ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 433-437

ตอนที่ 433 บิดาคนงาม

 

 


 


วิญญาณทมิฬคิดว่าคงเป็นเพราะมันสูญเสียร่างเนื้อไป พละกำลังยังไม่ฟื้นคืน ถึงได้ทำให้มันหงอยเช่นนี้!


 


 


ต้องใช่แน่นอน….มิเช่นนั้นมันที่เป็นถึงพี่ใหญ่ของภูติผีทั้งหลายจะต้องมาถูกกดขี่เช่นนี้ได้อย่างไร?


 


 


ตู๋กูซิงหลันเบือนหน้าหันไปมอง สิ่งที่เห็นในสายตาคือใบหน้าที่หล่อเหลาจนคนต้องหยุดหายใจ


 


 


ใช่แล้ว หล่อเหลามากๆ


 


 


ต้องเรียกว่าเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์เท่านั้นจึงจะเหมาะสม


 


 


บุรุษทั่วไปหากว่าหน้าตาดี อย่างมากตู๋กูซิงหลันก็จะให้คำนิยามว่า ‘เท่ดี’ แค่นั้น


 


 


แต่ว่าบุรุษตรงหน้าผู้นี้…ดูองอาจกล้าหาญหล่อเหล่าดุจยอดอัศวินโบราณในยุโรป


 


 


เส้นผมสีเงินของเขาพลิ้วไหว สองตาปิดสนิท ใต้ตาไม่มีรอยคล้ำ คิ้วเข้มโดยมิต้องวาด องคาพยพทั้งหน้าชัดเจน ตรงกึ่งกลางหน้าผาก ยังมีตราประทับรูปมังกรสีดำอยู่รูปหนึ่ง


 


 


บนศีรษะของเขามีเขามังกร เป็นสีเงินยวง แต่ว่ามีแต่เขาข้างซ้ายเท่านั้นที่ยังสมบูรณ์ เขาข้างขวานั้นหายไปครึ่งหนึ่ง รอยนั้นเรียบสนิทราวกับว่าถูกตัดไป


 


 


แต่ว่าทั้งหมดนี้มิได้ส่งผลต่อรูปโฉมที่หล่อเหลางดงามของเขา


 


 


เขาสวมใส่ชุดสีเงินที่งดงามตลอดร่าง เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆก็ดูเหมือนภาพน้ำหมึกที่งดงามอย่างยิ่งภาพหนึ่ง


 


 


รูปลักษณ์หล่อเหลาแบบยุคโบราณที่สมบูรณ์แบบและราศีที่องอาจกล้าหาญ


 


 


ทั้งสองสิ่งผสมกันอย่างลงตัว จึงดูโดดเด่นงดงามอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ในโลกใบนี้ ตู๋กูซิงหลันเคยพบเห็นบุรุษที่หล่อเหลามาไม่น้อย ต่างก็ต้องถือว่าอยู่ในระดับที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจีเฉวียน


 


 


แต่ว่าตอนนี้นางกลับถูกรูปลักษณ์และราศีของบุรุษตรงหน้าทำให้ตื่นตะลึงจนนิ่งอึ้งไปแล้ว


 


 


มือของเขาสวยงามมาก นิ้วทั้งเรียวยาวและขาวนวล แต่ว่าแค่มือเช่นนี้ข้างเดียวก็แทบจะทำให้วิญญาณทมิฬหงอจนหัวล้านแล้ว


 


 


“เจ้ามีขนปุกปุย แล้วจะเรียกว่าซิงหลันได้อย่างไร?” เขาลูบคลำร่างท่อนบนของมันจนทั่วแล้ว ก็เริ่มลูบไปยังร่างท่อนล่าง


 


 


พอคลำลงไปถึงเม็ดๆที่เล็กเสียจนน่าละอายใจสองเม็ด สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลง ฝ่ามือนั้นเขกลงมาบนหัวของวิญญาณทมิฬครั้งหนึ่ง “เจ้ามันเป็นตัวผู้ แล้วจะเรียกว่าซิงหลันได้อย่างไร?!”


 


 


วิญญาณทมิฬถูกฝ่ามือนี้ซัดลงมาก็มึนงงจนแทบจะสลบคาที่ ไม่ใช่นะ…..ประเด็นสำคัญท่านเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ท่านไม่ได้เปิดโอกาสให้ข้าได้อธิบายเลยต่างหาก


 


 


แล้วสองตาที่ไม่ยอมลืมขึ้นมาเลยนั่นคืออะไร? ท่านลองเหลือบดูข้าสักแวบสิ!


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็พูดอะไรไม่ออก นางกระแอมไออยู่สองครั้ง ค่อยเอ่ยว่า “ท่านผู้อาวุโส มันคือถวนจื่อ เป็นเพียงวิญญาณน้อยๆ ข้าต่างหากถึงจะเป็นซิงหลัน”


 


 


ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันมั่นใจอย่างหนึ่งแล้วว่า บุรุษขาโหดผู้นี้คงจะสายตาไม่ดีอย่างแน่นอน….


 


 


อืม อาจจะเรียกว่าตาบอดก็ได้!


 


 


น่าเสียดายเหลือเกิน หรือฟ้าดินจะริษยาผู้คน!


 


 


แต่ว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากว่าเขาตาบอด นางจะได้ช่วยเหลือจีเฉวียนได้อย่างไม่ยากเกินไปนัก


 


 


นางหลุบตาลง มองดูด้ายผูกชะตาที่ส่องแสงสีแดงระเรื่อบนข้อมือ อย่างแทบจะมั่นใจอย่างเต็มที่เลยว่า คนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลผู้นั้นจะต้องเป็นจีเฉวียนอย่างแน่นอน


 


 


เขาบาดเจ็บหนักมาก ….ยังดีที่พื้นฐานร่างกายแข็งแกร่ง จึงยังประคองชีวิตเอาไว้ได้


 


 


ตอนนั้นนางขาพิการ ก็ยังรักษาจนหายได้…..คนที่แข็งแกร่งอย่างจีเฉวียน ต่อให้กระดูกแหลก…..


 


 


ตู๋กูซิงหลันหวังว่า เขาจะกลับมาหายดีได้


 


 


เพราะเรื่องของฉางซุนอิง ในใจของตู๋กูซิงหลันจึงเกิดความเกลียดชังเขา เกลียดชังส่วนเกลียดชัง แต่ไม่ได้คิดจะอยากให้เขาต้องถึงตาย


 


 


เมื่อครู่พอได้ยินว่าเขา ‘กระดูกแตกแหลกหมด’ หัวใจของนางก็วูบลงไป


 


 


ปวดเหลือเกิน


 


 


นางคิดว่า….ต่อให้ไม่ได้เห็นรอยประทับดอกบัวตรงบั้นเอวของเขา นางก็ยังคงจะกระโดลงมาช่วยเขาอยู่ดี


 


 


ตอนนี้พอมั่นใจได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ หัวใจของนางก็โล่งไปเปราะหนึ่ง


 


 


ตอนนี้จึงตัดสินใจจะคลำทางผูกมิตรกับ ‘ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่’ ตรงหน้าให้ดีเสียก่อน จากนั้นค่อยดำเนินการหาทางช่วยเหลือ


 


 


พอนางเอ่ยออกไป จึงเห็นว่า ‘ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่’หันมาทางนี้ พลางก้าวมาตรงหน้านาง


 


 


เดินมาได้สองก้าว เท้าของเขาก็พลิกออก เหยียบลงไปในอากาศ!


 


 


จากนั้นก็ร่วงลงไปจากบนต้นไม้


 


 


“อัยย่ะ!” เขาร้องออกมา ขณะที่ร่างยังตกลงไปเรื่อยๆ!


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “ ! ! !”


 


 


อะไรเนี่ย….นางกำลังเจอกับคนประหลาดหรือ?


 


 


เมื่อกี้ตอนพูดจายังดูองอาจเก่งกล้าอยู่เลยมิใช่หรือ? นี่กลายเป็นว่าต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังยังเก่งกว่าเขาอีกหรือ!


 


 


ขณะที่ตู๋กูซิงหลันกำลังนินทาอยู่ในใจอย่างดุดันนั้น ก็เห็นกิ่งเถาวัลย์เส้นหนึ่งพุ่งตามลงไป เพียงพริบตาเดียวก็โอบรัดเอวของชายผู้นั้นเอาไว้ ค่อยๆดึงเขากลับขึ้นมาจากด้านล่าง จากนั้นก็วางลงที่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลันอย่างมั่นคง


 


 


พอทั้งสองหันหน้าเขาหากันตู๋กูซิงหลันถึงมองเห็นได้ชัดเจนว่า ใบหน้านั้นงดงามอย่างยิ่งถึงเพียงไหน!


