หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 434-435
บทที่ 434 จู่โจมเฉินมู่
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังเป่าเล่อพบว่าฝูงชนต่างเข้าใจสิ่งที่ตนต้องการจะสื่อและคงจะไม่กล่าวหาเจ้าลาแบบผิดๆ อีก เขาภูมิใจวิธีการของตนเองมาก กำลังจะเตะเจ้าลาไปอีกครั้งตามความเคยชิน แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่หลินเทียนหาวกับจินตั้วหมิงพูด ก็ได้แต่ยั้งเท้าตัวเองไว้
เขาค่อนข้างเกรงกลัวงูเหลือมยักษ์ กลัวว่าเตะไปแล้วจะทำให้เจ้าลากลายร่าง หากเป็นเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ ชายหนุ่มจะทำอย่างไรเล่า…
พอทบทวนดูแล้วว่าตนเองเป็นเจ้านาย ก็คิดได้ว่าไม่ควรกระทำรุนแรง และควรดูแลมันด้วยความห่วงใย เขาจึงยั้งเท้าไว้แล้วเข้าไปลูบหัวเจ้าลาอย่างรักใคร่แทน
ความอ่อนโยนของหวังเป่าเล่อทำให้เจ้าลาตื่นกลัว มันรู้สึกดีขึ้นแล้วเมื่อสัมผัสได้ว่าแววตาอาฆาตแค้นจากฝูงชนรอบๆ ได้จางหายไป แต่สีหน้าอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใยของหวังเป่าเล่อกลับทำให้มันตื่นกลัวจนตัวสั่น
หวังเป่าเล่อเห็นสีหน้าของเจ้าลาอย่างชัดเจน จึงเตะอัดเจ้าลาเข้าอย่างจัง มันกระเด็นกลิ้งหลุนๆ ไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกยืนขึ้น ดูมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม
เจ้านี่มันเป็นบ้าอะไรกัน หวังเป่าเล่อไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาได้รับข้อความจากหลี่หว่านเอ๋อร์แจ้งว่าสุสานที่ปรากฏขึ้นในเขตปกครองตนเองของฟางจิ้งนั้นควบคุมได้แล้ว วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในนครใหม่ได้รับการจัดการไปแล้วส่วนหนึ่ง
ที่ยังไม่ถือว่าจัดการได้สมบูรณ์เป็นเพราะยังตามตัวผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ไม่พบ แม้ผู้ฝึกตนที่รายล้อมหวังเป่าเล่อจะหายโกรธเจ้าลาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังอยากที่จะแก้แค้น นัยน์ตาของทุกคนลุกโชนไปด้วยเพลิงแค้น หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าทุกคนรู้สึกเช่นไร และทุกคนก็รู้ว่าหวังเป่าเล่อนั้นเข้าใจดี
แต่ผู้บงการนั้นซ่อนตัวอยู่ คงเป็นเรื่องยากที่จะตามหาตัวเขาได้พบ ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อใช้วงแหวนปราณตามตัวก็ไม่พบ แต่ตอนนี้…ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
“เจ้าไสหัวไป มานี่ซิ!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบขณะหันขวับมามองเจ้าลา
เจ้าลายังระแวดระวังตัวอยู่ตลอด แต่ก็รีบวิ่งไปหาชายหนุ่มอย่างเชื่อฟัง มันกวัดแกว่งหางไปมาราวกับจะบอกว่าตนยอมทำทุกอย่างหากยอมไว้ชีวิตมันไว้
“เจ้าไปเจอเรื่องซวยนี่มาจากที่ใด จะตรวจสอบหาแหล่งที่มาได้หรือไม่”
หวังเป่าเล่อตบหัวเจ้าลาเบาๆ ขณะถาม เหล่าผู้ฝึกตนต่างหันมาจ้องมัน เจ้าลากะพริบตา เหมือนว่าจะเข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มพูด มันตั้งสติขยายขอบเขตประสาทสัมผัสของตน จากนั้นก็เริ่มดมฟุดฟิด หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว นึกในใจว่าไม่พ่อก็แม่เจ้าลาต่องเป็นอสูรสุนัขยักษ์เป็นแน่
ไม่ต้องรอนาน ดวงตาเจ้าลาก็ฉายแสงวาบ มันร้องเรียกหวังเป่าเล่อจากนั้นก็พุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
