หมอดูยอดอัจฉริยะ 437-440

 ตอนที่ 437 รวยที่สุดในประเทศ

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีคติธรรมกล่าวไว้ว่าการตัดขาดความโลภทำให้บรรลุธรรม เยี่ยเทียนไม่ได้มีความอยากได้อยากมีในทรัพย์สมบัติของบ้านตระกูลซ่งแต่อย่างใด เขาไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความรู้สึกของซ่งจือเจี้ยนเลย ถ้าไม่ชอบใจก็เชิญกลับไป


แต่ซ่งจือเจี้ยนพ่อลูกทนไม่ไหวแล้ว พวกเขามาขอร้องเยี่ยเทียนถึงบ้าน ตอนแรกคิดว่าจะอ้างเรื่องความเป็นญาติแล้วถือโอกาสเอ่ยถึงเรื่องที่เตรียมมา


แต่ใครจะไปรู้ว่าเยี่ยเทียนไม่แยแส ตอบปฏิเสธออกมาตรงๆ แถมยังจะส่งตัวพวกเขาขึ้นโรงพักอีก


ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ซ่งจือเจี้ยนคงต้องโกรธฟิวส์ขาด แต่เพราะสถานการณ์บังคับ เพื่อทรัพย์สินราวหมื่นล้านทั้งหมดที่อยู่ในมือในของน้องสาว ซ่งจือเจี้ยนได้แต่จำยอม


“มาราไกย์ เฝ้าพวกเขาไว้ให้ดี อย่าให้เข้ามาในบ้านได้!”


เยี่ยเทียนกวาดสายตาเย็นชาใส่สองพ่อลูกอีกครั้ง เป็นสายตาที่หวาดระแวงราวกับระวังโจรขโมย ซ่งจือเจี้ยนเป็นคนคิดอ่านลึกซึ้งยากจะคาดเดา พอถูกยั่วโมโหจนเส้นเลือดเขียวเส้นหนาปูดขึ้นที่ข้างขมับ เกือบจะเปลี่ยนใจหันหลังกลับแล้ว


เยี่ยเทียนไม่สนใจว่าเขาจะโกรธหรือไม่ เดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้กลุ่มมาราไกย์เฝ้าอยู่หน้าประตู ตั้งใจทำตามคำสั่งของเยี่ยเทียนอย่างเคร่งครัด


เยี่ยตงเหมยที่กำลังซักผ้าอยู่เห็นเยี่ยเทียนเข้ามาก็เดินไปรับ คว้าแขนเยี่ยเทียนอย่างมีอารมณ์แล้ว ถามอย่างหงุดหงิด “เยี่ยเทียน เมื่อวานกลับมาถึงแล้วทำไมไม่มา?”


เยี่ยเทียนรู้สึกถึงความเย็นของมืออาหญิงคนเล็ก ตอบกลับอย่างเคืองๆว่า “อาเล็ก อากาศเย็นขนาดนี้ ทำไมยังซักผ้าอยู่ข้างนอก เครื่องซักผ้าก็มีทำไมไม่ใช้?”


“เสื้อผ้าแค่สองสามตัวเอง ไม่ต้องใช้เครื่องหรอก อาใช้มือขยี้สองสามทีก็พอ”


เยี่ยตงเหมยยิ้มแล้วส่ายศีรษะ เห็นกล่องพลาสติกในมือที่เยี่ยเทียนถืออยู่ถามด้วยความสงสัยว่า “กล่องนี้มันอะไรเหรอ? สีดูสวยดีนะ”


ไขมันกบภูเขาที่ได้มาจากเมิ่งตาบอดเป็นของชั้นยอด สีของมันเป็นสีเหลืองทองอร่ามทะลุออกมาจากพลาสติกที่หุ้มกล่อง ดูสวยงาม


“อาเล็ก อันนี้เรียกไขน้ำมันกบภูเขา ผมค่อยเอาโสมเก่าแก่มาให้อีกที เอาไว้ตุ๋นกับสาลี่ ดีกับสุขภาพของอากับป้าใหญ่มาก!”


เยี่ยเทียนอธิบายวิธีการรับประทานมันกบภูเขา จากนั้นเดินเข้าไปในครัว เรื่องราคาของมันเขาไม่ได้พูดถึง ไม่อย่างนั้นอาเล็กคงจะไม่กล้ารับประทาน


“เยี่ยเทียน มาแล้วเหรอ เซี่ยวเทียนทำงานดีไหม?” แม่ของโจวเซี่ยวเทียนที่กำลังปรุงอาหารเช้าอยู่เห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามาก็รีบยืนขึ้น


“ดีครับ เซี่ยวเทียนเป็นคนฉลาด ช่วยงานผมได้เยอะมาก!”


เยี่ยเทียนมองดูดวงตาของเธอ รอยแผลหายไปหมดแล้ว ดูท่าการผ่าตัดประสบผลสำเร็จด้วยดี แล้วยิ้มกล่าวต่อว่า “ว่าแต่พี่สาวอยู่ชินหรือยัง?” ตาเป็นอย่างไรบ้าง ไม่มีน้ำตาไหล ไม่ปวดแล้วใช่ไหม?”


แม่ของโจวเซี่ยวเทียนกับเยี่ยตงเหมยนับถือกันเป็นพี่น้อง แต่โจวเซี่ยวเทียนเป็นลูกศิษย์ของเยี่ยเทียน เธอยังจะดันทุรังให้เยี่ยเทียนเรียกเธอว่าพี่สาวอีก ดูช่างวุ่นวายไปหมด


“ไม่มี ไม่มี ทุกอย่างดีหมด ขอบใจเธอมากนะเยี่ยเทียน เธอนั่งก่อน อาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว มากินข้าวด้วยกัน!”


แม่ของโจวเซี่ยวเทียนไม่เคยปิดบังความรู้สึกซาบซึ้งที่มีต่อเยี่ยเทียน ตั้งแต่ดวงตาของตัวเองหายดี เธอได้กลายเป็นคนที่ทำงานยุ่งที่สุดในบ้าน เยี่ยตงเหมยเคยห้ามเธอหลายครั้งแต่เธอไม่ฟัง


เทียบกับความเป็นอยู่เมื่อก่อน ตอนนี้ชีวิตของเธอมีความสุขราวกับอยู่บนสวรรค์ บุตรชายทั้งเก่งมีความสามารถ ทั้งยังมีพี่สาวอีกหลายคนคอยอยู่เป็นเพื่อนพูดคุย สภาพจิตใจจึงดีกว่าแต่ก่อนมาก


“ดีแล้ว พี่สาวต้องดูแลตัวเองให้มาก งานบ้านพวกนี้จ้างแม่บ้านมาทำก็ได้”


เยี่ยเทียนให้เกียรติคน ไม่ได้มองที่ฐานะ แต่มองที่นิสัยใจคอ แม่ของโจวเซี่ยวเทียนทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูบุตรชายจนเติบใหญ่ เป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนนับถือเธอมาก


เยี่ยเทียนช่วยยกข้าวต้มร้อนๆ ออกมาวางที่โต๊ะอาหาร ป้าใหญ่เดินถือถุงปาท่องโก๋และซาลาปาเข้ามา เห็นเยี่ยเทียนเข้าก็เอ็ดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าเด็กบ้า แกยังรู้จักกลับบ้านกลับช่อง? ไปไหนมาตั้งนาน ไม่เห็นโทรศัพท์กลับมาเลย!”


“เหอะๆ ป้าใหญ่ ผมออกไปหาของมา มีไขมันกบภูเขากล่องใหญ่ ใส่ไว้ในตู้เย็นให้แล้วครับ” เยี่ยเทียนหัวเราะพลางโอบป้าใหญ่ไว้ เขารู้สึกพึงใจกับความผูกพันในครอบครัว


“ไขมันกบภูเขา? นั่นเป็นของดีเชียวนะ จะได้ให้น้องเล็กกับเอ้อฉินกินบำรุง ถือว่าแกทำดีมากคราวนี้!”


เมื่อก่อนตอนที่ตระกูลเยี่ยยังไม่ได้ตกยาก นับว่าเป็นตระกูลเศรษฐีใหญ่ตระกูลหนึ่ง แม่ของโจวเซี่ยวเทียนเองก็พอมีความรู้ ตอนสาวๆ เคยรับประทานไขมันกบภูเขา ช่วงนั้นราคาของมันก็สูงอย่างน่าตกใจแล้ว


ป้าใหญ่นึกออกว่านอกประตูบ้านมีคนรออยู่ จึงถามเยี่ยเทียนว่า “ใช่แล้ว เยี่ยเทียน พวกคนที่อยู่ข้างนอกน่ะมาทำอะไร? ไหนจะคนต่างชาติพวกนั้นอีก ดูไม่น่าไว้ใจเลย!”


“ป้าใหญ่ ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจพวกเขา มีหัวหน้าชุมชนอย่างป้าอยู่ทั้งคน ใครจะกล้ามาหาเรื่อง?”


