หมอดูยอดอัจฉริยะ 427-431
ตอนที่ 427 มังกรคะนองน้ำ (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่ยืนอยู่นอกอากาศพิษเจ็ดแปดเมตร เยี่ยเทียนหลับตาโคจรลมปราณเพื่อสัมผัสลมหายใจภายในร่างกาย หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาจึงลืมตาขึ้นแล้วค่อยๆ เดินเข้าไป
ระยะห่างเจ็ดแปดเมตรเวลาเดินเพียงสามถึงห้าก้าวเท่านั้น ไม่ช้าร่างกายทั้งตัวของเยี่ยเทียนก็เข้าหายเข้าไปในหมอกสีเทานั้นแล้ว
เวลานี้ลมหายใจของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นการหายใจโดยใช้กำลังภายใน และสิ่งที่โหมซัดสาดเข้ามารอบตัวเยี่ยเทียนนั้น เหมือนจะเป็นเกราะป้องกันที่มองไม่เห็น ทำให้หมอกที่แฝงไปด้วยพิษสามารถกำบังร่างกายเอาไว้ภายนอกได้
“ไม่ได้ สภาพตอนนี้ของฉัน มากสุดสามารถรักษาได้เพียงสิบนาที ถ้าเดินเข้าไปข้างในแล้วพบสัตว์ประหลาด เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะมีความกล้าหาญ แต่ก็ไม่ช่จะไม่รู้จักคำว่าอันตราย หลังจากรับรู้ถึงสภาพร่างกายของตัวเองแล้ว จึงไม่ขยับร่างกายท่อนบน แต่เท้ากลับค่อยๆ ถอยออกไป หลังจากเจ็ดถึงแปดนาทีก็กลับมาถึงปากหุบเขา
“เยี่ยเทียน เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?!”
หูหงเต๋อชะโงกศีรษะเยี่ยมๆ มองๆ ไปทางหุบเขา พร้อมกับในมือถือปืนเอ็มเจ็ดเก้าที่แย่งมาจากกัวจื่อเซิน เมื่อเห็นเทียนเทียนออกมาแล้ว เขาจึงรีบเดินเข้าไปรับ
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางพูด “ไม่เป็นไร เหล่าหู อากาศพิษที่อยู่ในหุบเขาเกรงว่าน่าจะเป็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นพ่นออกมา!”
เยี่ยเทียนเคยได้ยินท่านอาจารย์เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ นอกจากคนแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ผ่านการฝึกฝนจนเกิดสติปัญญาที่เฉลียวลาด และสัตว์แบบนี้ก็จะถูกเรียกว่าสัตว์วิเศษ
เพียงแต่สติปัญญาของสัตว์วิเศษเหล่านี้จะมีความเฉลียวฉลาดเหมือนเด็กอายุสองสามขวบ เมื่ออาศัยความสามารถในการรับรู้ที่มีมาแต่กำเนิด พวกมันก็รู้สึกถึงอันตรายที่อยู่ภายนอก ดังนั้นปกติจึงชอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแม่น้ำสายใหญ่และภูเขาที่อยู่ลึก ไม่ให้คนรู้
หลี่ซั่นหยวนบุกเหนือล่องใต้มาทั้งชีวิต เดินทางไปเหยียบแม่น้ำของประเทศนี้เกือบหมดแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเห็นการมีตัวตนอยู่ของสัตว์วิเศษแต่เขาก็รู้มาจากปากของอาจารย์ตัวเองเท่านั้น
ดังนั้นแม้แต่หลี่ซั่นหยวนก็ไม่กล้ายืนยันว่ามีสัตว์วิเศษอยู่บนโลกใบนี้ ตอนนั้นก็แค่แสร้งทำเป็นเล่านิทานให้ฟัง และเยี่ยเทียนก็ยังเด็ก จึงคิดว่าเป็นนิทานเท่านั้น
แต่หลังจากได้ฟังหูหงเต๋อเล่าเรื่องสัตว์ประหลาด และเยี่ยเทียนก็ได้ไปสำรวจอากาศพิษนั่นด้วยตัวเองแล้ว เขาจึงเกือบจะมั่นใจได้ว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาลูกนี้ต่อให้ไม่ใช่สัตว์วิเศษ ก็ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเฉลียวลาดที่ค่อนข้างสูง
และพลังจักรวาลที่แฝงอยู่ในอากาศพิษนั้น ไม่ได้ก่อตัวขึ้นจากธรรมชาติ และในตำนานกล่าวว่าการฝึกตนของสิ่งมีชีวิตจะต้องกลืนและคายพลังของจักรวาลออกมา ไม่แน่อากาศพิษที่อยู่ไปทั่วหุบเขาลูกนี้ ล้วนเป็นผลมาจากการหายใจเข้าออกของมัน
“เธอพูดว่าอากาศพิษที่เต็มภูเขาลูกนี้คือสัตว์ประหลาดตัวนั้นพ่นออกมา? อย่างนั้นก็เป็นภูตวิเศษล่ะสิ?” หูหงเต๋อกลับยากที่จะยอมรับคำพูดของเยี่ยเทียน ดวงตาเกือบจะถลนออกมา
ทั้งชีวิตของเขาฆ่าเสือที่ดุร้ายมานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเห็นภูตผีวิญญาณในภูเขา จึงส่ายหน้าติดต่อกัน เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของเยี่ยเทียน
“เหล่าหู บนโลกใบนี้ใช่ว่าจะไม่มีภูตผีและสัตว์ประหลาด!”
ก่อนหน้านั้นเยี่ยเทียนก็ไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ แต่เมื่อตัวเองได้เลี้ยงเจ้าเฟอร์เร็ตตัวหนึ่งที่เข้าใจคน และการมาภูเขาฉางไป๋ซานในครั้งนี้ ยังได้เห็นวิชาเข้าทรงเชิญเทพเจ้าเข้าร่างที่แปลกประหลาดของเมิ่งตาบอดโดยใช้กลองสำริดที่แขวนอยู่ที่เอว ทำให้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนความรู้ที่มีต่อโลกใบนี้ของเยี่ยเทียน
ตามความคิดของเยี่ยเทียนนั้น ลิทธิชามันที่พูดว่าทุกสรรพสิ่งมีจิตวิญญาณนั้น ก็ไม่ใช่การพูดที่ไม่มีมูลความจริง เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถพัฒนาการเข้ามาในระดับของมนุษย์ได้เท่านั้นเอง
“พอแล้ว เยี่ยเทียน เธอไม่ต้องคิดมากเกินไป พวกเรานอนอยู่ที่นี่ แล้วพรุ่งนี้เช้าก็กลับถึงจะเป็นเรื่องจริง!”
หูหงเต๋อรู้สึกกลัวหุบเขาที่อยู่ตรงหน้าอยู่บ้าง จึงพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่ดับกองไฟนี้ พวกเราก็เข้าไปในป่าแล้วก่อไฟใหม่ดีไหม?”
เดิมทีถ้านอนหลับอยู่ที่กลางภูเขานั่นจะปลอดภัยที่สุด แต่หูหงเต๋อรู้สึกกลัวว่าพรุ่งนี้ถ้าออกไปจะถูกสัตว์ประหลาดตัวนั้นขวางทาง ถึงตอนนั้นถ้าอยากจะหนีก็หนีไม่รอด
“ไม่เป็นไร เหล่าหู คุณนอนเถอะ ผมจะคอยเฝ้าคุณเอง!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า จากนั้นเขาจึงนั่งสมาธิโคจรลมปราณ เวลาผ่านไปสองชั่วโมงก็สามารถฟื้นฟูพลังชี่ดั้งเดิมที่สูญเสียไปทั้งวันกลับคืนมาทั้งหมด ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวภายนอกใดๆ ก็ไม่สามารถเล็ดรอดสายตาและหูของเยี่ยเทียนไปได้
“โอเค ฉันนอนก่อนนะ แล้วหลังเที่ยงคืนเธอค่อยเรียกฉัน!”
วันนี้รีบเดินทางบนภูเขามาหนึ่งวันเต็ม และตอนเย็นก็ยังต่อสู้กับเมิ่งตาบอด หนำซ้ำหลังก็ยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ทำให้กำลังวังชาของหูหงเต๋อได้ใช้ถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าไม่พักผ่อนอีกก็คงจะทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ
เขาก็เป็นคนที่รู้จักปล่อยวางคนหนึ่ง พอนอนได้สักพักก็มีเสียงกรนดังออกมา เยี่ยเทียนจึงเพิ่มฟืนแห้งเข้าไปในกองไฟ นั่งอยู่ข้างตัวของหูหงเต๋ออย่างเงียบๆ
เยี่ยเทียนไม่ได้ปลุกหูหงเต๋อตลอดทั้งคืน จนกระทั่งตอนฟ้าสาง พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงขึ้นมา หูหงเต๋อจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็เห็นเยี่ยเทียนได้ยืนฝึกวิชาอยู่ที่ชายป่าแล้ว
ขณะที่รอให้พระอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือยอดเขาที่อยู่ไกลๆ มองเห็นเยี่ยเทียนกำลังกลืน “พลังชีวิตสีม่วงจากดวงตะวัน” เข้าไปในปาก หลังจากพลังนี้ผ่านลำคอ ช่วงหน้าอกและหน้าท้องของเยี่ยเทียนเหมือนมีหนูวิ่งมุดไปมาและเดินไม่หยุด
จากนั้นจึงหายใจออกเห็นเป็นเหมือนผ้าสีขาวยาวๆ ที่ออกมาจากปากของเยี่ยเทียนยาวออกไปไกลสิบเมตรโดยไม่กระจายออกจากกัน หูหงเต๋อที่ดูอยู่ข้างๆ จึงอ้าปากค้าง ตอนนี้เขาจึงรู้ระยะห่างที่แท้จริงระหว่างตัวเองกับเยี่ยเทียนแล้ว
“เยี่ยเทียน วิชา…วิชาของเธอฝึกแบบนี้ออกมาได้ยังไง?” เมื่อเห็นวิธีการของเยี่ยเทียนแล้ว หูหงเต๋อจึงรู้สึกว่าสิบกว่าปีที่ตัวเองใช้ชีวิตนั้นเสียเปล่า
หลังจากได้ยินคำพูดของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนจึงยิ้มพูด “เหล่าหู ที่ผมฝึกคือวิชาของลัทธิเต๋า คุณฝึกไม่ได้หรอก แล้วก็ไม่ต้องอิจฉาด้วย”
“กลับไปผมจะใช้โสมสองสามอันนั้นมาปรุงยาวิเศษ หลังจากคุณทานแล้วก็สามารถฝึกวิชาและเดินลมปราณได้ ถึงตอนนั้นไม่แน่คุณอาจจะมีอายุยืนยาวเป็นร้อยปีก็คงไม่มีปัญหา”
“เฮ้อ ถ้ารู้แบบนี้ฉันคงเรียนวิชาที่สืบทอดมาจากตระกูลไปนานแล้ว” หูหงเต๋อกลุ้มใจไม่หยุด ในความคิดของเขา ทักษะและความสามารถเหล่านี้ของเยี่ยเทียนเป็นผลมาจากการฝึกฝนวิชาของเขา
“เคล็ดการฝึกวิชาของแต่ละสำนักไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ผู้สืบทอดของลัทธิเต๋า การฝึกตนแต่ไม่ฝึกจิตนั้นก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน!” เยี่ยเทียนส่ายหน้า ทันใดนั้นในใจจึงเกิดการรับรู้ แล้วจึงรีบมองไปที่หุบเขาทันที แล้วจึงตกตะลึงงัน
“เป็นอะไรไปเยี่ยเทียน?” หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนหยุดกะทันหัน จึงมองไปตามสายตาของเยี่ยเทียน พอพูดได้แค่ครึ่งเดียวแล้วจึงพูดไม่ออก
ภูเขาฉางไป๋ซานในฤดูหนาว กลับไม่มีหมอกควันอะไรแล้ว และจากตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ ก็สามารถมองเห็นต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ในหุบเขาได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ส่วนที่มีอากาศพิษปกคลุมอยู่นั้นยังไม่สามารถมองเห็นสภาพที่อยู่ข้างในได้
ทว่าในเวลานี้ หมอกที่อยู่ในหุบเขากลับลดลงอย่างรวดเร็วโดยเห็นได้จากตาเปล่า เหมือนถูกเครื่องดูดอากาศที่ดูดควันเหล่านั้นออกไปจนหมดเกลี้ยง
หลังจากเวลาผ่านไปเพียงสามถึงสี่นาที หมอกที่ปกคลุมหุบเขาทั้งลูกนั้นกลับหายไปไม่เห็นแล้ว หน้าผาสูงชันทั้งสองข้างกับบึงน้ำลึกที่อยู่ตรงกลาง ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อ
“ที่แท้ก็เป็นสัตว์วิเศษตัวนั้น เหล่าหู คุณรอผมอยู่ที่นี่!” เยี่ยเทียนพูดทิ้งท้าย จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปในหุบเขาราวกับลูกธนูที่ยิงออกไป
ระยะห่างของบึงน้ำในหุบเขากับปากหุบเขาห่างกันหลายร้อยเมตร จากสายตาของหูหงเต๋อจึงมองไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ไม่เหมือนกับเยี่ยเทียน เหมือนเขาจะมองเห็นสัตว์ประหลาดที่เหมือนงูแต่ไม่ใช่งูตัวหนึ่งยื่นออกมาจากผิวน้ำ และหมอกเหล่านั้นก็ถูกมันสูดเข้าไปในปาก
สัตว์ประหลาดที่อยู่ในภูเขาที่สามารถดูดพลังงานสุดยอดของพระอาทิตย์และพระจันทร์ก็เป็นเหมือนในตำนาน เวลานี้เยี่ยเทียนไม่สนใจความกลัวแล้ว เขาอยากจะรู้ว่าสัตว์ประหลาดนั่นคือตัวอะไรกันแน่? และมีพลังวิเศษจริงไหม?
