนแล้ว ภายในใจซ่งเฮ่าเทียนเกิดความรู้สึกจะร้องไห้ก็ไม่ได้หรือหัวเราะก็ไม่ออกขึ้นมา
สาเหตุเป็นเพราะเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ทั้งสองตระกูลเยี่ยและซ่งเคียดแค้นเป็นปฏิปักษ์กัน ทว่าในปัจจุบันตัวเองกลับต้องคิดหาหนทางคุ้มกันคนตระกูลเยี่ย เรื่องราวบนโลกยากจะคาดเดา ทั้งหมดก็เพียงเท่านี้
“ดี งั้นในเมื่อคุณซ่งรับคำแล้ว ความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยและซ่ง ก็ขอให้จบลงที่ตรงนี้!”
โดยไม่พูดถึงเรื่องของคุณแม่ ซ่งเฮ่าเทียนสามารถยอมรับข้อเรียกร้องทั้งสามข้อนี้ได้ ก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่เพียงพอแล้ว ถึงแม้ความขุ่นเคืองในใจของเยี่ยเทียนยังไม่สลายไป แต่เขาก็ยังยกชามเหล้าขึ้น ชูแล้วโบกไปมาต่อซ่งเฮ่าเทียน กล่าวว่า “วันนี้ผู้น้อยทำตัวโอหังอย่างมาก หวังว่าท่านผู้ใหญ่จะใจกว้าง ไม่ถือสาเอาความกับผมหรอกนะ?”
เกี้ยวงามต้องใช้คนหาม เยี่ยเทียนแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อตระกูลซ่งไปแล้ว ถ้าหากยังทำตัวก้าวร้าวไม่เลิก จะยิ่งเป็นการเกินเลย
แม้ว่าเยี่ยเทียนไม่มีความตั้งใจจะนับญาติกับคุณตาคนนี้ แต่อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นผู้สูงวัยอายุถึงเจ็ดแปดสิบปี จะยังไงก็ต้องยอมถอยให้อีกฝ่าย จึงจะเป็นวิถีแห่งการครองตน
“ฉัน…ฉันถือสาเธองั้นเหรอ?”
ซ่งเฮ่าเทียนถูกเจ้าหนูเกเรคนนี้ยั่วโมโหจนจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก เยี่ยเทียนทำเหมือนเขาเป็นเด็กสามขวบเท่านั้นหรือไง? ถึงได้ตบหัวแล้วมาลูบหลังกัน?
“เอาน่า น้องเหวินซวน ฟังคำพี่หน่อย นายเองก็เป็นไม้แก่ใกล้จะลงโลงแล้ว จะไปใส่ใจเรื่องวงศ์ตระกูลให้มากมายขนาดนั้นไปทำไมกัน?”
เมื่อเห็นว่าสุดท้ายเยี่ยเทียนเจรจากับสหายเก่าได้สำเร็จ โก่วซินเจียเองก็โล่งใจเช่นกัน ดึงตัวซ่งเฮ่าเทียนมาพูด “มาๆ เล่าเรื่องอดีตที่ผ่านมาในช่วงหลายปีนี้ให้พี่ฟังเถอะ!”
“ได้ งั้นเดี๋ยวพี่ก็ต้องเล่าเหมือนกัน ว่าแขนข้างนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” พอจัดการเรื่องขุ่นเคืองในใจของเยี่ยเทียนได้บ้างแล้ว จิตใจของซ่งเฮ่าเทียนก็เป็นสุขขึ้นมากเช่นกัน จึงยกชามเหล้าขึ้นดื่มกับโก่วซินเจีย
ทว่าเวลานั้นเยี่ยเทียนกลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย ในขณะที่กำลังคิดว่าจะกลับเรือนด้านหลังอยู่นั้น ภายในเรือนกลางกลับมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาพอดี
“ศิษย์พี่ พวกพี่เชิญดื่มไปก่อนนะ ผมจะไปรับโทรศัพท์!” เยี่ยเทียนลุกขึ้นเดินเข้าไปยังห้องด้านข้าง ตรงกลางลานนี้มีพลังวิญญาณแผ่ซ่านไปทั่ว จึงโทรเข้าโทรศัพท์มือถือไม่ติด และคนที่สามารถโทรเข้าโทรศัพท์บ้านได้ ล้วนเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเยี่ยเทียน
“เยี่ยเทียน เจ้าเด็กบ้านี่ก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีกแล้ว? ทำไมบ้านถึงมีคนล้อมเอาไว้จนทั่วล่ะ พ่อ…พ่อจะเข้าบ้านยังเข้าไม่ได้เลย?”
พอยกสายโทรศัพท์ขึ้น ก็มีเสียงหงุดหงิดของเยี่ยตงผิงดังมาจากข้างใน เจอสถานการณ์ที่แม้บ้านตัวเองยังเข้าไม่ได้อย่างนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องโมโหเดือดดาลทั้งนั้น
“แหะ ๆ พ่อ อย่ากังวลไปเลย ผมจะไปรับพ่อเดี๋ยวนี้แหละ!” หลังจากได้ยินเสียงของพ่อแล้ว เยี่ยเทียนก็วางสายโทรศัพท์แล้วเดินออกไป แต่พอเดินไปถึงประตูทางเข้าเรือนสี่ประสานก็ต้องหยุดฝีเท้าลง
หลังจากที่เยี่ยเทียนเสนอเงื่อนไขไปแล้ว เห็นซ่งเฮ่าเทียนตกปากรับคำด้วยความยินดี เขาเองก็รับปากว่าจะช่วยพ่อสะสางความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยและซ่งทั้งสองตระกูล
แต่ว่ามาตอนนี้เยี่ยเทียนถึงนึกได้ว่า อย่างไรตัวเองก็ไม่ใช่หัวหน้าตระกูลเยี่ย ถ้าหากพ่อไม่เห็นดีเห็นงามด้วยล่ะก็ เรื่องนี้จะจัดการยังไงดีล่ะ?
