กระบี่จงมา 426.1-427.2
บทที่ 426.1 กลับมาท่องเที่ยวที่เดิม น...
จูเหลี่ยนค้นพบว่าเมื่อเฉินผิงอันขี่กระบี่กลับมาที่สะพานไม้เลียบหน้าผา บนร่างของเขากลับให้ความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างออกไป
นั่นคือความรู้สึกที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
จูเหลี่ยนเองก็อยู่กับเฉินผิงอันมานานแล้วถึงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเบาบางอันมหัศจรรย์นี้ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับ…ลมฤดูใบไม้ผลิพัดให้ผิวน้ำในบ่อเกิดระลอกคลื่น
เฉินผิงอันบอกให้เผยเฉียนที่รอเขาอยู่นานไปนอนก่อน ก่อนจะเรียกให้จูเหลี่ยนมาดื่มด้วยกันอีกครั้งอย่างที่หาได้ยาก คนทั้งสองนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงริมหน้าผาด้านนอกสะพานไม้ จูเหลี่ยนยิ้มถามว่า “มองดูเหมือนว่านายน้อยจะอารมณ์ดี? เพราะความรู้สึกที่ได้ขี่กระบี่เดินทางไกลยอดเยี่ยมมากเป็นพิเศษ?”
เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้ายังจำเฉาสือได้ไหม?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ชื่อนี้ บ่าวเฒ่าจะลืมได้อย่างไร ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นายน้อยแพ้เขาติดต่อกันตั้งสามครั้ง คนที่ทำให้นายน้อยยอมรับความพ่ายแพ้ได้ทั้งกายทั้งใจ บ่าวเฒ่าหวังจะให้ตัวเองได้พบหน้าเขาตั้งแต่พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ จากนั้นก็ต่อยเขาให้ตายด้วยหมัดสองหมัด วันหน้าเขาจะได้ไม่ต้องแย่งชิงโชคชะตาบู๊ของใต้หล้าไปจากนายน้อย ถ่วงรั้งไม่ให้นายน้อยเลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ด ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ในตำนาน”
เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาคำพูดประจบเอาใจและคำหยอกล้อเหล่านี้ของจูเหลี่ยน เขาดื่มเหล้าเนิบนาบพลางกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้ว่าเฉาสือจะฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้งแล้ว”
จูเหลี่ยนถามอย่างประหลาดใจ “แล้วทำไมนายน้อยถึงยังรู้สึกดีใจ? เก้าอี้อันดับหนึ่งของใต้หล้านี้ไม่อาจนั่งกันได้สองคน แน่นอนว่าหากจะพูดเรื่องถึงนี้ตอนนี้ ระหว่างนายน้อยกับเฉาสือก็นับว่ายังเร็วไปนัก”
เฉินผิงอันจิบเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คำเล็กๆ ถามว่า “เจ้าว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างพวกเราฝึกหมัดเรียนวรยุทธกันไปเพื่ออะไร?”
จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “แน่นอนว่าเพื่อให้หลุดพ้น ได้รับอิสระอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดที่อยากทำก็ล้วนทำได้สำเร็จ เมื่อเจอเรื่องที่ไม่เต็มใจจะทำก็สามารถพูดคำว่า ‘ไม่’ ได้ อันดับหนึ่งในใต้หล้าทุกคนในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว แม้จะบอกว่าต่างคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองแสวงหา แตกต่างกันออกไป แต่มองจากทิศทางคร่าวๆ แล้วกลับเหมือนกัน สุยโย่วเปียน หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน และข้าจูเหลี่ยน ล้วนเป็นเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรพื้นที่มงคลดอกบัวก็ยังเป็นแค่สถานที่เล็กๆ ทุกคนจึงสัมผัสถึงความเป็นอมตะมิดับสลายได้ไม่ลึกซึ้งนัก ต่อให้พวกเราจะเป็นคนที่ยืนในจุดที่สูงที่สุดของใต้หล้าแล้ว แต่ก็ยังไม่คิดไปทางนั้นให้มากความ เพราะพวกเราไม่เคยรู้ว่าที่แท้ยังมี ‘บนฟ้า’ ใต้หล้าไพศาลแข็งแกร่งกว่าพวกเรามากเกินไป ในข้อของการเยี่ยมเยียนเซียนขอความรู้ เว่ยเซี่ยนเดินไปได้ไกลที่สุด ก็คนเป็นฮ่องเต้นี้นะ ถูกขุนนางและชาวบ้านแซ่ซ้องอวยพรให้อายุยืนหมื่นปีนานวันเข้า ก็ย่อมต้องคิดอยากจะมีชีวิตยืนยาวหมื่นปี หมื่นๆ ปีบ้างล่ะ”
เฉินผิงอันชี้มาที่ตัวเอง “เรื่องราวบางอย่างในอดีต ข้าไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังมากนัก ช่วงแรกเริ่มสุดที่ข้าฝึกหมัดก็เพราะถูกคนสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ จำเป็นต้องอาศัยการฝึกหมัดมาต่อชีวิต ก็เลยยืนหยัดฝึกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสะพายกระบี่เล่มที่หร่วนฉงหลอมเดินไปทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเพื่อนำมันไปส่งให้กับแม่นางหนิงตามสัญญา รอจนข้าได้ออกเดินทางไกลแสนไกล ในที่สุดก็ไปถึงภูเขาห้อยหัว ข้าก็แทบจะฝึกหมัดครบหนึ่งล้านครั้งแล้ว อันที่จริงตอนนั้นลึกๆ ในใจของข้าเกิดความกังขาขึ้นมานิดๆ ในเมื่อไม่จำเป็นต้องฝึกหมัดเพื่อต่อชีวิตอีกแล้ว และข้าเฉินผิงอันก็ไม่ใช่คนที่ชอบช่วงชิงความเป็นที่หนึ่งไปซะทุกเรื่อง ถ้าอย่างนั้นอันต่อไปควรจะทำอย่างไร?”
“กลายเป็นจูเหอคนต่อไป? ไม่ยากแล้ว หรือว่าจะเป็นซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ยคนถัดไป ก็ไม่ถือว่ายาก หรือว่าจะยังก้มหน้าก้มตาฝึกหมัดอีกหนึ่งล้านครั้ง นั่นก็น่าจะพอมีหวังว่าจะมีมาดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองแล้วไม่ใช่หรือ? ต้องรู้ว่าตอนนั้นข้าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่นั่นคือสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในใต้หล้า ห่างจากสถานที่ที่ข้าพักอาศัยไปไม่กี่ก้าว มีกระท่อมหลังหนึ่งที่ในนั้นมีผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่อาศัยอยู่ ใต้ฝ่าเท้าของข้ามีตัวอักษรที่ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่สลักไว้ แล้วก็มีตัวอักษรที่อาเหลียงสลักไว้ เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเปลี่ยนไปฝึกกระบี่หรือ? อยากมากเลยล่ะ”
“ดังนั้นตอนนั้นข้าถึงได้รีบร้อนอยากจะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ขนาดนั้น ถึงขั้นเคยคิดว่า ในเมื่อไม่ควรทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็ควรล้มเลิกการฝึกหมัด พยายามอย่างเต็มที่เพื่อกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ ฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมา สุดท้ายกลายเป็นเซียนกระบี่ กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อย่างสมชื่อดีหรือไม่? แน่นอนว่าข้าอยากทำมาก เพียงแต่คำพูดแบบนี้ ข้าไม่กล้าพูดกับแม่นางหนิงก็เท่านั้น เพราะกลัวนางจะรู้สึกว่าข้าไม่ใช่คนที่มุ่งมั่นตั้งใจ ขนาดกับการฝึกหมัดยังทำเช่นนี้ คิดจะเลิกก็เลิก ถ้าอย่างนั้นกับนางก็จะเป็นเหมือนกันหรือไม่?”
จูเหลี่ยนดื่มเหล้าอึกใหญ่ “บ่าวเฒ่ารู้จักกับนายน้อยช้าเกินไป ถึงขนาดพลาดรสชาติชีวิตของเด็กหนุ่มที่วันหน้านายน้อยอาจจะสัมผัสไม่ได้อีกครั้งไป ต้องดื่มเหล้าดับความเสียดายในใจอึกใหญ่”
เฉินผิงอันแหงนหน้า สองแขนกอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พลางตบเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าได้พบกับเฉาสือ ดังนั้นข้าจึงซาบซึ้งในตัวเขามาก เพียงแต่ไม่อาจพูดออกมาก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันชี้มาที่ตัวเองอีกครั้ง แล้วค่อยชี้ไปยังหน้าผาของภูเขาสูงชันลูกที่อยู่ตรงข้ามกับสะพานไม้ “เฉาสืออาจจะอยู่ที่นั่น ข้าห่างชั้นกับเขาไกลนัก แม้ข้าไม่ได้ตั้งใจแสวงหาอันดับหนึ่งของขอบเขตวรยุทธอะไร แต่ข้าก็ไม่ใช่คนโง่ ใครบ้างที่ไม่เต็มใจให้ตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง? แน่นอนว่าต้องอยากเป็นอันดับหนึ่ง ข้าก็แค่…เต็มใจที่จะเป็นช้าสักหน่อย ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนราวระเบียงของหอเก็บสมบัติจวนจื่อหยาง ข้าใคร่ครวญถึงคำว่าช้าไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็ทำให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ขึ้นอีกไม่น้อย หากย้อนสืบสาวกันไปที่ต้นกำเนิดแล้ว อันที่จริงนับตั้งแต่ตอนที่ข้าขึ้นรูปเครื่องปั้นเมื่อครั้งยังเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร อันที่จริงก็ได้สัมผัสกับคำนี้แล้ว ผู้เฒ่าเหยารังเกียจที่ข้าไม่มีพรสวรรค์ จึงไม่เคยเต็มใจจะสอนหลักการแก่ข้า ถึงขั้นไม่ชอบพูดคุยกับข้าด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นข้าเห็นการเผาเครื่องปั้นเป็นรากฐานในการมีชีวิตอยู่ต่อไป ควรจะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อผู้เฒ่าเหยาไม่สอน ถ้าอย่างนั้นข้าก็คอยแอบฟังเวลาที่เขาพูดคุยกับหลิวเสี้ยนหยางหรือกับลูกศิษย์คนอื่นอยู่หลายๆ ครั้ง ผู้เฒ่าเหยาบอกกับพวกเขาว่าใจต้องนิ่ง มือถึงจะมั่นคง ถึงจะเปลี่ยนจากเชื่องช้าไร้ข้อผิดพลาดไปเป็นว่องไวแต่ถูกต้อง ตามหลักแล้ว ดูเหมือนข้าก็ควรจะรู้หลักการนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าก็จำได้แม่นไม่ใช่หรือ? อันที่จริงกลับยังไม่ใช่ มีเพียงตอนที่ข้าได้ออกเดินทางไกล ได้พบเห็นผู้คนมากมาย หลักการเหตุผลหลายอย่างที่ไม่มีเท้าให้เดินหนีถึงจะเป็นอย่างที่เจ้าขุนเขาเหมาว่าไว้ นั่นคือเมื่ออยู่ในใจแล้ว หลักการเหตุผลนั้นถึงจะกลายมาเป็นของตัวเอง”
“เมื่อเฉาสือปรากฎตัวข้าก็รู้แล้วว่า ที่แท้ในบรรดาคนวัยเดียวกันไม่ได้มีเพียงแค่หม่าขู่เสวียน ยังมีเฉาสืออีกคน ต่อให้เฉาสือจะโดดเด่นสะดุดตาแค่ไหน ข้ากลับไม่รู้สึกรังเกียจเขา ไม่อิจฉาเขา อย่างมากก็แค่ผิดหวังเล็กน้อย อยู่ข้างกายแม่นางที่ตัวเองรัก อยู่ต่อหน้านาง แต่กลับแพ้ให้คนอื่นถึงสามครั้ง ในใจข้าย่อมไม่สบอารมณ์ ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงตัดสินใจได้ว่า สักวันหนึ่งไม่ว่าวันหน้าขอบเขตวิถีวรยุทธของเฉาสือจะสูงแค่ไหน คนนอกจะพูดว่าเขาคือตัวอ่อนโชคชะตาบู๊ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่ปรากฏในอนาคตอย่างไร ข้าก็จะต้องพยายามทำให้เขาแพ้ข้าสามครั้งติดให้จงได้!”