ความเร็วของเยี่ยเทียนนั้นสุดยอดมาก ระยะห่างหลายร้อยเมตรถูกเขาดึงเข้ามาใกล้ภายในชั่วพริบตา หลังจากรอให้สัตว์ประหลาดที่อยู่ในสระน้ำสูดอากาศพิษเส้นสุดท้ายหมดแล้ว ร่างกายของเยี่ยเทียนก็มาถึงสถานที่กว้างสิบกว่าเมตรของสระน้ำ
“กรุ กรุ!”
และเหมือนมันจะสัมผัสถึงพลังชีวิตที่อยู่ภายในของเยี่ยเทียนได้ สัตว์ประหลาดตัวนั้นกลับไม่ได้โจมตีเยี่ยเทียนเหมือนที่เล่าตามตำนาน แต่มันกำลังส่งเสียงเรียกออกมาเหมือนเด็กทารกที่กำลังเตือนเยี่ยเทียน
หลังจากเก็บพลังอาฆาตภายในร่างกายแล้ว กลับมีเลือดและพลังลมปราณโหมซัดสาดเข้ามา จากนั้นเยี่ยเทียนจึงเอ่ยพูดว่า “ฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย แกกับฉันเป็นพวกเดียวกัน สามารถปรากฏตัวได้ไหม?”
เนื่องจากบึงน้ำนี้มีสีดำเหมือนหมึก นอกจากศีรษะเหมือนงูและมีวัตถุนูนออกมาแล้ว เยี่ยเทียนก็มองสภาพอย่างอื่นใต้น้ำไม่เห็นเลย
“กรุ…กรุ กรุ!”
ดูเหมือนมันจะสัมผัสถึงพลังชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์ของเยี่ยเทียนได้ ศีรษะที่อยู่ในสระน้ำนั้นจึงพยักหน้าให้เยี่ยเทียน จากนั้นก็ม้วนตัวลงในน้ำ แล้วร่างกายขนาดใหญ่ก็ลอยมาที่ริมฝั่ง
“ว้าว นี่..นี่คือมังกรคะนองน้ำจริงๆ ใช่ไหม? มีสิ่งมีชีวิตแบบนี้อยู่บนโลกใบนี้จริงเหรอ?” เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาทั้งหมดของสัตว์ประหลาดที่อยู่ในน้ำแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และสติสตังเกือบหลุด
เจ้าตัวที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนตอนนี้ มีรูปร่างไม่ต่างจากงู ตัวยาวประมาณเจ็ดถึงแปดเมตร และลำตัวหนามากเหมือนกับถังน้ำ
ตรงลำคอของมันมีลายสีขาวงอกออกมา และหลังของมันยังมีลายสีดำอีกด้วย หน้าอกสีน้ำตาลอมแดง ตัวเลื่อมเป็นประกายทั้งตัว เหมือนกับผ้าดิ้นสีสันสวยงามวาววับจับตา
สิ่งเหล่านี้ยังไม่ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงพอ เพราะสิ่งที่มหัศจรรย์มากที่สุดคือศีรษะที่สูงราวสามเมตรของสิ่งมีชีวิตนี้ มีกรงเล็บงอกออกมาหนึ่งคู่ แต่ละกรงเล็บก็มีเพียงสามนิ้ว บางทีอาจจะมีสาเหตุจากการใช้ชีวิตในบึงน้ำ และนิ้วทั้งสามก็มีตีนกบ
หางที่ยาวแหลมของสิ่งมีชีวิตนี้แข็งแกร่งเหมือนหนามแหลม ดวงตาและคิ้วมีเนื้องอกออกมาตัดสลับระหว่างดวงตา ซึ่งเหมือนกับมังกรคะนองน้ำในตำนานจริงๆ
“กรุ กรุ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังตกตะลึงนั้น จู่ๆ เจ้ามังกรคะนองน้ำตัวนี้ก็ส่งเสียงที่ดุร้าย เยี่ยเทียนหันไปกลับเห็นหูหงเต๋อถือปืนเอ็มเจ็ดเก้าวิ่งพุ่งมาทางนี้
เมื่อเห็นมังกรคะนองน้ำตัวนี้รู้สึกกระวนกระวาย เยี่ยเทียนจึงรีบแผดเสียงใส่เสียงดัง “เหล่าหู กลับไป รีบกลับไป!”
จนกระทั่งหูหงเต๋อถอยออกไปจากปากหุบเขา เจ้ามังกรคะนองน้ำตัวนั้นจึงเงียบสงบลง แล้วใช้ดวงตาโตเหมือนหลอดไฟคู่นั้นมองเยี่ยเทียนไปมา เหมือนกำลังสงสัยว่าเขามีพลังชีวิตที่เหมือนกับ“เพื่อน” ของตัวเอง แต่ทำไมรูปร่างถึงได้ประหลาดขนาดนี้?
เมื่อเห็นมังกรคะนองน้ำตัวนี้เหมือนจะไม่ได้ทำร้ายตัวเอง เยี่ยเทียนจึงสบายใจ แล้วเอ่ยพูดว่า “ฉันพูดแกเข้าใจไหม?”
“กรุ กรุ!” เจ้าตัวนี้ขานรับเยี่ยเทียน แล้วจึงพยักหน้าติดต่อกันด้วยศีรษะที่ใหญ่โต จากนั้นจึงอ้าปาก แล้วกลิ่นเหม็นคาวก็มาแตะปลายจมูกของเยี่ยเทียนทันที
ตอนที่ 428 มังกรคะนองน้ำ (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดวงตาโตเหมือนหลอดไฟคู่นั้นมองตัวเยี่ยเทียนไปมา เห็นได้ชัดว่าเจ้ามังกรคะนองน้ำตัวนี้รู้สึกแปลกมาก ที่คนที่อยู่ตรงหน้ากลับมีลมปราณที่เหมือนกับตัวเอง แต่ทำไมหน้าตาคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลานพวกนั้นที่มันกินไปเมื่อวาน?
ถูกมังกรคะนองน้ำจ้องมองแบบนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะพยายามแสดงเจตนาดีออกมา แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าตัวนี้จะสามารถเข้าใจไหม?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนจึงปล่อยการขับเคลื่อนของพลังชี่ออกมา เพื่อให้เลือดและลมปราณพองขึ้น เขากลัวว่าถ้าหากอีกฝ่ายโจมตีตัวเองขึ้นมาเขาจะได้หนีทัน
แต่ตอนที่สัมผัสถึงพลังชีวิตขนาดใหญ่ของเยี่ยเทียน เจ้ามังกรคะนองน้ำตัวนั้นกลับดีใจมาก หลังจากส่งเสียง “กรุ กรุ” ให้เยี่ยเทียนสองครั้ง ศีรษะใหญ่ของมันก็ยื่นไปที่เท้าของเยี่ยเทียน แล้วถูไถไปมาบนขากางเกงเขาเบาๆ
สิ่งมีชีวิตที่เหมือนมังกรกำลังเข้าใกล้เยี่ยเทียน หูหงเต๋อที่อยู่ห่างจากปากหุบเขาไปไกลๆ เมื่อเห็นภาพจึงตกใจกลัว มือกำปืนไว้แน่น
“กรุ กรุ!”
สัญญาณการรับรู้อันตรายของมังกรคะนองน้ำตัวนี้มีสูงมาก การกระทำเมื่อครู่ของหูหงเต๋อจึงทำให้มันหันศีรษะไปด้วยความโกรธ แล้วจึงคำรามเสียงดังไปที่ปากหุบเขา กรงเล็บตีนกบทั้งสองข้างก็ยันพื้นไว้ เหมือนจะพุ่งไปหาหูหงเต๋อ
“ไม่ต้องสนใจเขา เขาไม่ได้มีเจตนาร้าย!”
เยี่ยเทียนสามารถรับรู้เจตนาที่มังกรคะนองน้ำตัวนี้แสดงออกมาเมื่อครู่ เมื่อเห็นมันอยากจะไปโจมตีหูหงเต๋อ เขาจึงรีบตบมันหนึ่งที
เพียงแต่มังกรคะนองน้ำในตำนานตัวหนึ่งได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า เยี่ยเทียนก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี จึงอดกลั้นไว้ครู่หนึ่ง แล้วถามไปว่า “ฉันอยากถามว่า…แกอาศัยอยู่ในนี้ตลอดเหรอ?”
“กรุ กรุ!”
ถึงแม้มังกรคะนองน้ำตัวนี้จะเปิดการรับรู้แล้ว แต่มันก็ไม่เคยเรียนรู้คำพูดมนุษย์ เมื่อได้ยินคำพูดที่ฟังไม่เข้าใจมันจึงเอียงศีรษะมองเยี่ยเทียน
“ฉันพูดว่า แกเกิดมาก็อาศัยอยู่ในบึงน้ำนี้ใช่ไหม?” เยี่ยเทียนชี้ไปที่บึงน้ำมังกรดำที่ดำเหมือนน้ำหมึก แล้วจึงชี้มือชี้ไม้อยู่ครึ่งวัน เจ้ามังกรคะนองน้ำตัวนั้นถึงพยักหน้า
“ตามตำนานเล่าว่างูพิษหนึ่งพันปีจะกลายเป็นมังกรคะนองน้ำ และมังกรคะนองน้ำอีกห้าร้อยปีจะกลายเป็นมังกร และบนศีรษะของเจ้าตัวนี้ก็มีมุมแหลมงอกมา จึงไม่รู้ว่ามันอยู่ในนี้มากี่ปีแล้ว”
เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสเลือดลมที่โหมซัดสาดอยู่บนตัวของมังกรคะนองน้ำได้อย่างชัดเจน และเปี่ยนล้นไปด้วยพลังมากกว่าของตัวเองเสียอีก เขาไม่เคยเห็นสัตว์วิเศษแบบนี้มาก่อน ทำให้เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าพวกมันฝึกได้อย่างไร และก็ไม่รู้ว่ามันฝึกบรรลุถึงขึ้นไหนแล้ว
“กรุ กรุ!”
