หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 436-439

 บทที่ 436 พวกโจร!

โดย

Ink Stone_Fantasy

เจ้านครอึ้งจนพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำร้องขอของหวังเป่าเล่อ ทว่านางไม่ใช่คนที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ จึงบอกชายหนุ่มไปว่าจะส่งเรื่องต่อให้ทางสหพันธรัฐโดยตรง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จหรือเปล่า


หวังเป่าเล่อแค่อยากลองวัดดวงดูเท่านั้น ดวงตาของชายหนุ่มลุกโชติช่วงเมื่อพบว่าเจ้านครไม่ได้บอกปฏิเสธ เขาตั้งตาคอยคำตอบด้วยความคาดหวัง ตระกูลนภาห้าสมัยเดือดจัด โดยเฉพาะผู้นำตระกูลเฉินที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนแทบจะระเบิดอยู่ภายในที่พำนักของตน


“โจร คนพวกนี้มันเป็นโจร!


“ไอ้ชั่วหลินโยว เจ้านั่นบอกว่าลูกชายตัวเองต้องระเบิดอาวุธเวทไปสามสิบชิ้น มันเรื่องบ้าอะไรกัน ลูกชายเขาน่ะหรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้านั่นจะมีอาวุธเวทมากมายอะไรขนาดนั้น!


“แล้วก็ไอ้แก่หนังเหนียวจินอีก บอกว่าจินตั้วหมิงระเบิดอาวุธเวทระดับเก้าไปอีกเจ็ดชิ้น เชื่อก็โง่แล้ว! อาวุธเวทระดับเก้าห่าเหวอะไรจะไปหาง่ายขนาดนั้น!


“กองทัพประจำดาวอังคารก็หน้าด้านไม่แพ้กัน บอกว่ากงเต๋าระเบิดอาวุธเวทไปยี่สิบชิ้น ยังไม่เท่านั้นนะ ผู้นำสหพันธรัฐต้วนมู่ฉีออกโรงมาบอกเองว่ากงเต๋าไม่ได้เสียอาวุธเวทไปมากขนาดนั้น ระเบิดไปเพียงแค่หกชิ้นเท่านั้น…แม้แต่ผู้นำที่มียศถาบรรดาศักดิ์ขนาดนั้นยังตามน้ำช่วยอีก!”


“ไอ้หวังเป่าเล่อก็อีกคน ใจกล้าหน้าด้านมาบอกว่าตัวเองระเบิดอาวุธเวทระดับแปดไปสิบชิ้น!” ผู้นำตระกูลเฉินเดือดจัด เขาไม่มีทางรับผิดชอบได้ไหว ตระกูลนภาห้าสมัยเองก็เช่นกัน ขณะที่กำลังเดือดดาลอยู่นั้น แหวนสื่อสารก็สั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อเรียกร้องจากสำนักสหชุมนุมสกุณา โดยพวกเขาขอการชดเชยเรื่องอาวุธเวทด้วยเช่นกัน…


ราวกับน้ำมันหยดใส่กองเพลิง ผู้นำตระกูลเฉินโกรธจัดจนคุมอารมณ์ไม่อยู่ เขาแจ้งข้อเรียกร้องต่างๆ ที่ได้รับมาให้ทางสหพันธรัฐและฝ่ายปกครองดาวอังคารได้รับทราบในนามตระกูลนภาห้าสมัย ก่อนจะเอ่ยถามคำถามสุดท้าย


“ต้องใช้อาวุธเวทระดับเก้าสามชิ้น อาวุธเวทระดับแปดหลายสิบชิ้น กับอาวุธเวทระดับเจ็ดอีกเป็นร้อย ถึงจะทำลายหุ่นเชิดขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ลงได้อย่างนั้นหรือ”


ต้วนมู่ฉีมีสีหน้าแปลกๆ เมื่อได้เห็นข้อเรียกร้องทั้งหมด เจ้านครอาณานิคมเองก็ได้แต่มองตาปริบๆ เช่นกัน แต่ละฝ่ายนั้นรู้เพียงแค่ข้อเรียกร้องของฝ่ายตนเอง พวกเขาไม่รู้ว่าฝ่ายอื่นๆ นั้นเรียกร้องอะไรไปบ้าง หลังจากตระกูลนภาห้าสมัยประกาศข้อเรียกร้องทั้งหมดให้ทุกฝ่ายได้รับทราบ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวทุกคน


หวังเป่าเล่อทราบเรื่องประกาศของตระกูลนภาห้าสมัยผ่านเจ้านคร เขาสูดหายใจลึกเมื่อได้เห็นข้อเรียกร้องจากฝ่ายต่างๆ


อะไรกัน พวกนั้นไม่ได้ระเบิดอาวุธตัวเองสักหน่อย มีแต่ข้าที่ทำ! หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับว่าตนเป็นเพียงกระต่ายน้อยแสนใสซื่อไร้เดียงสาเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ


 กงเต๋า จินตั้วหมิง และหลินเทียนหาวต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ กลุ่มอำนาจการเมืองที่หนุนหลังพวกตนอยู่ไม่มีทีท่าที่จะยอมโอนอ่อน การต่อสู้ดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องอยู่ระยะหนึ่ง ในที่สุดต้วนมู่ฉีก็เข้ามาจัดการ ปัญหาทั้งหมดจึงคลี่คลายลง


ตระกูลนภาห้าสมัยต้องชดเชยทรัพยากรจำนวนมากให้นครใหม่ ถือว่าเป็นค่าปรับเรื่องความเสียหายทั้งหมดที่เฉินมู่ก่อ นอกจากนี้ยังต้องมอบอาวุธเวทระดับแปดหนึ่งชิ้นและอาวุธเวทระดับเจ็ดอีกสิบห้าชิ้นเป็นของชดเชยอีก


หวังเป่าเล่อได้อาวุธเวทระดับแปดไป ส่วนอาวุธเวทระดับเจ็ดที่เหลือก็แบ่งสรรปันส่วนไปให้ฝ่ายต่างๆ ข้อพิพาทจึงได้ยุติลง


ชะตากรรมสุดท้ายที่รอเฉินมู่อยู่ได้รับการตัดสินแล้ว หลังจากสหพันธรัฐไต่สวนเสร็จก็สั่งให้เขาได้รับโทษประหาร


การหมั้นของเฉินมู่และหลี่หว่านเอ๋อร์ถือเป็นโมฆะ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก


หวังเป่าเล่อรีบเสนอชื่อจั่วอี้ฟานให้เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีแทนเฉินมู่ ข้อเสนอของเขาไม่ได้รับการอนุมัติในทันที แต่ชายหนุ่มก็ย้ำเสียงแข็งไปอีกครั้ง จากกรณีของเฉินมู่และหลี่อี้ ทำให้กลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ เริ่มรู้จักตัวตนหวังเป่าเล่อมากยิ่งขึ้น พวกเขารู้ว่าหากชายหนุ่มไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะส่งใครไป ก็มีโอกาสที่จะลงเอยเหมือนกรณีก่อนๆ


ความสงบสุขหวนคืนสู่นครอาวุธเทพใหม่อีกครั้ง เจ้านครดาวอังคารและสหพันธรัฐได้ส่งคนมาตรวจสภาพเจ้าลา พวกเขาพบพลังระดับขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ภายในตัวเจ้าลา แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถแปลงกายตามใจชอบได้ ราวกับว่าพลังนั้นยังคงหลับใหลอยู่


สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าออกโรงให้การสนับสนุน ทำให้หวังเป่าเล่อเลี้ยงเจ้าลาต่อได้


ด้วยการเสริมทัพจากเจ้าลาทำให้หวังเป่าเล่อถือเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่ทรงพลังที่สุดในสหพันธรัฐ แม้จะไม่ได้มีชื่ออยู่ในกลุ่มอย่างเป็นทางการ แต่ก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้นได้กลายๆ


เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติสุขอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็ได้รับอาวุธเวทระดับแปดจากตระกูลนภาห้าสมัย อาวุธเวทที่ได้มานั้นไม่ใช่อาวุธแต่เป็นเครื่องป้องกัน เมื่อสวมแล้วจะสร้างเกราะป้องกันครอบคลุมร่างกาย สามารถต้านทานการโจมตีรุนแรงจากศัตรูได้


ในหมู่อาวุธเวทระดับแปด อาวุธที่มีพลังโจมตีรุนแรงมีมูลค่าสูงกว่าเครื่องป้องกัน แต่เครื่องป้องกันก็ถือเป็นของหายากในหมู่อาวุธเวทระดับแปดขึ้นไป ตีมูลค่าได้ยากว่าระหว่างอาวุธกับเครื่องป้องกันอะไรมีมูลค่ามากกว่ากัน ต้องดูที่ความต้องการของผู้ใช้


เห็นได้ชัดว่าตระกูลนภาห้าสมัยไม่อยากชดเชยด้วยอาวุธโจมตี จึงเลือกมอบเกราะป้องกันให้แทน หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เนื่องจากจริงๆ แล้วตนต้องการเครื่องป้องกันมากกว่า


ผู้ฝึกตนจะต้องอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในจึงจะสามารถใช้อาวุธเวทระดับแปดได้สมบูรณ์ หากได้อาวุธมาคงจะหาทางใช้ได้ยาก ข้าคงจะใช้งานมันได้ไม่เต็มที่เหมือนเช่นอาวุธเวทระดับเจ็ด ชายหนุ่มตรวจสอบเกราะป้องกันทันทีที่ได้รับมา จากความเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทของตนทำให้บ่งบอกได้ว่าเกราะป้องกันนี้ไม่มีอะไรผิดแปลกจึงลองสวมดูทันที ชายหนุ่มลูบคลำเกราะป้องกันทั่วทุกส่วนด้วยความพึงพอใจ


น่าเสียดายที่กระบี่พังไป…ต้องใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์เพื่อหลอมอาวุธเวทโทรโข่งของข้าให้เสร็จ! ชายหนุ่มยังปวดใจทุกครั้งที่คิดถึงกระบี่ เขาร่วมรบกับมันมานาน ใช้มันฆ่าฟันเอาชีวิตรอดตอนอยู่บนดวงจันทร์ กระบี่เล่มนั้นยังคงอยู่ในใจหวังเป่าเล่อ


โชคยังดีที่แม้จะเสียกระบี่ไป แต่เขาก็ยังมีกระบี่บินอาวุธเวทระดับเจ็ด หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักก็เริ่มเก็บตัวอีกครั้ง เขาตั้งใจจะศึกษาทักษะการหลอมสวรรค์สร้างให้ชัดแจ้ง จากนั้นก็เชื่อมดวงจิตของทวยเทพมาใช้สร้างอาวุธเวทโทรโข่งของตนเอง


คงจะดีถ้าข้าหลอมสมบัติเวทที่ใช้เรียกดวงจิตเทพเจ้าได้…พอเปิดใช้ก็จะดึงดวงจิตของเทพเจ้ามาหาตัวเองได้ทันที หวังเป่าเล่อถอนหายใจ คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เขาสูดหายใจลึกสองเฮือกเพื่อสงบใจตนเองลง จากนั้นก็หลับตาลงภายในห้องลับ ปล่อยใจให้อาวุธเวทกระบี่บินและเกราะป้องกันนำทางไปค้นหาดวงจิตของทวยเทพ


หนึ่งเดือนผ่านไป หวังเป่าเล่อเข้าฌาณไปเรื่อยๆ เพื่อตามหาดวงจิตของเทพเจ้าอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่เจอ ชายหนุ่มก็จะพยายามนำทางดวงจิตมาหาตนเอง แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง


เขาสัมผัสได้ถึงวิญญาณหนึ่งที่ลุกไหม้อยู่ภายในดาวอังคารแทบจะทุกครั้ง วิญญาณดวงนั้นใหญ่โตราวกับดวงอาทิตย์ มีพลังเหนือชั้นกว่าเทพเจ้าที่ยังหลงเหลืออยู่บนดวงดาว ชายหนุ่มคิดว่าถ้าสามารถดึงวิญญาณนั้นมาหาตนเองได้ เขาก็อาจจะหลอมอาวุธเวทระดับเก้าได้!


ชายหนุ่มไม่กล้าท่องเข้าไปใกล้มันเนื่องจากระดับการฝึกตนของตนเองไม่สูงพอ มีครั้งหนึ่งที่เขาเผลอเข้าไปใกล้ ก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดราวกับจิตวิญญาณของตนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ชายหนุ่มถอยกลับออกมาด้วยความหวาดกลัว และมุ่งเป้าไปที่ดวงจิตของเทพเจ้าที่พลังอ่อนกว่าแทน


หลังจากพยายามซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง เขาก็พบเทพเจ้าตนหนึ่งที่ไม่ได้แกร่งกล้ามากแต่ก็มีจิตวิญญาณหนาแน่น มันให้ความรู้สึกเหมือนกับพยัคฆ์ไฟยักษ์ ดูเหมาะสมที่นำมาเป็นวิญญาณวุธ


หวังเป่าเล่อตัดสินใจเลือกดวงจิตดวงนี้ เขาพยายามล่อให้ดวงจิตลอยเข้ามาหาหลายต่อหลายครั้ง แต่ดวงจิตดวงนั้นดูจะมีอารมณ์ร้อน มันลอยเข้ามาหาชายหนุ่ม ก่อนจะแปลงกายเป็นคลื่นอัสนี พยายามจะฟาดใส่ใครก็ตามที่เข้าใกล้


ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหญิงสาวแสนสวยจอมยั่วสวาท ส่วนดวงจิตดวงนั้นเป็นดังชายหนุ่มที่ไม่แยแสสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะพยายามล่อลวงใจชายผู้นั้นสักเท่าใด ก็ได้รับเพียงการเมินเฉย หากทำให้ชายผู้นั้นโกรธขึ้นมา เขาก็จะทำร้ายนาง…


เปรียบเปรยแบบนี้แล้วฟังดูแปลกๆ ชอบกล… หวังเป่าเล่อเริ่มท้อ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังคิดหาวิธีล่อจิตเทพอยู่นั้น แผนการจัดการหวังเป่าเล่อก็เปิดฉากขึ้นอย่างลับๆ!


ตัวตั้งตัวตียังคงเป็นตระกูลนภาห้าสมัยเช่นเคย ความบาดหมางระหว่างทั้งสองนั้นช่างซับซ้อนและดูท่าจะไม่จบลงง่ายๆ พวกเขาจึงต้องบดขยี้หวังเป่าเล่อทิ้งเสีย ครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ครั้งที่ผ่านมานั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและคนรุ่นเยาว์จากตระกูลนภาห้าสมัย ทว่าครั้งนี้เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลนภาห้าสมัยจะเป็นคนลงมือเอง!


พวกเขาถึงกับติดต่อไปยังสำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักชุมนุมสกุณา ฝ่ายหลังมีข้อพิพาทกับตระกูลนภาห้าสมัยเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตปกครองตนเองของฟางจิ้ง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนออันหอมหวานนี้ไปได้ แผนการของตระกูลนภาห้าสมัยนั้นชั่วร้ายยิ่งนัก นอกจากจะมีโอกาสสำเร็จสูงแล้ว ยังเป็นแผนการสมคบคิดแบบเปิดเผยด้วย


การสมคบคิดแบบเปิดเผยคือแผนการที่เผยเจตนามุ่งร้ายให้เป้าหมายได้รับทราบอย่างเปิดเผย บอกแผนการแต่ละขั้นให้ได้รู้ แต่เป้าหมายก็ไม่สามารถหลบหนีหรือหยุดยั้งแผนการได้ ไร้ซึ่งหนทางในการตอบโต้!


