ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 427-428
ตอนที่ 427 รอยประทับ บงกชดำทองคำ
เหยื่อสดใหม่ที่ยังไม่ทันได้ลิ้มลอง หากตายไปเสียอย่างนี้ ก็ช่างน่าเสียดาย
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องการในสตรีผู้นี้คลอดทารกศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา!
พอคิดเช่นนี้ เยี่ยอิงก็ขยับร่างวูบหนึ่ง ทะยานออกจากกลุ่มระเบิดแสง คิดจะคว้าตัวตู๋กูซิงหลันออกมาจากไต้ฝุ่นหอบนั้น
แต่แล้วกลับถูกมังกรดำขนาดยักษ์ขวางเอาไว้
“ฝ่าบาท! องค์ราชินีทรงลงมือ ย่อมมีพระประสงค์ให้ตกตาย พระองค์ไม่ควรเข้าไปขัดขวาง!” ศีรษะที่ใหญ่โตของมังกรตัวนั้นก้มลงอยู่ตรงหน้าเขา
เยี่ยเฉินมองไปทางหอสูง ก็สามารถมองเห็นหวาชางสุ่ยที่มีเส้นผมขาวหมดจรด เห็นในมือของนางเคลื่อนไหวไม่มีหยุด พัดเล่มนั้นโบกสะพัดลงไปอีกครั้ง
เหล่ามังกรพาเยี่ยเฉินถอยหลบออกไป
หากจะบอกว่าพลังของพัดแรกรุนแรงถึงขนาดทำลายเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลละก็ พลังจากพัดที่สองก็คงถึงขั้นกวาดล้างถล่มปฐพี ให้ทุกชีวิตกลายเป็นผุยผง
ดวงตาของหวาชางสุ่ยมีแต่ความโกรธแค้นชิงชัง นางคิดไม่ถึงเลยว่า พัดแรกของตนเองโบกออกไปแล้ว เดรัจฉานนั่นจะยังมีชีวิตอยู่ได้
พัดวายุโบกออกไป สมควรทำให้มันดับดิ้นสิ้นวิญญาณไปแล้ว
นังเดรัจฉานนั่นมีใครปกป้องอยู่กัน นอกจากเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นแล้ว ก็มิได้บุบสลายเลยแม้แต่น้อย?
พัดที่สองโบกมาถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ย่อมมีกำลังรุนแรงกว่าครั้งแรกอีกหลายเท่า
ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนบดบังอยู่ด้านหลัง นางเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเสื้อผ้าของเขาถูกกรีดจนขาดวิ่น ผิวหนังก็ถูกบาดจนเป็นแผล
เลือดไหลออกมาจากผิวหนัง
แต่สีหน้าของเขายังคงเยือกเย็น ทุกความเคลื่อนไหวของเขามีแต่ปกป้องนางอย่างเข้มแข็ง “ซิงซิงไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่”
เขาพูดพลางก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากในอก ผูกเอาไว้บนตาของตู๋กูซิงหลัน
ฮ่องเต้ทรงถอดฉลองพระองค์ชั้นนอกที่ขาดวิ่นบนร่างออกมา คลุมลงไปบนร่างของนาง
เรือนร่างได้รูปต้านทานอยู่ท่ามกลางสายลมคลุ้มคลั่ง ที่เป็นดั่งพันดาบกรีดบาดเข้ามา
ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งเพียงไร ยามนี้ก็ยังถูกบาดจนโลหิตรินไหล
หมอกสีดำที่เข้มข้นพวยพุ่งขึ้นมาจากในร่าง ดวงเนตรหงส์สีดำคู่นั้นย้อมไปด้วยเลือด จนเกิดเส้นสายสีแดงขึ้นมา
พระองค์ประทับยืนอยู่เบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน ใช้หมอกสีดำในร่างรายล้อมนางเอาไว้
ริมโอษฐ์ของจีเฉวียนยังคงเป็นสีม่วง พิษที่ได้รับก่อนหน้านี้ยังไม่ทันกำจัดออกไปได้หมด ย่อมส่งผลถึงพลังภายในร่างของพระองค์
ยามนี้ พระองค์ประทับอยู่บนหลังของเมียเมียที่เคลื่อนไหวด้วยความยากลำบาก ในพระหัตถ์ถือดาบสีดำลายทอง สายพระเนตรจับจ้องไปทางหอสูง
เมื่อสายพระเนตรนั้นมองไป ก็สบเข้ากับสายตาของหวาชางสุ่ยในทันที
ความเย็นยะเยือกขุมหนึ่งทะลวงเข้าดุจสายลมที่คมกริบ ทำให้นางสะท้านจะแข็งไปทั้งร่าง
หวาชางสุ่ยกุมพัดในมืออย่างแนบแน่น
ทันทีที่ได้เห็นดวงตาคู่นั้น นางก็มั่นใจว่า ….บุรุษผู้นี้จะต้องเป็นคนของเผ่าหมิงอย่างแน่นอน!