“เอาเถอะ จะไปใส่ใจให้มากขนาดนั้นทำไม ถ้าพ่อไม่พอใจก็ให้เขาไปคุยกับตาแก่ซ่งเอาเอง!” คิดๆ หาทางออกที่ดีไม่ได้ เยี่ยเทียนก็ไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ตรงไปเปิดประตูข้างของเรือนสี่ประสาน
เยี่ยตงผิงกำลังยืนถกเถียงอยู่กับฝูเจิ้งหมิง เห็นลูกชายออกมาก็รีบร้องเรียก “เยี่ยเทียน นี่มันเกิดอะไรขึ้นเรอะ?”
“คนนั้นคือพ่อผมเอง ให้เขาเข้ามาเถอะ!”
เยี่ยเทียนมองฝูเจิ้งหมิงอย่างเคืองๆ จนคนเหล่านั้นตกใจร้อนรนถอยห่างออกไปหลายก้าว ภาษิตว่าผู้กล้าย่อมรู้จักหลบหลีก หากทำกล้าสู้กันตัวต่อตัวกับคนที่เป็นหัวหน้า ถึงจะเอาชนะได้ก็ยังสูญเปล่า
“พ่อ ช่วงนี้ยุ่งเรื่องอะไรอยู่เหรอ? ทำไมถึงเพิ่งมาล่ะ?”
นับตั้งแต่เยี่ยเทียนกลับมาเมืองหลวง เยี่ยตงผิงเพิ่งจะปรากฎตัวให้พบหน้าเป็นวันแรก ไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาวุ่นวายกับอะไรอยู่ ครั้งนี้โผล่มาหาในวันที่อากาศหนาวเหน็บ ในใจเยี่ยเทียนจึงรู้สึกว่าค่อนข้างแปลก
หลังจากดึงตัวเยี่ยตงผิงเข้ามาในบ้านแล้ว เยี่ยเทียนก็มองดูสีหน้าของพ่อ พลันขมวดคิ้วขึ้นมา เอ่ยปากถามว่า “พ่อ พ่อไปเจอเรื่องอะไรมา? ผมเห็นสีหน้าพ่อดูไม่ค่อยปกตินะ”
เยี่ยตงผิงหัวเราะแห้ง ๆ “ไปเจอเรื่องมาน่ะ ครั้งนี้มีปัญหาไม่น้อยเลย จึงมาหาอยากจะปรึกษาแกหน่อยได้ไหม?”
“เดี๋ยวก่อนนะพ่อ”
เยี่ยเทียนโบกมือตัดบทพ่อ กล่าวว่า “ในบ้านก็ยังมีปัญหาใหญ่กว่าอยู่ รอจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วค่อยพูดเถอะนะ”
……
ตอนที่ 444 ไม่จบไม่สิ้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เรื่องอะไรวุ่นวายยิ่งกว่า?”
เมื่อครู่เยี่ยตงผิงยังคงจ่อมจมอยู่กับเรื่องของตัวเอง พอได้ยินลูกชายพูดอย่างนี้ จึงคิดถึงเรื่องที่ประตูทางเข้าขึ้นมา ถามอย่างไม่สบอารมณ์ “พ่อว่าแกคงไปก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีกแล้วสิท่า? ทางเข้าบ้านด้านนอกนั่นทำไมถึงถูกคนล้อมไว้อย่างนั้นหา?”
เยี่ยตงผิงมีประสบการณ์อย่างล้ำลึก ถึงความสามารถในการก่อเรื่องของลูกชาย นับตั้งแต่เยี่ยเทียนเริ่มเข้าโรงเรียนประถมปีแรก เขาก็เป็นแขกประจำห้องพักครูแล้ว ต้องคอยยกจานขนมหวาน ไปขออภัยเพื่อนร่วมชั้นที่โดนเยี่ยเทียนต่อยอยู่เป็นประจำ
“พ่อ ไม่ใช่ผมที่ก่อเรื่อง แต่ปัญหานั่นมันมาหาถึงประตูเองต่างหาก พ่อไปดูแล้วก็จะรู้เอง!”
เยี่ยเทียนเองก็เจ้าเล่ห์ เขารู้ว่าวันนี้ซ่งเฮ่าเทียนมาเพื่อสงบศึกกับตระกูลเยี่ย ย่อมไม่กล้าวางท่าเป็นพ่อตาต่อหน้าเยี่ยตงผิงอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนั้นจึงอยากรู้ว่าพอถึงเวลา พ่อของตัวเองจะทำสีหน้าอย่างไร
ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่อธิบายให้ละเอียด พาพ่อทะลุตรงไปยังเรือนด้านหน้า มาอยู่ตรงหน้าคนทั้งหลายที่กำลังดื่มกินกันอย่างออกรสพอดี
“อะแฮ่ม……”
โก่วซินเจียเงยหน้าขึ้นมาเห็นเยี่ยตงผิงเข้า สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดไปในทันที กระแอมหนึ่งเสียงแล้วพูดขึ้น “อ้าว เยี่ยตงผิงมาแล้วเหรอ มา นั่งดื่มกันสักถ้วยสิ!”
“วันนี้ช่างครึกครื้นเสียจริงนะ เจ้าเด็กบ้า ถึงกับเอาเหล้าเหมาไถสองขวดนั้นของฉันออกมาเลยเหรอ?”
ด้วยซ่งเฮ่าเทียนนั่งหันหลังให้ทางเข้าสวนดอกไม้อยู่ เยี่ยตงผิงจึงเห็นเพียงเงาด้านหลังของร่างสูงใหญ่ผมสีเงิน ยังนึกว่าเป็นเพียงสหายสักคนของโก่วซินเจีย แล้วจึงนั่งลงยังตำแหน่งที่เยี่ยเทียนจัดหาให้ในทันที
เยี่ยตงผิงเองก็เป็นคนร่ำสุรา พอรินเหล้าให้ตัวเองจนเต็มชามแล้ว ก็ยกขึ้นกล่าวว่า “มา ผมขอดื่มฉลองให้ทุกคนหนึ่งถ้วย คุณ…คุณ…คุณคือซ่ง…ซ่งเฮ่าเทียนนี่?!”