ความเย็นชาฉายผ่านสายตาชายหนุ่ม จิตสังหารพวยพุ่งในจิตใจก่อนจะแสดงออกผ่านทางสีหน้า เขารีบตามเจ้าลาไปโดยไม่ลังเล
จินตั้วหมิงรีบตามไปเช่นกัน ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่เสียชีวิตไปเป็นผู้คุ้มกันของเขา ชายผู้นั้นคอยดูแลตนมาอย่างดี ชายหนุ่มเหมือนจะคืนสติกลับเป็นตนเองตามเดิม แต่ในใจยังคงเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร เขาไล่ตามหวังเป่าเล่อไปติดๆ
กงเต๋าและหลินเทียนหาวก็ตัดสินใจตามไปเช่นกัน ทั้งสองจงเกลียดจงชังผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้ พวกเขาต้องสูญเสียสหายไปอีกทั้งยังต้องหยิบไพ่ตายสุดท้ายออกมาใช้ จึงยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ไม่ได้ แม้แต่เหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นและสูงกว่านั้นก็ตามไปเช่นกัน พวกเขาดูเหมือนดังกองทัพขนาดใหญ่
เจ้าลาพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขณะที่ตามไล่หลังมันไป เขาแทบจะเก็บความคลุ้มคลั่งในใจไว้ไม่อยู่เมื่อได้รู้ว่าสถานที่ที่เจ้าลามุ่งหน้าไปคือที่ใด…มันคือเขตปกครองตนเองของเฉินมู่นั่นเอง!
หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนเดียวที่ตระหนักเรื่องนี้ได้ หลินเทียนหาว กงเต๋า และจินตั้วหมิงต่างก็เดาออก พวกเขาไม่คิดลังเล จิตสังหารภายในใจเพิ่มพูนมากขึ้น
กองทัพที่กำลังตามหลังเจ้าลาไปเป็นเหมือนดังกระบี่ที่กระหายอยากลิ้มรสเลือด พวกเขาเคลื่อนทัพมุ่งหน้าไปยังเขตปกครองตนเองของเฉินมู่อย่างรวดเร็ว ในเขตปกครองตนเองยังมีผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยเหลืออยู่ไม่น้อย แต่ก็ถือว่าลดจำนวนลงไปมาก พวกเขาสังเกตเห็นกองทัพของหวังเป่าเล่อ ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเดินทางมาที่นี่ แต่ก็ได้ข่าวเรื่องเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในนครเช่นกัน ทุกคนหวาดหวั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่พวยพุ่งออกมาจากหวังเป่าเล่อและกองทัพจึงรีบถอยหนี ไม่คิดจะเข้าไปห้าม
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ทำเช่นนั้น มีผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยบางส่วนที่ตื่นตกใจและรีบเข้ามาห้ามกองทัพของหวังเป่าเล่อไม่ให้รุดหน้าไปไกลกว่านี้
“หยุดทัพเสีย นายน้อยของพวกข้าสั่งห้ามไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้าไปโดยเด็ดขาด!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้พูดอะไร จินตั้วหมิงก็ตะโกนลั่น
“ช่างหัวนายน้อยพวกเจ้าสิ!” เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมอาวุธเวทในมือ เหล่าผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะถอยหนีไปในทันที
“เฉินมู่ ถ้าเจ้าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดจริง จินตั้วหมิงผู้นี้จะถลกหนังเจ้าออกมาทั้งเป็น!” จินตั้วหมิงตาแดงก่ำ เหล่าคนจากตระกูลนภาห้าสมัยที่อยู่รายรอบจ้องชายหนุ่มด้วยความลังเลใจ จากนั้นเสียงทรงอำนาจของหวังเป่าเล่อก็ดังสนั่นก้องในหูทุกคน
“เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลาย จงฟังคำสั่ง หากใครเข้ามาขวางหลักกฎหมาย…จะถูกสังหารลงตรงนั้น!”