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็ตะลึงไป มันอยากจะบอกว่า ใบหน้าของคนผู้นี้มีส่วนคล้ายคลึงกับหลันหลันในโลกก่อนอยู่หลายส่วน!


 


 


นางในโลกโน้นและไทเฮาน้อยในโลกนี้ เดิมทีก็มีรูปโฉมที่คล้ายคลึงกันอยู่ห้าหกส่วน ต่างก็เป็นยอดโฉมงาม แต่ว่าตอนนี้เมื่อเปรียบเที่ยบดู ‘เยี่ยซิงหลัน’ ดูจะคล้ายคลึงกับ ‘ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่’ มากกว่า


 


 


องคาพยพที่คมเข้มเด่นชัด น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนนั้นถามวว่า


 


 


“เจ้าเรียกว่าซิงหลัน?” เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากกิ่งเถาวัลลัย์ ‘ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่’ ก็ค่อยยืนได้ถูกทาง


 


 


ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันตอบรับ เขาก็ยื่นมือออกมา มือที่เย็นๆนั้นลูบลงไปบนใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน


 


 


ตั้งแต่หัวคิ้วจนถึงจมูกและริมฝีปาก ลูบไปทั่วใบหน้า


 


 


ทีละน้อยๆ อย่างละเอียดลออ


 


 


เดิมตู๋กูซิงหลันก็ถูกกิ่งเถาวัลย์มัดเอาไว้อยู่แล้ว จึงไม่อาจหลีกหนีได้อยู่ดี ได้แต่ปล่อยให้ ‘ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่’สัมผัสใบหน้าของนาง


 


 


ไม่รู้ว่าทำไม ชั่วขณะที่มือของเขาสัมผัสลงบนใบหน้าของตนเอง ตู๋กูซิงหลันก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยและปลอดภัย….ที่ยากจะอธิบายออกมา


 


 


‘ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่’สัมผัสดูใบหน้าของนางอย่างละเอียดโดยไม่คลาดอะไรไปแม้แต่น้อย ราวกับว่ากำลังหาข้อยืนยันอะไรบางอย่าง มือของเขาลูบผ่านปลายคางของนาง


 


 


ยามที่มือของเขาแตะลงไปบนหน้าผากของตู๋กูซิงหลันอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง ก็สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่อยู่ภายใน ใบหน้าที่สงบนิ่งของเขาก็บังเกิดความประหลาดใจและตื่นเต้นยินดีอย่างไม่น่าเชื่อขึ้นมา


 


 


เขาปล่อยมือลงกางแขนทั้งสองข้างออก คิดจะเข้าไปกอดนาง


 


 


แต่ก็รู้สึกว่าตนเองทำอะไรอย่างผลีผลามมากเกินไป จึงได้แต่พยายามหักห้ามความตื่นเต้นเหล่านั้นเอาไว้ก่อน


 


 


ขนตาที่ยาวและหนาเป็นแพของเขากระพริบถี่ๆ แต่ก็มิได้ลืมตาขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันจึงไม่อาจมองเห็นประกายในดวงตาของเขา


 


 


จากนั้นอีกพักใหญ่ ค่อยได้ยินเขาเอ่ยขึ้นมาว่า “สหายตัวน้อย เจ้าไม่รู้สึกว่า เจ้ากับข้าหน้าตาคล้ายกันหรอกหรือ?”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หรือว่าท่านเป็นบรรพบุรุษของข้า?”


 


 


ถ้านับกันตามอายุ….ก็น่าจะเป็นรุ่นบรรพชนได้กระมั้ง?


 


 


ประโยคเดียวนั้น แลกมากับความเงียบกริบในอากาศ


 


 


เขาหัวเราะเสียงต่ำๆออกมา “เจ้าช่างมีอารมณ์ขันเหมือนกับมารดาของเจ้าไม่มีผิด”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……”


 


 


ไม่ใช่บรรพบุรุษ?


 


 


นางสูดลมหายใจเข้าไปจนลึก เปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า “ท่านพ่อ?”


 


 


คำว่าพ่อเพียงคำเดียว ก็สามารถเรียก ‘น้ำตาของผู้เฒ่าไหลริน’ ได้ในทันที


 


 


คนที่งดงาม แม้แต่ยามหลั่งน้ำตาก็ยังน่าชมอย่างที่สุด!


 


 


“อืม!” เขารับคำอย่างรวบรัด แล้วก็กางอ้อมแขนออกอีกครั้ง เอ่ยว่า “ยัยตัวน้อย มาให้พ่ออุ้มหน่อย”


 


 


พูดส่วนพูด ร่างของเขาโอนเอน พอโน้มลงมาก็กอดกิ่งเถาวัลย์เอาไว้เต็มรัก


 


 


ต้นไม้นั่นอยู่ๆก็ได้รับความรักใคร่ พลันมีสีแดงระเรื่อขึ้นมา บิดตัวจนโค้งงอ


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……”


 


 


ดูท่าจากสถานการณ์ในตอนนี้…..นางจะบังเอิญได้พบกับบิดาคนงามของไทเฮาน้อยเข้าแล้ว?


 


 


เป็นคนตาบอดที่งดงาม……


 


 


“ไม่ใช่ เขาดูคล้ายคลึงกับตัวเจ้าในโลกโน้นมากกว่า” วิญญาณทมิฬส่ายศีรษะ อย่างบอกไม่ถูกว่าทำไมคิดเช่นนั้น


 


 


ครู่ต่อมา บิดาคนงามค่อยปล่อยกิ่งเถาวัลย์ คลำทางไปคลำทางมาอยู่พักหนึ่งถึงได้มาถึงด้านหน้าของตู๋กูซิงหลัน

 

 

 


ตอนที่ 434 “ชีวิตที่เรียบง่ายที่สุดนั...

 

ครั้งนี้เขากางสองแขนเข้ามาอย่างช้าๆ โอบกอดนางเอาไว้อย่างแผ่วเบา


 


 


กอดร่างที่ผอมบางของนางจนรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นภายในร่างของนาง มือของเขาลูบลงไปบนเส้นผม กระซิบเบาๆที่ริมหู “จากกันไปหลายปี เจ้าตัวน้อยเติบโตขึ้นมากแล้ว…..”


 


 


น้ำเสียงนั้นรักใคร่อย่างยิ่ง


 


 


รูปลักษณ์ของเขาคล้ายดั่งคนที่มีอายุไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ คนทั้งสองจึงดูคล้ายคู่พี่น้องมากกว่า


 


 


“ตอนนั้นที่ส่งเจ้าออกไป เจ้ายังเป็นเพียงทารกอยู่เลย” มืออีกข้างหนึ่งของเขาตบลงบนบ่าของตู๋กูซิงหลันเบาๆ “ตอนนั้น ตัวน้อยนิดเดียว ทั้งขาวทั้งนุ่ม งดงามเหมือนดังตุ๊กตา….


 


 


จากกันไปนานปี เขาไม่อาจได้เห็นนางยามที่เติบโตขึ้นมา


 


 


ได้แต่อาศัยมือคลำดูเท่านั้น แม้แต่จิตวิญญาณที่อยู่ภายในร่างนั้น เขาก็ต้องใช้จิตมังกรของตนสัมผัส


 


 


ยามที่เขาเอ่ยถึง ‘ตอนนั้นที่ส่งเจ้าออกไป’ ตู๋กูซิงหลันกลับไม่ทันได้ฟังอย่างชัดเจน นางกำลังตกตะลึงกับการที่ทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งในที่เช่นนี้


 


 


ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล คนที่สมควรจะได้พบกันจะอย่างไรก็ต้องได้เจอกันสินะ……


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ผลักเขาออกไป ปล่อยให้เขากอดเอาไว้ ทั้งร่างกายและจิตใจไม่อาจต่อต้านบุรุษผู้นี้


 


 


ไม่ว่าเขาจะใช่บิดาของไทเฮาน้อยจริงๆหรือไม่ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าอ้อมกอดนี้ช่างดูคุ้นเคย ทำให้นางอยากเข้าไปใกล้เขา


 


 


นางยังไม่รู้เลยว่าตกลงแล้วเขามีฐานะเป็นใครกันแน่


 


 


บนศีรษะมีเขามังกร….ก็ต้องเป็นเผ่ามังกรอย่างแน่นอนแล้ว


 


 


ผู้ที่สามารถอยู่ในหุบเหวไร้ก้นที่ดูดกลืนทุกชีวิตได้อย่างสุขสบาย …..จะต้องเป็นคนสำคัญของเผ่ามังกรอย่างแน่นอน


 


 


“ยังไม่ได้แนะนำตัวให้ดีเลย….” กอดอยู่เนิ่นนาน เขาก็ค่อยยอมปล่อยนาง มือที่ใหญ่โตปัดเถาวัลย์ที่รายล้อมตู๋กูซิงหลันไว้ออกไป


 


 