เยี่ยตงผิงนั่งลงไปยังไม่เต็มก้น กลับเผชิญหน้าเข้ากับผู้เฒ่าซ่งเข้าจัง ๆ ชามเหล้าในมือหล่นลงพื้นเสียงดัง “เพล้ง” แล้วตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
เยี่ยตงผิงกับซ่งเวยหลันรู้จักกันที่บ้านนอก ตั้งแต่แรกจนปัจจุบันยังไม่เคยพบซ่งเฮ่าเทียน
แต่ว่าเมื่อเข้าสู่หลังยุคปี 90 ซ่งเฮ่าเทียนปรากฏตัวอยู่ในทีวีทุกวันเป็นส่วนใหญ่ เยี่ยตงผิงจึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่หน้าทีวีอยู่ทุกวัน ใฝ่ฝันอยากจะฉีกเนื้อตาแก่นี่ออกมาสักชิ้น
ดังนั้นแม้จะไม่เคยพบซ่งเฮ่าเทียนต่อหน้า แต่เยี่ยตงผิงก็ “คบหาทางจิต” กับเขามานาน ในสถานการณ์ที่นั่งประจันหน้ากันอย่างนี้ จึงจดจำได้ภายในพริบตา
เพียงแต่ว่าจู่ ๆ ได้พบกับศัตรูเก่าแก่ที่ตนเองสาปแช่งมายี่สิบกว่าปี เยี่ยตงผิงเองยังสับสนขึ้นมากะทันหัน สมองของเขากลับกลายเป็นว่างเปล่า ทำได้แค่เพียงจดจ้องซ่งเฮ่าเทียนที่มองมาอย่างไม่วางตา
“ตง…..แค่กๆ เสี่ยวเยี่ย ฉันคือซ่งเฮ่าเทียน!”
ซ่งเฮ่าเทียนผู้ผ่านคลื่นลมและฝนมาจนชินชา แม้จะไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบกับลูกเขยนอกกฎหมายคนนี้ แต่เขาก็ยังมีปฏิกิริยาโต้ตอบว่องไวกว่าเยี่ยตงผิงมากนัก
ความจริงเดิมทีซ่งเฮ่าเทียนคิดจะร้องเรียกว่า “ตงผิง” แต่สำนึกได้ว่าไม่ได้สนิทสนมกับเขาถึงขั้นนั้น เมื่อคำพูดออกจากปากจึงกลายเป็น “เสี่ยวเยี่ย”
เยี่ยตงผิงผุดลุกขึ้นในทันใด อารมณ์บนใบหน้าพลันกลับกลายเป็นบูดเบี้ยวด้วยความประหลาดใจและโกรธเกรี้ยว คำรามเสี่ยงต่ำ “ซ่งเฮ่าเทียน แก……แกมาอยู่ในบ้านฉันได้ยังไง?!”
ต้องบอกก่อนว่าเยี่ยตงผิงแม้ว่าเพราะชีวิตถูกกดดันสารพัด จึงยอมโอนอ่อนต่อความเป็นจริง อีกทั้งยังเรียนรู้การสอพลอเถ้าแก่ทั้งหลาย จึงได้สามารถทำมาค้าขายของโบราณ
แต่ว่าตัวตนของเยี่ยตงผิงกับนิสัยของลูกชายมีส่วนใกล้เคียงกันมาก นั่นคือเมื่อเผชิญหน้ากับข้าราชการผู้มีอำนาจ กลับไม่เคยยอมอ่อนน้อมคุกเข่า แม้ตัวเองจะเล็กจ้อยราวมดปลวก ก็ยังอาจหาญจะเผชิญหน้าท้าทายคชสาร
จริงอยู่ที่สถานภาพของซ่งเฮ่าเทียนสูงส่ง แต่นั่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของเยี่ยตงผิงแม้แต่อย่างใด บวกกับความบาดหมางของวงศ์ตระกูลกับการที่ช่วงชิงภรรยาของตัวเองไป ทำให้สองตาของเยี่ยตงผิงที่จ้องยังซ่งเฮ่าเทียนแดงก่ำ
“เป็นเด็กเลือดร้อนอีกคนแล้ว ทำไมตระกูลเยี่ยถึงมีแต่คนอย่างนี้?” เมื่อเห็นเยี่ยตงผิงมีท่าทีแค้นฝังลึกอย่างนั้น ในใจของซ่งเฮ่าเทียนหงุดหงิดไม่เบา
เพิ่งจะสยบเยี่ยเทียนเจ้าเด็กรับมือยากคนนั้นไป ก็มีตาแก่เลือดร้อนโผล่มาอีก ในอดีตตอนซ่งเฮ่าเทียนจัดการเรื่องการเมืองภายในประเทศ ยังไม่เคยรู้สึกปวดหัวขนาดนี้มาก่อน!
“เรื่องนี้นายถามเยี่ยเทียนเอาเถอะ” ซ่งเฮ่าเทียนเกรงกลัวเยี่ยเทียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมิตรต่อเยี่ยตงผิง แม้ว่าเขาจะเคยแยกคู่รักออกจากกัน แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นพ่อตาของอีกฝ่ายนี่?
“เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้น?”
นอกจากเยี่ยตงผิงจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว ความคิดยังค่อย ๆ กระจ่างชัด เขารู้ว่าลูกชายไม่ต้อนรับคนตระกูลซ่งยิ่งกว่าตัวเอง ที่ซ่งเฮ่าเทียนมาเยี่ยมเยียนอย่างนี้ จะต้องมีเบื้องหลังบางอย่างที่เขาไม่รู้อย่างแน่นอน
คราวนี้เยี่ยเทียนกลับทำเหมือนไม่เกี่ยวกับตัวเอง เอ่ยปากว่า “พ่อ คุณซ่งท่านนี้เขาเป็นตัวแทนของตระกูลซ่ง มาขอขมาตระกูลเยี่ยอย่างเป็นทางการ คนที่เข้าประตูมาแล้วล้วนเป็นแขก พวกเราคงไล่เขาออกไปข้างนอกไม่ได้หรอกมั้ง?”
