ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 431-438
ตอนที่ 431 มือของเธอเป็นอะไรไป
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบอู่เยวี่ยมากสักเท่าไร แต่เวลานี้อู่เหมยกลับรู้สึกขอบคุณเธอที่ออกมาได้ถูกจังหวะ ทำให้เธอไม่ต้องเผชิญหน้าความอึดอัดกับเหมยซูหานตามลำพัง
“ข้าวเหนียวปั้น เป็นขนมหวานที่แม่ของพี่ซูหานทำน่ะ อร่อยมากเลยนะ”
อู่เหมยรีบชิงตอบก่อน อารมณ์ดีไม่เลว ดวงตามักจะมองไปทางมือหมูของอู่เยวี่ย ทั้งแดงทั้งบวม ยังมีบาดแผลบางส่วนเริ่มปริแตกบ้าง จนมองเห็นเนื้อสีแดงข้างใน บาดแผลจากความเย็นพัฒนาไปเร็วมาก แม้กระทั่งอู่เหมยก็นึกไม่ถึง
อู่เยวี่ยมองไปทางอู่เหมยแวบหนึ่ง เธอก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมาเช่นกัน โดยเฉพาะตอนที่มองเท้าที่พันเป็นมัมมี่ของอู่เหมย ความอัดอั้นที่เก็บมาหลายเดือน ก็นับว่าได้ระบายอารมณ์ออกไปบางแล้ว สุขใจขึ้นมาเยอะเลย
“พี่ซูหาน ช่วงนี้ทำไมพี่ถึงไม่มาบ้านฉันเลยล่ะ?” อู่เยวี่ยถามอย่างใส่ใจ
เหมยซูหานยิ้มนิดๆ พูดว่า “ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อยน่ะ”
“พี่ซูหานยุ่งอะไรหรอ ยุ่งกับการเรียนหรอ?” อู่เยวี่ยยิ้มหวาน ใบหน้าที่กลัดกลุ้มมองดูแล้วสวยขึ้นมาเป็นกอง
เหมยซูหานพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าทั้งมีมารยาทและเหินห่าง ไม่ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนตอนที่พูดคุยกับอู่เหมยเมื่อครู่เลยแม้แต่นิดเดียว
อู่เยวี่ยกลับมองข้ามจุดนี้ไป นานแล้วที่ไม่ได้เห็นเหมยซูหาน แต่จู่ๆ วันนี้ก็ได้เห็น อย่าให้พูดเลยว่าเธอดีใจมากแค่ไหน บวกกับอู่เหมยได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถเข้าร่วมงานการแสดงของเมืองได้ ความดีใจสองชั้นแบบนี้ทำให้นิสัยระแวดระวังเมื่อก่อนของอู่เยวี่ยลดต่ำลง
ในตอนนี้เธอคิดอยากจะพูดคุยกับเหมยซูหานมากๆ พูดถึงความน้อยใจในหลายวันมานี้ และยังมีเรื่องความจองหองของอู่เหมยอีกด้วย
“พี่ซูหาน ฉันมีวิชาเลขหนึ่งข้อที่ไม่ค่อยเข้าใจ พี่ช่วยฉันดูหน่อยได้ไหม?” อู่เยวี่ยเชื้อเชิญเหมยซูหานไปที่ห้องของเธอ ในตาเต็มไปด้วยความหวัง
เหมยซูหานขมวดคิ้ว เขาไม่ค่อยอยากไปห้องของอู่เยวี่ยเท่าไร เขาแค่อยากจะอยู่ที่ตรงนี้พูดคุยดีๆ กับอู่เหมยมากกว่า ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงไม่เคยสังเกตเลยว่าอู่เยวี่ยจะมองสีหน้าคนไม่เป็นขนาดนี้!
เขาลืมไปแล้วว่าเขาและอู่เยวี่ยเคยสนิทชิดเชื้อกันมาก่อน เรื่องที่ช่วยชี้แนะเธอเรื่องการบ้านก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ พูดได้ว่าเป็นเพียงแค่เด็กชายเด็กหญิงที่เล่นกันมาแต่เด็กๆ แค่นั้นจริงๆ
“เยวี่ยเยวี่ย ไม่อย่างนั้นเธอก็ไปเอาการบ้านมาสิ พี่ไม่ต้องไปห้องของเธอหรอก” เหมยซูหานคิดออกถึงแผนที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ
อู่เยวี่ยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าเหมยซูหานจะปฏิเสธเธอ อีกทั้งยังปฏิเสธต่อหน้าของอู่เหมยอีก นั่นทำให้เธอรู้สึกอับอายขายหน้าไม่น้อย
“พี่ซูหาน ห้องเหมยเหมยเล็กเกินไป พวกเราสามคนจะเบียดกันเข้าไปได้ยังไง?” อู่เยวี่ยพูดพลางยิ้มมองเหมยซูหานอย่างอ้อนวอน
เหมยซูหานก็ใจอ่อนอย่างช่วยไม่ได้ ตอบรับว่าจะไปช่วยสวนให้ อู่เยวี่ยยิ้มอย่างชอบใจ เหล่มองอู่เหมยอย่างลำพองใจ ซึ่งไม่รู้เลยว่าอู่เหมยกำลังเฝ้าภาวนาขอให้เหมยซูหานออกไป!
“ข้าวเหนียวปั้นนี่ดูดีมากจริงๆ รสชาติน่าจะดีมากเลยทีเดียว ฉันกำลังหิวพอดี เหมยเหมย ข้าวเหนียวปั้นให้ฉันกินได้ไหม?” อู่เยวี่ยพูดไปมือก็ยื่นไปหยิบข้าวเหนียวปั้นไปด้วย
อู่เหมยทำใจกว้างขึ้นมาทันที “พี่หิวก็เอาไปกินเถอะ ยังร้อนๆ อยู่เลย!”
อู่เยวี่ยคาดไม่ถึงว่าวันนี้อู่เหมยจะว่านอนสอนง่ายขนาดนี้ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก นึกว่าอู่เหมยเพียงแค่แสดงละครต่อหน้าเหมยซูหานก็เท่านั้น
“งั้นฉันไม่เกรงใจล่ะนะ ขอบใจนะเหมยเหมย”
อู่เยวี่ยหยิบข้าวเหนียวปั้นมาไว้ในมือ เหมยซูหานอดขมวดคิ้วไม่ได้ รู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้างที่อู่เยวี่ยหยิบเอาข้าวเหนียวปั้นไป เหมยเหมยยังไม่ได้กินสักคำเลย!
เดิมยังคิดจะบอกให้อู่เยวี่ยหยิบข้าวเหนียวปั้นไปแค่ชิ้นเดียว แต่เหมยซูหานกลับโดนมือหมูของอู่เยวี่ยทำให้ตกใจไปเสียก่อน พูดเสียงหลงว่า “เยวี่ยเยวี่ย มือของเธอทำไมกลายเป็นแบบนี้?”
อู่เยวี่ยหน้าซีดขาวในทันที ในตาปรากฏความเจ็บปวดขึ้นแวบหนึ่ง อู่เหมยรีบก้มหน้าลงก็ดีใจอย่างหยุดไม่อยู่
คำพูดของเหมยซูหานโหดเหี้ยมกว่าใครทั้งหมด!
ใครให้อู่เยวี่ยเวลานี้ยังเป็นสาวน้อยมีรักกันล่ะ เธอชอบเหมยซูหานมากจริงๆ!
………………………………………….