แผนสมคบคิดที่เหล่าผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งของตระกูลนภาห้าสมัยคิดขึ้นมานั้นคือ…การเข้าไปช่วยก่อสร้างนครใหม่ พวกเขาจะใช้อำนาจและทรัพยากรทั้งหมดที่มีในการผลักดันนครระดับสามไปเป็นนครระดับสอง!


โดยจะมีสถานะเป็นรองเพียงนครหลวงสหพันธรัฐและนครหลักดาวอังคาร มีสถานะเป็นเขตนครพิเศษเช่นเดียวกันกับสิบแปดนครในสหพันธรัฐ!


บทที่ 437 ข้อมูลในตำรามีแต่เรื่องโกหก!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทางสหพันธรัฐวางระบบเมืองไว้อย่างละเอียด โดยสิบแปดนครบนโลกมีสถานะเป็นเขตนครพิเศษ มีเพียงนครหลวงบนโลกและนครหลักอาณานิคมดาวอังคารเท่านั้นที่มีสถานะเป็นนครหลวง


เมืองแต่ละแห่งนั้นมีสถานะเป็นรองเขตนครพิเศษ โดยแต่ละแห่งจะขึ้นตรงต่อเขตนครพิเศษ ส่วนนครของหวังเป่าเล่อก็มีสถานะเทียบเท่ากับเมืองต่างๆ เหล่านี้


เมื่อนครใหม่ได้เลื่อนสถานะขึ้นเป็นเขตนครพิเศษจะได้รับการเปลี่ยนแปลงไปราวฟ้ากับเหว อย่างไรเสียในสหพันธรัฐก็มีเขตนครพิเศษเพียงสิบแปดแห่งซึ่งอยู่บนโลกทั้งหมด


การผลักดันนครของหวังเป่าเล่อขึ้นเป็นเขตนครพิเศษนั้นมีผลประโยชน์มาก เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารจะต้องให้การสนับสนุนแผนการนี้เนื่องจากจะเป็นผลประโยชน์ต่อดาวอังคาร


แผนการนี้อาจจะไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อสูญเสียอำนาจหน้าที่ในมือ แต่ความพยายามทั้งหมดที่ลงมือลงแรงกับนครใหม่แห่งนี้จะสูญเปล่าไปสิ้น เพราะแม้จะไม่ได้โดนขับออกจากดาวอังคาร แต่ก็จะโดนลดตำแหน่งไปเป็นรอง เนื่องจากระดับการฝึกตนของเขาไม่ถึงขั้นที่จะสามารถเข้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษ


เพราะตามกฎของทางสหพันธรัฐแล้ว…มีเพียงขุนนางระดับสองชั้นรองเท่านั้นที่สามารถขึ้นเป็นเจ้าเมืองเขตนครพิเศษได้ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษยังจะได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะเสนาบดีด้วย!


ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะครั้งใหญ่ ทางสหพันธรัฐระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองไว้ชัดเจน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถึงแม้จะสร้างความดีความชอบให้กับทางสหพันธรัฐมากเท่าใด อย่างมากสุดก็น่าจะได้รับการเลื่อนขั้นไปเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงเพียงเท่านั้น การจะขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองได้นั้นจะต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน!


ถือเป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้!


หวังเป่าเล่อยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ หากพวกเขาชิงลงมือตามแผนการก่อนที่ชายหนุ่มจะบรรลุไปขั้นกำเนิดแก่นในได้ ตามกฎแล้วทางสหพันธรัฐจะต้องแต่งตั้งผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในขึ้นมาเป็นเจ้าเมือง หวังเป่าเล่ออาจจะไม่ได้โดนสั่งย้าย แต่อาจโดนลดขั้นไปเป็นรองเจ้าเมืองแทนโดยที่ไม่สามารถหาทางหลีกเลี่ยงได้


เมื่อเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็จะเป็นเพียงรองเจ้าเมือง อาจจะมีตำแหน่งสูงกว่าหลี่หว่านเอ๋อร์แต่ก็เพียงในนาม การลดขั้นครั้งนี้จะส่งผลเสียร้ายแรงกว่าการลดขั้นตามปกติทั่วไป!


แม้ทุกคนจะมองแผนการนี้ออก ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน ถึงเขารู้ก็ทำอะไรไม่ได้ เบื้องหน้านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มเลย เป็นแค่แผนการพัฒนาเมือง โดยพวกเขาอาสาให้การสนับสนุนทรัพยากรและช่วยเหลือทางสหพันธรัฐและดาวอังคารเพียงเท่านั้น


เมื่อแผนการเผยชัดขึ้น แม้แต่ผู้นำสหพันธรัฐและเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารก็ไม่สามารถระงับโครงการได้ นี่คือ…แผนการสมคบคิดแบบเปิดเผย!


เหล่าจิ้งจอกเฒ่าของตระกูลนภาห้าสมัยเชี่ยวชาญแผนการรูปแบบนี้เป็นอย่างดี พวกเขารู้ว่าแม้ช่วงหลังๆ กลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ จะเป็นมิตรกับหวังเป่าเล่อ แต่ก็คงไม่มีทางคัดค้านแผนการใดๆ ที่จะผลักดันนครใหม่ไปเป็นเขตนครพิเศษ พวกเขาจะยืนดูอยู่เงียบๆ การไม่ยื่นมือเข้าช่วยก็ถือเป็นการเห็นชอบแล้ว


อย่างไรเสีย…การพัฒนานครใหม่ไปเป็นเขตนครพิเศษนั้น ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เนื่องจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ได้ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอีกครั้ง


ถึงตระกูลนภาห้าสมัยจะทำตามแผนไม่สำเร็จ ฝ่ายอื่นๆ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร แผนการดังกล่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว หลายๆ ฝ่ายทั้งบนโลกและภายในนครหลักดาวอังคารเริ่มให้ความสนใจกันมากขึ้น


พวกเขาถกกันเรื่องความสำคัญของนครใหม่ที่มีต่อดาวอังคารและสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อไม่ได้หายไปจากบทสนทนา แต่ถูกพูดถึงเพียงเล็กน้อย ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่ตำแหน่งผู้นำของนครใหม่และผลประโยชน์ที่จะตามมา


ประเด็นเรื่องนี้เป็นที่พูดถึงไปทั่วทั้งสหพันธรัฐ หลี่หว่านเอ๋อร์และคนอื่นๆ ในนครใหม่ต่างสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลในแผนการสมคบคิดนี้!


แม้จะกังวลใจเพียงใดก็ไม่สามารถแจ้งให้หวังเป่าเล่อทราบได้ เนื่องจากชายหนุ่มเก็บตัวนั่งทางในพยายามหาวิธีนำทางดวงจิตเทพเจ้ามาหาตนเพื่อหลอมเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ด


เขาพยายามเข้าฌาณท่องหาดวงจิตอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถนำทางดวงจิตมาหาตนเองได้เสียที ทว่าชายหนุ่มก็เริ่มคุ้นเคยกับกระบวนการทั้งหมดมากขึ้น นอกจากนี้ยังตั้งเป้าไว้ที่ดวงจิตพยัคฆ์อัคคีและเตรียมการล่อดวงจิตนั้นไว้พร้อมสรรพ


หวังเป่าเล่ออ่านตำรามากมายเพื่อให้มั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ เขาทราบมาว่าการนำทางดวงจิตนั้นต้องอาศัยการล่อลวงใจ นอกจากนี้ยังต้องระบุให้ได้ว่าดวงจิตของเทพตนนั้นชอบอะไร


หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มก็พบว่าดวงจิตพยัคฆ์อัคคีนั้นมีรสนิยมอย่างไร ดวงจิตดวงนี้…เป็นพยัคฆ์โรคจิต นิยมชมชอบวิญญาณพยัคฆ์สาว…หวังเป่าเล่อต้องอ่านตำราต่างๆ มากมายกว่าจะระบุได้ว่ามันมาจากตำนานใด มีรสนิยมอย่างไร ก่อนหน้าที่จะถือสันโดษ เขาให้หลินเทียนหาวเตรียมวิญญาณอสูรไว้จำนวนมาก


แม้วิญญาณอสูรเหล่านี้จะไม่เหมาะที่จะใช้ทำเป็นเป็นวิญญาณวุธและอยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้เท่านั้น แต่ด้วยจำนวนที่มากขนาดนี้ทำให้ชายหนุ่มต้องทุ่มเงินไปไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เพื่อการล่อลวงดวงจิตพยัคฆ์อัคคีแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยว่าจะต้องใช้เงินมากเท่าใด


ครั้งนี้จะต้องสำเร็จ! หวังเป่าเล่อปล่อยจิตให้ล่องลอยไป มีวิญญาณอสูรจำนวนมากเตรียมไว้พร้อมสรรพ ภายในห้วงมายาระหว่างพื้นดินและสรวงสวรรค์ ชายหนุ่มพบดวงจิตพยัคฆ์อัคคีได้อย่างง่ายดาย เขาเฝ้าดูดวงจิตเบื้องหน้า มันมีลักษณะเหมือนดวงอาทิตย์ขนาดเล็กที่กำลังล่องลอยวนไปวนมาอยู่ภายในพื้นที่เดิมๆ ระหว่างผืนดินและสวรรค์


หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์น่าเกรงขามและพลังที่แผ่ออกมาจากดวงจิต เขาไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไปหา แต่รีบปล่อยวิญญาณอสูรพยัคฆ์สาวตนหนึ่งออกไปแทน ดวงจิตพยัคฆ์อัคคีหันขวับทันทีเมื่อวิญญาณพยัคฆ์สาวปรากฏ ร่างของมันหายวับไป ก่อนจะมาโผล่ข้างๆ พยัคฆ์สาว จากนั้นก็กลืนกินอีกฝ่ายเข้าไปในคำเดียว!


ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นว่ากลยุทธ์ของตนเองได้ผล เขาถอยหลังไปนิเล็กน้อยก่อนจะปล่อยวิญญาณอสูรออีกตนออกมาด้วยความคาดหวังที่อัดแน่นอยู่เต็มอก


มาหาข้ามา คนดี!


ดวงจิตพยัคฆ์อัคคีพุ่งเข้ามากลืนกินวิญญาณอสูรตนที่สองและทำท่าจะถอยกลับ แต่หวังเป่าเล่อก็รีบถอยหลังพร้อมส่งวิญญาณอสูรตนที่สามออกมา


เขาถอยหลังและปล่อยวิญญาณออกไปเรื่อยๆ ดวงจิตพยัคฆ์อัคคีก็ตามไปอย่างไม่คิดอะไร มันกินวิญญาณไปเรื่อยๆ ตนแล้วตนเล่า และตามชายหนุ่มไปเรื่อยๆ จนห่างจากจุดที่หวังเป่าเล่อถือสันโดษไปไม่ไกล


ภายในห้องนั้นมีโทรโข่งวางเตรียมไว้แล้ว ขาดเพียงแค่ดวงจิตของพยัคฆ์อัคคีเท่านั้น


ช่างง่ายดายเสียจริง! วันนี้ข้าจะได้หลอมอาวุธเวทระดับเจ็ดเสียที! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจ เขาปล่อยวิญญาณอสูรไปอีกตน เตรียมพร้อมที่จะเรียกสติกลับคืนสู่ร่าง ชายหนุ่มตั้งใจจะล่อดวงจิตพยัคฆ์อัคคีไปที่วิญญาณวุธซึ่งอยู่ภายในอาวุธเวทและหลอมมันให้เป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธเวท


ตอนที่ดวงจิตพยัคฆ์อัคคีสวาปามวิญญาณอสูรตนสุดท้ายเสร็จมันก็หยุดนิ่งไป ดวงตาไร้ชีวิตชีวาของมันพลันฉายแววพึงพอใจระคนเย้ยหยันออกมาเป็นครั้งแรก มันเลิกตามหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็หันหลังมุ่งหน้ากลับไป


ชายหนุ่มตกใจจนตาถลน เริ่มลนลานขึ้นมาทันที


เกิดอะไรขึ้นกัน ไม่เห็นเหมือนที่ตำราว่าไว้เลย ไหนว่าดวงจิตจะมีสัญชาตญาณเหมือนกันกับสัตว์ ทำไมมันถึงเยาะเย้ยข้าได้ ข้า…ข้าโดนดวงจิตที่ม่องไปนานแล้วหลอกเอาอย่างนั้นหรือ


แถมมัน…มันสวาปามวิญญาณอสูรข้าไปเป็นกอง! ชายหนุ่มตาเบิกกว้าง รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันใด เขาร้องคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดที่ต้องเสียค่าโง่ไปมากมาย


“กลับมาเดี๋ยวนี้!” หวังเป่าเล่อที่นั่งทางในอยู่โกรธจัด เขาสลัดความอ่อนโยนที่มีก่อนหน้าทิ้งไป นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเผยความเดือดดาลออกมาในขณะที่เข้าฌานอยู่ ทันใดที่ความโกรธาปะทุ เปลวไฟสีดำสามดวงในกายก็พลันลุกโชนขึ้น ราวกับว่ามีพลังบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูดของเขา!


เปลวไฟสีดำลุกโชติช่วงภายในร่างกาย แต่ชายหนุ่มกลับเห็นเปลวไฟเหล่านั้นลุกโชนอยู่เมื่ออยู่ในสภาวะเข้าฌาน มันปรากฏเป็นตัวตนและค่อยๆ แปรเปลี่ยนโลกมายานี้ให้เย็นยะเยือกในทันใด ดวงจิตพยัคฆ์ที่ลำพองใจอยู่ตกตะลึง ความกลัวเผยให้เห็นในแววตา มันอยากจะถอยหนี แต่ก็ช้าเกินไป เปลวไฟทั้งสามดวงพวยพุ่งออกมาข่มพลังของมันไว้


ดวงจิตพยัคฆ์อยากจะกรีดร้องแต่ก็ส่งเสียงออกมาไม่ได้ มันตัวสั่นเทิ้ม ไร้ซึ่งหนทางตอบโต้กลับ ภาพตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มตื่นตะลึงไป


แบบนี้ก็ได้เหมือนกันหรือ ความรู้สึกมากมายตีกันไปมาภายในหัวหวังเป่าเล่อ เขาพยายามออกแรงควบคุมเปลวไฟสีดำ พลันเปลวไฟสีดำก็แกร่งอำนาจมากขึ้น ดวงจิตพยัคฆ์กรีดร้องลั่น เกือบจะโดนบดขยี้อยู่รอมร่อ


ชายหนุ่มเริ่มคึก เขายืดอก ชี้นิ้วไปทางดวงจิตพยัคฆ์ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเย็น


“ข้าอยากจะหาทางปรองดองกับเจ้าอย่างสันติ ไม่กระทำการอะไรเอิกเกริก แต่ไหนๆ ก็มาถึงจุดนี้แล้ว ข้าจะไม่ยอมโอนอ่อนอีกต่อไป จงเลือกเสียว่าจะเข้าไปในอาวุธเวทของข้าแต่โดยดีหรือจะให้ข้าขยี้เจ้าทิ้ง!” หวังเป่าเล่อตะคอก ดวงจิตพยัคฆ์ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เหมือนมันจะตระหนักว่าตนเองไม่สามารถหนีไปไหนได้แล้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง มันก็หมุนวนแปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟส่องสว่าง จากนั้นก็พุ่งไปยังโทรโข่งอาวุธเวทระดับเจ็ดที่วางอยู่ในห้อง หลอมรวมกับวิญญาณวุธก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโทรโข่ง!