แม้ซ่งเฮ่าเทียนจะมีน้ำอดน้ำทน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จึงอดกลั้นไว้ไม่อยู่ พูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังไม่ไล่ฉันออกไปนอกบ้านอย่างนั้นเรอะ? ถ้าหากไม่ได้พี่หยวนหยางพูดให้ ฉันคงโดนปิดประตูใส่หน้าเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีแล้ว!”
“พ่อ คุณซ่งออกปากรับคำแล้ว ว่าเขาจะตีพิมพ์คำประกาศขอขมาลงบนสื่อฮ่องกง เพื่อขอโทษตระกูลเยี่ยของพวกเราอย่างเป็นทางการ……”
เยี่ยเทียนไม่ตอบซ่งเฮ่าเทียน พูดเองเออเองว่า “พ่อ ผมว่าเขาอายุมากทั้งยังมีความจริงใจ แล้วยังอุตส่าห์ออกปากรับคำไปแล้วด้วย ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแบบนี้ พ่อเป็นหัวหน้าตระกูลเยี่ย เรื่องนี้ก็ให้พ่อตัดสินใจแล้วกัน!”
เรื่องที่เกิดขึ้นกับเยี่ยเทียนตอนที่อยู่ในไต้หวัน คนในครอบครัวต่างไม่รู้ อีกอย่างเป็นเงื่อนไขของทั้งสองคน เขาจึงไม่บอกกับพ่อ เพียงแค่พูดเฉพาะเรื่องที่ตระกูลซ่งยินยอมขอขมาออกไปเท่านั้น
แต่ว่าคำพูดนี้ของเยี่ยเทียนก็ช่างน่าโมโหจริง ก่อนหน้าพูดมาเสียเนิ่นนาน เขาเพิ่งจะตกปากรับคำมั่นเหมาะ ตอนนี้กลับไม่สามารถตัดสินใจเองได้? ทว่าซ่งเฮ่าเทียนยังนับว่ารู้จักนิสัยที่แท้ของเขา จึงไม่เอ่ยปากถกเถียงอะไรต่อ
รินเหล้าชามหนึ่งให้ตัวเองอย่างเฉื่อยชา ซ่งเฮ่าเทียนเงยคอกระดกเหล้าลงไป ปกติแล้วมีหมอคอยดูแลอย่างใกล้ชิด สามารถดื่มได้เพียงวันละแก้วเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตาแก่คนนี้จะไม่อยากกินเหล้าที่ไม่ต้องจ่ายตัง
“เรื่อง…เรื่องของตระกูลเยี่ย ให้ป้าของแกเป็นคนตัดสินใจ!”
สิ่งที่ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนโกรธจนแทบกระอักเลือดก็คือ เยี่ยตงผิงเงียบไปเนิ่นนาน แล้วกลับพูดประโยคนี้ออกมา กลายเป็นว่าวันนี้เขาก็มาเสียเปล่างั้นหรือ? พ่อลูกสองคนนี้ฝ่ายหนึ่งเร่งเร้าฝ่ายหนึ่งรั้งรอ สุดท้ายบอกว่าป้าต้องเป็นคนตัดสินใจ?
ความจริงแล้วที่ซ่งเฮ่าเทียนไม่รู้ก็คือ เยี่ยตงผิงก็มีท่าทีต่อความบาดหมางระหว่างวงศ์ตระกูลในยุคก่อนตรงกันกับเยี่ยเทียน เขาเองก็ไม่สนับสนุนให้ความโกรธแค้นนี้ดำรงอยู่ต่อ
แต่ที่เยี่ยตงผิงไม่ยอมรับฐานะเจ้าบ้านเพื่อรับคำขอโทษจากซ่งเฮ่าเทียน นั่นเป็นเพราะตรงหน้านี้คือตาแก่ที่ทำให้ภรรยาของตัวเองต้องพรากจากกันไปถึงยี่สิบปี!
“พ่อ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้นสิ ป้าใหญ่จะต้องเห็นด้วยอยู่แล้วล่ะ ป้าเขาบ่นเรื่องนี้มาหลายปีแล้วนี่”
ทิศทางที่เยี่ยเทียนยืนอยู่หันหลังให้ซ่งเฮ่าเทียนพอดิบพอดี จึงขยิบตามาทางพ่อเสียตอนนั้น ขยับปากแต่ไร้เสียงออกมาว่า “เสนอเงื่อนไข ให้แม่ผมกลับมาสิ!”
ทีแรกเยี่ยตงผิงไม่เข้าใจว่ารูปปากของลูกชายหมายความว่าอย่างไร หลังจากจดจ้องอยู่สองรอบ จึงเข้าใจได้ในที่สุด หัวใจเกิดสั่นไหวฉับพลัน มองลูกชายอย่างไม่อาจเชื่อสายตา
ต้องบอกก่อนว่า ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ เยี่ยตงผิงไม่เคยลืมภรรยาเลย เขาเฝ้าฝันอยู่ทุกวันคืนที่จะได้กลับมาอยู่ร่วมกับภรรยา
ด้วยเหตุนั้นเยี่ยตงผิงจึงได้ฉีกคุณธรรมของผู้มีการศึกษา แล้วพูดเหมือนคนทำการค้า นอกจากนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะทำไปเพื่อลูกชายแล้ว ล้วนเป็นเพราะอยากให้ภรรยาได้กลับมาอยู่ข้างกายตัวเองอีกหน
เพียงแต่ว่าในอดีตที่ซ่งเวยหลันกลับมายังประเทศจีน ได้บอกกับเขาว่าคงจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปี ตัวเองถึงจะสามารถจัดการเรื่องราวทั้งหมด แล้วกลับมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเขาและลูกชาย
การรอคอยที่ปราศจากคำสัญญา อาจทำให้เวลาผ่านไปค่อนข้างเร็ว แต่พอมีคำสัญญาจากภรรยาแล้ว ทำให้หนึ่งวันของเยี่ยตงผิงราวกับหนึ่งปี รู้สึกว่าเวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันนั้นชักช้าเหลือเกิน
สัญญาณลับของลูกชาย ทำให้เยี่ยตงผิงเห็นความหวังที่ภรรยาจะกลับมาอยู่ข้างกายตัวเองเร็วขึ้น ลมหายใจของเขากลับกระชั้นขึ้นมาทันใด
“แค่กๆ…”
เยี่ยตงผิงกระแอมไอหนึ่งเสียง พยายามข่มกลั้นลมหายใจของตัวเอง แล้วสงบจิตสงบใจ หลังจากความขุ่นเคืองบนใบหน้ามลายหายไปจนหมดก็มองยังซ่งเฮ่าเทียน กล่าวว่า “คุณซ่ง ในเมื่อคุณยินยอมขจัดความบาดหมางกับตระกูลเยี่ย ผมก็มีเงื่อนไขหนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณจะรับพิจารณาได้หรือไม่!”
