หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 426-431
บทที่ 426 อาวุธเวทครึ่งใบ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่หวังเป่าเล่อบรรลุปราณระดับรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์เรียบร้อย เหตุการณ์น่าตื่นเต้นมากมายหลายเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นติดๆ กัน เช่น การที่หลินเทียนหาวส่งเสียงตามสายมาบอกว่า ได้เตรียมวัตถุดิบที่เขาสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงวิญญาณวุธที่จะใช้หลอมอาวุธเวทด้วย!
วัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้หลอมอาวุธเวทนั้นราคาแพงหูฉี่ โดยเฉพาะวัตถุดิบที่จะเป็นแก่นของอาวุธเวทนั้นๆ เนื่องจากเป็นสินค้าควบคุมที่หาซื้อยาก แม้จะมีคนต้องการซื้อ ก็ไม่อาจทราบได้ว่าต้องไปหาที่ไหน
โทรโข่งที่หวังเป่าเล่อต้องการหลอม จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบนี้เพื่อทำให้การกระจายเสียงมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้หลินเทียนหาวต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการตามหาวัตถุดิบทั้งหมดมาจนครบ จนถึงขั้นที่ว่าเขาต้องใช้เส้นสายทั้งหมดที่ตนเองมี แถมยังต้องดึงกงเต๋าและจินตั้วหมิงเข้ามาช่วยด้วย กระนั้นทั้งสามคนที่ผนึกกำลังก็ยังต้องใช้เวลานานโขกว่าจะตามเก็บมาได้ครบ บ่งบอกถึงความหายากจับใจของวัตถุดิบเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ การหาวิญญาณวุธก็ยากเย็นแสนเข็ญด้วยเช่นกัน อันดับแรกคือ วิญญาณอสูรที่จะนำมาหลอมเป็นวิญญาณวุธได้ ต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ในตอนที่สกัดออกมาจากร่างอสูร เพียงเท่านั้นก็ว่ายากแล้ว แต่ความยากนั้นจะทวีมากขึ้นอีกตามความแข็งแกร่งของอสูรตัวนั้นๆ
หวังเป่าเล่อต้องอธิบายพลังที่เขาต้องการใส่ในอาวุธเวทของตนให้หลินเทียนหาวฟัง เพื่อที่หลินเทียนหาวจะได้เข้าใจว่าต้องหาวิญญาณวุธใดมาให้หวังเป่าเล่อ วิญญาณวุธนั้นต้องส่งเสริมคุณสมบัติหลักของอาวุธเวทชิ้นนี้เป็นอย่างดี ซึ่งก็คือการสร้างเสียงคำรามชนิดแก้วหูดับ หลังจากตามหาอยู่เป็นเวลานาน เลื่อนเส้นตายไปหลายต่อหลายครั้ง หลินเทียนหาวก็พบวิญญาณของอสูรพยัคฆ์ ที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่น
แม้วิญญาณอสูรตนนี้จะไม่เหมาะกับอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อเต็มร้อย แต่ก็เป็นสิ่งใกล้เคียงสุดที่หลินเทียนหาวพอจะหามาได้
แต่เพียงเท่านี้หวังเป่าเล่อก็พอใจมากแล้ว ดังนั้นเมื่อหลินเทียนหาวส่งวัตถุดิบมาให้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มถือสันโดษทันที เขาตั้งใจเตรียมวัตถุดิบเพื่อหลอมอาวุธเวทเบื้องต้น ก่อนจะหลอมรวมมันเข้ากับวิญญาณวุธเพื่อสร้างอาวุธเวทที่สมบูรณ์แบบ จากนั้นอาวุธเวทนี้จะดึงดูดเศษดวงจิตของเทพเจ้าที่อยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพเข้ามา และด้วยพลังจากสวรรค์และพื้นพิภพนี้ อาวุธเวทที่เขาหลอมจะกลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดที่สมบูรณ์!
หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะทำสำเร็จ แต่ก็ตัดสินใจลองดูให้รู้ไปสักตั้ง เขาได้วิเคราะห์และจำลองภาพในหัวมาหลายต่อหลายรอบแล้ว ชายหนุ่มคิดมาเป็นอย่างดีว่าแต่ละขั้นตอนต้องทำอย่างไร สำหรับทักษะการหลอมสวรรค์สร้างนั้น หลังจากที่กลับมาจากศูนย์วิจัย หวังเป่าเล่อก็ได้เข้าฌานอยู่หลายครั้ง เพื่อจะได้เข้าใจทักษะนี้มากขึ้น
ตอนนี้ทุกสิ่งถูกตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อที่อยู่ในห้องลับของตน กำลังหายใจเข้าลึกพร้อมความคาดหวังที่เอ่อท้นในดวงตา เขารู้ว่าการหลอมอาวุธเวทนั้นควรกระทำโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ เข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะจะทำให้ความสงบของจิตใจถูกทำลายลงได้ ความผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิดอาจทำให้กระบวนการหลอมพังพินาศในพริบตา
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้เดินหน้าปฏิบัติภารกิจในทันที เขาหลับตาลงเพื่อนั่งสมาธิทำให้จิตใจให้สงบเหมือนน้ำนิ่งเสียก่อน สองชั่วโมงต่อมา ชายหนุ่มลืมตาขึ้นพร้อมดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า ประกายโชติช่วงลุกโชนในแววตา จิตของหวังเป่าเล่อกำลังสงบที่สุด
ชายหนุ่มหยิบวัตถุดิบที่หลินเทียนหาวหามาให้ด้วยใจที่นิ่งสงบ และเริ่มกระบวนการหลอมในที่สุด วัตถุดิบทุกชิ้นได้รับการปฏิบัติอย่างเอาใจใส่ละเอียดละออ พลังปราณและความคิดของหวังเป่าเล่อสอดประสานเข้ากับวัตถุดิบเหล่านั้น ทำให้ชายหนุ่มคุ้นเคยกับมันอย่างดีเหมือนเป็นหลังมือของตนเอง ความมั่นใจของเขาพุ่งสูงขึ้น และตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็เริ่มหลอมแก่นวิญญาณ!
ขั้นตอนการหลอมแก่นวิญญาณนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในมโนภาพของหวังเป่าเล่อ เขาจึงช่ำชองในการสร้างแก่นวิญญาณเป็นอย่างดี และทำได้ในอัตราที่เร็วมาก มือของชายหนุ่มนิ่ง เขารู้ดีว่าตนเองควรทำสิ่งใดต่อ ท่วงท่าของหวังเป่าเล่อมั่นคงไร้ซึ่งความโกลาหล ผู้ใดที่ได้มองเขาหลอมแก่นวิญญาณนี้คงรู้สึกได้ถึงความน่าประทับใจ ราวกับกำลังมองศิลปินเสกสร้างผลงานชิ้นเอกด้วยพรสวรรค์ที่ธรรมชาติมอบให้
แก่นวิญญาณที่สร้างจากศิลาวิญญาณสมบูรณ์แบบค่อยๆ ปรากฏขึ้นในมือของชายหนุ่ม เมื่อสร้างแก่นวิญญาณเสร็จเรียบร้อย ลำดับต่อไปคือการสลักอักขราจารึกลงบนแก่นวิญญาณ ขั้นตอนนี้ยากเอาการ แต่หวังเป่าเล่อที่รู้สูตรคำนวณอักขราจารึกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็สามารถทำได้ด้วยความเร็วอันน่าตกใจ เขาได้คิดวิเคราะห์ขั้นตอนนี้มาเป็นเวลานาน จึงพร้อมเผชิญหน้ากับความยากไม่ว่าจะมากเพียงใดก็ตาม
ไม่นานนัก อักขระก็เริ่มปรากฏขึ้นทีละตัวบนแก่นวิญญาณ จำนวนอักขระเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเรียงร้อยเกี่ยวพันกันพอประมาณ มีบางอักขระที่ซึมเข้าไปภายในแก่นวิญญาณด้วย แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจกับผลงาน แม้แก่นวิญญาณนี้จะอัดแน่นไปด้วยอักขราจารึกมากมายก็ตามที