ตอนที่ 432 ชายหญิงที่เล่นมาด้วยกันตั้งแต่เด็กห่างเหินแล้ว
หลังจากที่เหมยซูหานพูดจบก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ควรพลั้งปากพูดออกไป รู้สึกผิดอยู่ในใจ คำพูดที่แต่เดิมอยากจะพูดก็กลืนลงคอไป ได้แต่มองอู่เยวี่ยหยิบข้าวเหนียวปั้นทั้งสองอันไปตาปริบๆ
รอจนเหมยซูหานและอู่เยวี่ยออกจากห้องไป อู่เหมยก็รีบร้อนไปปิดประตู แล้วก็ขึ้นเตียงเอนตัวลงนอน ในหัวสมองกำลังคิดคำนวณว่าจะแก้แค้นอู่เยวี่ยเรื่องตะปูพวกนี้อย่างไรดี!
ไม่นานอู่เหมยก็ได้ความคิดดีๆ สุภาษิตเขาว่ากันว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน หนามยอกให้เอาหนามบ่ง นังอู่เยวี่ยเอาตะปูมาแทงเท้าเธอ ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะเอาคืนเป็นเท่าทวีคูณ
จะพูดยังไงก็แล้วแต่ก็จะต้องทำให้อู่เยวี่ยได้รับบาดเจ็บหนักกว่าหลายเท่าถึงจะระบายความแค้นได้!
ส่วนเรื่องที่อู่เจิ้งซือพูด อู่เหมยจะถือว่าเขาผายลม ลมพัดผ่านหน่อยก็หายไปแล้ว ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย
อู่เยวี่ยพาเหมยซูหานมาที่ห้องของเธออย่างมีความสุข อันที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่เพียงคิดอยากจะหาโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับคนที่หมายปองก็เท่านั้นเอง
“พี่ซูหาน ห้องฉันไม่มีแม้กระทั่งม้านั่ง ไม่อย่างนั้นพี่นั่งบนเตียงฉันแล้วกัน!”
อู่เยวี่ยเรียกเข้ามาอย่างกระตือรือร้น ความทุกข์บนใบหน้าหายไปแล้ว ดูสดใสร่าเริงขึ้นไม่น้อย
เหมยซูหานมองเตียงที่สะอาดเรียบร้อยและมีกลิ่นอายของสาวน้อย ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้นั่งลงไป เพียงแต่ยืนพูดคุยกับอู่เยวี่ยอยู่แบบนั้น
“พี่ซูหาน พี่นั่งสิ ยืนทำไม?” อู่เยวี่ยมองเหมยซูหานอย่างไม่พอใจ รู้สึกว่าคนที่หมายปองกลายเป็นคนอื่นคนไกลดูแปลกหน้ามากขึ้นเยอะ เมื่อก่อนเหมยซูหานมาห้องเธอก็บ่อยไม่น้อย สนิทสนมกันมากโดยไม่ต้องทักทายอะไรด้วยซ้ำ
เหมยซูหานยิ้มเบาๆ “ยืนเอาก็ได้ เยวี่ยเยวี่ยเธอเอาข้อที่ไม่เข้าใจออกมาให้พี่ดูสิ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอู่เยวี่ยเริ่มหุบลง หัวใจปั่นป่วน เธอเงยหน้ามองเหมยซูหาน พูดออดอ้อนว่า “พี่ซูหาน ฉันแค่อยากพูดคุยกับพี่ ช่วงนี้ฉันแย่มากๆ”
พูดถึงตอนท้าย เสียงของอู่เยวี่ยก็มีเสียงสะอื้นเบาๆ ขอบตาแดงก่ำ ต่อหน้าคนที่ชอบแล้วเธอก็ทนไม่ไหวอยากระบายความในใจออกมาถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
ตอนนี้ในใจของพ่อก็มีแต่อู่เหมย แม่ก็เอาแต่คิดเพียงแค่อยากให้เธอสอบได้ที่หนึ่ง อู่เหมยก็แทบอยากจะให้เธอตายไปเสีย อู่เยวี่ยรู้สึกว่าตอนนี้เธอเป็นเรือลำเล็กกลางทะเลเวิ้งว้างที่โดดเดี่ยวและไม่มีใครช่วยเหลือ!
และเหมยซูหานก็คือคนที่จะมากอบกู้ช่วยเหลือของเธอ!
เหมยซูหานมองอู่เยวี่ยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหมดหนทาง ไม่รู้จะพูดอะไรดี อันที่จริงช่วงนี้เขาพอจะได้ยินมาบ้างว่าอู่เยวี่ยเป็นพวกปลิ้นปล้อน โดยเฉพาะเรื่องพวกนั้นที่เธอทำกับอู่เหมยถูกเล่าลือไปทั่วทั้งอีจงตั้งนานแล้ว
อันที่จริงเขามีความคิดที่ไม่ค่อยพอใจอู่เยวี่ยเท่าไร เหมยเหมยทั้งน่ารักทั้งใจดีมีเมตตา ทำไมอู่เยวี่ยถึงได้ทำไม่ดีกับเหมยเหมยล่ะ?
ทำไมถึงได้เฝ้าดูอย่างนิ่งดูดายตอนที่เหอปี้อวิ๋นปฏิบัติต่อเหมยเหมยอย่างโหดร้ายได้ล่ะ?
ที่เหมยซูหานไม่รู้ก็คือสิ่งที่อู่เยวี่ยทำนั้นไม่ใช่แค่เพียงเมินเฉยนิ่งดูดาย พูดให้ถูกน่าจะเป็นคนที่คอยกระตุ้นเสียมากกว่า หรือเรียกว่าเป็นคนคอยราดน้ำลงบนกองไฟ หากไม่ใช่ว่าอู่เยวี่ยคอยพูดเสี้ยมอยู่ข้างหูของเหอปี้อวิ๋น อย่างมากเหอปี้อวิ๋นก็แค่คงไม่ชอบอู่เหมย คงจะไม่รังเกียจเหมือนตอนนี้
เหอปี้อวิ๋นมองอู่เหมยเป็นแค่คู่อริธรรมดา แต่สำหรับอู่เยวี่ยก็คือคนชั่วที่สุด!
“เยวี่ยเยวี่ย เรื่องของเธอพี่ก็ได้ยินมาอยู่บ้าง ก็แค่คะแนนถดถอยไปบ้างเท่านั้น มีถอยถึงจะก้าวหน้า ด้วยความฉลาดและพื้นฐานของเธอ ในไม่ช้าเธอก็จะไล่ตามทันเชื่อพี่สิ”
อู่เยวี่ยยิ้มอย่างดีใจ นี่เป็นคำพูดที่เข้าหูที่สุดน่าฟังที่สุดในช่วงนี้ที่เคยได้ยินมาแล้ว เหมยซูหานเป็นคนที่เข้าใจเธอที่สุดจริงๆ รู้ว่าเธออยากจะฟังอะไรที่สุด
เหมยซูหานหยุดแล้วก็พูดอีกว่า “ส่วนเรื่องร่างกายของเธอก็ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร ตอนนี้การแพทย์พัฒนาไปไกลแล้ว ปัญหาเล็กๆ ของเธอน่าจะรักษาได้ไม่ยากหรอก ไม่ต้องไปใส่ใจมาก”
………………………………………….
ตอนที่ 433 ได้ความสะเทือนใจมาก
อู่เยวี่ยสีหน้าเปลี่ยน คำพูดของเหมยซูหานแทงเข้าบาดแผลอันเจ็บปวดของเธอ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองโดนถอดเสื้อผ้า เปลือยร่างกายล่อนจ้อนต่อหน้าคนที่ชอบ ละอายใจเป็นอย่างยิ่ง
”พี่ซูหาน ฉันไม่ได้มีปัญหา จิตของฉันปกติดี เป็นเพราะเหมยเหมยเอาออกไปพูดซี้ซั้วล่ะสิ!”