การโจมตีอันโหดเหี้ยมของจินตั้วหมิงทำให้เหล่าผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยตื่นตกใจจนตัวแข็งทื่อก็จริง แต่ชายหนุ่มก็หยุดความคิดที่จะตอบโต้กลับของคนเหล่านั้นไม่ได้ ทว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ลงมือ แต่ด้วยตำแหน่งและอำนาจของเขาทำให้วาจาที่กล่าวฟังดูทรงอำนาจ กลุ่มคนจากตระกูลนภาห้าสมัยต่างลังเลใจ รู้สึกอยากจะถอยหนีกลับไป
พวกเขาไม่ได้กลัวจินตั้วหมิงและคนอื่นๆ…แต่หลังจากเหตุการณ์บนดวงจันทร์ ชื่อเสียงความเหี้ยมโหดของหวังเป่าเล่อก็แพร่กระจายภายในตระกูล หวังเป่าเล่อกลายเป็นผู้ที่น่าพรั่นพรึงในใจของใครหลายคนในตระกูลนภาห้าสมัยโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว
ทันทีที่คำพูดของชายหนุ่มดังก้องไปทั่ว เหล่าผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยก็เงียบไป พวกเขาไม่เข้ามาห้าม ปล่อยให้หวังเป่าเล่อและกองทัพผู้ฝึกตนมุ่งหน้าตามหลังเจ้าลาไป เจ้าลามุ่งหน้าไปทางสถานที่ฝึกตนของเฉินมู่ และกองทัพก็เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่พวกเขากำลังจะเคลื่อนทัพไปถึงสถานที่เก็บตัวฝึกตนของเฉินมู่ เฉินมู่ที่หมดสติไปก่อนหน้านี้ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา เขาลืมตาโพลง พยายามลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ดวงตาของชายหนุ่มดูว่างเปล่า ไม่นานก็จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้าตนจะหมดสติไปจึงเริ่มหายใจถี่รัว
“หวังเป่าเล่อ!” ชายหนุ่มร้องคำราม เขาเกลียดเจ้าลา แต่ก็เกลียดหวังเป่าเล่อมากยิ่งกว่า ยิ่งหวังเป่าเล่อเป็นนายเจ้าลาด้วยแล้ว…ทว่าแม้ในใจจะสุมไปด้วยเกลียดชัง เฉินมู่ก็ยังต้องคิดไตร่ตรองถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น หากทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่แผนการทั้งหมดกลับพังไม่เป็นท่า เขานึกภาพออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากทุกคนล่วงรู้ว่าตนเป็นคนควบคุมหุ่นเชิด
เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นข้า… เฉินมู่ปลอบตนเอง แรงปะทะจากการระเบิดทำให้เขาบาดเจ็บหนัก วิสัยทัศน์เบื้องหน้ายังดูพร่ามัว ชายหนุ่มหอบหายใจ หยิบโอสถขึ้นมากิน เขากำลังจะลุกขึ้นเตรียมการต่างๆ ให้พร้อมรับมือ แต่ทันใดที่ลุกยืนขึ้นได้ ก็เกิดเสียงอัสนีกัมปนาทดังขึ้นเหนือหัว!
ราวกับว่าอัสนีบาทได้ฟาดลงใส่ แก้วหูของเฉินมู่แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขารีบถอยหนีด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เพดานบนหัวแตกละเอียด ห้องฝึกตนลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที ผนังรอบข้างทลายลง เผยตัวตนของชายหนุ่มต่อหน้าทุกคน!