การใช้ชีวิตในภูเขามานับร้อยปี ถือว่าเจ้ามังกรคะนองน้ำตัวนี้ก็เป็นห่วงโซ่อาหารสูงสุดในภูเขาฉางไป๋ซานแล้ว และสัตว์อื่นๆ ก็เป็นเพียงอาหารของมันเท่านั้น
เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังชีวิตเหมือนตัวเอง จึงทำให้มันดีใจมาก จึงอ้าปากกัดขากางเกงของเยี่ยเทียน แล้วลากเขาลงไปในน้ำ
“เฮ้ย จะทำอะไร?” เยี่ยเทียนรีบชักขากลับ ถ้าหากไม่ได้สัมผัสถึงความจงใจของอีกฝ่าย เยี่ยเทียนก็คงคิดที่จะลงมือกับมันไปแล้ว
แต่นอกจากหน้าอกและหน้าท้องแล้ว สัตว์ประหลาดตัวนี้มีแต่เกล็ดปกคลุมไปทั่วทั้งตัว เยี่ยเทียนจึงไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี และแค่พลังชีวิตที่แฝงอยู่ในตัว เยี่ยเทียนก็รู้ตัวว่า ตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน
เมื่อเห็นมังกรคะนองน้ำตัวนี้คลานไปที่ริมสระน้ำแล้วส่งเสียง “กรุ กรุ” ให้ตัวเองไม่หยุด เยี่ยเทียนจึงลองถามถามมัน “แกจะให้ฉันลงไปในน้ำ?”
“กรุ กรุ!” มังกรคะนองน้ำไม่เพียงแต่พยักหน้า แต่ในดวงตาของมันยังปรากฏความปลื้มปีติออกมา เหมือนดีใจมากที่เยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของมัน
“ทำไมน้ำถึงเย็นขนาดนี้?”
เยี่ยเทียนเดินไปที่ริมสระน้ำอย่างลังเล หลังจากยื่นมือเข้าไปเพื่อทดสอบ พลังความหนาวเย็นก็เข้ามาอยู่ในหัวใจของเขา ทำให้เขาอดหนาวสั่นอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อมองดูสระน้ำขนาดใหญ่ร้อยกว่าเมตรที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง เยี่ยเทียนจึงโบกมือติดต่อกันแล้วพูด “ไม่ได้ มันเย็นเกินไป ฉันลงไม่ได้”
ถึงแม้การฝึกวรยุทธ์จะถึงขั้นที่ความหนาวและความร้อนเข้าแทรกไม่ได้ แต่สระน้ำแห่งนี้เหมือนจะสามารถแช่แข็งจิตวิญญาณของมนุษย์ได้ เยี่ยเทียนคิดว่าต่อให้เขาปิดรูขุมขนทั่วทั้งตัว หลังจากลงไปก็ไม่อาจต้านทานความหนาวเย็นที่กัดเซาะได้อยู่ดี
“กรุ กรุ!”
มังกรคะนองน้ำตัวนั้นเห็นเยี่ยเทียนไม่ยอมลงน้ำ มันก็ไม่ฝืน จากนั้นตัวเองจึงกระโดดลงไปในสระน้ำและหมุนตัวไปมา ทำให้สระน้ำเกิดคลื่นลูกใหญ่โหมซัดสาด
ถึงแม้มังกรคะนองน้ำจะมีอายุมากกว่าเยี่ยเทียน แต่สติปัญญาของมันกลับเหมือนกับเด็กอายุเจ็ดขวบ หลังจากเล่นสนุกสักพักแล้ว มันก็ดำลงไปในน้ำ แล้วสระน้ำก็ค่อยๆ นิ่งสงบอีกครั้ง
จนกระทั่งตอนนี้ สายตาที่เหลือของเยี่ยเทียนจึงสำรวจบริเวณรอบๆ บึงน้ำมังกรดำ การอยู่กับมังกรคะนองน้ำเมื่อครู่ เป็นแรงกดดันที่มองไม่เห็นทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกหายใจไม่ทัน
อาจจะเป็นเพราะปัจจัยของอากาศเวลานี้กับผลกระทบจากอากาศพิษ ทำให้ในหุบเขาลึกแห่งนี้กลับไม่มีหญ้างอกเลยสักนิด แต่ผาสูงชันทั้งสองข้างกลับมีต้นไม้พุ่มเตี้ยและหญ้าแห้งบางส่วน แสดงว่าฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน ที่นี่จะต้องมีพืชแน่นอน
นอกจากนี้บริเวณรอบๆ บึงน้ำยังมีเศษกระดูกของสัตว์มากมาย น่าจะเป็นสัตว์ที่อยู่ในภูเขาถูกมังกรคะนองน้ำจับกิน แน่นอนว่า คนสองสามคนที่ถูกลากไปเมื่อคืน คาดว่าจะอยู่ในนี้ด้วย
แล้วก็ยังมีสิ่งที่แปลกประหลาดอีกก็คือ บึงน้ำที่มีความหนาวเย็นขนาดนี้ มีระยะห่างไม่ไกลจากน้ำพุร้อนที่อยู่กลางภูเขา และยังมีพลังจักรวาลล้นออกมาเล็กน้อย
ถ้าหากเป็นสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นบึงน้ำมังกรดำหรือน้ำพุร้อน ทุกที่ล้วนเป็นสถานที่ฝึกวรยุทธ์ที่ดีที่สุด และยังเป็นดินแดนสุขาวดีที่ผู้บำเพ็ญตนตามลัทธิเต๋ากล่าวไว้
ถึงแม้ผิวน้ำของบึงน้ำจะเย็นมาก แต่เมื่อโคจรกำลังภายใน ในขณะที่ยืนอยู่ที่ริมสระน้ำนั้น ก็สามารถดูดซับพลังจักรวาลในนั้นเข้าไปในร่างกายได้ และเยี่ยเทียนก็รู้สึกถึงพลังที่สดชื่นและมีชีวิตชีวา
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยืนตรงนั้นไม่ขยับ หูหงเต๋อที่ยืนอยู่ปากหุบเขาจึงร้อนใจ แล้วตะโกนเสียงดัง “เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้น? เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม? รีบออกมาเถอะ!”
เสียงตะโกนของหูหงเต๋อทำให้เยี่ยเทียนสะดุ้ง ตื่นขึ้นมาจากภวังค์เหมือนนาฬิกาปลุก แล้วจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดว่า “เหล่าหู ผมไม่เป็นอะไรครับ อีกสักครู่ผมจะออกไป ผมขอคุยกับมังกรคะนองน้ำก่อน หากวันหลังมันไปทำร้ายคนอื่นอีกล่ะ?”
พูดตามจริงเยี่ยเทียนก็มีวิธีจริงๆ เพราะเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ปืนไฟที่ผู้คนใช้กันมีอานุภาพไม่แรงมาก กระสุนเหล็กพวกนั้นจึงไม่สามารถทะลุเกล็ดของมังกรคะนองน้ำได้
แต่วันนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ถ้าหากมังกรคะนองน้ำยังกินคนไปทั่วแบบนี้ จะเป็นการดึงดูดกองกำลังทหารเข้ามา และต่อให้มันมีความสามารถยอดเยี่ยมแค่ไหนก็หนีการโอบล้อมไม่ได้
และในฐานะที่มันคล้ายมังกรมากที่สุดในโลก เยี่ยเทียนจึงไม่อยากให้ใครมารบกวนมัน แต่มังกรคะนองน้ำตัวนี้ก็ต้องให้ความร่วมมือด้วยเช่นกัน
บทสนทนาของเยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อเหมือนจะทำให้มังกรคะนองน้ำตกใจ จากนั้นผิวน้ำก็ม้วนขึ้น แล้วร่างที่ใหญ่มหึมาของมันก็ปรากฏตัวอยูในน้ำ แล้วว่ายตรงมาหาเยี่ยเทียนโดยตรง
“กรุ กรุ!” มังกรคะนองน้ำอ้าปากออกกะทันหัน มีก้อนหินที่ดำสนิทเป็นประกายขนาดยาวเท่านิ้วชี้ตกมาอยู่ตรงหน้าของเยี่ยเทียน
“นี่คืออะไร?”
เยี่ยเทียนตกตะลึง แล้วจึงนั่งลงยองๆหยิบก้อนหินขนาดเล็กมาอยู่ในมือ แต่ตอนที่ฝ่ามือกับก้อนหินนั้นสัมผัสกัน ทำให้เยี่ยเทียนตัวสั่นไปทั้งตัวในทันที
หนาว ความหนาวเย็นนี้รู้สึกหนาวกว่าน้ำในบึงน้ำมากกว่าสิบเท่า จากปลายนิ้วของเยี่ยเทียนส่งผ่านไปถึงภายในร่างกาย ความเย็นแบบนั้นเหมือนจะทำให้เลือดของเยี่ยเทียนแข็งตัว แค่ในระยะเวลาอันสั้น ผมของเยี่ยเทียนยังเกิดชั้นน้ำแข็งขึ้นมาหนึ่งชั้น
เลือดลมภายในร่างกายของเยี่ยเทียนก็เริ่มโคจรเช่นกัน กลุ่มพลังงานความอบอุ่นลอยขึ้นในหัวใจ และค่อยๆ เคลื่อนตัวอยู่ในเส้นสมปราณ ช่วยขจัดความหนาวเย็นออกไปจากร่างกายของเยี่ยเทียน
ถึงแม้เมื่อครู่ไม่ทันตั้งตัวจนต้องเสียเปรียบ แต่ตอนที่พลังชี่แท้เคลื่อนไปมานั้น พลังความหนาวเย็นกับหลอมรวมเข้ากับพลังชี่ดั้งเดิมภายในร่างกายของเยี่ยเทียนอย่างลงตัว เพียงเวลาสั้นๆ เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าพลังชี่ดั้งเดิมที่อยู่ภายในร่างกายเหมือนจะแข็งแรงมากขึ้น
ระยะเวลาเจ็ดถึงแปดนาทีเต็ม เยี่ยเทียนจึงอ้าปากแล้วพ่นไอสีขาวที่เหมือนดาบแหลมคมออกมา ซึ่งมันมีความหนากว่าพลังที่ดูดซับเข้าไปเมื่อตอนเช้ามาก เหมือนกับมีดปลายแหลมเล่มหนึ่งจริงๆ
“นี่คืออะไร? ทำไมถึงมีพลังที่บริสุทธิ์ขนาดนี้? แล้วพลังบริสุทธิ์แบบนี้ทำไมถึงได้หนาวเย็นขนาดนี้?”
เมื่อขยับนิ้วมือออกห่างจากกินก้อนเล็กสีดำแล้ว สายตาของเยี่ยเทียนจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เพียงแค่ไม่สัมผัสของสิ่งนี้ มันก็เหมือนกับหินดำทั่วไปที่ไม่มีพิษมีภัย และไม่สะดุดตาเลยสักนิดเดียว
“กรุ กรุ!” มังกรคะนองน้ำเห็นเยี่ยเทียนไม่หยิบก้อนหินก้อนเล็กนั้นขึ้นมา มันจึงใช้กรงเล็บที่มีตีนกบยาวออกมาผลักไปอยู่ตรงหน้าของเยี่ยเทียน
“แกต้องการมอบให้ฉันเหรอ?”
เยี่ยเทียนถามถึงก้อนหินที่หนาวเย็นสุดขั้วอันนี้ สำหรับการฝึกวรยุทธ์ของเยี่ยเทียนนั้นกลับมีประโยชน์อย่างมาก พลังของความหนาวเย็นที่หลอมรวมเข้ากับภายในร่างกายพอดี ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกถึงพลังชี่ดั้งเดิมที่อยู่รอบตัวเองได้ควบรวมกันมากขึ้น
เมื่อมองดูบึงน้ำที่ดำสนิทเหมือนน้ำหมึก เยี่ยเทียนจึงเข้าใจบางอย่างทันที หรือว่าการเกิดขึ้นของบึงน้ำมังกรดำนี้ จะเกี่ยวข้องกับก้อนหินเป็นส่วนใหญ่
“กรุ กรุ…” หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว มังกรคะนองน้ำจึงพยักหน้า
“ได้ ฉันจะรับไว้แล้วกัน!”