เขาจูงมือของตู๋กูซิงหลัน ไปนั่งอยู่บนกิ่งก้านขนาดใหญ่ของต้นไม้


 


 


“พ่อของเจ้าชื่อว่า เยี่ยจ้าน” เขาแนะนำตนเองออกมา “เป็นราชาของเผ่ามังกรทมิฬ”


 


 


ได้ฟังข้อสรุปเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่แปลกใจอยู่บ้างเท่านั้น นางสมควรคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว…


 


 


ตั้งแต่ที่ได้เห็นดวงตาทั้งสองของเยี่ยอิง ก็สมควรจะคิดถึงฐานะของไทเฮาน้อยออกแล้ว


 


 


เพียงแต่ตอนนั้นเลือกที่จะยังไม่ไปคิดถึงมัน


 


 


ตอนนี้เมื่อความจริงปรากฏตรงหน้า….ต่อให้นางไม่อยากจะเชื่อก็ไม่มีหนทาง


 


 


“เจ้าไม่ประหลาดใจหรือ?” เยี่ยจ้านเอ่ยพลางก็คว้ามือของนางไว้แนบแน่นกว่าเดิม


 


 


พอคิดๆดูแล้ว….ตั้งแต่ที่นางได้เจอเขาจนถึงตอนนี้ก็ดูสงบนิ่งอย่างมาก ราวกับว่าถึงอยู่ๆจะมีคนมาบอกว่าเป็นบิดา ก็ได้มีผลกระทบอะไรต่อนางเลย


 


 


“ดวงตาของท่าน มองไม่เห็นหรือ?” ตู๋กูซิงหลันมิได้ตอบคำถามเขาตรงๆ เพียงแต่ยื่นมือข้างหนึ่งมาโบกไปมาอยู่ตรงหน้าเขา


 


 


เยี่ยจ้านมิได้มีปฏิกริยา เพียงคว้ามือที่วุ่นวายของนางเอาไว้ “บอดแล้ว บอดมายี่สิบปีแล้ว”


 


 


ยี่สิบปี …..คือช่วงเวลาที่ไทเฮาน้อยสูญเสียบิดามารดาไปพอดี


 


 


“ทำไม….ถึงตาบอดเล่า?” ที่จริงตู๋กูซิงหลันคิดจะถามว่ามารดาของไทเฮาน้อยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่มากกว่า…..


 


 


แต่ว่าพอคำพูดมาถึงริมฝีปาก นางก็ได้แต่กลืนกลับลงไป


 


 


หลายปีก่อนนั้นศพของมารดาไทเฮาน้อยถูกพบที่ริมทะเลตะวันตก….ตอนที่เจอ นางตายอย่างอนาถ ถึงกับไม่อาจแยกแยะจากรูปโฉมได้


 


 


เรื่องราวในตอนนั้น แม้แต่ท่านตาก็ยังไม่อยากจะเอ่ยถึง


 


 


แต่ว่าตู๋กูซิงหลันยังคงกอดความหวังที่เรือนลางเอาไว้ วาดฝันไปว่าบางทีตู๋กูชิงชิงอาจจะยังไม่ตายก็เป็นได้


 


 


อาจจะได้มีโอกาสกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า


 


 


ถึงแม้ว่านางจะใช้ร่างของไทเฮาน้อย แต่ก็ถือว่าตระกูลตู๋กูเป็นครอบครัวของตนเองแต่แรกอยู่แล้ว


 


 


เรื่องบางเรื่อง ตอนที่ยังไม่รู้คำตอบก็ครุ่นคิดไปเป็นร้อยเป็นพันหนทางให้ได้รู้


 


 


แต่ว่ารอจนคำตอนนั้นมาอยู่ตรงหน้า กลับอยากจะยืดเวลาออกไป…..


 


 


กลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่ไม่อยากจะได้ยินเข้า


 


 


“ดวงตาคู่นี้ เป็นเพราะว่าข้าติดค้างมารดาของเจ้า….” มือของเยี่ยจ้านสั่นเทาน้อยๆ


 


 


ตลอดหลายปีมานี้ ไม่มีวันใดที่ผ่านไปอย่างไม่ต้องอดทนกล้ำกลืน….


 


 


“ตอนนั้น….. ท่านแม่ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของท่านใช่หรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างเขา ที่จริงนางก็คิดว่าตนเข้าใจดี คนหนึ่งเป็นสาวน้อยชาวมนุษย์ อีกคนเป็นราชาเผ่ามังกรทมิฬ


 


 


การมาพบกันของทั้งสอง ….จะต้องไม่บังเกิดผลดี โดยเฉพาะกับเผ่ามังกรทมิฬที่เป็นเผ่ากระหายเลือดอยู่แล้ว…..


 


 


อย่าได้เห็นว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเยี่ยจ้านสูงศักดิ์งามสง่า โลหิตที่ไหลอยู่ในกายจะอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นอยู่ดี


 


 


“ตอนนั้น…..” เยี่ยจ้านเบือนหน้าออกไป ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่แง้มเป็นเส้นบางๆ จึงทำให้เห็นว่าในนั้นเป็นช่องสีดำที่ว่างเปล่า


 


 


ดวงตาดอกท้อที่เคยงดงามคู่นั้น ไม่มีลูกตาอีกแล้ว


 


 


ขนตาที่หนาเป็นแพทาบทับลงมา ภายใต้แสงสลัวของแมลงกินวิญญาณ เกิดเป็นเงาจางๆ


 


 


ช่วยปิดบังความว่างเปล่าใต้ดวงตาคู่นั้นเอาไว้


 


 


“นั่นเป็นเรื่องเมื่อสามสิบปีมาแล้ว….” เขาเอ่ยขึ้นมา แล้วก็ถอนหายใจยาวๆ “เจ้าสามารถมาถึงที่นี่ได้ ย่อมต้องรู้ว่า ที่นี่คือก้นทะเลลึก คือที่อยู่ของเผ่ามังกรทมิฬ คือเผ่าที่ถูกเหล่าเทพเจ้ากดเอาไว้ให้อยู่แต่ในความมืดมิดไปตลอดกาล


 


 


“ในเมื่อข้าเป็นถึงราชาของเผ่ามังกรทมิฬ แต่ไหนแต่ไรย่อมไม่อาจทนรับการกดขี่เช่นนี้ หลายปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยถอดใจที่จะทะลวงผ่านการคุมขังนี้ออกไปให้ได้” เยี่ยจ้านพูดไป หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ “ครั้งนั้น หลังจากที่ถูกกักขังมานานนับพันปี ในที่สุดข้าก็สามารถทะลวงออกไปจากการกักขังได้สำเร็จ….ราคาที่ต้องแลกไปก็คือการบาดเจ็บหนัก จนสูญเสียความทรงจำ”


 


 


“แล้วท่านแม่ก็ช่วยท่านเอาไว้?”


 


 


เยี่ยจ้านพยักหน้า “ตอนที่ชิงชิงอยู่ในวัยสาว นางชมชอบท่องเที่ยวไปทั่ว ตอนนั้นนางอยู่ที่ทะเลตะวันตกพอดี จึงช่วยข้าขึ้นมาจากริมทะเล แล้วก็พาข้ากลับไป”


 


 


“ตอนนั้น ข้าไม่รู้ว่าตนเองคือใคร แม้แต่ชื่อของตนเองก็ยังไม่รู้….”


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็ถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง


 


 


จะว่าอย่างไรดี….นี่อาจเป็นชะตากรรมหรือฟ้าดินกำหนดไว้


 


 


ไม่เช่นนั้นใยจึงจะต้องเป็นมารดาที่ไปช่วยเหลือเขาอย่างพอดิบพอดี?


 


 


เรื่องราวภายหลังจากนั้นมิต้องให้เยี่ยจ้านพูดออกมา ตู๋กูซิงหลันก็เดาได้อยู่แล้ว


 


 


ด้วยรูปลักษณ์ระดับราชามังกรทมิฬ ไม่ต้องพูดว่าเป็นตู๋กูชิงชิง ต่อให้เป็นหญิงสาวอื่นๆในใต้หล้าหากได้พบเห็นก็เป็นต้องหลงรักจนถึงแก่นกระดูก


 


 


การพบกันของพวกเขานั้นแสนจะธรรมดา และพวกเขาก็ตกหลุมรักกันอย่างเรียบง่าย


 


 


“นางพาข้ากลับไปยังแคว้นต้าโจว ตั้งชื่อใหม่ให้กับข้า จากนั้นพวกเราก็รักกัน ท่านผู้เฒ่าจึงอนุญาต ให้ข้าแต่งเข้าไปเป็นเขย ตลอดหลายปีที่อยู่ในตระกูลตู๋กูนั้น ข้ากับชิงชิงรักใคร่กลมเกลียว พวกเรามีบุตรชายสองคน….”