สีหน้าเฉินผิงอันเยือกเย็น แต่แววตากลับส่องประกายวาววับ “มีเพียงวิชาหมัดเหนือกว่า!”
จูเหลี่ยนตบเข่าฉาด “ประเสริฐ! ปณิธานของนายน้อยสูงส่งยาวไกลยิ่ง!”
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังหน้าผาที่อยู่ตรงข้าม ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ข้าพูดก็เพราะเมาหรอกนะ”
จูเหลี่ยนคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นดีที่สุด ไม่ทำลายบรรยากาศมากที่สุด เหล้าใหม่ไหหนึ่งเปิดผนึกดินแล้ว พอวางลงก็แค่ต้องรอก่อนเท่านั้น ไหนเลยจะต้องรีบร้อนเปิดออกมาดมซ้ำอีกรอบ ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงเริ่มเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา “ดูเหมือนว่าตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ นายน้อยจะกำลังกังวลกับอะไรบางอย่าง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าเองก็คอยจับสังเกตสถานการณ์ใหญ่ของแคว้นต้าหลีอยู่เหมือนกัน ไม่แปลกใจบ้างเลยหรือว่าทั้งๆ ที่ราชครูซิ่วหู่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการวางแผนวางหมากที่อื่นและกำลังรวบแหเก็บปลา แต่เหตุใดชุยตงซานถึงได้มาปรากฏตัวที่สำนักศึกษาซานหยา?”
จูเหลี่ยนถาม “วิชาอภินิหารห้าขอบเขตบนมิอาจจินตนาการได้ แยกวิญญาณออกจากกันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกกระมัง? ข้างกายพวกเราก็มีสือโหรวที่อาศัยอยู่ในคราบร่างเซียนนี่นา”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ชุยฉานกับชุยตงซานกลายเป็นคนสองคนแล้ว อีกทั้งยังเริ่มเดินไปบนมหามรรคาที่ไม่เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าคนสองคนที่จิตใจเหมือนกัน นิสัยเหมือนกัน วันหน้าควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไร?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ด้วยนิสัยของชุยตงซาน นอกจากนายน้อยที่เป็นอาจารย์แล้ว เขาไม่มีทางยอมก้มหัวให้ใครแน่นอน ต่อให้เป็น…ตัวเอง ก็ไม่ได้เหมือนกัน”
เฉินผิงอันพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นคนที่เคยเล่นหมากล้อมเมฆหลากสีจะประลองกับตัวเองอย่างไร?”
จูเหลี่ยนเริ่มขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด หันหน้ามามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าเดาว่า ข้าก็คือกระดานหมากล้อมอันนั้น นับตั้งแต่ที่พวกเราไปถึงนครมังกรเฒ่า พวกเขาสองคนก็น่าจะเริ่มวางหมากกันแล้ว”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดหนึ่งเส้นแนวตั้งและหนึ่งเส้นแนวนอนตัดสลับกัน “จุดตัดแต่ละจุด จุดที่ใหญ่หน่อยก็ยกตัวอย่างเช่นแคว้นชิงหลวน และยังมีสำนักศึกษาซานหยา จุดที่เล็กหน่อยก็อย่างเช่นสวนสิงโต เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำใดก็ตามที่มุ่งหน้าไปยังต้าสุย และยังมีจวนจื่อหยางที่พวกเราเพิ่งผ่านมาที่ก็อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน”
จูเหลี่ยนถาม “ชุยตงซานคงจะไม่ถึงขั้นวางแผนเล่นงานนายน้อยกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เขาพยายามช่วยข้าอยู่ตลอดเวลา ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยเลย”
จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่อยู่ เรือนกายของเขางองุ้ม พูดเสียงหนัก “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ!”
เฉินผิงอันยังคงนั่งอยู่เหมือนเดิม เขาแกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ “แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ไม่เป็นไร แผนการที่ใหญ่กว่านี้ กระดานหมากล้อมที่ร้ายกาจกว่านี้ ข้าก็ล้วนเดินผ่านมาแล้ว”
จูเหลี่ยนออกเดินช้าๆ ถูฝ่ามือของมือสองข้างเข้าหากัน “ต้องใคร่ครวญให้ดีสักรอบ”
กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันเป็นคนปลอบใจจูเหลี่ยน “วางใจเถอะ ไม่ถึงขั้นตายหรอก ดังนั้นจึงไม่มีทางเกิดศึกใหญ่เป็นตายที่ทุกหมัดปะทะโดนเนื้อ แล้วก็ไม่มีทางเจอทางตันอย่างในนครมังกรเฒ่าที่จู่ๆ ก็มีบุคคลอย่างตู้เม่าโผล่มาด้วย”
จูเหลี่ยนครุ่นคิด หัวคิ้วยังคงขมวดมุ่นไม่คลาย “นี่ก็จะยิ่งยุ่งยากนี่นา ไม่ใช่ว่าบ่าวเฒ่ายิ่งไม่มีโอกาสออกแรงหรอกหรือ? หรือว่าถึงเวลานั้นจะทำได้แค่เบิกตามองอยู่ข้างๆ? แบบนั้นจะไม่ทำให้บ่าวเฒ่าอัดอั้นตายหรือไง”
เฉินผิงอันมองไปยังหน้าผาที่อยู่ตรงข้าม ยืดเอวขึ้นตรง สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย “ไม่สนแล้ว เดินก้าวหนึ่งก็ดูกันไปก้าวหนึ่งแล้วกัน ไหนเลยจะมีเหตุผลให้ต้องกลัวที่จะกลับบ้าน!”
จูเหลี่ยนมองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอัน “ทหารมาเอาขุนพลต้านรับ น้ำมาเอาดินกลบ? นายน้อยช่างใจใหญ่ซะจริง”
อยู่ๆ เฉินผิงอันก็พูดอย่างสะท้อนใจ “รู้หลักการเหตุผลมากไป บางครั้งก็ทำให้ใจวุ่นวายเหมือนกัน”
เฉินผิงอันค้อมเอวลง วางสองมือทับซ้อนกัน ฝ่ามือดันอยู่ปลายด้านบนของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ “เส้นทางที่ตัดสลับบนกระดานหมากล้อมก็คือกฎเกณฑ์ข้อแล้วข้อเล่า กฎเกณฑ์และหลักการเหตุผลล้วนเป็นของตาย ตรงไปตรงมา แต่วิถีบนโลกจะทำให้เส้นตรงพวกนี้โค้งงอ หรือถึงขั้นที่ว่าเส้นในใจของคนบางคนอาจเปลี่ยนไปเป็นวงกลมที่บิดๆ เบี้ยวๆ ก็ยังได้ นี่เรียกว่ากลบเกลื่อนคำโกหกของตัวเองกระมัง ดังนั้นใต้หล้าจึงมีคนเยอะขนาดนั้นที่แม้จะอ่านหนังสือมาเยอะ แต่ก็ยังคงไม่มีเหตุผล และคนที่พูดเองเออเองก็มีมากเหมือนกัน ซึ่งพวกเขาต่างก็มีชีวิตที่ดี เพราะการทำเช่นนั้นก็ทำให้ใจตัวเองสงบและมั่นคงได้เช่นกัน ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่รักษากฎเกณฑ์แล้วยังมีพันธนาการน้อยกว่า จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ก็แค่ทำตามที่ใจตัวเองปรารถนา ไม่ว่าจะมองอย่างไรตัวเองก็มีเหตุผล ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตได้สบายใจมากขึ้น หรือไม่ก็อาศัยสิ่งนี้มาปกปิด ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตได้ดียิ่งกว่าเดิม สามลัทธิร้อยสำนักมีหนังสือมากมายขนาดนั้น ยกเอามาสักสองสามประโยค ยืมหลักการที่ตัวเองต้องการมาใช้ชั่วคราวก็ได้แล้ว มีอะไรยาก ไม่ยากเลยสักนิด”
จูเหลี่ยนทอดถอนใจ
กลับไปนั่งข้างกายเฉินผิงอันใหม่อีกครั้ง วางกาเหล้าที่ดื่มหมดไปแล้วโดยไม่รู้ตัวลง จูเหลี่ยนวางหมัดสองข้างไว้บนหัวเข่า ผู้เฒ่าร่างผอมแห้งที่หลังงองุ้มรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
คำพูดจากใจจริงเหล่านี้ หากเฉินผิงอันพูดกับพวกสุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยง คนทั้งสามคงไม่คิดอะไรลึกซึ้งนัก จิตกระบี่ของสุยโย่วเปียนใสกระจ่าง มุ่งมั่นอยู่แต่กับกระบี่ เว่ยเซี่ยนก็ยิ่งเป็นศัตรูของคนนับหมื่นบนสนามรบซึ่งเคยนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร หลูป๋ายเซี่ยงเองก็เป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมาร อันที่จริงการพูดเรื่องพวกนี้ล้วนไม่มีความหมายเหมือนกับ…พูดกับจูเหลี่ยน
มองดูเหมือนจูเหลี่ยนเป็นคนไม่ใส่ใจอะไร ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ล้วนเผชิญกับพวกมันได้อย่างง่ายๆ สบายๆ ไม่เคยเก็บเอาไปใส่ใจ แต่จูเหลี่ยนต่างหากที่เป็นคนซึ่งเคยพบเจอความหลากหลายในโลกมนุษย์ของพื้นที่มงคลดอกบัวมามากที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่
มีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูงที่สืบทอดตำแหน่งขุนนางต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย รู้ถึงรสชาติของความร่ำรวยที่แท้จริงในใต้หล้า เคยเห็นกษัตริย์ แม่ทัพ อัครเสนาบดีในระยะประชิด ตั้งแต่เด็กก็มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธที่โดดเด่น และบนเส้นทางของการฝึกยุทธก็ยิ่งทิ้งห่างทุกคนไปไกลไม่เห็นฝุ่น ทว่ากลับยังคงทำตามขนบธรรมเนียมของตระกูล เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ได้อันดับที่สองมาครองอย่างง่ายดาย และนี่ยังคงเป็นเพราะขุนนางใหญ่ในสำนักคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุมสอบซึ่งสนิทสนมกับผู้อาวุโสในตระกูลจงใจกดระดับขั้นของจูเหลี่ยนเอาไว้ หาไม่แล้วต่อให้ไม่ได้เป็นจ้วงหยวนก็ต้องได้เป็นปั้งเหยี่ยน ตอนนั้นจูเหลี่ยนก็คือบุรุษรูปงามที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหลวง แค่จรดพู่กันก็สามารถเขียนบทความ เขียนงานประพันธ์ที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ เดินทางไปท่องเที่ยวชานเมืองในฤดูใบไม้ผลิครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำให้หญิงสาวชนชั้นสูงกี่มากน้อยจิตใจหวั่นไหว แต่ผลกลับกลายเป็นว่าจูเหลี่ยนรับตำแหน่งขุนนางว่างงานที่สถานะสูงศักดิ์แค่ไม่กี่ปีก็หาข้ออ้างออกเดินทางท่องเที่ยวไปไกลนับหมื่นลี้เพียงลำพัง แต่แท้จริงแล้วก็คือออกไปเที่ยวเล่น หาประสบการณ์อยู่ในยุทธภพ
อยู่ไปอยู่มา คุณชายสูงศักดิ์เสเพลอยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า นั่นทำให้เขากลายเป็นหลุมในใจที่เทพธิดาในยุทธจักรและจอมยุทธหญิงในยุทธภพจำนวนนับไม่ถ้วนข้ามผ่านไปไม่ได้
ภายหลังแต่ละแคว้นเกิดศึกวุ่นวาย ภูเขาแม่น้ำแตกแยกพังภินท์ จูเหลี่ยนจึงถอนตัวจากยุทธภพกลับบ้านเกิด เข้าร่วมกองทัพทำสงคราม กลายมาเป็นแม่ทัพผู้มีความรู้ที่โดดเด่น หกปีที่ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้า จูเหลี่ยนใช้แค่กลศึกเท่านั้น ไม่เคยอาศัยวรยุทธ พยายามกอบกู้สถานการณ์อย่างสุดกำลัง แล้วก็ช่วยให้ราชวงศ์ที่เหมือนอาคารใหญ่กำลังจะพังถล่มยืนหยัดมาได้อีกหลายปี เพียงแต่ด้วยแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ ภายหลังไม่ว่าจูเหลี่ยนจะตั้งใจประคับประคององค์ชายท่านหนึ่งเท่าไหร่ ช่วยเขาจัดการงานบ้านงานเมืองมากแค่ไหน ก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบที่ชะตาแคว้นต้องขาดสะบั้น สุดท้ายจูเหลี่ยนช่วยจัดการตำแหน่งที่ทางของตระกูลให้เรียบร้อย แล้วเขาก็ย้อนกลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้ง ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพียงลำพัง
ตามคำบอกของจูเหลี่ยน ตอนที่เขาอายุสี่สิบห้าสิบปียังคงหล่อเหลาสง่างาม เสน่ห์ของชายแก่ที่เหมือนสุรารสชาติเข้มข้นของเขายังคงทำให้เขาเป็น ‘จูหลาง’ (หลางเป็นคำเรียกบุรุษ/คำที่ผู้หญิงใช้เรียกสามีหรือคู่รักของตน) ในใจของดรุณีวัยแรกแย้มมากมาย
บทที่ 426.2 กลับมาท่องเที่ยวที่เดิม น...
