หมอดูยอดอัจฉริยะ 432-436

 ตอนที่ 432 ผู้กล้าไร้นาม

โดย

Ink Stone_Fantasy

คนวัยหนุ่มสาวมักจะไม่ค่อยเห็นคุณค่าของกาลเวลา แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป กลับเพิ่งรู้ตัวว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นเหลือเกิน แม้หูหงเต๋อกับโก่วซินเจียจะอายุไล่เลี่ยกัน แต่ความเป็นมิตรครั้งเก่าก่อนตอนนี้นั้นมีค่าเหลือล้น


เยี่ยเทียนฟังบทสนทนาของทั้งคู่แล้วนึกย้อนตามบุคคลสูงวัยทั้งสองกลับคืนสู่อดีตอันหอมหวนอีกครั้ง เรื่องราวที่ไม่เคยเปิดเผยได้ถูกถ่ายทอดออกมา


“ท่านลุง อากาศหนาวเหน็บ ทำไมท่านจึงใส่เสื้อผ้าบางขนาดนี้?”


ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บกลางเดือนธันวาคม หูหงเต๋อสังเกตเห็นโก่วซินเจียสวมเพียงชุดนักพรตบางๆ ชั้นเดียว จึงรีบเดินไปหยิบผ้าคลุมไหล่ออกจากหีบยื่นให้ “ท่านลุง ผ้าคลุมไหล่นี้ตัดเย็บจากหนังจิ้งจอกแดง ท่านเอาไว้คลุมกันหนาวเถิด ถือซะว่าผมให้ท่านเป็นการแสดงความกตัญญู


“ดี ของชิ้นนี้ฉันรับไว้แล้วกัน ในปีนั้นน้องอวิ๋นเป้าล่าจิ้งจอกมาให้ฉันตัวหนึ่ง ไม่คิดว่าวันนี้จะตกมาอยู่ที่เธอ”


โก่วซินเจียพยักหน้ารับเอาผ้าคลุมไหล่นั้นมา ตอบกลับ “พ่อของเธอทำคุณงามความดีมาตลอดชีวิต เธอเองก็ดำรงตนเป็นผู้กล้า ถ้าหากตอนนั้น ท่านเจียง เฮ้อ ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว…”


โก่วซินเจียนึกถึงหูอวิ๋นเป้าผู้องอาจกล้าหาญไม่เกรงกลัวฟ้าดินในอดีตก็ได้แต่ทอนถอนใจ ตอนที่ประเทศชาติอับจน ประชาชนยากแค้นนั้น ยังมีวีรบุรุษผู้ไร้ชื่อเสียงอีกมาก


“ท่านลุง พ่อของผมเคารพท่านมาก ท่านพูดแบบนี้ ชีวิตของพ่อผมทั้งชีวิตถือว่าคุ้มแล้ว!”


หูหงจวินเช็ดน้ำตา ยกเอาถ้วยชาบนโต๊ะหินขึ้นจิบ พอน้ำชาเข้าปากทำเสียง “จุ๊จุ๊” แล้วเอ่ยต่อ “ท่านลุง วันนี้ต้องดื่มเหล้าสิ ผมอยากจะขอคารวะท่านสักแก้ว!”


“ได้สิ เรามาดื่มด้วยกันหน่อย” โก่วซินเจียเห็นด้วย มองไปที่เยี่ยเทียนแล้วยิ้ม “ศิษย์น้องเล็ก ถ้างั้นรบกวนหน่อย ช่วยเตรียมทั้งสุราอาหารอย่างดีให้ด้วย?”


“ครับ พวกศิษย์พี่คุยกันไปก่อน เดี๋ยวสุรากับแกล้มจะตามมา”


เยี่ยเทียนรับปาก ชายทั้งสองจากกันมาห้าสิบกว่าปี คงมีเรื่องราวมากมายที่จะเล่าสู่กัน เยี่ยเทียนขอตัวออกมา พร้อมกับนำเอาหีบสองใบย้ายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง


“พ่อ ผมกลับมาแล้ว!”


เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาพ่อของเขา วันนี้เขายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก เรื่องสุราอาหารที่รับปากไว้ต้องไหว้วานให้ผู้ใหญ่ที่บ้านช่วยจัดหาให้


“เจ้าเด็กบ้า เห็นบ้านเราเป็นโรงแรมรึยังไง? ยังรู้จักกลับมาอีกนะ?” พอได้ยินเสียงลูกชายดังมาตามสาย เยี่ยตงผิงโกรธขึ้นมา ช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่กลับหาตัวเยี่ยเทียนไม่พบ


“พ่อ ผมยุ่งมากจริง ๆ ก็กลับมาแล้วไงล่ะ?”


เยี่ยเทียนยิ้มตาหยีออดอ้อน “ใช่แล้ว พ่อ ที่บ้านมีแขกมา เหล้าเหมาไถที่พ่อซ่อนไว้น่ะเอาออกมาเถอะ แล้วให้      เซี่ยวเทียนไปซื้ออาหารดีๆ มาด้วยนะ ต้องของดีหน่อยนะ”


เยี่ยตงผิงพอได้ยินว่ามีแขกมาก็พยักหน้ารับ ตอบว่า “ได้ ฉันจะให้เซี่ยวเทียนไปจัดการให้ ใช่แล้ว ยังมีเรื่องที่ฉันต้องบอกแก”


“พ่อ เรื่องอะไรค่อยว่ากันทีหลัง ไม่อย่างนั้นพ่อกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็มาหาผม ตอนนี้ผมมีเรื่องต้องทำ!”


“ปึก” เยี่ยเทียนตัดสายทิ้งทันที ทำเอาเยี่ยตงผิงโมโหถลึงตาใส่โทรศัพท์ ไม่รู้จะทำยังไงกับลูกชายตัวแสบคนนี้ดี ท่าทีลูกชายที่ไม่ค่อยจะใส่ใจเขานั้นเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว


เยี่ยเทียนมีธุระจริง แม้อากาศหนาวเย็น แต่สิ่งของในหีบสองใบนี้ เก็บไว้นานไม่ได้ ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย


เยี่ยเทียนเปิดหีบออก นำเอาหนังเสือแผ่นใหญ่ที่สมบูรณ์ทั้งตัวออกมาวางพาดบนเก้าอี้ จากนั้นยกออกไปข้างนอก หักกิ่งไม้ออกสองสามกิ่งนำหนังเสือขึ้นขึงแขวนตากลมไว้


ตอนที่อยู่ภูเขาฉางไป๋ซาน หูหงเต๋อได้ใช้ตำรับยาสูตรลับฟอกหนังไว้ดีแล้ว หนังเสือที่ถูกฟอกเสร็จเส้นขนบนแผ่นหนังจะเงางาม แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ยังต้องตากในที่ลมโกรกผ่านต่ออีก


เมื่อตากหนังเสือเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนนำเอากล่องพลาสติกที่ใส่ไขมันกบภูเขาออกมาอีกหลายอัน สำหรับผู้หญิงแล้วคุณค่าไขมันกบภูเขาพวกนี้ ดีกว่าโสมร้อยปีเสียอีก ดังนั้นต้องเก็บรักษาอย่างดี


วิธีการเก็บรักษาไขมันกบภูเขานั้นง่ายกว่าการเก็บโสมมาก แค่ไว้ในตู้เย็นก็พอแล้ว หาฟิล์มถนอมอาหารมาห่อหุ้มกล่องไว้อีกชั้นแล้วเยี่ยเทียนก็ยัดกล่องนั้นเข้าไปในตู้เย็น


สุดท้ายเขาหันมาจัดการกับโสมร้อยปี รอบเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนมีพลังชีวิตอันอุดม ไม่มีแมลงรบกวน จึงไม่ต้องกลัวว่าโสมจะโดนแมลงเจาะ เยี่ยเทียนนำเอาโสมใส่เข้าไปในตู้นิรภัย


“อาจารย์ อาจารย์ กลับมาแล้ว!” เยี่ยเทียนเพิ่งจะเก็บของเสร็จ เสียงของโจวเซี่ยวเทียนดังมาจากประตูหน้าบ้าน


“เซี่ยวเทียน พ่อของฉันให้นายมาใช่ไหม? สุราอาหารจัดการเรียบร้อยหรือยัง?”


เยี่ยเทียนดันประตูเปิดออกไป ยิ้มร่าทุบอกโจวเซี่ยวเทียนทีหนึ่ง “ช่วงนี้วิชากังฟูไม่ได้ถดถอยลงใช่ไหม? อีกหน่อยจะได้ประลองวิชากับตาแก่ที่อยู่เรือนกลางนั่นสักหน่อยเป็นไง?”


เยี่ยเทียนไม่ได้เรียนวิชาป้องกันตัวอะไรมากมาย ยิ่งสิ่งที่สอนให้โจวเสี่ยวเทียนได้ยิ่งน้อยนิดอย่างน่าสงสาร แต่วิชากรงเล็บอินทรีย์ของหูหงเต๋อนั้นเป็นระดับปรมาจารย์ ถ้าได้ต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้กันคงจะมีข้อดีไม่น้อย


โจวเซี่ยวเทียนถามอย่างฉงนใจว่า “อาจารย์ ตาแก่นั่นเป็นใครหรือครับ? สายตาช่างดูแหลมคมนัก!”


แม้หูหงเต๋อจะอายุมากแล้ว แต่จิตสังหารนั้นแข็งแกร่งกว่าตอนยังหนุ่มมากเขากับโจวเซี่ยวเทียนต่างซ่อนเร้นวิชาขั้นสูง ด้วยบุคลิกท่าทางที่แสดงออกนั้น หูหงเต๋อแข็งแกร่งกว่าโจวเซี่ยวเทียนหลายขุม


“เขาเป็นปรมาจารย์วิชากรงเล็บอินทรีย์แห่งเขาฉางไป๋ซาน อืม เป็นศิษย์รุ่นเดียวกับนาย เรียกเขาว่าศิษย์พี่แล้วกัน” เยี่ยเทียนโบกมือไปมา กล่าวต่อว่า “ไป ฉันจะพานายไปรู้จักกับเขา!”


“เยี่ยเทียน มาสิ ฉันเหล่าหูขอคารวะเธอจอกหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอหาท่านลุงพบ ชาตินี้ฉันคงไม่มีหวังจะได้พบท่านลุงอีก!”


ตอนนี้หูหงเต๋อกับโก่วซินเจียวางชามกับตะเกียบลง ดื่มสุรากันอยู่ เห็นเยี่ยเทียนกับลูกศิษย์เดินเข้า หูหงเต๋อรีบลุกขึ้นยืน รินสุราจนเต็มถ้วย


“เหล่าหู มิตรสหายของท่านมีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ถ้าตั้งใจดี ก็จะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านไปอีกนาน”


“เยี่ยเทียนพยักหน้า รับถ้วยเหล้ามาจากหูหงเต๋อกระดกเข้าปากรวดเดียวหมด แล้วดึงโจวเซี่ยวเทียนเข้าไปพูดว่า “เหล่าหู เซี่ยวเทียนเป็นลูกศิษย์ของผม นับว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับคุณ ถ้าหากมีเวลาช่วยสั่งสอนชี้แนะเขาด้วย!”