พลังในร่างของเขาแข็งแกร่งเกินไป เพียงแค่แววตาก็สามารถทำให้ผู้อื่นสะท้านจนตัวแข็งได้แล้ว
เผ่าหมิงสาปสูญหลังความวุ่นวายไปนับพันปีแล้ว แม้แต่สิบยมราชผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังถูกส่งไปยังมิติต่างๆ อยู่ๆก็ปรากฏบุรุษผู้นี้ขึ้นมา….เขาคือผู้ใดในเผ่าหมิงกัน?
หนึ่งในสิบยมราชกระนั้นหรือ?
ดูเหมือนจะไม่คล้าย
จีเฉวียนเองก็ทอดพระเนตรเห็นหวาชางสุ่ยอย่างชัดเจน สายพระเนตรของพระองค์มืดครึ้ม กระชับดาบสีดำลายทองขึ้นมาท่ามกลางพายุ
ทันใดนั้นรอบตัวดาบก็ปรากฏหมอกสีดำพวยพุ่งขึ้นมาเป็นชั้นๆ
ท่ามกลายหมอกสีดำบังเกิดเสียงกรีดร้องและคำรามกึกก้อง โครงกระดูกขนาดภูเขาลูกย่อมๆจำนวนมากมายผุดขึ้นมา ต่างมุ่งหน้าไปทางหอสูง
พอดีกับที่หวาชางสุ่ยโบกพัดครั้งที่สามออกมา
พอคลื่นพายุกับโครงกระดูกปะทะกัน พื้นที่กว่าครึ่งของเผ่ามังกรทมิฬก็พังทะลายลงไป
พายุพัดโหมใส่โครงกระดูกสีดำ ขณะเดียวกันโครงกระดูกเหล่านั้นก็ดูดกลืนพายุลงไป ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แรงปะทะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างรุนแรง ทำให้คนที่แม้อยู่ห่างไกลยังต้องตัวชาวาบ
เหล่าชาวมังกรทมิฬที่อยู่ใกล้เกินไปต่างก็ได้รับผลกระทบกระทั่งเลือดออกเจ็ดทวาร จนต้องดับสิ้น
กระดูกในร่างของพวกเขาถูกแรงบีบอันจนส่งเสียงลั่นกรอบๆ ทั้งที่มิได้สัมผัสกับแรงกดดันเหล่านั้นแม้แต่น้อย แต่ร่างก็เหมือนกันถูกบดขยี้จนแยกชิ้นส่วนไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ด้านหลังของจีเฉวียน มองเห็นแต่ร่องรอยบาดแผลมากมายที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังของเขา
รอบดาบ รอยกระบี่ รอยแส้
มีทั้งบาดแผลเก่า และบาดแผลใหม่
บาดแผลจากแส้นั้นดูใหม่ที่สุด เกิดขึ้นจากตอนที่เขาปลอมตัวเป็นบุรุษบำเรอของนาง
รอยดาบและกระบี่นั้นค่อนข้างนานมาแล้ว แต่ก็สามารถคาดคะเนได้เลยว่าตอนนั้นจะต้องเป็นแผลลึกถึงขนาดไหน ถึงได้ทำให้ทิ้งเป็นแผลเป็นบนร่างเอาไว้อย่างชัดเจนถึงเพียงนี้
บาดแผลเหล่านี้ปรากฏขึ้นมา เพราะเส้นผมของเขาพัดพลิ้วขึ้นไปจนหมด ช่างบาดตายิ่งนัก