นั่นเพราะอาวุธเวทและวัตถุเวทนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นจำนวนอักขราจารึกจึงแตกต่างกันเช่นกัน ดังนั้นแม้แก่นวิญญาณในมือของหวังเป่าเล่อจะเต็มไปด้วยอักขระที่เบียดกันอยู่หนาแน่น แต่ชายหนุ่มก็ยังเดินหน้าสลักอักขระทับลงไปอีกมากมายหลายชั้น!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อใช้สี่ชั่วโมงไปกับการหลอมแก่นวิญญาณ และสี่วันไปกับการสลักอักขราจารึก เมื่อกระบวนการสลักอักขระเสร็จสิ้นเรียบร้อย สีหน้าของชายหนุ่มก็ซีดเผือด แม้พลังปราณของเขาจะสูงพอตัว แต่ร่างกายก็เดินทางมาถึงขีดจำกัดแล้ว ในสี่วันที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อเพ่งสมาธิ ร่างกาย และจิตใจทั้งหมดไปกับการสร้างแก่นวิญญาณ โดยไม่หยุดและไม่ผิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
การหลอมอาวุธเวทนั้นไม่ควรปล่อยให้ขั้นตอนการหลอมติดขัดโดยเด็ดขาด และจะต้องทำให้เสร็จในคราวเดียวเท่านั้น อาวุธเวทจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อการหลอมดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง และการสลักอักขราจารึกสำเร็จเสร็จสิ้นภายในคราวเดียว และนี่คือภารกิจอันแสนยากยิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวทจะต้องเผชิญ
หลังจากสลักอักขระเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ต้องหลับตาลงเพื่อพักผ่อนเอาแรงในคืนนั้น ในเช้าของวันที่ห้า ชายหนุ่มตื่นขึ้น และเริ่มดำเนินการสร้างความแข็งแกร่งให้กับวัตถุดิบที่ใส่ลงไปในอาวุธเวท กระบวนการนี้กินเวลาสามวัน เมื่อวัตถุดิบล้ำค่ามากมายหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแก่นวิญญาณ รูปร่างอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทุกนาที
ในคืนวันที่เก้าของการถือสันโดษ โทรโข่งสีแดงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ โทรโข่งนั้นมีสีแดงเข้มเหมือนโลหิต แลดูเหมือนเพิ่งถูกหยิบออกจากหินหลอมละลาย เพียงแค่แตะก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่อัดแน่นอยู่ภายใน และหน้าตาของมันก็ดูน่าประทับใจเป็นอย่างมาก
พลังความรุนแรงของอาวุธเวทนี้ทิ้งห่างวัตถุเวทระดับหกทั่วไปอยู่มากโข แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเป็นเพราะคุณภาพของการหลอมและวัตถุดิบที่ทำให้อาวุธเวทชิ้นนี้มีคุณภาพสูงมาก ทว่าตอนนี้โทรโข่งสีแดงเข้มนี้ยังไม่ใช่อาวุธเวทระดับเจ็ด แต่เป็นเพียงวัตถุเวทระดับหกชั้นเยี่ยมเท่านั้น
ต่อไปก็ วิญญาณวุธ… ประกายวาบขึ้นมาในแววตาของหวังเป่าเล่อ เขาหยิบกล่องหยกที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมา กล่องหยกนั้นมีสีน้ำเงินและเย็นเฉียบเมื่อสัมผัส ดูเหมือนว่ากล่องหยกนี้จะถูกสร้างมาเพื่อเก็บบางสิ่งโดยเฉพาะ