อู่เยวี่ยตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เธอนึกว่าเหมยซูหานว่าเธอเป็นโรคประสาท นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่ยินดีที่จะเผชิญหน้ามากที่สุด
เหมยซูหานขมวดคิ้ว ไม่พอใจกับน้ำเสียงที่อู่เยวี่ยใช้ตอนพูดถึงอู่เหมย อีกทั้งเขาไม่ได้หมายถึงปัญหาเรื่องโรคประสาทเลยสักนิด จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจว่า “เยวี่ยเยวี่ยเธอทำไมถึงพูดถึงเหมยเหมยแบบนี้? กลิ่นตัวของเธอเขารู้กันทั้งโรงเรียน เกี่ยวอะไรกับเหมยเหมย?”
อู่เยวี่ยใบหน้าซีดเผือด คำพูดประโยคนี้ของเหมยซูหาน ยิ่งทำให้อู่เยวี่ยคิดอยากจะมุดลงดินไปเสีย
เธอดมกลิ่นตัวของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ร้องเสียงหลงว่า “ไม่มี ฉันไม่มีกลิ่นตัว พวกเขาพูดไร้สาระ พี่ซูหานพี่อย่าไปเชื่อคนพวกนั้น!”
คิ้วของเหมยซูหานยิ่งขมวดแน่น อันที่จริงตอนแรกเขาไม่เชื่อคำพูดเรื่องที่อู่เยวี่ยเป็นโรคประสาท เขารู้จักอู่เยวี่ยมาสองปี เชื่อว่าตัวเองค่อนข้างจะเข้าใจอู่เยวี่ย เพราะเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเธอเป็นเด็กหญิงที่ร่าเริงมาก จิตจะไม่ปกติได้อย่างไรกัน?
แต่ตอนนี้พอได้เห็นท่าทางสูญเสียการควบคุมอย่างรุนแรงของอู่เยวี่ย เหมยซูหานก็เริ่มไม่แน่ใจแล้ว หรือว่าที่พวกคนข้างนอกพูดกันจะเป็นเรื่องจริง?
“เยวี่ยเยวี่ยอย่าเพิ่งใจร้อนไป สงบสติอารมณ์ลงก่อน!”
เหมยซูหานพูดโน้มน้าวเสียงเบา ไม่กล้าพูดอะไรให้สะเทือนใจอู่เยวี่ยอีก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจอู่เยวี่ย แต่ถึงอย่างไรแล้วก็เป็นลูกสาวของอาจารย์ อย่างน้อยก็ผ่านวันเวลาสองปีที่สวยงามมาด้วยกันอย่างมีความสุขและความสนิทสนมที่มีต่อกัน สำหรับอู่เยวี่ยแล้วเขาจึงยังไม่แข็งใจพอ
อู่เยวี่ยค่อยๆ สงบอารมณ์ เธอรู้สึกอายอยู่บ้าง ทำไมถึงได้ลืมตัวไม่ยั้งสติต่อหน้าเหมยซูหานได้นะ?
แต่ความรู้สึกที่มีมากกว่านั้นคือความอึดอัดใจ ด้านที่น่ารังเกียจที่สุดของเธอโดนเหมยซูหานเห็นไปแล้วเรียบร้อย แถมยังโดนเขาขุดออกมาอย่างไร้ความปราณี นี่เป็นสิ่งที่เธอทนไม่ได้ยิ่งกว่าสายตาแปลกๆ ของเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นเสียอีก
นึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจการไม่ได้รับความเป็นธรรมในช่วงนี้ น้ำตาของอู่เยวี่ยก็ไหลอย่างควบคุมไม่อยู่ เธอกัดปากอย่างแรง ไหล่ก็สั่นเทา แต่กลับไม่มีเสียงออกมา ทำให้คนยิ่งสงสารขึ้นไปอีก
เหมยซูหานมองแล้วก็ใจอ่อน รู้สึกว่าคำพูดที่เขาเพิ่งพูดไปนั้นไม่ควรพูดจริงๆ ความรู้สึกละอายใจทำให้เสียงของเขาอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว ปลอบใจอู่เยวี่ยเสียงเบา
ถึงแม้ว่าอู่เยวี่ยยังร้องไห้อยู่ แต่ในใจกลับลำพองใจ เธอรู้อยู่แล้วว่าเหมยซูหานทำกับตัวเองนั้นพิเศษไม่เหมือนใคร แต่ว่ายิ่งเธอคิดอย่างนี้ เธอก็ยิ่งร้องอย่างเสียใจ เพียงแต่ถึงตอนท้ายเป็นการออดอ้อนเสียส่วนใหญ่
“เยวี่ยเยวี่ยไม่ต้องร้องแล้ว รีบกินข้าวเหนียวปั้นเถอะ ถ้ายังไม่กินมันจะเย็นแล้วนะ” เหมยซูหานพูด
“อืม”
อู่เยวี่ยหยิบข้าวเหนียวปั้นกัดลงไปอย่างกระดากอาย ตาและปลายจมูกแดงไปหมด น่าสงสารไม่น้อย เหมยซูหานอ้าปากจะพูดอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร แล้วถอนหายใจอย่างไม่มีเสียง
“พี่หมิงซุ่น ข้าวเหนียวปั้นอร่อยจริงๆ”
อู่เยวี่ยฝืนใจชม อันที่จริงเธอไม่ค่อยชอบกินของหวานเลี่ยนๆ เท่าไร เธอชอบกินเค็มมากกว่า แม่เหมยใส่น้ำตาลลงไปในข้าวเหนียวปั้นไม่น้อย มันช่างหวานเหลือเกิน
เพราะว่าอู่เหมยชอบกินของหวาน ดังนั้นเหมยซูหานจึงตั้งใจบอกให้แม่เหมยใส่น้ำตาลลงไปในถั่วแดงนึ่งมากเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นมาตรฐานการใช้ชีวิตในตอนนี้ บ้านไหนจะกล้าตัดใจใส่น้ำตาลมากขนาดนี้ให้เปลืองล่ะ
เหมยซูหานยิ้ม “อร่อยก็กินเยอะๆ หน่อย พี่กลับก่อนแล้วกัน เยวี่ยเยวี่ยก็รีบพักผ่อนเถอะ”
เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ ต่อให้เหมยซูหานโง่แค่ไหนก็ดูออก อู่เยวี่ยไม่ได้มีปัญหาวิชาเลขอะไรที่ไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง เขารู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เดิมยังคิดจะพูดคุยกับอู่เหมยอยู่สักพักหนึ่ง แต่กลับโดนอู่เยวี่ยทำลายโอกาสนั้นทิ้งเสียแล้ว
เหมยซูหานเดินไปถึงหน้าประตูก็หยุดลง อู่เยวี่ยมองเขาอย่างดีใจ ยังนึกว่าเหมยซูหานอาลัยอาวรณ์ที่จะจากไป แต่ ——
“เยวี่ยเยวี่ย เธอเป็นพี่สาว รู้จักคิดเข้าใจอะไรควรไม่ควรตั้งแต่เด็ก เหมยเหมยเด็กกว่าเธอ เธอควรจะเป็นห่วงรักใคร่น้องสิถึงจะถูก เธอเข้าใจความหมายของพี่ใช่ไหม?” ในที่สุดเหมยซูหานก็พูดออกมา
………………………………………….