เฉินผิงอันกล่าวว่า “หลังจากนี้พวกเราจะต้องเดินทางผ่านจวนหลังหนึ่งที่มีผีสาวเป็นเจ้าของ หน้าจวนแขวนป้าย ‘น้ำใสลมเย็น’ เอาไว้ ข้าคิดว่าจะพาเจ้าไปคนเดียวเท่านั้น ให้สือโหรวพาเผยเฉียนเดินอ้อมภูเขาแถบนั้นตรงไปรอพวกเราอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเมืองหงจู๋”
จูเหลี่ยนยิ้มถามอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “อืม ก่อนหน้านี้นายน้อยแค่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้เล่าอย่างละเอียด ตอนนี้มาลองนึกดูแล้ว คงจะมีความเสี่ยง แต่ไม่ได้อันตรายมากใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ผีสาวสวมชุดเจ้าสาวที่อาศัยอยู่ในจวนหลังนั้นเคยมีเรื่องกับพวกข้าเมื่อครั้งที่ข้ากับพวกเป่าผิงเดินทางผ่าน ข้าก็เลยอยากจะยุติเรื่องที่ค้างคาสักหน่อย”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่าช่วงนี้นายน้อยถึงซักถามวิชาแห่งชะตาชีวิตบางอย่างของพวกภูตผีปีศาจจากสือโหรวอย่างละเอียด แถมยังเดินๆ หยุดๆ ก็เพื่อรวบรวมพลังให้พรั่งพร้อม จะได้เขียนยันต์กระดาษเหลืองไว้ได้หลายๆ แผ่น”
เฉินผิงอันพลันยกฝ่ามือขึ้น “หุบปาก”
จูเหลี่ยนขุ่นเคืองเล็กน้อย ไม่เสียแรงที่เป็นนายน้อยของตน เข้าใจตนดีจริงๆ
คราวก่อนไม่ได้ถามนายน้อยว่าหน้าตาของผีสาวสวมชุดเจ้าสาวงดงามหรืออัปลักษณ์ ผอมหรืออ้วน? นี่จึงทำให้ในใจจูเหลี่ยนคันคะเยออยู่ตลอดเวลา
ถึงอย่างไรตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ยังไม่เคยมีผีสาวหน้าตางดงามที่มีสุสานเป็นบ้านชื่นชมเลื่อมใสตนมาก่อน มาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วจะพลาดได้ไง?
แต่เจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ผู้นั้นก็ไม่ต่างจากสือโหรวเท่าไหร่ หนึ่งองค์เทพหนึ่งผีสาว ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกใจตนนัก จูเหลี่ยนลูบคลำปลายคาง พูดเสียงขุ่นว่า “อะไรกัน สตรีของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นผีหรือเทพก็ล้วนชอบคนที่หน้าตากันหมดเลยหรือ?”
เฉินผิงอันยกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้น “ดื่ม”
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองกาเหล้าที่อยู่ข้างเท้า พูดหน้าม่อย “นายน้อย กาเหล้าของข้าว่างเปล่าแล้ว”
จูเหลี่ยนถูมือยิ้มหน้าเป็น “นายน้อย ไม่ต้องกังวลว่าบ่าวเฒ่าคออ่อนหรือคอแข็ง หากใช้คำพูดของเผยเฉียนก็คือไม่มีปัญหา! ขออีกสักกาสิ สามารถดับกระหายได้พอดี สองกาเมากรึ่มๆ สามกาก็ยิ่งแช่มชื่น”
เฉินผิงอันหัวเราะหึๆ อ้าปากกว้าง โคลงศีรษะทำท่าสูบลม จากนั้นก็หันหน้ามาทำสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ดื่มลมตะวันออกเฉียงเหนือไปก่อนเถอะเจ้า” (ดื่มลมตะวันออกเฉียงเหนือเปรียบเปรยว่าคนที่ไม่มีอะไรจะกิน ได้แต่กินลมให้อิ่มท้อง)
จูเหลี่ยนอดกลั้นมานาน คิดว่าจะเป็นขุนนางซื่อสัตย์ที่ยอมตายเพื่อถวายคำทัดทาน แต่ให้ตายก็จะไม่ยอมเป็นขุนนางชั่วช้าที่ชอบประจบยกยอสักครั้งหนึ่ง จึงพูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “นายน้อย คำพูดล้อเล่นที่ไม่ตลกแม้แต่น้อยแบบนี้ บ่าวเฒ่ายากที่จะพูดประจบท่านได้จริงๆ”
จิตของเฉินผิงอันเคลื่อนไหวเล็กน้อย กาเหล้าใบหนึ่งก็ถูกเรียกออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เขาโยนมันให้จูเหลี่ยนแล้วถามว่า “จูเหลี่ยน เจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นคนอย่างไร?”
จูเหลี่ยนรับสุรามาแล้วก็พูดอย่างไม่ต้องหยุดคิด “เป็นคนดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “งั้นเหล้านี้ก็ไม่เสียเปล่าที่มอบให้เจ้า”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ต่อให้ไม่มีกาเหล้ากานี้ ข้าก็จะพูดแบบนี้”
เฉินผิงอันพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ก็ข้าเป็นคนดีอยู่แล้วนี่นา”
จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยก็คิดซะว่าข้าพูดประจบอีกครั้งแล้วกัน อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง ดื่มเหล้าๆ!”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเศรษฐีมีอันจะกิน คนหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นเด็กบ้านนอกจากตรอกยากจน อันที่จริงคนทั้งสองไม่ได้เก็บเอาสถานะนายบ่าวมาใส่ใจนัก พวกเขาค่อยๆ ลิ้มรสสุรารสเลิศอยู่ริมหน้าผาเคียงข้างกันไปช้าๆ
จูเหลี่ยนเช็ดมุมปาก พลันเอ่ยขึ้นว่า “นายน้อย บ่าวเฒ่าร้องเพลงบ้านเกิดเพลงหนึ่งให้ท่านฟังดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดีสิ”
จูหลี่ยนรีบจิบเหล้าคำเล็กหนึ่งคำเพื่อทำให้ลำคอชุ่มชื้น จากนั้นถึงได้เริ่มคลอเพลงออกมาพลางโคลงศีรษะตามไปด้วย เพลงที่เขาร้องเป็นภาษาทางการของราชวงศ์หนึ่งที่ดับสูญไปนานแล้วในพื้นที่มงคลดอกบัว
เฉินผิงอันย่อมฟังไม่เข้าใจ เพียงแต่จูเหลี่ยนร้องได้อย่างเคลิบเคลิ้ม ต่อให้ไม่รู้เนื้อหาของเพลง เฉินผิงอันก็ยังคงรับฟังอย่างเพลิดเพลิน
จูเหลี่ยนร้องจบไปท่อนหนึ่งก็ถามว่า “นายน้อย เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้าให้ “ไม่เลวๆ”
จูเหลี่ยนแกว่งกาเหล้าที่เหลือเหล้าอยู่ครึ่งกา “หากนายน้อยมอบเหล้าให้ข้าอีกกาเป็นรางวัล บ่าวเฒ่าก็จะร้องออกมาเป็นภาษาทางการต้าหลี”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็โยนกาเหล้าให้จูเหลี่ยนกาหนึ่งทันที
จูเหลี่ยนวางกาเหล้าใบนั้นไว้ด้านข้าง คลอเพลงในลำคอเบาๆ “แสงตะเกียงในค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิดุจดวงตาของคน มองหญิงสาวผู้นั้นถอดกระดุม นิ้วที่เรียวยาวดุจต้นหอมขยับปลดปมผ้า หน้าอกขาวผ่องตระหง่านดุจขุนเขา ผิวหน้าท้องเนียนนุ่มอ่อนละมุน แสงน้อยนิดอันน่าสงสารส่องไม่ถึงแผ่นหลังเรียบลื่น เอวเล็กคอดบางห้อยน้ำเต้าใบใหญ่ สาวน้อยเอ๋ยคิดถึงชายในดวงใจที่จากไปไกลยังไม่ย้อนกลับมา หัวใจดุจมีกวางวิ่งชน ความคิดวกวนผูกปมนับพันอยู่ในใจ…สตรีบิดเอวหันหน้าไปมองหมอนคู่ ปลายนิ้วกุมยอดอกเศร้าอาลัย ในเมื่อหนึ่งเค่อมีค่าเท่ากับทองพันชั่ง แล้วใครจะหาเงินหมื่นตำลึงมาให้?”
จูเหลี่ยนหยุดร้อง ดื่มเหล้าหนึ่งอึก รู้สึกมีความสุขและพึงพอใจอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันถาม “จบแค่นี้หรือ?”