โทรโข่งลุกเป็นไฟ ก่อนจะกลายเป็นสีแดงพร้อมปรากฏอักขราจารึกมากมายบนตัวโทรโข่ง อักขราจารึกเหล่านั้นดูยุ่งยากซับซ้อน จากนั้นตัวอักขระที่อยู่ทั้งภายนอกและภายในของโทรโข่งก็เปลี่ยนไปทันใด ไม่นานมีพลังของอาวุธเวทระดับเจ็ดก็พวยพุ่งออกมาพร้อมปรากฏภาพพยัคฆ์สีแดงสุดหาญกล้าด้านนอกโทรโข่ง พยัคฆ์ตนนั้นเชิดหน้าขึ้นร้องคำราม ความสง่าผ่าเผยของมันเป็นที่น่ายำเกรงยิ่งนัก!


ข้อมูลในตำรามีแต่เรื่องโกหก ไม่เห็นจะต้องล่อลวงมันเลย ทางที่ดีที่สุดคือกำราบมันต่างหาก! หวังเป่าเล่อออกจากฌานด้วยอาการตื่นเต้น นำจิตคืนสู่ร่างก่อนจะลืมตาขึ้น เขาจ้องโทรโข่งสีแดงเบื้องหน้า สัมผัสได้ว่าพลังของมันนั้นเหนือชั้นกว่ากระบี่ของเขาที่ทำลายตัวเองไปแล้ว ชายหนุ่มอดหัวเราะเสียงดังด้วยความสุขใจไม่ได้


ข้านี่ช่างโชคดีเสียจริง!


บทที่ 438 บุกรุก!

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากตระหนักได้ว่าตนเองโชคดีเพียงใด หวังเป่าเล่อก็ออกจากการถือสันโดษด้วยความสุขใจ เขาหยิบโทรโข่งอาวุธเวทระดับเจ็ดขึ้นมา เตรียมออกไปหาที่ทดสอบพลัง อีกทั้งยังจะใช้โอกาสนี้ในการป่าวประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่าตนเป็นปรมาจารย์นักหลอมอาวุธเวทแล้ว


ทว่ายังไม่ทันออกจากห้องลับ เขาก็เปิดแหวนสื่อสารดู และพบข้อความเสียงมากมาย


มีข้อความข่าวสารต่างๆ ไหลหลากเข้ามาจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่อยากให้มีสิ่งใดมารบกวนระหว่างเข้าฌานจึงปิดแหวนสื่อสารไว้แต่ยังเชื่อมจิตกับวงแหวนปราณนครใหม่อยู่ หากมีอะไรเกิดขึ้น วงแหวนปราณจะแจ้งเตือนทันที จากนั้นเขาก็จะยุติการถือสันโดษเพื่อเข้าไปจัดการปัญหา


หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไปเมื่อได้เห็นข้อความมากมาย สีหน้าเริ่มซีดเผือดขณะที่ก้มหัวอ่าน ก่อนจะแดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับร้องคำรามลั่น


จะมากไปแล้ว! หวังเป่าเล่อโกรธจัด ความปรีดาเมื่อครู่หายวับไปหมด เขาได้ทราบเรื่องราวต่างๆ จากหลินเทียนหาว กงเต๋า หลี่หว่านเอ๋อร์ และคนอื่นๆ หลิวต้าวปินและบรรดาผู้ฝึกตนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเองก็ส่งข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเขตนครพิเศษที่พวกเขารู้มาด้วย


หลี่หว่านเอ๋อร์แจ้งข้อกำหนดในการขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองให้เขาทราบ นางไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ยืดยาวว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากแผนการเลื่อนระดับเป็นเขตนครพิเศษได้รับการอนุมัติ หวังเป่าเล่อตระหนักทันทีว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากได้อ่านข้อความทั้งหมด!


ใช้แผนสกปรกล้มข้าไม่ได้ เลยหาช่องทางใหม่มาช่วงชิงความสำเร็จต่างๆ ที่ข้าสร้างมาอย่างนั้นหรือ! เขาหอบหายใจแรง รู้ดีว่าถ้านครใหม่ได้เลื่อนไปเป็นเขตนครพิเศษ แม้ว่าตนจะได้อยู่ในนครต่อ ก็คงโดนลดขั้นไปเป็นรองเจ้าเมืองเนื่องจากตนไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน


ชายหนุ่มลงแรงสร้างเมืองนี้ขึ้นมาด้วยตนเอง เขารับไม่ได้ถ้าจะโดนลดสถานะจากเจ้าเมืองไปเป็นรองเจ้าเมือง! ทว่าอีกฝ่ายใช้แผนการสมคบคิดแบบเปิดเผยเพื่อปิดช่องทางไม่ให้หวังเป่าเล่อหาทางตอบโต้ได้ เขาคิดไม่ออกว่าจะต้องรับมืออย่างไร จึงรีบติดต่อหาเจ้านครดาวอังคารด้วยความร้อนรน


แม้แต่เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารเองก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี การผลักดันนครใหม่ไปเป็นเขตนครพิเศษนั้นส่งผลดีต่อดาวอังคารมากทีเดียว นางมองว่าโอกาสครั้งนี้จะสร้างผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้ดาวอังคาร


นอกจากนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองก็ยังต้องอยู่ภายใต้อำนาจของนางเช่นเดิม มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ต้องเจ็บปวด เจ้านครบอกชายหนุ่มว่าอย่าไปฟังข่าวลือต่างๆ มาก นางบอกความเห็นของตัวเองอย่างมีชั้นเชิงก่อนจะวางสาย


“ด้วยสถานการณ์จำเป็นต่างๆ ทำให้มีความจำเป็นต้องจัดตั้งฝ่ายพิเศษช่วยดูแลทดสอบข้อมูลและผลงานวิจัยของศูนย์วิจัยต้านทานวิญญาณบนนครหลวงดาวอังคาร โดยผู้ที่จะเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายนี้จะต้องเป็นขุนนางระดับสามชั้นต้น”


คำพูดของนางทำให้หวังเป่าเล่อเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ เจ้านครได้ประกาศจุดยืนของตนเองอย่างชัดเจนรวมถึงเปิดเผยทัศนคติของนางและให้คำแนะนำชายหนุ่ม นางพยายามบอกว่าแผนนี้มีแววจะได้รับการอนุมัติและดำเนินการ และนางก็ได้เตรียมแผนสำรองไว้ให้เขาแล้ว


 แผนสำรองของนางถือเป็นแผนที่ดี แต่หวังเป่าเล่อไม่อยากให้ความพยายามทั้งหมดของตนเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จของผู้อื่น อีกทั้งสุสานอาวุธเทพใต้ดินยังมีผลกับระดับการฝึกตนของเขาด้วย ดังนั้นชายหนุ่มจะไม่ยอมยกตำแหน่งนี้ให้ใครง่ายๆ


หลังจากจบการสนทนากับเจ้านคร หวังเป่าเล่อก็พยายามคิดหาทางอย่างหนักและติดต่อไปหาประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากเขาคิดว่าตนเป็นคนของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ได้พยายามเล่นแง่เหมือนตอนที่คุยกับเจ้านคร ชายหนุ่มรีบเอ่ยขึ้นทันใดด้วยความร้อนรน


“ช่วยข้าด้วย ท่านประมุขสำนัก!”


ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจเมื่อได้รับข้อความเสียง เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายติดต่อมาทำไม ทว่าภายในสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าคิดเห็นต่างกันไปในเรื่องนี้ แผนการของตระกูลนภาห้าสมัยนั้นเปิดเผยให้ทุกคนเห็นชัดเจนทำให้ยากที่จะรับมือ


“เป่าเล่อ เรื่องนี้…เจ้าควรจะต้องเตรียมตัวให้ดี จากที่ข้าได้ยินมา…มีโอกาสสูงมากที่ทางสหพันธรัฐจะอนุมัติ…” ประมุขสำนักเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา


หวังเป่าเล่อรู้สึกหนาวเย็นจับขั้วหัวใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ตอนนี้ภายในใจชายหนุ่มมีแต่ความสิ้นหวังและความโกรธแค้น เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปไม่ได้


“ไม่มีทางอื่นเลยหรือ”


“มีสิ!” ประมุขสำนักตอบทันที


“ถ้าเจ้าสามารถบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในได้โดยเร็ว โอกาสครั้งนี้ก็จะไม่ใช่โชคร้ายอีกต่อไป แต่กลายเป็นโอกาสทองสำหรับเจ้า!


“ถ้าเจ้าบรรลุไปขั้นกำเนิดแก่นในได้ ก็จะกลายเป็นว่าตระกูลนภาห้าสมัยเอาโอกาสใส่ชามทองมาถวายถึงที่ กลายเป็นว่าพวกเขาต้องเสียทรัพยากรและทำตามข้อต่อรองต่างๆ เพื่อผลักดันเจ้าขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง จากนั้นเจ้าก็จะมีอำนาจมากกว่าที่เคยมีและกลายเป็นคนใหญ่คนโตในสหพันธรัฐ!


“มีเพียงแค่ทางนี้เท่านั้น! ข้าจะใช้ทรัพยากรและอำนาจทั้งหมดที่มีชะลอเรื่องนี้ออกไปเพื่อถ่วงเวลาให้เจ้าอย่างเต็มที่ แต่น่าจะได้มากสุดเพียงสามเดือนเท่านั้น ถ้าเจ้าสามารถบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในได้ภายในสามเดือน โชคร้ายของเจ้าก็จะกลายเป็นโชคดี!”


ประมุขสำนักพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแน่วแน่ เขาวิเคราะห์สถานการณ์ให้ชายหนุ่มอย่างละเอียด แต่ที่หวังเป่าเล่อต้องทำคือการบรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน!


ทั้งสองจบการสนทนาเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ ดวงตาของเขาแดงก่ำจากความกดดันอันมากล้น ชายหนุ่มทราบดีว่าแผนการพัฒนานครใหม่ไปเป็นเขตนครพิเศษนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เหลือเวลาอีกเพียงไม่มาก หากแผนการได้รับการอนุมัติ แต่ตนยังไม่สามารถบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในได้ ก็คงต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่อยากแม้แต่จะคิดฝัน


แค่ต้องสร้างแก่นในเท่านั้น ข้าจะสู้กับคนพวกนั้นสักตั้ง! หวังเป่าเล่อตรึกตรองอย่างหนัก ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะลองเสี่ยงดู เขาร้องคำรามลั่น


“ตระกูลนภาห้าสมัย รอก่อนเถอะ ข้าจะเก็บตัวฝึกตน พอเก็บตัวเสร็จเมื่อไหร่ ข้าสาบานเลยว่า…ข้าต้องบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแน่นอน!” หวังเป่าเล่อรีบลุกขึ้นยืน รู้ว่าหนทางเดียวที่จะบรรลุขั้นการฝึกตนได้จะต้องไปฝึกวิชาในบริเวณรอบนอกของสุสานอาวุธเทพใต้ดิน


มีเพียงภายในสุสานอาวุธเทพเท่านั้นที่มีปราณมืดอยู่หนาแน่น ประกอบกับปราณมืดที่วงแหวนปราณดูดซึมจะช่วยเร่งกระบวนการฝึกวิชาของเขาได้ หากฝึกวิชาอยู่ในที่พักคงจะไม่ทันการ


แต่วิธีนี้ก็มีความเสี่ยง ภายในสุสานนั้นอันตราย แม้จะฝึกอยู่บริเวณรอบนอกก็ยังต้องเผชิญกับเหล่าอสูรอยู่ดี อีกความเสี่ยงหนึ่งคือการดูดซับปราณมืดในปริมาณที่มากเกินไป มันอาจจะมีความเสี่ยงซ่อนอยู่ และชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากทำเช่นนั้น และนี่ก็เป็นเหตุผลที่หวังเป่าเล่อฝึกวิชาโดยใช้ปราณมืดเป็นเพียงตัวช่วยส่วนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญสุด


หากเป็นในสถานการณ์อื่น ความปลอดภัยคงจะถือเป็นเรื่องหลัก แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้มีเวลาให้มัวคอยท่า เขาสูดหายใจถี่รัว ความมุ่งมั่นฉายชัดในแววตา ชายหนุ่มออกจะที่พัก พุ่งทะยานไปยังสุสานอาวุธเทพที่ถูกผนึกไว้กลางนครตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มก่อสร้างเขตนครใหม่!


สุสานอาวุธเทพใต้ดินถูกปิดผนึกมานานและตอนนี้ก็อยู่ในความดูแลของกงเต๋า หวังเป่าเล่อติดต่อไปบอกกงเต๋าว่าตนจะเข้าไปในสุสานทันทีที่มาถึง


กงเต๋าลังเลเนื่องจากเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่หวังเป่าเล่อก็ยังยืนยันหนักแน่นทำให้เขายอมเปิดทางเข้าสุสานให้ ชายหนุ่มตั้งใจจะจัดกองพลเข้าไปคุ้มกันหวังเป่าเล่อด้วยแต่ก็โดนปฏิเสธ


หวังเป่าเล่อต้องปิดเรื่องการฝึกตนของตัวเองเป็นความลับ อีกทั้งยังค่อนข้างมั่นใจในฝีมือของตนเองถึงได้ตัดสินใจจะเข้าไปในสุสาน เหตุผลแรกคือเขาไม่ได้จะเดินทางเข้าไปลึกมาก อย่างที่สองคือชายหนุ่มเป็นเจ้าเมือง มีอำนาจควบคุมผนึกและวงแหวนปราณ หากเจอฝูงอสูรก็สามารถต่อกรได้


นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ชายหนุ่มเข้ามาในสุสาน ก็จะเข้าพร้อมคนอื่นๆ เสมอ ทำให้ไม่สามารถใช้เปลวไฟสีดำได้เต็มที่ สัญชาตญาณของเขาบอกว่า เปลวไฟสีดำ…อาจจะช่วยให้ตนไม่พบอันตรายอะไรที่เกินกว่าจะรับมือได้ไหว


นอกจากหวังเป่าเล่อจะสั่งห้ามไม่ให้ทุกคนเข้ามาในสุสานแล้ว ชายหนุ่มยังคุมวงแหวนปราณและปิดอุปกรณ์บันทึกภาพต่างๆ ภายในอีกด้วย ทำให้คนภายนอกไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในสุสาน


ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ก่อนจะกระโดดเข้าไปในสุสาน เริ่มออกตามหาจุดที่เหมาะสมในการเก็บตัวฝึกวิชา!


ขณะเดียวกันกับที่หวังเป่าเล่อเข้าไปในสุสาน ไกลออกไปในห้วงอวกาศ แมงกะพรุนยักษ์สีดำกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาระบบสุริยะอย่างเงียบเชียบ…มันลอยอยู่ด้านนอก ไม่ได้เข้ามาในทันที ทันใดนั้นแมงกะพรุนก็พลันโปร่งแสง เผยให้เห็นผู้ฝึกตนในชุดเกราะเกล็ดสามคนที่อยู่ภายใน ทั้งสามนั่งขัดสมาธิอยู่ ดวงตาฉายแสงประหลาด พวกเขาจ้องผ่านแมงกะพรุนยักษ์ไปยังระบบสุริยะที่อยู่ไกลออกไป


“มีร่องรอยอารยธรรมอยู่จริงๆ ด้วย…”


“พวกเรามาถึงแล้วแท้ๆ แต่พวกนั้นกลับจับสัมผัสเราไม่ได้ ข้าว่าน่าจะเป็นเพียงอารยธรรมชั้นต่ำ!”