ของดีเช่นนี้ เยี่ยเทียนไม่เกรงใจอยู่แล้ว จากนั้นจึงฉีกผ้าออกมาหนึ่งผืน แล้วห่อหินที่เหมือนหยกดำขึ้นมา ใส่ลงไปในกระเป๋าของตัวเอง
“ร่างกายของแกสีน้ำตาลอมแดงเกือบจะเป็นสีดำ ฉันจะเรียกแกว่า เฮยเจียว(มังกรคะนองน้ำสีดำ)”
เมื่อได้รับของวิเศษ เยี่ยเทียนจึงดีใจมาก จากนั้นจึงช่วยตั้งชื่อให้มัน แล้วพูดว่า “เฮยเจียว จากวรยุทธ์ของแกในตอนนี้ แค่ดูดกลืนพลังของพระอาทิตย์กับพระจันทร์ก็สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้แล้ว ต่อไปไม่ต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นอีก”
เพื่อทำให้เฮยเจียวเข้าใจคำพูดของตัวเอง เยี่ยเทียนจึงชี้มือชี้ไม้ไปที่โครงกระดูกเหล่านั้นนานครึ่งค่อนวัน แล้วเจ้าตัวนี้ก็เข้าใจในที่สุด
“กุ…กรุ กรุ!” ถึงแม้เฮยเจียวจะฟังคำพูดของเยี่ยเทียนรู้เรื่อง แต่กลับไม่เข้าใจ ดวงตาที่เย็นชาผิดปกติคู่นั้น ก็เปลี่ยนเป็นสายตาที่ไม่เข้าใจทันที
“ถ้าหากแกถูกคนพบเห็น แกจะถูกคนฆ่าตาย!” เยี่ยเทียนพูดออกมาอย่างจนใจ เพราะห่วงโซ่อาหารที่สูงที่สุดในโลก สุดท้ายก็คือมนุษย์
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ดวงตาของเฮยเจียวจึงเผยความดูถูกออกมา จากนั้นมันจึงสะบัดหางที่เหมือนหนามแหลม เสียงดัง “ครืน” แล้วกำแพงหินที่สูงกว่าสิบเมตรก็บินว่อน จากก้อนหินที่แข็งแกร่งกลายเป็นเต้าหู้ที่อ่อนนุ่มจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“โอ้สวรรค์ เก่งกาจขนาดนี้เชียว?”
เดิมทีเยี่ยเทียนพยายามคาดคะเนพลังในการต่อสู้ของเฮยเจียวอย่างเต็มที่ แต่หลังจากที่เห็นก้อนหินที่แหลกละเอียดกองบนพื้น เขาจึงรู้ว่าตัวเองดูถูเฮยเจียวเกินไปแล้ว
…
ตอนที่ 429 มังกรคะนองน้ำ (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นอานุภาพการสะบัดหางของเฮยเจียว เยี่ยเทียนตกใจจนมีเหงื่อเย็นไหลทั้งตัวไม่หยุด ถ้าหากตัวเองไม่มีพลังที่เหมือนกับมัน ตัวเองก็คงยากที่จะหนีรอดจากมังกรคะนองน้ำที่ในบึงน้ำมังกรดำแห่งนี้
หลังจากสะบัดหางที่เป็นเหมือนแส้แล้ว เฮยเจียวจึงส่งเสียง “กรุ กรุ” ออกมาอย่างภาคภูมิใจ แล้วดวงตาคู่นั้นก็มองเยี่ยเทียนเหมือนเป็นการเยาะเย้ยเขา
การใช้ชีวิตอยู่ในภูเขาร้อยกว่าปี นอกจากกลุ่มคนที่สร้างความรู้สึกอันตรายให้มันเมื่อหลายสิบปีก่อน เฮยเจียวก็ไม่เคยเจอคู่แข่งอีกเลย และบริเวณรอบๆ บึงน้ำมังกรดำ มันจึงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
“เฮยเจียว สังคมตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีอาวุธมากมายที่สามารถฆ่าแกได้”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เพราะสังคมในตอนนี้ คนที่เป็นศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่กระแสหลักในสังคมแล้ว อย่างเช่น หูหงเต๋อที่อย่างน้อยก็สามารถต่อสู้กับคนธรรมดาได้สามถึงห้าคน แต่ถ้าคนธรรมดาถือปืนอยู่ในมือ ก็สามารถฆ่าเขาได้เช่นกัน
ดังนั้นแม้ว่าเฮยเจียวจะเก่งกาจแค่ไหน สุดท้ายมันก็คือสัตว์ที่อยู่บนโลกใบนี้ และพวกมนุษย์ก็มีวิธีฆ่ามัน หรือแม้กระทั่งจับตัวมันเป็นๆ เยี่ยเทียนไม่อยากให้สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมังกรต้องเจอจุดจบแบบนั้น
“กรุ กรุ!” เฮยเจียวร้องและส่ายหน้า แต่สายตากลับมองไปที่หูหงเต๋อที่นอกหุบเขา เหมือนว่ามันจะรู้สึกได้ถึงของที่ถืออยู่ในมือของคนนั้น ที่เหมือนจะสามารถทำร้ายตัวเองได้นิดหน่อย
ถ้าอยากจะโน้มน้าวเจ้าผู้ครองภูเขาฉางไป๋ซานให้สำเร็จ เยี่ยเทียนจึงต้องใช้ลูกเล่นนิดหน่อย แล้วจึงพูดว่า “ไม่เชื่อใช่ไหม? แกตามฉันมา!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินออกไปข้างนอก เฮยเจียวจึงลังเลพักหนึ่ง แต่ก็ยังเอี้ยวตัวตามไปข้างหน้า วิธีคลานของมันมีความพิเศษเฉพาะตัวมาก ไม่ขยับตีนกบสองข้างที่อยู่ข้างหน้าเลยสักนิด และทั้งตัวของมันก็เหมือนกับงูที่เลื้อยคดเคี้ยวไปข้างหน้าและรวดเร็วมาก
“เยี่ยเทียน คุณพามันมาทำอะไร?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนพามังกรคะนองน้ำเดินออกมาจากหุบเขา หูหงเต๋อจึงรีบถอยหลังติดต่อกัน จนกระทั่งถอยไปที่ป่าเก่าแก่ที่มีระยะห่างสามสิบเมตรจากปากหุบเขาแล้วจึงหยุดฝีเท้า
เยี่ยเทียนลูบศีรษะของเฮยเจียว แล้วชี้ไปที่หูหงเต๋อพลางพูด “เฮยเจียว นั้นเป็นพวกเดียวกัน ต่อไปถ้าแกเจอเขาห้ามทำร้ายเขานะ”
เฮยเจียวมองดูหูหงเต๋อ พร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความฉงน เพราะสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้นไม่มีพลังจักรวาลเลยสักนิด อ่อนแอจนตัวเองสามารถกลืนเขาเข้าไปได้เพียงคำเดียว แล้วจะเรียกว่าเป็นพวกเดียวกันได้อย่างไร?
แต่บนภูเขาที่ใหญ่ขนาดนี้ เฮยเจียวได้เห็น “เพื่อน” ที่มีวรยุทธ์เหมือนกันเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงรู้สึกเชื่อเยี่ยเทียนอย่างบอกไม่ถูก จึงเก็บสายตาที่ดุร้ายไว้แล้วพยักหน้าให้หูหงเต๋อ
เยี่ยเทียนกวักมือเรียก แล้วพูด “เหล่าหู คุณมานี่ และในใจห้ามมีความคิดร้ายหรืออยากฆ่าใครนะ”
เฮยเจียวมีความสามารถที่แข็งแกร่งในการสัมผัสการขับเคลื่อนของพลังชีวิต แค่มีเจตนานิดหน่อยมันก็สามารถรับรู้ได้ ซึ่งไม่เหมือนกับการฝึกวรยุทธ์ของเยี่ยเทียน ความสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งชั่วร้ายจึงเป็นพรสวรรค์ของสัตว์ตั้งแต่เกิด
“เจ้า…เจ้าตัวนี้ถ้าพัฒนาการอีกหน่อย ก็…ก็จะเป็นมังกรจริงๆ ใช่ไหม?”
หูหงเต๋อไม่ใช่คนขี้ขลาด หลังจากเอาปืนไปไว้ข้างหลังแล้ว จึงเดินมาที่ตัวของเฮยเจียวที่ยาวสี่ถึงห้าเมตร และเหมือนถูกความรู้ที่สมจริงที่ทรงอานุภาพกดทับ ทำให้เขาไม่กล้าเดินเข้าไปข้างหน้า
“บนโลกใบนี้มีมังกรจริงไหมนั้นพูดยาก แต่เฮยเจียวตัวนี้ (มังกรคะนองน้ำ) เกรงว่าจะมีอยู่สองสามตัวมั้ง?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า สายตาจ้องมองไปที่หูหงเต๋อพลางพูด “เหล่าหู เรื่องที่มีมังกรคะนองน้ำอยู่ในบึงน้ำมังกรดำ คุณห้ามบอกใครเด็ดขาด ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล่าขานเป็นตำนาน ก็อาจจะมีคนเชื่อ”
และบนโลกใบนี้คนที่ชอบเสี่ยงก็มีมาก ถ้าหากมีคนรู้ว่าที่นี่มีมังกรคะนองน้ำอยู่จริง เกรงว่าในภายภาคหน้าบึงน้ำมังกรดำจะไม่สงบสุขอีกต่อไป แล้วภูเขาที่กว้างใหญ่ลูกนี้ก็ไม่อาจกั้นจิตใจที่ชั่วร้ายของคนได้
“ฉันรู้แล้ว เธอสบายใจได้!” หูหงเต๋อพยักหน้าตอบรับ
เยี่ยเทียนจึงเอ่ยพูด “อ้อใช่ เหล่าหู เอาปืนที่อยู่ข้างหลังคุณมาให้ผม!”
ถ้าอยากให้มังกรคะนองน้ำเชื่อการคุกคามของคนภายนอกที่มีต่อมัน จึงจำเป็นต้องให้มันรู้จักอานุภาพของอาวุธในยุคปัจจุบันนี้ หลังจากรับปืนเอ็มเจ็ดเก้ามาจากมือของหูหงเต๋อแล้ว เยี่ยเทียนจึงเหนี่ยวไกปืนแล้วยิงกระสุนไปที่ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลหมดไปหนึ่งชุด
“ปัง ๆ…ปัง ๆๆ!”
เสียงปืนดังกังวานสะท้อนไปมาอยู่ในภูเขา กระสุนหนึ่งชุดยิงไปโดนต้นไวท์เบิร์ช จากนั้นหิมะก็ร่วงลงมาไม่หยุด หลังจากยิงกระสุนหมดไปหนึ่งชุดแล้ว บนลำต้นไม้จึงมีรูกระสุนลึกอยู่มากมาย
“เป็นยังไงบ้าง? แกสามารถหลบกระสุนนี้ได้ไหม?”
เยี่ยเทียนมองไปทางเฮยเจียว แต่กลับพบว่ามันไม่ได้มีสีหน้าที่ตกใจเลย และดวงตาของมันก็เผยให้เห็นถึงการดูถูก
“กุ…กรุ!”
เฮยเจียวส่ายหน้าเบาๆ และยื่นหางแหลมที่เต็มไปด้วยหนามมากมายมาอยู่หน้าเยี่ยเทียนอย่างฉับพลัน ครั้นแล้วก็สัมผัสปืนกระบอกนั้น จากนั้นก็ขยับร่างกายเดินออกไปเจ็ดถึงแปดเมตร
“แก…แกจะให้ฉันยิงใส่แก?” เยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของเฮยเจียว
“กรุ กรุ!” เฮยเจียวพยักหน้าหงึกๆ เหมือนจะมั่นใจการป้องกันบนตัวของมันมาก
“โอเค แกระวังหน่อยนะ!” เยี่ยเทียนรู้ว่าสัตว์วิเศษอย่างเฮยเจียว มีความรู้สึกรับรู้ที่แข็งแกร่งต่อสิ่งอันตราย ในเมื่อมันกล้าทำแบบนี้ แสดงว่ามันมีความมั่นใจมากแน่นอน
“ระวังนะ!” เยี่ยเทียนเปลี่ยนกระสุนหนึ่งชุด แล้วจึงเปลี่ยนโหมดเป็นยิงทีละนัด จากนั้นจึงเล็งไปที่หางของเฮยเจียวแล้วเหนี่ยวไกปืน
“ปัง ปัง!”