“ได้สิ เหล่าหูจะสอนศิษย์น้องอย่างไม่ปิดบังเลย!”


ฟังเยี่ยเทียนพูดจบ หูหงเต๋อที่หน้าเปื้อนยิ้มอยู่ก็เงียบขรึมขึ้นทันใด การพูดคุยหยอกล้อทั่วไปนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเยี่ยเทียนนับลำดับขั้นศิษย์แล้ว หูหงเต๋อนั่งยืดหลังตรงทันที


“เอาเถอะ เซี่ยวเทียนเป็นเด็กดี เต๋อหวาจึ เธอตั้งใจให้มาก อย่าให้เคล็ดวิชากรงเล็บอินทรีย์แห่งเขาฉางไป๋ซานต้องมาจบลงที่เธอล่ะ”


โก่วซินเจียสัมผัสได้ว่าบรรยากาศเริ่มอึมครึม ก็หัวเราะแล้วพูดขึ้น “วันนี้เรามาคุยเรื่องเก่ากันดีกว่า เธอสองคนนั่งลงสิ ฉันจะเล่าให้ฟังตอนที่ไปฆ่าทหารญี่ปุ่นที่ตงเป่ยให้ฟัง!”


อาจเป็นเพราะระบบการปกครองที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้โก่วซินเจียไม่ค่อยเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตของตนให้เยี่ยเทียนฟังมากนัก วันนี้เมื่อได้พบกับบุตรชายของสหายเก่าก็อดพูดถึงเรื่องราวครั้งก่อนไม่ได้


ตอนที่จีนอยู่ในยุคต่อต้านญี่ปุ่นนั้น สำนักต่างๆ ในยุทธภพจีนกับสำนักดาบหลายแห่งของญี่ปุ่นเกิดการต่อสู้กันไม่หยุดหย่อน แต่กลายเป็นความลับที่ถูกปิดบัง ในตำราประวัติศาสตร์ไม่เคยได้บันทึกไว้


ตอนนั้นโก่วซินเจียเป็นผู้นำเหล่าสำนักวิชาในประเทศจีน เล่าออกมาแล้วทำให้ผู้ที่ตั้งใจฟังอยู่รวมถึงหูหงเต๋อรู้สึกคึกคะนองตาม


เยี่ยเทียนเพิ่งจะได้รู้ว่า คนญี่ปุ่นที่ตายด้วยน้ำมือของศิษย์พี่ใหญ่ เป็นแม่ทัพตำแหน่งใหญ่ถึงแปดนายยังมีนายกอง ชั้นรองลงมาอีกหลายสิบคน


ฮ่องเต้แมนจูองค์สุดท้ายกลับเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ยอมให้โจรญี่ปุ่นย้อนกลับมาทำร้ายชาติของตัวเอง อีกทั้งสตรีสายลับญี่ปุ่นที่มีส่วนร่วมทั้งในเหตุการณ์รุกรานแมนจูเรียและเหตุการณ์วางระเบิดที่สถานีหวงกูตุนนั้นสุดท้ายแล้วถูกโก่วซินเจียฆ่าทิ้งด้วยฝีมือเขาเอง


“ท่านลุง ผู้หญิงคนนั้นสุดท้ายแล้วตายไหม?”


นี่เป็นครั้งแรกที่หูหงเต๋อทราบเรื่อง ดวงตาเป็นประกายลุกวาวขึ้น คนตงเป่ยเกลียดผู้หญิงคนนั้นแบบเข้ากระดูกดำ ยุคประเทศแมนจูเรียที่เกณฑ์ประชาชนจากภาคตะวันออกสามมณฑลไปเป็นข้าทาสล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเธอคนนั้นโดยตรง


ในดินแดนตงเป่ย มีเรื่องเล่าของ “ชวนต่าวฟางจื่อ” มากมาย อีกทั้งยังมีคนเล่าว่าเธอมีชีวิตรอดอาศัยหลบซ่อนอยู่ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งในตงเป่ย จนยุคปี 70 จึงจากโลกนี้ไป ดังนั้นหูหงเต๋อจึงอดถามไม่ได้


“ตายแล้ว โอดครวญทุรนทุรายอยูสามวันสามคืนถึงจะตาย ลากออกไปยิงทิ้งน่ะสิ แต่ก็เป็นแค่ศพๆ หนึ่ง” พอพูดถึงสตรีนางนั้นโก่วซินเจียมีแววโหดเหี้ยมปรากฎบนในหน้า


เพื่อการจับกุมผู้หญิงคนนั้น โก่วซินเจียใช้เล่ห์กลสารพัด สุดท้ายได้รับคำสั่งจากเบื้องบนลงมาให้เขาใช้วิชาอาคมเสกให้พลังพิฆาตเข้าตัวของเธอจนตาย


“ศิษย์พี่ พี่ยังเก็บความลับไว้อีกเท่าไหร่? เรื่องนี้ถ้าศิษย์พี่ไม่เล่าให้ฟัง คงจะเป็นคดีปริศนาของโลกต่อไป!”


เยี่ยเทียนได้ฟังแล้วยังทึ่ง พวกเขาคิดไม่ถึงว่า โก่วซินเจียจะเก็บความลับที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เอาไว้


เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงทำให้ในใจของเยี่ยเทียนและคนอื่นรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับว่าตนได้เดินทางย้อนเวลาท่องอดีตไปด้วยตัวเอง


“ประวัติศาสตร์นั้นถูกเขียนด้วยมือของผู้ชนะ หวังว่าคนรุ่นหลังจะไม่ลืมสิ่งที่บรรพบุรุษได้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อแลกมา” โก่วซินเจียระลึกถึงเรื่องราวครั้งหลังจากยุคสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ก็รู้สึกอเน็จอนาจใจขึ้นมาจึงไม่เล่าต่อ


“เยี่ยเทียน แกเมาแล้วเหรอ? ฉันซื้อเป็ดจากร้านฉวนจี๋เต๋อมาอีกตัว มา เพิ่มกับแกล้มอีกสักอย่าง!” ขณะที่ทุกคนกำลังดื่มไปคุยไปนั้น เยี่ยตงผิงก็เดินเข้ามา ในมือถือเอาห่ออาหารมาด้วยวางลงบนโต๊ะหิน


“พ่อ นี่เป็นเพื่อนของผมมาจากภูเขาฉางไป๋ซาน พ่อเรียกว่าเหล่าหูก็ได้!” เยี่ยเทียนลากพ่อให้มาทำความรู้จักกับหูหงเต๋อ เพราะลูกชายทำให้สถานะของเยี่ยตงผิงสูงขึ้นหลายเท่า จึงเป็นความเคยชินไปแล้ว


เยี่ยตงผิงหลังจากดื่มเหล้าชนจอกกับหูหงเต๋อไปหลายจอกแล้ว ก็ลากบุตรชายออกมา ทั้งสองเดินไปที่ศาลาพักที่เรือนกลาง


เยี่ยเทียนพูดกับพ่ออย่างหงุดหงิดว่า “พ่อ ผมต้องอยู่เป็นเพื่อนแขกนะ มีเรื่องอะไรถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้? ลูกชายพ่อน่ะไม่มีเรื่องต้องให้ปิดบังนะ!”


“แม่แกน่ะ มาที่ปักกิ่งแล้ว!”


เยี่ยตงผิงจ้องหน้าบุตรชายแล้วตอบด้วยเสียงเรียบ แต่สำหรับเยี่ยเทียนแล้วเปรียบเหมือนดังท้องฟ้าที่สดใสกำลังมาเยือน!


ตอนที่ 433 ดีใจเสียเปล่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตั้งแต่เด็กเยี่ยเทียนอาศัยอยู่กับบิดาที่คอยเลี้ยงดู พึ่งพาอาศัยตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกัน คำว่าแม่สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่ค่อยได้ปรากฏในชีวิตบ่อยนัก คล้ายกับว่าการดำรงอยู่ของแม่นั้นไม่ได้มีผลกับเยี่ยเทียนสักเท่าไหร่


แต่ไม่มีใครรู้ว่า เยี่ยเทียนตอนเด็กเวลามีเรื่องชกต่อยกันก็เพราะถูกเด็กคนอื่นล้อเลียนลบหลู่แม่ของเขา ดังนั้นความรู้สึกของคำว่าแม่ต่อเยี่ยเทียนนั้นช่างแปลกใหม่มาก


แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปตามอายุที่มากขึ้น เค้าโครงของแม่ในความทรงจำของเยี่ยเทียนค่อยๆ เลือนรางลง จนนึกไม่ออกแล้ว


เยี่ยเทียนเชื่อมาตลอดเวลาเขาหากได้เผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้ เขาคงไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่เมื่อได้ยินเยี่ยตงผิงพูดถึงแม่ของเขา ในใจกลับหวั่นไหวเหมือนถูกคลื่นใหญ่ถาโถมไม่อาจสงบลงได้โดยง่าย


เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามระงับความรู้สึกตัวเอง ถามผู้เป็นพ่อว่า “พ่อ เธออยู่ที่ไหน ผม…ผมอยากไปพบเธอหน่อย!”


เยี่ยเทียนไม่เคยเรียกคำว่า “แม่” ออกมาจากปากเลยตั้งแต่เกิดมา ตอนนี้จะให้เรียก สีหน้ากลับบ่งบอกว่าราวกับกล่าวถึงบุคคลที่สามที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด


เยี่ยตงผิงเหลือบมองลูกชาย สั่นหัวแล้วพูดต่อ “กลับไปแล้ว กลับไปอเมริกาเมื่อสามวันก่อน”


“อะไรนะ? ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?!” ความรู้สึกที่เก็บกดอยู่ภายในแปรเปลี่ยนเป็นโทสะ “พ่อ ทำไมพ่อไม่โทรบอกผมเล่า? ทำไม?!”


เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนเพิ่งนั่งรถดิ่งลงมาจากเขา เพิ่งจะได้ข่าวมารดาเป็นครั้งแรก ในครู่เดียวทุกอย่างกลับว่างเปล่า เขาจึงรู้สึกโหวงเหวงใจมากทีเดียว


เสียงตะโกนของเยี่ยเทียนทำให้คนอื่นที่ดื่มสุรากันอยู่หันมามอง โก่วซินเจียตะโกนถามมาว่า “ศิษย์น้องเล็ก ต้องหัดควบคุมความโกรธนะ!”


“จีจี…จีจี!”


เจ้าเหมาโถวอย่างกับสัมผัสได้ว่าเยี่ยเทียนกำลังโกรธวิ่งขึ้นมาจากสระน้ำปีนขึ้นไปพันบนไหล่เยี่ยเทียน ทำเอาหัวไหล่ของเขาเปียกโชก แต่หยกสีดำที่มันกอดไว้หล่นหายไป


หยดน้ำเย็นที่กระเซ็นโดนใบหน้าทำให้เยี่ยเทียนใจเย็นลง ตะโกนตอบกลับไปว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ผมรู้แล้ว”


“พ่อ ผมอยากได้คำอธิบาย” เยี่ยเทียนหันกลับไปเผชิญหน้ากับบิดา ความรุ่มร้อนในใจผ่อนคลายลง


ข่าวการมาปักกิ่งของแม่ทำให้เยี่ยเทียนทั้งตื่นเต้นทั้งเครียดกดดัน เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะเผชิญหน้ากับแม่ที่ไม่เคยรู้จักของตัวเองอย่างไรดี เขารู้สึกตกประหม่ามากกว่าดีใจ


แต่พอพ่อบอกว่าแม่กลับไปแล้ว เยี่ยเทียนโกรธมาก แต่ผ่อนคลายลงเช่นกัน เขาเองก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่


“เจ้าเด็กบ้า ทำไมแกถึงสอบสวนฉันอย่างนี้?”