เยี่ยเทียนหัวเราะพลางเปลี่ยนเรื่องคุย เขาทราบว่าในตระกูลของตน ป้าใหญ่เป็นคนที่มีความแค้นกับตระกูลซ่งลึกซึ้งที่สุด เขาไม่อยากให้ป้าใหญ่อารมณ์เสีย


เยี่ยเทียนตั้งใจปล่อยให้ซ่งจือเจี้ยนพ่อลูกรออยู่ข้างนอกจึงรับประทานอาหารเช้าในนานที่สุด ดูนาฬิกาเห็นเวลาใกล้เก้าโมงแล้ว ถึงได้วางตะเกียบลง ค่อยๆ เดินออกจากเรือนสี่ประสานไป


“นี่ ผมขอโทษจริงๆ เมื่อกี้ผมเพิ่งกินข้าวเสร็จ พวกคุณยังไม่ได้กินอะไรมาเลยใช่มั้ย?”


เยี่ยเทียนคาบไม้จิ้นฟันไว้ในปากทำท่าเรอแบบคนเพิ่งกินอิ่มใส่กลุ่มคนที่รออยู่หน้าบ้านเพื่อยั่วโมโห ซ่งเหลียงตงไม่เคยถูกลบหลู่ขนาดนี้ ถลึงตาใส่เยี่ยเทียนเตรียมจะอ้าปากหาเรื่อง แต่ถูกซ่งจือเจี้ยนรั้งไว้


“ไม่เป็นไร กินหรือไม่กินก็ไม่เป็นไร”


ซ่งจือเจี้ยนเองก็ถือว่าอดทนมากแล้ว ในเมื่อถูกให้คอยเปล่าถึงเกือบชั่วโมงเต็ม เขาไม่เคยเจอคนแบบเยี่ยเทียนมาก่อน พูดต่อว่า “เยี่ยเทียน หาที่นั่งคุยกันหน่อยเถอะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอจริงๆ!”


“ก็ได้ ข้างๆ สวนสาธารณะมีร้านน้ำชาอยู่ร้านหนึ่ง ไปที่นั่นแล้วกัน!” เยี่ยเทียนแอบนับถือในความอดทนของซ่งจือเจี้ยน คนที่จะทำการใหญ่ได้ ต้องเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ


ซ่งจือเจี้ยนมีศักดิ์เป็นลุงของเยี่ยเทียน ญาติผู้ใหญ่ยอมโอนอ่อนให้ เป็นความอดทนที่หาได้ยากในคนธรรมดา


“เหล่าหม่า  พวกนายอยู่ห่างหน่อย” เยี่ยเทียนเดินนำไปข้างหน้า หันกลับไปบอกกลุ่มมาราไกย์พร้อมกับตั้งชื่อเล่นให้เรียบร้อย


“ครับ คุณเยี่ย”


กลุ่มมาราไกย์ใช้สายตาเตือนพวกบอดี้การ์ดของซ่งจือเจี้ยน แล้วเดินรั้งท้ายกลุ่มห่างออกไป เขารู้ดีว่าวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวของเยี่ยเทียนนั้นดีเลิศ ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอันตราย


ร้านน้ำชาที่เยี่ยเทียนพาซ่งจือเจี้ยนมานั้น รูปลักษณ์คล้ายกับโรงน้ำชาสมัยก่อน ผู้สูงวัยรุ่นปู่ย่าต่างออกมารับประทานอาหารเช้ากันเนืองแน่น ยังมีบางคนแหกปากร้องเพลงงิ้วในร้านด้วย


ซ่งจือเจี้ยนนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ซ่งเหลียงตงแสดงสีหน้าไม่พอใจ เขาเติบโตมาในความหรูหรา เดินเข้าออกแต่โรงแรมห้าดาว เคยเหยียบมาสถานที่แบบนี้ที่ไหนกัน?


เยี่ยเทียนแสร้งเป็นมองไม่เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของซ่งเหลียงตง ยิ้มตอบว่า “ที่นี่ทรุดโทรมไปหน่อย พวกคุณอย่ารังเกียจล่ะ”


“ไม่เป็นไร ร้านน้ำชาที่ฮ่องกงก็เป็นแบบนี้” ซ่งจือเจี้ยนยักคิ้ว เอ่ยต่อว่า “เยี่ยเทียน หาห้องที่เงียบสงบหน่อยได้ไหม คุยที่นี่น่าจะต้องตะโกนคุย”


“ได้ครับ ที่นี่มีห้องเดี่ยว” เยี่ยเทียนพยักหน้า พาคนทั้งสองขึ้นไปที่ชั้นสอง เข้าไปในห้องปลดม่านลงปิด กั้นเสียงวุ่นวายจากภายนอกให้หายไป


“เวลาของเถ้าแก่ซ่งเป็นเงินเป็นทอง มีอะไรก็พูดมาตามตรงเลยไม่ต้องอ้อมค้อม”


เยี่ยเทียนสั่งชาฟักเขียวไปเพียงกาหนึ่ง อาจจะลืมไปแล้วว่าคนทั้งสองยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้า แต่ของว่างขนมใดๆ กลับไม่ได้สั่ง


“ได้ เยี่ยเทียน งั้นฉันพูดตามตรงเลย”


ซ่งจือเจี้ยนเตรียมคำพูดหว่านล้อมเยี่ยเทียนเอาไว้แล้ว เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา “เยี่ยเทียน ไม่ว่าเธอจะยอมรับหรือไม่ แต่เธอก็เป็นลูกของซ่งเวยหลัน ซึ่งเป็นน้องสาวฉัน เธอไม่คิดว่าฉันเป็นลุงของเธอไม่เป็นไร แต่คนตระกูลซ่งยอมรับเธอนะ…”


“เดี๋ยวก่อน”


เยี่ยเทียนยกมือขึ้นขัดจังหวะทันใด “ผมไม่เข้าใจ ตั้งแต่เกิดมามีแต่พ่อที่เลี้ยงดูผม ไม่เคยรู้เลยว่ายังมีแม่อยู่ ดังนั้นคำว่าลุงน่ะ คุณไม่ต้องพูดหรอก ไม่อย่างนั้นผมจะถือซะว่าคุณมารังแกผม”


“เอ่อ…คือ…”


ซ่งจือเจี้ยนโดนเยี่ยเทียนขัดจนใจเสีย เห็นเยี่ยเทียนไม่ต้อนรับแขกเหมือนคนทั่วไป คำพูดที่เตรียมมาทั้งหมดก็กลับพูดไม่ออกแล้ว


“ก็ได้ งั้นฉันไม่พูดเรื่องนี้”


ซ่งจือเจี้ยนดื่มชาลงไปแก้วหนึ่งยิ่งรู้สึกหิว เขาไม่อยากอ้อมค้อมกับเยี่ยเทียน เอ่ยปากพูดตามตรง


“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ น้องสาวของฉันมีสมบัติอยู่จำนวนหนึ่ง อยากจะมอบให้เธอทั้งหมด แต่สมบัติเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของตระกูลซ่ง ไม่ใช่ของน้องสาวฉันเพียงคนเดียว ตระกูลซ่งติดค้างเธอมากมายเหลือเกิน ดังนั้นฉันไม่ปฏิเสธการรับสืบทอดทรัพย์สินของเธอ แต่ฉันหวังว่าเธอจะช่วยเซ็นสัญญาฉบับหนึ่งว่าเป็นคนรับผลประโยชน์จากทรัพย์สินนี้ แต่จะไม่เข้าร่วมในการบริหารจัดการทรัพย์สินแต่อย่างใด เธอเห็นว่ายังไง?”


“ผมก็ว่า ทำไมอยู่ดีๆ มาหาผมถึงบ้าน คงไม่พ้นเรื่องเงินๆ ทองๆ อยู่ดี?”  เยี่ยเทียนฟังจบก็พูดด้วยท่าทีประชดประชัน


เยี่ยเทียนรู้สึกติดค้างในใจตลอด ตัวเองกับบ้านตระกูลซ่งไม่เคยไปมาหาสู่กัน ทำไมจู่ๆ มาอ้างความเป็นญาติแล้วมาหาถึงบ้าน ตอนนี้สาเหตุชัดเจนอยู่ตรงหน้าแล้ว คือเพื่อทรัพย์สินที่อยู่ในมือแม่ของเขา!


เยี่ยเทียนส่ายหัว “บ้านเศรษฐีแบบคุณมีแต่จะใช้เงินมาเป็นตัววัดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็เป็นเพราะเงินนี่แหละที่ทำให้เศรษฐีใหญ่แห่งเกาะฮ่องกงยอมก้มหัวให้คนอื่น?”


“เยี่ยเทียน เธอรู้ไหมว่าเงินจำนวนนี้มีค่าเท่าไหร่?”


ซ่งจือเจี้ยนเห็นเยี่ยเทียนเงียบไปจึงรีบพูดว่า “ทรัพย์สินที่เธอจะได้รับนั้นเป็นเงินมากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเชียวนะ เงินกำไรที่เธอจะได้ในแต่ละปีน่ะ มากพอที่จะทำให้เธออยู่สุขสบายไปหลายชาติ!”