ตอนที่ 434 คนร้ายสืบหาออกมาได้แล้ว
เหมยซูหานพูดจบกำลังจะจากไปแล้ว อู่เยวี่ยได้ยินเขาร่ำลากับอู่เจิ้งซือ แถมยังร่ำลาอู่เหมยอีก น้ำเสียงหวานนุ่มยิ่งกว่าข้าวเหนียวปั้นที่เธอกินเสียอีก เหมยซูหานไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับเธอมาก่อนเลย
อู่เยวี่ยสีหน้าเรียบนิ่ง จนเผลอกัดปากตัวเองแตกแบบไม่รู้ตัว นั่นเป็นเพราะใจของเธอเจ็บปวดยิ่งกว่าปากที่เธอพึ่งกัดจนแตกไปเมื่อครู่
เพราะเหมยซูหานพึ่งแทงมีดลงไปที่ใจเธออย่างโหดเหี้ยม ทำให้เธอเสียใจจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
อู่เหมยนังสารเลวนั่นชักนำพ่อไป ชักนำคุณปู่คุณย่าไป ทำเอาเพื่อนร่วมชั้นต่างก็หลงใหลเคลิบเคลิ้มไปตามกัน แม้กระทั่งตอนนี้พี่ซูหานเองก็โดนมันชักนำไปด้วย
ไม่ได้การแล้ว!
พี่ซูหานเป็นของเธอ ใครก็ห้ามคิดแย่งของเธอเด็ดขาด!
มีคนจะแย่งของของเธอไป มุมปากของอู่เยวี่ยกระตุกยิ้ม สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมไม่เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ดูแล้วร้ายกาจไม่เบา
หลายวันมานี้เป็นสยงมู่มู่ที่ส่งอู่เหมยไปเรียน เลิกเรียนก็เป็นสยงมู่มู่ไปรับเธอที่ห้องเรียน เสมือนเป็นพี่ชายคนหนึ่งไปแล้ว ส่วนเรื่องที่อู่เหมยได้รับบาดเจ็บ ทางโรงเรียนก็ไม่ได้แถลงอะไรออกมา
อันที่จริงอาจารย์ใหญ่หยวนก็สืบหาเงื่อนงำออกมาได้บ้าง ทำเอาเขาตกใจเป็นอย่างมาก ไม่อยากเชื่อข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ที่รองอาจารย์ใหญ่หาออกมาได้จริงๆ แต่พยานหลักฐานพยานบุคคลก็มีหมด เขาจะไม่เชื่อก็ไม่ได้
อาจารย์ใหญ่หยวนเดิมทียังวางแผนไว้ว่าจะทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะสามารถพูดได้อย่างเต็มที่ พวกตระกูลอู่จะทำร้ายรบรากันเองก็ช่างมันเถอะ ทำไมจะต้องเอามาวุ่นวายกับตำแหน่งของเขาด้วย?
เรื่องนี้เขาไม่สามารถเลิกแล้วกันไปแบบนี้ได้!
ด้วยเหตุนี้ ——
อู่เจิ้งซือได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์ใหญ่หยวนอีกครั้ง ตอนที่รับโทรศัพท์นั้นใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่พอฟังไปไม่กี่ประโยค สีหน้าก็พลันเคร่งเครียดในทันที แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง
“อาจารย์อู่ คนร้ายที่ใส่ตะปูในรองเท้าของอู่เหมยตอนนี้เจอตัวแล้ว เธอก็คือลูกสาวคนโตของคุณ นักเรียนอู่เยวี่ย” อาจารย์ใหญ่หยวนพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่เหมือนปกติที่จะชอบใช้คำพูดเพื่อเบี่ยงประเด็น กระชับสั้นๆ ได้ใจความ ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
อู่เจิ้งซือหน้าถอดสี ถามกลับอย่างสงสัยว่า “อาจารย์ใหญ่หยวนคุณกำลังพูดล้อเล่นใช่ไหม?”
“เรื่องแบบนี้ทำไมผมต้องพูดล้อเล่นกับคุณด้วย? อาจารย์อู่ ผมมีพยานหลักฐานนะ ถ้าไม่เชื่อล่ะก็ คุณก็มาฟังที่นี่ มาดูสิว่าผมพูดล้อเล่นหรือเปล่า!” อาจารย์ใหญ่หยวนยิ้มเยาะ ในคำพูดเต็มไปด้วยคำพูดจาเหน็บแนมเย้ยหยัน
อู่เจิ้งซือวางสายโทรศัพท์ หน้าดำคร่ำเครียดไปห้องทำงาน ถึงแม้ว่าสติปัญญาของเขาจะบอกเขาว่าอาจารย์ใหญ่หยวนคงไม่เอาเรื่องพวกนี้มาพูดเล่น แต่ความรู้สึกของเขายังไม่พร้อมที่จะเชื่อ คาดไม่ถึงว่าลูกสาวคนโตของเขาจะเป็นคนร้ายที่ทำร้ายลูกสาวคนเล็ก!
เดิมยังคิดจะเอาเรื่องนี้มาทำให้อาจารย์ใหญ่หยวนเป็นหนี้บุญคุณกับตัวเอง แต่ตอนนี้กลับสลับกัน อู่เจิ้งซือรู้สึกว่าโทรศัพท์สายนี้ของอาจารย์ใหญ่หยวนนั้น สามารถเย้ยหยันเขาได้มากกว่าตบเข้าหน้าเขาฉาดใหญ่เสียอีก
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เขาจำเป็นต้องไปด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะเชื่อ
ถึงแม้ว่าการแสดงของพวกอู่เหมยจะได้รับเลือกให้แสดงในงานปีใหม่ของเมือง แต่เพราะว่าเท้าของอู่เหมยได้รับบาดเจ็บ เลยไม่สามารถเข้าร่วมการแสดงได้ ถึงแม้ว่าจะทำใจได้นานแล้ว แต่อู่เหมยก็ยังรู้สึกทุกข์ใจอยู่ดี ส่วนสยงมู่มู่กับอู่เชากลับไม่ได้รู้สึกว่าได้รับผลกระทบอะไรเลยแม้แต่นิด ทำหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสทั้งวัน ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“ก็แค่งานแสดงปีใหม่ธรรมดา เป้าหมายของพี่ชายก็คืองานเลี้ยงเทศกาลตรุษจีนของเมืองต่างหากล่ะ!”
สยงมู่มู่ที่แสดงทีท่ามั่นอกมั่นใจถูกกรอกตามองบนใส่อย่างหมั่นไส้
“นกกระจอกจะรู้ปณิธานของห่านป่าได้อย่างไร ? ฉันกินอิ่มแล้ว จะมามัวพูดคุยกับนกกระจอกตัวเล็กๆ อย่างพวกเธอสองคนได้ไง ฉันไปล่ะ!”
สยงมู่มู่เปล่งเสียงหึอย่างภาคภูมิใจ แหงนหน้ามองท้องฟ้าจนเดินชนเข้ากับเสา แล้วต้องเดินกะเผลกกลับห้องเรียนไป อู่เหมยและอู่เชาที่อยู่ด้านหลังแอบหลุดขำ
งานเลี้ยงเทศกาลตรุษจีนของเมืองที่แสนยิ่งใหญ่ แต่ไรมาพวกเขาไม่เคยนึกเลยด้วยซ้ำ แม้กระทั่งนักแสดงมืออาชีพยังไม่แน่ว่าจะได้ขึ้นเวทีเลย แล้วนกกระจอกตัวเล็กๆ แบบพวกเขา ไหนเลยจะมีคุณสมบัติพอ?
สยงมู่มู่เขากำลังฝันกลางวันที่สุดของปีสินะ!