“เงื่อนไขอีกแล้วเรอะ?!”
ซ่งเฮ่าเทียนเกือบจะลุกขึ้นมาตบโต๊ะ สองพ่อลูกคู่นี้เป็นบ้ากันมาจากไหน? เมื่อครู่ลูกชายเรียกร้องไปสามข้อ พอกลายเป็นตาแก่นี่ กลับต้องการอีกเงื่อนไข คิดจะขูดรีดจากเขาไม่หยุดหย่อนหรือไง?
เยี่ยเทียนเห็นซ่งเฮ่าเทียนชักจะข่มอารมณ์โกรธไว้ไม่อยู่ ก็ร้อนรนพูดขึ้น “เอาน่า คุณซ่ง ไม่ลองฟังดูก่อนล่ะครับ ถึงอย่างไรก็มาถึงตระกูลเยี่ยของเราแล้ว…”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ซ่งเฮ่าเทียนสงบลง ในเมื่อยอมรับข้อเรียกร้องสามข้อจากเยี่ยเทียนแล้ว จึงขาดเพียงข้อเดียวของเยี่ยตงผิง ซ่งเฮ่าเทียนจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเหลืออด “ได้ ถือว่าฉันติดค้างพวกนายสองพ่อลูก มีเงื่อนไขอะไรก็พูดออกมา!”
“คุณซ่ง สาเหตุที่ผมกับภรรยาต้องแยกจากกันเมื่อในอดีต ก็ด้วยความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยและซ่งสองตระกูล ในเมื่อคุณยินยอมชำระล้างความบาดหมางส่วนนี้แล้ว ถ้า…ถ้างั้นให้ภรรยาของผมกลับมาประเทศได้ไหม?!”
ตอนที่พูดถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเยี่ยตงผิงถึงกับสั่นเครือเล็กน้อย เมื่อมีความหวังจะพบภรรยาที่พรากจาก เขาก็ไม่อยากจะรออีกหนึ่งปี
“ที่แท้ข้อเรียกร้องของนายคือเรื่องนี้เอง?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยตงผิงแล้ว อารมณ์ของซ่งเฮ่าเทียนก็ผ่อนคลายลง เขาสามารถสัมผัสถึงความปรารถนาต่อลูกสาวซึ่งมาจากใจจริงของลูกเขยที่ไม่เคยเจอหน้ากันคนนี้มาก่อน
“บางทีในอดีตฉันไม่ควรพรากพวกเธอสองคนจากกันเลย”
สีหน้าของซ่งเฮ่าเทียนเหม่อลอยไปชั่วขณะ ถ้าหากไม่ใช่เพราะความคิดที่ผิดพลาดของตัวเอง บางทีตอนนี้เยี่ยเทียนอาจจะเรียกเขาว่าคุณตาอย่างสนิทสนมสักหนึ่งเสียงแล้วก็เป็นได้?
เห็นซ่งเฮ่าเทียนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เยี่ยตงผิงก็อดไม่อยู่ เร่งเร้าพูดขึ้น “ได้หรือไม่ได้ คุณก็พูดออกมาสิ?”
“เรื่องนี้ในอดีตฉันมีส่วนที่ผิดเอง ฉันเรียกเวยเวยกลับมาก็ได้…”
พอซ่งเฮ่าเทียนพูดถึงตรงนี้ก็หันหน้ากลับมา มองยังเยี่ยเทียนแล้วว่า “แต่…เรื่องตีพิมพ์ลงบนสื่อฮ่องกง ก็ช่างมันแล้วกัน?”
เมื่อทนความอัดอั้นมาตลอดทั้งคืน ซ่งเฮ่าเทียนจึงจับจุดอ่อนของเยี่ยตงผิงและลูกชายได้ จึงไม่อาจอดกลั้นที่จะรุกฆาตเยี่ยเทียน!
…………
ตอนที่ 445 ตบตา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อ้าว อย่างนั้นไม่ได้สิ”
เยี่ยเทียนไม่ใช่คนว่าง่ายขนาดนั้น จึงส่ายหน้าทันที กล่าวว่า “เมื่อครู่ผมเพิ่งบอกว่ามันคนละเรื่องกัน ทำไมคุณมายักแย่ยักยันอีกล่ะ?”
เยี่ยเทียนกับเยี่ยตงผิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องความบาดหมางในยุคที่ผ่านมา แต่ว่าคุณนายใหญ่คงยอมไม่ได้ ป้าใหญ่ของเยี่ยเทียนถึงขั้นโยนการตายของพ่อว่าเป็นเพราะตระกูลซ่ง ถ้าหากไม่ขอขมาอย่างเปิดเผย เกรงว่าคงยากที่คุณนายใหญ่จะยอมตกลง
“ช่างเถอะ ไม่อยากมาเถียงกับสองพ่อลูกคนรุ่นหลังอย่างพวกเธอแล้ว เรื่องนี้ฉันรับปากทั้งหมด” ซ่งเฮ่าเทียนโบกมืออย่างเหนื่อยใจ พลางพูด “เยี่ยเทียนฉันเองก็ต้องการให้เธอรับปากฉันเรื่องหนึ่ง!”