ของที่ว่านั้นก็คือ วิญญาณของอสูรพยัคฆ์ที่มีปราณระดับรากฐานตั้งมั่นนั่นเอง เมื่อหวังเป่าเล่อปล่อยพลังปราณของตนเข้าไปในกล่องหยก ทันใดนั้นเสียงคำรามกึกก้องแทบหูดับก็กังวานอยู่ในสมองเขา เสียงคำรามนั้นมีความบ้าคลั่งและความดื้อรั้นเจืออยู่ พร้อมด้วยความต้องการที่จะเป็นอิสระจากพันธนาการของกล่องหยกนี้
ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้คงจะกลัวจนหัวหดเมื่อได้ยินเสียงคำรามดุร้ายบ้าเลือดนี้ หากไม่ระวังตัวให้ดี วิญญาณของพวกเขาอาจสั่นคลอนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ พลังของเขานั้นมากพอที่จะสะกดวิญญาณร้ายนี้เอาไว้ได้ ชายหนุ่มเปิดกล่องหยกสีน้ำเงินออกอย่างใจเย็น มือซ้ายจับกล่องเอาไว้มั่น เสียงคำรามของวิญญาณอสูรพยัคฆ์ทวีความดังขึ้นไปอีก พร้อมหมอกมืดที่พวยพุ่งออกมาจากกล่อง ก่อนกลายสภาพเป็นวิญญาณพยัคฆ์นิล เมฆหมอกชั่วร้ายที่อุบัติขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของเสือร้ายพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของหวังเป่าเล่อหมายโจมตี
แต่ก่อนที่จะเข้ามาถึงตัว หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็พ่นลมเยาะเย้ย อัสนีสวรรค์ในกายหมุนวน ก่อให้เกิดสายฟ้าฟาดที่วาบอยู่ในแววตาทั้งสองข้างของชายหนุ่ม ทันใดนั้นวิญญาณพยัคฆ์ร้ายก็ตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ สีหน้าของมันแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน มันต้องการจะถอยหนีแต่ก็สายไปเสียแล้ว หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นคว้าวิญญาณเสือ และจับมันยัดเข้าไปในโทรโข่ง
ทันทีที่วิญญาณเสือร้ายถูกจับใส่โทรโข่ง หวังเป่าเล่อก็ปลุกผนึกฝ่ามือเพื่อกระตุ้นอักขราจารึกในโทรโข่งให้ทำงานทันที เขาเดินหน้าปลุกอำนาจของอักขระต่อตามกระบวนการการหลอมรวมวิญญาณ พร้อมทั้งใส่วัตถุดิบที่ยังไม่ได้หลอมเข้ากับโทรโข่งเข้าไปเพิ่ม การหลอมอาวุธเวทเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ !
หวังเป่าเล่อกำลังหลอมทั้งโทรโข่งและวิญญาณเสือร้ายไปพร้อมๆ กัน เสียงคำรามของวิญญาณพยัคฆ์นั้นยังคงกึกก้อง แต่ชายหนุ่มสงบนิ่ง เขาเดินหน้าสร้างอาวุธเวทชิ้นแรกของตนเองต่อ จนในที่สุด เสียงคำรามของวิญญาณเสือก็ค่อยๆ เงียบลง สามวันผ่านไป ในที่สุดวิญญาณวุธก็รวมเข้ากับวัตถุเวทจนเป็นหนึ่งเดียว!
โทรโข่งที่อยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อในตอนนี้มีหน้าตาเปลี่ยนไปอีกครั้ง สีของโทรโข่งยังเป็นสีแดง แต่มีไอแสงประหลาดแผ่ออกมาจากโทรโข่งนั้น หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าแสงประหลาดนั้น คือร่างมายาวิญญาณของพยัคฆ์ในโทรโข่งนั่นเอง!
พลังอำนาจของโทรโข่งเพิ่มสูงขึ้นจากตอนแรกมาก แม้จะยังไม่ใช่อาวุธเวทโดยสมบูรณ์ แต่ก็ถือว่าเป็นวัตถุเวทระดับเจ็ดในขั้นหนึ่งแล้ว
ต่อไปคือการนำดวงจิตของเทพเจ้ามารวมเข้ากับโทรโข่งนี้! หวังเป่าเล่อสะกดความตื่นเต้นและความคาดหวังเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป แม้จะพยายามหายใจเข้าลึกเพื่อทำจิตใจให้สงบ ชายหนุ่มวาดมือเพื่อหยิบอาวุธเวททั้งสองชิ้นของตนออกมา และจัดการปลุกมันเพื่อเข้าฌานในทันที!