 


 


ตอนที่เยี่ยจ้านเล่าเรื่องเล่านี้ออกมา สีหน้าทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน นั่นเป็นความทรงจำที่แสนหวาน ทุกวันนี้แม้นึกถึงขึ้นมา ก็ยังรู้สึกหวานล้ำเข้าไปถึงกระดูก


 


 


เขาเคยเป็นราชามังกรทมิฬที่เหล่าทวยเทพต่างก็ยำเกรง คือผู้ที่มีชื่อเสียงในเรื่องความน่าหวาดกลัวไปทั่วทั้งหกภพภูมิเทียบเท่ากับราชันย์ของเผ่าหมิง


 


 


เขาเคยเลือดเย็น ไร้รักไร้ความผูกพัน


 


 


เขาก็เคยดูถูกพวกมนุษย์ว่าต่ำต้อยไร้ค่า เป็นทาสของเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา


 


 


จนกระทั่งเขาได้พบกับตู๋กูชิงชิง….ถึงได้รู้ว่า ความเรียบง่ายนั้น จึงจะเป็นความสุขที่แท้จริง


 


 


ตอนนั้นเขาคิดแต่จะอยู่เคียงข้างนางเพียงผู้เดียวจนกระทั่งผมขาว มองดูลูกมีหลาน หลานมีเหลน ไปกับนางจนแก่เฒ่า


 


 


แต่ทุกอย่างกลับสิ้นสุดลงเมื่อซิงหลันถือกำเนิดขึ้นมา


 


 


นางได้รับพลังอันแข็งแรงของเผ่ามังกรทมิฬมาแต่กำเนิด…..


 


 


ในคืนนั้น คืนที่นางถือกำเนิดออกมา แม้แต่พระจันทร์ก็กลายเป็นสีแดง คลื่นในทะเลบ้าคลั่ง ….เหล่าสรรพสัตว์พากันเคลื่อนไหว


 


 


พลังที่แข็งแกร่งนั้นได้ปลุกพลังมังกรภายในร่างของเขาขึ้นมา เขาจึงค่อยจดจำเรื่องราวทั้งหมดได้


 


 


รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเองด้วย……

 

 

 


ตอนที่ 435 ข้าจะรักเอ็นดูนาง เหมือนดั...

 

 


 


คืนที่ตู๋กูซิงหลันถือกำเนิดมานั้น แม้แต่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ยังมีความเคลื่อนไหว


 


 


ในตอนนั้นปฏิกริยาอย่างแรกที่เขามีก็คือหาทางปกป้องพวกนางแม่ลูก


 


 


ดังนั้นเขาจึงผนึกพลังของเผ่ามังกรทมิฬในตัวของนางเอาไว้ ทั้งยัง….ถ่ายเทพลังของสายเลือดคลุ้มคลั่งในกระดูกของนางไปไว้ที่ร่างของบุตรคนรอง


 


 


บุตรชายจะอย่างไรก็มีภูมิต้านทานมากกว่าบุตรสาว ต่อให้เลือดคลุ้มคลั่งนั้นตื่นขึ้นมา ก็คงจะไม่ทรมานสักเท่าไร


 


 


เยี่ยจ้านคิดแต่เพียงว่าของเพียงพลังในร่างของตู๋กูซิงหลันไม่ถูกพบเจอ ครอบครัวของเขาก็ยังจะสามารถมีชีวิตเช่นนี้ต่อไปได้


 


 


อย่างน้อยๆ…..เขาก็อยากจะอยู่กับชิงชิงไปจนเส้นผมขาวโพลน


 


 


แต่ใครจะไปรู้ว่า นางจะได้รับมรดกทางสายเลือดของเผ่ามังกรทมิฬมาอย่างสมบูรณ์พร้อม ทั้งๆที่เป็นเพียงทารก แต่แค่โบกมือเพียงเบาๆก็สามารถทำลายก้อนหินขนาดใหญ่ภายในจวนจนกลายเป็นผงธุลีไปได้


 


 


พลังเช่นนี้ถือเป็นความเมตตาที่ฟ้าประทานให้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเภทภัยด้วย


 


 


พลังของเผ่ามังกรทมิฬที่เยี่ยเฉินไม่ได้รับสืบทอดไป….กลับถูกส่งต่อมาให้เสี่ยวหลัน….เรื่องเช่นนี้ขอเพียงหวาชางสุ่ยรู้เข้า ผลลัพธ์ย่อมเลวร้ายเกินกว่าจะคาดคิด


 


 


ดังนั้นสุดท้ายแล้ว เขาจึงทำการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุด


 


 


ในตอนที่นางอายุครบเดือน เขาเปิดทางช่องว่างกาลเวลาด้วยตนเอง ส่งนางไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย มอบให้กับคนที่สามารถฝากฝังเอาไว้ได้


 


 


ที่หลงเหลืออยู่ในตระกูลตู๋กู จึงเป็นเพียงร่างเนื้อของนาง…..และ ‘ตัวแทน’ ที่เกิดจากเศษเสี้ยวของวิญญาณนางเท่านั้น


 


 


อาจกล่าวได้ว่า จิตวิญญาณที่อยู่ในร่างเนื้อแต่เดิมนั้น ก็คือตัวแทน ที่เขาใช้พลังวิญญาณของนางมาสร้างเป็นตัวแทน


 


 


นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต่อมา ‘ตู๋กูซิงหลัน’ กลายเป็นคนอ่อนแออย่างยิ่ง เป็นเพียงลูกพลับนิ่มที่ไม่ว่าใครก็สามารถบีบได้


 


 


ร่างที่ส่งไปในอีกโลกหนึ่งเป็นร่างที่เขาใช้เลือดเนื้อและกระดูกของตนเองสร้างขึ้นมาให้กับนาง


 


 


เขานึกว่าเมื่อตนเองทำเช่นนี้แล้วก็จะสามารถปิดบังฟ้าดินได้สำเร็จ ให้นางเติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัย และใช้ชีวิตอย่างราบรื่นภายใต้ความคุ้มครองของคนผู้นั้น


 


 


คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้วนางที่เป็นเจ้าของร่างที่แท้จริงก็ยังจะกลับมาที่นี่อยู่ดี


 


 


ท่ามกลางความมืดมิดและสับสนวุ่นวาย…..บางสิ่งคงจะถูกกำหนดเอาไว้แต่แรกแล้วกระมัง


 


 


นางไปจากที่นี่ สุดท้ายก็ยังต้องกลับมาที่นี่อยู่ดี


 


 


เยี่ยจ้านถอนหายใจ เอ่ยว่า “เสี่ยวหลัน หลายปีมานี้ ซื่อมั่วดีกับเจ้าหรือไม่?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงจนหน้าเปลี่ยนสี นางนึกว่าตนเองกำลังหูฝาดไปแล้ว


 


 


เขาว่าอะไรนะ?


 


 


“ดูท่าคงจะไม่ดีสักเท่าไร…เขาไม่ได้คอยดูแลเจ้าให้ดี ถึงได้ปล่อยให้เจ้ากลับมาที่นี่…” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะเบาๆ “หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้แต่แรกก็คงไม่ส่งเจ้าให้กับเขาแล้ว”


 


 


ตู๋กูซิงหลันสีหน้างุนงงไปอย่างไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังหมายความว่าอะไร?


 


 


เขามอบนางให้กับอาจารย์? ทั้งยังเรียกชื่อของอาจารย์ตรงๆ?


 


 


“เขากับข้าเป็นสหายที่เคยช่วยชีวิตกันเอาไว้ เดิมทีที่ส่งเจ้าให้กับเขา ก็คิดว่าเจ้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัยอยู่ในโลกโน้น” เยี่ยจ้านส่ายศีรษะต่อไป พลางยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของนาง “เขาเลี้ยงดูเจ้าจนเติบโตก็นับว่าไม่ง่ายดายแล้ว ข้าจะไม่ถือโทษเขา”


 


 


เพียงแต่ว่าจะอย่างไรก็มิใช่บิดาแท้ๆ จะเลี้ยงดูอย่างไรก็คงจะไม่ดีเท่ากับตนเอง


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”


 


 


เยี่ยจ้านเองก็ไม่ได้อมพะนำปิดบังนางต่อไป แต่ค่อยๆเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาให้นางได้ฟัง


 


 


ตู๋กูซิงหลันจากที่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตอนนี้ถึงกับงุนงงไปหมดแล้ว


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็ตกตะลึงจนขนลุกฟอง


 


 


“สรุปแล้วที่เล่ากันมาครึ่งค่อนวัน เจ้าก็คือเจ้าของร่างตัวจริง? ที่แท้ ‘ไทเฮาน้อย’ ผู้นั้นต่างหากที่เป็นตัวสำรอง?”


 


 


วิญญาณทมิฬรู้สึกว่าตนเองจะต้องจัดลำดับการรับรู้ใหม่แล้ว


 


 


นี่มันช่างซับซ้อนเหลือเกิน!