“หลายหมื่นล้าน? เหล่าถังมีทรัพย์สินรวมตั้งหนึ่งพันล้านดอลลาร์ฮ่องกง ให้ตายเถอะ แค่ฉันตกลง ก็จะกลายเป็นคนรวยที่สุดในประเทศทันที?”


เยี่ยเทียนอึ้งไป เขารู้ว่าแม่ของเขามีธุรกิจใหญ่โต แต่คิดไม่ถึงว่าจะมากมายถึงหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินจำนวนมากขนาดนี้แน่นอนว่าใครได้ยินก็ต้องจิตใจหวั่นไหวเป็นธรรมดา แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ตาม


แต่ดูท่าทางมั่นใจของซ่งจือเจี้ยนแล้ว เยี่ยเทียนสูดหายใจเข้าลึกเพื่อให้ใจเย็นลง



ตอนที่ 438 ไม่ยอมเจรจา

โดย

Ink Stone_Fantasy

จากความตกใจเมื่อตอนแรก เยี่ยเทียนสงบใจลง ด้วยสติปัญญาของเขาสามารถมองเห็นช่องโหว่ในคำพูดของซ่งจือเจี้ยนได้ไม่ยาก


ตามที่ซ่งจือเจี้ยนพูดถึง ทรัพย์สินนั้นเป็นของบ้านตระกูลซ่ง แต่เพื่อชดเชยให้เยี่ยเทียน จึงได้ยอมมอบเงินจำนวนหลายหมื่นล้านให้? คำหลอกลวงแบบนี้…คงใช้ได้แต่กับเด็กห้าขวบเท่านั้น


ความจริงนั้นธรรมดามาก ทรัพย์สินหลายหมื่นล้านนั้นต้องเป็นของแม่ของเขาทั้งหมด แต่ตระกูลซ่งไม่สามารถแตะต้องเงินก้อนนั้นได้ จึงยอมมาขอร้องเขา มาจัดการเอาจากตัวเขา


เมื่อถึงเวลาตัวเองนั้น ถือแต่หุ้นของบริษัทแต่ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการบริหารใด ตระกูลซ่งจะทำตุกติกโอนย้ายทรัพย์สินไปนั้นก็ทำได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ


เยี่ยเทียนคิดไม่ผิด ซ่งจือเจี้ยนวางแผนมาแบบนี้จริง อีกทั้งซ่งจือเจี้ยนไม่เคยบอกแผนการของตนให้พ่อได้รับรู้ เพราะนอกจากซ่งเวยหลันแล้ว ไม่มีใครทราบถึงตัวเลขที่แท้จริงของทรัพย์สินทั้งหมด


โครงการอุตสาหกรรมที่ซ่งเวยหลันลงทุนไปนั้นก้าวหน้าจนได้กำไรมหาศาล ก็เหมือนกับหุ้นที่อ่อนแอในตลาดหุ้นที่เธอกว้านซื้อ ภายในแค่สิบปีก็ได้ผลตอบแทนเป็นกำไรเกือบร้อยเท่า จำนวนเงินมหาศาลนั้นเพียงพอแล้วที่จะควบคุมทรัพย์สินของตระกูลซ่งไว้ทั้งหมด


“ผมว่าทรัพย์สินของคุณนายซ่งจะให้ใครสืบทอดต่อ คงไม่จำเป็นต้องให้พวกคุณมาเจรจาหรอก?” เยี่ยเทียนจิบชา มองหน้าซ่งจือเจี้ยนเหมือนจะยิ้ม


เห็นรอยยิ้มของเยี่ยเทียนในใจของซ่งจือเจี้ยนอุทานขึ้นมา เขารู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกง่ายๆ บางทีอาจจะรู้แผนการของเขาหมดแล้ว


หยุดคิดครู่หนึ่ง ซ่งจือเจี้ยนพูดอย่างจริงใจว่า “เยี่ยเทียน ทรัพย์สินพวกนี้เป็นเงินที่คนในตระกูลซ่งต่อสู้แลกมา เธอ…แม่ของเธอจะควบคุมทั้งหมดคนเดียวไม่ได้ วิธีนี้เป็นทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดแล้ว ฉันว่า…เธอต้องทำความเข้าใจหน่อย”


“เงินเป็นของใคร ก็ให้คนนั้นมาคุยเอง ผมว่าคุณซ่งไม่มีคุณสมบัติพอจะมาคุย ขอโทษด้วยครับผมยังมีธุระต่อ ขอตัวก่อน!”


เยี่ยเทียนเข้าใจจุดประสงค์ในการมาของซ่งจือเจี้ยนแล้วเยี่ยเทียนอดรู้สึกเวทนาไม่ได้ ทรัพย์สินเงินทองของซ่งจือเจี้ยนที่มีอยู่นั้นเพียงพอจะทำให้เขาอยู่สุขสบายไปหลายชาติ แต่เพื่อเงินแล้วเขายอมลดตัวได้ถึงขนาดนี้?


คนประเภทนี้คงจะไม่มีทางเข้าใจว่าความผูกพันและมิตรไมตรีของมนุษย์นั้นไม่สามารถแลกได้ด้วยเงิน?


จนวันนี้พ่อแม่ของเยี่ยเทียนไม่ได้อยู่ด้วยกัน ซ่งจือเจี้ยนยังกล้าออกมาเรียกร้อง ทำให้เยี่ยเทียนยิ่งรู้สึกดูถูกคนตระกูลซ่งเข้าไปใหญ่ ไม่อยากนั่งคุยต่อแล้ว


“เยี่ยเทียน นายจะยอมลำบากอยู่ทำไม พวกเราเห็นแก่หน้าอาหญิงนะ ถึงมาเจรจากับนาย ถ้านายยังไม่รู้ถูกผิดอีก แม้แต่เงินสตางค์หนึ่งนายจะไม่มีวันได้ไป!”


ซ่งเหลียงตงเห็นพ่อของตนพูดเสียงอ่อนกับเยี่ยเทียน แต่เยี่ยเทียนกลับทำท่าจะลุกออกไป ซ่งเหลียงตงทนไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นยืนทันทีชี้นิ้วไปที่เยี่ยเทียน


“นาย…กำลังขู่พวกเราเหรอ?”


เยี่ยเทียนหรี่ตา นอกจากซ่งเวยหลันแล้ว เขาไม่เคยคิดดองญาติกับคนตระกูลซ่งคนอื่นเลย จะพูดอีกอย่างคือ เขารู้สึกได้ถึงการข่มขู่จากคนตระกูลซ่ง สามารถทำให้เขาตัดสินใจลงมือฆ่าได้อย่างไม่ลังเลเลย


เมื่อก่อนเรื่องของซ่งเสี่ยวเจ๋อที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตไปแล้วคนหนึ่ง ยังมีซ่งเซี่ยวหลงที่ยังติดค้างหนี้ชีวิตเขาอีกคน จะให้เพิ่มซ่งเหลียงตงอีกคนเยี่ยเทียนก็ไม่ได้ว่าอะไร


ซ่งเหลียงตงรับรู้ได้ถึงพลังจิตสังหารของเยี่ยเทียน ราวกับว่าหัวใจของเขาถูกบีบรัดด้วยพลังบางอย่าง เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นที่หน้าผาก ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก


เพราะพลังจิตสังหารที่เยี่ยเทียนแผ่ออกมานั้นพุ่งตรงไปที่ซ่งเหลียงตงเพียงคนเดียว ซ่งจือเจี้ยนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงคิดว่าบุตรชชายแค่ใจเย็นลงเท่านั้น


“เยี่ยเทียน เสี่ยวตงเขาไม่ได้จะข่มขู่เธอหรอกนะ เขาพูดความจริง นี่เป็นเรื่องที่ตระกูลซ่งของเราจะทำได้ หวังว่าเธอจะพิจารณาดูอีกครั้ง!”


ซ่งจือเจี้ยนนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนเป็นเด็กหนุ่มอายุแค่ยี่สิบกว่าจะจัดการได้ยากขนาดนี้ ทำเอานักเจรจาธุรกิจมือฉมังอย่างเขายังท้อใจ ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง


“คุณไม่ใช่เสาหลักที่ปกครองบ้านตระกูลซ่งล่ะสิ?”


เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ หันหลังกลับเปิดม่านเดินออกไป เสียงเยี่ยเทียนลอยตามหลังมา “ถ้าอยากจะเจรจากับผม คุณไม่ไหวหรอก ให้คุณนายซ่งมาเอง ไม่อย่างงั้นก็ให้ผู้อาวุโสท่านนั้นมาแล้วกัน!”


เยี่ยเทียนรู้ดีว่าในเมื่อซ่งจือเจี้ยนมาหาถึงบ้าน เรื่องนี้สุดท้ายแล้วก็ต้องมีคำตอบให้พวกเขา ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องยืดเยื้อไม่จบสิ้น ดังนั้นจึงยื่นข้อเสนอให้ไป ในใจของเยี่ยเทียน ซ่งจือเจี้ยนไม่มีอำนาจพอที่จะเจรจาได้


แม้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่ยอมรับคุณตาของเขา แต่คนอย่างซ่งเฮ่าเทียนที่ยอมบริจาคเงินเกือบหมื่นล้านให้แก่ประเทศชาติได้ เยี่ยเทียนก็ไม่ควรจะไปวิจารณ์กล่าวร้ายคนผู้นั้น


“แก…แก แกมันบ้า!”