ตู๋กูซิงหลันถูกเขาบดบังเอาไว้ด้านหลังจนหมด บนร่างยังมีหมอกดำจากร่างของเขาครอบคลุม หากเทียบกับเมื่อครู่ที่ถูกสายลมกรีดบาดย่อมดีกว่ามากแล้ว
เพียงว่าตอนนี้ด้านหน้าเกิดอะไรขึ้นมา นางก็ไม่อาจเห็นชัด
หมอกสีดำของเขาบดบังดวงตาของนาง สิ่งที่เห็นจึงมีแต่แผ่นหลังที่เลือนลางของเขาเท่านั้น
เขาถอดเสื้อผ้าท่อนบนบนร่างจนหมด ช่วงเอวก็ยังถูกสายลมกรีดบาดเป็นแผล ตรงบริเวณบั้นเอวปรากฏตราประทับสีดำทอง
นั้นเป็นบงกชดำทองดอกหนึ่ง
ที่มีขนาดเล็กเพียงแมงมุมตัวน้อย
หากเป็นยามปกติส่วนนั้นย่อมต้องถูกขอบกางเกงปิดบังเอาไว้ แม้ว่าตู๋กูซิงหลันจะเคยได้เห็นร่างกายท่อนบนของเขามาหลายครั้งหลายคราว แต่ก็ไม่เคยเห็นบริเวณนั้นมาก่อน
รอบประทับรูปดอกบัวสีดำทองรอยนั้น ทำเอานางถึงกับตื่นตะลึงจนชาวาบไปทั้งตัว
แม้แต่วิญญาณทมิฬเองก็ตาค้างไปแล้ว
“นี่มัน?”
ต่อให้มันหลับฝันก็ยังไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้สุนัขจะมีรอยประทับเช่นนี้อยู่บนร่างได้!
ตู๋กูซิงหลันมองดูอยู่เนิ่นนานก็ยังพูดอะไรไม่ออก
ในสมองของนางปรากฏโฉมหน้าที่งดงามของคนผู้หนึ่งขึ้นมา
ใบหน้านั้นกลมกลืนเข้ากับใบหน้าของจีเฉวียนอย่างช้า กลายเป็นความคล้ายคลึงอย่างบ่งบอกไม่ถูก
นางยื่นมือออกไป ปลายนิ้วที่เย็นจัดสัมผัสลงบนรอยประทับรูปดอกบัวบนบั้นเอวของจีเฉวียนอย่างแผ่วเบา
แตะเพียงเล็กน้อย จมูกของนางก็รูปสึกแสบร้อนขึ้นมาในทันที
“อา….จารย์…..”
นางไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป น้ำเสียงที่สั่นสะท้านเอ่ยเรียกเขาขึ้นมา
รอยประทับนี้…..นางเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต
ทุกมุมทุกกลีบทุกรายละเอียดของมันล้วนจดจำได้โดยไม่มีผิดพลาด
ในใต้หล้านี้ มีแต่ซื่อมั่ว ท่านอาจารย์ของนางเท่านั้นที่จะมีรอยประทับบงกชดำทอง
ผู้อื่นผู้ใดล้วนไม่อาจลอกเลียบแบบได้!
เสียงเรียกอาจารย์เพียงคำเดียว ทำให้จีเฉวียนที่กำลังต่อสู้อยู่ถึงกับเสียสมาธิไปชั่วขณะ
สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือสองคำที่เอ่ยออกมาจากปากของตู๋กูซิงหลันนี้
ในช่วงเวลาเช่นนี้….ผู้ที่นางคิดถึงก็คือซื่อมั่วผู้นั้น?
บุรุษที่ประทับอยู่ในใจของนางอย่างลึกล้ำ!