จูเหลี่ยนประหลาดใจอย่างมาก พูดด้วยน้ำเสียงกังขา “นายน้อยไม่คิดจะตัดบทข้าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “เดินผ่านเส้นทางบนยุทธภพมามากมายขนาดนั้น ข้าเคยเห็นโลกกว้างมาแล้ว นี่จะนับเป็นอะไรได้ เมื่อก่อนตอนอยู่ในเส้นทางมังกรเดินใต้ดิน ข้าโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่ง ห้องโดยสารเหนือหัวของข้ามีเทพเซียนตีกันทั้งวันทั้งคืนด้วยซ้ำ หึหึ”
นี่เรียกว่าความรู้สึกช้า อันที่จริงก็ต้องยกคุณความชอบให้กับจูเหลี่ยน รวมไปถึงการเดินทางท่องผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัวครั้งนั้น
จูเหลี่ยนถาม “ไหนลองเล่าให้ฟังบ้างสิ?”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ได้สิ แต่ว่าต้องคืนเหล้ากานั้นมาให้ข้า”
จูเหลี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะส่งกาเหล้าคืนให้กับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเก็บเหล้าไปในวัตถุจื่อชื่อแล้วถึงกล่าวว่า “นั่นเป็นการสังหารที่ดุเดือดรุนแรงสาสมใจในทุกครั้งอย่างแท้จริง”
จูเหลี่ยนรออยู่นานก็ไม่ได้ยินประโยคถัดมา “จบแล้วรึ?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ไม่จบแล้วจะยังเป็นยังไงได้อีกล่ะ?”
จูเหลี่ยนรีบลุกขึ้น เดินตามเฉินผิงอันไปติดๆ “นายน้อย คืนเหล้ามาให้ข้า! เล่าแค่ไม่กี่คำแบบนี้ พูดก็เหมือนไม่ได้พูด ไม่มีค่าเท่าเหล้าหนึ่งกา!”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจจูเหลี่ยน
บนสะพานไม้เลียบหน้าผา เขาพลันพลิกตัวกลับ ใช้ท่าฟ้าดินเดินกลับหัว
จูเหลี่ยนยืนอยู่ที่เดิม เจ็บใจอย่างถึงที่สุด แล้วก็พลันหันหน้าไปมองสือโหรวที่กำลังนั่งฝึกตบะอย่างลืมตน แล้วจูเหลี่ยนก็แสยะยิ้มกว้าง
สือโหรวลืมตา พูดอย่างขุ่นเคือง “ไสหัวไปไกลเลยๆ!”
จูเหลี่ยนยกมือขึ้น ทำท่าจีบนิ้วโบกใส่สือโหรว “น่าเบื่อ”
สือโหรวสะอิดสะเอียนเต็มทน
ทันใดนั้นสือโหรวที่ปรายตามองก็ต้องอึ้งตะลึงเป็นไก่ไม้
ที่แท้จูเหลี่ยนใช้นิ้วข้างหนึ่งวางไว้ตรงจอนผม แล้วก็ทำท่าสองอย่าง ท่าแรกฉีกออก ท่าสองปิดทับ ระหว่างกลางที่ทำสองท่าเขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย
ผู้เฒ่ากระตุกมุมปากให้สือโหรว จากนั้นก็หมุนตัวกลับ เอาสองมือไพล่หลัง เดินหลังค่อมอย่างเชื่องช้า เริ่มสาวเท้าเดินเล่นอยู่ท่ามกลางม่านราตรี
ทิ้งอดีตผีสาวโครงกระดูกที่ทำท่าเหมือนคนเห็นผีไว้เพียงลำพัง
จูเหลี่ยนที่ห่างไปไกลจิ๊ปากพูด “น่าเบื่อจริงๆ”
……
เดินผ่านสะพานไม้เลียบหน้าผามาแล้วก็ข้ามเส้นพรมแดนระหว่างแคว้นหนันเยวี่ยนกับราชวงศ์ต้าหลีมา ท่ามกลางเทือกเขาสูงตระหง่านแถบหนึ่ง เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนสองคนเดินอยู่บนเส้นทางภูเขา
สือโหรวพาเผยเฉียนอ้อมไปแล้ว ซึ่งจะอ้อมผ่านแม่น้ำซิ่วฮวาตรงดิ่งไปที่เมืองหงจู๋ ถึงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายจะไปรวมตัวกันที่นั่น เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันบอกสือโหรวว่าสามารถร่ายใช้วิชาอภินิหารแบกเผยเฉียนไปได้ หากไม่ผิดไปจากที่คาด สือโหรวกับเผยเฉียนต้องไปถึงที่เมืองหงจู๋ก่อนแน่นอน
เฉินผิงอันยิ้มพลางเล่าเรื่องในอดีต ปีนั้นได้พบกับอาจารย์และศิษย์สามคนโดยบังเอิญบนทางภูเขาเส้นนี้ ซึ่งกลายเป็นว่าเขากับเด็กหนุ่มขากะเผลกคนหนึ่งที่แบกธงผ้าขาดวิ่นเขียนคำว่า ‘สยบปีศาจจับผี กำจัดความชั่วร้ายผดุงคุณธรรม’ ได้กลายมาเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ยากที่ต่างก็ถูกผีสาวสวมชุดแต่งงานจับตัวไปยังจวนที่แขวนโคมไฟสีแดงใบใหญ่ไว้นับไม่ถ้วน ยังดีที่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างก็ปลอดภัย ตอนที่จากกัน นักพรตเฒ่ายากจนยังมอบภาพค้นภูเขาแผ่นหนึ่งที่สืบทอดมาจากเหล่าบรรพบุรุษของสำนักให้ แต่อาจารย์และศิษย์สามคนนั้นเดินทางผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียนก็จริง ทว่ากลับไม่ได้อยู่ต่อในเมืองเล็ก พวกเขาได้พบกับแม่นางหร่วนซิ่วที่ร้านในตรอกฉีหลง สุดท้ายก็ออกเดินทางขึ้นเหนือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงต้าหลี บอกว่าจะไปลองเสี่ยงดวงดูที่นั่น
จงใจเลือกขึ้นเขายามพลบค่ำ พอเดินมาถึงทางภูเขาสายเล็กที่ตอนนั้นเคยถูกผีพรางตา เฉินผิงอันก็หยุดเดิน กวาดตามองไปรอบด้าน ไม่พบสิ่งผิดปกติ
เฉินผิงอันสะพายเจี้ยนเซียนและหีบไม้ไผ่ รู้สึกว่าจะดีจะชั่วตนก็ดูคล้ายบัณฑิตอยู่ครึ่งตัว
แต่การที่ผีสาวสวมชุดแต่งงานตนนั้นไม่เคลื่อนไหวก็เป็นเรื่องปกติ ตอนนั้นเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะใช้หนึ่งกระบี่แหวกม่านฟ้า อีกทั้งยังมีจอมยุทธสวี่รั่วออกโรง คิดดูแล้วผีสาวสวมชุดแต่งงานที่เคยเสียเปรียบครั้งใหญ่มาก่อน ทุกวันนี้คงไม่กล้าทำร้ายบัณฑิตที่เดินทางผ่านมาอย่างส่งเดชอีกแล้ว
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดกับจูเหลี่ยนว่า “เจ้าขึ้นไปดูบนจุดสูงของท้องฟ้าก่อน ดูสิว่าสามารถมองเห็นจวนหลังนั้นได้หรือไม่ แต่ข้าคาดว่าความเป็นไปได้มีไม่มาก ต้องมีเวทอำพรางตาบังไว้แน่นอน”
จูเหลี่ยนจึงทะยานร่างขึ้นสู่เบื้องบน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นทิศใดของฟ้าดินก็ล้วนไปเยือนได้ทั้งสิ้น
ครู่หนึ่งต่อมา จูเหลี่ยนกลับมาที่ทางสายเล็ก ส่ายหน้ากล่าวว่า “มองไม่เห็นจริงๆ คงต้องให้นายน้อยเปลืองยันต์สักสองแผ่นแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันหยิบยันต์สองแผ่นออกมาด้วยรอยยิ้ม ยันต์ปราณหยางส่องไฟกับยันต์ทำลายค่ายกลแห่งภูเขาและแม่น้ำ แยกกันคีบไว้นิ้วละแผ่น ยันต์ทั้งสองล้วนวาดลงบนกระดานสีเหลืองในปึกที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้
กรอกปราณวิญญาณที่สะสมอยู่ในช่องโพรงลมปราณซึ่งมีหัวใจบุ๋นสีทองลอยอยู่ใส่ลงไปในยันต์ปราณหยางส่องไฟ
เปลวไฟลุกไหม้เบาบางมาก
เฉินผิงอันพุ่งตัวขึ้นไปบนกิ่งไม้ เดินวนไปรอบหนึ่ง จับสังเกตความเร็วในการเผาไหม้ของยันต์ปราณหยางส่องไฟที่อยู่บนปลายนิ้วอย่างละเอียด ขนาดเล็กใหญ่ของเปลวเพลิงสามารถช่วยตัดสินทิศทางในท้ายที่สุดได้คร่าวๆ
เขาจึงอาศัยการชี้นำจากยันต์ปราณหยางส่องไฟไปตามหาสิ่งกีดขวางระหว่างแม่น้ำและภูเขาที่ช่วยอำพรางจวนหลังนั้น ประหนึ่งคนธรรมดาที่ถือตะเกียงเดินทางในยามค่ำคืน ใช้ตะเกียงในมือส่องสว่างเส้นทาง
สุดท้ายเฉินผิงอันมาหยุดอยู่ตรงหน้าหน้าผาแถบหนึ่งที่ขวางทาง เปลวไฟพลันระเบิดเผาไหม้ เฉินผิงอันสะบัดข้อมือ แก่นของยันต์ทำลายค่ายกลแห่งภูเขาและแม่น้ำถูกกรอกปราณวิญญาณจนเต็มล้น มันพลันส่องแสงสว่างจ้า เฉินผิงอันเอายันต์แผ่นนี้แปะไว้บนหน้าผา ภาพด้านหน้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หน้าผาเหมือนกองหิมะที่เจอกับเปลวเพลิงจึงหลอมละลายอย่างว่องไว ปรากฏเป็นช่องโพรงขนาดเท่าฝ่ามือ มองทะลุช่องโพรงออกไปก็จะสามารถมองเห็นทางเส้นเล็กระหว่างหุบเขาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งลมปราณมืดทะมึนอึมครึมเหล่านั้นไหลพรั่งพรูออกมาข้างนอกอย่างต่อเนื่อง
รอจนยันต์ทำลายค่ายกลแห่งภูเขาและแม่น้ำเผาไหม้จนเกือบหมดแล้ว ช่องโพรงก็กลายมามีขนาดเท่าประตูเรือนหลังหนึ่ง เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนจึงก้าวเข้าไปข้างใน
ท่ามกลางภูเขาที่มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า เฉินผิงอันยังคงถือยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ยังเหลืออีกเกินครึ่งแผ่นไว้ในมือ พาจูเหลี่ยนพุ่งทะยานไปข้างหน้า
เท้าของจูเหลี่ยนที่ตามอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันไม่ติดพื้น
เฉินผิงอันไม่ได้เล่าเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างตนกับผีสาวสวมชุดแต่งงานผู้นั้นอย่างละเอียด
แต่ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนไม่เคยเห็นเฉินผิงอันยึดมั่นเอาจริงเอาจังกับ ‘เรื่องเล็กๆ’ ถึงเพียงนี้มาก่อน
