หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 440-445

 บทที่ 440 สหพันธรัฐเดือดจัด!

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้สหพันธรัฐจะเดือดจัด แต่ความรู้สึกของประชาชนนั้นสำคัญกว่า สื่อมวลชนตีข่าวเรื่องนี้ไม่หยุด ข้อมูลทั้งจริงทั้งเท็จกระจายไปทั่วสร้างความหวาดกลัวให้กับบรรดาสามัญชนและผู้ฝึกตนในสหพันธรัฐรวมถึงบนดาวดวงอื่นๆ


เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความเสียหายใหญ่หลวง ผู้ฝึกตนหลายหมื่นคนบนดาวพุธดับอนาถจากเชื้อไวรัสปริศนาภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ความหวาดผวาก่อตัวขึ้นราวกับคลื่นยักษ์ซัดเข้าใส่สหพันธรัฐ


บางคนกล่าวโทษว่าเป็นเพราะการมาถึงของยุคกำเนิดวิญญาณ พวกเขาร้องขอให้คนอื่นๆ ทิ้งพลังปราณและเลิกฝึกตน จากนั้นก็หันกลับไปพึ่งพาพลังของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแทน


ภายในสหพันธรัฐมีเหตุการณ์แปลกๆ เช่น การก่อการร้าย พิธีกรรมบูชายัญ และองค์กรที่พยายามติดต่ออารยธรรมนอกระบบสุริยะผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด


มีหลายคนที่โกรธมากกว่ากลัว ทำให้มีกระแสอยากทำการตรวจสอบและแก้แค้นเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในหนึ่งคืนหลังจากโศกนาฏกรรมบนดาวพุธจบลง


ปฏิกิริยาของสหพันธรัฐก็รวดเร็วเป็นอย่างมาก ต้วนมู่ฉีวางมาตรการต่างๆ ไว้พร้อมก่อนจะจัดแถลงข่าวพร้อมแพร่ภาพไปทั่วสหพันธรัฐ เขาเชิญสื่อมวลชนต่างๆ ให้มาร่วมฟังแถลงการณ์เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมบนดาวพุธ!


“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อยากออกแถลงการณ์ฉบับนี้ เพราะไม่มีใครอยากให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้น!”


“แต่มันก็เกิดไปแล้ว…และนี่ก็ไม่ได้เป็นเพราะยุคกำเนิดวิญญาณ แต่เป็นเพราะ…ความอ่อนแอของพวกเราเอง!” ต้วนมู่ฉียืนอยู่ต่อหน้าทั้งสหพันธรัฐขณะออกแถลงการณ์ ใบหน้าเขาดูขมขื่นขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“ความอ่อนแอคือบาปของพวกเรา ข้าไม่อยากจะแต่งคำพูดให้ฟังดูสวยหรู ไม่อยากอธิบายหรือปิดบังอะไร มีเพียงสี่อย่างที่ข้าอยากจะบอก เรื่องแรกคือข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องที่สองคือสิ่งที่ทางรัฐบาลสหพันธรัฐได้ลงมือจัดการและแผนการตอบโต้! เรื่องที่สามและสี่จะได้รู้ในไม่ช้า!


“เรื่องแรก จำนวนผู้เสียชีวิตบนดาวพุธคือ 23,756 คน! ดาวแต่ละดวงนั้นมีชีวิตเป็นของตัวเอง ดาวพุธถูกชิงเอาชีวิตเกินครึ่งไป ทำให้ตอนนี้อยู่ในวงจรชีวิตช่วงสุดท้าย อีกไม่นาน ลูกหลานของเราคงจะได้รู้จักดาวพุธแค่เพียงในนามจากบันทึกประวัติศาสตร์…


“สาเหตุของการตายมาจากเชื้อไวรัสที่ส่งผ่านทางแสง เป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายมากแต่อยู่ได้เพียงสองชั่วโมง ทางสหพันธรัฐได้ศึกษาเชื้อไวรัสและพบหนทางรับมือแล้ว!


“ส่วนคนร้ายนั้น…ยืนยันแล้วว่าเป็นอารยธรรมปริศนานอกระบบสุริยะ!”


เหล่าประชาชนเดือดจัดหลังจากที่ได้ฟังผู้นำสหพันธรัฐแถลงการณ์ แม้จะได้ยินมาแล้วก่อนหน้าจากสื่อต่างๆ แต่หลายคนก็ยังต้องหลั่งน้ำตา ความหวาดกลัวในใจเพิ่มขึ้นสูง ประชาชนในหลายๆ พื้นที่เกือบจะเสียสติไปหลังจากทราบเรื่อง


ต้วนมู่ฉีไม่สนใจ เขาพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจังและน้ำเสียงเคร่งขรึม


“เรื่องที่สอง หลังจากที่เราได้ทราบข่าว ทางสหพันธรัฐได้เปิดใช้งานวงแหวนปราณดวงดาราที่ยังสร้างไม่เสร็จ แม้จะเพิ่งแล้วเสร็จไปครึ่งหนึ่ง วงแหวนปราณก็ยังสามารถผนึกพื้นที่เอาไว้ได้ เรายังเปิดใช้งานวงแหวนปราณต่างๆ ในดาวเคราะห์หลักดวงอื่นๆ กองทัพของสหพันธรัฐก็เริ่มดำเนินการออกค้นหาทั่วระบบสุริยะเพื่อตามล่าตัวคนร้าย พวกเราจะต้อง…แก้แค้นให้จงได้!” ต้วนมู่ฉีประกาศกร้าว เขาไม่ได้มีสีหน้าเคร่งขรึมอีกต่อไป หากแต่แทนที่ด้วยความดุดันอันแฝงไปด้วยความแน่วแน่!


คำประกาศของเขาดังก้องในใจใครหลายคน ประชาชนมากมายนับไม่ถ้วนจากหลายหลากเขตแดนต่างกู่ร้องพร้อมกันว่าจะต้องแก้แค้นให้ได้!


“เรื่องที่สาม ในสหพันธรัฐนั้นไม่ได้ขาดแคลนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ ก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกตนที่น่าเคารพนับถือของพวกเราท่านหนึ่งได้เก็บตัวฝึกวิชาอยู่ จึงไม่เหมาะที่จะเข้าไปรบกวนท่าน แต่เมื่อวานนี้ท่านได้ออกจากการถือสันโดษแล้ว และจะเดินทางออกไปในอวกาศเพื่อตามล่าหาตัวคนร้าย!” ผู้นำสหพันธรัฐยกมือขวาขึ้นขณะที่พูด หน้าจอวิญญาณปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา ภาพห้วงอวกาศสุกสว่างกว้างใหญ่ฉายชัดอยู่บนจอ มีเรือบินรูปทรงเหมืองกระบี่พุ่งทะยานอยู่กลางห้วงอวกาศ ในเรือบินลำนั้นมีชายชราคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่!


ภาพชายชราดูพร่ามัว มองได้ไม่ชัดว่าเป็นผู้ใด ห้วงอวกาศไหวกระเพื่อมเมื่อเรือบินเคลื่อนผ่านปรากฏเป็นภาพเหนือคำบรรยาย ทันใดนั้นชายชราก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นแสงลุ่มลึกในแววตา สายตาของเขาพุ่งผ่านจอภาพบีบคั้นจิตวิญญาณของทุกคนที่ได้มอง


การปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณช่วยคลายความตึงเครียดของสถานการณ์และความหวาดผวาในใจผู้คน ผู้ฝึกตนหลายคนเริ่มฮึกเหิมเมื่อได้ฟังแถลงการณ์ พวกเขารู้ดีว่าขั้นจุติวิญญาณนั้นเยี่ยมยอดเพียงใด ทำให้เริ่มตื่นเต้นมากขึ้น ราวกับได้พบแสงแห่งความหวัง


“เรื่องที่สี่ ทางสหพันธรัฐนั้นได้ประดิษฐ์…ระเบิดต้านทานวิญญาณเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในระยะต้น แต่พลังหลังจากระเบิดนั้น…มีระดับเทียบเท่าขั้นจุติวิญญาณ!”


“ระเบิดต้านทานวิญญาณที่สั่งผลิตชุดแรกมีทั้งหมดหนึ่งพันลูก! หากระเบิดไปสักครึ่งหนึ่งคงสามารถฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณลงได้! ไม่ว่าอารยธรรมจากนอกระบบสุริยะจะแกร่งกล้าเพียงใด ก็ต้องสยบให้กับ…ระเบิดหนึ่งพันลูกของเรา!” ผู้นำสหพันธรัฐประกาศก้อง แม้จะไม่มีบันทึกภาพตัวอย่างระเบิดต้านทานวิญญาณให้ชม แต่ด้วยหลักฐานต่างๆ จากสามเรื่องแรกที่ได้เห็นทำให้ประชาชนปักใจเชื่อเรื่องที่สี่ ความเชื่อมั่นครั้งนี้ทำให้ความหวาดกลัวในใจปลิวหายไป


แถลงการณ์ของต้วนมู่ฉีประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณและระเบิดต้านทานวิญญาณช่วยทำให้ประชาชนมั่นใจในสหพันธรัฐมากขึ้น


แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่คิดว่าแม้จะมีการประดิษฐ์ระเบิดต้านทานวิญญาณได้สำเร็จจริง ก็คงไม่ได้มีจำนวนมากอย่างที่พูด ไม่น่าจะมีถึงพันลูก ได้สักร้อยลูกก็ถือว่าโชคดีพอแล้ว


ต้วนมู่ฉีไม่ปล่อยให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น เขาโบกมือหนา พลันหน้าจอก็แปรเปลี่ยน ปรากฏเป็นภาพเงาของผู้นำคณะเสนาบดี


“คณะเสนาบดีจะให้ความร่วมมือกับทางสหพันธรัฐอย่างเต็มที่เพื่อให้มั่นใจว่าคนร้ายจะต้องได้รับการลงโทษ พวกเราจะสู้จนตัวตาย!”


“กลุ่มไตรจันทราจะให้ความร่วมมือในการทำศึกครั้งนี้อย่างเต็มที่!”


“ตระกูลนภาห้าสมัย…”


“สำนักรุ่งสางจักรพิภพ…”


“สำนักสหชุมนุมสกุณา…”


“สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าขอสาบานว่าจะปกป้องสหพันธรัฐไว้ด้วยชีวิต!”


ภาพเงาของผู้นำคณะเสนาบดีหายไปก่อนจะแทนที่ด้วยตัวแทนจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวเพียงคนเดียว หากแต่มีกองทัพผู้ฝึกตนอยู่ด้านหลัง นัยน์ตาของทุกคนดูแน่วแน่และดุดัน สีหน้าฉายชัดว่าต้องการแก้แค้น


ประชาชนทั่วสหพันธรัฐเลิกเป็นกังวล เจ้าพนักงานของสหพันธรัฐในแต่ละเมืองเริ่มออกดูแลประชาชนเพื่อช่วยคลายความกังวลใจ ความโกลาหลครั้งนี้จบลงไปได้ อีกทั้งยังช่วยรวมใจประชาชนทุกคนเป็นหนึ่ง!