เยี่ยเทียนเหยียดริมฝีปาก กล่าวว่า “เรื่องที่คุณจะพูดต้องเป็นเรื่องง่ายหน่อยนะ ไหล่ผมเล็ก แบกรับภาระสำคัญมากไม่ไหวหรอก!”
พอได้ทำความรู้จักกัน เยี่ยเทียนรู้สึกว่าซ่งเฮ่าเทียนคนนี้ก็ไม่ได้เป็นคนน่ารังเกียจสักเท่าไหร่ สภาพจิตใจของเขาเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว กระทั่งตัวเยี่ยเทียนเองก็ยังไม่ทันสังเกต
สีหน้าของซ่งเฮ่าเทียนเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด เอ่ยปากว่า “คนตระกูลซ่งที่ไม่รักษากฎเกณฑ์คนนั้น เธอจะจัดการด้วยตัวเองก็ได้ แต่ฉันต้องการให้เธอรับประกัน ว่าภายหลังจะไม่ส่งผลกระทบถึงรากฐานตระกูลซ่ง!”
นับตั้งแต่สิ้นราชวงศ์ชิงถึงยุคสาธารณรัฐจนกระทั่งปฏิรูปเศรษฐกิจ ตระกูลซ่งก็เฟื่องฟูและตกต่ำมาเป็นร้อยปี ซ่งเฮ่าเทียนมองออก และไม่อยากให้ตระกูลซ่งต้องมาล่มสลายลงด้วยน้ำมือตัวเอง อีกทั้งเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าก็มีความสามารถแบบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“คุณสั่งสอนคนในตระกูลให้ดี ก็จะไม่ก่อให้เกิดอาเพศพิษภัยต่อตระกูลซ่งอยู่แล้ว เส้นชีวิตฮวงจุ้ยของคนเลวทรามย่อมต้องถูกสวรรค์สาป ถ้าหากผมไม่ถูกบีบบังคับถึงขั้นจนตรอก ก็จะไม่ทำเรื่องอย่างนั้นแน่นอน!”
คำสัญญาของคนในยุทธภพมีค่าดั่งทองพันชั่ง คำพูดนี้ของเยี่ยเทียนไม่ได้เป็นการรับคำขอร้องของซ่งเฮ่าเทียนทั้งหมด หากวันหลังคนตระกูลซ่งเป็นปฏิปักษ์กับเขา จะไม่กลายเป็นว่าเยี่ยเทียนโยนหินใส่ขาตัวเองเพราะคำสัญญาของตัวเองอย่างนั้นหรือ?
“ตกลง หากฉันยังอยู่ขอรับประกันว่า จะไม่ให้คนตระกูลซ่งมาก่อกวนเธออีก”
การเจรจากับเยี่ยเทียนสองพ่อลูกในวันนี้ ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนรู้สึกอ่อนเพลียอย่างบอกไม่ถูก เหน็ดเหนื่อยเสียยิ่งกว่าวิ่งรอกสัมภาษณ์แต่ละประเทศเมื่อในอดีตเสียอีก
ถ้าหากไม่ได้พลังชีวิตดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ภายในเรือนสี่ประสานหลังนี้ทะนุบำรุงร่างกายเขา ซ่งเฮ่าเทียนอาจจะทนไม่ไหวไปนานแล้ว
ถึงแม้อย่างนั้น ซ่งเฮ่าเทียนก็ยังนวดคลึงช่องว่างระหว่างคิ้ว ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “พี่หยวนหยาง วันนี้พี่ตามผมกลับไปที่บ้านเถอะ พรุ่งนี้เราสองเฒ่าจะได้คุยเรื่องเก่าๆ กันได้สะดวกดีไหม?”
“ได้สิ เดี๋ยวฉันจะฝังเข็มให้นายหน่อย จะได้ทำให้นายแข็งแรงขึ้นบ้าง!” โก่วซินเจียพยักหน้า ลุกขึ้นบอก “เยี่ยเทียน เต๋อหว๋าจึ ฉันจะไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินซวนสักสองสามวันนะ”
“ศิษย์พี่ ไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่าครับ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วส่ายหน้า ในอดีตโก่วซินเจียเคยถูกฝ่ายรัฐบาลเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ถ้าหากมีคนจดจำสถานภาพของเขาได้ อาจจะก่อให้เกิดวิกฤตครั้งใหญ่หลวง
โก่วซินเจียรู้ถึงสิ่งที่เยี่ยเทียนต้องการสื่อ จึงยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรหรอก น้องเหวินซวนจำพี่ไม่ได้ เกรงว่าคนทั้งโลกนี้คงลืมพี่ไปเสียนานแล้ว ศิษย์น้องไม่ต้องเป็นห่วง!”