ยิงติดต่อกันสองนัด แล้วจึงเกิดเสียงปืนดังกังวาน ทว่าเสียงทองแดงกับเหล็กที่ปะทะกันออกมาสองเสียงนั้น ทำให้เยี่ยเทียนต้องเอาปืนลงและมองไปที่เฮยเจียว หางสีดำเป็นประกายสวยงามของมัน กลับปรากฏจุดสีขาวแค่สองจุด
“ว้าว นี่…นี่มันสุดยอดเกินไปแล้ว?”
ถึงแม้ปืนเอ็มเจ็ดเก้านี้จะมีอานุภาพไม่แรงเท่าปืนไรเฟิลอัตโนมัติ แต่ก็เป็นอาวุธมาตรฐานที่ใช้ในกองทัพ ซึ่งมีความสุดยอดกว่าปืนของพวกนักล่าสัตว์บนภูเขาฉางไป๋ซาน และใครจะรู้ว่ามันไม่สามารถทำอะไรเฮยเจียวได้เลย
หูหงเต๋อมองการกระทำของเยี่ยเทียนอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แล้วจึงเอ่ยถาม “เยี่ยเทียน พวกเธอหมายความว่ายังไง?”
“ผมกลัวมันจะกินคนเยอะ เป็นเหตุให้กองทหารมา จึงอยากให้มันอยู่นิ่งๆ หน่อยครับ”
เยี่ยเทียนเกาศีรษะแกรกๆ เพราะอาวุธที่มีอานุภาพมากที่สุดที่อยู่ในมือกลับไม่สามารถสั่นสะเทือนสยบเฮยเจียวได้เลย ดังนั้นคำพูดของเขาจึงไม่แรงโน้มน้าว
“มีวิธีง่ายมาก!” หูหงเต๋อคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงวิ่งไปที่กระเป๋าเป้ที่วางอยู่ชายป่า จากนั้นจึงหยิบวัตถุกลมๆ ออกมาสองอัน พลางพูด “เธอลองเอาเจ้านี่ไปลอง!”
เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในมือของหูหงเต๋อ เฮยเจียวเหมือนจะรับรู้ได้ แล้วจึงรวบตัวพรึบถอยไปข้างหลัง ถอยไปจนกระทั่งถึงในหุบเขา แล้วจึงยื่นศีรษะออกมา พร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เหล่าหู ไปเอาของพวกนี้มาจากไหน?” เมื่อเห็นสิ่งของพวกนี้ เยี่ยเทียนจึงตกใจมาก เพราะมันคือระเบิดมือต่อสู้รถถัง
หูหงเต๋อชี้ไปที่กระเป๋าสีดำใบใหญ่แล้วพูด “หามาจากในกระเป๋าของเมิ่งตาบอดกับพวกสองสามคนนั้น อ้อใช่ ยังมีหนังเสือที่ยังไม่ได้ฟอก คาดว่าเพิ่งจะล่ามาได้สองสามวัน”
เมื่อเห็นการกระทำของเฮยเจียว เยี่ยเทียนจึงรู้ว่าระเบิดมือมีพลังการคุกคามกับมันมาก แล้วจึงพูดทันที “เหล่าหู ผมใช้ของสิ่งนี้ไม่ค่อยเป็น คุณช่วยโยนไปหนึ่งอันทำให้เฮยเจียวตกใจหน่อย!”
“ได้!” หูหงเต๋อพยักหน้า แล้วจึงใช้นิ้วโป้งช้อนและดึงสลักออก จากนั้นจึงโยนไปที่ริมป่าที่อยู่ไกลๆ
หลังจากสองสามวินาทีผ่านไป จึงเกิดเสียงดัง “ตูม” และหิมะที่อยู่บนพื้นจึงระเบิดออกแล้วลอยสูงขึ้นสิบกว่าเมตร รากของต้นไวท์เบิร์ชหนาเท่าปากถ้วยก็ถูกระเบิดขาดเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นก็ล้มลงมาทางเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ
อย่าว่าแต่เฮยเจียวเลย แม้แต่เยี่ยเทียนก็ยังตกใจ เขาเคยต่อสู้กับคนอื่นด้วยปืนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ไม่เคยเห็นระเบิดมือที่เป็นอาวุธทำลายล้างขนาดนี้มาก่อน
และสิ่งที่เยี่ยเทียนไม่รู้ก็คือ คราวที่แล้วที่ เทียนหลงเข้ามาที่ไต้หวันค่อนข้างฉุกละหุก จึงไม่ได้พกระเบิดมาด้วย ไม่อย่างนั้นเยี่ยเทียนคงไม่สามารถฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น
“หืม? เฮยเจียวล่ะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนหันไปที่ปากหุบเขา กลับไม่เห็นเงาของเจ้าตัวนั้นแล้ว เมื่อไล่ตามไปจึงเห็นเฮยเจียวกระโดดเข้าไปในสระน้ำอย่างรู้สึกผิด ทำให้เยี่ยเทียนหัวเราะไม่หยุด
“ฮ่าๆ เจ้าตัวนี้น่าตลกจริงๆ”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางหยิบสิ่งของที่สามารถทำให้คนบาดเจ็บเพราะได้รับอากาศหนาวชิ้นนั้นออกมาจากในกระเป๋า ยื่นให้หูหงเต๋อแล้วพูด “เหล่าหู ผมจะเข้าไปคุยกับเฮยเจียว คุณดูหน่อยว่านี่คืออะไร อ้อใช่ อย่าให้ผิวหนังสัมผัสมันเด็ดขาดนะ!”
หูหงเต๋อใช้ชีวิตอยู่ในภูเขาฉางไป๋ซานมานาน และของสิ่งนี้ก็เกิดที่ภูเขาฉางไป๋ซานเช่นกัน เยี่ยเทียนจึงอยากจะรู้ว่ารู้ความเป็นมาของสิ่งนี้บ้างไหม
“กุ…กรุ กรุ!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมามาที่ริมสระ เฮยเจียวจึงโผล่พรวดออกมาจากในสระน้ำ พร้อมกับกรงเล็บทั้งสองข้างโบกไปมาข้างหน้าตัวไม่หยุด และในที่สุดดวงตาก็เผยอารมณ์ของความหวาดกลัวออกมา
“รู้จักกลัวแล้วใช่ไหม? มีคนข้างนอกมากมายที่มีอาวุธแบบนี้ ต่อไปแกห้ามฆ่าใครอีก แล้วก็อย่าอยู่ห่างจากบึงน้ำมังกรดำนะ”
เยี่ยเทียนครุ่นคิดแล้วจึงพูดต่อ “ถ้าหากแกรับรู้ว่ามีคนเข้าใกล้ ก็ใช้อากาศพิษปิดหุบเขาไปเลย รอให้คนออกไปแล้ว แล้วค่อยปรับลมหายใจ อย่าให้ใครเห็นรูปร่างของแกเด็ดขาด”
เยี่ยเทียนรู้แล้วว่า อากาศพิษที่ปกคุลมบึงน้ำมังกรดำนี้ เกิดจากที่เฮยเจียวปรับลมหายใจแล้วปล่อยออกมาในตอนเช้ากับตอนพลบค่ำ
แต่ไม่รู้ทำไมหลังจากที่เฮยเจียวปล่อยลมหายใจออกมาผสมกับพลังจักรวาลที่อยู่ในหุบเขาแล้ว จึงกลายเป็นอากาศพิษไปได้ และยังทำให้ลักษณะของพิษมีความรุนแรงหลายเท่าตัว ทำให้คนหรือสัตว์ที่สัมผัสต้องตายทั้งหมด
“กรุกรุ!” ครั้งนี้หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เฮยเจียวจึงพยักหน้าติดต่อกัน เพราะมันที่มีชีวิตมากว่าหนึ่งร้อยปี จึงรู้ว่าชีวิตนั้นมีค่านัก
“น่าเสียดายฉันไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน วันนี้เราจากกันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร”
ถึงแม้ในโลกใบนี้จะมีคนนับหมื่นล้านคน แต่นอกจากศิษย์พี่ทั้งสองคนแล้ว เฮยเจียวกลับเป็นสิ่งเดียวที่เยี่ยเทียนพบว่าอยู่ในสายเดียวกันกับเขา จึงทำให้เขารู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
“กรุกรุ…” เหมือนเฮยเจียวจะเข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน ดวงตาจึงปรากฏความอาลัยอาวรณ์ออกมา จากนั้นจึงใช้ปากกัดขากางเกงของเยี่ยเทียนไม่หยุด
เยี่ยเทียนนั่งลงบนพื้น ใช้มือลูบศีรษะที่นูนขึ้นมาของเฮยเจียวพลางพูด “แกเหมาะที่จะอยู่ในภูเขาลูกใหญ่ ก็เหมือนฉันที่เหมาะสมกับโลกภายนอก เฮยเจียว วันหลังฉันมาจะหาแกอีกแน่นอน รอให้ถึงวันที่แกเปลี่ยนจากเจียว(มังกรคะนองน้ำ) กลายเป็นหลง (มังกร)!”
การเข้าภูเขาในครั้งนี้ใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์กว่าแล้ว เยี่ยเทียนกลัวอวี๋ชิงหย่าจะคิดถึง หลังจากนั่งอยู่ในหุบเขาหนึ่งชั่วโมงกว่า เยี่ยเทียนจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกมานอกหุบเขา
เฮยเจียวปฏิบัติตามคำสั่งของเยี่ยเทียน กระโดดลงไปอยู่ในบึงน้ำแล้วส่งเสียงครวญครางด้วยความเศร้าโศกออกมา จากนั้นจึงพ่นอากาศพิษออกมาจากปากของมัน หลังจากผสมกับพลังจักรวาลที่อยู่โดยรอบแล้วจึงค่อยๆ ปกคลุมหุบเขาลูกนี้อย่างช้าๆ
ตอนที่ 430 กลับเข้าเมือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอได้ยินเสียงครวญครางของเฮยเจียวแล้ว ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์เช่นกัน แต่เขามีข้อผูกมัดมากเกินไป ไม่เหมือนกับเฮยเจียวที่สามารถอยู่อย่างสันโดษฝึกฝนจิตบำเพ็ญตนในป่าได้อย่างตั้งใจ หรือบางทีคงจะเป็นความแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์กระมัง
เมื่อมองดูหมอกควันที่ค่อยๆ ลอยคลุ้งไม่หยุด เยี่ยเทียนจึงรีบเดินเร็วขึ้น ขณะที่เดินมาถึงปากทางหุบเขาแล้วหันกลับไปมองนั้น บึงน้ำมังกรดำได้หายไปท่ามกลางอากาศพิษแล้ว เหลือเพียงเสียงร้องของเฮยเจียวที่ดังออกมาไม่หยุด
“เหล่าหู หืม? เกิดอะไรขึ้น?”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ หันกลับไปมอง แต่กลับไม่เห็นร่างเงาของหูหงเต๋อ เมื่อลองหาอย่างละเอียดจึงเห็นหลังของเขาพิงอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ล้มคะเมนอยู่ริมป่าเก่าแก่ หลับตาสนิท ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
“ก็บอกแล้วว่าของสิ่งนี้แตะต้องไม่ได้!”
เยี่ยเทียนรีบเดินเข้าไปที่ข้างกายของหูหงเต๋อ ขณะที่มองดูหินที่เหมือนหยกดำอยู่ตรงใต้เท้าของเขานั้น ในใจจึงเข้าใจขึ้นมาทันที อีตาดื้อคนนี้ไม่ฟังคำพูดของตัวเองแล้วจึงใช้มือไปสัมผัสวัตถุนี้
จากวรยุทธ์ของเยี่ยเทียนในวันนี้ ตอนที่เขาสัมผัสกับหินนี้ก็เกือบจะแข็งตาย แต่เวลานี้หูหงเต๋อกลับแย่กว่า เส้นผมของเขาแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง ริมฝีปากถูกแช่แข็งกลายเป็นสีม่วง และทั้งตัวก็ชักกระตุกไม่หยุด
เมื่อเห็นหูหงเต๋อยังพอขยับได้ เยี่ยเทียนจึงโล่งอก แล้วจึงรีบประคองร่างกายของเขาให้นั่งลง พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งยันหลังของเขาเอาไว้ เพื่อนำพลังชี่แท้ที่บริสุทธิ์ลึกล้ำส่งผ่านไปยังภายในร่างกายของเขา เพื่อขจัดไอเย็นออกไป
“บัดซบ เจ้าของสิ่งนี้สามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็นจริงๆ?!”