ซ่งจือเจี้ยนได้ยินที่เยี่ยเทียนคำพูดประโยคนั้นแล้วก็สะดุ้ง เขาคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะกล้าให้บิดาของเขาออกมาเป็นคนเจรจาอีก นี่…นี่มันช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย?


ซ่งจือเจี้ยนมาถึงบ้านตระกูลเยี่ยได้ เพราะตอนนี้เขายังไม่สามารถเป็นตัวแทนของตระกูลซ่งได้เต็มตัว การที่เขาไปหาถึงตระกูลเยี่ยไม่ได้หมายความว่าตระกูลซ่งยอมก้มหัวให้ แต่เป็นเพราะเขาแสดงความให้เกียรติมากกว่า


แต่ซ่งเฮ่าเทียนเป็นใคร? เป็นถึงประมุขเสาหลักของตระกูล แล้วก็เพิ่งลงจากตำแหน่งผู้นำประเทศ เคยดูแลประชาชนชาวจีนพันกว่าล้านคน จะยอมให้เยี่ยเทียนแสดงท่าทีลบหลู่ท่านแบบนี้ได้อย่างไร?


“เสี่ยวตง เป็นอะไรไป?”


ซ่งจือเจี้ยนระเบิดอารมณ์ออกไปแล้ว ค่อยหันมาสังเกตเห็นความผิดปกติของบุตรชายที่นั่งตาลอยอยู่ตรงนั้น เหงื่อผุดออกมาเต็มศีรษะ


“คุณพ่อครับ เยี่ยเทียนคนนั้น…น่า…น่ากลัวจัง เมื่อกี้เขามองผมแวบหนึ่ง ผมรู้สึกกลัวขึ้นมายังไงไม่รู้!”


ถูกบิดาป้อนน้ำชาเข้าไปแก้วหนึ่งซ่งเหลียงตงถึงตั้งสติกลับคืนมา ยังคงปรากฏความหวาดกลัวในแววตา เขาไม่เคยคิดว่าสายตาคนจะน่ากลัวได้ขนาดนี้?


“แก…แกมันไม่ได้เรื่อง…”


ซ่งจือเจี้ยนเห็นท่าทางบุตรชายที่ถูกเยี่ยเทียนข่มขวัญแล้วได้แต่ส่ายหน้าละเหี่ยใจ “เอาเถอะ อย่าทำให้ขายหน้าอยู่เลย ไปกันเถอะ ไปหาปู่ของแกกัน!”


ซ่งจือเจี้ยนต้องกลับไปถ่ายทอดคำพูดของเยี่ยเทียนให้ชายชรารับรู้ ซ่งเฮ่าเทียนไม่มีทางไปหาเยี่ยเทียนถึงบ้าน แต่อาจจะให้น้องสาวของเขากลับมาอีกครั้ง ถึงตอนนั้นเขาค่อยหาวิธีจัดการแม่ลูกคู่นี้อีกที



“คุณซ่งครับ ท่านผู้นำสุขภาพไม่ค่อยดี รบกวนอย่าคุยนานมากนะครับ”


หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงกว่า ซ่งจือเจี้ยนและบุตรชายมาถึงบ้านของซ่งเฮ่าเทียนที่ถนนว่านโส้ว ฟังคำเตือนของแพทย์แล้วจึงจะเข้าไปหาผู้เป็นพ่อ ส่วนซ่งเหลียงตงได้แต่รออยู่ข้างนอก


ซ่งเฮ่าเทียนที่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวน เห็นบุตรชายเดินเข้ามายังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ยิ้มทักว่า “ไม่สำเร็จล่ะสิ? ฉันรู้อยู่แล้วว่าเด็กนั่นไม่ยอมง่ายๆ หรอก คนตระกูลเยี่ยน่ะดื้อดึงจะตาย”


“เขาเรียกว่าดื้อดึงที่ไหน? เป็นคนเหิมเกริมต่างหาก!”


ซ่งจือเจี้ยนนึกถึงเหตุการณ์วันนี้แล้ว เขาโตป่านนี้ยังไม่เคยรู้สึกอ่อนด้อยต้อยต่ำอย่างวันนี้มาก่อน สถานะญาติผู้ใหญ่ที่เขาเป็นในวันนี้ ถือว่ายอดเยี่ยมดีแท้


“พ่อ เรื่องมันก็เป็นแบบนี้…”


ซ่งจือเจี้ยนประคองพ่อลงนั่งแล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างละเอียดโดยไม่ได้ต่อเติมเสริมแต่ง “เยี่ยเทียนไม่ยอมรับตระกูลซ่งของเรา เขา…เขาไม่ยอมเจรจากับผมเลย ผมว่า คงต้องให้น้องสาวกลับมาอีกครั้งแล้ว?”


“น้องสาวแกนิสัยแข็งกร้าวว่าเด็กนั่นอีก ถ้ากล่อมเขาได้จะต้องให้แกไปหาเยี่ยเทียนอีกทำไม?” ซ่งเฮ่าเทียนต่อว่าบุตรชายอย่างหงุดหงิด ทำไมเขาถึงจะเดาไม่ออกว่าบุตรชายกำลังคิดอะไรอยู่?


“ช่างเถอะ บ้านตระกูลซ่งติดค้างเขาอยู่ ฉันไปหาเขาถึงบ้านจะเป็นไรไป?”


ซ่งเฮ่าเทียนถอนหายใจยาว หลังลงจากตำแหน่งมาสองเดือนนี้เขาคิดอะไรได้มากมาย ตลอดชีวิตที่ผ่านมามีเพียงเรื่องเดียวที่ติดค้างในใจ คือความรู้สึกผิดต่อบุตรสาวคนโต และพลอยรู้สึกผิดต่อเยี่ยเทียนด้วย


“พ่อ ได้…ได้ยังไงกัน?”


คำพูดของซ่งเฮ่าเทียนทำให้บุตรชายเบิกตาโพลง “ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ พ่อ พ่อเป็นใคร ทำไมต้องไปหาเขาถึงบ้านด้วย?”


ความบาดหมางของซ่ง เยี่ยสองตระกูลในเมืองปักกิ่งไม่มีใครไม่รู้ ความแค้นหนักหนาถึงขั้นไม่มีทางไปเผาผีกัน ซ่งเฮ่าเทียนเป็นประมุขตระกูลซ่งถ้าไปถึงบ้านตระกูลเยี่ยแล้ว ถือว่าเป็นการยอมให้ตระกูลเยี่ยก่อน


ถ้าหากตระกูลเยี่ยยังเป็นครอบครัวเศรษฐีร่ำรวยมีหน้ามีตาในสังคมยังพอจะเข้าใจได้ แต่ตระกูลเยี่ยตอนนี้ตกต่ำลงมาก ถ้ายอมไปก้มหัวให้ก่อนจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก นี่เป็นสาเหตุที่ซ่งจือเจี้ยนยืนกรานหนักแน่นที่จะห้ามพ่อ


“ฐานะของฉันเหรอ? ตอนนี้ฉันเป็นแค่คนแก่วัยเกษียณคนหนึ่ง!”


ซ่งจือเจี้ยนมองบุตรชายแล้วพูดต่อว่า “คนเราน่ะอย่าเห็นแก่ตัวตนของตัวเองมากเกินไป จือเจี้ยน ถ้าแกอายุเท่าพ่อแกถึงจะคิดได้!”


“คืนนี้สองทุ่มค่อยไป แกอยากตามไปด้วยก็ไปเถอะ!”


“ซ่งเฮ่าเทียนยืนขึ้น โบกมือเป็นสัญญาณให้บุตรชายกลับไปก่อน ว่ากันตามตรง แม้ว่าซ่งจือเจี้ยนเป็นนักธุรกิจแนวหน้าของฮ่องกง แต่ก็อดรู้สึกผิดหวังในตัวพ่อไม่ได้


……


“เหล่าหู เมืองหลวงเป็นยังไง? เทียบกับเขาฉางไป๋ซานของคุณแล้ว คึกคักกว่ามากมั้ย?”


หกโมงเย็นวันเดียวกัน โจวเซี่ยวเทียนพาหูหงเต๋อและโก่วซินเจียมาส่งที่บ้าน เยี่ยเทียนเห็นท่าทางตื่นเต้นของหูหงเต๋อแล้วก็อดขำไม่ได้ “เหล่าหู อยู่มันเสียที่ปักกิ่งนี่เลยดีไหม จะได้เป็นเพื่อนคุยให้ศิษย์พี่ใหญ่”


“ให้อยู่แป้บๆ น่ะได้ แต่ให้อยู่นานไปคงจะไม่ไหว”


หูหงเต๋อส่ายศีรษะ กลัวว่าโก่วซินเจียจะคิดเป็นอื่น รีบตอบว่า “ท่านลุง ผมก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนท่านลุงนะ แต่ยังมีห่วงอยู่ที่เขาฉางไป๋ซาน ท่านลุงคงไม่โกรธผมใช่ไหม?”