สองสัปดาห์หมุนเวียนผ่านไป ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงนั่งทางในเพื่อตามหาดวงจิตของเทพเจ้า นครใหม่ยังคงเดินหน้าไปตามปกติเช่นเดิม ส่วนละอองปีศาจทั้งหมดที่เฉินมู่ปล่อยออกมาก็พบเจ้าของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะเจ้าลาที่ดูเหมือนจะกินละอองนั้นเข้าไปมากเป็นพิเศษ เฉินมู่ตั้งใจปล่อยให้เจ้าลากินละอองปีศาจเข้าไป จนมันสวาปามละอองเหล่านั้นไปถึงร้อยละสามสิบจากที่เฉินมู่ปล่อยออกมาทั้งหมด!
แม้แต่ตัวเฉินมู่เองยังตกใจเมื่อรู้เข้า แต่เมื่อชายหนุ่มนึกถึงสภาพอันแสนเลวร้ายของเจ้าลาในอนาคต เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความเย็นชาและความเหี้ยมเกรียมมากกว่าเดิม แววความคาดหวังฉายชัดในดวงตา
อีกไม่นานก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว!
บทที่ 427 ปลดปล่อย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตามความเข้าใจของหวังเป่าเล่อ ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างคือการปล่อยให้จิตวิญญาณเดินทางออกจากร่าง และพเนจรไประหว่างสรวงสรรค์และพื้นพิภพ ซึ่งจะทำให้จิตวิญญาณนั้นกลายเป็นเศษเสี้ยวดวงจิตของเทพเจ้า และนี่เป็นทางเดียวที่จะตามหาดวงจิตของเทพเจ้าให้เจอ
ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างที่แท้จริงนั้น ไม่ต้องบรรลุขั้นแรกของการนั่งฌานผ่านการใช้อาวุธเวท แต่สามารถหลับตาลงและปล่อยจิตออกไปทุกทิศทาง ผ่านการใช้พลังปราณในกายและการฝึกฝนได้เลย
ทว่าหวังเป่าเล่อยังด้อยทั้งด้านขั้นปราณและทักษะการถอดจิต แม้ความสามารถของเขาจะแซงเพื่อนร่วมรุ่นไปมาก แต่ก็ยังไม่ดีพอ เขาจึงต้องใช้พลังของอาวุธเวทเป็นกุญแจในการตรวจจับดวงจิตของเทพเจ้า
กระนั้นวิธีการของหวังเป่าเล่อก็ยังถือว่าใช้ทรัพยากรมากและมีเล่ห์ลวงอยู่พอสมควรทีเดียว นี่เป็นวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเทพในสหพันธรัฐใช้เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมีน้อยคนนักที่สัมผัสได้ถึงดวงจิตของเทพเจ้าด้วยตนเอง เพราะมีเพียงผู้ที่สามารถสร้างอาวุธเวทระดับเก้าเท่านั้นที่เก่งกล้าพอจะทำเช่นนั้นได้
บัดนี้จิตของหวังเป่าเล่อได้กระจัดกระจายออกไปยังโลกภายนอกด้วยพลังอำนาจแห่งอาวุธเวททั้งสองที่อยู่ข้างกาย ชายหนุ่มเข้าสู่สภาวะฌานเป็นที่เรียบร้อย เขารู้สึกว่าสภาวะจิตนี้แปลกเสมอไม่ว่าจะเข้ามากี่ครั้งก็ตาม และครั้งนี้ก็เช่นกัน สภาวะฌานนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนจิตของตนไร้ขีดจำกัด และมีขนาดใหญ่มหึมาจนกลืนกินดาวอังคารเข้าไปได้ถึงครึ่งดวง
ในตอนนี้ดูเหมือนว่ากายหยาบของหวังเป่าเล่อจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป การถอดจิตออกจากร่างและนำพาจิตนั้นให้ท่องไปยังสวรรค์และพื้นพิภพ คือสภาวะที่มีความสุขที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะมีได้ ความรู้สึกนี้รุนแรงมากเสียจนหวังเป่าเล่อมีความคิดที่จะทิ้งร่างกายของตนเองเอาไว้เบื้องหลังตลอดกาล
อย่างไรเสีย ในสภาวะนี้ร่างกายก็เปรียบเสมือนเรือนจำ การถอดจิตเข้าฌานก็คือการปลดปล่อยจิตวิญญาณให้เป็นอิสระจากเครื่องจองจำทั้งปวงนั่นเอง
ข้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ ร่างของข้าคือร่างที่หล่อเหล่าที่สุดในสหพันธรัฐ ข้าจะทิ้งร่างรูปงามล้ำค่านี้ไปไม่ได้เด็ดขาด! ความคิดนี้พุ่งเข้ามาในหัวของหวังเป่าเล่อ และมันรุนแรงกว่าความคิดที่จะละทิ้งกายหยาบไปในคราวแรก ทำให้เขาได้สติในที่สุด
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงกระจกแตกเบาๆ พร้อมเสียงคำรามอย่างดุร้ายโกรธเกรี้ยว ชายหนุ่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มแปรเปลี่ยนไป!