หลังจากพลังชี่แท้เข้าไปในร่างกายของหูหงเต๋อแล้ว พบว่าเลือดลมของเขาโคจรช้ามาก ระหว่างเส้นลมปราณมีแต่ไอเย็นเต็มไปหมดทุกจุด ถ้าหากตัวเองไม่รีบช่วยล่ะก็ เกรงว่าผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง หูหงเต๋อคงจะต้องแข็งตายทั้งเป็นแน่นอน
เมื่อรวบรวมสติให้มั่น เยี่ยเทียนจึงสามารถคลายไอเย็นในเส้นลมปราณของหูหงเต๋อได้ทั้งหมด
ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดขณะที่เยี่ยเทียนปล่อยพลังเพื่อขจัดไอเย็น หลังจากที่พลังชี่แท้ของเขาสัมผัสกับไอเย็นแล้ว จู่ๆ ไอเย็นนั้นกลับกลายเป็นพลังวิเศษเล็กน้อย แล้วผสมผสานเข้ากับพลังชี่แท้ของเขาได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ยังมีพลังวิเศษบางส่วนที่น้อยมาก ผสมเข้ากับพลังชี่แท้ที่มีอยู่ในตัวของหูหงเต๋ออีกด้วย ทำให้ร่างกายของเขาที่เกือบจะถูกแช่แข็ง ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาทีละนิด
หลังจากผ่านไปนานครึ่งค่อนวัน เยี่ยเทียนจึงลุกขึ้น แล้วค้นหาแผ่นโสมขนาดเท่าเล็บนิ้วโป้งจากกระเป๋าเป้ที่โยนทิ้งอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงยัดใส่เข้าไปในปากของหูหงเต๋อ แผ่นโสมนี้คือส่วนที่เหลือของเมิ่งตาบอดที่เอาไว้ใช้ยามใกล้ตาย
สิ่งเยี่ยเทียนพอทำได้ก็ทำหมดแล้ว เมื่อเขาขจัดไอเย็นอออกจากร่างกายของหูหงเต๋อไปได้เจ็ดถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว บวกกับโสมป่าที่บำรุงเลือดลมเข้าไปอีก เชื่อว่าหูหงเต๋อไม่น่าจะเป็นอะไรมาก
“เยี่ยเทียน นี่…นี่มันคือของบ้าอะไร?”
หลังจากผ่านไปสี่ถึงห้านาที ในที่สุดหูหงเต๋อก็ลืมตาขึ้นมา หลังจากเห็นหินก้อนเล็กสีดำที่ตกอยู่บนพื้น ดวงตาของเขาจึงเผยอารมณ์ของความหวาดกลัวออกมาโดยไม่รู้ตัว
ถึงแม้ร่างกายจะถูกไอเย็นเกาะกิน แต่สติสัมปชัญญะของหูหงเต๋อยังตื่นอยู่ตลอดเวลา
เขาก็เคยพยายามคลายไอเย็นนั้นแล้ว เพียงแต่พลังชี่แท้ที่เขาฝึกมานับสิบปีอย่างยากลำบากกลับเป็นเหมือนน้ำน้อยแพ้ไฟยามที่อยู่ต่อหน้าไอเย็นเหล่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนช่วยไว้ทันเวลา ชีวิตของหูหงเต๋อคงจะจบลงอยู่ตรงนี้แล้ว
“เหล่าหู ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าแตะต้องมัน?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงฝืนยิ้มพลางพูด “คุณลองโคจรพลังชี่แท้ดูก่อน ดูสิว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?”
ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสไอเย็นครั้งแรกหรือตอนที่ช่วยหูหงเต๋อขจัดไอเย็นเมื่อครู่ เยี่ยเทียนได้ดูดซับพลังวิเศษไปไม่น้อย เขาสามารถรับรู้ได้ ว่ามีพลังวิเศษบางส่วนล้นออกมาและเข้าไปอยู่ภายในร่างกายของหูหงเต๋อ จึงคิดว่าเขาก็ได้รับผลประโยชน์ไปไม่น้อย
“หืม? โรคที่รักษายากภายในร่างกายของผมหายไปหมดแล้ว!”
เมื่อลองตรวจสอบสภาพของร่างกายแล้ว ใบหน้าของหูหงเต๋อจึงเผยสีหน้าตื้นเต้นระคนดีใจออกมา เขาฝึกมวยภายนอกหักโหมมากเกินไป จึงหลงเหลือโรคภัยแฝงเอาไว้ตอนเป็นหนุ่ม และโรคพวกนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงได้แต่ค่อยๆ รักษา
แต่ตอนที่ลองฝึกเดินกำลังภายในเมื่อครู่ หูหงเต๋อกลับพบว่าโรคที่ยากจะรักษาตรงปอดและหน้าอกดีมากกว่าครึ่ง รู้สึกว่าสภาพของร่างกายดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและสมองดูเหมือนจะชัดเจนมากขึ้น
“เยี่ยเทียน นี่มันคืออะไรกันแน่?” ครั้งนี้ตอนที่มองไปที่ก้อนหินเล็กนั่น หูหงเต๋อกลับรู้สึกประหลาดใจครึ่งหนึ่ง
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูด “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร เฮยเจียวให้ผมมา เหมือนจะมีส่วนช่วยในการฝึกวรยุทธ์ แต่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถรับได้”
เยี่ยเทียนได้รับของสิ่งนี้ได้ไม่นาน ตอนนี้เขารู้เพียงว่าหากมีใครแตะต้องมันจะปล่อยไอเย็นสูงสุดออกมา แต่ถ้าใช้เสื้อผ้าห่อเอาไว้ ก็จะเหมือนกับก้อนหินธรรมดาไม่มีความผิดปกติอะไร
“ของที่สัตว์ประหลาดให้มา คงมีแต่คนประหลาดอย่างเธอที่รับได้”
ถึงแม้หูหงเต๋ออยากได้ก้อนหินสีดำที่อยู่ตรงหน้ามาก แต่เขารู้ดีว่าเจ้าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งล้ำค่ายามอยู่ในมือของเยี่ยเทียน แต่ถ้าอยู่กับเขา มันก็ไม่ต่างจากยันต์ที่เร่งเอาชีวิตดีๆ นี่เอง
เยี่ยเทียนเก็บก้อนหินสีดำนั้นอย่างระมัดระวังแล้วจึงเอ่ยพูด “ตกลง เหล่าหู พวกเราอยู่ในภูเขามาหนึ่งอาทิตย์กว่าแล้ว วันนี้ออกจากภูเขากันเถอะ!”
หูหงเต๋อเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วจึงพูด “ได้ มองดูอากาศน่าจะมีหิมะตกอีกครั้ง ถ้าไม่ออกไปอีกเกรงว่าจะถูกขังอยู่ในภูเขาแน่นอน”
ภูเขาที่ถูกปิดไปด้วยหิมะนั้น ระดับความลึกของหิมะมีมากถึงหนึ่งเมตรกว่า ต่อให้เป็นหูหงเต๋อก็ไม่กล้าเข้าออกภูเขาที่มีสภาพแวดล้อมอย่างนั้นเหมือนกัน
จากนั้นเยี่ยเทียนจึงหันหน้ากลับมา แล้วตะโกนเสียงดังไปที่หุบเขา “เฮยเจียว พวกเราไปแล้วนะ…ไปแล้วนะ…ไปแล้วนะ!”
เสียงสะท้อนของหุบเขาผสมกับแผดเสียงก้องเหมือนมังกรดังกังวานสดใส สะท้อนกลับไปในป่าไม่หยุด
หลังจากรอให้ร่างเงาของเยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อหายเข้าไปในป่าแล้ว ร่างใหญ่มหึมาก็โผล่ออกมาจากอากาศพิษ จ้องมองอยู่นอกหุบเขาอยู่นาน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความเงียบเหงาอ้างว้างเดียวดายเพียงใด
ตอนที่ทั้งสองคนเข้าไปในภูเขาไม่ได้พกของไปมากมาย แต่ตอนที่ออกมาจากภูเขากลับมีถุงใหญ่สองสามใบเพิ่มเข้ามา ทั้งสองคนต่างก็พักที่กระท่อมในภูเขาหนึ่งวัน แล้วจึงกลับไปที่บ้านที่อยู่ใกล้สถานีป่าไม้ของหูหงเต๋อ
เดิมทีเยี่ยเทียนอยากจะขุดโสมป่าหกใบต้นนั้นออกมา แต่ให้ตายอย่างไรหูหงเต๋อก็ไม่ยอม เขาบอกว่าเยี่ยเทียนได้โสมไปสองสามต้นแล้ว ถ้าไม่มีเขานำทาง เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
หลังจากพักที่บ้านของหูหงเต๋อหนึ่งวัน ทั้งสองคนก็จัดเก็บข้าวของแล้วออกมาถึงตัวเมืองฉางไป๋ ซึ่งอวี๋ชิงหย่ากับสาว ๆได้มารอที่ประตูตั้งแต่เช้าแล้ว
“เยี่ยเทียน คราวหน้าถ้านายจะเข้าไปในภูเขาอีกจะต้องพาฉันไปด้วยนะ!”
สำหรับแฟนที่หนีเข้าไปล่าสัตว์และขุดโสมในภูเขาฉางไป๋ซานแล้วทิ้งตัวเองไว้ในเมือง ทำให้อวี๋ชิงหย่าไม่พอใจมาก ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ต่อหน้าสาวๆ พวกนี้ เธอคงหยิกเอวของเยี่ยเทียนไปนานแล้ว
“หืม เยี่ยเทียน นี่คือะไร? ฉันจำได้ว่านายไม่พกของพวกนี้นะ?”
อวี๋ชิงหย่าเอ่ยปากพูด แต่สายตากลับสังเกตมองเยี่ยเทียน ตอนที่เธอมองเห็นเชือกสีดำเส้นเล็กแขวนอยู่บนคอของเขา เธอจึงยื่นมือไปดึงออกมา
เชือกเส้นนั้นแขวนถุงหนังเล็กๆ และมีของนูนอยู่ข้างใน ซึ่งใส่ก้อนหินสีดำเอาไว้ในนั้น หูหงเต๋อตั้งใจใช้หนังหมูป่าเย็บให้เยี่ยเทียนโดยเฉพาะ
เยี่ยเทียแขวนหินก้อนหินที่ไม่รู้ความเป็นมาของมันไว้ที่หน้าอก และสามารถรับรู้ถึงพลังจักรวาลเป็นสายจากหน้าอกล้นเข้าไปภายในร่างกาย ทำให้เส้นลมปราณของตัวเองชุ่มชื่น กระทั่งเป็นผลดีมากกว่าการนั่งสมาธิฝึกวรยุทธ์หนึ่งวันเสียอีก
“อย่า เธอห้ามแตะต้องของสิ่งนี้!”
สองมือของเยี่ยเทียนกำลังถือกล่องอยู่ และตอนที่เขายังไม่ทันวางลงเพื่อห้ามอวี๋ชิงหย่า เธอก็ได้เปิดถุงหนังนั้นแล้ว จากนั้นจึงหยิบก้อนหินสีดำที่อยู่ข้างในออกมาวางในมือ
“นี่คืออะไรคะ?” สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อตะลึงก็คือ อวี๋ชิงหย่าถือก้อนหินสีดำนั้นกลับไม่มีความผิดปกติใดๆ และกำลังพลิกเล่นไปมา
“ขอฉันดูหน่อย ให้ฉันเล่นก่อนนะ!”
ตามสุภาษิตกล่าว ที่ไหนมีผู้หญิงเยอะที่นั่นก็วุ่นวาย เว่ยหรงหรงกับหูเสี่ยวเซียนก็ล้อมเข้ามา และทุกคนต่างก็สัมผัสก้อนหินนั่น แต่กลับไม่มีปรากฏการณ์ไอเย็นเกาะกินร่างกาย
“หรือเจ้าสิ่งนี้จะมีผลกับคนที่ฝึกวรยุทธ์เท่านั้น?” เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อสบตากัน เพราะทั้งสองคนคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
“โอเค ชิงหย่า นี่คือของเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาจากภูเขา เอามาให้ฉันเถอะ!”