“ฉันจะโกรธอะไรเล่า? ตอนนั้นจะพาเธอออกมาจากเขาเธอก็ไม่ยอม ฉันจะไม่รู้นิสัยเธอได้อีกหรือ?”


โก่วซินเจียหัวเราะออกมา วันนี้เขาไปเที่ยวที่ๆ เคยไปมาแล้วหลายครั้ง เขารู้สึกสะท้อนใจ พูดกับเยี่ยเทียนว่า “ศิษย์น้องเล็ก วันนี้ไม่เป็นไรนะ? ดื่มเป็นเพื่อนศิษย์พี่หน่อย ฉันจะเล่าเรื่องอดีตให้ฟัง!”


“ได้สิ เซี่ยวเทียน นายไปสั่งอาหารมาจากร้านนะ ฉันจะไปเอาเหล้าเหมาไถออกมาสองไห พ่อน่ะขี้เหนียว เมื่อวานไม่ยอมเอาเหล้านั้นออกมา!”


เยี่ยเทียนตอบรับ เรื่องราวแปลกพิสดารของโก่วซินเจียไม่ใช่ว่าใครจะได้ฟังกันง่ายๆ



ตอนที่ 439 ไม้แข็งหักง่าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

เดือนธันวาคมของปักกิ่งอากาศหนาวเย็นแค่น้ำหยดยังเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งได้ ปีนี้อากาศหนาวกว่าปีก่อน ช่วงหัวค่ำหนึ่งทุ่มผู้คนที่สนทนากันอยู่ตามตรอกต่างแยกย้ายกลับบ้านไปหมด


แต่ในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนช่างอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ อากาศหนาวเหน็บภายนอกไม่สามารถแทรกซึมเข้ามาได้ บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวและสุราวางเรียงราย บรรยากาศครึกครื้นมีความสุข


โก่วซินเจียนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ กำลังเล่าเรื่องเหตุการณ์การผจญภัยของตนอย่างสนุกสนาน ผู้ที่รายล้อมฟังอยู่ปรบมือหัวเราะอย่างชอบใจ แล้วจู่ๆ ก็เงียบลง


สถานะพิเศษของโก่วซินเจียในตอนนั้น เรื่องราวจุดจบในหลายๆ เหตุการณ์ที่ไม่สิ้นสุด เขารู้อย่างแจ่มแจ้งว่า ผู้การไต้ซึ่งมีแต่ชื่อเสียงเสียหายนั้น โก่วซินเจียกลับตัดสินเขาด้วยคะแนนที่สูงมาก


หลายๆ คนคงจะจำได้ว่าผู้การไต้นั้นมีวีรกรรมเคลื่อนไหวต่อสู้ในประเทศมากมาย แต่ความจริงแล้วในสมัยสงครามต่อต้านญี่ปุ่นนั้น ผู้การไต้ได้เสียสละเป็นอย่างมาก


กล่าวได้ว่า ที่ไหนที่มีคนจีนที่นั่นต้องมีสมาชิกม้าเร็วส่งสารของผู้การไต้ แน่นอนว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้รับการบันทึกเรื่องราวเสมอไป เหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ได้ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา


เยี่ยเทียนยกถ้วยสุราขึ้นมาคารวะโก่วซินเจียแล้วยิ้ม “ศิษย์พี่ ผมว่าศิษย์พี่ต้องหาเวลาเขียนบันทึกความทรงจำบ้าง ถึงเป็นการแสดงความเคารพต่อหน้าประวัติศาสตร์!”


“บันทึกความทรงจำ? ถ้าอยู่ฮ่องกงยังว่าไปอย่าง เอาไว้ที่นี่ใครมันจะกล้าเอาไปพิม์หนังสือ?”


โก่วซินเจียหัวเราะออกมา เขารู้ว่าเรื่องราวของเขาเหล่านี้ หากถูกเผยแพร่ออกไปต้องเป็นเรื่องที่ช็อคโลก อีกอย่างเรื่องก็ผ่านไปห้าสิบกว่าปีแล้ว ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวได้”


“ถ้างั้นก็เอาไปต่างประเทศพิมพ์เป็นหนังสือ เอาไว้ค่อยบอกศิษย์พี่รองอีกที”


ตอนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน อยู่ๆ กริ่งหน้าประตูดังขึ้น เยี่ยเทียนลุกขึ้น “หืม? ใครมาล่ะเนี่ย ศิษย์พี่ พวกท่านดื่มกันต่อเถอะ ผมออกไปดูหน่อย!”


“เอ๋? ใครกัน พลังเลือดลมถึงหนักแน่นอย่างนี้?”


เยี่ยเทียนเพิ่งเดินไปถึงลานบ้านก็สัมผัสได้ถึงบุคคลที่รออยู่นอกประตูว่าเป็นคนลมปราณหนักแน่นกล้าแข็ง แม้จะไม่ถึงขั้นมีพลังชั่วร้ายแต่ก็ไม่ต่างกันมากแล้ว


ตัวบ้านห่างจากตรอกหลายสิบเมตร เยี่ยเทียนสามารถรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของคนๆ นั้น จะพูดอีกอย่างคือ รอบบริเวณเรือนสี่ประสานของเขานั้น ตอนนี้มียอดฝีมือเจ็ดแปดคนรายล้อมอยู่


แต่คนพวกนี้สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่คณามือหรอก อีกทั้งยังไม่มีจิตสังหารของคนเหล่านั้น เยี่ยเทียนเพียงแค่ระวังตัวมากขึ้น เดินไปที่ประตูด้านข้างแง้มประตูเป็นช่องเล็กๆ


“คุณอีกแล้วเหรอ? ผมพูดชัดเจนแล้วนะ นี่ยังจะมาหาเรื่องพังบ้านผมหรือไง?”


เมื่อเห็นซ่งจือเจี้ยนยืนอยู่หน้าประตู เยี่ยเทียนเหลือบมองคนเบื้องหลังเขาอีกหลายคน ซึ่งคนเหล่านี้แน่นอนว่าฝีมือร้ายกาจกว่าบอดี้การ์ดเมื่อเช้ามาก


“นี่ เยี่ยเทียน เธอ…ทำไมถึงพูดแบบนี้เล่า”


ซ่งจือเจี้ยนรู้ว่าทำอะไรเยี่ยเทียนไม่ได้ คิดไม่ถึงว่า พอเขาเปิดประตูก็พูดเอาคำไม่น่าฟังออกมา ถ้าคนตระกูลซ่งจะมาหาเรื่องเขาล่ะก็คงไม่ต้องลำบากมาด้วยตนเองหรอก?


เยี่ยเทียนสั่นหัว “ผมบอกแล้วว่าไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ขอโทษนะครับ ในบ้านผมมีแขก ผมไปละ!”


“เดี๋ยวก่อน!”


เสียงเด็ดขาดมีอำนาจเสียงหนึ่งดังขึ้นจากในตรอก ตรงที่แสงไฟข้างทางส่องไม่ถึง ชายสูงวัยคนหนึ่งที่มีคนหนุ่มสี่ห้าคนรายล้อมอย่างแน่นหนาเดินใกล้เข้ามา


ขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าบันไดบ้านเยี่ยเทียนจู่ๆ ก็กระโดดขึ้นมาดันประตูไว้ไม่ให้เยี่ยเทียนปิดประตู


“จะใช้กำลังเหรอ?”


เยี่ยเทียนที่ตอนแรกปิดประตูค้างไว้ แต่เพราะการเคลื่อนไหวของคนๆ นั้นทำให้เยี่ยเทียนตกใจจนมือไปคว้าอยู่ที่ข้อมือของชายคนนั้น


ชายคนนั้นไม่ได้หลบหลีก แต่พลิกฝ่ามือขึ้น เปลี่ยนเป็นจับข้อมือของเยี่ยเทียนไว้แทน แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าหนุ่ม เวลาคุยกับผู้ใหญ่ควรเกรงใจกันบ้าง”


คนๆ นี้ชื่อฝูเจิ้งหมิง เป็นนายทหารระดับพันโทคนหนึ่งในสำนักงานความปลอดภัยแห่งชาติ และมีอีกชื่อหนึ่งว่าบอดี้การ์ดจงหนานไห่ มีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยระดับผู้นำประเทศ ฝีมือระดับนี้มีเพียงไม่กี่คนในองค์กร


ผู้ติดตามท่านผู้นำแต่ละคนนั้นมียศตำแหน่งสูง ท่าทางเหิมเกริมของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ทำให้ฝูเจิ้งหมิงไม่พอใจ ตอนนี้ยังจะกล้าลงมือกับเขาอีก ในใจแอบยิ้มเย็น


ขณะที่คว้าข้อมือของเยี่ยเทียนไว้นั้น เขาส่งแรงทั้งหมดไปไว้ที่มือ เขาไม่ได้คิดจะทำร้ายเยี่ยเทียน เพียงแต่คิดจะสั่งสอนให้เยี่ยเทียนได้รับบทเรียนบ้างเท่านั้น


“นายเป็นใครถึงกล้ามาสั่งสอนฉัน?!”