เยี่ยตงผิงได้ยินคำว่าต้องการคำอธิบายจากบุตรชายแล้วโกรธขึ้นมา ดุด่าต่อว่า “ฉันโทรหาแกแล้ว โทรศัพท์แกโทรไม่ติด โทรหาชิงหย่า เขาก็บอกว่าแกอยู่ที่เขาฉางไป๋ซาน ติดต่อแกไม่ได้เหมือนกัน แล้วจะให้ฉันทำยังไง?”


เพราะการเดินทางกลับมาของซ่งเวยหลันครั้งนี้ค่อนข้างฉุกละหุก ได้บอกเยี่ยตงผิงล่วงหน้าเพียงวันเดียว ตอนนั้นเขาก็ตามหาตัวเยี่ยเทียนแทบพลิกแผ่นดิน แต่ไม่สามารถติดต่อเยี่ยเทียนได้เลย


ตอนหลังโทรศัพท์ติดต่ออวี๋ชิงหย่าจึงได้ทราบว่าเยี่ยเทียนอยู่ในป่าหุบเขาลึก เยี่ยตงผิงไม่ได้บอกให้ชิงหย่ารับรู้ เพราะถึงอย่างไรเธอยังไม่ได้แต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้


“ผม…เฮ้อ ผมผิดเอง”


เยี่ยเทียนคำนวณดู วันที่แม่กลับมาน่าจะตรงกับวันที่เขาขึ้นเขาฉางไป๋ซานพอดี ช่วงนั้นเขาอาศัยอยู่ในป่าลึก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เข้าถึง


แม่อยู่ในประเทศจีนแค่สัปดาห์เดียว เขาเองก็อยู่บนเขาตลอดช่วงเวลานั้นเช่นกัน เพราะความผิดพลาด ทำให้เสียโอกาสที่เขาจะได้พบแม่


เยี่ยเทียนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วถามต่อว่า “พ่อ เขา…เขากลับมาทำอะไรเหรอ? แล้วจะมาอีกเมื่อไหร่?”


“มาพบกับซ่งเฮ่าเทียน ส่วนรายละเอียดน่ะฉันไม่รู้ ฉันได้เจอเขาแค่แป๊บเดียวเอง….”


เยี่ยตงผิงไม่ได้รู้สึกดีกับพ่อตานัก ปกติจึงเรียกแต่ชื่อจริง ตอนที่กล่าวถึงแม่ของเยี่ยเทียนนั้น สีหน้ากลับฉายแววอ่อนโยนที่หาได้ยาก


สภาพจิตใจของเยี่ยตงผิงก่อนที่จะได้พบกับซ่งเวยหลันนั้นไม่ต่างจากบุตรชายนัก ยังไงเวลาจะช่วยเยียวยาชะล้างหลายสิ่ง ยี่สิบกว่าปีที่ไม่ได้พบกัน เยี่ยตงผิงไม่รู้เลยว่าหญิงที่เคยเป็นภรรยาของเขานั้นยังจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งได้หรือไม่?


แต่เมื่อพบซ่งเวยหลันแล้ว เยี่ยตงผิงก็เข้าใจ ชีวิตนี้ทั้งชีวิตของเขาอยู่ต่อไปได้ก็เพราะผู้หญิงคนนี้ นอกจากเธอแล้ว จะไม่มีหญิงอื่นที่สามารถเข้ามาในชีวิตของเขาได้อีก


กาลเวลาไม่อาจลบล้างความรักของคนทั้งสองให้น้อยลง แม้สถานะทางสังคม ฐานะทางการเงินที่เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ตัดขาดความผูกพันของทั้งคู่


คืนนั้นเยี่ยตงผิงพูดคุยกับภรรยาถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องของลูกชาย เหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเจอมาในหลายปีนี้ ระยะห่างของกาลเวลาไม่อาจทำให้ความสนิทสนมรักใคร่น้อยลงเลย


เพียงแต่เยี่ยตงผิงยังผูกใจเจ็บกับบ้านตระกูลซ่ง เขาไม่ได้ซักไซ้ซ่งเวยหลันถึงธุระที่กลับมาประเทศจีน เธอขอให้เขาไปพบกับซ่งเฮ่าเทียนเขายังปฏิเสธเลย


เยี่ยตงผิงเล่าถึงการพบซ่งเวยหลันให้บุตรชายฟังจบ ก็ลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยออกมา “เยี่ยเทียน แม่แกก่อนจะกลับน่ะได้บอกไว้ว่า อยาก…อยากให้แกไปพบซ่งเฮ่าเทียนสักครั้ง ฉันไม่รู้ว่าแกจะคิดยังไง”


แม้จะไม่ถูกชะตากับพ่อตาอย่างรุนแรง แต่ตอนนี้ลูกชายของเขาโตเป็นหนุ่มแล้ว เยี่ยตงผิงไม่อยากให้ความแค้นที่มีมาตลอดชีวิตถูกถ่ายทอดไปสู่เยี่ยเทียนอีกคน อย่างน้อยฝ่ายนั้นก็เป็นตาของเยี่ยเทียน


“พ่อ ผมไม่อยากไปเจอตาแก่นั่น จะให้ผมไป?” เยี่ยเทียนฟังพ่อพูดจบก็ถลึงตาใส่ พ่อของเขาไม่ได้ถูกชะตากับบ้านซ่ง แล้วเขาต้องเห็นบ้านซ่งอยู่ในสายตาด้วยหรือ?”


ยังไม่นับคนที่ชื่อซ่งเซี่ยวหลงที่หวังปองร้ายเอาชีวิตเขาหลายครั้ง ทั้งทำให้เยี่ยเทียนไม่ได้รับความอบอุ่นจากแม่นานถึงยี่สิบกว่าปี เยี่ยเทียนจะยอมยกโทษให้ซ่งเฮ่าเทียนได้อย่างไร


แม้ว่าการทำลายฮวงจุ้ยเป็นกฎข้อห้ามของสำนัก แต่ถ้าไม่นึกถึงความรู้สึกของแม่เขาล่ะก็ ป่านนี้เยี่ยเทียนคงแอบไปที่เซี่ยงไฮ้ทำลายสุสานบรรพชนตระกูลซ่งหมดแล้ว


เยี่ยตงผิงส่ายหัว ตอบว่า “ฉันก็ไม่ได้บอกให้แกไปนี่ เรื่องนี้แกตัดสินใจเอาเอง ฉันแค่บอกตามคำของแม่แกเท่านั้น”


“ไม่พบ คนแบบนั้นไม่มีความเป็นคนเลย ผมไม่เคยคิดว่าซ่งเฮ่าเทียนเป็นตา เขาเองก็ไม่ได้เห็นผมเป็นลูกหลานเหมือนกัน อย่างนี้แล้วไม่พบเลยเสียยังจะดีกว่า!”


เยี่ยเทียนเป็นคนมีความคิดอ่านเป็นของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก อย่าว่าแต่เขาไม่รู้จักแม่ของตัวเองเลย แม้แต่ผู้เป็นบิดายังเปลี่ยนความคิดของเขาไม่ได้ เยี่ยเทียนแสดงออกชัดเจนว่าจะไม่ไป


เสียงของเยี่ยเทียนยังไม่ทันขาดคำ โก่วซินเจียอยู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “พูดได้ดี ไม่พบเลยยังจะดีเสียกว่า เยี่ยเทียน ถ้าวันหนึ่งแกเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ศิษย์พี่จะพาแกไปพบซ่งเฮ่าเทียนเอง!”


แม้ว่าเยี่ยตงผิงพ่อลูกจะพูดคุยกันด้วยเสียงไม่ดังนัก แต่ด้วยระยะใกล้แค่นี้ ด้วยการฝึกวิชาขั้นสูงของโก่วซินเจีย แม้แต่เสียงลมพัดกลีบดอกไม้ร่วงยังหนีไม่พ้นความไวของหูเขาได้ ถึงไม่อยากฟัง แต่ก็ไม่สามารถอุดหูไว้ได้


แต่นอกจากโก่วซินเจียแล้ว หูหงเต๋อและโจวเสี้ยวเทียนกลับไม่ได้ยินสิ่งที่พ่อลูกคุยกัน พอนักพรตเฒ่าอยู่ ๆ ก็พูดออกมาทันใด ทั้งคู่จึงได้แต่งุนงง


โก่วซินเจียเห็นท่าทางสงสัยของหูหงจวินและโจวเสี้ยวเทียนแล้วก็โบกมือ “พอได้ยินชื่อสหายเก่า ก็เลยพูดออกมาแค่นั้นเอง เราคุยกันต่อเถอะ เต๋อหวาจึ นายตอนนั้น….”


กำลังพูดถึงเรื่องอื่นแต่ในใจของโก่วซินเจียกลับนึกถึงชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียว สำหรับโก่วซินเจียแล้วซ่งเฮ่าเทียนไม่ใช่คนแปลกหน้าแต่อย่างใด เขาทั้งสองได้รู้จักกันมานานแล้ว


เมื่อได้ยินว่าซ่งเฮ่าเทียนเป็นตาของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียตกตะลึงจนอยากจะพบกับเขาด้วยตัวเอง อย่างน้อยมิตรสหายที่ยังเหลืออยู่บนโลกนี้ของเขาก็เหลือเพียงไม่กี่คนแล้ว


“ศิษย์พี่ หูของท่านช่างไวดีจริง? ได้ งั้นเราไปคุยกันต่อที่เรือนด้านหลัง ผมเองก็มีของที่จะฝากไปให้พวกอาหญิงด้วย”


พอถูกโก่วซิจนเจียขัดเข้า เยี่ยเทียนหัวเราะร่าออกมา ตะโกนสั่งเสียงดัง “เซี่ยวเทียน ไปเป็นเพื่อนเหล่าหูหน่อย วันนี้เขาดื่มจนเมาแล้ว!”


โจวเซี่ยวเทียนหัวเราะตอบ “อาจารย์ วางใจเถอะ ผมเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ ศิษย์พี่หูจะสู้ผมได้เหรอ?”


“เด็กบ้า ฉันเหล่าหูแห่งเขาฉางไป๋คอแข็งไร้เทียมทาน นายจะดื่มแข่งกับฉัน ยังถือว่าอ่อนไป!” หูหงจวินไม่ได้ถือตัวมาก ดื่มเหล้าไปได้ครึ่งหนึ่งก็เรียกโจวเซี่ยวเทียนเป็นพี่น้องแล้ว


“พ่อ เราไปที่เรือนด้านหลังกันเถอะ” เยี่ยเทียนยิ้มแล้วอุ้มเจ้าเหมาโถวขึ้นมา กล่าวต่อว่า “ไปเล่นเองเถอะ ของสิ่งนั้นอย่าทำหายเสียล่ะ!”