“ถึงจะเป็นแค่อารยธรรมชั้นต่ำก็ไม่สำคัญ พวกเราต้องตรวจสอบว่ามีภัยอันตรายอันใดหรือไม่!” ผู้ฝึกตนที่มีตะขาบบนหน้าได้ยินที่สหายของตนพูด เขาข่มความหิวกระหายในใจไว้ก่อนจะหยิบเข็มทิศผลึกแก้วชิ้นหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง ชายหน้าตะขาบตั้งผนึกฝ่ามือในท่วงท่าต่างๆ ทันใดนั้นเข็มทิศก็ส่องประกายแสงออกมา


ขณะแสงกำลังส่องสว่าง แผนที่มายาสามมิติก็พลันปรากฏขึ้นบนเข็มทิศ มันเป็นแผนที่ของระบบสุริยะ มีดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์อื่นๆ อยู่ครบครัน!


ภาพโลก ดาวอังคาร และดวงจันทร์ฉายชัดอยู่บนแผนที่!


บทที่ 439 วิกฤติดาวพุธ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทว่า…ในแผนที่สามมิตินั้น โลกไม่ได้มีสีน้ำเงิน แต่เป็นสีเหลือง!


ดวงจันทร์มีสีเขียว!


ดาวอังคารก็มีสีเหลืองเช่นกัน ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ มีสีอมเขียวอมน้ำเงินต่างกันออกไป มีเพียง…ดวงอาทิตย์และดาวพลูโตที่ไม่ได้ถือเป็นหนึ่งในแปดดาวเคราะห์หลักที่มีสีต่างไป


ดาวพลูโตมีสีส้ม!


ดวงอาทิตย์มีสีแดง!


ชายสามคนในแมงกะพรุนสีดำตื่นตะลึงไปเมื่อได้เห็นสีสันต่างๆ บนดาวแต่ละดวง ดวงตาพวกเขาเบิกกว้าง นิ่งเงียบไปด้วยความไม่อยากเชื่อ


ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายคนหนึ่งก็หายใจถี่รัวก่อนจะพูดขึ้นด้วยความตื่นตกใจ


“อะไรกัน ทำไมถึงมีสีแดง สวรรค์ สีแดงหมายถึงระดับดารานิรันดร์…”


“ผิดแล้ว สีแดงไม่ได้หมายถึงระดับดารานิรันดร์ มันแค่…บอกว่าจับสัมผัสพลังระดับดารานิรันดร์ได้ ส่วนจะมีอยู่จริงหรือไม่ อุปกรณ์ของเราไม่สามารถตรวจได้” ผู้ฝึกตนที่มีตะขาบบนใบหน้าก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองเช่นกัน เขาพูดขึ้นช้าๆ จากนั้นก็หันไปมองดาวพลูโต


“แดง ส้ม เหลือง ฟ้า เขียว น้ำเงิน ม่วง… แดงหมายถึงระดับดารานิรันดร์เป็นอย่างน้อย ส้มหมายถึงระดับดาวพระเคราะห์ เหลืองคือขั้นจิตวิญญาณอมตะ ส่วนเขียวคือขั้นจุติวิญญาณ…ดูเหมือนว่าเราจะประเมินอารยธรรมแห่งนี้ต่ำไป หรือไม่ก็มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ ณ ที่แห่งนี้!”


ทั้งสามหันมองกัน ความหิวกระหายก่อนหน้านี้หายวับไปเกือบหมด ด้วยความสามารถที่มี พวกเขาสามารถยึดครองอารยธรรมที่ยังไม่เจริญมากได้ แต่เมื่อได้พบระบบสุริยะแสนประหลาดแห่งนี้ก็ทำให้ตื่นกลัวขึ้นมาไม่น้อย


อารยธรรมแห่งนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก จากประสบการณ์ของทั้งสามแล้ว พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีอารยธรรมเช่นนี้อยู่ในจักรวาล ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เพราะอารยธรรมที่มีพลังระดับดารานิรันดร์ในครอบครองควรจะได้รับการกล่าวขานไปทั่วทั้งจักรวาล


อีกอย่าง…ไม่ต้องพูดถึงระดับดารานิรันดร์ แค่เพียงระดับดาวพระเคราะห์ พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้แล้ว คงจะโดนขับไล่ออกไปตั้งแต่เริ่มมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ และหากเข้ามาใกล้อย่างเช่นตอนนี้ก็น่าจะโดนทำลายไปแล้ว


แต่เหมือนว่าพวกเขาจะปลอดภัยดี ทั้งสามหรี่ตาลงราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นชายหน้าตะขาบก็ตั้งผนึกฝ่ามือจากนั้นก็ชี้ไปทางเข็มทิศอีกครั้ง พลันเข็มทิศก็ฉายแสงระยิบระยับ


เหมือนว่าเข็มทิศจะค้นหาอย่างละเอียดกว่าเดิม ภาพที่ปรากฏบนเข็มทิศฉายให้เห็นดวงอาทิตย์ชัดเจนยิ่งขึ้น เผยให้เห็นกระบี่เล่มมหึมาที่ปักคาอยู่ กระบี่เล่มนี้เองที่เป็นต้นตอของแสงสีแดง!


“นี่มัน!”


“วัตถุชิ้นนี้ไม่ได้เป็นของอารยธรรมนี้ น่ากลัวเกินไปแล้ว ทำไมสมบัติระดับจักรวาลถึงมาอยู่ที่นี่ได้!”


“ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมระดับการฝึกตนภายในอารยธรรมแห่งนี้ถึงได้ดูอ่อนด้อยแต่ก็แปลกประหลาด!” พวกเขาอึ้งไปเมื่อได้เห็นกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทั้งสามไม่ได้มองกระบี่เล่มยักษ์ด้วยแววตาหิวกระหาย รู้ดีว่าแม้กระทั่งผู้อาวุโสเก่าแก่ระดับดาวพระเคราะห์ของพวกตนก็คงไม่กล้าทำอะไรไม่ดีเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่เล่มยักษ์


สมบัติระดับจักรวาลทุกชิ้นมีจิตวิญญาณของตนเอง หากมันไม่ให้อนุญาตก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้!


พวกเขาตัวสั่น รีบสำรวจดาวพลูโต พวกเขาตาเบิกกว้างเมื่อพบว่ามีดวงอาทิตย์อีกดวงอยู่บนดาวพลูโต


พลังที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์ดวงนั้นทำให้พวกเขาอ้าปากค้าง ไม่กล้าสำรวจต่อไปมากกว่านี้


“อันตราย ที่แห่งนี้อันตรายเกินไป!”


“เหล่าผู้ฝึกตนที่นี่มีชีวิตรอดได้อย่างไรกัน ถ้าเกิดเรื่องเช่นนี้กับอารยธรรมของเรา มันคงล่มสลายไปนานแล้ว! หายนะเหล่านี้แค่รอเวลาบังเกิดเท่านั้น!”