ร่างเงาของจินตั้วหมิงปรากฏขึ้นเป็นอย่างแรกหลังการระเบิดเมื่อครู่ เขาเป็นคนใช้กระบี่ฟันห้องลับแห่งนี้ออกเป็นเสี่ยงๆ ซากปรักหักพังร่วงหล่นลงมาเป็นสายฝน เผยให้เห็นหวังเป่าเล่อ กงเต๋า หลินเทียนหาว และเหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่ยืนอยู่รอบๆ ห้องฝึกตน
“จินตั้วหมิง เจ้าทำอะไรลงไป คิดจะก่อสงครามระหว่างกลุ่มไตรจันทรากับตระกูลนภาห้าสมัยหรือ” เฉินมู่รีบก้าวออกมาประจันหน้า ทว่าเขาอยู่ในสภาพอ่อนแอหนัก และกระอักเลือดสดๆ ออกมาเนื่องจากไม่สามารถหลบการโจมตีเมื่อครู่ได้อย่างสมบูรณ์ ชายหนุ่มยืนพิงแผ่นหินแตกพัง แอบตัวสั่นอยู่ภายใน เขาพยายามซ่อนความกลัวไม่ให้แสดงออกผ่านทางสีหน้า จากนั้นก็ออกคำสั่งเสียงดังก้อง
“ผู้ฝึกตนตระกูลนภาห้าสมัย จงมารวมพล!”
สิ้นคำ กลุ่มผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยที่ถอยหนีไปเมื่อครู่ก็มาปรากฏตัว ในใจยังกลัวกองทัพของหวังเป่าเล่อไม่หาย พวกเขายืนล้อมกองทัพผู้บุกรุก จากนั้นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของตระกูลนภาห้าสมัยก็เดินเข้าไปหากองทัพทันที
“เฉินมู่ เจ้าอยากจะพูดในฐานะตระกูลนภาห้าสมัยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า เจ้าได้ควบคุมหุ่นเชิดเพื่อก่อกบฏกับทางสหพันธรัฐ ทางสหพันธรัฐจะสืบสวนเรื่องนี้จนถึงที่สุด!” จินตั้วหมิงหัวเราะพร้อมกับหรี่ตามอง เขาพูดออกไปเสียงเรียบแต่แท้จริงก็รู้สึกลังเลใจ อย่างไรเสีย…ตนไม่มีหลักฐาน มีเพียงเจ้าลาที่นำทางพวกเขามาที่นี่ แถมหวังเป่าเล่อกับเฉินมู่นั้นไม่ลงรอยกัน อาจเป็นไปได้ที่หวังเป่าเล่อจะใช้โอกาสนี้เป็นข้ออ้างในการสังหารเฉินมู่
“พูดจาสามหาว!” เฉินมู่โกรธจัดเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหายใจถี่รัว หันมองจินตั้วหมิงด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะเหลือบสายตาไปจ้องหวังเป่าเล่อ
บทที่ 435 โปรดให้เจ้านครเป็นคนพิจารณา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้าได้รับบาดเจ็บจากการฝึกวิชาก่อนหน้านี้และเพิ่งจะฟื้นจากอาการบาดเจ็บ เจ้ามาใส่ความเหมือนว่าข้าไปทำอะไรผิด อีกอย่าง…หวังเป่าเล่อ ข้ารู้เรื่องฉาวของเจ้ากับคู่หมั้นของข้าแล้ว อีกทั้งยังมีหลักฐานในครอบครอง เจ้าตั้งใจจะปิดปากข้าไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ”
เฉินมู่ที่กำลังเดือดดาลหยิบแผ่นหยกออกมาพร้อมตะโกนขึ้น
“หากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ข้าจะเผยให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกเจ้าชู้รักทั้งสองได้ทำอะไรลงไป!” เฉินมู่ตะคอก ตอนที่เขากำลังจะเปิดแผ่นหยกนั้นเอง คนกลุ่มหนึ่งก็มุ่งหน้าเข้ามา ในนั้นมีหญิงสาวหน้าตาซีดเผือดที่เกือบจะสะดุดล้มไป นางคือหลี่หว่านเอ๋อร์นั่นเอง
“พูดจาไร้สาระ!” ขณะที่เฉินมู่กำลังจะเปิดแผ่นหยก หวังเป่าเล่อก็รีบก้าวออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าถมึงทึง เขาพุ่งเข้าไปปรากฏตัวตรงหน้าโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ก่อนจะยกมือขวาขึ้นกวาดไปข้างหน้า โดนเข้าที่กลางอกคนตรงหน้าอย่างจัง เฉินมู่กระอักเลือดสดๆ ออกมาพร้อมกับเซไปด้านหลัง แผ่นหยกในมือสั่นไหวจากแรงปะทะจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!