วางหยกดำไว้ให้เหมาโถวแล้วเยี่ยเทียนไม่ได้กังวลใจนัก ในโลกนี้ถ้าจะมีใครมาแย่งของจากเจ้าเหมาโถวได้นั้นคงจะไม่มี แม้แต่ตัวเขาเองยังทำไม่ได้เลย


“จีจี!”


เหมาโถวร้องรับเสียงแหลม ใช้กรงเล็บชี้ไปที่สระน้ำ เยี่ยเทียนก้มลงมองตามแล้วก็อึ้งไป เจ้าตัวแสบโยนหยกดำลงไปในสระเสียแล้ว


จากสระน้ำบ่อตื้นที่น้ำใสสะอาด ตอนนี้กลับเปลี่ยนสีไป แม้ถึงจะไม่ดำเป็นน้ำคลำ แต่ก็เหมือนกับน้ำล้างสีพู่กันไม่ปาน แม้แต่ปลาที่ว่ายไปมาในสระก็มองเห็นไม่ถนัดแล้ว


อีกทั้งสระน้ำนั้นยังให้ความชุ่มช่ำแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ ผสมปนเปกับพลังจักรวาลมงคลแล้วยังความสมบูรณ์ให้เกิดขึ้น ทำให้ในตัวเรือนนั้นมีพลังจิตวิญญาณมงคลยิ่งเพิ่มพูล


“ทีหลังกลับไปต้องถามมังกรดำในน้ำว่าที่ก้นสระมีก้อนหินแบบนี้อีกเท่าไหร่?”


เยี่ยเทียนเห็นสีดำดังเกล็ดมังกรของสระน้ำแล้วคิดตรึกตรองขึ้นมา ถ้าหากหาหินสีดำแบบนี้มาอีกสี่ห้าก้อน ต่อไปหากพลังมังกรจากพระราชวังต้องห้ามถูกดูดกลืนจนหมดสิ้นแล้ว เขายังสามารถใช้สระน้ำนี้เป็นเนตรค่ายกลเพื่อตั้งค่ายกลใหม่ได้อีก


“เยี่ยเทียน นี่…นี่คืออะไร?”


เยี่ยตงผิงเดินเข้ามาที่เรือนด้านหลังแล้วถามเยี่ยเทียนถึงหนังเสือที่ถูกขึงแขวนอยู่หน้าประตู ทำเอาเยี่ยตกผิงตกอกตกใจ


“พ่อ นั่นเป็นหนังเสือ เดี๋ยวพอฟอกเสร็จแล้วผมค่อยเอามายึดตรึงกับเก้าอี้ วางไว้ในห้องรับแขก เรือนสี่ประสานของผมก็กลายเป็นห้องประชุมได้แล้ว!”


เยี่ยเทียนพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย พลางลากพ่อของเขาที่ดูอกสั่นขวัญหายเข้าไปในห้อง แม้ตอนแรกจะดีใจที่แม่ของเขามาถึงที่ปักกิ่งนี่ แต่เขายังอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้



ตอนที่ 434 พ่อลูกเปิดใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เรือนสี่ประสานที่ถนนว่านโส้วนั้นมีทิวทัศน์รื่นรมย์หรูหรา มีชายชราผมขาวกำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่ ด้านหลังมีหมอผู้ดูแลสุขภาพยืนรอให้เรียกใช้อยู่หลายคน


หมอคนหนึ่งในนั้นมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วเดินเข้าไปที่ข้างตัวของชายชรา เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านผู้นำครับ นี่ก็ดึกแล้ว ข้างนอกอากาศเย็น เข้าไปในห้องเถอะครับ”


ชายชราโบกมือโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ตอบว่า “ไม่ไป ตอนที่ฉันอยู่ในตำแหน่งก็ควบคุมฉัน ตอนนี้ไม่อยู่ในตำแหน่งแล้ว ยังจะไม่ให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันอยากทำอีกหรือ?”


ฟังจบบรรดาหมอทั้งหลายมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะทำอย่างไร ต่างเดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน เอาเสื้อคลุมตัวใหญ่มาคลุมตัวชายชรา


ตอนนั้นเอง มีเสียงเปิดประตูเข้ามา นายทหารยามที่ดูแลรักษาความปลอดภัยของชายชราเดินเข้ามาใกล้ เบื้องหลังเดินตามมาด้วยชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับชายชรามาก


หมอคนที่กล่าวเตือนชายชราเมื่อครู่เห็นผู้ที่เพิ่งมาถึงแล้วก็ดีใจ รีบเดินออกไปต้อนรับ กระซิบเสียงค่อยว่า “คุณซ่ง ช่วยพูดกับท่านผู้นำหน่อย ท่านอยู่ข้างนอกนานแล้ว ไม่ดีต่อสุขภาพท่านเลย!”


“เสี่ยวหวัง ฟ้องฉันอีกแล้วนะ? พวกนายนี่ยุ่งเรื่องฉันน้อยหน่อยไม่ได้หรือไง?”


แม้อายุเกินเจ็ดสิบแล้ว แต่หูตายังว่องไวเหมือนหนุ่มๆ ชายชราเงยหน้ามองผู้ที่มาถึง แล้วโยนหมากในมือลง รำพึงออกมา “ไม่เล่นแล้ว จิตใจไม่สงบ เดินหมากไม่ได้ เล่นต่อก็คงไม่มีความหมาย!”


ผู้ที่มาถึงเดินเข้าไปประคองชายชราให้ลุกขึ้น หัวเราะในคอตอบว่า “พ่อ หัวหน้าหวังเขาเป็นห่วงสุขภาพพ่อ พ่อก็ต้องให้ความร่วมมือหน่อย”


ชายชราคนนี้คือซ่งเฮ่าเทียน เมื่อสองเดือนก่อนเขาเพิ่งปลดเกษียณจากตำแหน่งผู้นำประเทศ แม้ตัวเขาจะเป็นคนเซี่ยงไฮ้ แต่อาศัยในปักกิ่งมานานแล้ว กลับไม่อยากย้ายจากที่นี่ไป


อีกทั้งเขาอวี้ฉวนกับเขาซีซานนั้นอยู่ไกล คนสูงวัยไม่ชอบนัก เลือกไปเลือกมา สุดท้ายแล้วก็เลือกมาอยู่ที่ถนนว่านโส้วแห่งนี้ ที่นี่แม้จะอยู่ใจกลางเมืองที่พลุกพล่านวุ่นวายแต่มีความสงบเงียบอยู่ ทั้งยังทำให้ชีวิตไม่ขาดสีสัน ชายชราจึงชอบที่นี่มาก


ข้างเรือนสี่ประสานแห่งนี้ เคยเป็นวังเก่าของฮ่องเต้ไท่จู่ ถัดออกไปอีกไม่ไกลเป็นบ้านพักของภรรยาม่ายของอดีตผู้นำคนก่อน


ดังนั้นการวางระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่จึงค่อนข้างสะดวก ส่วนกลางได้พิจารณาคำขอของซ่งเฮ่าเทียนแล้วก็ตกลงมอบเรือนหลังใหญ่ในเขตนี้ให้เขาเป็นที่พักพิงหลังเกษียณ


“สุขภาพของฉันยังแข็งแรงดี ยังอยู่ได้อีกสิบปีไม่มีปัญหา!”


แม้จะเป็นคนปากแข็ง แต่ซ่งเฮ่าเทียนเพิ่งจะลงจากตำแหน่งได้สองเดือน สีหน้ากลับดูแก่ชราลงมาก ผมสีขาวดอกเลาท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดดูจะชัดเจนขึ้น


“พ่อ ร่างกายของพ่อน่ะ อยู่ต่ออีกยี่สิบปียิ่งไม่มีปัญหา”


บุตรชายคนโตของซ่งเฮ่าเทียนซ่งจือเจี้ยน อายุอานามก็เกือบห้าสิบแล้ว เพราะดูแลรักษาสุขภาพเป็นอย่างดีจึงทำให้ดูไม่เหมือนคนวัยใกล้ห้าสิบเลย


ซ่งจือเจี้ยนคนนี้ ความสามารถไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้เป็นพ่อเลย


อิทธิพลของตระกูลซ่งในยุคหลังมานี้ส่งผลต่อประเทศมาก ตั้งแต่หลังการปฏิวัติวัฒนธรรม สมบัติของตระกูลซ่งก็ถูกรัฐบาลเข้าครอบครอง แต่อิทธิพลของตระกูลก็ยังคงเฟื่องฟู การใช้ชีวิตยิ่งหรูหราฟุ่มเฟือยมากกว่าเดิม


ซ่งจือเจี้ยนที่เกิดในตระกูลเศรษฐี ตอนเป็นวัยรุ่นนั้นมีนิสัยโอ้อวด ตอนอายุสิบหกสิบเจ็ดช่วงนั้นมักจะขับรถออดี้สีแดงไปทั่วเมืองเซี่ยงไฮ้ จนถูกขนานนามว่าคุณชายลูกผู้ดี


แต่พอถึงยุคปี 60-70 ตระกูลซ่งกลับถูกทำร้ายอย่างสาหัส ซ่งจือเจี้ยนถูกส่งตัวไปเข้ารับ “การอบรมแรงงาน” ที่เมืองเสฉวน กว่าจะจบการอบรมอายุก็ปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว ซ่งจือเจี้ยนจึงได้กลับมาที่เกาะฮ่องกงด้วยตัวเปล่า


ก่อนการปฏิวัติวัฒนธรรม สมาชิกตระกูลซ่งหลายคนลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ในฮ่องกงก็มีลูกหลานตระกูลซ่งอาศัยอยู่ไม่น้อย ตอนนั้นเองซ่งจือเจี้ยนจึงเข้าไปทำงานในบริษัทของพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง ทำอยู่สามปีก็ได้รับหุ้นส่วนถึงหนึ่งในสามของบริษัท


ตอนหลังพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาตั้งใจจะทำธุรกิจอื่น จึงตัดสินใจยกหุ้นของตนให้ซ่งจือเจี้ยน ซ่งจือเจี้ยนเป็น คนกล้าได้กล้าเสีย เขาออกเงินลงทุนทั้งหมดที่เก็บสะสมมาตลอดเก้าปีเป็นมูลค่าหนึ่งล้านดอลล่าร์ฮ่องกง จนได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของบริษัท


จนปลายยุคปี 80 ซ่งจือเจี้ยนนำเอาบริษัทออกขาย แลกเปลี่ยนเป็นเงินเกือบร้อยล้าน ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของชีวิตเขาแล้ว ต่อมาได้เติบโตในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น จนกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุด


แน่นอนว่าทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้เพราะความช่วยเหลือสนับสนุนจากคนตระกูลซ่งในจีนแผ่นดินใหญ่และในฮ่องกง แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ ซ่งจือเจี้ยนเป็นคนเก่งมีความสามารถ ต่อไปจะได้รับการสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลซ่งแทนบิดา


ถ้าเทียบกับตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นใจร้อนช่างโอ้อวดสมัยหลายสิบปีก่อน ตอนนี้ซ่งจือเจี้ยนสุขุมขึ้นมาก ทุกการกระทำแสดงออกชัดเจนว่าเป็นคนทำธุรกิจ ซ่งเฮ่าเทียนกลับเข้าไปในบ้านด้วยการประคองของบุตรชาย


“เสี่ยวหวัง พวกเธออยู่ข้างนอกเถอะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับจือเจี้ยน!” ซ่งเฮ่าเทียนโบกมือไล่หมอทั้งหลายให้รออยู่นอกประตู


ซ่งจือเจี้ยนเห็นท่าทางเหนื่อยอ่อนของบิดาแล้วก็พูดว่า “พ่อ วันนี้เหนื่อยมากแล้ว ผมค่อยมาใหม่พรุ่งนี้ดีไหม?”