 


 


ใครจะไปนึกว่าคนที่เติบโตอยู่ในโลกปัจจุบันผู้หนึ่ง ที่จริงแล้วกลับถูกส่งข้ามมิติมาจากโลกใบนี้?


 


 


คนที่เลี้ยงดูนาง ก็ยังเป็นเกลอเก่าของบิดาอีกด้วย?


 


 


เช่นนี้จะเรียกว่าเป็นบิดาบุญธรรมสักคำก็คงจะไม่ผิดละมั้ง?


 


 


ตู๋กูซิงหลันนิ่งงันไปพักใหญ่จึงค่อยได้สติกลับมา….


 


 


ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ นางต้องการเวลามาค่อยๆทำความเข้าใจ


 


 


เยี่ยจ้านเองก็ไม่ได้บีบคั้นนาง เขาเพียงแต่วาดฝ่ามือออกไป ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลันก็ปรากฏภาพๆหนึ่งขึ้นมา


 


 


เป็นตอนที่นางพึ่งจะครบเดือนแล้วเขาใช้เลือดเนื้อและกระดูกของตนเองสร้างร่างใหม่ให้กับนาง จากนั้นก็ย้ายวิญญาณของนางจากร่างเดิมเข้าไปในร่างใหม่ ค่อยส่งร่างใหม่นี้ไปยังโลกปัจจุบัน


 


 


ตอนนั้นเยี่ยจ้านยังไม่ได้ตาบอด ….ยามอยู่ในเผ่ามนุษย์เส้นผมของเขาดกดำ สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายธรรมดา ดูไปแล้วยังถ่อมตนลงกว่าตอนนี้อยู่มาก


 


 


เขาโอบอุ้มทารกหญิงตัวน้อยเอาไว้ ค่อยๆประคองส่งนางให้กับคนผู้หนึ่ง


 


 


คนผู้นั้นอยู่ในหมอกสีดำทั่วทั้งร่าง


 


 


ขณะที่รับตัวนางไปก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “เผิงอี้ ข้าจะรักเอ็นดูนาง เหมือนดั่งเป็นบุตรสาวของตนเอง”


 


 


เผิงอี้ เป็นชื่อรองของเยี่ยจ้าน


 


 


คนที่สามารถเรียกชื่อนี้ของเขาได้ แสดงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะต้องใกล้ชิดสนิทสนมอย่างยิ่ง


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่า ….นางจะได้ยินเสียงของท่านอาจารย์ในโลกใบนี้


 


 


ถึงแม้ว่าไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ของคนที่อยู่ในเงามืด …..แต่ว่าน้ำเสียงนั่นนางฟังมาแล้วมากมายหลายปี….


 


 


เยี่ยจ้านสะบัดแขนเสื้อภาพตรงหน้าก็ค่อยๆเลือนหลายไป เงาร่างของคนที่อยู่ในภาพก็ค่อยๆเลือนลางไปเหมือนดังพระจันทร์ที่ลับไป


 


 


ตู๋กูซิงหลันพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน นางรู้ว่าที่เยี่ยจ้านพูดมาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องปั้นแต่ง….


 


 


“เสี่ยวหลัน เจ้าไม่ต้องประหลาดใจไป” เห็นนางไม่พูดไม่จาอยู่เป็นนาน มือของเยี่ยจ้านก็ตบลงบนบ่าของนางเบาๆ “ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้ ยังคงไม่อาจเข้าใจโลกของผู้เข้มแข็ง ก็เป็นเรื่องธรรมดา”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนตนเองถูกดูหมิ่น นางควรทำเช่นไรดี?


 


 


“ในเมื่อกลับมาแล้ว…ก็แสดงว่าซื่อมั่วไม่อาจปกป้องเจ้าได้ดี เขาเองก็คงมีข้อติดขัดที่ทำให้ต้องลำบากเช่นกัน” เยี่ยจ้านมิได้โทษว่าซื่อมั่ว เพราะแต่เดิมเขาก็ไม่ได้มีข้อเกี่ยวข้องผูกพันใดๆกับเสี่ยวหลัน


 


 


“ท่านอาจารย์เค้า…ที่จริงก็รักษาคำพูด เลี้ยงดูข้าดุจบุตรสาวผู้หนึ่ง” ตู๋กูซิงหลันแก้ตัวแทนซื่อมั่ว


 


 


การเลี้ยงดูให้เติบโตย่อมมีระยะเวลาเป็นขั้นเป็นตอน ย่อมต้องอาศัยความทุ่มเท


 


 


ตลอดหลายปีในโลกปัจจุบันนั้น ถึงแม้ท่านอาจารย์จะเข้มงวดกับนาง แต่ว่าทุกครั้งที่นางประสบปัญหา คนแรกที่ออกมาเช็ดก้นให้กับนางก็คืออาจารย์


 


 


ตอนยังเด็ก เขามักจะบอกอยู่เสมอว่า…นางไม่มีบิดามารดา ย่อมต้องดูแลเอาใจใส่ให้มากหน่อย


 


 


ยามอยู่ในสำนักหุบเขาภูต อะไรดีอะไรอร่อยอะไรที่สนุก นางล้วนมีอย่างครบครัน


 


 


นอกจากห้ามไม่ให้ถ่ายละครอีกต่อไปแล้ว ซื่อมั่วไม่เคยกีดกันความชอบของนาง นางคิดจะทำอะไร ก็ปล่อยให้นางได้ทำตามสบายอยู่เสมอ สิ่งที่นางต้องการแต่ว่าไม่อาจหามาได้ด้วยตนเอง อยู่ๆก็ มักจะถูกส่งมาถึงมือของนางอย่าง ‘ไม่รู้เหนือรู้ใต้’ อยู่เสมอ


 


 


ความปรารถนาดีที่ซื่อมั่วมีต่อนาง เกรงว่าแม้แต่บิดาแท้ๆก็ไม่แน่ว่าจะเทียบได้


 


 


ที่นางกลับมายังโลกใบนี้ ก็เป็นเพราะว่านางไปหาเรื่องตายเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่านอาจารย์เลยทั้งสิ้น


 


 


ท่านอาจารย์ถึงกับเสกยันต์ฟื้นคืนวิญญาณรักษาดวงจิตให้นาง….เป็นนางที่เป็นศิษย์อกตัญญูต่างหาก


 


 


พอได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เยี่ยจ้านก็ประเมินได้แล้ว


 


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าข้าติดค้างซื่อมั่วแล้ว ต่อไปยังจะต้องตอบแทนเขา” เยี่ยจ้านก็หันศีรษะไปทางจีเฉวียน


 


 


คนที่เดิมสมควรจะกระดูกแตกแหลกละเอียดผู้นี้ ถูกเขาช่วยเอาไว้


 


 


ในร่างของเขามีกลิ่นอายของซื่อมั่ว ….แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่ซื่อมั่ว


 


 


จุดนี้แม้แต่เยี่ยจ้านเองก็รู้สึกว่าแปลกประหลาด


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่เข้าใจที่เขาบอกว่า ‘ยังจะต้อง’ นั้นหมายความว่าอะไร


 


 


ชั่วระยะเวลาเพียงสั้นๆก็ได้รับรู้เรื่องราวมากมาย นางยังมีบางอย่างที่ไม่ทันได้ทำความเข้าใจ….นางคือตู๋กูซิงหลันและก็คือเยี่ยซิงหลัน

 

 

 


ตอนที่ 436 ขอเคียงข้างนางทุกชาติไป

 

เหล่าคนที่นางถือว่าเป็น ‘ญาติสนิท’ ที่แท้ก็เป็นญาติสนิทของนางจริงๆ 


 


 


นางมิใช่กำพร้า นางมีท่านตา มีพี่ชายสองคน และก็ยังมีบิดาเป็นราชามังกรทมิฬ 


 


 


มิน่าเล่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับพวกเขา นางก็รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยอย่างยิ่ง 


 


 


เช่นนั้น….มารดาเล่า? 


 


 


นางหันหน้ากลับไป มองดูใบหน้าด้านข้างที่งามล้ำของเยี่ยจ้าน มองดูจุดมืดๆที่ว่างเปล่าภายใต้หนังตาที่แย้มอยู่เล็กน้อยนั่น 


 


 


คำพูดที่มาถึงริมฝีปาก ก็ต้องกลืนลงไปอีกครั้ง 


 


 


ตอนนี้นาง รู้สึกกลัวที่จะได้ยินคำตอบยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก 


 


 


“สาเหตุที่ข้าเหลือ ‘ตัวแทน’ ของเจ้าเอาไว้ หนึ่งก็เพื่อจะปิดบังเหล่าเทพเจ้าเบื้องบน สองก็เพราะเกรงว่าจะทำให้ซิงซิงเสียใจ” เยี่ยจ้านรู้ถึงความคิดของนาง จึงเอ่ยต่อไป “เนื่องเพราะว่า ‘ตัวแทน’ ของเจ้าร่างกายเปราะบางตั้งแต่เด็ก อุปนิสัยก็อ่อนแอ ดังนั้นทุกคนจึงประคอง ‘นาง’ เอาไว้ในฝ่ามือ” 


 


 


“ข้าเองก็อยากจะรั้งอยู่ในจวนตระกูลตู๋กูต่อไป แต่ว่าจิตวิญญาณมังกรในร่างตื่นขึ้นมาแล้ว ความทรงจำก็กลับคืนมาทั้งหมด ราชามังกรทมิฬนั้น คือผู้ที่กระหายเลือด….” 