และเพราะขณะที่เสียสมาธิไปชั่ววูบ หวาชางสุ่ยก็โบกพัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง พลังที่รุนแรงพัดโหมมาอีกครั้ง จีเฉวียนใช้เนื้อหนังบนร่างกายบดบังเอาไว้ ไม่ให้พลังเหล่านั้นกระทบถูกตู๋กูซิงหลันไม่แต่น้อย
ภยันตรายทั้งหมดทั้งมวลเขาจะรับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
ชั่วขณะนั้น พลังจากพัดวายุโหมซัดใส่ร่างของจีเฉวียน
ถึงอย่างไรร่างของเขาก็เป็นเลือดเนื้อ เมื่อถูกพายุระดับทำลายเมืองทั้งเมืองพัดโหมเข้าใส่ คนก็ตกจากหลังของเมียเมีย หล่นลงไปยังเบื้องล่าง
ราวกับใบไม้เก่าที่เหลืองกรอบ ปลิดปลิวไปตามแรงลมอย่างหมดสิ้นชีวิต
ใต้ร่างของเขา คือความมืดมิดที่ไร้ก้นบึ้ง แม้มองลงไปก็ไร้ขอบเขต
หมอกสีดำที่ครอบคลุมอยู่บนร่างจางหายไปอย่างรวดเร็ว ตู๋กูซิงหลันไม่ครุ่นคิดอะไรทั้งสิ้น นางสะกิดปลายเท้าทุ่มเทกำลังทั้งหมดไล่ตามลงไปอย่างรวดเร็ว
ร่างของนางเหมือนดั่งผีเสื้อตัวน้อยที่พุ่งเข้าหากองไฟ ถึงแม้เบื้องหน้าคืออันตรายที่ไม่อาจคาดคะเนได้ นางก็ยังติดตามไป
ขณะที่เห็นว่าร่างทั้งร่างของเขากำลังร่วงลงไปในความมืดมิดที่ไร้ก้นบึ่งนั้น ปลายนิ้วของนางคว้าชายผ้าที่ขากางเกงของจีเฉวียนเอาไว้ได้แล้ว
ตอนที่ 428 ราวกับผีเสื้อที่ร่วงหล่นลง...
พลังของพัดวายุย่อมไม่ธรรมดา จีเฉวียนกลับรับพลังของมันเอาไว้ด้วยตัวคนเดียวทั้งหมด คนจึงลอยออกไปไกลหลายพันเมตร
ถึงตู๋กูซิงหลันทุ่มเทพลังทั้งหมดไล่ตามลงไป แต่สุดท้ายก็ยังชักช้าไปวูบหนึ่ง
เบื้องหน้าของพวกนางคือหุบเหวไร้ก้นบึ้ง ที่ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า ใต้หุบเขาลงไปเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่โหดเ**้ยมและชั่วร้าย
แม้ว่ายังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็รู้สึกถึงความอึดอัดคับข้องไปทั่วร่าง
ข้างใต้นั้นราวกับมีมือที่ดิ้นรนอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ที่กำลังต้องการฉุดดึงผู้คนลงไปใต้หุบเหว
ตู๋กูซิงหลันเห็นจีเฉวียนร่วงลงไปเบื้องล่างกับตา เขาเปลือยร่างท่อนบน แผ่นหลังหันเข้าหานาง บงกชสีดำทองที่อยู่บนบั้นเอวดอกนั้นเด่นชัดอยู่ในสายตาของนาง
ตู๋กูซิงหลันไม่ครุ่นคิดใดๆทั้งสิ้น บังคับร่างพุ่งลงไปในหุบเหว
นางยังไม่ทันหล่นลงไปในหุบเหว เยี่ยเฉิงที่กลายร่างเป็นมังกรโฉบเข้ามา
กรงเล็บที่ใหญ่โตของเขากวาดออกมา คว้าตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแม่นยำ ลากนางกลับขึ้นมาจากปากหุบเขาไร้ก้นบึ้ง
ร่างจริงของเขาก็เป็นมังกรสีครามตัวหนึ่งเช่นกัน ทั้งยังใหญ่โตกว่าร่างจริงของเยี่ยอิงอยู่มาก พลังก็แข็งแกร่งกว่าเยอะ
กรงเล็บที่คว้าตู๋กูซิงหลันเอาไว้นั้น หากว่าใช้แรงมากไปเล็กน้อย เกรงว่าคงจะบีบนางจนแหลกเละไปแล้ว
เยี่ยเฉิงโกรธเกรี้ยวแล้ว เขาจ้องมองดูสตรีในกรงเล็บ ถามอย่างขุ่นเคืองว่า “ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือไร? รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหนกัน?”