เยี่ยเทียนตอบกลับเสียงเย็น เขาเป็นคนไม่ยอมคน เมื่อเดาได้ถึงฐานะของผู้ที่มาเยือนแล้วก็ยังไม่ยอมอยู่ดี


สั่นมือขวาเล็กน้อย ข้อมือของเยี่ยเทียนสะบัดออกด้านนอก ร่างกายของฝูเจิ้งหมิงก็ลอยขึ้นจากพื้นเพราะถูกเยี่ยเทียนสะบัด


“ผลั่ก!” เสียงของหนักตกลงบนพื้น ร่างกายของฝูเจิ้งหมิงลอยออกไปสามสี่เมตรแล้วตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง เจ็บปวดไปทั้งร่าง ไม่มีแรงจะลุกขึ้นยืน


ตอนนั้นเองชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่รักษาความปลอดภัยอยู่ล้อมรอบซ่งเฮ่าเทียนอยู่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป มีสามคนในนั้นที่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับเยี่ยเทียนอย่างชัดเจน


อีกสองคนชักปืนออกมาขึ้นลำ จ่อปากกระบอกปืนไปที่เยี่ยเทียน


พอถูกปืนสองกระบอกชี้มาที่ตัวเอง เยี่ยเทียนก็ตัวแข็ง เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปทางซ้าย หลบอยู่หลังประตูรั้วหนา มีดสั้นอู๋เหินเคลื่อนตกลงมาใส่มือของเขาในทันที


เยี่ยเทียนเป็นคนไม่กลัวฟ้าดิน ชีวิตของเขา เขาต้องเป็นผู้กำหนดด้วยตัวเอง อีกทั้งในสายตาของเขามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครมีอำนาจหรือสิทธิพิเศษสูงไปกว่าใคร แม้แต่ชายชราที่อยู่นอกประตูนั่น!


ผู้ฝึกเต๋ามักทำตามความปรารถนาของตน ตอนนี้เยี่ยเทียนเกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว ถ้าบีบคั้นกันมากเข้า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำเรื่องราวใหญ่โตตามมาได้ อย่างมากก็หลบไปอยู่ที่เขาฉางไป๋ซาน ไปอยู่เป็นเพื่อนมังกรดำตัวนั้นก็แล้วกัน


“เก็บปืนไปให้หมด ใครอนุญาตให้พวกเธอเอาปืนออกมา? ยังมีกฎหมายอยู่หรือเปล่า?!”


ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังคิดหาทางอยู่นั้น เสียงของซ่งเฮ่าเทียนดังขึ้นมาจากนอกรั้ว “เยี่ยเทียน ฉันคือซ่งเฮ่าเทียน เธอออกมาเถอะ ฉันรับประกันว่าจะไม่มีใครทำร้ายเธอได้!”


“คุณไม่ต้องรับประกัน ไม่มีใครทำร้ายผมได้อยู่แล้ว”


เยี่ยเทียนเดินออกมาจากหลังประตูบานใหญ่ จ้องมองชายชราผู้นั้นไม่วางตา ตอบว่า “นี่คงเป็นสิทธิพิเศษของพวกคุณล่ะสิ แต่คนแค่นี้ ยังไม่พอหรอก ถ้าผมต้องการจะทำร้ายคุณล่ะก็ พวกเขาก็…ห้ามผมไม่ได้!”


ตอนที่เยี่ยเทียนพูดนั้นมีรังสีของจิตสังหารและพลังพิฆาตแผ่ออกมาจากตัวเข้าพุ่งเข้าใส่เหล่าผู้รักษาความปลอดภัยของท่านผู้นำ ทำเอาพวกเขาถึงกับหน้าถอดสี ทนไม่ได้ต่างเอามือกอดอกไว้


เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุด ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นปีศาจหรือซาตานก็ไม่ปาน ลำพังแค่พลังจิตสังหารที่ท่วมท้น ก็สามารถข่มขวัญเหล่าทหารผู้เคยอยู่ในสมรภูมิ รบมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวเยือกเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจ


แต่ด้วยหน้าที่พวกเขายังคงยืนล้อมคุ้มกันซ่งเฮ่าเทียนอย่างแน่นหนา ไม่ถอยหลังให้แก่เยี่ยเทียนเลยสักก้าว ด้วยสีหน้ากลับซีดเผือดด้วยความหวั่นเกรง


ซ่งเฮ่าเทียนที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมยังคงสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง  ชีวิตที่ผ่านโลกมามากสะสมเป็นพลังความเข็มแข้ง ไม่ได้หวั่นไหวต่อพลังจิตสังหารของเยี่ยเทียนเลยสักนิด


“คนเขาว่ากัน อำนาจค้ำฟ้า ประโยคนี้ไม่ผิดเลย พลังชีวิตที่สั่งสมมาจากการผ่านเรื่องราวมากมายในชีวิต ยังสามารถต่อต้านกับพลังของเราได้  มิน่าล่ะใครๆ ก็อยากทำงานราชการ”


เยี่ยเทียนเห็นดังนั้นแอบบ่นด้วยความประหลาดใจ เขาแค่ข่มขวัญพวกเจ้าหน้าที่พวกนั้น ตอนนี้ยิ้มอ่อนออกมา ความกดดันที่ส่งไปถึงคนทั้งกลุ่มค่อยๆ เจือจางลง


“ไม่ทราบว่าเป็นผู้อาวุโสซ่งมาถึงที่นี่ ผมเสียมารยาทแล้ว!”


เยี่ยเทียนให้ความเคารพความเสียสละของท่านผู้นำที่มีต่อประเทศชาติ แต่นั่นก็เป็นเรื่องส่วนรวม ส่วนเรื่องส่วนตัวนั้นเยี่ยเทียนยังคงโกรธแค้นบุคคลคนนี้ที่ทำให้เขาไม่มีแม่ตั้งแต่เล็ก


คนในสำนักวิชานั้นส่วนใหญ่ไม่ได้มีจิตใจกว้างขวาง เยี่ยเทียนก็เป็นเหมือนกัน ถ้าให้เขาเลือกระหว่างประเทศชาติกับครอบครัว เขาต้องเลือกครอบครัวมาก่อนอยู่แล้ว เมื่อเช้าเขาบอกให้ซ่งเฮ่าเทียนมาหาเขาด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ท่านผู้นำเข้ามาในรั้วบ้านของเขาได้


ไม่รอให้ซ่งเฮ่าเทียนพูดก่อน เยี่ยเทียนเอ่ยเสียงเรียบว่า “เมื่อเช้าผมได้บอกกับคุณซ่งจือเจี้ยนไปแล้วว่า บ้านตระกูลเยี่ยใครๆ ก็เข้าได้ ยกเว้นคนตระกูลซ่งเท่านั้น ดังนั้น…ขอโทษจริงๆ คุณจะเข้ามาในบ้านผมไม่ได้!”


ในน้ำเสียงของเยี่ยเทียนเจือด้วยความเด็ดขาด ทำให้พวกผู้คุ้มกันแสดงสีหน้าคาดไม่ถึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าในประเทศจีนจะมีใครกล้าคุยกับซ่งเฮ่าเทียนแบบนี้?


“เยี่ยเทียน วันนี้ฉันไม่ได้มาเจรจาอะไรกับเธอ เพียงแต่…เพียงแต่อยากเจอเธอเท่านั้น ในเมื่อเธอไม่ต้อนรับฉัน ฉันก็จะกลับละ!”


เยี่ยเทียนพูดจบ รูปร่างสูงใหญ่ของซ่งเฮ่าเทียนก็ดูค้อมเตี้ยลงมาก ดูแก่ลงราวสิบปีในชั่วพริบตา แม้แต่เยี่ยเทียนเห็นแล้วยังตะลึงงัน


เมื่อเห็นพ่อทำท่าจะกลับ ซ่งจือเจี้ยนอดรนทนไม่ได้พูดขึ้นมาว่า “พ่อ ดูสิ ดูเขาช่างเอาแต่ใจเสียจริง”


คำพูดของซ่งจือเจี้ยนซึมซับเข้าไปในใจของผู้คุมกันทั้งหลาย หนึ่งในนั้นที่ติดตามท่านผู้นำมาเป็นเวลาน้อยที่สุดคนหนึ่งแต่ก็เป็นเวลาถึงสามสี่ปีแล้ว ยังไม่เคยพบเห็นใครไม่กลัวฟ้าดินอย่างเยี่ยเทียนมาก่อนเลย


“เหตุในอดีตก่อเกิดผลในปัจจุบัน ถ้าหากการมาของฉันในวันนี้ทำให้เด็กคนนี้คลายความแค้นลงได้ ก็คงจะดี”


ซ่งเฮ่าเทียนโบกมือห้ามบุตรชาย มองดูเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “คนหนุ่มมีความองอาจเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าแข็งกร้าวเกินไปจะแตกหักได้ง่าย วันหน้าเธออย่าได้ทำอย่างนี้อีกล่ะ!”