………………………………………….
ตอนที่ 435 ฉันเห็นคนร้าย
ถึงแม้ว่าสองวันมานี้เท้าของอู่เหมยจะไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก แต่ชีวิตในตอนนี้ก็ถือว่าดีไม่น้อย เช้าเย็นก็ได้สยงมู่มู่รับส่งไปเรียน ตอนเรียนก็มีเจียงซินเหมยและอู่เชาสองคนนี้ก็คอยตามไปปรนนิบัติด้วยทุกที่ โดยเฉพาะเจียงซินเหมย
เด็กสาวคนนี้มักคิดว่าเธอเป็นคนทำให้เท้าของอู่เหมยได้รับบาดเจ็บ ทั้งวันทำตัวเหมือนกับเป็นสาวรับใช้ให้ยัยตัวน้อย แม้กระทั่งอู่เหมยเข้าห้องน้ำก็ยังตามไปด้วย ขาดแค่เพียงไม่ได้ช่วยถกกางเกงให้อู่เหมยก็แค่นั้น อู่เหมยพูดอยู่หลายรอบ แต่เด็กสาวคนนี้ก็ไม่ฟัง พูดแค่เพียงว่าจะทำดีชดเชยความผิดจนกว่าเท้าของอู่เหมยจะหายดี
เพราะหลายวันมานี้เจียงซินเหมยอยู่ข้างกายอู่เหมยตลอด เพื่อนร่วมห้องก็พอมองออกแล้วว่าอู่เหมยเปลี่ยนเพื่อนสนิทไปแล้วเรียบร้อย หลายวันมานี้ไม่เห็นอู่เหมยจะสนใจเจินหวานหว่านเลยแม้แต่น้อย
เมื่อก่อนอู่เหมยกับเจินหวานหว่านเป็นเงาติดตามกันอยู่ไม่ห่าง อู่เหมยมีของกินอะไรที่อร่อยก็จะแบ่งไว้ให้เจินหวานหว่าน ดูสนิทสนมมากกว่าพี่สาวแท้ๆ เสียอีก
แต่หลังจากที่อู่เหมยมีท่าทางเปลี่ยนไป อย่าพูดถึงให้ของกินอร่อยเลย แทบจะไม่พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้แม้กระทั่งนั่งร่วมโต๊ะด้วยกันก็ไม่มี พวกเขาไม่ใช่คนตาบอด ทำไมจะมองไม่ออกถึงความเย็นชาของอู่เหมยที่มีต่อเจินหวานหว่าน
แต่เจินหวานหว่านก็เป็นคนหน้าหนาคนหนึ่ง วันๆ เอาแต่พูดถึงความสนิทสนมของตัวเองกับอู่เหมย โดยไม่ดูว่าความสัมพันธ์ของอู่เหมยตอนนี้กับเจียงซินเหมยสนิทสนมกันมากขนาดไหน!
เจินหวานหว่านมองเจียงซินเหมยประคองอู่เหมยพร้อมพูดคุยหยอกล้อเข้าห้องเรียนไปอย่างเย็นชา ในใจรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตของเธอช่วงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก จะสองเดือนแล้วที่อู่เยวี่ยไม่มาหาเธอ แน่นอนว่าเงินค่ารายงานข่าวก็ไม่ได้แม้แต่บาทเดียว
คิดจะเอาผลประโยชน์จากอู่เหมยก็อย่างหวังเลย แม้กระทั่งน้ำลายก็ยังไม่ได้ เห็นเงินแต่ไม่ได้เงิน เห็นของกินแต่ไม่ได้กิน เจินหวานหว่านต้องรัดเข็มขัดให้แน่น มันไม่ง่ายเลยที่กัดฟันทนต่อไป
เธอมองการบ้านวิชาเลขที่เขียนใกล้จะเสร็จแล้ว พลันรู้สึกขมขื่นขึ้นมาจับใจ เงินติดตัวไม่มีสักหยวน แม้กระทั่งเงินสองสตางค์เอาไว้ซื้อสมุดการบ้านก็ยังไม่มี เธอต้องคิดวิธีหาเงินถึงจะถูก
เรียนจบไปอีกคาบ อู่เหมยไม่คิดเข้าห้องน้ำ เลยนั่งอยู่ในห้องเรียนอ่านหนังสือ ใกล้จะสอบเรื่องหน่วยมาตราวัดแล้ว เธอต้องอ่านหนังสือให้มากๆ พยายามให้คะแนนถึงแปดสิบห้าคะแนนขึ้นไปให้ได้
“เหมยเหมย!”
เจินหวานหว่านยิ้มอย่างเอาใจ อู่เหมยปรายตาขึ้นมอง ตอบรับด้วยเสียงอันเบา แล้วรอฟังเธอพูด
“เหมยเหมยเท้าของเธอโดนตะปูตำมาใช่ไหม?” เจินหวานหว่านกดเสียงต่ำ มองดูแล้วลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
อู่เหมยยกคิ้ว เรื่องที่เท้าของเธอโดนตะปูแทงก็ไม่ใช่ความลับมากมายอะไร การที่เจินหวานหว่านพูดแบบนี้ต้องการจะสื่อถึงอะไร?
เจินหวานหว่านหยิบปากกามาเขียนลงในสมุดเลคเชอร์อย่างรวดเร็วหนึ่งประโยคว่า “ฉันเห็นว่าใครเป็นคนใส่ตะปูลงไปในรองเท้าของเธอ”
อู่เหมยหันไปมองเจินหวานหว่านแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้เห็นจริงๆ หรือว่าหลับหูหลับตาพูดคำโกหก เธอหยิบปากกาเขียนลงไปหนึ่งประโยค “เธอหมายความว่ายังไง? พูดออกมาตรงๆ”
“ฉันไม่มีความหมายอื่น ก็แค่ยังอยากเป็นเพื่อนที่ดีกับเธออยู่ ขอแค่พวกเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเมื่อก่อน ฉันจะบอกเธอแน่นอนว่าใครเป็นคนใส่ตะปู”
อู่เหมยส่งเสียงยิ้มเยาะ ขีดเขียนไปว่า “เงื่อนไขเรื่องเพื่อนของเธอแบบนี้ฉันไม่กล้ารับ เธอจะพูดก็ได้ไม่พูดก็ได้”
เขียนเสร็จเธอก็หันไปอ่านหนังสือ ไม่สนใจเจินหวานหว่านอีกต่อไป เธอรู้ตั้งนานแล้วว่าคนร้ายคืออู่เยวี่ย ยังจะต้องให้เธอบอกหรอ?
อีกอย่างเจินหวานหว่านเห็นจริงหรือเปล่า ใครจะไปรู้!
เจินหวานหว่านนึกไม่ถึงว่าอู่เหมยจะไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย พลันรู้สึกเหมือนตนเองขี่อยู่บนหลังเสือที่ยากจะลงมาได้แล้ว ไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรต่อไปดี อาจารย์อู๋ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมก็เดินเข้ามา เรียกให้อู่เหมย เจียงซินเหมย เจินหวานหว่านและอู่เชาออกไป บอกว่าอาจารย์ใหญ่มีคำถามที่อยากจะถามพวกเขา
ห้องของอาจารย์ใหญ่มีอู่เจิ้งซืออยู่ในนั้น รวมทั้งรองอาจารย์ใหญ่และนักเรียนหญิงแปลกหน้าอีกคนหนึ่งด้วย
………………………………………….