อนุของเขาคิดจะฆ่าตัวตายเพื่อบุรษจากเผ่าอื่นหรือ?
ในมือของตู๋กูซิงหลันยังคงกำผ้าจากชายกางเกงของจีเฉวียนเอาไว้อย่างแนบแน่น นางมองไปที่เยี่ยเฉินด้วยสายตาเย็นชา ตะโกนเสียงดังว่า “ปล่อยข้านะ!”
“ข้าช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ เจ้ากลับขู่ตะคอกใส่ข้าหรือ?” เยี่ยเฉินชะโงกศีรษะมังกรที่ใหญ่โตลงมา เขารู้สึกว่าสตรีผู้นี้ไม่รู้จักดีชั่วเกินไปแล้ว
ในชีวิตนี้เขาไม่เคยกระทำเรื่องดีๆมีเมตตาเช่นนี้มาก่อน หากมิใช่เพราะว่านางคืออนุของเขา ทั้งยังเป็นอนุที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ยังไม่เคยรับการโปรดปรานมาก่อน เขาหรือจะยอมช่วยนางเช่นนี้
ตอนนี้พอเห็นนางทำเพื่อบุรุษอื่นโดยไม่คิดจะรักษาชีวิตของตนเอง เขาก็รู้สึกราวกับว่าบนศีรษะมีหญ้าเขียวงอกเงยขึ้นมามากมายแล้ว
ตู๋กูซิงหลันถูกกรงเล็บของเขาจับเอาไว้อย่างแน่นหนา ก็ไม่พูดไม่จา ชักกริชขึ้นมาแทงรัวๆลงไป
เยี่ยเฉินแทบจะถูกสตรีที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีผู้นี้ทำเอาโกรธจนแทบบ้าไปแล้ว
“เจ้าอยากจะตายนักหรือ?” ความโกรธของเขาแทบจะครอบคลุมไปทั่วทั้งเผ่ามังกรทมิฬ
แม้แต่เยี่ยอิงที่สลบไสลไปแล้วก็ยังถูกเสียงคำรามของเขาปลุกจนตื่นขึ้นมา
นางมือขาดไปข้างหนึ่ง ปากแผลเจ็บปวดอย่างยิ่ง ได้แต่ระงับบาดแผลเอาไว้ชั่วคราวแล้วติดตามเสียงออกมา
เกิดอะไรขึ้น….กับพี่ชาย?
“เจ้าจงฟังข้าให้ดี! ที่นี่คือหุบเหวไร้ก้นบึ้ง! หากตกลงไปมีแต่จะกระดูกหักร่างแหลกสลาย แม้แต่จิตวิญญาณก็จะถูกดูดกินจนหมดสิ้น!” กรงเล็บของเยี่ยเฉินบีบแน่นขึ้นกว่าเดิม จนกระดูกทั่วร่างของตู๋กูซิงหลันส่งเสียงดังลั่น
ตั้งแต่ต้นจนจบนางกลับไม่ได้มองดูเยี่ยเฉินเลยสักแวบ
ในหูก็ได้ยินแต่คำพูดของเขาที่ว่า …..กระดูกหัก ร่างแหลก วิญญาณสลาย
แต่เพราะว่ากรงเล็บของเยี่ยเฉินบีบแน่นมากเกินไป กริชของนางแทงลงไปหลายต่อหลายครั้ง กลับทำได้เพียงขีดข่วนจนเพิ่มรอยเลือดจางๆบนกรงเล็บของเขาเท่านั้น
เยี่ยเฉินมิได้เป็นอะไรเลย
“เจ้าอยากจะไปตายกับบุรุษเถื่อนผู้นั้นมากนักหรือ? ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป!” เยี่ยเฉิงระเบิดโทสะอย่างรุนแรง
เหล่าอนุของเขา มีใครบ้างที่จะไม่คิดยื้อแย่งความรักความโปรดปรานจากเขา ทำไมคนที่พึ่งจะมาใหม่นางนี้ ถึงได้ไม่รู้จักเป็นเหมือนผู้อื่นจนถึงขนาดนี้?