เพื่อตามหาผีสาวสวมชุดแต่งงานตนนั้น เฉินผิงอันจัดการวางแผนและวิธีการต่างๆ ไว้ล่วงหน้าหลายอย่าง จูเหลี่ยนเคยผ่านหายนะในนครมังกรเฒ่ากับเฉินผิงอันมาก่อน รู้สึกว่าตอนที่อยู่ในร้านยาฮุยเฉิน เฉินผิงอันระมัดระวังรอบคอบมาก ไม่ว่าเรื่องใดก็ละเอียดลออ ทุกเรื่องล้วนผ่านการชั่งน้ำหนัก ทั้งสองเรื่องนี้มองดูเหมือนคล้ายกัน แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เหมือนกันทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นดูเหมือนว่าเฉินผิงอันรอคอยวันนี้มานานมากแล้ว และเมื่อวันนี้มาถึงจริงๆ สภาพจิตใจของเฉินผิงอันกลับแปลกประหลาดอย่างมาก นี่ก็เหมือนกับ…ท่าหมัดวานรของเขาจูเหลี่ยน ที่ก่อนจะออกหมัดยามเจอศึกใหญ่ จะต้องงอตัว หดย่อปณิธานหมัดเอาไว้ ไม่ใช่อย่างผู้ฝึกยุทธทั่วไปที่ปล่อยปณิธานหมัดให้ไหลพรั่งพรูออกมาภายนอก
การเผาไหม้ของยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นเปลี่ยนมาเป็นรวดเร็ว เมื่อขี้เถ้าเสี้ยวสุดท้ายลอยล่อง
ในที่สุดคนทั้งสองก็มายืนอยู่หน้าลานกว้างแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าก็คือจวนอันโอ่อ่าน่าเกรงขามที่แขวนกรอบป้าย ‘น้ำใสลมเย็น’ ซึ่งตัวอักษรประดุจลายมือของเซียน หน้าประตูมีสิงโตหินขนาดใหญ่ยักษ์อยู่สองตัว
เฉินผิงอันหรี่ตาลง แหงนหน้ามองไปยังกรอบป้ายนั้น
เคยมีผีสาวสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดลอยตัวอยู่ตรงนั้น
นางลุ่มหลงในรัก นางเคยเป็นผีที่มีนิสัยเมตตาดีงาม นางมีเหตุผลของตัวเองอยู่เสมอ
ว่ากันว่าในอดีตเคยมีบัณฑิตคนหนึ่งเดินทางในยามค่ำคืน ท่องกวีและบทความของอริยะปราชญ์เสียงดังอยู่บนเส้นทางเพื่อเพิ่มความกล้าหาญให้ตัวเอง จึงถูกใจนางเข้า
บัณฑิตกับผีสาว สองฝ่ายอยู่กันคนละภพ แต่กลับยังคงตกหลุมรักซึ่งกันและกัน นางยังคงยินดีสวมชุดแต่งงานสีแดงสดตัวนั้น
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก
หลักการเหตุผลไม่แยกว่าใกล้ชิดหรือห่างเหิน เขาเฉินผิงอันเป็นคนพูดเอง
ไม่มีเหตุผล ทุกอย่างเอาตามที่เจ้าพอใจ ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ต่างคนต่างเดินบนเส้นทางของตัวเอง แต่หากวันใดเมื่อเจอกับคนที่มีเหตุผล อีกทั้งหมัดยังแข็งกว่าเจ้า ถ้าอย่างนั้นชาติหน้าก็ขอให้เจ้าได้ไปเกิดในครรภ์ที่ดี นี่ก็เป็นเฉินผิงอันที่พูดเช่นกัน
เฉินผิงอันเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
จนจูเหลี่ยนอดไม่ไหวหันกลับมามอง
ต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลอย่างจูเหลี่ยนก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดขุมหนึ่งจากบนร่างของเฉินผิงอัน
นี่ก็คือกลิ่นอายของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตห้าขั้นสมบูรณ์แบบอย่างนั้นหรือ?
ประดุจดวงจันทร์ที่ลอยขึ้นสูงกลางนภา
แต่นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เมื่อเทียบกับเรื่องที่ยังคงถือว่าอยู่ในขอบเขตของการเรียนวรยุทธแล้ว สิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันน่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้นอยู่ที่สภาพจิตใจและพลังอำนาจของเขาที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
ดวงจันทร์ดวงนั้น เหมือนไข่มุกสุกสกาวที่เจียวหลงคาบไว้ในปาก
บทที่ 427.1 ลงใต้
และในขณะที่จูเหลี่ยนรู้สึกว่าการมาจับผีครั้งนี้คงไม่มีหน้าที่ของตนนั้นเอง ประตูใหญ่ของจวนหลังนั้นก็เปิดออก มีคนผู้หนึ่งเดินออกมา
จูเหลี่ยนอดไม่ไหวถามว่า “นายน้อย คือคู่รักของผีสาวตนนั้นหรือ? หน้าใหญ่นักเชียว ชายฉกรรจ์ท่านนี้ ดูแล้วไม่ด้อยไปกว่าองค์เทพแม่น้ำป๋ายกู่อย่างฮูหยินเซียวหลวนเลย”
คนที่เดินออกมาคือชายฉกรรจ์ที่มีรูปร่างกำยำ สวมเสื้อเกราะ ตรงแขนมีงูเขียวที่มีดวงตาสีทองตัวหนึ่งรัดพัน ไม่ว่าจะหายใจเข้าหรือออกก็ล้วนมีไอหมอกสีขาวล้อมวนเวียน ประหนึ่งควันธูปที่ตลบอบอวลอยู่ในศาลเจ้า
เฉินผิงอันจำคนผู้นี้ได้ เขาเคยปรากฏตัวบนแม่น้ำซิ่วฮวาพร้อมกับสวี่รั่ว มีความเป็นไปได้มากว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือองค์เทพบางท่านของแม่น้ำซิ่วฮวาหรือไม่ก็แม่น้ำอวี้เย่
เกี่ยวกับแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำอวี้เย่ ภูเขาฉีตุนและจวนแห่งนี้ ล้วนมีความพิถีพิถันทั้งสิ้น เว่ยป้อเคยเล่าว่านี่คือสถานที่ที่ถูกอำพรางเอาไว้เพื่อสยบโชคชะตาของแคว้นเสินสุ่ยที่ยังเหลืออยู่ ดังนั้นเป็นองค์เทพของแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องเหมือนกัน ทว่าเทพแม่น้ำของแม่น้ำซิ่วฮวาและแม่น้ำอวี้เย่ เมื่อเทียบกับเทพวารีของต้าหลีที่น่านน้ำซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองมีขนาดพอๆ กันแล้ว กลับมีระดับขั้นสูงกว่าเล็กน้อย
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาผู้นั้นพูดเสียงทุ้มหนัก “เฉินผิงอัน ฝ่าสิ่งกีดขวางแห่งภูเขาและแม่น้ำของพื้นที่หนึ่งเข้ามาโดยพลการ บุกมาเยือนจวนสกุลฉู่ ตามกฎการแต่งตั้งภูเขาที่ต้าหลีกำหนดไว้ ต่อให้เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งก็ต้องถูกถอดถอนสำมะโนครัว ลบชื่อออกจากผังวงศ์สกุล ถูกเนรเทศไปไกลเป็นพันลี้!”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “ฮูหยินฉู่ผู้นั้นล่ะ?”
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาโบกมือ “นางไปจากจวนแห่งนี้ตั้งนานแล้ว อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ก็มีเจ้าของคนใหม่แล้ว เห็นแก่ที่บนร่างเจ้ามีป้ายสงบสุขปลอดภัยอยู่แผ่นหนึ่ง และได้รับการบันทึกลงในเอกสารของกรมพิธีการแล้ว จะอนุญาตให้เจ้ารีบจากไป แต่ห้ามให้มีคราวหน้าอีก”
เฉินผิงอันกุมหมัดถาม “ขอถามท่านเทพวารี ตอนนี้ฮูหยินฉู่ไปอยู่ที่ใด?”
เทพแห่งสายน้ำที่ปรากฎตัวด้วยร่างทองผู้นี้ขมวดคิ้ว ชำเลืองตามองกระบี่เล่มยาวที่เฉินผิงอันสะพายไว้ด้านหลัง “รู้แค่ว่าฮูหยินฉู่ไปที่สำนักศึกษากวานหู มีบัณฑิตคนหนึ่งตายอยู่ที่นั่น นางต้องการไปเก็บกระดูกของเขากลับมา แต่ช่วงเวลาอันใกล้นี้นางต้องยังไม่กลับมาที่นี่แน่”
เฉินผิงอันถอนหายใจ คงจะมาเสียเที่ยวแล้ว เขารู้สึกเสียดายยันต์กระดาษเหลืองสองแผ่นนั้นเล็กน้อย เอ่ยขออภัยกับเทพวารีท่านนี้ว่า “ครั้งนี้มาเยี่ยมเยือนฮูหยินฉู่ เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเอง คราวหน้าจะต้องระวังแน่นอน”
เทพวารีหัวเราะหยัน “ยังจะมีครั้งหน้าอีกหรือ?”
ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไร เทพวารีก็ชำเลืองตามองผู้เฒ่าหลังค่อมคนนั้น “ทำไม รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลก็จะสามารถทำอะไรได้ตามใจปรารถนาอย่างนั้นรึ?”
จูเหลี่ยนลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับเฉินผิงอัน “นายน้อย ขอให้ข้าได้ต่อสู้สักครั้งเถอะ หน้าตาท่าทางของเจ้าหมอนี่กวนโอ้ยยิ่งนัก กลับไปข้าจะต้องชดใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองให้นายน้อยแน่นอน”
เฉินผิงอันใช้สายตาบอกเป็นนัยกับจูเหลี่ยนว่าอย่าใช้สิ่งนี้มาหยั่งเชิงว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ เพราะผีสาวสวมชุดแต่งงานตนนั้นน่าจะไม่อยู่ที่จวนจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าวกับเทพวารีว่า “พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้”
และเวลานี้เอง ทางด้านหลังของจวนตระกูลฉู่ก็มีควันดำตลบอบอวลขุมหนึ่งผุดขึ้นมาด้วยพลังอำนาจยิ่งใหญ่ ควันกลุ่มนั้นพุ่งกรูกันมาถึง สุดท้ายเมื่อสัมผัสกับพื้นก็กลายร่างมาเป็นคนที่สวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่ง
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าจวนกู้ ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังซ่อมแซมรากฐานภูเขาและสายน้ำหรอกหรือ?”
ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจวนคนปัจจุบันจะเป็นเทพหยินแซ่กู้ที่ปกป้องคุ้มครองพวกเขาไปตลอดทาง อีกทั้งยังเป็นบิดาของกู้ช่าน
วัตถุหยินพยักหน้าให้เฉินผิงอัน จากนั้นค่อยหันไปคลี่ยิ้มบางๆ อธิบายกับเทพวารี “ก่อนหน้านี้สัมผัสได้ว่ามีผู้ฝึกตนทำลายสิ่งกีดขวาง คิดได้ว่าใต้เท้าเทพวารีมาตรวจสอบความก้าวหน้าอยู่ที่จวนพอดีก็เลยไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่ว่านึกถึงความวุ่นวายภายในของต้าหลีทุกวันนี้แล้วก็กังวลว่าจะเป็นผู้ฝึกตนของต้าสุยที่คิดจะทำลายรากฐานของสถานที่แห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนคุ้นเคยที่มาเยี่ยมเยือน”
เทพวารีหรี่ตาลง “ปีนั้นเจ้าจวนกู้ปกป้องพวกเฉินผิงอันเดินทางไปต้าสุย พูดได้ว่าคุ้นเคยกันจริง ไม่ทราบว่าเจ้าจวนกู้จะยังเชิญให้เฉินผิงอันเข้าไปในจวน จัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับสหายด้วยหรือไม่?”