เสียงเรียกร้องหาความยุติธรรมและการแก้แค้นกลายเป็นเรื่องสามัญทันใด อีกทั้งยังค่อยๆ แผ่วงกว้างออกไปทั่วสหพันธรัฐ ห่างออกไปในห้วงอวกาศ แมงกะพรุนสีดำที่พรางตัวเป็นหนึ่งเดียวกับผืนอวกาศมืดมิดกำลังเคลื่อนตัวไปในระบบสุริยะ มันอยู่ไม่ไกลจากดาวอังคาร ดูจากเส้นทางที่เคลื่อนตัวแล้ว แมงกะพรุนสีดำจะต้องผ่านดาวอังคารไป!


ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนทั้งสามไม่อยากออกจากระบบสุริยะไป แต่การสั่งปิดระบบสุริยะของสหพันธรัฐทำให้พวกเขาต้องรอบคอบขึ้น อีกทั้งยังจับสัมผัสผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสองคนที่เหมือนกำลังตามหาตัวพวกเขาอยู่


ทั้งสามระแวดระวังตัวมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งน่าสะพรึงกลัวหลายอย่าง แต่รางวัลที่ได้จากการบุกดาวพุธก็ทำให้พวกเขาพึงพอใจยิ่งนัก ทั้งสามคนตัดสินใจว่าจะรีบหนีออกไปให้เร็วที่สุดเมื่อมีโอกาส


“ยังมีสร้อยหยกของผู้อาวุโสช่วยพรางตัว ข้าคิดว่าเราน่าจะทำได้อีกสักครั้ง…จากนั้นค่อยฝ่าวงแหวนปราณหนีไป!”


“เสี่ยงไม่เบาเลยนะ…”


พวกเขาถกกันพักหนึ่งก็ได้ข้อสรุปว่าจะไม่ทำตามแผนการเมื่อครู่ ทันใดนั้นแมงกะพรุนสีดำที่กำลังเคลื่อนตัวไปก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับว่ากำลังส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างทำให้ชายทั้งสามตาเบิกกว้าง ชายหน้าตะขาบรีบหยิบเข็มทิศออกมาก่อนจะตั้งผนึกฝ่ามือ


เข็มทิศส่องแสงทันใด ภาพดาวอังคารปรากฏขึ้น มันซูมภาพเข้าอยู่หลายครั้งจนเผยให้เห็นว่าสิ่งที่นอนนิ่งอยู่ใต้ดินลึกสุดของดาวอังคารคือทะเลแห่งเงามืด!


แม้จะไม่เห็นรายละเอียด แต่พวกเขาก็สัมผัสถึงพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลจากเงานี้ผ่านเข็มทิศ


“วัตถุเวทแห่งความมืด สวรรค์ เป็นวัตถุเวทแห่งความมืดจริงๆ! ไม่แปลกใจว่าทำไมธาราจอมตะกละถึงมีอาการเช่นนี้!”


“เป็นไปได้อย่างไรกัน! ใช่วัตถุเวทแห่งความมืดจริงๆ ด้วย ตำนานกล่าวไว้ว่ามีวัตถุเวทแห่งความมืดเพียงไม่กี่ชิ้นหลงเหลืออยู่ในจักรวาล แถมยังบอกอีกว่าผู้ใดที่ครอบครองวัตถุเวทแห่งความมืดจะมีอำนาจเหนือวัฏจักรชีวิต ความตาย และการเกิดใหม่!”


พวกเขาหายใจถี่ รู้สึกสับสน ผ่านไปพักใหญ่ ทั้งสามก็หันมองหน้ากัน รู้ดีว่าคงจะไม่ตายตาหลับถ้าหนีกลับออกไปเสียเฉยๆ ทั้งสามกัดฟันแน่นพร้อมตัดสินใจ


“ลองไปดูกัน หากมีโอกาสชิงมาได้ก็ให้ลงมือ แต่ถ้าไม่ ก็จะหนีไปทันทีและติดต่อหาเหล่าผู้อาวุโส เราจะเรียกกำลังเสริมมาทำลายล้างอารยธรรมนี้และช่วงชิงทุกอย่างมาให้หมด!” นัยน์ตาสีแดงของทั้งสามเข้มขึ้น พวกเขาคุมแมงกะพรุนสีดำมุ่งหน้าตรงไปยังดาวอังคาร!


บทที่ 441 วิกฤติ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

โศกนาฏกรรมบนดาวพุธสร้างผลกระทบครั้งใหญ่ให้ทั้งสหพันธรัฐ ทุกคนตื่นตกใจไปกันหมด บนดาวอังคารเองก็ไม่ต่างกัน ประชาชนมากมายฟังแถลงการณ์ของผู้นำสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉี หลังจากนั้นเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารก็ออกแถลงการณ์เช่นกัน


แถลงการณ์ของนางทำให้ทราบถึงเจตจำนงแน่ชัดว่าจะจับคนร้ายมาลงโทษ รวมถึงรังสีอำมหิตแรงกล้าจากน้ำเสียงของนาง มีการเปิดใช้งานวงแหวนปราณดาวอังคารเต็มขั้นเพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายที่ก่อโศกนาฏกรรมบนดาวพุธมาโจมตีดาวอังคารได้


ดาวอังคารระมัดระวังตัวเต็มที่ มีการส่งกองทัพประจำดาวอังคารออกไปลาดตระเวน นครหลักดาวอังคารได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา เหล่าผู้ฝึกตนมากความสามารถ รวมถึงต้นไม้ยักษ์ ต่างเฝ้าจับตาดูห้วงอากาศอยู่ไม่ห่าง


ด้านนครใหม่แห่งดาวอังคารก็มีการป้องกันแน่นหนาเช่นกัน โศกนาฏกรรมบนดาวพุธทำให้แผนการของตระกูลนภาห้าสมัยในการเลื่อนขั้นนครไปเป็นเขตนครพิเศษล่าช้าออกไป ตอนนี้หวังเป่าเล่อยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมือง มีอำนาจสั่งการเด็ดขาด


แม้จะอยู่ระหว่างถือสันโดษ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง โศกนาฏกรรมบนดาวพุธนั้นถือเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง หลี่หว่านเอ๋อร์ หลินเทียนหาว จินตั้วหมิงและคนอื่นๆ รีบรายงานเหตุการณ์ให้เขาทราบทันที บนเครือข่ายวิญญาณยังมีการถกเถียงกันถึงประเด็นนี้อย่างร้อนแรง


เป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อเปิดใช้งานวงแหวนปราณของนครใหม่เต็มขั้นก่อนที่คำสั่งเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารจะส่งมาถึงเสียอีก ชายหนุ่มสั่งให้กงเต๋าเพิ่มระดับมาตรการป้องกันภัยในนครใหม่เต็มขั้นเพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นบนดาวอังคาร


ขณะนั้นเอง ทางสหพันธรัฐก็คิดค้นวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสปริศนาที่ส่งผ่านทางแสงได้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องแจกจ่ายวัคซีนให้ประชาชนทีละคน เพียงแค่หลอมวัคซีนเข้ากับวงแหวนปราณก็สามารถสร้างกระบวนการคุ้มกันได้แล้ว


วัคซีนดังกล่าวส่งมาถึงดาวอังคารเรียบร้อย ทั้งนครหลักและนครใหม่หลอมวัคซีนเข้ากับวงแหวนปราณเสร็จสรรพ ศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณบนดาวอังคารเองก็ทำงานเต็มที่ ทำให้พวกเขามีระเบิดต้านทานวิญญาณสิบลูกเตรียมไว้พร้อมสำหรับใช้งาน


ขณะนี้ดาวอังคารได้เตรียมพร้อมรับมือการบุกรุกที่เกิดขึ้นบนดาวพุธเต็มที่ นอกจากจะสามารถรับมือได้แน่นอนแล้ว ยังมีโอกาสสังหารเหล่าผู้บุกรุกได้ด้วยซ้ำ


ทว่า…การเตรียมการทั้งหมดมาจากข้อมูลที่ทางสหพันธรัฐได้จากการบุกรุกบนดาวพุธ เป็นเพียงการรับมือ สหพันธรัฐสามารถต้านทานการโจมตีที่อารยธรรมนอกระบบสุริยะเคยใช้ก่อนหน้านี้ได้ แต่คงรับมือได้ยากหากเผชิญการโจมตีรูปแบบใหม่


ขณะนั้นเอง แมงกะพรุนสีดำยังคงพรางกายด้วยสร้อยหยกของผู้อาวุโสที่คนร้ายทั้งสามพูดถึง และค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ดาวอังคารอย่างเงียบเชียบ


วงแหวนปราณดาวอังคารไม่สามารถจับสัมผัสมันได้เนื่องจากความต่างชั้นของอารยธรรม สหพันธรัฐนั้นยังอยู่ในช่วงต้นของการก่อสร้างอารยธรรม แม้จะมีพลังอำนาจกล้าแกร่งแต่ก็ยังขาดการพัฒนาในหลายๆ ด้าน


ทว่ายุคกำเนิดวิญญาณเองก็เพิ่งเปิดฉากขึ้นในสหพันธรัฐได้เพียงสี่ทศวรรษ การพัฒนาอารยธรรมได้ขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ ถือเป็นเรื่องเหนือจินตนาการสำหรับอารยธรรมอื่นๆ!


หากให้เวลาสหพันธรัฐอีกสักหกสิบปี อารยธรรมของพวกเขาคงจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าปัจจุบันมาก


แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอนาคต ตอนนี้แมงกะพรุนกำลังเคลื่อนตัวเข้าประชิดอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้คิดใช้วิธีการเดียวกับดาวพุธ มันหยุดประมวลผลเหนือวงแหวนปราณดาวอังคาร ผ่านไปพักใหญ่ก็มีแสงสว่างส่องออกมาจากลำตัวสีดำ ก่อนจะแปรเปลี่ยนกายให้เข้ากับวงแหวนปราณ จากนั้นก็ออกตัวพุ่งทะยานไปข้างหน้า ฝ่าอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารเข้าไปในชั้นบรรยากาศ!