เรื่องที่โก่วซินเจียเคยสั่งวงการผู้มีคาถาอาคมกระทำเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครล่วงรู้ กระทั่งคนในพรรครัฐบาลที่รู้จักเขาก็ยังมีไม่มาก และสาเหตุที่ซ่งเฮ่าเทียนรู้ ก็เป็นเพราะพวกเขาทั้งสองตระกูลต่างคบหากันมาเนิ่นนานหลายรุ่น
เมื่อปลีกตัวออกจากสังคมไปอยู่บนภูเขากว่าครึ่งศตวรรษ รูปร่างหน้าตาของโก่วซินเจียจึงแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง เขาจึงไม่นึกกังวลว่าในยุคนี้จะมีคนจดจำตัวเองได้
เยี่ยเทียนคิดแล้วเห็นว่าจริง จึงพยักหน้ากล่าว “งั้นก็ตกลงครับ ศิษย์พี่ ผมไปส่งพวกคุณนะ”
“หัวหน้า ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
ตอนที่พาโก่วซินเจียและซ่งเฮ่าเทียนออกไปส่งข้างนอกประตู ฝูเจิ้งหมิงคนนั้นกำลังเดินวนไปวนมาอยู่หน้าทางเข้าเรือนสี่ประสานพอดี เขาร้อนรนเหมือนเสื้อป่านบนกะทะร้อนอยู่เนิ่นนาน พอเห็นซ่งเฮ่าเทียนออกมา ก็รีบปรี่เข้าไปต้อนรับ
“ไม่เป็นไร แค่ดื่มเหล้านิดหน่อยเท่านั้น” ซ่งเฮ่าเทียนโบกมือยิ้มแย้ม พูดขึ้นพลางชี้ไปทางโก่วซินเจีย “เจิ้งหมิง สหายเก่าท่านนี้จะไปอยู่กับฉันสักสองสามวัน นายไปจัดการตามระเบียบให้เรียบร้อยที”
พอถึงระดับขั้นอย่างซ่งเฮ่าเทียน ทุกๆ คนที่ติดต่อกับเขาอย่างใกล้ชิด ล้วนต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นระบบป้องกันภัยอย่างหนึ่ง
“นี่เป็นเอกสารของผม พวกคุณเอาไปเถอะ” โก่วซินเจียหยิบเอกสารยืนยันสถานะในฮ่องกงและใบรับรองนักพรตเต๋าออกมาจากเสื้อคลุมเต๋า ส่งให้กับฝูเจิ้งหมิง
สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นของจริง โก่วซินเจียจึงไม่กลัวว่าพวกเขาจะตรวจสอบ อีกทั้งไม่ว่าคนพวกนี้จะตรวจสอบอย่างไร ก็ไม่อาจพบความสัมพันธ์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับจินเหยี่ยนเตียวเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้ว
ขณะที่โก่วซินเจียกำลังคิดอย่างนั้น จึงเป็นเวลาของรถคันที่เขาและซ่งเฮ่าเทียนนั่งอยู่กำลังแล่นไปบนถนนว่านโส้ว สำนักข่าวกรองขนาดมหึมาก็เริ่มต้นเคลื่อนไหวในทันที
แม้ว่าจะเป็นเวลากลางดึก แต่ทางฝั่งฮ่องกงก็ส่งข้อมูลตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว เอกสารเหล่านี้ล้วนเป็นของจริง อีกทั้งถูกจัดทำขึ้นด้วยฝีมือของถังเหวินหย่วนเอง จึงไม่มีปัญหาใดๆ
เมื่อเหตุการณ์เกี่ยวพันกับถังเหวินหย่วน จึงมีคนระดับเดียวกันโทรศัพท์ไปหาเขา หลังจากได้การรับประกันจากถังเหวินหย่วนแล้ว สถานภาพของโก่วซินเจียก็ได้รับการยืนยัน
และเวลาที่สูญเสียไประหว่างนั้น เป็นเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงสั้นๆ นับจากเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนขับมาจนถึงถนนว่านโส้วเท่านั้นเอง
…
“เหล่าหู มา ชนถ้วยนี้กัน ผู้เฒ่าชาวเมืองปักกิ่งอย่างเราดื่มเหล้าไม่แพ้คนจีนทางเหนือพวกคุณหรอก!” เยี่ยเทียนเพิ่งจะหมุนตัวกลับเข้ามาเรือนกลาง ก็ได้ยินพ่อดื่มเหล้าเสียงดังฟังชัด จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
แม้ความสามารถในการดื่มของพ่อจะไม่แย่ แต่ดื่มกับหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนผู้ฝึกวิชาถึงขั้นกำลังภายใน ก็เหมือนกับตบแมลงวันบนหัวเสือ….รนหาที่ตาย!
เยี่ยเทียนแย่งเหล้าในมือพ่อแล้วพูดขึ้น “พ่อครับ พ่อมาดื่มเหล้าอยู่ตรงนี้ได้ยังไงน่ะ? ไหนบอกว่ามาหาผมเพราะมีธุระไง?”
“มีธุระ? ธุระอะไร?”
เยี่ยตงผิงเวลานี้เมามายจนตาเยิ้ม มองยังเยี่ยเทียนพลางกล่าว “ลูกเอ๊ย วันนี้พ่อมีความสุข ก็ให้พ่อกินให้สะใจเถอะ แม่ของแก…แม่ของแกจะกลับมาแล้ว แกรู้ไหม? “
ขณะที่พูด ดวงตาชายอกสามศอกอย่างเยี่ยตงผิงคนนี้ก็แดงก่ำขึ้นมา สามีภรรยาที่พรากจากกันถึงยี่สิบกว่าปี ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจเขา เวลานี้ได้ถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น
“พ่อ ผมรู้ ดีใจน่ะผมก็ดีใจ!” เยี่ยเทียนพยุงพ่อเอาไว้ พลางเอามือลูบหลังศีรษะของพ่อเบาๆ เยี่ยตงผิงรู้สึกง่วงงุนขึ้นมาทันใด
“เซี่ยวเทียน นายดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเหล่าหูที ให้เขาดื่มจนสาแก่ใจเลย!”
เยี่ยเทียนรู้ถึงความสามารถในการดื่มเหล้าของหูหงเต๋อ ร่างกายของตาแก่นี่พิเศษอย่างยิ่ง หากดื่มกันจริงๆ แล้วถ้าเยี่ยเทียนไม่ใช้วิธีโกงก็คงจะเอาชนะเขาไม่ได้
หลังจากทักทายทั้งสองคนแล้ว เยี่ยเทียนก็พยุงพ่อเข้าไปยังเรือนด้านหลัง เวลาพ่อเบิกบานหรือโศกเศร้าใจหนักๆ ก็จะทำร้ายร่างกายและจิตใจตัวเองได้อย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้เยี่ยเทียนจึงกดจุดลมปรานพ่อ เพื่อให้เขาได้นอนหลับสบาย
เยี่ยเทียนจัดแจงที่ทางให้พ่อนอนแล้ว ก็เกิดความคิดฟุ้งซ่าน สำหรับเขาแล้วแม่เป็นทั้งคำว่าคุ้นเคยและแปลกหน้า เยี่ยเทียนไม่รู้จริงๆ ว่าจะเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อเขาตลอดยี่สิบปีนี้ในอนาคตอย่างไร?
“พ่อคงจะต้องการแม่ยิ่งกว่าเราอีกละมั้ง?”