 


 


“หากข้ายังรั้งอยู่ในตระกูลตู๋กูต่อไป ก็มีแต่จะนำพาภัยพิบัติมาให้กับพวกเขา” 


 


 


“ดังนั้นท่านจึงเลือกที่จะจากไป?” 


 


 


“เดิมทีก็คิดจะลบความทรงจำของชิงชิงที่เกี่ยวกับข้าออกไป…” สีหน้าของเยี่ยจ้านปวดร้าว “แต่ว่าสุดท้ายแล้วข้ากลับทำไม่ได้ เสี่ยวหลัน หากเจ้าไม่เคยตกหลุมรัก เจ้าย่อมไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้น…อยากจะให้นางปลอดภัยและมีความสุขแต่ก็ไม่อยากให้นางลืมเลือนตนเอง…” 


 


 


“ดังนั้นข้าจึงทิ้งสมบัติล้ำค่าเอาไว้มากมาย หวังว่าชิงชิงและลูกๆจะอยู่อย่างสุขสบบายไปชั่วชีวิต 


 


 


“คิดไม่ถึงว่า นิสัยของนางจะดื้อรั้นถึงเพียงนี้ ไล่ตามข้ามาจนถึงทะเลตะวันตก” 


 


 


“นางว่ายน้ำก็ไม่เป็น แต่เพื่อบีบให้ข้าปรากฏตัว จึงกระโดดลงไปในทะเล” 


 


 


วิธีการแก้ปัญกาของเยี่ยจ้าน ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าจะวิจารณ์อย่างไรดี 


 


 


เขาเป็นถึงราชามังกรทมิฬ เดิมก็มีภรรยา—ราชินี อยู่แล้ว 


 


 


แต่เพราะอาการบาดเจ็บจากการฝ่าด่านกักขัง จึงสูญเสียความทรงจำ 


 


 


ในขณะที่เกิดช่องว่างของความทรงจำนี้เอง ก็เกิดความรักกับมารดา…. 


 


 


ไม่อาจตำหนิว่าเขาเป็นบุรุษเสเพล ….เพราะว่าความรักที่เขามีให้กับมารดานั้นก็เป็นความรักที่แท้จริง 


 


 


นางเคยได้ยินท่านตาบอกว่า ตลอดเวลาหลายปีหลังแต่งงานนั้น มารดาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข…แต่เพราะว่าบิดาหายตัวไป….นางถึงได้….. 


 


 


จากทุกสิ่งที่เยี่ยจ้านทำลงไป นางเชื่อว่าเขารักมารดาอย่างแน่นอน 


 


 


สำหรับกับราชินีของเขานั้น….. 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าเขาคิดเห็นเช่นไรกันแน่ 


 


 


“ข้าไม่อาจขัดนาง จึงได้พานางกลับไปยังก้นทะเลลึก” ใบหน้าที่หล่อเหลาของเยี่ยจ้านแสดงสีหน้าของสำนึกเสียใจอย่างที่สุด “นั้นเป็นเรื่องที่ข้าผิดพลาดที่สุดในชีวิต” 


 


 


“องค์ราชินีไม่อาจยอมรับมารดา” ตู๋กูซิงหลันไม่ต้องถามเขาก็รู้คำตอบดี 


 


 


ไม่อาจบอกว่ามารดาคือมือที่สาม …..นางเองก็ตกหลุมรักบิดาในสถานการณ์บังเอิญที่ 


 


 


ไม่รู้เช่นกัน เรื่องจึงยากจะตัดสินว่าใครผิดใครถูก 


 


 


เยี่ยจ้านมิได้ตอบรับ เขาเป็นสามีภรรยากับหวาชางสุยมาหมื่นกว่าปี ถูกหมั้นหมายกันตั้งแต่เล็ก พอเติบใหญ่ก็แต่งงานกัน 


 


 


กับหวาชางสุ่ย เขาถือว่านางเป็นราชินีของเผ่ามังกรทมิฬ…..แต่ว่าไม่เคยมีความรักใคร่มาก่อน 


 


 


ก่อนที่จะได้เจอกับชิงชิง เขาก็ไม่เคยรู้จักว่าความรักคืออะไร 


 


 


“ตอนที่ชิงชิงไล่ตามมาถึงทะเลตะวันตกนั้น นางก็ยังไม่รู้จักฐานะที่แท้จริงของข้า” เยี่ยจ้านว่าต่อไป ตอนนั้น…เขาไม่รู้จริงๆว่าจะเอ่ยปากกับนางอย่างไรดี เพื่อบอกนางว่า เขามิใช่ตัวดี 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีราชินี มีบุตรชายหญิงคู่หนึ่ง 


 


 


“ข้าบอกกับนางแค่ว่า ข้าเป็นมังกรที่เฝ้าสมบัติของเผ่ามังกรทมิฬตัวหนึ่ง” 


 


 


“นางก็เชื่อ…แต่ไหนแต่ไรมิว่าข้าบอกอะไรนางก็เชื่ออยู่แล้ว สตรีที่โง่เขลาเอ๋ย….” 


 


 


เยี่ยจ้านหัวเราะขึ้นมา หัวเราะอย่างเจ็บปวดแล้ว แต่เพราะว่าไม่มีลูกตา เขาจึงไม่อาจมีน้ำตาสักหยดได้เลย 


 


 


“ช่วงนั้น นางต้องอยู่แต่ในห้องเล็กๆในวังมังกร ทุกวันต้องรอคอยนับสิบกว่าชั่วยาม จึงจะได้เจอข้าสักครู่หนึ่ง…” 


 


 


“ข้าซ่อนนางเอาไว้ ราวกับซุกซ่อนสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจโดนแสงแดดได้ นางเชื่อฟังอย่างยิ่ง ไม่เคยก้าวออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว 


 


 


หัวใจของตู๋กูซิงหลันเจ็บปวดแล้ว เจ็บปวดแทนมารดา 


 


 


การรักใครสักคน จะต้องรักถึงเพียงไหน ถึงทำให้ไม่ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร นางก็เชื่อเช่นนั้นหมด? 


 


 


โง่หรือไม่? หรือว่าเพราะรักจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่อาจหักห้ามตนเอง….. 


 


 


“ต่อมาเผ่ามังกรทมิฬเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ข้าไม่ได้ไปหานางติดต่อกันถึงสามวัน นางร้อนใจแล้ว จึงออกจากห้องเป็นครั้งแรก” 


 


 


“นางจับพลัดจับผลูคลำทางไปเรื่อยๆจนไปถึงตำหนักบรรทมของข้า….วันนั้นหวาชางสุ่ยดื่มมากเกินไป จึงเข้ามาในตำหนักของข้าเช่นกัน….” 


 


 


เยี่ยจ้านไม่กล้าบอกกับบุตรสาวของตนเองว่า ‘มารดาของเจ้าเห็นสตรีที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยผู้หนึ่งโผเข้าหาข้า’ 


 


 


เขาเป็นราชาเผ่ามังกรทมิฬ บนบ่าของเขาแบกรับความสงบสุขของคนในเผ่าทั้งเผ่า…..ชีวิตของผู้คนนับหมื่นนับแสนขึ้นอยู่กับเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขากับซื่อมั่วก็ยังมีสัญญาต่อกันอยู่ 


 


 


จึงทำให้เขาไม่อาจคำนึงถึงเพียงความรักระหว่างชายหญิงได้ 


 


 


หวาชางสุ่ยคือราชินีที่เขาอภิเษกมาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของสองเผ่า ถึงแม้ว่ามิได้รัก…..แต่ก็ไม่อาจเพียงเพราะว่าเขาไปมีภรรยาบนโลกจึงจะหย่าขาดจากนางได้ 


 


 


เยี่ยจ้านยอมรับว่า….เขามิใช่สามีที่ดี 


 


 


นับตั้งแต่ที่เขากลับจากเผ่ามนุษย์มายังเผ่ามังกรทมิฬก็ไม่เคยแตะต้องหวาชางสุ่ย ….. 