ไม่มีใครสังเกตเห็นมัน วงแหวนปราณเองก็จับสัมผัสสิ่งแปลกปลอมไม่ได้แม้แต่นิด ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าแมงกะพรุนสีดำได้เข้ามาเยือนดาวอังคารแล้ว…


ผู้ฝึกตนสามคนในแมงกะพรุนไม่ได้ใช้วิธีการเดียวกันกับที่ใช้บนดาวพุธเพื่อความรอบคอบ พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะระวังตัวเป็นพิเศษบนดาวอังคาร เป้าหมายหลักคือการตรวจสอบพื้นที่ หากช่วงชิงอะไรมาได้ก็จะทำ หากทำไม่ได้ก็จะรีบหนีกลับดาวและรายงานให้ผู้อาวุโสทราบ


แมงกะพรุนสีดำไม่ได้ลงมือสังหารโหดหรือหยุดนิ่งหลังจากเข้ามาในดาวอังคาร มันพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็วราวกับทำการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา มุ่งหน้าไปยังนครใหม่…ที่มีสุสานอาวุธเทพใต้ดินตั้งอยู่!


มันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วจนเกินขีดจำกัดของตัวเอง เพียงครู่เดียว มันก็มาถึงด้านนอกของนครใหม่!


ชายสามคนในแมงกะพรุนจ้องนครใหม่ตาเขม็ง นัยน์ตาสีแดงฉายแววดูแคลนสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หากแต่พอเลื่อนสายตามองลงไปใต้นคร ความตื่นเต้นหิวกระหายก็ฉายชัดขึ้นแทนที่


“เจอทางเข้าแล้ว!” ชายคนหนึ่งผู้ขึ้น เขารีบตั้งผนึกฝ่ามือ ภาพนครใหม่ปรากฏขึ้นบนเข็มทิศ…เป็นภาพอุโมงค์ใต้ดินสายหนึ่งที่เชื่อมไปยังตัวสุสาน!


อุโมงค์ดังกล่าวเป็นพื้นที่หลักที่สุสานอาวุธเทพใต้ดินตั้งอยู่


“ไปกันเถอะ!” ชายหน้าตะขาบยิ้มกริ่ม ก่อนจะยกลิ้นเลียริมฝีปาก เมื่อสิ้นคำ แมงกะพรุนสีดำก็พุ่งผ่านวงแหวนปราณนครใหม่ มุ่งหน้าตรงไปยังสุสานอาวุธเทพใต้ดิน!


จุดที่พวกเขามุ่งหน้าไปนั้นเป็นสถานที่เดียวกับที่หวังเป่าเล่อเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ ชายหนุ่มกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องลับที่ขุดขึ้นในอุโมงค์ภายในสุสานเพื่อฝึกตนให้บรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน


 ปราณมืดอัดแน่นในอากาศ ช่วยให้ระดับพลังปราณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าโศกนาฏกรรมบนดาวพุธจะทำให้แผนการเลื่อนขั้นนครใหม่บนดาวอังคารล่าช้าไป แต่เขาก็รู้ดีว่าตระกูลนภาห้าสมัยคงไม่ยอมรามือไปง่ายๆ หลังจากจบเรื่องนี้ไป พวกนั้นจะต้องยกแผนการนี้ขึ้นมาอีกครั้งแน่


เป็นเหตุให้ชายหนุ่มต้องบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในให้เร็วที่สุด แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนดาวพุธด้วยตาตนเอง แต่ด้วยตำแหน่งของเขาทำให้ได้ทราบข้อมูลจากเอกสารลับและพบว่าดาวพุธสูญเสียต้นกำเนิดดาราไปมากกว่าครึ่ง!


ทางสหพันธรัฐยังได้เบาะแสบางอย่างมาทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่าธาราจอมตะกละจากภายนอกได้เข้ามาในระบบสุริยะ แต่ไม่ทราบจำนวนและระดับการฝึกตนแน่ชัด คาดว่าน่าจะมีจำนวนไม่มากและไม่น่ามีระดับการฝึกตนที่กล้าแกร่งเกินไป มิเช่นนั้นคงไม่เลือกมุ่งเป้าไปที่ดาวพุธที่อ่อนแอสุด


เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนักถึงความสำคัญของระดับการฝึกตน ชายหนุ่มรู้แล้วว่าความสงบสุขที่เคยวาดฝันไว้นั้นไม่มีอยู่จริง สันติสุขนั้นได้หายไปจากจักรวาลตั้งแต่วินาทีที่กระบี่สำริดเขียวโบราณพุ่งปักดวงอาทิตย์แล้ว


ชายหนุ่มดูแถลงการณ์ของผู้นำสหพันธรัฐขณะที่ถือสันโดษอยู่ เขาปิดปากเงียบมาตั้งแต่เกิดเรื่อง  ในใจรู้สึกสับสนไปหมด แต่ก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ต้วนมู่ฉีกล่าว


“ความอ่อนแอคือบาปของพวกเรา!”


ประโยคนี้ยังก้องอยู่ในหัวหวังเป่าเล่อ เป็นดังแรงผลักดันให้เขามุ่งมั่นกับการฝึกวิชายิ่งขึ้น ทุ่มเททั้งกายและใจไปกับการฝึกตนเพื่อที่จะก้าวผ่านขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์


พลังปราณของหวังเป่าเล่อแผ่กระจายไปทั่วกายราวคลื่นยักษ์ เป้าหมายคือบรรลุไปยังขั้นกำเนิดแก่นใน ทันใดนั้นร่างของชายหนุ่มก็สั่นเทิ้มเนื่องจากสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนผ่านวงแหวนปราณเป่าเล่อเข้ามา!


ความรู้สึกนั้นเหมือนดังลมหนาวพัดกระทบร่างในวันที่แดดออกจ้า หวังเป่าเล่อตัวสั่นระริกก่อนจะเบิกตากว้าง


ทันทีที่เขาลืมตา เงาแมงกะพรุนสีดำก็ปรากฏขึ้นภายในสุสานอาวุธเทพใต้ดินอย่างไร้แหล่งที่มา!


แมงกะพรุนมีขนาดใหญ่ยักษ์ กินพื้นที่ไปกว่าครึ่ง ชายหนุ่มอึ้งไป สีหน้าดูตื่นตระหนก เขาคิดจะถอยหนี แต่ก่อนจะทันได้ทำอะไร ดวงจิตกล้าแกร่งก็เข้าครอบงำหวังเป่าเล่อ ส่งผลให้เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้แม้แต่นิด ดวงจิตเข้าตรวจสอบร่างกายหวังเป่าเล่ออย่างละเอียด


“หืม!”


“นี่มัน…ดอกบัวเขียวเช่นนั้นหรือ สวรรค์ ทำไมถึงมีดอกบัวเขียวอยู่ในร่างอนารยชนตนนี้ได้”


“เสียดายที่เราไม่รู้ระดับของดอกบัวเขียว อีกอย่างมันก็ผสานเข้ากับร่างอนารยชนตนนี้อย่างสมบูรณ์ไปแล้ว แต่เราก็จับมันเป็นๆ ไปขายให้ตระกูลไม่รู้สิ้นที่ชอบสะสมของหายากได้ คงจะขายได้ราคาดีไม่น้อย!”


เสียงตื่นเต้นดังก้องในหูหวังเป่าเล่อขณะผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสามคนก้าวลงจากแมงกะพรุน พวกเขาดูยินดีปรีดามาก ชายหน้าตะขาบยกมือขวาตั้งผนึกฝ่ามือย่อขนาดแมงกะพรุนและเก็บกลับไป ชายทั้งสามยืนจ้องหวังเป่าเล่อด้วยนัยน์ตาพึงพอใจ


หวังเป่าเล่อขยับตัวไม่ได้แม้แต่นิด ลมหายใจของเขาเหมือนจะหยุดชะงักไปเช่นกัน แต่สติยังตื่นอยู่ ความรู้สึกหวาดผวาต่อภัยอันตรายที่มากกว่าครั้งไหนๆ ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ!


ความรู้สึกนี้เกิดจากรังสีกดดันที่พวยพุ่งออกมาจากผู้ฝึกตนชุดเกราะเกล็ดสามคนที่อยู่เบื้องหน้า พลังที่สัมผัสได้แกร่งกล้ากว่าผู้ฝึกตนทุกคนที่เขาเคยพบเจอมา แม้แต่ต้วนมู่ฉีเองยังเทียบไม่ติด!


พวกเขาคือ… ในหัวชายหนุ่มอื้ออึงไปหมด ราวกับโดนคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่


ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ!


บทที่ 442 การต่อสู้อันดุดัน!

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังเป่าเล่อตระหนักได้ทันทีว่าชายทั้งสามเป็นใคร ชุดเกราะแปลกตาและนัยน์ตาสีแดงบ่งบอกว่าพวกเขาไม่ใช่คนภายในสหพันธรัฐ!


กระจ่างชัดเจนว่าคนเหล่านี้คือผู้ใด


เหล่าผู้ฝึกตนจากอารยธรรมภายนอก ผู้ก่อการร้ายบนดาวพุธ! หวังเป่าเล่อสงบใจที่แตกตื่นลงได้อย่างประหลาดเมื่อทราบตัวตนของอีกฝ่ายรวมถึงภัยอันตรายที่คอยอยู่ บอกได้เลยว่าครั้งนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่เคยเจอมา


หากมีอะไรผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ร่างกายและวิญญาณของชายหนุ่มคงจะแหลกสลายไม่มีชิ้นดี โชคดีที่อีกฝ่ายต้องการตัวเขาเป็นๆ แม้ว่าทั้งสามจะใช้คาถาตรึงร่างตนไว้ แต่ก็ไม่ได้คุมจิตแต่อย่างใด อาจเพราะพวกเขามั่นใจในตัวเองมากหรือไม่ก็ด้วยเหตุผลอื่น ทำให้สติของหวังเป่าเล่อยังอยู่ครบแม้จะขยับร่างไม่ได้


เขาสามารถปล่อยเคล็ดวิชาลับได้ในสภาพสติครบสมบูรณ์เช่นนี้! แต่ก็ต้องระวังเรื่องจังหวะให้เหมาะสม ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรอคอยเวลาอย่างใจเย็นแม้จะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายก็ตาม


ไม่ต้องรอนาน หลังจากความคิดต่างๆ ผุดขึ้นในหัว หนึ่งในสามผู้ฝึกตนก็เดินตรงเข้ามาหา ก่อนจะยกมือขวาเอื้อมมาคว้าตัวหวังเป่าเล่อไป!


ผู้ฝึกตนอีกสองคนไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่าแม้เขาจะมีดอกบัวสีเขียวไม่ทราบระดับอยู่ในกาย แต่คนเหล่านั้นก็มองชายหนุ่มเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นคนหนึ่งเท่านั้น


ทั้งคู่จ้องมองไปยังส่วนลึกสุดของสุสาน ราวกับว่ากำลังหาอะไรบางอย่างอยู่


แม้จะอธิบายมายืดยาว แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ขณะที่ผู้ฝึกตนสองคนจ้องมองไปทางส่วนลึกสุดของสุสาน หวังเป่าเล่อร้องคำรามขึ้นในใจ


“เบิก…”


ขณะที่ถ้อยคำดังก้องอยู่ในหัว ฟากฟ้าของดาวอังคารก็สั่นคลอน เมฆาหมุนวนปั่นป่วนสรวงสวรรค์ พลังจากสุดขอบของจักรวาลพุ่งทะลุดวงดาราฟาดฝ่าเข้าใส่หวังเป่าเล่อ


ทันใดที่พลังกล้าแกร่งปรากฏ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่จับตัวหวังเป่าเล่ออยู่ก็ผงะไป ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงขณะถอยหลังกลับตามสัญชาตญาณ ก่อนจะลั่นวาจาออกมาด้วยความตื่นตกใจ


“ใครกัน!”


ไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียวที่ตื่นตกใจ ชายหน้าตะขาบและผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอีกคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดถูกดึงสติกลับมาด้วยความตื่นตระหนก ทั้งคู่รีบถอยกลับพลางเอ่ยขึ้น


“เกิดอะไรขึ้น!”


“พลังนี่มัน…”


เกิดเสียงปริแตกดังออกมาจากตัวหวังเป่าเล่อ คาถาที่สะกดชายหนุ่มไว้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้เขากลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง หวังเป่าเล่อไม่ลังเลใจ รีบพุ่งไปยังวงแหวนปราณเพื่อส่งสัญญาณเตือนทันทีที่ขยับตัวได้!


ทันทีที่เขาส่งสัญญาณเตือนสำเร็จ ผู้คนภายนอกเช่นหลี่หว่านเอ๋อร์ก็จะเตรียมตัวพร้อมรบ เจ้านครเองก็จะเอะใจเมื่อพบการเปลี่ยนแปลงกะทันหันของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร


แม้ชายหนุ่มจะรู้ดีว่าตนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย แต่วิธีนี้ก็เป็นทางที่ดีที่สุดในตอนนี้


ทันใดที่หวังเป่าเล่อกลับมาเคลื่อนไหวได้และกำลังจะพุ่งไปยังวงแหวนปราณเพื่อส่งสัญญาณเตือน ดวงตาของชายหน้าตะขาบก็พลันฉายแสง เขาตั้งผนึกฝ่ามือขึ้นแม้จะยังตื่นตกใจอยู่ เข็มทิศมายาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าในทันที มันเรืองแสง ปล่อยลำแสงมากมายออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวลำแสงก็ก่อตัวเป็นเกราะกำบังกันหวังเป่าเล่อไม่ให้เข้าใกล้วงแหวนปราณ


พลังที่น่าตื่นตะลึงนี้เป็นพลังลึกลับที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก เขาสัมผัสได้ว่าตนถูกตัดการเชื่อมต่อกับวงแหวนปราณในทันใด


“บ้าจริง!” ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด ไม่มีเวลามัวครุ่นคิด เขาเตรียมหลบหนีออกไปขณะท่องเคล็ดวิชาอยู่ในใจ ดวงจิตจากสุดขอบจักรวาลตื่นขึ้นอีกครั้ง ความเร็วของหวังเป่าเล่อพวยพุ่งขึ้นจนเกินขีดจำกัด


แต่ชายหนุ่มก็มีระดับการฝึกตนเพียงขั้นรากฐานตั้งมั่น…ขณะที่เขากำลังจะพุ่งออกจากสุสานไป ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั้งสามก็ได้สติ แม้จะตื่นตกใจและหวาดเกรงดวงจิตที่แกร่งกล้า แต่พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นเพียงพลังหลอกๆ ผู้ฝึกตนคนหนึ่งแค่นเสียงทางจมูกและยกมือหนาขึ้นโบก ทันใดนั้น พลังรุนแรงก็ก่อตัวขึ้นในอากาศ ก่อนจะพวยพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ


ชายหนุ่มร่างกระตุก กระอักเลือดออกมาทางปาก อาภรณ์ของเขาขาดวิ่น เผยให้เห็นชุดเกราะอาวุธเวทระดับแปดที่แตกร้าว ชุดเกราะอาวุธเวทช่วยไม่ให้หวังเป่าเล่อตายจากการโจมตีเมื่อครู่ แต่อวัยวะต่างๆ ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก โชคดีที่ชายหนุ่มอึดพอและฟื้นฟูตนเองได้อย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นเขาก็ยังกระอักเลือดออกมาหลายระลอกส่งผลให้สติเริ่มพร่ามัว


“เจ้านั่นใส่ชุดเกราะ! แถมยังมีอะไรแปลกๆ มาช่วยกันจัดการมันก่อน!”


“เจ้านั่นมีดอกบัวสีเขียวอยู่ในกาย แถมยังสามารถปล่อยพลังกล้าแกร่งได้ระดับนั้น…ไหนจะมาฝึกวิชาอยู่ที่นี่อีก อาจเป็นบุตรแห่งโชคลาภของอารยธรรมนี้ก็เป็นได้!” ชายหน้าตะขาบกล่าว ก่อนจะพุ่งตามหวังเป่าเล่อไป ผู้ฝึกตนอีกสองคนก็ตามหลังไปเช่นกัน แม้ทั้งสามจะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณในขณะที่เป้าหมายอยู่เพียงขั้นรากฐานตั้งมั่น แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ใส่ใจระดับขั้นการฝึกตนแล้ว


มูลค่าของหวังเป่าเล่อทวีคูณขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ


เมื่อทั้งสามร่วมมือกัน ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณยังรับมือได้ยาก แถมหวังเป่าเล่อก็ยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น ความตายกำลังคอยเขาอยู่ไม่ไกล ความสิ้นหวังฉายชัดในแววตา ระดับขั้นที่ต่างกันมากทำให้ชายหนุ่มไร้ซึ่งหนทางตอบโต้ ที่เขาทำได้มีเพียงเท่านี้จริงๆ


ชายหนุ่มรู้ดีว่าต้องตายแน่หากโดนโจมตี!


ขณะที่กำลังเข้าตาจนเมื่อผู้ฝึกตนทั้งสามมาปรากฏตัวข้างๆ ทันใดนั้นก็มีแสงจ้าพวยพุ่งออกมาจากตัวหวังเป่าเล่อ หน้ากากนิลลอยออกมา พลันแสงสีดำก็ระเบิดออกส่องแสงจ้าก่อนจะก่อตัวเป็นร่างมายาของแม่นางน้อย!


แม่นางน้อยมีสีหน้าเคร่งเครียด นางยกมือขวาชี้นิ้วไปทางกลุ่มผู้ฝึกตน ตาข่ายมายาหลายชั้นปรากฏขึ้นกลางอากาศก่อนจะร่วงใส่ชายทั้งสาม ขัดขวางพวกเขาไว้


เห็นได้ชัดว่าตาข่ายนี้คงจะกันไว้ได้แค่ชั่วครู่ นางมีพลังจำกัดเพียงเท่านี้ ร่างของนางเริ่มจางลง แม่นางน้อยกระซิบบอกเสียงแข็ง เสียงของนางดังก้องอยู่ในหัวชายหนุ่ม


“รีบหนีไป!”


หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปเมื่อได้ยินที่แม่นางน้อยพูด รู้ดีว่าการจะหนีออกไปข้างนอกเป็นคงยาก ถึงหนีออกไปได้ก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรต่อ…


ชายหนุ่มไม่มีวิธีรับมือเพื่อประวิงเวลารอเจ้านครมาช่วย และหากหนีออกไปด้านนอกก็จะเป็นอันตรายกับนครใหม่ หวังเป่าเล่อรู้ว่าทั้งสามไม่อยากให้ตัวตนถูกเปิดเผยจากการที่พวกเขาพยายามห้ามไม่ให้ตนส่งสัญญาณเตือน หมายความว่าตราบใดที่ตัวตนของเหล่าผู้บุกรุกไม่ถูกเปิดโปง นครใหม่ก็จะไม่โดนทำลาย!


หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกอื่น เหลือตัวเลือกอยู่เบื้องหน้าเพียงหนึ่งเดียว!


นั่นก็คือ…สุสานอาวุธเทพใต้ดิน!


แม่นางน้อยเคยบอกว่าวัตถุเวทแห่งความมืดเป็นของนาง ชายหนุ่มจึงคิดจะเสี่ยงดวงกับมันดู!


ความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัว หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่น หายใจถี่รัว เลิกล้มความตั้งใจที่จะหนีออกไป เขาหันกลับมุ่งหน้าทะยานลึกเข้าไปในสุสานด้วยความเร็วเต็มพิกัด โดยมีกำแพงน้ำแข็งที่ส่วนลึกสุดของสุสานเป็นจุดหมาย


“หวังเป่าเล่อ เจ้าจะไปไหน” ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว เสียงของแม่นางน้อยก็ดังขึ้นในหัว น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล


“แม่นางน้อย เจ้าช่วยคุมวัตถุเวทแห่งความมืดให้เปิดทางให้ข้าได้ไหม”


“ข้า…” แม่นางน้อยอึ้งไปในทันที


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังมุ่งหน้าลึกเข้าไปในสุสานพลางสนทนากับแม่นางน้อย ผู้บุกรุกทั้งสามก็ปลดปล่อยพลังทำลายตาข่ายของแม่นางน้อยทิ้งได้สำเร็จ


“ไอ้เวรนี่มีความลับอะไรบางอย่างเก็บซ่อนไว้!”


“วิญญาณวุธนั่นมันอะไรกัน ดูอ่อนแอแต่แค่ชี้นิ้วก็สามารถหยุดพวกเราไว้ได้พักหนึ่ง!”


ชายทั้งสามหายใจถี่รัว ความหิวกระหายฉายชัดในแววตา การโจมตีที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาเมื่อครู่ทำให้นัยน์ตาของพวกเขาแดงก่ำไปด้วยความโลภ


พวกเขารีบพุ่งตามหวังเป่าเล่อไปในทันที นอกจากจะรวดเร็วมากแล้วยังใช้วิชาเคลื่อนย้ายพริบตาทำให้เกือบจะตามชายหนุ่มได้ทัน หวังเป่าเล่อพบว่าตนไม่มีเวลาเหลือให้เจรจากับแม่น้อยอีก เขาร้องคำราม เมล็ดดูดกลืนในกายตื่นขึ้น ปลดปล่อยแรงสูบดึงร่างของตนไปยังกำแพงเบื้องหน้า เขาเคลื่อนตัวเร็วเสียจนทิ้งร่างเงาไว้เบื้องหลัง ร่างกายของชายหนุ่มไม่สามารถทนความเร็วอันล้นเหลือนี้ได้ จึงเริ่มผุดรอยฉีกขาดมากมายขึ้นบนผิวขณะเคลื่อนตัวไป


เขากัดฟันทนความเจ็บปวด ยกกระบี่บินอาวุธเวทระดับเจ็ดโยนไปข้างหน้าพร้อมตะโกนสุดเสียง


“จงระเบิด!”