การเข้าฌานทำให้ชายหนุ่มเหมือนท่องไปในสวรรค์และพื้นพิภพ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีบางสิ่งกำลังรายล้อมร่างกายของเขาอยู่ ประสบการณ์นี้แตกต่างไปจากคราวที่แล้ว กำแพงที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้น และห่อหุ้มร่างของหวังเป่าเล่อเอาไว้ทั้งตัวราวกับเป็นขวดแก้ว
ชายหนุ่มค่อยๆ รู้สึกตัว และเริ่มละทิ้งความคิดที่จะทิ้งกายหยาบเอาไว้เบื้องหลัง บรรยากาศรอบตัวเขาเริ่มแตกร้าว รอยแตกเหล่านั้นกระจายไปทั่วทุกสารทิศ ขวดที่ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ก่อนหน้านี้ทลายลงในวินาทีนั้น
ทันทีที่บรรยากาศรอบตัวชายหนุ่มแตกออก จิตวิญญาณที่โกรธเกรี้ยวก็พุ่งเข้าใส่เขาและสลายหายไป…
หวังเป่าเล่อตัวสั่นด้วยความตกใจ ชายหนุ่มรีบออกจากสภาวะถอดจิตในทันที ร่างกายของเขาที่นั่งสมาธิอยู่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความเคลือบแคลง ความสงสัยนี้แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจและความกลัวอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อหายใจหอบด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้าใส่
ไม่ปกติ… เมื่อครู่… ไม่ใช่เรื่องปกติ! ชายหนุ่มใจสั่น เขาเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รายละเอียดสิ่งที่เกิดขึ้นขณะเข้าฌานเริ่มแจ่มชัด
คำตอบที่คิดได้ทำให้ชายหนุ่มตกใจมาก ดวงตาหวาดกลัวขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ตอนที่ข้าเข้าฌานไปเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าข้าจะเจอเข้ากับดวงจิตชั่วร้ายของเทพเจ้า มันคงสัมผัสได้ถึงจิตของข้า และใช้เล่ห์กลบางอย่างขังจิตของข้าเอาไว้ในขวดแก้ว หลังจากนั้นมันคงขัดจังหวะการถอดจิตของข้า ยัดเยียดความคิดในการทิ้งร่างกายใส่หัวข้า และหากข้าทำเช่นนั้นจริงๆ ละก็… หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มรู้อยู่ลึกๆ ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็จะไม่ใช่หวังเป่าเล่อคนเดิมอีกต่อไป
ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างนี่อันตรายจริงๆ … ก่อนหน้านี้ข้าประมาทไป… หวังเป่าเล่อได้แต่เงียบ ก่อนหน้านี้เขาทำสำเร็จทุกครั้งที่ลอง แต่ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจถึงความอันตรายของทักษะการหลอมสวรรค์สร้างที่แท้จริง เรื่องน่ากลัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้ง แต่เมื่อดวงจิตที่ชั่วร้ายนั้นทำสำเร็จ ความตายชนิดที่ไร้โลหิตก็จะมาเยือน!