“หวังเป่าเล่อ! เจ้าพยายามทำลายหลักฐานทิ้งเพราะกลัวความจริงใช่หรือไม่!”
“หุบปาก!” หวังเป่าเล่อหันกลับมามอง รังสีสังหารพวยพุ่งออกมาจากร่างทะลุขึ้นไปถึงฟากฟ้า เขาจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ในแววตานั้นแฝงไปด้วยความกังขา เลือดสดๆ ที่กระอักออกจากปากเฉินมู่มีจำนวนน้อยนิด…ใบหน้าซีดเผือดนั้นไม่ได้มาจากอาการบาดเจ็บ แต่มาจากการเสียเลือดไปมาก…ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงเย็น
“ก่อกบฏต่อนครใหม่และสหพันธรัฐ ใช้หลักฐานเท็จมาปกป้องตัวเอง การกระทำเหล่านี้ชี้ให้เห็นธาตุแท้ของเจ้า! หลักฐานปลอมๆ ย่อมขัดหูขัดตา แน่นอนข้าจึงต้องทำลายทิ้ง!
“เจ้าคิดการชั่วร้ายและร่วมมือกับสิ่งที่ไม่มีใครรู้จัก เจ้าฆ่าผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ ก่อความวุ่นวายใหญ่โต เฉินมู่ แน่นอนว่าเจ้าคงต้องทำทุกอย่างเพื่อจะหนีโทษในครั้งนี้!”
“ได้ เจ้าจะไม่ยอมรับผิดใช่หรือไม่” แววตาของหวังเป่าเล่อคุกรุ่นไปด้วยความอาฆาต เขายกมือขวาขึ้นโบกไปทางกองหินแถวนั้น กองหินทลายลงด้วยแรงปะทะ เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใต้ นั่นก็คือ…กลองสีโลหิตใบน้อยที่แตกหัก!
มีกลิ่นสาบเลือดและรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากกลองใบน้อย แม้จะเป็นเพียงกลิ่นจางๆ แต่ก็ยังสัมผัสได้! เมื่อตรวจสอบดูใกล้ๆ ย่อมพบว่าเป็นรังสีเดียวกันกับงูเหลือมยักษ์!
ทุกคนแตกตื่น หันไปมองทางเฉินมู่ จินตั้วหมิงและเหล่าผู้ที่สูญเสียสหายร่วมรบไปในศึกครั้งนี้ต่างจ้องมองเฉินมู่ด้วยความอาฆาตแค้น!
“เลือดในของสิ่งนี้เป็นของเจ้าใช่ไหม” ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบขณะที่พูด เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินมู่ก็มีสีหน้าตื่นตระหนก เขาหายใจถี่รัว รีบถอยหนีตามสัญชาตญาณ
ท่าทีดังกล่าวเป็นหลักฐานมัดตัวที่แน่นหนา!
“ข้า…” เฉินมู่หน้าซีดเผือด สีหน้าดูตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด เขารีบถอยหนีพร้อมตะโกนลั่น
“เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลนภาห้าสมัย จงคุ้มกันข้า!” ชายหนุ่มรีบถอยหนีในทันที พยายามวางแผนหาทางหลบหนี ทว่าทันที่ที่เขาพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ร้องคำรามลั่น เสียงดังสนั่นฟ้าดิน
“ตระกูลนภาห้าสมัย ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าจะถือเป็นการก่อกบฏ ถือว่าตั้งตนเป็นปรปักษ์กับสหพันธรัฐ ซึ่งเป็นโทษร้ายแรง!”