ตอนที่ 436 เด็กอ้วนน้อยที่ยอดเยี่ยม
อู่เหมยแค่มองก็รู้เลยว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บของเท้าเธอแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เรียกเจินหวานหว่านไปด้วย และยังมีนักเรียนหญิงแปลกหน้าคนนี้อีกคน
เธอใจเต้นโครมครามพลันนึกถึงมูลเหตุนั้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว สงสัยที่เจินหวานหว่านบอกว่าเธอว่าเห็นคนที่ใส่ตะปูกับตาตัวเอง น่าจะไม่ได้พูดโกหก
รองอาจารย์ใหญ่เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ดูท่าทางเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ทำหน้าที่จับตาดูความคิดของนักเรียน สายตาคมราวสายตาเหยี่ยวก็ไม่ปาน นักเรียนทั้งโรงเรียนที่อยู่ตรงหน้าเธอไร้หนทางจะซ่อนไว้ได้
นักเรียนหญิงแปลกหน้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาคนหนึ่ง ไม่ต้องให้รองอาจารย์ใหญ่ถามก็พูดถ่ายทอดออกมาด้วยตัวเอง เธอและอู่เยวี่ยเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนกัน วันนั้นเธออยู่หลังเวที ตอนที่อู่เยวี่ยไปเข้าห้องน้ำ ตรงที่เธอยืนอยู่นั้นเป็นที่ที่เห็นการกระทำของอู่เยวี่ยได้อย่างชัดเจอพอดี
“ฉันเห็นอู่เยวี่ยใส่ของบางอย่างลงไปในรองเท้า แต่ส่วนเป็นอะไรฉันเห็นไม่ชัด” นักเรียนหญิงพูด
แต่เจินหวานหว่านกลับไม่ได้เป็นคนซื่อตรงขนาดนั้น วันนั้นตรงที่ที่เธอยืนอยู่ห่างจากนักเรียนหญิงคนนั้นไม่ไกล อีกทั้งมุมที่เธออยู่ชัดกว่าหน่อย ตามหลักแล้วเธอควรจะมองเห็นสิ่งที่อู่เยวี่ยใส่ลงไปชัดเจนยิ่งกว่า
แต่หญิงสาวคนนี้ยังคิดจะเอาเรื่องนี้มาหาประโยชน์กับอู่เหมย จึงพูดจาคลุมเครือ ปฏิเสธโดยอ้างว่าตัวเองสายตาสั้นมองเห็นไม่ชัด
เพียงแต่ว่าเล่ห์เหลี่ยมลูกไม้พวกนี้ในสายตาของรองอาจารย์ใหญ่ก็เป็นแค่ลูกไม้ซ้ำซาก แค่เธอเปล่งเสียงตะคอกใส่ ทำหน้าเย็นชาเข้าหน่อย เจินหวานหว่านก็สะดุ้งตกใจเกือบตาย ยอมเล่าเรื่องราวออกมาทั้งหมดอย่างว่าง่าย
“ก่อนที่จะเข้าห้องน้ำฉันเห็นอู่เยวี่ยกวาดตะปูบนโต๊ะไปหนึ่งกำ หลังจากนั้นตอนเดินผ่านรองเท้าของอู่เหมยก็เอาตะปูใส่ลงไป”
อู่เจิ้งซือโมโหจนหน้าดำยิ่งกว่าน้ำหมึกเสียงอีก ต่อให้เขาไม่อยากที่จะเชื่อ แต่พยานบุคคลก็มีครบ จะไม่เชื่อก็ไม่ได้
อู่เหมยแสดงออกถึงท่าทางเสียใจออกมาได้ถูกจังหวะ ขอบตาแดงก่ำ พูดกับตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ทำไมพี่สาวถึงได้อยากทำร้ายหนู? ตอนเย็นก่อนวันที่จะไปเต้น พี่สาวยังให้กำลังใจหนูอยู่เลย บอกให้หนูเต้นให้ดี พยายามเอารางวัลมาให้ได้ พี่สาวจะมาทำร้ายหนูได้อย่างไรกัน หนูไม่เชื่อ!”
น้ำตาไหลพราก อู่เหมยพูดแต่ว่าเธอไม่เชื่ออย่างไม่หยุดปาก มองดูช่างน่าเศร้าและน่าสงสารอย่างที่สุด!
แต่ในใจกลับดีใจเจียนจะตายอยู่แล้ว อู่เยวี่ยจะมาให้กำลังใจเธอได้ยังไง? ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เธอแต่งขึ้นมาเองทั้งนั้น ถึงจะไปเสาะแสวงหาหลักฐานอย่างไร อู่เยวี่ยก็ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน ใครใช้ให้เธอเป็นพี่สาวที่แสนดีอบอุ่นคอยปกป้องน้องสาวกันล่ะ!
วันก่อนตอนเย็นยังพูดให้กำลังใจน้องสาว วันต่อมากลับแอบใส่ตะปูเพื่อทำร้าย พี่สาวที่เสแสร้งจอมปลอมอำมหิตแบบนี้ กลัวว่าคงต้องมีคนมากมายต้องทำความรู้จักกับอู่เยวี่ยใหม่เสียแล้ว
ตอนที่เจินหวานหว่านพูดอยู่นั้น อู่เชาก็ตกใจจนต้องอ้าปากค้าง จนกระทั่งอู่เหมยพูดจบ ปากของเขาก็ยังคงค้างอยู่เช่นนั้น ทุกคนต่างนิ่งเป็นขอนไม้ นานอยู่ครู่ใหญ่ถึงมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้าง ต่างตกใจจนเหงื่อไหลซึมออกมากันหมด!
”อารอง อู่เยวี่ยเธอจะต้องเป็นโรคประสาทแน่นอน เมื่อก่อนก็คิดอยากจะบีบคอของอู่เหมย ตอนนี้ยังจะแอบใส่ตะปูอีก ผมว่าไม่แน่อนาคตอาจจะกล้าฆ่าคนเลยก็ได้!”
อู่เชาพูดอ้อแอ้ไม่เป็นภาษาด้วยความเร็ว สงสารความกล้าของเขาที่แปรผกผันกับไขมัน ไหนเลยจะทนรับความตกใจจนอกสั่นขวัญหายวิญญาณออกจากร่างไปนานแล้ว!
หน้าของอู่เจิ้งซือยิ่งเคร่งเครียดกว่าเดิม หันไปจ้องอู่เชาเขม็ง สงสารก็แต่เด็กอ้วนน้อยที่ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไหนเลยจะมีอารมณ์มาสนใจเขาที่ถลึงตามองอย่างโมโห
“เสียวเชาก็ชอบพูดเป็นเล่น!” อู่เจิ้งซือหัวเราะเพื่อคลายบรรยากาศที่อึมครึม แต่ท่าทีของทุกคนล้วนประหลาดใจ มองอู่เจิ้งซือเหมือนมีนัยสำคัญอะไรแฝงอยู่
คำพูดของเด็กไม่ควรถือสา แต่คำพูดของเด็กกลับเป็นคำพูดที่แท้จริงที่สุด อู่เชาพูดออกมาในภาวะที่กำลังตื่นตระหนก จะต้องเป็นคำพูดที่จริงแท้แน่นอน นึกไม่ถึงว่าอู่เยวี่ยจะมีประวัติแบบนี้!
มิน่าล่ะถึงได้แอบใส่ตะปูในรองเท้าของน้องสาวแท้ๆ ได้ เห็นได้ชัดว่าสมองคงไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก!
………………………………………….