 


 


หรือที่จริงต้องบอกว่า นับตั้งแต่พันปีก่อนที่เขากับหวาชางสุ่ยให้กำเนิดเยี่ยอิงแล้ว ก็ไม่เคยแตะต้องนางอีกเลย 


 


 


“กระดาษไม่อาจห่อไฟอยู่แล้ว” ตู๋กูซิงหลันตอบ 


 


 


ในใจของนางกำลังขุ่นเคืองที่มารดาไม่ได้รับความยุติธรรม แต่พอหันกลับมาคิดถึงฐานะของเยี่ยจ้าน…..ก็พอจะเข้าใจเขาอยู่บ้าง 


 


 


มิใช่ว่าเขาไม่รักมารดาเพียงพอ…. 


 


 


แต่ว่าภาระบนบ่ามากมายเกินไป 


 


 


ก็เหมือนกับที่จีเฉวียนเอ่ยปากบอกว่ารักนาง แต่ว่าก็ยังคงกระทำทุกอย่างเพื่อประชาชนของเขา พยายามใช้พลังอำนาจทุกอย่างเพื่อจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี 


 


 


บางครั้ง เรื่องบางอย่างก็ยากเกินไป 


 


 


“วันนั้น…นางได้รู้ฐานะที่แท้จริงของข้า….นางไม่ร้องไห้ไม่ตีโพยตีพาย เพียงแต่กลับไปยังห้องเล็กๆของตนเอง” 


 


 


“พอข้ารีบร้อนไปถึงก็เห็นนางเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว…….ทั้งยังควักดวงตาของตนเองออกมา” 


 


 


“นางบอกว่า นางดูคนผิดไป ดวงตาคู่นี้เก็บเอาไว้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จากนี้นางและข้าไม่ติดค้างต่อกันต่างคนต่างเดินทางของตน” 


 


 


พอคิดถึงตอนที่ดวงตาของนางกลิ้งลงมาอยู่ตรงหน้าตนเอง เยี่ยจ้านก็ยังรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง 


 


 


เป็นเพราะเขาหลอกลวงชิงชิง นางจึงได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา 


 


 


ตอนนั้น เขาถึงได้รู้ว่า ตนเองได้สูญเสียนางไปแล้ว 


 


 


เขาไม่อาจหาข้อแก้ตัวให้กับตนเอง……. 


 


 


“ข้าตู๋กูชิงชิง ชีวิตนี้จะไม่มีทางเป็นสตรีที่ทำลายครอบครัวของผู้อื่น เผิงอี้ ขอให้ท่านโชคดี ประสบความสุขตลอดชีวิต” 


 


 


เขายังคงจดจำคำพูดตอนจากลาของนางได้อยู่เสมอ 


 


 


ตอนนั้น เขาเองก็ไม่กล้ารั้งนางเอาไว้ ได้แต่ปล่อยให้นางจากไป 


 


 


กระทั่งตอนที่นางก้าวออกจากวังไปนั้น เขาจึงควักดวงตาของตนเองออกมา มอบให้กับนาง 


 


 


นางใช่คนที่ทำร้ายครอบครัวของผู้อื่นที่ไหนกัน….. 


 


 


ที่ที่มีนาง จึงจะเป็นบ้านของพวกเขาต่างหาก…. 


 


 


ตอนนั้น เขาคิดแต่เพียงว่า ขอให้สำเร็จภารกิจของเผ่ามังกรทมิฬแล้ว …..เขาก็ไม่ต้องการจะเป็นมังกรอีกต่อไป ขอเพียงแค่ได้กลับไปอยู่เป็นเพื่อนนางก็พอ 


 


 


ชาตินี้ หรือชาติหน้า…..ก็จะขอเคียงข้างนางทุกชาติไป 

 

 

 


ตอนที่ 437 มังกรแปลงร่างเป็นต้นไม้ เพ...

 

 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่า ทั้งหัวใจ ตับ ไต ไส้พุงของนางล้วนเจ็บปวดจนรวดร้าวไปหมด


 


 


นางยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งกดลงไปบนหัวใจของตนเอง ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้รู้สึกเจ็บปวดไปด้วยเช่นกัน


 


 


ดวงตาดอกท้อของนางมีน้ำตารื้อขึ้นมา


 


 


เจ็บปวดแทนมารดา


 


 


ที่ต้องมาอยู่เพียงคนเดียวตามลำพังในเผ่ามังกรทมิฬ มารดาคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลตู๋กู แต่พอเข้าใจว่าสามีของตนเองเป็นเพียงแค่มังกรเฝ้าคลังสมบัติตัวเล็ก นางก็ไม่ได้ตัดพ้อแต่อย่างใด


 


 


สุดท้ายแล้วถึงได้พบว่า….เขาก็คือราชามังกรของเผ่ามังกรทมิฬ ทั้งยังมีราชินีของตนเองอยู่แล้ว


 


 


นางเป็นเพียงคนสกปรกที่ไม่อาจได้เจอแสงสว่าง ถูกเขาซุกซ่อนเอาไว้


 


 


ที่ผ่านมานางยอมอดทนอยู่ในห้องแคบๆเล็กๆรอคอยเขากลับมา กลับเป็นได้เพียงพบหน้าเขาเช่นคนต่ำต้อยเท่านั้น


 


 


ความรักของพวกเขา พอนางมาถึงเผ่ามังกรทมิฬก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องไปเสียแล้ว


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น สุดท้ายแล้วกลับต้องมาพบว่าตนเองก็คือ ‘มือที่สาม’


 


 


เรื่องเช่นนี้หากว่าเปลี่ยนเป็นสตรีคนใดก็คงไม่อาจทนรับได้ทั้งนั้น


 


 


นิสัยเช่นมารดา จะยอมรับได้อย่างไร?


 


 


ดังนั้นนางจึงเลือกทางที่จะละทิ้งเขาไป


 


 


เพียงแต่ว่าต่อจากนั้น….


 


 


“นางไม่ต้องการดวงตาของข้า แม้แต่ตัวข้าก็ไม่ต้องการแล้ว” เยี่ยจ้านตอบเขาพิงร่างลงไปบนต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง


 


 


เขามังกรบนศีรษะ คล้ายจะยังมีรอยเลือดอยู่


 


 


ตลอดหลายปีมานี้ เขาเหมือนกับเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งให้เฝ้าอยู่ใต้หุบเขาไร้ก้น ผ่านวันเวลาที่มีแต่ความมืดมิด เหมือนกับนางที่ตอนนั้นต้องรอคอยอยู่แต่ในห้องเล็กๆแคบๆ


 


 


ตอนนั้น ทุกๆวันนางยังได้พบหน้าเขาครั้งหนึ่ง


 


 


แต่ว่าเขาอยู่ใต้หุบเขาไร้ก้นนี้นานถึงสิบสองปีแล้ว ก็ยังไม่ได้พบหน้าของนางแม้แต่ครั้งเดียว


 


 


“เป็นข้าที่ทำร้ายนาง….” เยี่ยจ้านยื่นมือขึ้นมา คว้ามือของตู๋กูซิงหลันวางลงไปบนหัวใจของตนเอง “เสี่ยวหลัน เจ้าคิดว่าข้าช่างใช้การไม่ได้ แม้แต่สตรีที่ตนเองรักก็ยังไม่อาจปกป้องได้ใช่หรือไม่?”


 


 


มือของตู๋กูซิงหลันสัมผัสได้ถึงถึงจังหวะหัวใจที่เต้นอยู่ของเขาได้อย่างชัดเจน


 


 


นางพูดไม่ออก หัวใจของนางเองก็กำลังเจ็บปวดอยู่เช่นกัน


 


 


แต่ว่านางมิใช่คนในเหตุการณ์ นางไม่มีสิทธิ์จะไปตัดสินว่าใครถูกใครผิด


 


 


นางเพียงแต่เอ่ยถามว่า “มารดาตายแล้ว….ตายได้อย่างไร?”


 


 


กับมารดานางเคยนึกหวังว่า อาจจะยังพอมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่สักเล็กน้อย …….


 


 


“เป็นฝีมือของหวาชางสุ่ย?” ต่อให้ตู๋กูซิงหลันใช้หัวแม่เท้าคิด ก็คาดเดาได้ …..ราชินีผู้นั้นไหนเลยจะยอมปล่อยมารดาไปง่ายๆ?


 


 


ตอนนี้นางคิดออกแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในวังมังกรทมิฬ อยู่ๆก็มีพายุพัดกระหน่ำขึ้นมา ……และสตรีที่อยู่เบื้องหลังพายุผู้นั้น


 


 


การโจมตีที่ดุดันและโหดเ**้ยมขึ้นเรื่อยๆนั้น เป็นเพราะว่านางมองมาเห็นตนเอง?


 


 


ถึงได้ต้องการกำจัดให้สิ้นซาก?