ชายหนุ่มพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหลังจากพูดจบ เป็นความเร็วที่มากกว่าครั้งไหนๆ พริบตาเดียว หวังเป่าเล่อก็มาปรากฏกายข้างเฉินมู่ที่กำลังหลบหนี จากนั้นก็ยกขาขวาขึ้นเตะ
เกิดเสียงดังสนั่นราวอัสนีบาต คลื่นพลังพวยพุ่งไปรอบบริเวณ เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลนภาห้าสมัยยืนนิ่งนึกลังเล เลือดกระอักออกจากปากเฉินมู่อีกครั้ง เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หวังเป่าเล่อเตะอัดเข้ากลางเป้า ส่งอีกฝ่ายลอยขึ้นฟ้าไปตกอยู่ตรงหน้าจินตั้วหมิง ด้วยอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ประกอบกับลูกเตะอำมหิตของหวังเป่าเล่อส่งผลให้ชายหนุ่มหมดสติไปอีกครั้ง
เลือดไหลซึมผ่านเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าลูกเตะเมื่อสักครู่ทำให้เฉินมู่เป็นหมันไปเสียแล้ว!
หวังเป่าเล่อเกลียดอีกฝ่ายเข้าใส่ เฉินมู่นั้นปองร้ายเขามาโดยตลอด นอกจากตนเองแล้วยังไปคุกคามจั่วอี้ฟานด้วย ชายหนุ่มอยากฆ่าเฉินมู่ทิ้งมานาน การสร้างความปั่นป่วนให้กับนครใหม่ อีกทั้งหมายจะฆ่าตนทิ้งทำให้เขาตัดสินใจแก้แค้นด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาด นั่นคือทำลายของสงวนอีกฝ่ายทิ้ง!
เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ชายหนุ่มเก็บงำความแค้นที่มีไว้ไม่ได้จึงเตะออกไปอย่างรุนแรงจนอวัยวะชิ้นสำคัญไม่สามารถใช้งานได้อีก หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าชะตากรรมอันใดที่รอคอยเฉินมู่อยู่จึงไม่คิดสังหารอีกฝ่าย
ฝูงชนรอบๆ ก็ดูจะมีความคิดเห็นตรงหัน จินตั้วหมิงหรี่ตามอง ก่อนจะตวัดอาวุธเวทในมือขวาตัดแขนขวาของเฉินมู่ทิ้ง!
เลือดสดๆ พวยพุ่งออกมาเป็นสาย ความเจ็บปวดจากการโดนเฉือนแขนทิ้งเรียกสติเฉินมู่ให้ฟื้นกลับมากรีดร้องอีกครั้ง ความเจ็บปวดจากช่วงล่างและตรงแขนทำให้เขาคลุ้มคลั่งแต่ก็ไม่มีสติหลงเหลือให้สูญเสียอีก ชายหนุ่มทำได้เพียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนา เจ้าลาเองก็โกรธจัดไม่แพ้กัน มันแอบย่องเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะยกเท้าขึ้น…เตะเข้าตรงกล่องดวงใจที่เสียหายหนักของเฉินมู่
ลูกเตะของเจ้าลาเป็นเหมือนการสาดน้ำมันเข้าใส่กองเพลิง เฉินมู่กรีดร้องลั่นจนเสียงหลง ร่างกายสั่นเทิ้ม จากนั้นก็หมดสติไปอีกครั้ง
กงเต๋าและหลินเทียนหาวอยากจะเข้าไปร่วมวงกระทืบ แต่ก็หน้าเหยเกไปเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ได้แต่จ้องเจ้าลาสลับกับหวังเป่าเล่ออยู่เงียบๆ หลี่หว่านเอ๋อร์จับจ้องเจ้าลาอยู่ไกลๆ เป็นครั้งแรกที่นางมองมันด้วยแววตารักใคร่อ่อนโยน เห็นได้ชัดว่านางประทับใจลูกเตะปิดฉากของมันมาก