แม้ว่าตนจะถือครองทรัพย์สินมูลค่าเป็นพันล้าน แต่เขารู้ดีว่า ผู้ที่คอยกุมบังเหียนตระกูลซ่งสุดท้ายแล้วก็คือบิดาของตัวเอง


ซ่งเฮ่าเทียนมีชีวิตอยู่วันหนึ่ง ตระกูลซ่งจะยังมั่นคงเหมือนเสาค้ำฟ้า จะไม่มีทางล่มสลายได้แน่ แต่สำหรับซ่งจือเจี้ยนเองนั้น เข้ารู้ตัวว่ายังไม่สามารถควบคุมตระกูลซ่งทั้งหมดได้


อย่างเช่น ทรัพย์สมบัตินั้น ซ่งจือเจี้ยนยังต่างจากน้องสาวคนรองที่อยู่อเมริกาอยู่มาก คนเก่าแก่หลายคนในตระกูลมักจะยกยอให้ซ่งเวยหลันเป็นตัวแทนอยู่เสมอ ซึ่งแสดงว่ามีเธอมีอำนาจเหนือกว่าเขามากนัก


ความจริงผู้นำตระกูลซ่งในรุ่นต่อไปจะเป็นใครนั้น ซ่งจือเจี้ยนไม่ได้สนใจ หากเป็นน้องสาวคนโตของเขาแล้วล่ะก็ เขาก็ต้องให้การสนับสนุนเต็มที่


แต่ซ่งจือเจี้ยนกับซ่งเวยหลันนั้นมีข้อถกเถียงกันมานานแล้ว เขาพบว่าน้องสาวอยากจะมอบทรัพย์สมบัติรวมถึงธุรกิจในมือทั้งหมดมูลค่าเป็นหมื่นล้านดอลล่าร์ให้ลูกชายของเธอทั้งหมด


หากเป็นเช่นนี้ ซ่งจือเจี้ยนคงไม่ยอม เพราะทรัพย์สินในมือซ่งเวยหลันทั้งหมดนั้นเป็นสมบัติของตระกูลซ่งเกินกว่า80% ถ้ามอบให้หลานชายที่ไม่เคยเห็นหน้าไปทั้งหมด จะทำให้สมบัตินั้นไม่ได้เป็นของตระกูลซ่งแล้ว


ตอนที่ซ่งเฮ่าเทียนยังมีชีวิตอยู่ ยังพอมีอำนาจ อิทธิพล สยบความไม่พอใจของคนในตระกูลได้


แต่ซ่งจือเจี้ยนเกรงว่า หากพ่อของเขาไม่อยู่แล้ว ตระกูลซ่งก็จะพลอยล่มสลายไปด้วย หยาดเหงื่อแรงกายที่ซ่งเฮ่าเทียนทุ่มเทมาหลายสิบปีก็จะเสียเปล่า


“ลงจากตำแหน่งแล้วยิ่งเหนื่อยกว่าเดิมอีก เหนื่อยที่ตรงนี้!”


ซ่งเฮ่าเทียนโบกมือ ชี้ไปที่หน้าอกของตัวเอง นั่งลงบนโซฟาหลับตาพักสายตาครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “จือเจี้ยน ความคิดของน้องสาวแก แกคิดว่ายังไง?”


การกลับมาของบุตรสาวในครั้งนี้เป็นปัญหาใหญ่ของซ่งเฮ่าเทียนที่จะต้องแก้ไข ทำให้เขาถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน


ซ่งเวยหลานบ่งบอกชัดเจนว่าต้องการยกมรดกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตัวเองให้เยี่ยเทียนลูกชายคนเดียวของเธอ หรือก็คือหลานชายที่ซ่งเฮ่าเทียนไม่เคยพบหน้า


การเป็นประมุขของตระกูล ยังไม่สามารถทำให้เขาควบคุมบุตรสาวคนโตที่ปีกกล้าขาแข็งได้เลย แล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเธอด้วย


ซ่งเวยหลันตอนอยู่ที่อเมริกานั้น แม้จะนำเงินทรัพย์สินไปใช้ส่วนหนึ่งแต่อาณาจักรธุรกิจของเธอกลับสามารถทำกำไรกลับคืนมาได้เป็นพันเป็นหมื่นเท่า


อีกทั้งหลายปีมานี้เธอก็ไม่ได้ว่างงาน เธอใช้กลยุทธเปลี่ยนแปลงตลาดหุ้น ทำให้ทรัพย์สินดังกล่าวหลุดจากการครอบครองของตระกูล พูดอีกอย่างคืออาณาจักรธุรกิจนี้ตกเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว


อย่างไรก็ตาม ในอาณาจักรธุรกิจนี้ยังมีลูกหลานตระกูลซ่งอีกหลายคนเข้าร่วมดูแลอยู่ พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ จึงคิดว่ายังเป็นสมบัติของตระกูลซ่งอยู่


ดังนั้น หากจัดการไม่ดีแม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่อาจสืบทอดตระกูลอันใหญ่โตของเขาต่อไปได้ ไม่แน่ว่ากลุ่มธุรกิจในต่างประเทศของตระกูลซ่งจะถูกทำให้ตัดขาดแบ่งแยกเป็นชิ้นส่วน


ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนลงจากตำแหน่งผู้นำประเทศแล้ว ธุรกิจในประเทศของตระกูลซ่งหรือแม้แต่ธุรกิจของซ่งอิงหลานก็ค่อยๆ ถูกกระจายออกไป


ทำให้สมาชิกตระกูลที่อยู่ในประเทศนั้นเปลี่ยนไป ซ่งเฮ่าเทียนต้องหาทางแก้ปัญหาให้พวกเขา อาณาจักรธุรกิจของบุตรสาวคนโตที่อเมริกานั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


แต่การตัดสินใจของเธอนั้นทำลายแผนการและความตั้งใจของซ่งเฮ่าเทียนซึ่งอาจจะทำให้ตระกูลซ่งและตัวเขาเองต้องพบจุดจบ


อีกใจหนึ่งยังคงรู้สึกผิดต่อบุตรสาว อีกใจหนึ่งก็ต้องคิดถึงวงศ์ตระกูล


ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนจิตใจสับสนว้าวุ่น จึงได้เรียกตัวบุตรชายให้กลับมาจากฮ่องกง สองพ่อลูกพูดคุยปรึกษากัน เพื่อหาทางออกให้ตระกูลซ่งว่าจะเดินต่อไปในทิศทางใด?


“พ่อ น้องสาวเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน ถ้าตัดสินใจอะไรไปแล้วมักจะไม่เปลี่ยนใจ เรื่องนี้น่ะ ผมช่วยพูดไม่สำเร็จหรอก”


ซ่งจือเจี้ยนนึกถึงนิสัยของน้องสาวแล้วถอนใจออกมา เอ่ยต่อว่า “ผมรู้สึกว่าถ้าอยากจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งวุ่นวายของคนในตระกูล คงต้องกระทำที่ตัวเยี่ยเทียน…”


“หืม?”


ได้ฟังคำพูดของลูกชายแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนที่กำลังหลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาทันใด จ้องบุตรชายด้วยแววตาดุดัน แล้วพูดเสียงเข้มว่า “จือเจี้ยน แกอย่าคิดอะไรบ้าๆนะ นั่นก็หลานแกคนหนึ่งเหมือนกัน แล้วก็เป็นหลานของฉันด้วย ไม่ว่าเวยเวยจะตัดสินใจอย่างไร ก็ห้ามทำร้ายเด็กคนนั้นเป็นอันขาด?”


แม้จะปลดเกษียณจากตำแหน่งใหญ่ แต่ความเข้มงวดดุดันแบบผู้นำยังคงอยู่ อำนาจในตัวซ่งเฮ่าเทียนถูกแผ่ออกมากดทับซ่งจือเจี้ยนจนต้องยอมถอย เขายิ้มแห้งตอบว่า “พ่อ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พ่อฟังผมพูดให้จบก่อน”


“พูดเถอะ ทำไมต้องลงมือที่ตัวเด็กคนนั้นด้วย?” ซ่งเฮ่าเทียนส่งสายตาตักเตือนไปให้บุตรชาย แล้วหลับตาเอนพิงโซฟาอีกครั้ง


“พ่อ ความจริงแล้วน้องสาวจะโอนทรัพย์สินทั้งหมดให้เยี่ยเทียนไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” ซ่งจือเจี้ยนหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วพูดประโยคต่อไปที่ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนคิดไม่ถึง



ตอนที่ 435 ผลประโยชน์ครอบครัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซ่งเฮ่าเทียนมองที่บุตรชาย ขมวดคิ้วตำหนิ “จือเจี้ยน ทำไมพูดแบบนี้ เราต่างก็รู้ว่าทรัพย์สมบัติพวกนั้นมาจากไหน แต่คนอื่นในตระกูลไม่รู้นะ!”