 


 


ผ่ามมาก็ตั้งนานหลายปีแล้ว แม้แต่ ‘เศษ’อย่างตนเอง นางก็ยังไม่ยอมปล่อย แล้วจะยอมปล่อยมารดาได้อย่างไร?


 


 


“ชิงชิงสูญเสียดวงตาไปแล้ว แต่ว่านางรักพวกเจ้า นางไม่ได้อยากจะคิดสั้น” เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นกำลังทยอยผุดขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจของเยี่ยจ้านเหมือนดั่งถูกกรีดด้วยมีดสั้นออกมาทีละชั้นอย่างเ**้ยมโหด


 


 


เส้นผมสีเงินของเขาพลิ้วไหว ภายใต้แสงสว่างจางๆของแมลงกินวิญญาณ จึงมองเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของเขาได้อย่างชัดเจน


 


 


ตอนนั้น…..ชิงชิงคิดจะไปจากก้นทะเลลึก กลับบ้านไปดูแลลูกๆ


 


 


แต่ยังไม่ทันได้ออกจากก้นทะเลไป ก็ถูกหวาชางสุ่ยจับกลับมา ทั้งยังบีบคั้นให้นางกระโดดลงไปใต้หุบเหวไร้ก้น


 


 


นางเป็นคนที่แข็งกระด้างมาตลอดอยู่แล้ว แล้วจะยอมละเว้นสตรีเช่นชิงชิงเอาไว้ได้อย่างไร?


 


 


ตอนนั้น ชิงชิงกำลังเกลียดชังเขาอย่างสุดขีด ….เขาได้แต่ส่งคนติดตามไปคุ้มครองนาง ส่วนตนเองก็เฝ้าดูอยู่ห่างๆ


 


 


เยี่ยจ้านเกิดมาพร้อมกับความพิการหูขวา ทั้งยังเป็นคนที่หลงทิศทางอยู่เสมอ พอสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างไป ประสาทสัมผัสในการจับทิศทางจึงยิ่งย่ำแย่


 


 


ดังนั้นตอนที่ชิงชิงเกิดเรื่องขึ้นมา เขาจึงไม่อาจไปปกป้องนางได้ทัน


 


 


นางเป็นเผ่ามนุษย์ กระโดดลงมาในหุบเหวไร้ก้น…..ตกลงมาย่อมมีแต่กระดูกหักร่างกายแหลกเหลว


 


 


ตอนนั้น เขาจึงคลุ้มคลั่งไปแล้ว


 


 


อะไรคือความรับผิดชอบของราชามังกร อะไรคือความสงบสุขของสองเผ่า แม้แต่คำมั่นสัญญาร่วมกับซื่อมั่วที่จะสร้างความสงบสุขให้ใต้หล้าล้วนถูกโยนทิ้งไปจากสมอง


 


 


เขาคลุ้มคลั่ง ทำเอาหวาชางสุ่ยเกือบตาย


 


 


เขาต้องการใช้นางชดใช้ชีวิตให้กับชิงชิง!


 


 


วันนั้น วังมังกรของเผ่ามังกรทมิฬถูกเขาทำลายจนย่อยยับ…..หากมิใช่เพราะว่าเยี่ยเฉินและเยี่ยอิงรีบกลับมาทัน หวาชางสุ่ยก็คงตายไปแล้ว


 


 


เยี่ยจ้านจะอย่างไรก็ยังคำนึงถึงความผูกพันเล็กน้อยทางสายเลือดของเด็กทั้งสอง


 


 


เขาทั้งโศกเศร้าและโกรธแค้น หลังจากทุบตีหวาชางสุ่ยจนปางตาย ก็พลิกร่างกระโดดลงมาในหุบเหวไร้ก้น คิดจะตายตามกันไป


 


 


หุบเหวไร้ก้น คือสนามรบในสงครามของสงครามมหาเทพยุคโบราณ ที่ฆ่าล้างกันอย่างนองเลือด มีแต่กลิ่นอายโลหิต หากตกลงมามีแต่ต้องตายเท่านั้น


 


 


แม้แต่วิญญาณก็ยังต้องสูญสลาย!


 


 


แต่เพราะว่าเขาคือราชามังกรทมิฬ หุบเหวไร้ก้นน่าหวาดกลัวเพียงไร ก็ยังไม่อาจจะเอาชีวิตของเขาได้


 


 


เขาตกลงมาก็ได้สามวันถึงได้ฟื้นขึ้นมา…..


 


 


พอฟื้นขึ้นมาก็ตามหานางในก้นหุบเหวอย่างบ้าคลั่ง


 


 


แต่ว่าสุดท้ายแล้ว เขาก็พบแต่รองเท้าปักของนางเพียงข้างเดียวเท่านั้น…..


 


 


ตอนที่พวกเขาแต่งงานด้วยกันในโลกมนุษย์ เขาไปที่ร้านปักผ้าด้วยตนเองขอให้ช่างปักสอนเขาทำ


 


 


นกเป็ดน้ำด้านบนถูกเขาปักกลายเป็นเป็ดบ้านๆคู่หนึ่ง แต่ว่านางกลับทะนุถนอมอยู่เสมอ สวมใส่อยู่ตลอดเวลา


 


 


ตอนนี้ เป็ดน้ำคู่เหลืออยู่เพียงตัวเดียว


 


 


เหมือนกับเขาที่ต้องอยู่เพียงลำพัง


 


 


ตู๋กูซิงหลันฟังเขาเล่าถึงเรื่องราวหนหลัง เอารองเท้าปักที่เหลือเพียงข้างเดียวออกมาจากในอกเสื้อ


 


 


รองเท้าปักสีแดงเข้ม ปักรูปเป็ดเล่นน้ำเอาไว้ตัวหนึ่ง ฝีเข็มหยาบๆ แต่ก็ดูออกว่าใช้ความตั้งใจ


 


 


รองเท้าข้างนั้นถูกลูบไล้เสียจนเป็นขุยแล้ว แสดงให้เห็นว่าตลอดหลายปีมานี้…..เยี่ยจ้านคงจะกอดเอาไว้ ลูบคลำอยู่ทุกวัน


 


 


นี่เป็นสิ่งเดียวที่มารดาเหลือเอาไว้ให้กับเขา


 


 


ส้นรองเท้าสึกไปมากแล้ว แสดงว่าตอนนั้นมารดาคงจะชอบใส่รองเท้าคู่นี้อยู่เสมอ…..


 


 


เยี่ยจ้านกอดรองเท้าข้างนั้นเอาไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่น ราวกับว่ามันคือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของเขา


 


 


“นางจะต้องกลับมา….ต่อให้เป็นพันปี หมื่นปี ข้าก็จะรอนาง”


 


 


เขาพึมพำกับตนเอง


 


 


หากว่าตอนนั้น….เขาไม่ห่วงเรื่องอื่นมากไป วางนางเอาไว้เป็นอันดับแรก เขาและนางก็คงจะไม่ต้องมามีจุดจบเช่นในวันนี้


 


 


สิบสองปีก่อน เขาสละพลังวิญญาณมังกรกว่าครึ่งในร่าง เพียงเพื่อเสาะหาจิตวิญญาณที่แหลกสลายของนาง


 


 


เพราะคนธรรมดาเมื่อตกลงมาในหุบเหวไร้ก้น ไม่เพียงแต่กระดูกหักแหลกละเอียด แม้แต่กระทั่งวิญญาณยังต้องแหลกลาญ ไม่อาจไปผุดไปเกิดใหม่ได้


 


 


ดังนั้นหลายปีมานี้ เขาจึงเฝ้าอยู่ที่ก้นหุบเหวแต่เพียงลำพัง เพื่อจะเสาะหาและรวบรวมเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณของนางเข้าด้วยกัน ต่อให้เป็นเพียงละอองเล็กๆก็ตาม สักวันหนึ่งจะเขาจะต้องรวบรวมได้จนครบ


 


 


ถึงตอนนี้…..ในที่สุด ในที่สุดก็สามารถรวบรวมได้กลุ่มหนึ่งแล้ว เขาจึงแปลงร่างมังกรของตนเป็นต้นไม้ เพื่อปกป้องจิตวิญญาณของนางที่เพียงแค่เป่าก็สลายได้เอาไว้ในต้นไม้มังกรอย่างทะนุถนอม


 


 


รอให้รวบรวมจิตวิญญาณของนางได้เป็นกลุ่มก้อน ถึงตอนนั้น….เขาจะไปวิงวอนต่อเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตนเอง….ก็จะต้องให้นางได้มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งให้ได้!


 


 


พวกเขามิใช้เฝ้าฝันอยากจะเอาชีวิตของราชามังกรทมิฬหรอกหรือ?


 


 


เอาไปสิ!


 


 


ขอเพียงสามารถแลกชิงชิงคืนมา ชีวิตของเขาจะนับเป็นอะไรได้?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)