ตอนที่ 437 พี่ชายแก้แค้นให้แทนเธอแล้ว
อาจารย์ใหญ่หยวนให้พวกอู่เหมยกลับห้องเรียนไปก่อน ห้องทำงานเหลือแค่เพียงเขาและอู่เจิ้งซือ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนนี้ยังมีเรื่องต้องพูดคุยกันอีกสักพัก อู่เหมยและอู่เชาเพิ่งจะเดินออกจากห้องทำงาน อู่เชาที่ยังไม่ตื่นจากความตกใจกลัวก็จินตนาการไปไกลจนเปล่งเสียงดังขึ้นมา
“โอ้โห้ เฮ้ย สงสัยว่าปัญหาของอู่เยวี่ยจะเป็นเรื่องรุนแรงแล้วล่ะ วันหลังควรจะอยู่ให้ห่างๆ หน่อย……”
อู่เชาชะงักลงทันที เพราะเขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองได้ทำผิดลงไปแล้ว นึกถึงหน้าเคร่งขรึมก่อนหน้านั้นของอู่เจิ้งซือ เด็กอ้วนน้อยก็เสียใจอย่างถึงที่สุด ทำได้แค่เพียงตบปากตัวเองแรงๆ หลายที
เรื่องอับอายในบ้านห้ามเอาออกมาข้างนอก นายทำไมถึงลืมการอบรมสั่งสอนของคุณปู่คุณย่าได้ล่ะ!
อารองจะต้องเกลียดเขามากแน่นอน!
เด็กอ้วนน้อยกลับไม่รู้ว่าอู่เจิ้งซือเกลียดเขามาก แม้กระทั่งมีความคิดที่อยากจะบีบคอเขาให้ตาย
อู่เหมยหัวเราะในใจ เด็กอ้วนน้อยช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่ต้องให้เธอบอกเป็นนัยก็เข้าใจได้ขนาดนี้ เธอมองไปทางนักเรียนหญิงข้างๆ ที่เบิกตากว้างทำหน้าตาตกตะลึงและเจินหวานหว่านอยู่แวบหนึ่ง นักเรียนหญิงคนนั้นน่าจะไม่ป่าวประกาศเรื่องนี้ไปทั่ว แต่คนปากสว่างอย่างเจินหวานหว่าน กลัวว่าเอาเงินมาอุดปากก็เอาเธอไม่อยู่!
เชื่อเลยว่าไม่เกินหนึ่งวัน ชื่อเสียงเรื่องจิตไม่ปกติของอู่เยวี่ยก็จะเริ่มฉาวโฉ่เหมือนกับเรื่องกลิ่นตัวของเธอ ข่าวลือฆ่าคน ขอเพียงแค่พูดสามครั้งก็สามารถทำให้แม่แท้ๆ เชื่อว่าลูกฆ่าคนได้
ถ้าหากว่าต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คนอื่นมองคุณด้วยสายตาที่ว่า ‘แกมันเป็นโรคจิต’ ต่อให้เส้นประสาทของอู่เยวี่ยจะทำจากเส้นเหล็ก ก็กลัวว่าจะทนไม่ไหวจนขาดผึงไปน่ะสิ!
วันที่ประสาทของอู่เยวี่ยขาดผึง วันนั้นคงเป็นตอนที่เธอกลายเป็นโรคประสาทไปแล้วจริงๆ!
อู่เหมยเงยหน้ามองท้องฟ้าที่สวยงาม มุมปากเหยียดยิ้มกว้าง อู่เยวี่ยนะอู่เยวี่ย พยายามเสพสุขกับการนินทาของคนให้เต็มที่ไปเลยนะ!
ชำเลืองมองที่เด็กอ้วนน้อยข้างกายที่ทำหน้าสิ้นหวังอยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา อู่เหมยพูดข้างหูเขาอย่างหวังดีว่า “อย่ากลัว นายกลับไปก็ไปหาคุณป้าใหญ่และคุณย่าก่อน พวกเธอไม่มีทางให้คุณปู่และคุณลุงตีนายแน่นอน”
“จริงหรอ?” อู่เชาออกจะไม่เชื่ออยู่บ้าง
แม่ของเขาแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยสนใจเรื่องในบ้าน เมื่อก่อนทุกครั้งที่อู่เจิ้งเต้าสั่งสอนเขาและพี่ชาย เว่ยชิวเยวี่ยไม่เคยส่งเสียงอะไรเลยสักแอะ กลับเป็นคุณย่าที่พร่ำบ่นไม่หยุด แต่เขาไม่เชื่ออู่เหมยขนาดนั้น
อู่เหมยพยักหน้าอย่างมั่นใจ “วางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าวันนี้นายโดนตี ฉันยอมไปใช้แซ่นายเลย!”
อู่เชาดวงตาเป็นประกายจากนั้นก็ทำหน้าสิ้นหวังอีกครั้ง บ่นพึมพำว่า “รู้หรอกว่าเธอหลอกฉัน เธอกับฉันไม่ใช่แซ่อู่หรอกหรือ?”
อู่เหมยขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว กรอกตามองบนใส่ด้วยความเอือม อย่ามองว่าปกติแล้วเว่ยชิวเยวี่ยไม่สนใจเรื่องในบ้าน แต่เธอน่ะเป็นพวกเอาจริง คำพูดที่พูดออกมาแม้กระทั่งคุณปู่ก็ยังไม่กล้าดูถูก ส่วนคุณย่านั้นไม่ต้องพูดถึง ถึงอู่เยวี่ยจะอยู่ในใจของเธอ แต่ท้ายที่สุดก็ยังสู้เจ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้หรอก
ตอนบ่ายเลิกเรียน อู่เชากลับบ้านไปอย่างกระวนกระวายใจ ถึงแม้จะพูดว่าไม่ค่อยเชื่อคำพูดเหลวไหลของอู่เหมยเท่าไร แต่ก็ไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว เขาจะเอาวิธีของอู่เหมยมาลองสักตั้ง อาจจะมีผลลัพธ์ที่ดีได้ก็ดี ไม่ได้ก็ช่างมัน
อย่างมากก็โดนตีสักชุด ถึงอย่างไรคุณปู่แท้ๆ ของเขาคงไม่ตีเขาจนตายหรอก!
สยงมู่มู่มาที่ห้องเรียนตามปกติเพื่อมารับอู่เหมย เมื่ออู่เหมยขึ้นรถอู่เหมยก็เล่าเรื่องวันนี้ในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ สยงมู่มู่ส่งเสียงฮึอย่างเหยียดหยามและพูดว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเธอที่ทำ พี่ชายแก้แค้นแทนเธอตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว!”
โดยไม่ต้องรอให้อู่เหมยถาม เขาก็อวดผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทำในสองวันมานี้ด้วยตัวเอง ที่แท้สองวันมานี้ที่สยงมู่มู่ไม่ว่าง นักเรียนสยงที่โอหังและถือดีมาตลอดยอมอ่อนน้อมถ่อมตัวลง ร่วมมือร่วมใจกับเหล่าผองเพื่อนเอาเรื่องที่อู่เยวี่ยแอบใส่ตะปูเรื่องนั้นแพร่งพรายออกไปทั้งหมด
“พี่ชายก็จะให้เธอค่อยๆ จมน้ำลายตายไปเลย มีดอ่อนใช้ดีกว่ามีดจริงเยอะ!”
“พี่ชาย สุดยอดเยี่ยมจริงๆ!”
อู่เหมยชื่นชมไม่หยุด สยงมู่มู่ยืดหน้าอกอย่างชอบใจ ในที่สุดก็ได้ยินยัยเด็กบื่อนี่เรียกเขาว่าพี่ชายก่อนเสียที!
………………………………………….