ซ่งเฮ่าเทียนยังนับถือบุตรสาวคนโตด้วยใจจริง ตอนนั้นเธอใช้เงินของตระกูลจ่ายออกไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้เป็นกำไรหลายล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในสายตาของคนอื่นนั้นถูกมองว่าเงินลงทุนก้อนนั้นไม่ได้มากมายอะไร


แต่ซ่งเวยหลันใช้เงินจำนวนนี้ตั้งหลักปักฐานขยับขยายกิจการในสหรัฐ หลายครั้งที่หุ้นของบริษัททำกำไรมากล้น ทั้งยังสามารถรอดพ้นจากวิกฤตตลาดหุ้นโลกที่จะล้มละลายได้ทุกครั้ง


และด้วยสายตาอันแหลมคมไม่เหมือนใครของซ่งเวยหลัน เธอกว้านซื้อหุ้นของบริษัทน้อยใหญที่ใกล้ล้มละลาย ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเหล่านั้นซึ่งมีมูลค่ารวมถึงหมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ


พอเริ่มยุคปี 90 ซ่งเวยหลันค่อยๆ นำหลักทรัพย์เหล่านี้เข้าสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมเชิงพานิชย์ โดยมีที่ตั้งทั้งในอเมริกาและแอฟริกา


กล่าวได้ว่าความสำเร็จในโลกธุรกิจของซ่งเวยหลันนั้นเหนือกว่าการก่อร่างสร้างตัวของบรรพชนตระกูลซ่งเสียอีก และพอที่จะทำให้ลูกหลานตระกูลซ่งคนอื่นที่คิดว่าตนเป็นนักธุรกิจแนวหน้านั้นยอมศิโรราบ


แต่เพราะอย่างนี้ สมาชิกตระกูลซ่งทั้งในและต่างประเทศต่างเชื่อว่าทรัพย์สมบัติมหาศาลนี้ต้องตกเป็นของตระกูล พวกเขาไม่ทราบเลยว่าส่วนของตระกูลนั้นจริงๆ แล้วมีแค่ส่วนเล็กน้อยเท่านั้น


ถ้าหากซ่งเวยหลันยกทรัพย์สินทั้งหมดให้เยี่ยเทียนแล้ว สมาชิกในตระกูลคนอื่นต้องได้รับผลกระทบ ถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่สามารถรับมือไหว


หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง ซ่งเฮ่าเทียนคาดเดาได้เลยว่าตระกูลของเขาจะต้องแตกสลายสูญสิ้นเป็นแน่


“พ่อ พ่อรู้นิสัยของน้องสาวดีนี่ เธอตัดสินใจอะไรแล้ว เกรงว่าจะไม่มีใครเปลี่ยนได้ ในเมื่อน้องสาวยืนยันเช่นนี้ ก็ให้ทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของเยี่ยเทียนเลยเป็นอย่างไร?”


เห็นแววตาสงสัยของบิดา ซ่งจือเจี้ยนอธิบายต่อ “พวกเราสามารถลงมือได้ที่ตัวเยี่ยเทียน โดยให้เขารับปากว่า จะรับเฉพาะส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจในแต่ละปีก็พอแล้ว แต่ไม่มีสิทธิ์การซื้อขายทรัพย์สิน หรือเข้ามายุ่งวุ่นวายในกลุ่มการค้าของเรา!


หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เยี่ยเทียนเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเท่านั้น ในการกลุ่มการค้าก็ทำอย่างเดิมเหมือนก่อน หุ้นจะอยู่ในมือของเขาหรือของน้องสาวมันจะต่างอะไรกัน”


“นี่ก็อาจจะเป็นอีกวิธีหนึ่ง…”


ซ่งเฮ่าเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วต่อว่า “แต่ว่าเยี่ยเทียน เขาจะยอมรับปากเหรอ?  จือเจี้ยน ถ้าเป็นแก แกจะยอมรับปากไหม?”


ตามวิธีที่จือเจี้ยนเสนอ เยี่ยเทียนนั้นเป็นได้แค่หุ่นเชิด นอกจากเงินกำไรส่วนแบ่งที่เขาจะได้ในทุกปี แต่เขาไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในการดูแลธุรกิจใด


แต่ตามที่ซ่งเฮ่าเทียนเข้าใจ หลานชายของเขาคนนี้มีนิสัยสุดโต่ง ในปักกิ่งก็มีเส้นสายมากมาย ทำอะไรไม่เพียงเอาแต่ใจทั้งยังไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย แล้วเขาจะยอมถูกตระกูลซ่งควบคุมเอาง่ายๆ หรือ?


“พ่อ ถ้าเป็นผมจะไม่รับปากแน่นอน”


ซ่งจือเจี้ยนหดหู่เมื่อถูกบิดานำตัวเองไปเปรียบกับเยี่ยเทียน เขาเป็นเจ้าของบริษัทในเครือเทียนซิ่นแห่งเกาะฮ่องกงที่มีมูลค่าเกือบพันล้านมาสิบกว่าปีแล้ว มีอำนาจล้นฟ้า จะนำไปเปรียบกับเด็กเมื่อวานซืนอย่างเยี่ยเทียนได้อย่างไร?


“เยี่ยเทียนเพิ่งอายุยี่สิบกว่าเอง แม้จะมีทรัพย์สินบ้าง แต่ว่าพ่อ แค่ส่วนแบ่งกำไรในแต่ละปีของบริษัทน้องสาวนั้น น่าจะเป็นพันล้านได้ ผมไม่เชื่อหรอก ว่าเยี่ยเทียนจะไม่สนใจเงินก้อนนี้!”


หลังจากที่ซ่งจือเจี้ยนทราบความประสงค์ของน้องสาวแล้วก็ได้ไปสืบประวัติของเยี่ยเทียนมา ทราบว่าเยี่ยเทียนเองก็พอมีฐานะอยู่บ้าง แต่ถ้าให้เทียบกับเงินมหาศาลที่เขาจะได้ในแต่ละปีนั้นเปรียบดังขนเส้นหนึ่งบนหนังวัวเท่านั้น


ซ่งจือเจี้ยนเชื่อว่าน้องสาวเองก็เห็นด้วยกับเขา อย่างไรเสียทรัพย์สินก็ต้องตกเป็นของเยี่ยเทียนอยู่ดี เพียงแต่ให้ตระกูลซ่งเป็นคนดูแลจัดการเท่านั้น


ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหน้า พูดว่า “จือเจี้ยน แกอย่าลืมเสียล่ะ ถ้าเยี่ยเทียนไม่รับปาก เขาไม่เพียงแต่จะได้ครอบครองทรัพย์สินทั้งหมด ทั้งยังจะได้เป็นคนดูแลควบคุมสินทรัพย์ทั้งหมดด้วย


สำหรับคนหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานน่ะ ความละโมบนั้นรุนแรงกว่าความหวังในการครอบครองทรัพย์สินมาก!”


ซ่งเฮ่าเทียนตอนนี้ปวดหัวมาก เพราะนอกจากจะไม่สามารถใช้วิธีการใดๆ เขายังไม่รู้จะทำอย่างไรกับทั้งบุตรสาวและหลานชายเลย เรื่องนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาอย่างสิ้นเชิง


ในประเทศจีนอิทธิพลของซ่งเฮ่าเทียนยังคงค้ำฟ้า แต่ในต่างประเทศ เขากลับไม่มีกำลังอื่นใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไปแทรกแซงกฎหมายควบคุมธุรกิจต่างประเทศ


“พ่อ ถ้าเขาไม่ยอมรับ ก็จะกลายเป็นศัตรูของตระกูลซ่ง นอกจากออกไปอยู่ต่างประเทศ เพราะขืนอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็คงจะต้องมีคนคอยขัดขวาง!”


เมื่อฟังที่พ่อพูดจบ ซ่งจือเจี้ยนสีหน้าหม่นลง ความคิดของเขาเหมือนกับสมาชิกตระกูลซ่งคนอื่นที่เห็นผลประโยชน์ของตระกูลตัวเองนั้นมาก่อนเสมอ


อิทธิพลของตระกูลซ่งสามารถทำได้จริงอย่างที่ซ่งจือเจี้ยนว่า แม้ไม่ถึงกับรังแกให้เยี่ยเทียนจนตรอก แต่คงไม่ยอมให้เยี่ยเทียนทำการงานอะไรได้อย่างราบรื่น


แต่ซ่งจือเจี้ยนไม่รู้ว่าถ้าเขาทำอย่างนั้นเข้าจริง คนตระกูลซ่งคงใกล้ได้พบจุดจบเต็มที่แล้ว ด้วยนิสัยของเยี่ยเทียนต้องโจมตีเอาคืนคนในตระกูลซ่งให้สาสม


“ถ้าน้องสาวแกพาเยี่ยเทียนไปอยู่ต่างประเทศล่ะ เราจะทำอะไรได้?”


ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหัวผิดหวังในความคิดของบุตรชายมาก คนระดับอย่างเขา มักเลือกใช้แผนการที่สะอาดเป็นธรรม ส่วนวิธีการสกปรกที่ลูกชายคิดนั้นเขาไม่มีทางทำ


ซ่งจือเจี้ยนพูดเสียงเด็ดขาดว่า “น้องสาวทำแบบนี้ เขาก็ไม่ใช่คนตระกูลซ่งแล้ว พ่อ น้องสาวยังเชื่อฟังพ่ออยู่ พ่อพูดกับเขาให้เขาเปลี่ยนใจเถอะ!”


สายสัมพันธ์ในครอบครัวสำหรับซ่งจือเจี้ยนแล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไร ความฟุ้งเฟ้อร่ำรวยมาแต่วัยเยาว์กลับตาลปัตรในตอนวัยรุ่นที่ตระกูลต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ จนตอนนี้เข้าสู่วัยกลางคน กลับค่อยเริ่มคุ้นเคยกับเส้นทางชีวิตแล้ว ยิ่งมีความอยากเอาชนะคะคานผู้อื่นรุนแรงกว่าเดิม


แต่ไม่ใช่ว่าซ่งจือเจี้ยนจะโลภอยากได้ทรัพย์สินของน้องสาว เขาเพียงแต่ไม่อยากให้ตระกูลซ่งต้องบ้านแตกสาแหรกขาด อย่างน้อยตอนที่เขารับตำแหน่งประมุขของตระกูลต่อจากผู้เป็นพ่อแล้ว ตระกูลซ่งยังสามารถดำรงความยิ่งใหญ่สืบไป


ซ่งเฮ่าเทียนตอบอย่างขัดใจว่า “ฉันพูดแล้ว เขาไม่ฟัง เด็กคนนี้ ตอนนั้นฉันติดค้างเขามากเกินไป ตอนนี้ก็เลยไม่อยากจะไปบีบบังคับเขามาก!”


ซ่งเฮ่าเทียนเคยเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ ต่อมาก็ได้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ชีวิตของซ่งเฮ่าเทียนได้ผ่านทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน


สมัยหนุ่มเขารวมตระกูลซ่งให้เป็นปึกแผ่น ตอนสูงวัยเกิดจับพลัดจับผลูได้เข้าร่วมรัฐบาลจนได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต แต่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่นั้น ในใจกลับมีความโดดเดี่ยวอย่างที่คนทั่วไปไม่มีทางนึกถึง


หลังลงจากตำแหน่งซ่งเฮ่าเทียนก็ได้คิดพิจารณาหลายสิ่ง การขัดขวางการแต่งงานของบุตรสาวในวันวานกลับทำให้ครอบครัวหนึ่งต้องแยกจากกันถึงยี่สิบกว่าปี เป็นสิ่งที่ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนรู้สึกผิดเสมอมา


ส่วนความแค้นกับตระกูลเยี่ยได้เจือจางลงไปแล้ว ดังนั้นเขาหวังว่าตระกูลซ่งจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายนี้อีก แล้วก็ไม่อยากบังคับให้บุตรสาวส่งมอบมรดกทรัพย์สินของเธอออกมา


“พ่อ ลองทำตามที่ผมบอกดูก่อน ถ้าเกิดเยี่ยเทียนรับปาก เรื่องพวกนี้จะได้จบเสียที?” ซ่งจือเจี้ยนยังคงยืนยันความคิดของตนเอง เขาคิดว่า เยี่ยเทียนต้องยอมรับข้อเสนอของเขาอย่างแน่นอน


“เอาเถอะ พรุ่งนี้แกไปหาเยี่ยเทียนด้วยตัวเอง เด็กคนนั้นยังเข้าใจผิดตระกูลเราอยู่มาก”


คนอายุขนาดซ่งเฮ่าเทียน มองสิ่งต่างๆได้ทะลุปรุโปร่ง เขาถอนใจแล้วกำชับบุตรชายว่า “เจอกับเด็กคนนั้นแล้วแกต้องอธิบายให้เขาฟัง อย่าไปถือตนว่าเป็นผู้ใหญ่ บ้านซ่งของเราไม่เคยให้อะไรเขาเลย เราไม่มีสิทธิ์จะไปชี้นิ้วสั่งสอนเขา!”