หากเปรียบเทียบรูปโฉม พลังความสามารถและแม้กระทั่งฐานะแล้ว เขามีสิ่งใดที่เทียบไม่ได้กับบุรุษต่างเผ่าผู้นั้นกัน?
นางถึงได้เฝ้าคิดถึงถึงเพียงนี้?
หัวใจของเยี่ยเฉิงไม่มีความสงบแม้แต่น้อย เขาจะต้องกำราบอนุผู้นี้ ทำให้นางยินยอมให้กำเนิดทารกศักดิ์สิทธิ์ให้กับตนเองด้วยความเต็มใจ
พอพูดออกไปมากมาย ในที่สุดตู๋กูซิงหลันก็ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขาแวบหนึ่ง
แววตาแวบนั้น มีแต่ความเย้ยหยันอย่างที่สุด!
จากนั้นก็เห็นตู๋กูซิงหลันชูกริชของนางขึ้นมา
เยี่ยเฉินยิ้มอย่างเย็นชา “สิ่งนั้นไม่มีผลอะไรกับข้า เจ้าคิดจะฆ่าข้า ต้องไปฝึกมาใหม่อีกพันปี!”
สายตาของตู๋กูซิงหลันเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว นางมองดูเขา ยกริมฝีปากขึ้น คลี่ยิ้มที่เจิดจร้างดงามดุจบุปผาบานในฤดูใบไม่ผลิ
ริมฝีปากแดงของนางขยับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุดว่า “เจ้าต้องการตัวข้ามิใช่หรือ?”
หากว่าเหลือแต่ร่างเล่า ยังต้องการอีกไหม?
เยี่ยเฉิงชะงักงั้นไป นับตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นเขาก็รู้สึกว่าสตรีผู้นี้งดงามอย่างไม่น่าเชื่อ
งดงามจนทำให้ผู้คนเกิดความคิดอยากยึดครองนางเอาไว้
แต่พอนางเผยรอยยิ้มออกมา เขาถึงได้รู้ว่า แม้แต่สิ่งที่งดงามที่สุดในโลกล้าก็ยังไม่อาจเทียบเคียงกับนางได้
ขณะที่เขาตกตะลึงอยู่นั้น กริชที่ตู๋กูซิงหลันชูขึ้นสูง ก็กำลังพุ่งเข้าสู่ลำคอของนาง
เยี่ยเฉิงชะงักค้าง กรงเล็บคลายออกอย่างไม่ตั้งใจ
ชั่วพริบตานั้น ตู๋กูซิงหลันก็พลิกร่างกระโดดลงไปในหุบเหวไร้ก้นในทันที
เสมือนหนึ่งผีเสื้อน้อยที่หล่นลงสู่ก้นบึ้ง
เยี่ยเฉินเกรี้ยวกราดขึ้นมา หางมังกรของเขาสะบัดออกไป คิดจะไล่ตามลงไปลากตู๋กูซิงหลันขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ว่ามังกรสีครามอีกตัวกลับพุ่งเข้ามาชนเขาอย่างรวดเร็ว
เยี่ยอิงไม่เคยเห็นเยี่ยเฉิงทำอะไรอย่างผลีผลามเพื่อสตรีผู้หนึ่งมาก่อนเลย!