“น้องเหวินเซียน อย่ามัวแต่ว่าคนอื่น ตอนนายหนุ่มๆ นายต่างกับเยี่ยเทียนตอนนี้ที่ไหน? เกรงว่าจะเป็นยิ่งกว่าเขาเสียอีก?”


เสียงของซ่งเฮ่าเทียนยังไม่ทันขาดคำ เสียงชายชราอีกคนหนึ่งดังขึ้น ร่างผอมบางของโก่วซินเจียไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างกายเยี่ยเทียนตั้งแต่เมื่อไหร่



ตอนที่ 440 เรื่องอดีต

โดย

Ink Stone_Fantasy

“คุ้มกันท่านผู้นำ!” พอร่างของโก่วซินเจียปรากฏขึ้น พวกเจ้าหน้าที่คุ้มกันรายล้อมรอบตัวซ่งเฮ่าเทียนอย่างหนาแน่นอีกครั้ง


คำพูดของเยี่ยเทียนที่พูดต่อท่านผู้นำเมื่อครู่ พวกเขาได้ยินแล้วรู้สึกว่าทั้งสองต้องมีเรื่องราวกันมาก่อน ไม่ได้มีอันตรายนัก แต่สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว พวกเขาตอบสนองการระวังภัยอย่างว่องไว


หน้าที่จากการฝึกหนักของเจ้าหน้าที่คุ้มกันคือ ความปลอดภัยของท่านผู้นำต้องมาเป็นอันดับแรก ดังนั้นจึงมุงกันเข้ามายืนบังเป็นเกราะมนุษย์ แต่ละคนสูงใหญ่ประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรทั้งนั้น จึงบดบังร่างของท่านผู้นำจนมิด


แต่การล้อมวงเข้ามาพลอยทำให้ซ่งเฮ่าเทียนมองไม่เห็นโก่วซินเจียไปด้วย ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนยิ่งกระวนกระวาย ยื่นมือออกไปผลักการ์ดที่ยืนอยู่เบื้องหน้าให้หลบออก


“พวกเธอถอยไป ถอยไปนะ!”


ท่าทางสงบราบเรียบของซ่งเฮ่าเทียนเมื่อครูหายไป แต่กลับตอบสนองกับเสียงเรียกของโก่วซินเจียอย่างร้อนรนจนเสียงที่เปล่งออกมามีความสั่นสะท้าน


ก่อนหน้ายุคปฏิวัติวัฒนธรรม คนที่พอมีตำแหน่งสูงจะตั้งชื่อฉายาให้ตัวเอง ตามตำราหลักพิธีกรรม (หลี่จี้ เตี่ยนหลี่ซ่าง) ที่ว่าด้วยการตั้งชื่อใหม่เมื่อบุรุษมีอายุครบ 20 ปี


หลักในการตั้งชื่อฉายานี้จะตั้งเมื่อบุรุษอายุยี่สิบปี ได้รับยศตำแหน่งแล้ว ต้องมีคุณธรรมแบบผู้เป็นพ่อ ผู้คนและเพื่อน ๆ ก็จะเรียกชื่อฉายานี้ ถือเป็นการให้เกียรติด้วย


ชื่อฉายาของซ่งเฮ่าเทียนก็คือ “เหวินเซียน” ตามที่โก่วซินเจียนเรียกเมื่อครู่ แต่หลังจากยุคปฏิวัติวัฒนธรรมแล้ว ก็ไม่มีใครเรียกชื่อฉายาของเขาอีกเลย


“น้องเหวินเซียน” คำนี้แสดงว่าผู้เรียกต้องเป็นสหายเก่าที่เคยสนิทสนมกัน ทั้งอายุยังต้องมากกว่าตนอีก จึงเป็นเหตุให้ซ่งเฮ่าเทียนตื่นเต้นร้อนรน


พอดันให้ผู้คุ้มกันเบื้องหน้าหลบไปแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนถึงมองเห็นโก่วซินเจียที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยเทียน


บ้านเยี่ยเทียนค่อนข้างมีฐานะ โคมไฟหน้ารั้วบ้านจึงติดตั้งไฟแรงสูงถึงสองร้อยวัตต์ แสงไฟส่องสว่าง ซ่งเฮ่าเทียนจึงมองเห็นใบหน้าของโก่วซินเจียได้อย่างชัดเจน


แต่เมื่อมองเห็นแล้วซ่งเฮ่าเทียนขมวดคิ้ว คนตรงหน้าไม่เหมือนกับคนที่ตนเคยรู้จัก? แล้วทำไมเขาถึงเรียกชื่อฉายาของตนถูกเล่า


การเคลื่อนไหวของซ่งเฮ่าเทียนทำให้การ์ดที่รายล้อมอยู่เข้าใจ ผู้ที่ถูกเรียกว่าน้องเหวินเซียนนั้นคือท่านผู้นำนั่นเอง


ตั้งแต่มาถึงพวกเจ้าหน้าที่คุ้มกันต่างก็สงสัย เพราะนักพรตคนนั้นดูอายุไม่ถึงหกสิบปี แต่ทำไมจึงเรียกท่านผู้นำว่าน้อง?


ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่คุ้มกันที่สงสัย แม้แต่ซ่งจือเจี้ยนเองก็ขมวดคิ้ว เพื่อนเก่าของพ่อเขารู้จักทุกคน เพราะเหตุนี้จึงทำให้การค้าธุรกิจต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น แต่นักพรตที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาไม่เคยพบมาก่อน


ด้วยอายุและสถานะของซ่งเฮ่าเทียน มีเรื่องอะไรก็สามารถเอ่ยปากถามได้ตามตรง เขาไม่เคยต้องเก็บงำความสงสัยไว้เลย จึงถามไปว่า “ขอถามหน่อยท่านนักพรตท่านนี้ชื่ออะไร ทำไมท่านถึงรู้ชื่อฉายาของผมด้วย?”


“ชื่อของฉันหรือ? น้องเหวินเซียน นายจำฉันไม่ได้จริงหรือ?”


โก่วซินเจียได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป จากนั้นพิจารณามองดูตัวเองอีกครั้ง แล้วยิ้มเยาะออกมาทีหนึ่ง “จริงสิ ผ่านไปห้าสิบกว่าปีแล้ว อาตมาไม่เคยได้ติดต่อสหายเก่าเลย…”


เมื่อครั้งที่โก่วซินเจียยังมีอำนาจ เขามีสิทธิ์ที่จะจับกุมคนที่ถูกสงสัยว่ามีภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือแม้แต่ผู้การไต้ จึงเรียกได้ว่าเขาเป็นคนเหนือคนทั้งหลาย และอยู่ใต้อำนาจของหัวหน้าไต้เพียงคนเดียว”


ตอนที่ไปพม่าทำภารกิจค้นหาขุมทองแล้ว โก่วซินเจียสูญเสียหนักมาก ทั้งยังไปหลบซ่อนในหุบเขาอีกเกือบห้าสิบปี ตอนนี้สภาพของเขาเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้แล้ว


อย่าว่าแต่ซ่งเฮ่าเทียนเลย แม้แต่คุณชายเจียงถ้ายังมีชีวิตอยู่ให้มาพบเขาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะจำได้ ส่วนหูหงเต๋อที่จำโก่วซินเจียได้นั้นเพราะได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเทียนกับนักพรต


เมื่อเห็นว่าสหายเก่าที่เคยสนิทสนมกันกลับจำตนเองไม่ได้แล้ว โก่วซินเจียก็หน้าม่อยลง ส่ายศีรษะพูดว่า “จำไม่ได้ก็ช่างเถอะ จำไม่ได้ก็ช่าง เยี่ยเทียน เราเข้าบ้านกัน!”


“ครับ ศิษย์พี่”


เยี่ยเทียนรับคำแล้วยังอุตส่าห์เหน็บแนม “พวกเขาจะกลับแล้ว ศิษย์พี่ยังจะออกมาดูอีก? คุณซ่งมีตำแหน่งใหญ่โต จำคนจนอย่างเราๆ ได้ที่ไหน?”


ชายชราที่ทำให้เยี่ยเทียนไม่ได้รับความรักจากแม่ตั้งแต่เล็ก เยี่ยเทียนเคารพไม่ลง เวลาพูดยังอดไม่ได้ที่จะประชดเหน็บแนม


เห็นทั้งสองคนกำลังหันหลังกลับเข้าบ้านไป ซ่งเฮ่าเทียนรีบตะโกนห้ามไว้ “ท่านนักพรต เดี๋ยวก่อน กระผมอายุมากแล้ว ความจำไม่ค่อยดี ขอถามหน่อยท่านนักพรตเป็นใครกันแน่? มีชื่อว่าอะไร?”


หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ซ่งเฮ่าเทียนไม่เคยได้ยินใครเรียกเขาว่า “เหวินเซียน” อีกเลย คนที่รู้มีแต่สหายเก่าแก่เท่านั้น


ซ่งเฮ่าเทียนยังรู้สึกว่าคนๆ นี้หน้าคุ้น เพียงแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใครกันแน่?