ในที่สุดพ่อก็ยอมเห็นด้วย ซ่งจือเจี้ยนดีใจมาก รับปากด้วยความมั่นใจว่า “พ่อ วางใจเถอะ ผมต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้!”


ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหัวหลับตาลง เอนหลังพิงโซฟา โบกมืออย่างอ่อนแรง ความอ่อนเพลียที่แสดงออกทำให้ชายชราที่แข็งแกร่งมาทั้งชีวิตบัดนี้ดูเหมือนเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุด


……


เช้าวันรุ่งขึ้นเยี่ยเทียนเพิ่งฝึกวิชาเสร็จ โจวเซี่ยวเทียนยื่นหัวเข้ามาทางช่องประตูแล้วยิ้มทักทาย “อาจารย์ ผมพาศิษย์พี่หูไปเที่ยวรอบปักกิ่งนะ อาจารย์ลุงก็ไปด้วย อาจารย์จะไปด้วยกันไหม?”


เมื่อวานพวกเขาต่างดื่มจนเมา แต่ร่างกายกลับฟื้นฟูได้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่ชั่วโมง ร่างกายสามารถขับเอาแอลกอฮอล์ออกมาหมด กลับมาสดชื่นแข็งแรงดีกันทุกคน


“ฉันไม่ไป เดี๋ยวจะไปดูที่บ้านเก่าหน่อย เมื่อวานกลับมาดึกไป เลยไม่ได้เข้าไปดู”


เยี่ยเทียนส่ายหัวปฏิเสธ หมุนตัวกลับเข้าไป หยิบเอากุญแจรถส่งให้โจวเซี่ยวเทียน “ขับรถระวังหน่อย สองคนนั้นสูงอายุแล้ว แกดูแลพวกท่านให้ดี ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะเอาเรื่องแก”


“ได้เลยครับ อาจารย์วางใจเถอะ”


รับกุญแจมาแล้วโจวเซี่ยวเทียนก็กุลีกุจอ ออกไป เขาเพิ่งสอบได้ใบขับขี่ไม่นาน กำลังอยากจะลองวิชา คอยเฝ้ามองดูรถของเยี่ยเทียนด้วยความปรารถนา เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสเท่านั้น


เยี่ยเทียนส่งโก่วซินเจียออกไปแล้ว เขากลับมาข้างสระน้ำ เมื่อวานฟ้ามืดแล้วมองเห็นไม่ชัด ตอนนี้เขาอยากรู้ว่าหินปริศนาก้อนนั้นทำให้น้ำในสระเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?


น้ำในสระสีดำขึ้นอีกแล้ว เยี่ยเทียนยื่นมือไปแตะ น้ำเย็นราวน้ำแข็ง แต่ยังเทียบไม่ได้กับความเย็นยะเยือกของบึงน้ำมังกรดำ ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้คนแข็งตาย


รอจนเลยแปดโมงเช้าไปแล้ว เยี่ยเทียนกลับไปที่ห้องถือเอากล่องไขมันกบภูเขาออกมา


ตอนแรกจะให้พ่อของเขาถือไปให้อาหญิง แต่ก็กลัวว่าพ่อจะอธิบายไม่ถูก พวกอาหญิงไม่ทราบว่าของสิ่งนี้มีราคาแค่ไหน เยี่ยเทียนจึงตัดสินใจว่าจะเอาไปให้ด้วยตัวเอง


“หืม พวกคุณมาหาใครครับ?”


เยี่ยเทียนเพิ่งจะเปิดประตูด้านข้างออก ก็เห็นคนสี่ห้าคนยืนอยู่แล้ว ชายวัยกลางคนในกลุ่ม กำลังพิจารณาดูประตูใหญ่ของเรือนสี่ประสานอยู่ พอเยี่ยเทียนเปิดประตูออกไปจึงทำให้คนกลุ่มนั้นตกใจ


“เธอคือเยี่ยเทียนใช่ไหม? ฉันมาหาเธอ!” ซ่งจือเจี้ยนคิดถึงคำที่พ่อของเขากำชับไว้เมื่อคืนแล้วจึงเผยรอยยิ้มที่ดูจริงใจออกมา



ตอนที่ 436 เหยียดหยาม

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หาผม? มีธุระอะไรเหรอครับ?”


เยี่ยเทียนเห็นหน้าแขกผู้มาเยือนแล้วรู้สึกคุ้นตา ช่วงก่อนตอนที่เขาไปฮ่องกงนั้น หน้าปกนิตยสารเศรษฐกิจหลายฉบับของฮ่องกงล้วนเป็นรูปชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า


ซ่งจือเจี้ยนเป็นอภิมหาเศรษฐีด้านธุรกิจการเงินแห่งเกาะฮ่องกง หลายปีมานี้ร่วมมือกับกลุ่มของหลี่เชาเหรินที่เป็นเศรษฐีเหมือนกันตีตลาดการค้ายักษ์ใหญ่ และยังเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยได้รวดเร็วที่สุดในฮ่องกง


แต่เรื่องแบบนี่สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด เยี่ยเทียนให้ความสำคัญกับฐานะอีกอย่างของซ่งจือเจี้ยนมากกว่า นั่นคือเป็นญาติผู้ใหญ่


คนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนคนนี้ความจริงแล้วเป็นลุงแท้ๆของเขา แน่นอนว่าเยี่ยเทียนไม่อยากจะยอมรับนักหรอก แม้แต่แม่แท้ๆ เขายังไม่เคยพบเลย แล้วนับประสาอะไรกับลุง


“เยี่ยเทียน ฉันคือ…”


“คุณคือคุณซ่งจือเจี้ยนใช่ไหม? ผมรู้จักคุณครับ เป็นเศรษฐีมาจากฮ่องกง”


เยี่ยเทียนไม่รอให้ซ่งจือเจี้ยนแนะนำตัว โบกมือขัดแล้วพูดต่อ “คุณซ่งครับ วันนี้ผมไม่ว่าง คุณมีธุระอะไรพูดมาตามตรงเลย!”


“เยี่ยเทียน ผู้ที่มาเป็นแขก ทำไมไม่ชวนพวกเราเข้าไปนั่งในบ้านล่ะ?”


ซ่งจือเจี้ยนเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในฮ่องกง ยังไม่เคยถูกใครตัดบททั้งที่ยังไม่ทันเอ่ยปากอย่างวันนี้เลย แววโทสะปรากฎในดวงตา แต่เพราะคำของบิดาเลยรีบลบความขัดเคืองใจทิ้งไปได้ทันเวลา


เยี่ยเทียนยิ้มเยาะ ส่ายศีรษะตอบว่า “ขอโทษครับ ประตูรั้วของตระกูลเยี่ยใครๆ ก็เข้าได้ยกเว้นแต่คนตระกูลซ่ง!”


เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าซ่งจือเจี้ยนมาพบเขาด้วยเหตุใด แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย จึงตอบปฏิเสธไปอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลับยิ่งดูน่าขบขันในสายตาเยี่ยเทียน


คำตอบของเยี่ยเทียนทำให้ผู้มาเยือนทั้งหลายชักสีหน้า พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะกล้าพูดออกมาแบบนี้ไม่ไว้หน้ากันบ้างเลย


ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบแปดยี่สิบเก้าสืบเท้าออกมาด้านหน้า ตำหนิอย่างมีอารมณ์ “เยี่ยเทียน ทำไมนายพูดอย่างนี้ ยังไงพ่อของฉันก็เป็นลุงของนายนะ มีการปฏิบัติต่อญาติผู้ใหญ่แบบนี้ด้วยเหรอ?”


ชายหนุ่มเป็นบุตรคนโตของซ่งจือเจี้ยน ชื่อซ่งเหลียงตง ตอนอายุสิบกว่าขวบได้ถูกส่งไปเรียนต่อที่อเมริกามีความสนิทสนมกับอาหญิง แม่ของเยี่ยเทียนมาก จึงรู้เรื่องราวของเยี่ยเทียนเป็นอย่างดี


เยี่ยเทียนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถามกลับ “ญาติผู้ใหญ่? พ่อนายเป็นญาติผู้ใหญ่ของใครกันเหรอ? ครอบครัวของลุงฉันตายไปหมดแล้วนี่ แล้วนี่ลุงที่ไหนโผล่มาอีกเล่า ขอร้องเถอะ นายอย่ามาล้อเล่นกับฉันเลย”


เยี่ยเทียนแม้จะได้รับการศึกษาระดับสูงแต่เติบโตมาในชนบทได้ฝึกการใช้ฝีปากพูดจาเสียดสีคนอื่นนั้นเก่งนัก ต่างกับพวกคุณชายที่โตมาบนกองเงินกองทอง


ชายหนุ่มอดกลั้นความโกรธจนหน้าแดง ส่วนซ่งจือเจี้ยนก็แสดงออกว่าโมโหเลือดขึ้นหน้าแล้วเหมือนกัน เขาไม่เคยพบเคยเห็นเด็กที่ไหนมารยาทพ่อแม่ไม่สั่งสอนแบบนี้มาก่อน


แต่ซ่งจือเจี้ยนก็ไม่ทันคิดว่าเยี่ยเทียนกับบ้านตระกูลซ่งของเขาไม่เคยได้ติดต่อกัน แม้แต่บรรพบุรุษยังมีหนี้แค้นต่อกันด้วย เยี่ยเทียนได้ยินชื่อพวกเขาแล้วไม่ชี้หน้าด่าไล่กลับไปนั้นถือว่าให้เกียรติพวกเขามากแล้ว


“เด็กน้อย แก…แกว่าใคร อยากโดนดีรึไง?”


ซ่งเหลียงตงได้ฟังคำด่าคนทั้งตระกูลของตัวเองแล้วก็ทนไม่ไหว ก้าวออกมายกกำปั้นใส่หน้าเยี่ยเทียน


ในชื่อของซ่งเหลียงตงแม้มีความหมายว่าความดี แต่เขากลับไม่ได้เป็นคนดีตามชื่อ ตอนที่อยู่ฮ่องกงทำตัวเป็นคุณชายเที่ยวเสเพล หลายปีมานี้พอได้เข้าทำงานในธุรกิจครอบครัวแล้วจึงได้เพลาลง


“หืม? อยากลงมือ?”


เยี่ยเทียนแค่ขยับยกมือขวาก็คว้าได้ข้อมือของซ่งเหลียงตง หรี่ตาลงออกแรงเพียงเล็กน้อย ข้อมือขวาของซ่งเหลียงตงปวดร้าวรุนแรงขึ้นทันทีจนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด


“ปล่อยซ่งเหลียงตง ปล่อยคุณชายซ่งเดี๋ยวนี้!”