เทพหยินแซ่กู้หัวเราะฮ่าๆ “ในเมื่อเป็นเจ้าจวนกู้แล้ว ข้าก็ย่อมไม่กล้าถ่วงเวลาธุระสำคัญที่อยู่ในมือตัวเอง แค่จะพูดคุยกับเฉินผิงอันสักสองสามคำ แล้วส่งเขาออกไปจากอาณาเขตของจวนสกุลฉู่ก็เท่านั้น”
“การซ่อมแซมสายน้ำและรากภูเขาเป็นงานละเอียดที่ไม่อาจหยุดลงกลางคัน หวังว่าเจ้าจวนกู้จะไม่เสียเวลานานนัก ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องทำงานตามหน้าที่ บันทึกเรื่องนี้ลงไปในรายงาน” เทพวารีทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก็หมุนตัวก้าวยาวๆ เข้าไปในจวน
เทพหยินสกุลกู้กุมหมัดขอบคุณ จากนั้นก็มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ก่อนที่เฉินผิงอันซึ่งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงระคนดีใจจะเปิดปากพูด เขาก็รีบพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ช่วยไม่ได้ คุ้มครองพวกเจ้าไปส่งในปีนั้นทำให้ได้รับคุณความเหนื่อยยากมาจากที่ว่าการกรมพิธีการ จึงได้สถานะเทพภูเขาที่ไม่ดีไม่เลวมาครอง ดังนั้นหลายๆ เรื่องจึงไม่อาจทำตามใจปรารถนา ไม่สามารถเชิญเจ้าไปเป็นแขกในจวนได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร วันหน้ายังมีโอกาสอีกมาก ที่นี่ก็ไม่ถือว่าห่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนไกลนัก”
เทพหยินแซ่กู้พลันโค้งตัวลงต่ำจนสุด จากนั้นก็พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจ “เดินทางไกลคราวก่อน ข้าจากมาโดยไม่ลา เนื่องจากมีภารกิจติดตัว จึงไม่กล้าพูดเรื่องส่วนตัวโดยพลการ ตอนนี้ได้เป็นหนึ่งในองค์เทพของต้าหลีแล้ว แม้ว่าจะมีหน้าที่ติดตัว ไม่อาจออกจากพื้นที่ของตัวเองได้โดยไม่มีความจำเป็น แต่ก็ขออาศัยโอกาสนี้เล่าให้เจ้าฟังอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป ก็ถือว่าเป็นการลดเรื่องในใจไปได้เรื่องหนึ่ง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เทพหยินแซ่กู้ที่มีใบหน้าประดับรอยยิ้มก็โคจรวิชาอภินิหาร ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีล่องลอยพร่าเลือนเปลี่ยนมาเป็นแจ่มชัด เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “คิดว่าค่อนข้างเหมือนใคร?”
เฉินผิงอันมองประเมินเขาอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างตกตะลึงว่า “คงจะไม่ใช่?”
เทพหยินแซ่กู้หัวเราะเสียงดังกังวาน กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “เฉินผิงอัน หากไม่มีเจ้า กู้ช่านก็ไม่มีทางได้รับโชควาสนาใหญ่ครั้งนั้นไปเปล่าๆ! บุญคุณที่ใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้านี้ ข้าผู้แซ่กู้ตอบแทนด้วยความตายก็ยังไม่มากเกินไป!”
เป็นนานเฉินผิงอันก็ยังไม่คืนสติกลับมา เขากล่าวว่า “มิน่าเล่าปีนั้นถึงมักจะรู้สึกว่าท่านชอบแอบมองข้าเป็นประจำ ตอนนั้นยังเข้าใจผิดคิดว่าท่านมีเจตนาร้าย ท่านอากู้ ท่านควรจะบอกข้าให้เร็วกว่านี้!”
หลังจากนั้นก็พูดคุยเรื่องยิบย่อยของคนรู้จักในตรอกหนีผิง เพียงไม่นานก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่มีสิ่งกีดขวางระหว่างภูเขาและแม่น้ำ เทพหยินแซ่กู้ยิ้มขื่นกล่าวว่า “ไม่กล้าละเมิดกฎ ใช่แล้ว ก็เหมือนอย่างที่เทพวารีกล่าว จวนสกุลฉู่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ดี รากฐานภูเขาและแม่น้ำจึงพังทลายแทบไม่เหลือชิ้นดี มีสภาพเหมือนรากบัวที่ถูกตัดขาดจนเหลือแค่ใยแล้ว ข้าไม่อาจออกมานานนัก ข้าคงไม่ไปส่งไกลกว่านี้แล้ว แยกกันตรงนี้แล้วกัน”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ครั้งนี้ข้ากลับมาจากนครมังกรเฒ่า เพราะทะเลสาบเจี่ยนหูตั้งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป สงครามลุกลามเหมือนไฟลามทุ่ง เรือข้ามฟากตระกูลเซียนต่างก็ไม่ยินดีไปเสี่ยงอันตราย ข้าคิดว่าอีกไม่นานก็จะไปเยี่ยมหากู้ช่านที่ทะเลสาบเจี่ยนหู ไม่ทราบว่าท่านอากู้รู้หรือไม่ว่าตอนนี้กู้ช่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว สกัดคงคาเจินจวินผู้นั้นดีต่อเขาหรือไม่?”
เทพหยินแซ่กู้หัวเราะฮ่าๆ “พวกเขาสองแม่ลูกสบายดีนักล่ะ เสี่ยวช่านกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสกัดคงคาเจินจวิน ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องห่วง ไม่อย่างนั้นข้าจะอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้อย่างไร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ กุมหมัดกล่าวว่า “ขอให้ท่านอากู้ได้เลื่อนตำแหน่งเทพในเร็ววัน!”
เทพหยินแซ่กู้เอ่ยเตือนเสียงเบา “ใช่แล้ว เฉินผิงอัน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าตอนนี้ทางบ้านเกิด กลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนจำนวนมากที่ปีนั้นซื้อภูเขาไว้ได้เริ่มขายต่อเปลี่ยนมือกันแล้ว ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรรีบกลับไป ไม่แน่ว่าอาจจะซื้อภูเขาสักลูกสองลูกมาในราคาถูกได้ โอกาสอันดีเช่นนี้ห้ามพลาดเด็ดขาดเชียว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เคยได้ยินมาก่อนแล้ว ก็เลยส่งจดหมายกระบี่บินไปที่ภูเขาพีอวิ๋น บอกให้เว่ยป้อช่วยดูให้”
เทพหยินสกุลกู้โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สิ่งกีดขวางระหว่างแม่น้ำและภูเขาก็ปรากฎเป็นประตูใหญ่บานหนึ่ง เฉินผิงอันก้าวเข้าไปในนั้น ก่อนจะหันหน้ามากุมหมัดบอกลาเทพหยินแซ่กู้
กลับมาเดินบนทางภูเขาอีกครั้ง เฉินผิงอันพูดขึ้นอย่างสะท้อนใจว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าท่านอากู้จะกลายมาเป็นเทพหยิน แล้วยังได้เป็นเจ้าของจวนแห่งนี้อีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าครอบครัวของพวกเขาสามคนจะได้กลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเมื่อไหร่”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “แม้จะไม่ได้พบผีสาวสวมชุดแต่งงานผู้นั้น แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่เสียเที่ยว ก็เหมือนอย่างที่นายน้อยเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่าเดิมทีภูเขาฉีตุนก็เป็นสถานที่เงียบเหงาเปลี่ยวร้างซึ่งเว่ยป้อตกต่ำกลายไปเป็นเทพเจ้าที่ระดับปลายแถว แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่แห่งปาฏิหาริย์ที่ทำให้เขากลายเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีได้ในก้าวเดียวเช่นกัน ดังนั้นคำว่าเรื่องราวบนโลกยากจะคาดเดาก็เป็นเช่นนี้เอง”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ไปกันเถอะ ไปเมืองหงจู๋กัน”
คนทั้งสองเพิ่มความเร็วฝีเท้าเล็กน้อยเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหงจู๋ที่เผยเฉียนกับสือโหรวนำไปก่อนแล้ว
จนกระทั่งเดินออกไปจากแถบภูเขาแห่งนั้นได้หลายสิบลี้ คนทั้งสองคุยเล่นกันไปตลอดทาง จูเหลี่ยนชะลอฝีเท้า ใช้ความสามารถของผู้ฝึกยุทธที่รวมเสียงให้กลายเป็นเส้นถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “นายน้อย หลังจากนี้จะทำอย่างไรกันต่อ?”
เฉินผิงอันเองก็ใช้การรวมเสียงให้กลายเป็นเส้น ตอบด้วยสีหน้าปกติ “ไม่รีบร้อน ไปถึงเมืองหงจู๋แล้วค่อยวางแผนขั้นถัดไป ไม่อย่างนั้นท่านอากู้อาจต้องเจอกับปัญหาใหญ่”
……
หน้าประตูใหญ่ของจวนสกุลฉู่
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาสีหน้ามืดทะมึน มองเจ้าจวนที่เดินกลับมาช้าๆ ตวาดกร้าวว่า “กู้เทา ข้าบอกให้เจ้าอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสายหลักของโชคชะตาน้ำของจวน ห้ามห่างออกไปแม้แต่ก้าวเดียว! เจ้ากลับวิ่งออกมาเองโดยพลการอย่างนั้นรึ?!”
แขนของเทพวารีข้างที่มีงูเขียวรัดพันพลันสั่นสะเทือน งูเขียวที่มีดวงตาสีทองตัวนั้นร่วงลงพื้นแล้วขดกาย กลายร่างเป็นงูยักษ์ขนาดลำตัวหนาใหญ่เท่าถังน้ำ จากนั้นมันก็เลื้อยออกไปช้าๆ ขดตัวล้อมให้เจ้านายและเจ้าจวนผู้นั้นอยู่ในวงขนาดใหญ่ ก่อนที่มันจะชูคอ มองจับจ้องเทพหยินแซ่กู้ด้วยสายตาเย็นชา
เทพวารียื่นมือไปคว้าจับ ในมือก็มีหอกยาวที่ทำจากเหล็กกล้าอันหนึ่งปรากฏขึ้นมา แสงสีทองที่วนเวียนอยู่รอบทวนประหนึ่งสายน้ำที่ไหลริน เขาหัวเราะหยันกล่าวว่า “ราชครูมีคำสั่ง ขอแค่เจ้ามีการกระทำใดที่เกินขอบเขตแม้แต่นิด ข้าก็สามารถสลายจิตวิญญาณของเจ้าได้ครึ่งหนึ่ง! หากเจ้าไม่ยอมแพ้ก็ลองอาศัยจวนตระกูลฉู่แห่งนี้มาต่อต้านดูได้”
เทพหยินแซ่กู้ไม่สะทกสะท้าน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “การที่ปรากฏตัวครั้งนี้ก็เพื่อพูดความลับนั่นออกไป เป็นเพราะเก็บกลั้นมานาน หากไม่พูดก็อึดอัดใจ เทพวารีมาเยือนครั้งนี้เพราะได้รับคำสั่ง อีกทั้งยังได้บอกเตือนข้าก่อนแล้ว ข้ายอมรับการลงทัณฑ์! แต่ข้าหวังว่าก่อนที่เทพวารีจะลงโทษข้า จะช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดแม้แต่พบหน้าเฉินผิงอัน ข้าก็ยังทำไม่ได้? หวังว่าใต้เท้าเทพวารีจะช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจ ไม่อย่างนั้นต่อให้กายข้ายอมรับการลงทัณฑ์ ใจข้ากลับไม่ยินยอม!”