กลุ่มผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยไม่อาจทนมองภาพตรงหน้าได้ แต่ก็รู้ดีว่าตระกูลนภาห้าสมัยต้องพบเจอกับโศกนาฏกรรมเข้าอีกครั้ง พวกเขาปวดหัวขึ้นมา โชคร้ายที่โลกภายนอกถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีโลหิต ส่งผลให้ช่องทางการติดต่อทั้งหมดถูกตัดขาด ไม่สามารถติดต่อไปหาทางตระกูลได้
“รองเจ้าเมืองหลี่!” ขณะที่กลุ่มคนจากตระกูลนภาห้าสมัยกำลังตื่นตระหนกกันอยู่ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แสร้งทำเป็นไม่เห็นลูกเตะปิดฉากของเจ้าลา
หลี่หว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นทันใด ก่อนจะก้าวออกมาข้างหน้า นางมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาสุขุมลุ่มลึก จากนั้นก็โค้งหัวให้
“ท่านเจ้าเมือง!”
“ตามกฎของสหพันธรัฐซึ่งมีการบังคับใช้บนดาวอังคาร เฉินมู่ได้ก่อกบฏกับทางสหพันธรัฐ พยายามก่อจลาจลเพื่อเข้ายึดอำนาจ โทษของเขาคือประการใด”
“ประหารชีวิต! เราจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด!” หลี่หว่านเอ๋อร์ตอบเสียงแข็ง ไร้ซึ่งความลังเลใจ
หวังเป่าเล่อพอใจกับคำตอบของนางมาก ดวงตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ ขณะจับจ้องร่างที่นอนไร้สติอยู่ เฉินมู่และกลุ่มอำนาจที่คอยหนุนหลังนั้นได้กระทำเกินควรหลายต่อหลายครั้ง เปรียบดังว่าชายหนุ่มมีบ้านอยู่หนึ่งหลัง ยินยอมให้ใครคนหนึ่งเข้ามาพัก ดูแลให้ข้าวให้น้ำอย่างดี แต่คนที่เข้ามาพักอาศัยกลับอยู่ยาวไม่ยอมไปไหน ถ้าแค่นั้นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ผู้อาศัยกลับพยายามแก้ไขโฉนดเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองบ้าน แถมยังคิดจะฆ่าเจ้าของบ้านทิ้งอีก
พฤติกรรมเหล่านี้เป็นเหมือนดั่งโจรชั่ว!
ซึ่งการจะลงโทษโจรชั่วตัวนี้ก็ต้องเฆี่ยนตีอย่างหนัก ชายหนุ่มประกาศกร้าว “จับกุมเฉินมู่! หลังจากหมอกสีโลหิตจางหายไป ให้รายงานไปยังเจ้านครและสหพันธรัฐ ข้าต้องการ…ความรับผิดชอบจากตระกูลนภาห้าสมัยต่อผู้ฝึกตนหลายล้านคนในนครใหม่ของข้า พวกเขาจะต้องรับผิดชอบทุกชีวิตที่สูญสิ้นไป ต้องรับผิดชอบต่อกฎระเบียบและความยุติธรรม!” เสียงทรงพลังของหวังเป่าเล่อดังก้องในอากาศ
ขณะเดียวกัน หมอกสีโลหิตที่กระจายตัวครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของดาวอังคารก็เริ่มจางลงหลังจากเจ้าลาเขมือบชายในชุดคลุมสีดำเข้าไปและการก่อจลาจลของเฉินมู่สิ้นสุดลง วันต่อมา หลังจากจับกุมตัวเฉินมู่ หมอกก็จางหายไปหมด
เมื่อช่องทางการสื่อสารต่างๆ กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง หลี่หว่านเอ๋อร์ก็รีบรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดให้บิดาของนางรับทราบ จากนั้นก็รายงานการก่อจลาจลไปยังเจ้านครและสหพันธรัฐ