หากว่านางชักช้าไปก้าวหนึ่งละก็ ไม่แน่ว่าแม้แต่พี่ชายก็คงจะลงไปในหุบเหวไร้ก้นบึ้งนี้ด้วย
นางผลักเยี่ยเฉิงไปจนไกลจากหุบเขาไร้ก้นบึ้ง
เหล่าชาวมังกรทมิฬที่ได้เห็นเหตุการณ์ต่างก็พากันตกตะลึงไปหมด…..ทุกคนต่างรู้ดีว่า ไท่จื่อทรงรักใคร่เอ็นดูองค์หญิงมากเพียงไร ทั้งสองมักจะร่วมกินร่วมดื่มและอยู่ด้วยกันเสมอ ถึงขนาดที่เรียกว่า ‘รักกัน’ ยิ่งกว่าสามีภรรยาเสียอีก
แทบจะไม่เคยเห็นทั้งสองมีข้อขัดแย้งใดๆมาก่อนเลย
พอมังกรสีครามทั้งสองร่อนลงไปบนพื้น ค่อยกลายร่างกลับเป็นร่างมนุษย์
เยี่ยเฉินยังคงมีโทสะคุกรุ่นไม่หาย เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยอิง เขาย่อมไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา
“เจ้าขวางข้าทำไม?”
“หากข้าไม่ขวางท่านไว้ ท่านก็จะไปตายเพื่อมนุษย์ผู้หนึ่งงั้นหรือ?” ปิดบังมือข้างที่ถูกตัดไปเอาไว้ นางเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “ท่านเป็นไท่จื่อของเผ่ามังกรดำ คือความหวังของคนทั้งเผ่า แล้วจะเสียสติเพราะสตรีผู้หนึ่งได้อย่างไร?”
เยี่ยเฉิน “นางเป็นอนุของข้า ใช้เผ่ามนุษย์ที่ไหนกัน? ข้าไม่อาจช่วยเหลือสตรีของตนเองหรืออย่างไร?”
คำว่า ‘สตรีของตนเอง’ เสียดแทงหัวใจของเยี่ยอิงจนเจ็บแปลบ
“พี่ชาย ท่านตาบอดแล้วหรือ? แม้แต่เผ่ามนุษย์และเผ่ามังกรก็แยกแยะไม่ออกแล้วหรือไง?” นางพยายามสงบใจของตนเองลง มองดูเยี่ยเฉิงที่กำลังเปี่ยมไปด้วยโทสะ ขณะเดียวกันก็เหลือบตาไปทางหุบเหวไร้ก้น
จากนั้นค่อยยิ้มออกมาเย็นชา “สตรีผู้นั้น คือฮ่องเต้หญิงแคว้นเหยียน เป็นเผ่ามนุษย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ว่ากลับมีฝีมืออยู่บ้าง สามารถบุกไปทำลายวังมังกรทะเลตะวันตกได้เพียงลำพัง นางยังแข็งแกร่งกว่ามังกรทั่วไปมากมายนัก”
เยี่ยเฉิงขมวดหัวคิ้ว “ฮ่องเต้หญิงแคว้นเหยียน?”
มิใช่องค์หญิงทะเลตะวันตก? เขามีโอกาสได้สัมผัสนางอย่างใกล้ชิด เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าในร่างของนางมีพลังของเผ่ามังกรอยู่
เยี่ยอิงสีหน้าเย็นชาปานน้ำแข็ง พอนางอ้าปากขึ้น ก็เห็นหวาชางสุ่ยที่มีเส้นผมขาวโพลนเหาะลงมาจากหอสูง
นางสวมชุดกระโปรงยาวสีดำ บนกระโปรงปักลายมังกรโผบินเอาไว้ตัวหนึ่ง
กระโปรงสีดำและเส้นผมสีขาวกลายเป็นความตัดกันอย่างชัดเจน
สีหน้าของนางทั้งสีขาวและบึ้งตึง
“พระมารดา…..”
เยี่ยเฉินและเยี่ยอิงพบนาง ก็ถอยไปด้านข้างก้าวหนึ่ง พลางส่งเสียงเรียกหาด้วยความเคารพนบนอบ
หวาชางสุ่ยเพียงแต่มองไปทางหุบเขาไร้ก้นบึ้ง นัยตามีแต่ความเเย็นชาและเหน็บหนาว นังเดรัจฉานน้อยนั่นช่างเหมือนกับมารดาของมันนัก ดวงแข็งอย่างยิ่ง
ต่างก็เป็นพวกไม่กลัวความตาย
หึ
แต่ว่ามิว่าอย่างไรก็ไม่ควรจะกระโดดลงไปในหุบเหวไร้ก้นบึ้งนั่น!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น