เยี่ยเทียนกลัวว่าผู้หญิงสองสามคนนี้จะทำก้อนหินตก เขาจึงอดกลั้นกับความหนาวเย็น นำก้อนหินมาอยู่ในมือ แล้วรีบใส่เข้าไปในถุงหนังอย่างรวดเร็ว
เพียงการสัมผัสในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เยี่ยเทียนอดหนาวสั่นไม่ได้ ซึ่งแสดงว่าไอเย็นของก้อนหินนั่นไม่ได้หายไป
“โอเค พวกเราล่ามังกรบินมาสองสามตัว ตอนเย็นจะทำซุปมังกรบินให้พวกเธอทานนะ!”
หูหงเต๋อรีบชูมังกรบินหกตัวที่อยู่ในมือทันที ทำให้ดึงดูดความสนใจของสาวๆ ในทันทีทันใด จึงไม่มีใครสนใจก้อนหินเล็กนั่นอีก
ตอนเย็นหลังจากหูต้าจวินสองสามีภรรยากลับมาแล้ว หูหงเต๋อจึงประกาศเรื่องที่ตัวเองจะไปปักกิ่ง ทุกคนจึงปรึกษากันพักหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจว่าจะเดินทางพรุ่งนี้
แต่ก็ต้องเสียดายหนังเสือของเยี่ยเทียน เพราะเขาไม่สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ ถ้าหากของสิ่งนี้ถูกตรวจเจอในสนามบิน ก็คงจะหนีความผิดในการลักลอบล่าสัตว์หรือซื้อขายสัตว์ป่าที่อยู่ในความคุ้มครองของรัฐไม่พ้น
สุดท้ายอวี๋ชิงหย่ากับเว่ยหรงหรงสองคนจึงนั่งเครื่องบินกลับปักกิ่งด้วยกัน ส่วนเยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อที่ไม่ยอมนั่งเครื่องบินกลับ ต้องไปนั่งรถไฟกลับปักกิ่งแทน ตอนที่กลับไปถึงปักกิ่งนั้น ล่าช้ากว่าอวี๋ชิงหยาทั้งสองคนถึงสามวัน
“เยี่ยเทียน คุณลุงอยู่ในบ้านไหม?”
หลังจากออกมาจากสถานีรถไฟของปักกิ่ง พลางมองดูผู้คนเดินขวักไขว่ แล้วคิดว่าจะได้เจอผู้ใหญ่ที่เขาเคยเจอตอนเป็นเด็ก ทำให้หูหงเต๋อที่มีอายุหกสิบปีรู้สึกดีอกดีใจ
“อยู่บ้าน ผมขอโทรหาศิษย์พี่ก่อน แต่จะไม่พูดว่าคุณมานะ!”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา เพราะโก่วซินเจียได้ออกไปจากแผ่นดินใหญ่เกือบครึ่งศตวรรษ ดังนั้นเพื่อนสนิทญาติพี่น้องต่างก็ล้มหายตายจากไปแล้ว และเชื่อว่าถ้าได้เห็นหูหงเต๋อ เขาจะต้องดีใจมากแน่นอน
“ไป กลับบ้าน ตอนเย็นผมจะให้คุณได้ลองชิมเหล้าเอ้อร์กัวโถวของปักกิ่ง ซึ่งไม่แย่ไปกว่าเหล้าซาวเตาจึของภูเขาฉางไป๋ซานของคุณแน่นอน!” เยี่ยเทียนไม่ได้บอกให้คนที่บ้านมารับ เขาจึงนั่งแท็กซี่พาหูหงเต๋อกลับไปที่บ้านของตัวเองโดยตรง
ตอนที่เพิ่งจะเปิดประตูด้านข้างและเดินเข้ามาในบ้านนั้น เงาสีขาวอันหนึ่งก็โผล่พรวดมาอยู่บนหัวไหล่ของเยี่ยเทียน จากนั้นก็ใช้กรงเล็บหวีผมเยี่ยเทียนอย่างสนิทสนม
“นี่คือเจ้าเฟอร์เร็ตที่คุณพูด?”
หูหงเต๋อที่เดินตามหลังเยี่ยเทียนมองเจ้าขนฟูอย่างแปลกๆ และเพราะเจ้าตัวนี้นี่เองจึงทำให้เยี่ยเทียนต้องยอมทิ้งเสื้อขนมิงค์ที่เขาเตรียมจะให้โก่วซินเจียเอาไว้ที่ตงเป่ย
ตอนที่ 431 เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในสายตาของหูหงเต๋อ สัตว์ก็คือสัตว์ พวกมันไม่สามารถมีสติปัญญาเหมือนมนุษย์ได้ เขายังไม่เชื่อว่าเจ้าตัวนี้จะสามารถแยกแยะหนังมิงค์ได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะการคัดค้านของเยี่ยเทียน เขาคงจะนำเสื้อหนังมิงค์มาด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้นตอนที่หูหงเต๋อมองไปที่เจ้าขนฟูนั้น ในใจของเขาเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วย และในขณะเดียวกันก็ใช้สายตาของคนล่าสัตว์กวาดมองเจ้าขนฟู พลางคิดว่าเส้นขนสีขาวทั้งตัวนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
“โอเค เจ้าขนฟู อย่าก่อกวน นี่คือเหล่าหู แกทำความรู้จักหน่อย!”
เยี่ยเทียนดึงเจ้าขนฟูลงมาจากหัวไหล่ เพราะเวลาที่เจ้าตัวนี้จะแสดงอาการต่อต้านทีไร มักจะทำให้ผมของตัวเองยุ่งเหมือนรังนก
“จี…จี จี!”
เจ้าขนฟูเอียงศีรษะมองหูหงเต๋อหนึ่งที แล้วจึงขนลุกซู่ไปทั่งตัวอย่างฉับพลัน พร้อมกับร้องเสียงแหลมและเศร้ากำสรดออกมาจากปากของมัน เป็นเสียงที่ดุร้ายอย่างมาก แล้วจึงกระโดดพรวดเข้าไปหาหูหงเต๋อ
“บ้าเอ๊ย มันไม่เคยทำให้สบายใจได้เลย!”
เยี่ยเทียนมีการตอบสนองที่ไวมาก ตอนที่เจ้าขนฟูส่งเสียงแหลมออกมา เขาก็จับคอของมันเอาไว้ แล้วจึงหันไปมองหูหงเต๋อพร้อมกับพูดด้วยความโกรธ “เหล่าหู คุณก็เก็บพลังพิฆาตเอาไว้เลย ไม่อย่างนั้นถ้าถูกมันข่วนจนบาดเจ็บ ผมจะไม่สนใจนะ!”
“ฉัน…ฉันก็ไม่ได้อยากจะฆ่ามันเสียหน่อย!” เมื่อเห็นตัวเองไม่ได้รับการต้อนรับแบบนี้ หูหงเต๋อจึงพูดอย่างไม่พอใจ พร้อมกับเก็บพลังพิฆาตของตัวเองไปเอาไว้ด้วย
หลังจากถูกเยี่ยเทียนช่วยชีวิตจากการแช่แข็งของก้อนหินแปลกประหลาดก้อนนั้นแล้ว หูหงเต๋อไม่เพียงแต่กำจัดโรคที่ที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายออกไปมาก กำลังภายในของเขาก็มีการพัฒนาขึ้นมาไม่น้อย
สองสามวันที่ผ่านมานี้เยี่ยเทียนก็ได้ถ่ายทอดวิชาในการการปรับลมหายใจและการใช้พลังลมปราณ ให้เขาบางส่วน ถ้าหากตอนนี้หูหงเต๋อสู้กับเมิ่งตาบอด จะต้องไม่เสียเปรียบเหมือนคราวที่แล้วอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยเห็นด้วยของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนจึงได้แต่พูดอย่างไม่พอใจ “เหล่าหู คุณอย่าทำเป็นไม่ยอม ถ้าเจ้าขนฟูข่วนคุณขึ้นมา ผมรับรองว่าภายในสองชั่วโมงคุณอย่าคิดจะขยับตัว”
กรงเล็บของเจ้าขนฟูมีพิษที่สามารถทำให้ประสาทศูนย์กลางชาได้ ถึงแม้จะไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สามารถทำให้คนสูญเสียความสามารถในการต่อต้านไปในชั่วพริบตา แม้แต่งูจงอางตัวนั้นเจ้าขนฟูยังสามารถกลืนกินเข้าไปได้เลย ความสามารถนี้นับวันจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
“ฉันหรือจะถูกมันจับได้? ภูเขาฉางไป๋ซานมีสัตว์ป่ามากมาย ไม่มีตัวไหนที่เห็นฉันแล้วไม่กลัว!” หูหงเต๋อส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เพราะตั้งแต่เด็กเขาฝึกพลังกรงเล็บอินทรีย์ เพื่อเอาไว้ควบคุมสัตว์เหล่านี้โดยเฉพาะ
และเขาก็ฆ่าสัตว์ที่อยู่ในภูเขามามากมาย ในตัวจึงมีพลังพิฆาตที่เข้มข้น นอกจากเฮยเจียวตัวนั้น ที่เจอเมื่อสองสามวันก่อน สัตว์ป่าอื่นๆ ในภูเขาฉางไป๋ซานมีตัวไหนบ้างที่เจอเขาแล้วจะไม่หนีเตลิดเปิง?
“เหล่าหู คุณพูดโม้หรือเปล่า ทำไมตอนที่คุณเห็นเฮยเจียวถึงไม่พูดอย่างนี้ล่ะ?” เยี่ยเทียนมองหูหงเต๋อเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ตอนนั้นตาแก่คนนี้มีท่าทางตกใจเหมือนกระต่าย ทั้งระวังนักระวังหนา
“มันสามารถเทียบกับมังกรคะนองน้ำได้เหรอ?” หูหงเต๋อพูดบ่นอย่างไม่ยินยอม
“อีกสิบกว่าปีผ่านไป เจ้าขนฟูก็อาจจะจะพอๆ กันกับเฮยเจียว!”
เยี่ยเทียนถลึงตามองหูหงเต๋อหนึ่งที ถึงแม้เจ้าขนฟูจะไม่สามารถดูดซับพลังบริสุทธิ์ของฟ้าดินได้เหมือนเฮยเจียว แต่ตอนนี้มันก็มีสติในการดูดซับพลังวิเศษ ช้าเร็วก็จะสามารถเดินบนเส้นทางเดียวกันกับเฮยเจียวได้
จากนั้นเยี่ยเทียนจึงยื่นมือไปปลอบเจ้าขนฟู แล้วพูด “เจ้าขนฟู เหล่าหูเป็นแขก ห้ามสร้างความวุ่นวายนะ กลับไปฉันจะหาของอร่อยให้แก!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เจ้าขนฟูจึงวาดกรงเล็บไปที่หูหงเต๋อนิดหน่อย แล้วขนที่ลุกซู่ก็หายไป เพราะมันสามารถสัมผัสถึงพลังพิฆาตที่รุนแรงของคนที่อยู่ตรงหน้า จึงรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่าย
“จีจี…จีจี!”
ทันใดนั้นจมูกของเจ้าขนฟูก็ทำเป็นดมกลิ่น แล้วจึงกระโดดไปที่หัวไหล่ของเยี่ยเทียน ยื่นกรงเล็บออกไปที่ถุงหนังอยู่ตรงหน้าอกของเยี่ยเทียน แต่ยังไม่ทันให้เยี่ยเทียนได้ตอบโต้ง มันก็หยิบก้อนหินนั้นออกมาแล้ว
ไอเย็นที่เยี่ยเทียนยากจะต้านทานได้ ในสายตาของเจ้าขนฟูกลับเป็นเหมือนของขวัญชิ้นใหญ่ หลังจากเจ้าขนฟูหยิบหินสีดำออกมาแล้ว มันร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ กรงเล็บทั้งสองข้างก็ชูมันไว้ตรงหน้าอก พร้อมกับสายตาที่เผยให้เห็นถึงอารมณ์เคลิบเคลิ้ม
“เยี่ย…เยี่ยเทียน คำ…คำพูดของเธอ ฉันเชื่อแล้ว!” การกระทำของเจ้าขนฟูทำให้หูหงเต๋อต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ตอนแรกที่เขาสัมผัสหินดำก้อนนั้น เขาเกือบจะถูกแช่แข็งตาย แต่เจ้าขนฟูกลับกอดเอาไว้อยู่อ้อมอก ความแตกต่างแบบนี้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
“อาจจะเป็นเพราะสัตว์มีแรงต้านทานไอเย็นที่แข็งแกร่งกว่า?”