ซ่งจือเจี้ยนและคนอื่นๆ ที่อยู่เบื้องหลังต่างตะโกนออกมา ชายหนุ่มอีกสามคนที่สวมชุดสูทรีบรุดเข้ามาล้อมรอบเยี่ยเทียน


ซ่งจือเจี้ยนไม่ได้สั่งห้ามบอดี้การ์ดทั้งสาม เขาคิดว่าเยี่ยเทียนควรได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง คนหนุ่มต้องลองถูกรังแกบ้างจึงจะรู้จักโลกมาขึ้น


“ตระกูลซ่งสั่งสอนลูกหลานมาดีจริง มาหาเรื่องเขาถึงบ้านยังกล้าลงมืออีก ยังเคยคิดว่าตระกูลซ่งจะเป็นครอบครัวผู้พิทักษ์คุณธรรมเสียอีก?”


เยี่ยเทียนยิ้มเย็น มองดูบอดี้การ์ดแต่ละคนแล้วปล่อยมือซ่งเหลียงตง แล้วโบกมือเรียกไปที่ไกลๆตะโกนบอกว่า “แข่งกำลังคนหรือ? มาลาไกย์ มานี่เร็ว!”


เสียงของเยี่ยเทียนยังไม่ทันขาดคำ คนต่างชาติคนหนึ่งที่ตอนแรกยืนอยู่หน้าปากตรอกยื่นศีรษะออกมาดู แล้วรีบวิ่งเข้ามา โค้งคำนับเยี่ยเทียนทีหนึ่งแล้วถามเยี่ยเทียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “คุณเยี่ย คนพวกนี้มาหาเรื่องคุณหรือครับ?”


ตอนที่เยี่ยเทียนไปเขาฉางไป๋ซาน ไม่เคยเรียกใช้กลุ่มมาราไกย์เลย แต่คนกลุ่มนี้นั้นดูรีบร้อนจัด วันนี้ตอนที่มาเฝ้าเวรยามได้พบกับเยี่ยเทียนเข้าพวกเขาก็ตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่


ถ้าไม่มีคนยืนคุยกับเยี่ยเทียนอยู่ พวกเขาคงจะรีบเข้ามาให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มลงไม้ลงมือแล้ว กลุ่มมาลาไกย์ยิ่งรู้สึกว่าพวกตนต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของเยี่ยเทียนให้ดีกว่านี้


“ใช่ พวกเขามาหาเรื่องฉัน”


เยี่ยเทียนยิ้มพยักหน้า “ฉันสงสัยว่าพวกเขาจะลักพาตัวฉัน มาราไกย์ ฉันคิดว่าพวกนายสามารถพาคนพวกนี้ไปที่สถานีตำรวจได้ ไม่แน่ว่าทางตำรวจอาจจะมอบรางวัลพลเมืองชาวต่างชาติดีเด่นให้นายก็เป็นได้?”


เยี่ยเทียนนิสัยเสีย ถ้าซ่งจือเจี้ยนถูกส่งตัวไปที่โรงพักนั้นเปรียบเหมือนกับการตบหน้าตระกูลซ่งฉาดใหญ่ แถมยังตบจนพูดไม่ออก


เพราะเรื่องนี้เป็นฝีมือคนต่างชาติ อีกทั้งเหตุผลเข้าที ซ่งจือเจี้ยนไม่รู้จะทำอย่างไรกับกลุ่มมาลาไกย์ดี สำหรับตัวเยี่ยเทียนเองไม่กลัวพวกเขามาล้างแค้นหรอก


“พวกเราไม่ได้มาลักพาตัว นายอย่ามาซี้ซั้วนะ!”


ซ่งจือเจี้ยนกับลูกชายเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ จึงรับรู้สิ่งที่เยี่ยเทียนกับมาราไกย์คุยกันอย่างชัดเจน ต่างหน้าเปลี่ยนสีไปตามกัน ถ้าถูกส่งไปโรงพักจริงคงเป็นตลกร้ายใหญ่โต


“อ่อ พวกคุณ มีเรื่องอะไรไปคุยที่โรงพักเถอะ!”


กลุ่มมาราไกย์ไม่ยอมฟังที่ซ่งจือเจี้ยนอธิบาย อุตส่าห์ได้เป็นถึงบอดีการ์ดของเยี่ยเทียนแล้ว ก็ต้องแสดงบทบาทให้เต็มที่


ชายหนุ่มชุดดำหลายคนที่ซ่งจือเจี้ยนพามาด้วย เป็นนักบินปลดประจำการในกองทัพอากาศฮ่องกง แล้วก็เป็นบอดี้การ์ดที่เหล่าเศรษฐีฮ่องกงชอบใช้บริการ


คนพวกนี้มักจะเก่งแค่วางท่าน่าเกรงขาม แต่เมื่อประจันหน้ากับนักรบแนวหน้าระดับพระกาฬอย่างกลุ่มมาราไกย์แล้วเทียบไม่ติดฝุ่น


กลุ่มมาราไกย์เมื่อได้รับคำสั่งจากเยี่ยเทียนก็ล้อมวงเข้าไป ภายในชั่วพริบตา บอดี้การ์ดทั้งหลายของซ่งจือเจี้ยนก็ถูกควบคุมตัวไว้ได้ เหลือเพียงเยี่ยทียนที่ยืนมองซ่งจือเจี้ยนพ่อลูกด้วยแววตาไม่เป็นมิตร


เยี่ยเทียนมองดูสองพ่อลูกแล้วเอื้อมมือไปปิดประตูรั้ว หมุนตัวเดินจากไป สั่งกำชับพวกมาราไกย์ว่า “ให้พวกนายจัดการต่อแล้ว ฉันมีธุระขอตัวก่อน!”


ซ่งจือเจี้ยนโกรธเลือดจขึ้นหน้าที่เห็นเยี่ยเทียนต้องการจะส่งพวกตนไปขึ้นโรงพักแน่นอน แต่ไม่อาจขัดขืน ได้แต่ตะโกนตามหลังเยี่ยเทียนไปว่า “เยี่ยเทียน ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ แม้สองตระกูลจะมีความแค้นต่อกัน แต่ฉันก็ยังเป็นลุงของเธออยู่วันยังค่ำ?”


ซ่งจือเจี้ยนไม่อาจคาดเดาได้ว่าการที่ตั้งใจมาหาเยี่ยเทียนด้วยดี ทำไมจู่ๆเรื่องถึงบานปลายได้ขนาดนี้ เขาพอจะเข้าใจสิ่งที่ผู้เป็นพ่อได้เคยบอกว่าหลานของเขาคนนี้ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย


“ลุง?”


เยี่ยเทียนหน้าตึง หันกลับมามองซ่งจือเจี้ยนด้วยสายตาเย็นชา ตอบว่า “ผมขอเตือนไว้อย่างนะ ผมไม่มีลุงที่ไหน ถ้ายังอวดอ้างว่าเป็นญาติผมอีกล่ะก็ อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจ


จากรูปหน้าโหงวเฮ้งของซ่งจือเจี้ยน คนๆนี้จมูกงุ้มเหมือนปากเหยี่ยว หน้าผากสูง ช่องว่างระหว่างหัวตาทั้งสองก็กว้าง เป็นลักษณะของผู้กล้าที่ทะเยอทะยาน


คนแบบนี้มักจะชอบเอาเปรียบคนอื่น แต่ไม่ยอมเสียเปรียบใคร สัมพันธ์แบบเครือญาตินั้นไม่ได้สำคัญกับคนอย่างเขาเลย


ถ้าเปลี่ยนเป็นคนซื่อสัตย์มีเมตตา เยี่ยเทียนยังพอจะเห็นแก่มารดาของเขา ทนให้เกียรติบ้าง แต่สำหรับซ่งจือเจี้ยนแล้ว เยี่ยเทียนสามารถมองออกถึงนิสัยใจคอได้ในทันทีอย่าหวังว่าจะได้รับความเคารพจากเยี่ยเทียน


ตำแหน่งในตระกูลซ่ง ซ่งจือเจี้ยนเป็นรองก็เพียงพ่อของเขาคนเดียว ถ้าถูกลบหลู่ถึงขั้นส่งตัวไปโรงพักคงเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี แม้ฐานะของตระกูลซ่งที่มีอิทธิพลล้นฟ้าในรัฐบาล แต่คนที่คอยหัวเราะเยอะพวกเขานั้นมีไม่น้อย


เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเพื่อนบ้านรอบๆ เรือนสี่ประสานค่อยๆ แห่กันออกมามุงดู เยี่ยเทียนขมวดคิ้วโบกมือไล่ “มาราไกย์ ปล่อยพวกเขาเถอะ คุณซ่ง คุณกลับไปเถอะ?”


“เยี่ยเทียน ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอจริงๆ นะ”


พวกมาราไกย์ปล่อยตัวพวกเขาทุกคนแล้ว ซ่งจือเจี้ยนรีบตามเยี่ยเทียนออกไป “เยี่ยเทียน เธอวางใจเถอะ เรื่องที่ฉันจะพูดนั้นเป็นประโยชน์กับเธอมาก เธอช่วยเจียดเวลามาคุยกับฉันได้ไหม?”


ความยากลำบากในอดีต บ่มเพาะให้ซ่งจือเจี้ยนมีความอดทนอดกลั้นขั้นสูง ภายในพริบตาเขาสามารถปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ตอนนี้แสดงท่าทีโอนอ่อนลงให้กับเยี่ยเทียน


“เรื่องที่มีประโยชน์กับผม?”


เยี่ยเทียนมองซ่งจือเจี้ยนอย่างล้อเลียน สายตาของเขาทำให้คนวัยห้าสิบกว่าอย่างซ่งจือเจี้ยนเกิดอาการประหม่า ผ่านไปหลายวินาที เยี่ยเทียนพูดขึ้น “ตอนนี้ผมติดธุระ ถ้ามีเรื่องจะคุยกับผมก็ตามมา”


ไขมันกบภูเขาในมือจะถือไว้นานกว่านี้ไม่ได้ ต้องรีบนำไปให้อาหญิง ของสิ่งนี้เป็นยาบำรุงชั้นเลิศให้แก่อาหญิงเล็กและแม่ของโจวเซี่ยวเทียน


เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนยอมตาม ในใจของซ่งจือเจี้ยนกลับรู้สึกถึงภาระหนักอึ้ง รีบส่งสายตาห้ามบุตรชายไม่ให้บุ่มบ่ามวู่วาม แล้วนำคนที่พามาด้วยเดินตามหลังเยี่ยเทียนไป


“เมื่อครู่ผมพูดแล้วว่า ประตูบ้านตระกูลเยี่ยไม่ต้อนรับคนตระกูลซ่ง พวกคุณยืนรอข้างนอกนี่แล้วกัน!”


เมื่อมาถึงบ้านหลังเก่าแล้ว เยี่ยเทียนชะงักฝีเท้า พูดออกมา ทำเอาซ่งจือเจี้ยนพ่อลูกหน้าร้อนผ่าว ในใจรับรู้ได้ถึงการดูหมิ่นอย่างรุนแรง


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)