“โก่วซินเจียชะงักฝีเท้าลง ตอบว่า “ฉายาของฉันคือหยวนหยางจื่อ นายยังจำได้หรือยัง?”


“หยวนหยางจื่อ?หยวนหยางจื่อ…หยวนหยาง?”


ซ่งเฮ่าเทียนพึมพำชื่อซ้ำไปมาหลายครั้ง แล้วก็เบิกตาโพลงมองโก่วซินเจียอย่างไม่เชื่อสายตา พูดเสียงสั่น “ท่าน…ท่านคงจะไม่ใช่…พี่หยวนหยาง?


“เหอะๆ ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครล่ะ?”


โก่วซินเจียพยักหน้า ถอนหายใจยาว “น้องเหวินเซียน ไม่ได้พบกันตั้งห้าสิบกว่าปี นายดูแก่ลงไปมากเลย ฉันเองก็หน้าตาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!”


โก่วซินเจียติดตามนักพรตหลี่ซั่นหยวนฝึกวิชามาตั้งแต่เด็ก ตอนที่เขาอายุยี่สิบปีหลี่ซั่นหยวนได้ตั้งฉายาให้เขาว่า “หยวนหยาง” โก่วซินเจียเวลาอยู่ข้างนอกก็มักจะใช้ชื่อนี้ พอออกบวชแล้วได้เปลี่ยนชื่อฉายาเป็นหยวนหยางจื่อ


“พี่หยวนหยาง พี่…พี่ยัง…ยังมีชีวิตอยู่เหรอ นี่…เป็นไปได้อย่างไร?!”


จนวินาทีนี้สีหน้าตกตะลึงของซ่งเฮ่าเทียนยังไม่จางหาย ตอนนั้นบ้านตระกูลซ่งกับสองพรรคการเมืองใหญ่แห่งชาติมีความสัมพันธ์อันดี ซ่งเฮ่าเทียนก็รู้จักคนมากหน้าหลายตา แม้ตัวจะอยู่ที่ประเทศจีน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไต้หวันเขาก็รู้ดีเช่นกัน


ยุคปี 50 ซ่งเฮ่าเทียนทราบว่าโก่วซินเจียเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ตอนนั้นได้แต่ทอดถอนใจไม่หยุดหน่อย แต่คนที่ควรจะจากโลกนี้ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้กลับยืนอยู่ตรงหน้าเขา เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจซ่งเฮ่าเทียนมาก


ทองต้นทุนที่มีค่ามากที่สุดของประเทศ พอมาถึงช่วงปี 80 เริ่มเข้ารับตำแหน่งระดับผู้นำ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบยี่สิบปี ซ่งเฮ่าเทียนได้เคยเผชิญกับวิกฤตในชีวิตมานับไม่ถ้วน แต่วันนี้เป็นวันที่เขาต้องตกใจที่สุดในชีวิต


“นั่นน่ะสิ ฉันเองยังไม่คิดเลยว่าตัวเองจะยังอยู่…” โก่วซินเจียถอนใจเสียงดัง “น้องเหวินเซียน เข้ามาคุยกันข้างในเถอะ”


การเชื้อเชิญของโก่วซินเจียกลับทำให้เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ ผมเคยพูดไปแล้ว ถ้าจะรื้อฟื้นความหลังก็ไปที่อื่นเถอะ”


“เยี่ยเทียน ความแค้นของตระกูลทั้งสองน่ะฉันรู้ดี ตอนนั้นตระกูลซ่งทำเกินไป แต่มันก็เป็นเรื่องตั้งแต่หลายชาติมาแล้ว นายต้องปล่อยวางลงบ้าง…”


โก่วซินเจียเกือบลืมไปแล้วว่าตนมาอาศัยอยู่บ้านเยี่ยเทียน ยิ้มฝืดพูดต่อ “น้องเหวินเซียนยอมมาหานายถึงบ้านก็แสดงว่าเขายอมก้มหัวให้ตระกูลเยี่ยแล้ว นายยังจะไม่ยอมให้เรื่องจบสิ้นอีกหรือ?”


ในปีนั้นเรื่องราวของสองตระกูลใหญ่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั้งปักกิ่ง  โก่วซินเจียทราบดี เพียงแต่ตอนนั้นประมุขผู้นำตระกูลซ่งไม่ใช่ซ่งเฮ่าเทียน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงอยากเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้


“เรื่องของบรรพบุรุษไม่เกี่ยวกับผมหรอก ผมเองก็ไม่อยากผูกใจเจ็บด้วย”


เยี่ยเทียนมองดูซ่งเฮ่าเทียนทีหนึ่ง แล้วพูดน้ำเสียงราบเรียบว่า “การเป็นพ่อคน แต่ไม่คำนึงถึงความสุขของลูก กลับทำให้สามีภรรยาต้องแยกจาก แม่ลูกไม่ได้อยู่พร้อมหน้า คนแบบนี้ช่างใจร้ายใจดำ ผมจะไม่ให้เขาเหยียบเข้าบ้านเป็นอันขาด!”


จิตใจของเยี่ยเทียนไม่ได้กว้างขวางนัก ความแค้นในอดีตของตระกูล เขาไม่ได้สนใจแล้ว เพียงแต่เพราะซ่งเฮ่าเทียนบีบบังคับทำให้ครอบครัวของเขาต้องพลัดพราก เป็นเรื่องที่เยี่ยเทียนยากจะลืม


โก่วซินเจียรู้สึกปวดหัวเมื่อได้ฟังเหตุผลของเยี่ยเทียน คำโบราณว่าไว้ ข้าราชการที่ยุติธรรมที่สุดก็ไม่อาจจัดการเรื่องในครอบครัวให้ใครได้ เรื่องในบ้านของเยี่ยเทียน ตัวเองเป็นแค่ศิษย์พี่ จะไปพูดอะไรมากก็ไม่ได้


โก่วซินเจียกลอกตา ทำเป็นไม่เอ่ยถึงเรื่องของเยี่ยเทียนกับซ่งเฮ่าเทียน เอ่ยถามว่า “เยี่ยเทียน ถือว่าไว้หน้าศิษย์พี่หน่อย ให้ฉันยืมสถานที่ต้อนรับเพื่อนเก่า ได้ไหม?!”


“ศิษย์พี่…”


เยี่ยเทียนถอนหายใจ เหลือบตามองซ่งจือเจี้ยนแล้วตอบว่า “คนตระกูลซ่งน่ะทำแต่เรื่องสกปรก ผมไม่อยากให้พวกเขาเข้ามาทำบ้านผมแปดเปื้อน”


“ก็ให้น้องเหวินเซียนเข้ามาคนเดียวได้ไหม?”


โก่วซินเจียหว่านล้อมต่อ “ฉันรู้นิสัยของนายดี เหวินเซียนไม่ทำเรื่องไม่ดีกับนายหรอก ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่อย่างฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน!”


ในเมื่อศิษย์พี่พูดถึงขนาดนี้แล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกลำบากใจ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลง “เอาเถอะ ให้เขาเข้ามาแค่คนเดียวก็พอ ให้คนอื่นรออยู่ข้างนอก!”


บนโลกนี้มิตรสหายที่หลงเหลืออยู่ของโก่วซินเจียมีจำนวนแทบนับนิ้วได้ ถ้าไม่เอ่ยถึงความเกี่ยวข้องกับตระกูลซ่งกับตน ยังยืนกรานห้ามไม่ให้ซ่งเฮ่าเทียนเข้ามาในบ้าน คงจะเป็นการไม่ให้เกียรติศิษย์พี่


การที่ซ่งเฮ่าเทียนยอมมาหาถึงบ้าน ถือว่าบุญคุณความแค้นของสองตระกูลนั้นขีดฆ่าทิ้งไปได้หนึ่งอย่าง ถ้าตัดเรื่องของแม่เยี่ยเทียนออกไป เขาก็ควรยอมให้ซ่งเฮ่าเทียนเข้าไปในบ้าน


“ได้สิ ฉันจะเข้าไปเอง พี่หยวนหยาง พี่ต้องเล่าเรื่องของพี่ให้ผมฟังด้วยนะ!”


การพบปะสหายเก่านั้นสำคัญกว่าเรื่องของเยี่ยเทียน ในปีนั้นถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโก่วซินเจีย ตระกูลซ่งของเขาคงจะดับสูญไปจากเซี่ยงไฮ้นานแล้ว


“ท่านผู้นำครับ ต้องขอประทานอภัยครับ พวกผมไม่สามารถให้ท่านเข้าไปคนเดียวได้!”


ซ่งเฮ่าเทียนเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว กลับถูกฝูเจิ้งหมิงห้ามไว้ ตามกฎการคุ้มกัน กรณีเกิดความไม่ปลอดภัยใดๆ พวกเขาต้องอยู่ปกป้องข้างกายท่านผู้นำไม่ห่าง


อีกทั้งเห็นฝีมือของเยี่ยเทียนแล้ว ยิ่งทำให้ฝูเจิ้งหมิงไม่วางใจ หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น พวกเขารับผิดชอบไม่ไหว


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)