ทั้งสามตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว รีบตรวจสอบดูดาวดวงอื่นๆ พลังที่แผ่ออกมาจากโลกไม่ได้น่าสะพรึงกลัวเท่าดาวพลูโต แต่ก็ทำให้พวกเขาลังเลใจไม่แพ้กัน ดวงจันทร์และดาวอังคารนั้นก็คล้ายๆ กัน ดาวดวงอื่นๆ ดูไม่มีอะไรพิเศษ ส่วนดาวพุธนั้น…ดูเปราะบางยิ่งนัก


พวกเขาหันหน้ามองกันเงียบๆ ชายหน้าตะขาบกัดฟันแน่น


“ข้าคิดว่าสาเหตุที่ที่แห่งนี้สงบสุข เป็นเพราะพลังแกร่งกล้าน่าสะพรึงกลัวทั้งหลายยังคงหลับใหลอยู่…พวกเจ้าเห็นเหมือนกันหรือไม่ว่าต้นกำเนิดดาราของที่นี่แตกต่างไปจากที่ที่เราเคยเจอมา…”


“ข้าว่า…เราควรเข้าไปชิงต้นกำเนิดดารามาจากดาวดวงนี้ให้เร็วที่สุดแล้วรีบหนีไป สร้อยหยกของผู้อาวุโสชั้นสูงจะช่วยพรางตัวเราได้ มีโอกาสสำเร็จสูงถ้าพวกเราเร็วพอ!” ผู้ฝึกตนหน้าตะขาบชี้ไปทางดาวพุธพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า


ผู้ฝึกตนอีกสองคงลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะกัดฟันแน่นพร้อมพยักหน้า พวกเขาตัดสินใจลงมือตามแผนและรอดูว่าจะเป็นอย่างไร ทั้งสามคุมแมงกะพรุนสีดำทะยานเข้าสู่ระบบสุริยะเบื้องหน้าโดยไม่ลังเล


แมงกะพรุนค่อยๆ พร่าเลือนไปขณะเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ไม่นานก็กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งกับห้วงอวกาศ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากมีระดับการฝึกตนไม่สูงพอ ไม่ว่าจะพยายามเช่นไรก็ไม่สามารถจับสัมผัสได้


แมงกะพรุนสีดำเคลื่อนตัวไปอย่างมั่นคง…ผ่านหมู่ดวงดาราเข้าไปในดินแดนระบบสุริยะ มันหยุดนิ่งหลังจากเข้ามา เหมือนจะสำรวจรอบๆ และรอคอยเวลา


ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็พบว่าไม่มีใครในระบบสุริยะแห่งนี้จับสัมผัสพวกเขาได้ ทั้งสามจึงเริ่มมั่นใจในแผนการของตนเองมากขึ้น แม้ใจจะเต้นถี่รัวด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ไม่สามารถข่มความกระหายที่คุกรุ่นอยู่ภายในได้ ความรู้สึกทั้งสองผสานกลายเป็นความตื่นเต้นที่ไม่เคยได้สัมผัสมานานหลายปี ความชั่วร้ายฉายชัดบนใบหน้าชายทั้งสาม พวกเขาคุมแมงกะพรุนสีดำมุ่งหน้าตรงไปยังดาวพุธ!


แม้ดาวพุธจะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เพียงนิดเดียว พวกเขาก็ยังมุ่งหน้าตรงไปยังจุดหมายพร้อมสำรวจรอบๆ ไปด้วย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น พอแมงกะพรุนสีดำเข้าไปถึงบริเวณรอบนอกของดาวพุธ ทั้งสามก็ยิ่งผยองหนักขึ้นเมื่อพบว่าไม่มีใครจับสัมผัสพวกตนได้


“โจมตี!” ชายหน้าตะขาบสั่งการด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด แมงกะพรุนสีดำปล่อยลำแสงพุ่งตรงไปยังดาวพุธทันที ลำแสงเข้าปกคลุมดวงดาวทั้งดวง จากนั้นแมงกะพรุนยักษ์ก็เคลื่อนตัวผ่านชั้นบรรยากาศเข้าไปลงจอดบนพื้นผิวของดาว!


ดาวพุธเป็นหนึ่งในแปดดาวเคราะห์หลักในระบบสุริยะ สหพันธรัฐเคยสร้างอาณานิคมบนนี้ แต่พอเข้าสู่ยุคกำเนิดวิญญาณก็หันไปให้ความสนใจดาวอังคารมากกว่า บนดาวพุธจึงมีสิ่งก่อสร้างอยู่เพียงน้อยนิด


บนดาวแห่งนี้ไม่มีแม้แต่นครอาณานิคม เนื่องจากดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มาก ทางสหพันธรัฐจึงวางดาวพุธไว้เป็นหนึ่งในเครื่องมือของแผนการขึ้นไปบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ!


ด้วยแผนการดังกล่าวจึงเริ่มมีการตั้งอาณานิคมขึ้นบนดาวพุธ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกมาก ตอนนี้เพิ่งผ่านไปได้เพียงครึ่งทางกว่าจะเสร็จสิ้น ถึงกระนั้นก็มีผู้ฝึกตนหลายหมื่นคนทำงานอยู่บนดวงดาวแห่งนี้


ซึ่งวันนี้…หายนะก็ได้มาเยือนเหล่าผู้ฝึกตนบนดาวพุธ โดยครั้งนี้อาจจะเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สหพันธรัฐได้ประสบตั้งแต่เข้ายุคกำเนิดวิญญาณมา!


ดาวพุธกลายเป็นสุสาน…ผู้ฝึกตนล้มตายไปเกือบร้อยละแปดสิบ พวกเขาไม่ได้ตายจากการรบ แต่ตายเพราะเชื้อไวรัสปริศนา!


เชื้อไวรัสดังกล่าวส่งผ่านทางแสง ถือเป็นเรื่องแปลกเกินคาดคิด เมื่อได้รับเชื้อจะส่งผลให้สูญเสียสติไปในชั่ววินาที จากนั้นร่างก็จะสลายกลายเป็นแหล่งพลังงานที่สามารถนำไปใช้ใหม่ได้


การบุกรุกสุดร้ายกาจนี้เกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็สิ้นสุด


หนึ่งชั่วโมงต่อมา แมงกะพรุนสีดำก็จากไป ทิ้งซากศพจำนวนหนึ่งไว้เบื้องหลัง ผู้คนที่ล้มตายไปได้กลายเป็นแหล่งพลังงานช่วยผู้ฝึกตนทั้งสามในการชิงต้นกำเนิดดารา


ต้นกำเนิดดาราของดาวพุธกว่าร้อยละเจ็ดสิบถูกขุดเอาไป ส่วนที่เหลือนั้นฝังลึกอยู่ในแก่นจึงรอดมาได้ แต่ดาวพุธที่เหลือต้นกำเนิดดาราเพียงร้อยละสามสิบก็ได้รับความเสียหายหนัก ส่งผลให้ดวงดาวส่งสัญญาณเหมือนจะล่มสลาย รังสีแห่งความตายแผ่กระจายปกคลุมไปทั้งดวงดาว ราวกับว่าดาวแห่งนี้ได้ใช้อายุขัยทั้งหมดไปในเวลาหนึ่งชั่วโมงจนบัดนี้ใกล้จะแหลกสลายไป


หกชั่วโมงต่อมา สหพันธรัฐก็พบว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นบนดาวพุธ…


ภาพเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการล้มตายของผู้ฝึกตนมากมายและดวงดาวที่กำลังจะล่มสลายได้ส่งกลับมาถึงสหพันธรัฐ ทางสหพันธรัฐเดือดจัด พวกเขาไม่สามารถปิดข่าวได้เนื่องจากสื่อต่างๆ รีบเสนอข่าวในทันที ความหวาดกลัวและเดือดดาลเข้าปกคลุมทั่วทั้งสหพันธรัฐ!


“สังหารหมู่บนดาวพุธ!”


“อาจเป็นการบุกรุกจากนอกระบบสุริยะ!”


“เชื้อไวรัสระบาดบนดาวพุธโดยไม่ทราบสาเหตุ!”


“ดาวพุธ…กำลังจะล่มสลาย!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)