แรงระเบิดของอาวุธเวทระดับเจ็ดจะส่งคลื่นพลังมหาศาลไปทั่วสุสาน หากไม่มีใครหยุดการระเบิดหรือแรงปะทะหลังจากระเบิดไว้ แรงปะทะก็จะไปกระตุ้นวงแหวนปราณ อีกทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปนอกสุสานทางอ้อมด้วย


หวังเป่าเล่อวางเดิมพันไว้ เขาเดิมพันกับการที่ชายทั้งสามไม่อยากให้ตัวตนถูกเปิดโปง พวกเขาจึงยอมให้อาวุธเวทระเบิดทำลายตัวเองไม่ได้ แล้วถ้าทั้งสามเลือกหยุดการระเบิด หวังเป่าเล่อก็จะมีเวลามากขึ้น แม้จะแค่เล็กน้อย แต่ก็ถือว่ามีค่ามากสำหรับชายหนุ่ม!


บทที่ 443 แม่นางน้อย รีบเปิดประตูเร็ว!

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังเป่าเล่อวางเดิมพันได้ถูกข้าง!


ผู้บุกรุกทั้งสามไม่ต้องการให้ตัวตนเปิดเผย แม้ว่าพวกเขาจะกล้าแกร่งและมีแมงกะพรุนสีดำในครอบครอง แม้ว่าพวกเขาจะพรางตัวบุกเข้ามาในดาวอังคารได้ แต่ระบบสุริยะแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยตัวตนน่าสะพรึงกลัวหลายอย่าง หากไม่จำเป็นจริงๆ ทั้งสามก็จะเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุด


ผู้ฝึกตนทั้งสามมีสีหน้าบูดเบี้ยวเมื่อเห็นว่าอาวุธเวทระดับเจ็ดทำท่าเหมือนจะระเบิดทำลายตัวเอง


“ลวดลายเยอะจริงๆ พวกเจ้าตามไปฆ่ามันเสีย ข้าจะจัดการตรงนี้เอง!” ชายหน้าตะขาบส่งเสียงไม่พอใจ เขาก้าวออกไปหยุดอยู่ข้างอาวุธเวทระดับเจ็ด จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นคว้าไปข้างหน้า พลันฝ่ามือมายาใหญ่ยักษ์ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าก่อนจะเอื้อมเข้าไปจับอาวุธเวทระดับเจ็ดไว้ พยายามจะบีบวัตถุในมือให้แหลกละเอียด


 ทันใดนั้นหวังเป่าเล่อที่กำลังหนีอยู่ก็ยกมือขึ้นโบก วัตถุเวทกว่าร้อยชิ้นปรากฏขึ้น เขาเขวี้ยงพวกมันออกไปสุ่มๆ วัตถุเวทกระจายไปทั่วทั้งถ้ำ หลายชิ้นเป็นวัตถุเวทระดับห้า บางชิ้นเป็นวัตถุเวทระดับสี่และระดับหก ทั้งหมดนี้เป็นของที่ชายหนุ่มสะสมไว้ตั้งแต่ขึ้นมาเป็นเจ้าเมือง


แม้จะเจ็บปวดใจแต่เขาก็โยนพวกมันออกไปทั้งหมด ก่อนจะร้องคำรามลั่น


“จงระเบิด!”


วัตถุเวทกว่าร้อยชิ้นสั่นไหวส่งสัญญาณทำลายตัวเอง แม้ว่าแรงระเบิดของแต่ละชิ้นจะเทียบอาวุธเทพระดับเจ็ดไม่ติด แต่แรงระเบิดของทั้งหมดรวมกันก็มีพลังสูงไม่แพ้กัน น่าจะเกิดคลื่นพลังที่ทำให้คนภายนอกเข้ามาตรวจสอบได้


เหล่าผู้ฝึกตนตื่นตระหนก ไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะมีวัตถุเวทมากมายขนาดนี้ พวกเขาเริ่มสงสัยในตัวชายหนุ่มหนักขึ้น ทั้งสองไม่มีเวลามาตรวจสอบวัตถุแต่ละชิ้น ชายหน้าตะขาบจัดการกับอาวุธเวทอยู่ หนึ่งในสองคนที่เหลือรีบก้าวออกมายกแขนตั้งผนึกฝ่ามือปลดปล่อยพลังเต็มขั้นเพื่อหยุดวัตถุเวทกว่าร้อยชิ้นไม่ให้ระเบิด


สองในสามติดพันกับการควบคุมการระเบิด เหลือเพียงหนึ่งที่กำลังไล่ตามชายหนุ่ม!


คนที่กำลังไล่ตามมาเป็นชายหน้าเหลี่ยมคางเหลี่ยม ใบหน้าของเขาไม่ได้ดูเข้มงวดเช่นคนทั่วไปที่มีโครงหน้าลักษณะนี้ ใบหน้าของชายผู้นี้ดูน่ากลัว มีรอยสักสีแดงบนหน้าผาก ดวงตาฉายแสงเย็นยะเยือก เพียงแค่ก้าวเดียวชายหน้าเหลี่ยมก็ตามหวังเป่าเล่อได้ทัน เขายกมือขวาขึ้นคว้าตัวหวังเป่าเล่อ


พวกเขายังคิดจะจับหวังเป่าเล่อเป็นๆ ชายหนุ่มได้แสดงให้ประจักษ์ว่าตนมีความสามารถเพียงใด ยิ่งกล้าแกร่งทั้งสามก็ยิ่งต้องการตัว


หวังเป่าเล่อฉวยประโยชน์จากการที่อีกฝ่ายต้องการตนแบบยังมีลมหายใจ ขณะที่ชายหน้าเหลี่ยมเอื้อมมือเข้ามาคว้า นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ฉายแสงวาบ หวังเป่าเล่อเลิกกลัวความตายมาตั้งแต่เหตุการณ์บนดวงจันทร์และตอนที่ทดสอบชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ความโหดร้ายทารุณที่เคยใช้รับมือกับศัตรูและกับตนเองนั้นฝากลึกอยู่ในกระดูก!


เขาเลือกระเบิดอาวุธเวทระดับเจ็ดกับวัตถุเวทกว่าร้อยชิ้นโดยไม่ลังเล อีกก้าวหนึ่งเขาก็พร้อมจะระเบิดอาวุธเวทระดับแปดที่เสียหายบนตัวแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ยากเย็นอะไร


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแววดุร้าย ทันใดนั้นชุดเกราะอาวุธเวทระดับแปดก็ส่งสัญญาณทำลายตัวเอง มันเปล่งรัศมีรุนแรงเป็นวงกว้างออกมา ชายหน้าเหลี่ยมที่ตามมามีสีหน้าตื่นตระหนก หวังเป่าเล่อร้องคำราม ชุดเกราะอาวุธเวทแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษชิ้นส่วนหลายสิบชิ้นพุ่งตรงไปทางชายหน้าเหลี่ยมราวกับลำแสงทำลายล้าง


เศษชิ้นส่วนที่ลอยตรงไปยังคงส่งสัญญาณเตรียมพร้อมระเบิดทำลายตัวเอง


“เจ้าจะจัดการกับระเบิด จะหลบ หรือจะตามข้าต่อดีล่ะ” หวังเป่าเล่อตะโกนเสียงต่ำขณะหลบหนีไปยังส่วนลึกสุดของสุสาน


เวรเอ๊ย! นัยน์ตาของชายหน้าเหลี่ยมฉายรังสีสังหาร เขาไม่เคยพบเจอผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่รับมือได้ยากขนาดนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานึกโกรธ สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ตัวตนถูกเปิดเผย จึงได้แต่หยุดไล่ตามและพยายามจัดการกับอาวุธเวทที่กำลังจะระเบิดทำลายตัวเอง!


โชคดีที่เศษชิ้นส่วนเศษชิ้นส่วนอาวุธเวททั้งหมดพุ่งตรงมาทางเดียว ทำให้เขาเพียงต้องเสริมพลังปราณเพื่อเพิ่มพลังควบคุมการระเบิด แต่ก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการที่จะมีเศษชิ้นส่วนลอดหูลอดตาไป!


แม้เศษชิ้นส่วนหลายสิบชิ้นที่พุ่งตรงมายังทิศทางเดียวจะทำให้ชายหน้าเหลี่ยมตื่นตระหนก แต่ก็ยังอดระแวงไม่ได้


หวังเป่าเล่อจะส่งเศษชิ้นส่วนให้กระจายออกไปเพื่อระเบิดแจ้งเตือนด้านนอกก่อนที่เขาจะทันจัดการก็ย่อมได้ แต่กลับไม่ทำเช่นนั้น ชายหนุ่มเดิมพันกับการที่พวกเขาต้องการปิดบังตัวตน อีกทั้งยังไม่อยากให้ด้านนอกล่วงรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายใน


ที่ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นก็เพราะกลัวว่าหากตัวตนของชายทั้งสามถูกเปิดโปง พวกเขาอาจจะทำลายนครใหม่ก่อนที่เจ้านครจะทันได้มาถึง


เขาทนรับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นไม่ได้จึงไม่ลองเสี่ยง เลือกที่จะล่อเหล่าผู้บุกรุกไปทางจุดที่วัตถุเวทแห่งความมืดอยู่แทน จากนั้นเมื่อสบโอกาสจึงค่อยติดต่อไปด้านนอกเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้านคร


การทำเช่นนี้อาจเป็นการเปิดเผยว่าแม่นางน้อยเป็นเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืด แต่ในสถานการณ์เป็นตายเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็เลือกที่จะไม่สนใจเรื่องหยุมหยิม การปล่อยเศษชิ้นส่วนไปทางเดียวนั้นเผยให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนพยายามจะทำอะไร หากเผชิญหน้ากับคนหัวช้า แผนการก็อาจไม่ถูกเปิดโปง แต่ผู้บุกรุกทั้งสามมาจากต่างดาว การเดินทางท่องจักรวาลมาไกลเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพวกนั้นไม่ใช่คนเขลา น่าจะผ่านอะไรมามากมาย


ผลก็คือทันทีที่หวังเป่าเล่อไปถึงส่วนลึกสุดของสุสาน ชายหน้าเหลี่ยมที่พยายามคุมเศษชิ้นส่วนของเกราะก็มองตามหลังชายหนุ่มไป ดวงตาของเขาฉายแสงวาบก่อนจะตะโกนเสียงดัง


“หัวหน้า ข้าคุมไม่ไหวแล้ว อีกเดี๋ยวพวกข้างนอกคงรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ ตามเจ้านั่นไปก็ไม่ได้อะไร เราหนีกันดีกว่า แต่ก่อนกลับ ขึ้นไปทำลายเมืองข้างบนและหลอมเลือดเนื้อพวกมันเป็นแหล่งพลังงานกันเถอะ!”