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาจ้องเทพหยินตนนี้เขม็ง เขาไม่ได้กำลังสองจิตสองใจว่าควรจะสลายจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งของเทพหยินที่เป็นเจ้าของจวนตนนี้ไปดีหรือไม่ แต่กำลังลังเลว่าควรจะทำลายจิตวิญญาณทั้งหมดของอีกฝ่ายเลยดีไหม
ความเป็นความตายของกู้เทาอยู่ระหว่างทางเลือกสองทางนี้
บทที่ 427.2 ลงใต้
หายนะครั้งนี้ย่อมไม่อาจหลีกหนีไปได้ แต่ตอนนี้ยังจำเป็นต้องให้กู้เทาซ่อมแซมชดเชยโชคชะตาของจวนสกุลฉู่จริงๆ ถึงอย่างไรตอนนี้ที่นี่ก็ถือว่าอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ในฐานะองค์เทพองค์แรกของห้าขุนเขาแห่งใหม่ของต้าหลี เว่ยป้อจึงยิ่งแสดงให้เห็นบารมีอันสูงศักดิ์ขององค์เทพมากขึ้นทุกที ดังนั้นควรจะสลายจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งของกู้เทาเมื่อไหร่ นอกจากจะต้องสอบถามใต้เท้าราชครูแล้ว ตามกฎเกณฑ์แห่งภูเขาและแม่น้ำของต้าหลี เขาก็ยังจำเป็นต้องรายงานให้เว่ยป้อทราบด้วย
นี่เรียกว่าขุนนางประจำอำเภอไม่สู้ขุนนางในพื้นที่
หากไม่เป็นเพราะตั้งแต่ต้นจนจบกู้เทาไม่เคยเปิดเผยท่าทีว่าจะโน้มน้าวให้เฉินผิงอันเดินทางไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซู กลับกันยังเกลี้ยกล่อมให้เฉินผิงอันกลับไปซื้อภูเขาที่บ้านเกิดด้วย ไม่อย่างนั้นป่านนี้กู้เทาก็คงจิตวิญญาณแหลกสลายไปนานแล้ว
นี่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล ข่าวคราวส่วนใหญ่จากทะเลสาบเจี่ยนซูที่กู้เทาได้รับมาเป็นการส่วนตัว อันที่จริงล้วนเป็นข่าวที่สายลับของต้าหลีต้องการให้เจ้าจวนท่านนี้รับรู้
อยู่ดีๆ เทพวารีก็ขว้างทวนยาวในมือออกไป ทวนยาวแทงทะลุหน้าท้องของเทพหยินไปปักตรึงฝังอยู่บนพื้นดิน แสงสีทองบนทวนยาวเปล่งประกายเผาไหม้รูโหว่บนร่างของกู้เทา ขนาดมีร่างกายอย่างกู้เทาที่เปลี่ยนจากวัตถุหยินมาเป็นองค์เทพร่างทองก็ยังบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี
กู้เทาเองก็กระดูกแข็งไม่น้อย เขาไม่พูดไม่จาสักคำ ใบหน้าเริ่มบิดเบือน ควันดำทั่วร่างซัดตลบและเริ่มสลายออก
เทพวารียื่นมือออกมาข้างหน้าแล้วปาดหนึ่งครั้ง ม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งก็ถูกคลี่ออก ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในอาณาเขตของจวนสกุลฉู่เริ่มเกิดการไหลรินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตามจิตใจของเทพวารีท่านนี้ ไม่ว่าจะเรื่องราวหรือบุคคลที่อยู่บนภาพวาดล้วนปรากฏเด่นชัดทั้งหมด
แล้วเขาก็คลี่ภาพอีกม้วน นั่นเป็นภาพในอาณาเขตของแม่น้ำซิ่วฮวา
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแข็งกระด้าง “ขอแค่มีต้นตอน้อยนิดที่ทำให้ข้าเกิดความสงสัย ข้าก็ยินดีฆ่าเจ้าผิดมากกว่าจะปล่อยเจ้าไป!”
กู้เทาที่หน้าท้องถูกทวนยาวสีทองทะลุผ่านกล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?! ใต้เท้าราชครูหรือจะยอมให้เจ้าทำตัวกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเจ้าแอบหลงรักฮูหยินฉู่มานานหลายร้อยปีแล้ว?! ทำไม ตอนนี้ข้าได้ยึดครองจวนของฮูหยินฉู่ เจ้าเห็นข้าก็เลยขัดหูขัดตา คิดจะกำจัดข้าเพื่อให้ตัวเองสบายใจ? คิดจะใส่ร้ายคนอื่นยังกลัวว่าจะหาข้ออ้างไม่ได้อีกหรือ? ดีๆๆ ในที่สุดข้าก็ได้รู้ถึงจิตใจของเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาอย่างเจ้าแล้ว!”
เทพวารีไม่สนใจกู้เทาที่เป็นเดือดเป็นแค้นเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ก้มหน้าลงจ้องมองเฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนสองคนที่อยู่บนม้วนภาพวาด สังเกตสีหน้า ท่าทางและคำพูดของคนทั้งสองโดยไม่ปล่อยให้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หลุดรอดไป
ส่วนเรื่องที่ว่าใต้เท้าราชครูคิดจะทำอะไร เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาไม่สนใจ เป็นเพราะเขาไม่กล้ามีความคิดที่จะไปสืบเสาะไล่เรียง ไม่กล้าแม้แต่น้อย
ตลอดเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมาของต้าหลี
สำหรับราชครูที่คอยยืนอยู่ในเงาของฮ่องเต้มาตลอดเวลาท่านนี้ ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เขาเดินออกมาจากเงาก็ล้วนก่อให้เกิดลมคาวฝนเลือด หัวคนกลิ้งหลุนๆ ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่มีอำนาจหรือเซียนซือบนภูเขาก็ล้วนไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นขุนนางคนสำคัญของศูนย์กลาง ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาหรือเซียนดินที่มีฐานะสูงส่งเพียงใดก็ตาม
หากไม่หายเข้ากลีบเมฆก็มีจุดจบที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เทพวารีกวักมือหนึ่งครั้ง บังคับให้ทวนยาวกลับเข้ามาอยู่ในมือ “เจ้าจงรีบกลับเข้าไปใต้ดินของจวน ซ่อมแซมส่วนที่เหลือของโชคชะตาซะ จงรอฟังคำสั่งต่อจากนี้ จะเป็นหรือตาย เจ้าก็ภาวนาขอให้ตัวเองโชคดีแล้วกัน”
กู้เทาเอามือกุมท้อง ร่างทองได้รับบาดเจ็บ ตบะเสียหาย ทำให้เทพหยินท่านนี้เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด “เจ้าน่าจะรู้รากฐานของข้าอยู่บ้าง เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่!”
เทพวารีตอบกลับด้วยสีหน้าเฉยชา “ที่พึ่งใหญ่ที่สุดของต้าหลีพวกเรา คือกฎหมายที่ราชครูช่วยตั้งให้แก่ฮ่องเต้”
……
เดินเลียบแม่น้ำซิ่วฮวาที่สายน้ำไหลรินเอื่อยเฉื่อยมาจนถึงเมืองหงจู๋ที่ยังคงครึกครื้นเฉกเช่นในอดีต
เฉินผิงอันเคยซื้อตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มหนึ่งให้หลี่ไหวจากร้านหนังสือของที่นี่
เผยเฉียนและสือโหรวไปพักอยู่ในโรงเตี๊ยมที่ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเคยมาเข้าพัก
พอเข้ามาในห้อง เผยเฉียนที่กำลังจะอ้าปากเล่าถึงสถานที่ที่น่าสนใจของเมืองหงจู๋แห่งนี้ เห็นสีหน้าของเฉินผิงอันแล้วก็เงียบกริบทันที
จูเหลี่ยนปิดประตูลง ยืนอยู่ใกล้กับประตู เฉินผิงอันยังคงเงียบขรึมไม่พูดไม่จา
ประโยคแรกที่เฉินผิงอันเอ่ยขึ้นมาก็เข้าประเด็นทันที “ข้าคิดว่าจะยังไม่กลับไปเขตการปกครองหลงเฉวียนก่อน จูเหลี่ยน เจ้าคุ้มครองเผยเฉียนและสือโหรวไปส่งที่ภูเขาลั่วพัว ที่แคว้นหวงถิงมีท่าเรือตระกูลเซียนอยู่แห่งหนึ่ง ข้าจะลองไปดูว่าที่นั่นมีเรือข้ามฟากที่เดินทางไปยังทะเลสาบเจี่ยนซูหรือไม่ หากไม่ได้จริงๆ ก็เดินเท้าไปทะเลสาบเจี่ยนซู หากไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว คิดจะไปที่นั่นอีกกลับจะยิ่งยาก”
จูเหลี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยเนิบช้าว่า “บ่าวเฒ่าเป็นวิชาแปลงโฉมที่ฝีมือถือว่าพอจะใช้ได้อยู่บ้าง ไม่สู้ให้บ่าวเฒ่าปลอมตัวเป็นนายน้อย ส่วนนายน้อยก็ปลอมตัวเป็นใครก็ได้ จากนั้นค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ให้นายน้อยไปจากเมืองหงจู๋ก่อน พวกเรารั้งรออยู่ที่นี่สักสองสามวัน แบบนี้น่าจะเหมาะกว่า อาจไม่สามารถปิดฟ้าข้ามทะเลได้เสมอไป แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
สือโหรวมึนงงไม่เข้าใจ
เผยเฉียนก็ยิ่งสับสน
จูเหลี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “นายน้อย ท่านบอกเองว่า ทุกเรื่องไม่ควรร้อนใจ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ยังคงเป็นนายน้อยที่รอบคอบ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าพอไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียน การประลองฝีมือของชุยตงซานครั้งนี้ เขาคงต้องแพ้แน่ๆ”
จากการที่เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาปรากฏตัว จนมาถึงท่านอากู้ที่ตามมาในภายหลัง เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยเสี้ยวหนึ่ง
ดังนั้นตอนนั้นเฉินผิงอันจึงเลือกที่จะเงียบงัน รอจนท่านอากู้เปิดปากพูดเอง ไม่ใช่ว่าพลั้งเผลอหลุดปากออกมา
แล้วก็จริงดังคาด
ในคำพูดของท่านอากู้มีความนัยซ่อนแฝง ‘เป็นครั้งแรก’ ที่เขาเปิดเผยสถานะบิดาของกู้ช่าน
เฉินผิงอันจึงร่วมเล่นละครไปพร้อมกับท่านอากู้ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการเอ่ยเตือนเฉินผิงอันด้วยความหวังดีว่าให้รีบกลับไปซื้อภูเขาที่เขตการปกครองหลงเฉวียน
หรือบอกว่าสองแม่ลูกอยู่ที่ทะเลสาบเจี่ยนซูปลอดภัยดีอะไรนั่น
ขอแค่เฉินผิงอันฟังออกว่าเป็นความหมายในทางตรงกันข้ามทั้งหมดก็จะรู้ได้เอง
นอกจากนี้จิตของคนทั้งสองก็เชื่อมโยงถึงกัน ต่างคนจึงไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความแม้แต่คำเดียว หรือแม้แต่จะสบตาบอกเป็นนัยแก่กันสักครั้งก็ยังไม่ทำ
เพราะเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาผู้นั้นต้องแอบจับตามองอยู่อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นก็เป็นจูเหลี่ยนที่ช่วยแต่งเสริมรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่นคืนนี้ไปดื่มเหล้าเคล้านารีกับหญิงสาวชาวเรือที่มีเฉพาะในเมืองหงจู๋เสียก่อน ที่นั่นมีสายตาผู้คนมากมาย เหมาะแก่การแอบจับตามองคนอย่างลับๆ มากที่สุด เฉินผิงอันถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่จำเป็นต้องสวมระหว่างเดินทางไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซูตัวนั้นออก เปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวตัวหนึ่งแทน เพื่อสะดวกให้จูเหลี่ยนปลอมกายเป็นเฉินผิงอันยามไปเยือนภูเขาลั่วพั่ว หากไม่มีชุดคลุมอาคมจินหลี่จะสะดุดตามากเกินไป
จูเหลี่ยนและเฉินผิงอันต่างก็ช่วยกันตรวจสอบชดเชยหาช่องโหว่อยู่เช่นนี้
เผยเฉียนนั่งอยู่ด้านข้างอย่างว่าง่าย ไม่คิดจะพูดจาสอดแทรกมุกตลกในช่วงเวลาเช่นนี้
สือโหรวยืนคุ้มกันอยู่ตรงตำแหน่งหน้าต่าง
นางไม่รู้สึกอีกแล้วว่าการที่จูเหลี่ยนเสนอให้ไปดื่มเหล้าเคล้านารีเป็นการใช้ความต้องการส่วนตัวมาเบียดบังงานส่วนรวม
คืนนี้เฉินผิงอันและจูเหลี่ยนพากันออกไปจากโรงเตี๊ยม ดื่มเหล้าเคล้านารีกันไปรอบหนึ่ง เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอย่างสำรวม จูเหลี่ยนประหนึ่งปลาได้น้ำ พูดคุยกับหญิงสาวชาวเรืออย่างถูกคอจนทำให้ดรุณีน้อยนางนั้นเกิดความรู้สึกเสียใจที่ตัวเองเกิดช้าไป
วันที่สองเฉินผิงอันพาเผยเฉียนไปเดินเล่นทั่วเมืองหงจู๋ ซื้อของสารพัดอย่างเหมือนตอนอยู่ที่บ้านเกิด อีกทั้งยังใกล้จะเข้าหน้าหนาว จึงสามารถเริ่มเตรียมของสำหรับปีใหม่ไว้ได้แล้ว
บุรุษวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งออกจากเมืองหงจู๋ไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่ได้โดยสารเรือล่องไปตามตอนล่างของแม่น้ำซิ่วฮวา แต่เดินไปบนถนนทางหลวงที่จอแจไปด้วยผู้คนเส้นหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังชายแดน เมื่อไปใกล้ด่านพรมแดนก็ไม่ได้ใช้เอกสารผ่านด่านผ่านเข้าไปในแคว้นหวงถิง แต่เหมือนผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ชอบพันธนาการ เดินทางข้ามผ่านภูเขาสูงตระหง่านอย่างผ่อนคลาย แล้วจากนั้นก็เร่งเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืน
มาถึงท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของแคว้นหวงถิงด้วยเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน ชายวัยกลางคนไม่ได้สอบถามเอาจากผู้ดูแลท่าเรือ เพียงแค่อาศัยฟังคนอื่นพูดคุยกันจนได้รู้ว่าตอนนี้ที่ท่าเรือไม่มีเรือข้ามฟากตรงไปยังทะเลสาบเจี่ยนซู เส้นทางเดินเรือสายนั้นหยุดเดินทางไปนานแล้ว จึงเลือกเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่เดินทางไปยังภูเขากูซู ว่ากันว่าเมื่อเปลี่ยนเรือที่ภูเขากูซูก็จะสามารถเดินทางไปยังแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งได้ หลังจากนั้นก็ได้แต่ต้องเดินเท้าไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซูเท่านั้น
บุรุษจ่ายเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งเช่าห้องเดี่ยวของเรือข้ามฟากแล้วเก็บตัวเงียบอยู่ภายใน
พอไปถึงภูเขากูซู บุรุษก็ได้ยินข่าวร้ายอีกข่าวหนึ่ง ตอนนี้แม้แต่เรือที่เดินทางไปยังแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งแห่งนั้นก็ยังหยุดเดินทางไปด้วย
บุรุษหยุดพักอยู่ที่ภูเขากูซูหนึ่งวัน เดินทางเตร็ดเตร่ไปทั่ว สุดท้ายจึงทุ่มเงินก้อนใหญ่ ใช้เงินเทพเซียนเช่าเรือส่วนบุคคลลำหนึ่งที่ราคาสูงกว่าเรือลำอื่นทั่วไปซึ่งไม่เต็มใจจะรักษากฎตายตัวมากนัก โดยจ่ายค่าเช่าไปก่อนครึ่งหนึ่ง ภายใต้สายตาของเจ้าของเรือที่มีใบหน้าประจบสอพลอแต่แววตากลับฉายชัดว่ากำลังมองคนโง่ บุรุษก้าวขึ้นเรือลำนั้น บนเรือมีเขาเป็นผู้โดยสารคนเดียว
รอบกายรายล้อมไปด้วยคนเลว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบุรุษยังมีประสบการณ์ในยุทธภพไม่มากพอจึงสัมผัสอะไรไม่ได้ หรือเป็นเพราะฝีมือสูงและใจกล้า ถึงได้จงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ในขณะที่ทางเรือข้ามฟากมาแจ้งข่าวแก่ผู้โดยสารว่าต้องการจอดเทียบท่าเพื่อเติมเสบียง ในที่สุดบุรุษผู้นั้นก็ยอมออกมาจากห้องพัก เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมสีขาว สะพายกระบี่เล่มยาว บนผมปักปิ่นเล่มหนึ่ง ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
เขาเดินตรงไปหาเจ้าของเรือที่มีตบะขอบเขตชมมหาสมุทรโดยตรง ตบกาเหล้าสีชาดที่ธรรมดาอย่างยิ่งในสายตาของผู้ฝึกตนทั่วไป กระบี่บินเล่มหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เขากล่าวว่า “เงินเทพเซียนนั้นหาง่าย แต่หากสิ้นใจก็ไร้ชีวิตให้ใช้เงิน”
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่เป็นเจ้าของเรือซึ่งเกิดใจคิดสังหารคนเพื่อชิงทรัพย์ก็มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระเช่นกัน ในเมื่อถูกผู้โดยสารมองความคิดออกแล้วก็คร้านที่จะปกปิดไว้อีก เขาชำเลืองตามองน้ำเต้าบรรจุเหล้าลูกนั้น ยิ้มกล่าวว่า “ลูกค้าคงไม่รู้ว่าหากอิงตามราคาของคนอาชีพอย่างพวกเรา น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งมีค่ายิ่งกว่าชีวิตของข้าบวกกับเรือลำนี้เสียอีก เจ้าคิดว่า…”
ไม่รอให้ผู้ฝึกตนเฒ่าพูดจบ กระบี่บินก็พุ่งวาบออกไป
ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนเฒ่าก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาที่ป่ายปีนจนมาถึงขอบเขตชมมหาสมุทร สำหรับผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในสี่ผีใหญ่ที่ตอแยด้วยยากที่สุดบนภูเขาแล้ว ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา บังเอิญที่เขามีสมบัติวิเศษก้นกรุชิ้นหนึ่งที่พอจะต้านทานมันได้พอดี
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนเฒ่าอาศัยวัตถุแห่งชะตาชีวิตหลบเลี่ยงกระบี่บินเล่มนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กลับมีกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งปักตรึงเข้ามาที่หว่างคิ้วของเขา
ไม่ถึงขั้นเอาชีวิต แต่หากเขามีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ปลายกระบี่แทงลึกลงมาอีกนิด เขาก็ต้องตายแน่ๆ
ในขณะที่ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นี้ตกตะลึงว่าเหตุใดผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งถึงมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถึงสองเล่ม
หมัดหนึ่งก็พุ่งมาถึง
ต่อยให้ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณทั้งหมดของผู้ฝึกตนเฒ่าระเหยเป็นน้ำเดือด
แล้วก็ตามมาอีกหมัด
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่สามารถใช้ปราณวิญญาณมาหล่อเลี้ยงหลอมเรือนกายของตัวเองจนร่างกายแข็งแกรงเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่คนหนึ่ง เวลานี้ก็ยังถูกหมัดต่อยจนสำลักน้ำดี ล้มตึงแล้วลุกไม่ขึ้นอีก
กระบี่บินสองเล่มก็ยิ่งปักตรึงเข้าไปในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตสองแห่งของผู้ฝึกตนเฒ่า ปั่นป่วนให้ช่องโพรงทั้งสองเละเทะ เป็นเหตุให้ขอบเขตชมมหาสมุทรของเจ้าของเรือถดถอยกลับไปที่ขอบเขตถ้ำสถิตโดยตรง ผู้ฝึกตนเฒ่าร้องโหยหวนคร่ำครวญไม่หยุด
คนผู้นั้นกวาดตามองไปรอบด้าน เลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาแล้วนั่งลง พูดกับคนที่เหลือว่า “รีบออกเดินทางต่อ”
หลังจากนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าก็ไปนั่งอยู่ในมุมเล็กๆ ของห้องห้องหนึ่งที่นับว่ากว้างขวาง กระบี่บินสองเล่มบินล้อมวนอยู่รอบด้านอย่างเชื่องช้า
ผู้โดยสารคนนั้นกลับเอาแต่นั่งเปิดตำราอ่านอยู่ตรงนั้น
ผู้ฝึกตนเฒ่าปลุกความกล้าถามว่าตนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ตรงนี้ได้หรือไม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้ขอบเขตถ้ำสถิตต้องถูกทำลายลงไปด้วย
บุรุษคนนั้นพยักหน้า ไม่มีความเห็นต่าง
หลังจากนั้นบุรุษก็อ่านหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า มีบ้างบางครั้งที่งีบหลับ บางครั้งก็ลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าเดินพลางออกหมัดช้าๆ
เมื่อเรือข้ามฟากมาถึงแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งที่มีอาณาเขตใหญ่ที่สุดในชายแดนแล้ว ก่อนที่บุรุษคนนั้นจะลงจากเรือก็จ่ายเงินเทพเซียนที่เหลืออีกครึ่งก้อน
หลังจากสอบถามผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีสีหน้าอ่อนระโหยจนรู้ถึงทิศทางที่ตั้งของทะเลสาบเจี่ยนซูคร่าวๆ แล้ว คนผู้นั้นก็ปลดกระบี่ยาวที่สะพายไว้ด้านหลัง แล้วโยนมันขึ้นไปกลางอากาศพร้อมกับฝักกระบี่
ครั้นจึงขี่กระบี่มุ่งตรงไปยังทะเลสาบเจี่ยนซู
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น