เมื่อเห็นเจ้าขนฟูมองสิ่งนี้เหมือนของล้ำค่า เยี่ยเทียนจึงไม่กลัวว่ามันจะทำหินนี้พัง แล้วจึงหันไปพูดกับหูหงเต๋อ “ไปกันเถอะ เอาของไปไว้ข้างใน ศิษย์พี่ใหญ่น่าจะรออยู่ข้างใน!”
“เอ๊ะ เยี่ยเทียน ลานบ้านของเธอมีความแปลกประหลาดอยู่นะ? อากาศดูจะสดชื่นกว่าในภูเขาฉางไป๋ซาน?”
หลังจากหยิบสัมภาระและเดินเข้าไปข้างในสองสามก้าว หูหงเต๋อก็รู้สึกถึงความแตกต่างในเรือนสี่ประสานนี้ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในภูเขามานานอย่างเขา การสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมรอบตัวจึงมีความเฉียบไวมาก
“แน่นอนอยู่แล้ว รู้เสียบ้างว่าที่นี่เป็นของใคร?”
เยี่ยเทียนเล่าถึงค่ายกลนี้ให้หูหงเต๋อฟัง จากนั้นจึงพาเขาเดินอ้อม ฉุยฮวาเหมิน (ประตูบ้านที่ยังมีประตูตรงกลาง) หลังจากเดินถึงตรงกลางบ้านแล้ว จึงมองเห็นโก่วซินเจียที่กำลังทำดอกไม้อยู่
“ศิษย์พี่ใหญ่ครับ ผมกลับมาแล้ว!” เยี่ยเทียนนำกระเป๋าที่อยู่ในมือวางลงบนพื้น แล้วจึงดึงหูหงเต๋อเข้ามาพลางพูด “ศิษย์พี่ใหญ่ครับ ดูสิครับ ว่าผมพาใครมาด้วย?”
“ได้ยินเจ้าเหมาโถวเรียก ฉันก็รู้ว่าเธอกลับมาแล้ว เจ้าตัวนี้เวลาเห็นเธอมันก็จะกระตือรือร้นแบบนี้”
โก่วซินเจียวางกรรไกรไว้ด้านข้าง มองไปที่หูหงเต๋อ แล้วจึงยิ้มพูดว่า “ฉันไปจากแผ่นดินใหญ่เสียนาน พ่อหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นลูกหลานของคนรู้จักใช่ไหม?”
ถึงแม้หูหงเต๋อจะมีหนวดเคราและผมขาว แต่สายตาระดับโก่วซินเจีย มองปราดเดียวก็สามารถวิเคราะห์อายุจากเลือดลมที่อยู่ภายในร่างกายของเขาได้ แต่ฐานะของหูหงเต๋อ กลับไม่สามารถจำได้
ตอนที่โก่วซินเจียเจอกับหูหงเต๋อ เขาเป็นเด็กอายุแปดเก้าขวบเท่านั้น และเวลาก็ผ่านมาห้าถึงหกสิบปีแล้ว หน้าตาของหูหงเต๋อก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก
“ท่านลุง ผม…ผมคือเต๋อหว๋าจึ ไงครับ ท่าน…ท่านจำผมได้ไหมครับ?”
เวลานี้หูหงเต๋อได้ทิ้งสัมภาระลงบนพื้นแล้ว คุกเข่าทั้งสองของลูกผู้ชายลง และโขกศีรษะคำนับอย่างแรงพลางพูดด้วยเสียงสะอื้นไห้ “ท่านลุง เต๋อหว๋าจึ ขอคุกเข่าคำนับให้ท่านครับ!”
ชาวยุทธภพให้ความสำคัญเรื่องน้ำใจ ตอนนั้นโก่วซินเจียยอมฝ่าอันตรายพาหูหงเต๋อออกมาจากภูเขาฉางไป๋ซาน หลังจากนั้นก็ดูแลเขาหนึ่งเดือนกว่า บุญคุณในครั้งนี้ถึงแม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่หูหงเต๋อก็ไม่กล้าลืม!
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หูหงเต๋อมีน้ำตาอาบหน้าแล้ว แล้วเดินเข่าสามที มาอยู่ตรงหน้าของโก่วซินเจีย จากนั้นจึงคำนับอีกหนึ่งครั้ง
“ลูกผู้ชายอกสามศอก!”
มองดูความรู้สึกที่แท้จริงของหูหงเต๋อได้หลั่งออกมาเช่นนี้ เยี่ยเทียนจึงกลั้นน้ำตาไม่อยู่ จากเด็กหนุ่มที่อยู่ในยุทธภพในตอนนั้น กลายเป็นชายแก่ผมขาว แต่ความรู้สึกที่อยู่ในใจนั้นกลับไม่ลดลงไปสักนิดเดียว!
“เต๋อ…เต๋อหว๋าจึ? คือ…คือเธอจริงๆเหรอ?!” เนื่องจากโก่วซินเจียซ่อนตัวจากโลกภายนอกนานหลายปี มีการฝึกฝนจิตใจถึงระดับที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งภายนอกแล้ว แต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหูหงเต๋อ ทำให้ร่างกายของเขาอดสั่นเล็กน้อยไม่ได้
โก่วซินเจียออกไปจากแผ่นดินใหญ่มานานหลายปี เขาคิดว่าเพื่อนสนิทคนรู้จักได้ตายไปหมดแล้ว แต่เมื่อได้เห็นเพื่อนรุ่นน้องอย่างกะทันหัน ในใจของเขาจึงรู้สึกซาบซึ้งใจไม่หยุด
“ท่านลุง ผม ผมคือเต๋อหว๋าจึ ไม่คิดว่าเต๋อหว๋าจึ จะได้เจอท่านอีกครับ!”
หูหงเต๋อเป็นคนจริงใจ หลังจากพี่ชายตายไปแล้ว ก็มีเขาที่ต้องดูแลครอบครัว ตอนนี้ได้เห็นผู้ใหญ่ที่นับถือ อารมณ์ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกในหัวใจจึงพรั่งพรูออกมาทั้งหมด
“ดี! ดี! ดีมากหว๋าจึ!”
โก่วซินเจียเงยหน้าพูดคำว่าดีกับท้องฟ้าสามคำ และน้ำเสียงที่สั่นสะเทือนทำให้ใบไม้ในลานบ้านปลิวว่อนลงมา แสดงว่าเวลานี้อารมณ์ของเขามีความสั่นไหว
“เต๋อหว๋าจึ การคุกเข่าของลูกผู้ชายมีค่าดังทองคำ ลุกขึ้นมาพูดกันเถอะ!”
โก่วซินเจียสะบัดแขนเสื้อที่อยู่มือขวา และประคองหูหงเต๋ออยู่บนมือของเขา หูหงเต๋อมีรูปร่างสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดเซนติเมตร แต่ทำตัวเบาเมื่อถูกโก่วซินเจียประคองขึ้นมา
หลังจากเช็ดน้ำตาและถูบนตัวแล้ว หูหงเต๋อจึงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วเอ่ยพูดว่า “ท่านลุง ท่านอายุเก้าสิบปีแล้วใช่ไหมครับ? แต่กำลังวังชายังเยอะเหมือนเดิมเลยนะครับ!”
โก่วซินเจียเกิดในปีหนึ่งพันเก้าร้อยสิบ ตอนนี้มีอายุแปดสิบเก้าปีแล้ว แต่ตอนที่อยู่ในภูเขาเขาจะทานสมุนไพรดอกเง็กเต็กเป็นประจำ บวกกับวิชาสำนักเสื้อป่าน คือการฝึกจิตและบำเพ็ญตน ดังนั้นเมื่อดูแล้วจึงมีอายุเพียงหกสิบปีต้นๆ เท่านั้น
โก่วซินเจียจับมือของหูหงเต๋อ แล้วจึงให้เขานั่งลงบนเก้าอี้หินที่อยู่ตรงในลานบ้านพลางยิ้มพูด “ดูเธอสิ ตอนนั้นให้เธอเรียนเต๋าก็ไม่ฟัง แถมยังไม่ยอมเรียนวิชาที่สืบทอดของตระกูลอีก ตอนนี้คงเสียใจแล้วใช่ไหม?”
หูหงเต๋อมีหน่อยก้านดี เดิมทีโก่วซินเจียอยากรับเขาให้เป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่าน แถมยังคุยกับหูอวิ๋นเป้าเรียบร้อยแล้ว รอให้ตอนที่ตัวเองออกจากภูเขาฉางไป๋ซานก่อนก็จะพาเขาไปที่เจียงหนาน
เพียงแต่หูหงเต๋อในตอนนั้นถึงแม้จะอายุยังน้อย แต่นิสัยกลับดื้อรั้นมาก อย่างแรกคือไม่อยากจากพ่อที่ใช้ชีวิตประคับประคองกันมา สองเขาสนใจวิชาที่ถ่ายทอดของตระกูลมากกว่า ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมออกจากบ้านและติดตามโก่วซินเจียไป
“ท่านลุง ตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่องเลยครับ ตอนนี้อยากเรียน คงจะสายไปแล้ว!”
หูหงเต๋อถอนหายใจ พลางคิดว่าโชคชะตาของคนเราพูดยากจริงๆ มักจะมีเรื่องเล็กๆ ที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาทั้งชีวิต แล้วสาเหตุที่โชคชะตายากจะทำนายได้ ก็คงมีสาเหตุมาจากตรงนี้กระมัง
“ท่านลุง แขน…แขนของท่านเป็นอะไรครับ?”
เมื่อครู่จิตใจเบิกบาน หูหงเต๋อจึงไม่ได้สังเกตแขนข้างซ้ายของโก่วซินเจีย แต่ตอนที่โก่วซินเจียจะรินน้ำชาให้เขา เขาจึงเห็นแขนเสื้อที่ว่างเปล่า
“ไม่เป็นไร ตอนนั้นได้รับบาดเจ็บ แต่หายดีแล้ว” โก่วซินเจียยิ้มพลางโบกมือแล้วจึงถาม “เต๋อหว๋าจึ น้องอวิ๋นเป้า ของฉันเสียไปตั้งแต่ตอนไหน? เธอ…เธอช่วยเล่าเหตุการณ์ให้ฉันฟังหน่อย!”
อายุของหูอวิ๋นเป้ามากกว่าโก่วซินเจีย แต่ตอนนั้นโก่วซินเจียช่วยชีวิตหูอวิ๋นเป้าไว้ตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน และตอนที่พวกเขาสาบานเป็นพี่น้องกัน เขากลับเรียกโก่วซินเจียเป็นพี่ชาย
ตอนนั้นโก่วซินเจียก็รู้จักคนในยุทธภพที่เรียนวิชาฉีเหมินนับไม่ถ้วน แต่คนที่สาบานเป็นพี่น้องกันกลับมีหูอวิ๋นเป้าคนเดียว ดังนั้นเขาจึงให้ความสนใจกับเรื่องของพี่น้องคนนี้เป็นธรรมดา
“หลังจากปฏิรูปแล้วพ่อของผมก็ไปหลบอยู่ในภูเขาฉางไป๋ซานอีกครั้ง และเขาก็เสียชีวิตไปหกเจ็ดปีเห็นจะได้ก่อนที่จะสิ้นใจยังคงนึกถึงท่าน และบอกให้ผมต้องตามหาท่านให้พบ แล้วก็เลี้ยงดูท่านให้ดีครับ…”
เมื่อพูดเรื่องในอดีต หูหงเต๋อจึงเก็บความเสียใจไม่อยู่ คิดถึงตอนที่พ่อของเขานั้นต่อสู้กับศัตรูที่เข้ามารุกราน รวมถึงสาเหตุที่โก่วซินเจียต้องเสียแขนไปข้างหนึ่งด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น