ตอนที่ 438 ผิดหวังเหลือเกิน
กลิ่นหอมของซุปไก่สมุนไพรอบอวลไปทั่วทั้งระเบียงทางเดิน ถึงแม้ว่าปากของเหอปี้อวิ๋นจะพูดว่าไม่เชื่อเรื่องที่จิตของอู่เยวี่ยมีปัญหา แต่ช่วงนี้เธอกลับตุ๋นแต่ซุปไก่สมุนไพร ซุปไก่สมุนไพรจะช่วยให้ใจสงบ คิดดูแล้วในใจของเหอปี้อวิ๋นก็คงจะเชื่ออยู่บ้างแหละ
เพียงแต่ว่าเธอไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้าก็เท่านั้นแหละ!
อู่เยวี่ยกลับมาเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าเศร้าหมอง มองดูแล้วคงใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไร อู่เจิ้งซือที่ตามอู่เหมยกลับบ้านมาติดๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโห
อู่เหมยแอบดีใจ พายุมรสุมใกล้เข้ามาแล้ว!
“คุณอู่กลับมาแล้ว เดี๋ยวก็จะได้กินข้าวแล้ว!”
เหอปี้อวิ๋นเรียกอย่างกระตือรือร้น วางซุปไก่ชามใหญ่ไว้บนโต๊ะก่อน แล้วก็ตักใส่ชามเล็กๆ มองไปที่อู่เยวี่ยอย่างรักใคร่ “เยวี่ยเยวี่ยดื่มซุปก่อนชามหนึ่ง ดื่มซุปแล้วจะทำให้นอนหลับได้สบาย!”
อู่เยวี่ยกำลังจะยื่นมือไปรับซุป จู่ๆ อู่เจิ้งซือก็สะบัดมือฟาดเสียงดังเพี๊ยะ ชามซุปตกลงไปที่พื้น ซุปไก่และชามแตกกระจายเต็มไปหมด
“คุณอู่ คุณเป็นบ้าอะไร?” เหอปี้อวิ๋นตวาดเสียงดังอย่างไม่พอใจ
อู่เจิ้งซือไม่สนใจเธอเลยสักนิด มองอู่เยวี่ยอย่างเย็นชา ในตามีแต่ความผิดหวัง หัวใจของอู่เยวี่ยหล่นวูบลงไปถึงตาตุ่ม
หรือว่าพ่อจะรู้แล้ว?
“เพี๊ยะ”
เสียงดังกังวานชัดขึ้นมาอีกครั้ง เป็นอู่เจิ้งซือฟาดลงไปอย่างเหี้ยมโหด อู่เยวี่ยยังนิ่งไม่มีการตอบสนองใดกลับมา ทั้งยังหมุนตรงที่เดิมอยู่สองรอบและล้มไปกองลงบนพื้น หน้าบวมไปครึ่งหนึ่ง มุมปากมีเลือดไหลซึมออกมา
“เยวี่ยเยวี่ย!”
เหอปี้อวิ๋นรีบพุ่งตัวเข้าไป ประคองอู่เยวี่ยมาโอบกอดไว้ด้วยความเจ็บปวดใจ หัวของอู่เยวี่ยมึนงง หันมองเหอปี้อวิ๋นอย่างสับสน ดวงตาเหม่อลอยเหมือนกับคนโง่ยังไงอย่างนั้น
“เยวี่ยเยวี่ยลูกอย่าทำให้แม่ตกใจ ลูกส่งเสียงหน่อยสิ!”
เหอปี้อวิ๋นเรียกอยู่หลายครั้ง อู่เยวี่ยก็ยังไม่สนใจเธอ ยังคงนิ่งเหมือนเดิม เหอปี้อวิ๋นทั้งกังวลทั้งกลัว เอาแต่คิดว่าลูกสาวสุดที่รักโดนอู่เจิ้งซือตบจนโง่ไปแล้ว
“อู่เจิ้งซือคุณเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง? เสือยังไม่กินลูกตัวเองเลย คุณทำไมถึงได้ลงมือกับอู่เยวี่ยโหดเหี้ยมขนาดนี้? ฉันว่าใจของคุณมันดำเกินไปแล้ว!”
เหอปี้อวิ๋นที่โอบอู่เยวี่ยไว้ ประณามออกไปอย่างเดือดดาล อู่เหมยที่กำลังดูการแสดงอยู่ก็ยิ้มเยาะ หากไม่ใช่ว่าในตอนนี้บรรยากาศไม่ดีล่ะก็ เธอจะเอาคำพูดพวกนี้สวนคืนกลับเหอปี้อวิ๋นไม่ให้ตกไปแม้แต่คำเดียวเลยจริงๆ!
เมื่อก่อนเหอปี้อวิ๋นลงมือกับเธอไม่ได้นุ่มนวลไปกว่าอู่เจิ้งซือสักเท่าไรเลย!
อู่เจิ้งซือมองหน้าตาของอู่เยวี่ย ใจก็เริ่มอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขา ทำไมเขาจะไม่ปวดใจล่ะ?
อู่เหมยถือคติรีบตีเหล็กตอนร้อนพูดว่า “แม่ แม่ก็อย่าโทษพ่อเลย ใครให้พี่สาวทำให้พ่อต้องขายหน้าไปทั้งโรงเรียนล่ะ ตอนนี้เรื่องที่พี่สาวทำไว้โดนทั้งโรงเรียนลือกันไปทั่วแล้ว พ่อตีพี่แค่ทีเดียว ยังถือว่าเบาไปด้วยซ้ำ!”
อู่เจิ้งซือที่เดิมทีใจเริ่มอ่อนลง ได้ยินคำพูดของอู่เหมย ก็ใจแข็งขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะว่านังลูกเวรนี่ เขาทั้งพยายามอ้อนวอนทั้งขอร้องต่อหน้าอาจารย์ใหญ่หยวน ถึงจะทำให้อาจารย์ใหญ่หยวนละทิ้งความคิดบันทึกความผิดร้ายแรงที่จะลงโทษทางวินัย แต่เขายังไม่มีหนทางที่จะหยุดยั้งข่าวลือที่แพร่กระจายไปได้แล้ว
แต่นี่ก็เป็นบทสรุปที่ดีที่สุดแล้ว ไม่สนว่าข่าวลือจะร้ายแรงมากขนาดไหน อย่างน้อยประวัติของอู่เยวี่ยก็ขาวสะอาด เพราะเดี๋ยวข่าวลือก็จะหายไปในวันหนึ่ง แต่ประวัติถ้าถูกบันทึกจะถูกจดไว้ไปทั้งชีวิต อย่าคิดมันจะเป็นแค่จุดด่างพร้อยเล็กๆ มันก็จะติดตามไปทั้งชีวิต
ดังนั้นเขาถึงได้ติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงกับอาจารย์ใหญ่หยวน ช่วยปกป้องให้ประวัติของอู่เยวี่ยใสสะอาด ก็นับว่าไม่เป็นการเสียแรงเปล่า!
แต่อู่เจิ้งซือกลับรู้สึกผิดหวังในตัวอู่เยวี่ยจริงๆ เขาผิดหวังที่อู่เยวี่ยมีใจชั่วร้ายคิดทำร้ายคนอื่น อีกทั้งคนที่ทำร้ายก็ยังเป็นอู่เหมย และยังผิดหวังที่อู่เยวี่ยทำเรื่องชั่วทั้งทีก็ทำไม่รอบคอบ ทำให้คนมากมายจับเอาได้
ท้ายที่สุดแล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมถึงผิดหวัง แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด มันเลยทำให้เขารู้สึกโมโหขนาดนี้!
………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น