ชายหน้าตะขาบที่พยายามคุมอาวุธเวทระดับเจ็ดอยู่พลันตาฉายแสงวาบ เขารีบพยักหน้าอย่างไม่ลังเลใจ


“บ้าจริง อุตส่าห์เสียเวลาไปตั้งเยอะ…ก็ได้ ไปกันเถอะ!”


พูดจบ พวกเขาก็เรียกพลังปราณที่ใช้คุมเหล่าวัตถุเวทที่กำลังระเบิดตัวเองกลับคืน เหมือนจะยอมแพ้เลิกไล่ตามหวังเป่าเล่อและมุ่งหน้าออกจากสุสานไป


หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม ตื่นกลัวขึ้นมาจับจิต เขาหรี่ตาลงแต่ไม่ได้หยุดฝีเท้า ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัด ก่อนจะผุดยิ้มเย้ยหยันและหัวเราะขึ้นเสียงดัง


“เชิญเลย เจ้าพวกโง่ ลูกแห่งข้าจั่วอี้เซียน ถ้าเจ้าทำตามที่ว่า ข้าจะยอมเลิกใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ เพราะจั่วอี้เซียนผู้นี้เพิ่งจะอายุได้สามขวบ น่าขันสิ้นดี ข้าไม่ได้สนใจเลยว่าพวกข้างนอกจะอยู่หรือตาย” เขายกมือขวาชูนิ้วกลางให้เหล่าคนที่อยู่ด้านหลัง


ชายหนุ่มรู้สึกว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอ จึงกัดฟันหยิบวัตถุเวทชุดสุดท้ายออกมาจากกำไลคลังเวท ก่อนจะโยนมันออกไปพร้อมสั่งการให้วัตถุเวทหลายสิบชิ้นระเบิดทำลายตัวเอง


“มาสิ ข้ายอมให้พวกเจ้าเรียกตัวเองว่าเป็นหลานแห่งข้า หลานแห่งจั่วอี้เซียนผู้นี้ ถ้าพวกเจ้าหยุดพวกมันไม่ให้ระเบิดได้!”


ชายสามคนทำหน้าบูดเบี้ยวเมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงนั้นหมายถึงอะไร แต่ก็รู้ได้ว่าคงมีความหมายไม่ดีเป็นแน่ พวกเขาเริ่มเข้าใจว่าทั้งหมดที่อีกฝ่ายทำไปนั้นเพื่ออะไร หากตนเป็นหวังเป่าเล่อ และต้องเลือกระหว่างยอมตายกับเสียสละนครทั้งนคร ทั้งสามคงจะเลือกอย่างหลังเป็นแน่


พวกเขากัดฟันแน่นและลงมือระงับการระเบิดอีกครั้ง ชายหน้าเหลี่ยมเดือดดาลจากความขายหน้า เขารีบหยุดการระเบิดของวัตถุเวทชุดใหม่ที่ชายหนุ่มโยนออกมาทันที


แต่จุดที่พวกเขาอยู่นั้นไม่ได้กว้างมาก ประกอบกับหวังเป่าเล่อได้โยนวัตถุเวทออกมามากเกินไปทำให้มีบางส่วนระเบิดเสียงดัง


แรงระเบิดทำให้ชายทั้งสามพรั่นพรึงใจ หวังเป่าเล่อเองก็ตื่นกลัวด้วยเช่นกัน


บ้าจริง…ข้าทำเกินไป!


เมื่อเห็นว่าแรงระเบิดน่าจะส่งต่อกันเป็นลูกโซ่ ชายหน้าเหลี่ยมก็ร้องคำรามลั่น ก่อนจะยกมือขึ้นตบหน้าผาก รอยสักสีแดงบนหน้าผากแยกตัวออก แสงสีแดงพวยพุ่งออกมาปกคลุมวัตถุเวทและคุมการระเบิดไว้ ราวกับว่ามีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาหลอมละลายวัตถุเวทลงทันใด


การกระทำของหวังเป่าเล่อทำให้ทั้งสามเลิกระแวง พวกเขามั่นใจแล้วว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจชะตากรรมของนครด้านบน ซึ่งดูเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลพอตัว


ขณะที่ทั้งสามพยายามคุมการระเบิดของวัตถุเวทอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็แอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขารีบทิ้งระยะห่าง มุ่งหน้าลึกเข้าไปยังกำแพงน้ำแข็งที่ส่วนลึกสุดของสุสาน


ชายหนุ่มจ้องมองกำแพงน้ำแข็งเบื้องหน้าที่กั้นทั้งสหพันธรัฐไม่ให้มุ่งหน้าไปต่อ และเป็นสาเหตุในการก่อตั้งนครแห่งนี้รวมถึงสร้างวงแหวนปราณเพื่อที่จะละลายมัน แววตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและกังวล เขาตะโกนก้องในหัว


“แม่นางน้อย รีบเปิดประตูเร็วเข้า! นี่สถานการณ์เป็นตายนะ!”


แม่นางน้องปิดปากเงียบ ดูเหมือนกำลังกัดฟันแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา น้ำเสียงของนางฟังดูแล้วสัมผัสได้ถึงความละอายใจ


“เป่าเล่อ ฟังข้านะ จริงๆ แล้ว…”


บทที่ 444 ขอสรรเสริญแม่นางน้อย!

โดย

Ink Stone_Fantasy

สถานการณ์ตอนนี้เต็มไปด้วยภัยอันตรายร้ายแรง ผู้บุกรุกสามคนคุมการระเบิดได้สำเร็จ พวกเขาตามหวังเป่าเล่อไปอย่างรวดเร็วเสียจนแค่พริบตาเดียวก็คงตามได้ทัน


เสียงกระซิบฟังดูละอายใจของแม่นางน้อยดังขึ้น ก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ วัตถุบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังกำแพงน้ำแข็งก็ส่งเสียงกึกก้องไปทั่วสุสาน ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้ม หายใจถี่รัว เขาได้ยินเสียงเพรียกจากด้านหลังกำแพงดังขึ้นในหัวอีกครั้ง!


นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้ยินเสียงเพรียกหา ครั้งแรกเป็นตอนที่เขาบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายไปขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ เสียงเพรียกในครั้งนี้ทั้งดังและชัดเจนกว่าครั้งก่อน ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความกดดัน มีบางอย่างด้านหลังกำแพงที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อตัวเขา!


ตัวตนปริศนานี้กำลังร้องเรียกเขา น้ำเสียงฟังดูโหยหา ราวกับว่าต้องการให้ตนกลับไปฝั่งนั้น!


ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เสียงเพรียกดังขึ้นในหัวชายหนุ่ม เปลวไฟสีดำในกายก็พลันลุกโชนขึ้นเหมือนเมื่อตอนที่ได้พบชายในชุดคลุมสีดำเป็นครั้งแรก ทุกอย่างรอบตัวหวังเป่าเล่อมีน้ำแข็งขึ้นเกาะทันทีที่เปลวไฟสีดำตื่น ก่อนจะกลายเป็นเปลวไฟเยือกแข็งลุกลามไปทั่ว!


เปลวไฟสีดำที่ปะทุออกมาเหมือนจะไปกระตุ้นเสียงเพรียกจากส่วนที่ลึกสุดในสุสาน เสียงดังกล่าวดังมากยิ่งขึ้น กำแพงที่กั้นขวางสหพันธรัฐมานานหลายปีพลัน…ละลายลงทันที!


กำแพงน้ำแข็งละลายลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เปิดช่องไปทางสู่สุสาน ปราณมืดพวยพุ่งออกมาจากช่องทางเบื้องหน้า เข้าปกคลุมทั่วพื้นที่


หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง สิ่งแรกที่นึกในหัวคือแม่นางน้อยนั้นช่างยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่มีเวลามัวยืนคิดอะไรให้มากความ ชายหนุ่มรีบทะยานผ่านช่องทางที่เปิดออกเข้าไป


ผู้บุกรุกสามคนมาถึงตอนที่หวังเป่าเล่อผ่านเข้าไปในช่องทางที่เปิดออกแล้ว พวกเขาเห็นช่องทางเบื้องหน้ากำลังจะปิดตัวลงอีกครั้ง ทั้งสามหายใจถี่ ความหิวกระหายฉายชัดในแววตา ก่อนจะรีบทะยานตามไปโดยไม่ลังเล


ชายหน้าตะขาบเป็นคนที่สุดที่ลอดผ่านเข้ามา ดวงตาของเขาฉายแสงวาบก่อนหน้าที่จะทะยานตามมา เขายกมือขวาขึ้นตั้งผนึกฝ่ามือ พลันนิ้วมือก็ส่องประกาย ก่อนจะมีคลื่นแสงแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่เพื่อลบล้างทุกสิ่งที่สัมผัส


ทุกสิ่งที่โดนแสงปกคลุม ไม่ว่าจะเป็นจุดที่หวังเป่าเล่อโดนโจมตีเป็นครั้งแรก หรือจุดที่ทั้งสามพยายามคุมวัตถุเวทไม่ให้ระเบิดทำลายตัวเอง ร่องรอยของพวกเขาโดนลบหายไปหมด เศษสิ่งของที่ไม่ควรมีในที่แห่งนี้เลือนหายไป


รวมถึง…ยุงทั้งสิบสองตัวที่ซ่อนอยู่ในจุดต่างๆ…มียุงตัวนึงเกือบจะหลบหนีออกไปนอกสุสานได้แต่ก็โดนคลื่นแสงจัดการเสียก่อน!


ข้าไม่สนว่าเจ้ามีกับดักหรือเล่ห์เหลี่ยมอะไรซ่อนอยู่อีก แต่ตอนนี้…น่าจะไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว! หลังจากปล่อยคลื่นแสงลบล้างออกไป ชายหน้าตะขาบก็เหยียดยิ้มก่อนจะลอดผ่านกำแพงตามไปก่อนที่มันจะปิดตัวลง!


ทันทีที่เขาผ่านเข้าไป ช่องว่างบนกำแพงก็ปิดสนิทอีกครั้ง!


ทั้งอุโมงค์ตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกสิ่งในนครใหม่ยังคงดำเนินไปตามปกติ หลี่หว่านเอ๋อร์กำลังตรวจสอบและลงชื่ออนุมัติเอกสารต่างๆ กงเต๋ากับหลินเทียนหาวกำลังพูดคุยกัน จินตั้วหมิงหยิบแหวนสื่อสารออกมาและติดต่อไปหาคนรักเก่าบนโลกเพื่อพูดคุยกันอย่างเปิดอก…


ส่วนหลินต้าวปินนั้นกำลังสั่งการคนกลุ่มใหญ่ให้สร้างรูปปั้นของหวังเป่าเล่อขึ้นอีก…


ทุกอย่างยังคงปกติสุขตามเดิม ไม่มีใครรู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นในสุสานและหวังเป่าเล่อตกอยู่ในอันตรายเพียงใด!