กงเต๋า หลินเทียนหาว และจินตั้วหมิงต่างใช้อิทธิพลที่พวกเขามีช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แม้แต่ฟางจิ้งก็ตาสว่าง นางตระหนักได้ว่าสุสานที่ปรากฏขึ้นในเขตของตนไม่ใช่เหตุบังเอิญจึงรีบติดต่อไปทางสำนักด้วยความเดือดดาล
เวินไหวทราบสถานการณ์ทั้งหมดและตระหนักว่าตนต้องประกาศจุดยืน เขาติดต่อไปรายงานทางสำนักให้ทำการพิจารณาในทันที หลังจากที่ข่าวเหตุการณ์แพร่กระจายออกไป ก็เกิดความวุ่นวายขนานใหญ่ในกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ทั้งในสหพันธรัฐและบนดาวอังคาร จุดเชื่อมโยงระหว่างหมอกสีโลหิตบนดาวอังคารและเหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งทำให้เรื่องนี้ร้ายแรงขึ้นไปอีก
เห็นได้ชัดว่าเฉินมู่มีความเกี่ยวข้องกับสุสานอาวุธเทพใต้ดิน ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน หมอกสีโลหิตบนดาวอังคารไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน เจ้านครดาวอังคารนำตัวเฉินมู่ไปคุมขังไว้ในนครหลักดาวอังคาร มีการไต่สวนร่วมกับทางสหพันธรัฐและกลุ่มอำนาจอื่นๆ
การไต่สวนไม่ได้เผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบ รู้กันแค่เพียงภายใน โดยตัดสินแล้วว่าเฉินมู่ได้รับโทษประหาร!
ตลอดการไต่สวน ตระกูลนภาห้าสมัยไม่ได้ออกตัวแทนเฉินมู่แม้แต่คำเดียว พวกเขาให้ความร่วมมือดีมาก ฝ่ายเฉินมู่ยืนยันว่าทั้งหมดเป็นแผนการของตน ไม่เกี่ยวกับทางตระกูลเลย แต่ทุกคนก็รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นมาอย่างไร มีกลุ่มอำนาจหลายหลุ่มถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งยังสร้างความเจ็บแค้นให้ใครหลายคน จึงต้องมีการรับผิดชอบเกิดขึ้น
ส่งผลให้…ตระกูลนภาห้าสมัยต้องชดเชยด้วยวัตถุดิบและทรัพยากรจำนวนมาก การชดเชยนี้มีให้นครใหม่เช่นกัน ตระกูลนภาห้าสมัยต้องลำบากกับการสูญเสียครั้งใหญ่นี้ พวกเขาโกรธเคืองการกระทำของเฉินมู่ เพราะแม้พวกเขาจะเห็นด้วยกับแผนการทั้งหมด แต่ชายหนุ่มแค่ต้องฆ่าหวังเป่าเล่อและคนไม่สำคัญอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้จำเป็นต้องไปหาเรื่องทุกคนเช่นนี้…
แม้จะลากทุกคนเข้ามาหมด แต่ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นก็คงไม่เป็นอะไร แต่นี่เขากลับพลาดพลั้ง…
หวังเป่าเล่อรู้ว่าตระกูลนภาห้าสมัยขุ่นเคืองเกินกว่าจะปล่อยวางได้ จึงส่งข้อความเสียงไปหาเจ้านครดาวอังคาร
“ท่านเจ้านคร ข้าต้องสละอาวุธเวทระดับแปดถึงสิบชิ้นเพื่อที่จะโค่นเฉินมู่ ผู้ฝึกตนทุกคนในนครใหม่เป็นพยานให้ข้าได้ โปรดให้การช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านคนนี้ในการเรียกร้องขอการชดเชยจากตระกูลนภาห้าสมัยด้วย!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น