เยี่ยเทียนมองพ่อที่หลับสนิทแล้วส่ายหน้า เขาเองก็ยังไม่เข้านอน แล้วเดินไปนั่งสมาธิยังเบาะทรงกลมที่สานจากใบของต้นหางแมวตรงหน้าประตูบานนั้น สูดลมหายใจยาว แล้วค่อยๆ เข้าสู่การเดินลมปราณ
“คอแห้งจริง ลูกเอ๊ย เอาน้ำมาให้พ่อแก้วนึง!”
เช้าวันต่อมาหลังจากเยี่ยเทียนออกไปฝึกวิชากลับมายังห้องแล้ว ได้ยินเสียงของพ่อ จึงรีบนำน้ำเชื่อมผสมน้ำผึ้ง
เล็กน้อยส่งให้พ่อ
“ลูก เมื่อคืนพ่อฝันไปหรือเปล่า ฝันว่าแม่ของแกจะกลับมาแล้ว?”
หลังจากดื่มน้ำไปหนึ่งแก้ว เยี่ยตงผิงก็สดชื่นตื่นตัวขึ้นมาก คว้าตัวเยี่ยเทียน ขณะเดียวกันก็ใช้มือซ้ายหยิกขา สีหน้าเผยให้เห็นถึงความหงอยเหงาเศร้าซึม กล่าวว่า “เป็นความฝันจริงๆ ด้วย เพราะหยิกขาแล้วยังไม่รู้สึกเจ็บเลย!”
“พ่อ พ่อไม่เจ็บเพราะที่หยิกมันขาผมไงเล่า?”
เยี่ยเทียนมองพ่อขี้เล่นคนนี้อย่างจะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ไม่ออก เมื่อคืนหลับไปเสียตั้งนาน แต่ก็ไม่สามารถขจัดความยึดติดในใจเขาให้หมดไป และยังคงคิดถึงเรื่องของแม่
“อ้าว? พ่อหยิกขาแกหรอกเหรอ?” เยี่ยตงผิงได้ยินแล้วสะดุ้ง จากนั้นจึงพูดอย่างดีอกดีใจ “งั้น…งั้นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ?”
“เป็นเรื่องจริงครับ” เยี่ยเทียนพยักหน้า เอ่ยปากว่า “พ่อครับ พ่อต้องไปคุยกับทางป้าใหญ่เองนะครับ เพราะเธอให้ความสำคัญกับเรื่องความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยและซ่งสองตระกูลนี้มาก”
“คุยเรื่องอะไร? บาดหมางอะไร?” เยี่ยตงผิงมองมายังลูกชายอย่างสับสน
“ก็ได้ งั้นพ่อนอนต่อไปเถอะ”
ความรู้สึกของเยี่ยเทียนเวลานี้ ใกล้เคียงกับซ่งเฮ่าเทียนเมื่อวาน ทำไมพ่อถึงได้จดจำเพียงเรื่องที่แม่จะกลับมา แต่ดันลืมเรื่องที่เหลือทุกอย่างเสียหมดสิ้น?
“พ่อนึกออกแล้ว เรื่องตีพิมพ์คำขอขมาใช่ไหม? เรื่องนี้เดี๋ยวพ่อไปคุยกับพี่ใหญ่เอง คงไม่มีปัญหาแน่” อาจเป็นเพราะน้ำเชื่อมถ้วยนั้นเริ่มออกฤทธิ์ สติของเยี่ยตงผิงถึงค่อยๆ คืนกลับมา จนเยี่ยเทียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ครับ พ่อครับ เรื่องหลังจากนี้พ่อติดต่อกับคนตระกูลซ่งแล้วกัน ผมไม่ไปพบพวกเขาแล้ว”
จากสาเหตุที่ซ่งเสี่ยวหลงตามล่าสังหารตนหลายต่อหลายครั้ง นอกจากแม่แล้วเยี่ยเทียนจึงมีความรู้สึกไม่ดีต่อคนในตระกูลซ่ง ทั้งหมด ดังนั้นพอแม่กลับมาแล้ว เยี่ยเทียนก็จะไม่คบหาสมาคมกับตระกูลซ่งอีก
“ได้สิ พ่อ…พ่อจะโทรศัพท์หาแม่แกเดี๋ยวนี้” เยี่ยตงผิงรับคำหนึ่งเสียง เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ตรงหัวเตียงเยี่ยเทียน ทว่าเมื่อคว้าโทรศัพท์ได้แล้ว เยี่ยตงผิงกลับหยุดมือในทันใด
เยี่ยเทียนยังไม่เคยได้ยินเสียงของแม่ เดิมทีก็กำลังเฝ้ารออยุ่ แต่เมื่อพ่อกลับนิ่งไป เยี่ยเทียนจึงรีบถามขึ้น “พ่อ เป็นอะไรครับ?”
“ลูกพ่อ เมื่อวานพ่อมีธุระถึงได้มาหาลูกใช่ไหม?” เยี่ยตงผิงวางโทรศัพท์ลง แล้วสีหน้าที่รู้สึกผิดจึงเผยออกมาบนใบหน้า
“โธ่ พ่อ มีธุระหรือไม่มีตัวเองไม่รู้หรือไง? ถึงได้มาถามผม?”
เยี่ยเทียนมองสีหน้าพ่อแล้วขมวดคิ้วพูด “ครั้งนี้พ่อคงต้องไปเจออะไรมาแน่ๆ พ่อ บอกมาเถอะ ถูกใครกลั่นแกล้งชิงทรัพย์หรือชิงสวาทมา?”
“ไปไกลๆ เลย กล้ามาล้อพ่อเรอะ?” เยี่ยตงผิงถูกลูกชายหยอกล้อจนโมโหยิ่งกว่าเขินอาย จึงถีบเยี่ยเทียนแต่ไม่โดน แถมยังเกือบทำเอวตัวเองพลิก
“ธุรกิจมีปัญหานิดหน่อย วันก่อนรับของตบตามาชิ้นหนึ่ง จ่ายเงินไปหมดแล้วด้วยสิ” เยี่ยตงผิงนั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดถึงสาเหตุที่มาหาลูกชาย
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น