หวังเป่าเล่อในตอนนี้ได้เข้าไปอยู่ในโลกที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน!


ฟากฟ้าของโลกใบนี้แต้มสีไปด้วยดินโคลน แต่ก็ไม่ได้มืดมิด มีแสงมากมายส่องประกายบนฟ้าราวกับดวงดาราและเพชรพลอยที่มอบแสงสู่โลกใต้ดินแห่งนี้ อาจจะไม่ได้สว่างไสวเหมือนแสงตะวัน แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนคนหนึ่งแสงนี้และแสงตะวันก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่


ส่วนเบื้องล่างนั้น…ไม่มีผืนดิน มีเพียงมหาสมุทรไร้ขอบเขต หากมองดูให้ชัดจะพบว่ามหาสมุทรนี้ไม่ได้เกิดมาจากน้ำทะเล…แต่เป็นการรวมตัวกันของดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนที่ก่อตัวเป็นมหาสมุทรวิญญาณ!


มหาสมุทรวิญญาณไม่ได้สงบนิ่ง คลื่นมากมายสาดซัดไปมา เกิดเป็นภาพสุดจะบรรยาย เกลียวคลื่นเองก็เกิดมาจากดวงวิญญาณนับไม่ถ้วน พวกมันร้องคร่ำครวญ บ้างก็ฉีกกระชากกันและกัน บางส่วนเดือดจัด บางส่วนแยกเขี้ยวขู่ บ้างก็ร้องไห้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ทุกอารมณ์ สามารถพบเจอและสัมผัสได้ที่นี่!


กลางมหาสมุทรวิญญาณมีเกาะสีขาวแห่งหนึ่ง ไม่ได้เกิดจากดินหินแต่เป็นกองกระดูกมากมาย…เกาะแห่งนั้นคือเกาะกระดูก!


โลกใบนี้ดูแสนจะสยดสยอง ราวกับว่าชายหนุ่มได้มาโผล่ในอเวจี ใครได้เข้ามาจะต้องสั่นระริก ลืมไปว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่และสูญเสียความทรงจำจากโลกภายนอกไปหมด เหลือไว้เพียงความปรารถนาใคร่รู้ว่าตนได้ทำบาปกรรมอะไรไปบ้างในชีวิต


หวังเป่าเล่อรู้สึกเช่นนี้เมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า!


มีโลกเช่นนี้…อยู่จริงๆ หรือ! ผ่านไปพักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็หอบหายใจออกมา ใบหน้าของเขาซีดเผือดขณะยืนก้มมองกระดูกมากมายใต้เท้าบนเกาะกระดูก เขาหันไปมองเกลียวคลื่นที่กำลังกรีดร้องในมหาสมุทรวิญญาณ จากนั้นก็หันไปมองฟากฟ้าเปื้อนดินโคลน ชายหนุ่มตื่นตกใจอยู่นาน


 ใครจะไปคิดกันว่าเบื้องหลังกำแพงจะซ่อนอะไรเช่นนี้อยู่ ภาพที่เห็นเกินขอบเขตสิ่งที่เขารู้ไปไกล ไม่รู้เลยว่าตนยังอยู่บนดาวอังคารหรือเปล่า เขาพยายามจับสัมผัสเหล่ายุงที่แอบปล่อยไปก่อนหน้า ชายหนุ่มวางแผนไว้ว่าหลังจากผู้บุกรุกทั้งสามคนตามเข้ามา จะให้ยุงส่งสัญญาณเตือนออกไป จากนั้นเจ้านครและผองเพื่อนก็จะมารุมกระทืบชายทั้งสามในสุสาน


หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าทั้งสามจะเกาะกลุ่มกันมา แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ได้มั่นใจมากขนาดนั้น เขาเริ่มตื่นตระหนก


หายไปแล้ว ไม่ใช่ว่าจับสัมผัสไม่ได้ แต่พวกมันหายไปแล้วจริงๆ! หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเหยเก นึกสงสัยว่ามีใครทำลายพวกมันไปหรือเขาขาดการติดต่อกับพวกมันเพราะเข้ามาในโลกใต้ดินกันแน่ แต่ก็ตรวจสอบได้ง่ายๆ เขาพุ่งความสนใจไปที่ฝักกระบี่ภายในกาย สีหน้าของชายหนุ่มตึงเครียดขึ้นเมื่อพบเหล่ายุงอยู่ภายในฝักกระบี่


ถ้ายุงอยู่ในกระบี่ก็หมายความว่า…ตัวที่ปล่อยไปก่อนหน้าโดนฆ่าทิ้งหมดแล้ว เพราะพวกมันสามารถเกิดใหม่ได้หลังจากที่ตาย


หวังเป่าเล่อเริ่มเป็นกังวล ไม่รู้ว่าชายทั้งสามตามเขามาหรือเปล่า เขารีบเรียกแม่นางน้อย


“ข้าขอขอบคุณแม่นางน้อยมากๆ ที่ช่วย ก่อนหน้านี้เจ้าพยายามจะบอกอะไรข้าหรือเปล่า”


“…” แม่นางน้อยเงียบไป หญิงสาวตื่นตะลึงหนักกว่าหวังเป่าเล่อหลายเท่า นางไม่เคยนึกสงสัยในตัวเองขนาดนี้มาก่อน นางไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วเหตุใดถึงมีช่องทางปรากฏขึ้นหลังกำแพงกัน…


หรือว่าระดับการฝึกตนของนางจะไปถึงขั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้โดยที่ตนไม่รู้ตัว…พอได้ยินคำขอบคุณและคำถามที่ตามมาของชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา นางคิดว่าตนคงจะต้อง…ปั้นเรื่องต่อไปอีก


“นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ข้าไม่ต้องยกนิ้ว ไม่ต้องนึกคิดอะไร แค่เข้าใกล้วัตถุเวทแห่งความมืด มันก็ทำงานขึ้นมาเอง เจ้ารู้หรือเปล่า ข้าว่ามันพยายามเอาใจข้า”


“นั่นแหละเป็นสาเหตุที่ข้าโยนมันทิ้งไป มันคอยเอาอกเอาใจข้าไปเสียทุกอย่างจนข้าเริ่มรำคาญ” แม่นางน้อยพูดเสียงราบเรียบ นางไม่ต้องพยายามคิดอะไร คำพูดต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมาเอง


หวังเป่าเล่อนิ่งไป สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้นึกสงสัยอะไรมากในตอนนั้น เขารีบถามขึ้น


“ข้าขอสรรเสริญแม่นางน้อย! แล้วพวกผู้บุกรุกล่ะ ยังตามเข้ามาหรือเปล่า”


ถามข้าทำไม แล้วข้าจะไปถามใคร นี่ไม่ใช่บ้านข้าสักหน่อย! แม่นางน้อยแอบแค่นเสียงทางจมูก นางตีหน้าสุขุมลุ่มลึกก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ


“เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้!”


หวังเป่าเล่อเริ่มลนลาน เขาตั้งใจจะมุ่งหน้าต่อ แต่ทันใดฟากฟ้าก็ร้องคำราม ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น มองเห็นรอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนฟ้า จากนั้นก็มีร่างเงาสภาพสะบักสะบอมสามตนปรากฏขึ้น พวกเขาพุ่งออกมาจากรอยแยก มองไปรอบๆ ก่อนที่ความตื่นเต้นจะปรากฏขึ้นในแววตาเมื่อหาตัวหวังเป่าเล่อพบ!


“อยู่นี่เอง!”


ชายหนุ่มไม่มีเวลามานั่งคิดว่าทำไมทั้งสามถึงเข้ามาในโลกนี้ด้วยวิธีที่ต่างออกไป ความตกตะลึงเข้าเกาะกุมจิตใจ รู้สึกเคารพยกย่องแม่นางน้อยอย่างสุดซึ้ง


บทที่ 445 ข้าจะฆ่าไอ้จั่วอี้เซียน!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถูกเผง! เป็นไปตามที่นางบอก!


แม่นางน้อยบอกว่าเดี๋ยวชายหนุ่มก็ได้รู้ ไม่ทันจะได้หายใจให้โล่งท้องก็ได้รู้ทันที เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าวัตถุเวทแห่งความมืดเป็นของนางจริง!


แม่นางน้อยน่าจะรู้ว่าพวกผู้บุกรุกกำลังไล่ตามมา แต่นางน่าจะส่งพวกเขาไปที่อื่น พอข้าถาม นางเลยส่งพวกนั้นกลับมา เป็นเหตุให้พวกนั้นอยู่ในสภาพสะบักสะบอม! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่! ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น หวังเป่าเล่อตัดสินใจทันทีว่าจากนี้เป็นต้นไปจะคอยเอาอกเอาใจแม่นางน้อยเป็นอย่างดี


หวังเป่าเล่อเริ่มใจชื้นขึ้น เลิกคิดหนี เขายืนอยู่บนเกาะกระดูก จ้องเขม็งไปทางผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั้งสาม ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นชี้เหล่าผู้บุกรุก


“จบกันแค่นี้แหละ!” หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ รังสีที่บรรยายไม่ได้แผ่พุ่งออกมาจากกายหลังจากพูดจบ ราวกับว่าโลกใบนี้ตอบสนองต่อคำพูดเขา ผืนดิน ฟากฟ้า ดวงดาราส่องประกายเจิดจ้า ขณะที่เกลียวคลื่นในมหาสมุทรวิญญาณร้องคำรามพร้อมกับก่อตัวเป็นคลื่นสูง บรรยากาศรอบกายดูน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก


ผู้บุกรุกทั้งสามที่ตั้งใจจะโจมตีเริ่มระแวงขึ้นมาเมื่อเห็นชายหนุ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขาระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังฮึกเหิม แม่นางน้อยก็ตื่นตะลึงอีกครั้ง นางไม่คิดว่าคนทั้งสามจะโผล่มาทันทีหลังจากที่นางพูดจบ…ภาพตรงหน้าทำให้นางรู้สึกผิดขึ้นมา หญิงสาวเริ่มสังหรณ์ใจแปลกๆ จึงแสร้งทำตัวอ่อนแอในทันใด


“กายาวิญญาณของข้าอ่อนแรงลง หวังเป่าเล่อ เจ้าต้องจัดการที่เหลือเอง ข้า…ข้า…” เสียงของแม่นางน้อยเบาลงเรื่อยๆ ราวกับว่านางกำลังจะหลับลึกอีกครั้ง


“หา?” หวังเป่าเล่ออึ้งไป เขารีบเอ่ยปากเรียกแม่นางน้อย แต่ไม่ว่าจะเรียกกี่ครั้ง นางก็ไม่ตอบ หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อ รู้สึกเขินอายขึ้นมาจนอยากจะกรีดร้องอยู่ในใจ


ดวงตาของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณบนฟากฟ้าฉายแสงวาบ ชายหน้าเหลี่ยมเปิดฉากโจมตีเป็นคนแรก เส้นสีแดงบนหน้าผากของเขาส่องแสง จากนั้นก็มีลำแสงสีแดงยิงตรงมายังเกาะกระดูกที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่


ก่อนที่ลำแสงสีแดงจะทันได้ถึงที่หมาย มหาสมุทรวิญญาณก็ปั่นป่วนหนัก ดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องโหยหวนขณะพุ่งทะยานขึ้นไปหาชายทั้งสามบนฟ้า


มองจากไกลๆ จะเห็นเหมือนว่ามหาสมุทรวิญญาณได้ตื่นขึ้น พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า สาดซัดฟ้าดินจนสั่นสะเทือน วิญญาณหลายดวงลอยขึ้นไปบนฟ้า หลายดวงพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อราวกับอยากจะฉีกกระชากเขาเป็นชิ้นๆ และกลืนกินเข้าไปเป็นๆ


ภาพเบื้องหน้าทำให้ผู้ฝึกตนบนฟ้าตื่นตกใจ พวกเขารีบตั้งผนึกฝ่ามือป้องกันไม่ให้วิญญาณแห่งท้องทะเลพุ่งเข้ามาหา หวังเป่าเล่อที่อยู่บนเกาะกระดูกก็ตกใจไม่แพ้กัน เขาไม่มีทางให้หลบหนี โดนปิดกั้นจากทุกทิศ จะหลบหรือถอยก็ทำไม่ได้ ได้แต่ยืนมองวิญญาณนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาหา แต่ไม่ว่าจะเรียกแม่นางน้อยอย่างไร นางก็ไม่ตอบ หวังเป่าเล่อจึงกัดฟันแน่น ร้องคำรามปลุกวิชาแห่งศาสตร์มืด เปลวไฟสีดำพลันปรากฏขึ้นในดวงตา!


ไอเย็นแผ่กระจายออกมารอบตัว เข้าแช่แข็งวิญญาณที่เคลื่อนผ่าน สั่นสะท้านฟากฟ้าและผืนดิน ดวงวิญญาณรอบๆ ดูจะตื่นตกใจ มันรีบถอยห่างไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก


แสงประหลาดฉายวาบในดวงตาของชายหนุ่ม ผู้ฝึกตนสามคนบนฟ้าแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้เห็น ทุกอย่างดูแปลกประหลาดเกินไป พวกเขาเดือดจัด หวังเป่าเล่ออยู่เพียงแค่ขั้นรากฐานตั้งมั่นแต่กลับสามารถขัดขวางพวกเขาด้วยเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ ได้อยู่พักใหญ่ ความจริงนี้ทำให้ทั้งสามรู้สึกเสียหน้า


“ไม่ต้องจับเป็นแล้ว ฆ่ามันแล้วเอาศพไปขาย!”


ชายทั้งสามได้ข้อสรุป จิตสังหารพลันปะทุขึ้น ขณะที่ทั้งสามกำลังจะกำจัดวิญญาณรอบๆ ออกไปให้พ้นทางและเข้าสังหารชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อก็สั่นกระตุก เขาได้ยินเสียงเพรียกอีกครั้ง!


ครั้งนี้มาจากเบื้องล่างมหาสมุทรวิญญาณ เสียงนั้นดังชัดกว่าสองครั้งที่ผ่านมา เหมือนกับว่ามาพูดอยู่ข้างหู เขาได้ยินเสียงชัดกระจ่าง


“บุตรแห่งความมืด…บุตรแห่งความมืด…”


หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวเมื่อได้ยินเสียง มหาสมุทรวิญญาณตื่นขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะแหวกออกก่อเกิดเป็นเส้นทางตรงกลาง!


เส้นทางที่ปรากฏขึ้นลากยาวจากเกาะกระดูกที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงลึกเข้าไปในพื้นที่ปริศนาเบื้องล่างมหาสมุทรวิญญาณ!


การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เหล่าผู้บุกรุกบนฟ้าตื่นตกใจ พวกเขาจ้องไปทางหวังเป่าเล่อ แสงประหลาดฉายวาบขึ้นในดวงตา ชายตรงหน้าทำให้พวกเขาประหลาดใจมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นั้นน่าตื่นตะลึงกว่าครั้งใดๆ


“อย่าให้เจ้านั่นเข้าไปเด็ดขาด!” ทั้งสามตื่นตระหนก พลังปราณปะทุขึ้นรุนแรง ชายหน้าตะขาบปล่อยตะขาบออกจากใบหน้า มันขยายใหญ่ขึ้นในชั่วพริบตา มีขนาดยาวประมาณสามสิบเมตร ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ตะขาบร้องคำรามขึ้นขณะพุ่งตรงไปยังมหาสมุทรวิญญาณ กำจัดวิญญาณที่ขวางอยู่ เปิดทางให้ทั้งสามพุ่งออกไปได้


ชายหน้าเหลี่ยมปล่อยวิชาสังหารด้วยเช่นกัน เขาประสานมือตั้งผนึกฝ่ามือท่าต่างๆ สร้างกระทิงไฟขึ้นเบื้องหลัง มันร้องคำรามลั่นฟ้า ก้าวผ่านห้วงมายามาปรากฏตัว มันพุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งพร้อมกีบเท้าที่ลุกเป็นไฟ


ผู้ฝึกตนคนสุดท้ายร่ายดวงตาขึ้นมาเบื้องหลัง ภายในนั้นเหมือนจะมีอเวจีไร้ขอบเขตอยู่ มองเพียงแวบเดียวก็ทำให้กลัวจนจับจิต


หวังเป่าเล่อมองพลังปราณแกร่งกล้าที่พวยพุ่งออกมาจากผู้ฝึกตนทั้งสามคน แม้แต่มหาสมุทรวิญญาณก็ดูจะพ่ายแพ้ไป เมื่อเห็นว่าทั้งสามน่าจะฝ่าวิญญาณแห่งท้องทะเลออกมาได้ทุกเมื่อ หวังเป่าเล่อก็กัดฟันแน่น หายใจถี่รัว ก้าวเท้าเข้าไปในเส้นทางที่มหาสมุทรวิญญาณสร้างให้ มุ่งหน้าลึกเข้าไปในมหาสมุทร


“บ้าจริง!” หัวหน้ากลุ่มผู้บุกรุกที่เพิ่งปล่อยตะขาบออกจากใบหน้ารู้ว่าหวังเป่าเล่อซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ เขาไม่ยอมปล่อยให้ชายหนุ่มหลบหนีไปได้ จึงกัดฟันแน่น ตั้งผนึกฝ่ามือระเบิดนิ้วนางของตัวเอง!


ตัวตนคล้ายกิ้งก่าน่าสะพรึงกลัวสิบสองตัวปรากฏขึ้นหลังการระเบิดพร้อมส่งเสียงคำรามลั่น หัวหน้ากลุ่มผู้บุกรุกข่มความแค้นไว้ในใจก่อนจะประกาศกร้าว


“ข้าจะฆ่าไอ้จั่วอี้เซียนนี่!”


พูดจบ ฝูงกิ้งก่าก็ร้องคำรามพร้อมพุ่งไปยังมหาสมุทรวิญญาณ วิญญาณใดที่เข้ามาขวางโดนกำจัดทิ้งหมด พวกมันรีบตามหวังเป่าเล่อไปไม่ลดละ


กิ้งก่าแต่ละตัวมีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ หลายๆ ตัวเกือบจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้วด้วยซ้ำ!


จั่วอี้เซียน ข้าจะให้เจ้าชดใช้อย่างสาสม! ชายหน้าตะขาบกัดฟันกรอด เขาอุตส่าห์บากบั่นรวบรวมเหล่ากิ้งก่ามาไว้ในนิ้วนาง อสูรเหล่านี้เป็นอสูรหายากที่ใช้ต่อกรกับวิญญาณคลุ้มคลั่ง เขาใช้เคล็ดเวทลับเลี้ยงดูพวกมันมานานเกินสามสิบปีกว่าพวกมันจะมีพลังระดับนี้ ชายหน้าตะขาบตั้งใจจะเลี้ยงดูพวกมันไปอีกสักสิบปีจนทั้งหมดบรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน ความพยายามทั้งหมดก็จะส่งผลทันทีเมื่อเหล่ากิ้งก่ากลายเป็นของมูลค่าสูง


กิ้งก่าแต่ละตัวสามารถจำแลงกายเป็นเขาได้ ทำให้เขามีตัวตายตัวแทนไว้ใช้งาน!


แต่เพื่อจะจับหวังเป่าเล่อ เขาต้องล้มเลิกแผนนี้ไป ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง


ผลลัพธ์จากการพยายามของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก ขณะที่ทั้งสามพยายามต่อกรกับทะเลวิญญาณ ฝูงกิ้งก่าก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พวกมันพุ่งชนทำลายวิญญาณมากมายที่ขวางทางตามหวังเป่าเล่อเข้าไปในเส้นทางเล็กๆ


พวกมันมีรูปลักษณ์แปลกประหลาด ดูไร้น้ำหนัก เป็นตัวตนระหว่างความเป็นจริงและภาพมายา ด้านความเร็วก็เหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นอยู่มาก พวกมันทิ้งร่างเงาไว้เบื้องหลังขณะพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว ใครได้มาเห็นคงจะดูไม่ออกว่ามีกิ้งก่าเพียงสิบสองตัว เพราะโดนร่างเงาของพวกมันหลอกจนดูเหมือนมีเป็นหมื่นๆ ตัว!


พวกมันพุ่งผ่าอากาศราวกับกำลังเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเห็นสิ่งที่ตามไล่ล่ามา เขาไม่รู้ว่าหนทางเบื้องหน้าจะอีกไกลเท่าใด แต่รู้ว่าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อหยุดเหล่ากิ้งก่า ไม่เช่นนั้นพวกมันจะตามมาทันแน่


เวรเอ๊ย…ทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อที่จะรังแกข้าอย่างนั้นหรือ ถึงข้าจะสู้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณไม่ได้ แต่คิดหรือว่าไอ้สัตว์เลื้อยคลานพวกนี้จะหยุดข้าได้ ดวงตาของชายหนุ่มดูดุดัน ทนรับสิ่งต่างๆ ไม่ไหวอีกต่อไป เขายกมือขวาขึ้นโบก เรียกโทรโข่งสีแดงมาปรากฏในมือ พลังที่แผ่พุ่งออกมาบ่งบอกชัดเจนว่าของชิ้นนี้คืออาวุธเวท


“ไสหัวไป!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)