ยังดีที่ข้าทนแยกจากร่างกายแสนงดงามของข้าไม่ได้ หวังเป่าเล่อถอนใจด้วยความโล่งอก เขาคิดถึงเสียงคำรามที่ได้ยินเมื่อครู่ ความรู้สึกมากมายไหลบ่าเข้ามาอีกครั้ง อีกฝั่งคงคาดไม่ถึงว่าเขาจะหลุดออกจากหลุมพรางนี้ได้
กระนั้นตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์เมื่อครู่จึงเกิดขึ้น แต่ก็คิดว่าการที่เขาขัดขืนเศษดวงจิตของเทพเจ้าได้นั้น แปลว่าเขาต้องมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตนเองเป็นชายที่หล่อที่สุดในสหพันธรัฐ
ดูเหมือนข้าจะคิดเช่นนี้โดยสัญชาตญาณ แต่ก็เป็นเรื่องจริงนั่นละ… ข้า หวังเป่าเล่อ คือชายที่หล่อขั้นเทพที่สุดในสหพันธรัฐ! ความคิดนี้ทำให้เขาตะลึงไปแม้จะเพิ่งพ้นจากอันตรายก็ตาม เพราะแม้เขาจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าตนเองหล่อเหลาเพียงใด แต่ก็ยังมีหลายคนในสหพันธรัฐที่หน้าตาดีสูสีกับเขา
ทว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกว่าไม่มีใครเทียบเขาได้อีกต่อไปในเรื่องรูปโฉม
“ต่อให้มีใครสู้ข้าได้ในเรื่องนี้ ก็ไม่มีทางชนะเสียหรอก ไม่มีใครหล่อกว่าข้าไปได้ เพราะว่าข้ารูปงามที่สุดในสหพันธรัฐ!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ความคิดนี้ติดตรึงอยู่ในจิตใจของเขา หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตาอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาของการพยายามไม่ตกหลุมพรางการหลอกล่อของดวงจิตเทพเจ้าในทักษะการหลอมสวรรค์สร้างต่างหาก
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการหลอมอาวุธเวท!
เขาศรัทธาในความคิดนี้มากกว่าเดิม และก็ถูกต้องจริงๆ เสียด้วย ขั้นตอนนี้คือส่วนที่ยากที่สุดในทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง การเข้าฌานก็เปรียบเสมือนการปล่อยร่างของตนให้ไหลไปในมหาสมุทรกว้างใหญ่ โดยมีความศรัทธาเป็นเรือ หากไม่มีเรือ หรือถ้าเรือนั้นไม่มั่นคงแข็งแรงพอ คงเป็นการยากที่จะเดินหน้าต่อไปโดยไม่ทำให้เรือเสียหายหรือเสียชีวิตลง
ทว่าความเชื่อของคนอื่นนั้นแตกต่างจากหวังเป่าเล่อ เนื่องจากไม่มีใครหน้าหนาเท่าหวังเป่าเล่อนั่นเอง
ชายหนุ่มคิดอยู่สักพัก และตัดสินใจว่าตนเองไม่ควรเข้าฌานอีกในตอนนี้ แม้หวังเป่าเล่อจะมั่นใจมากว่าตนเองจะไม่หลงกลอีก เนื่องจากทิ้งร่างงามเช่นนี้ไปไม่ได้ แต่เขาก็ได้รับประสบการณ์อันตรายจากการถอดจิตมาแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้นซ้ำสอง
เวลาผ่านไปอีกเจ็ดวัน หวังเป่าเล่อถือสันโดษมาครบหนึ่งเดือนแล้ว เขาอ่านความรู้เรื่องที่กำลังศึกษาอยู่อย่างทะลุปรุโปร่ง จนมั่นใจมากขึ้นว่าตนเองจะทำกระบวนการหลอมสวรรค์สร้างครั้งต่อไปได้สำเร็จ วันนี้เขาใช้อาวุธเวทพาตัวเองเข้าฌานอีกครั้งเพื่อที่จะตามหาดวงจิตของเทพเจ้า แต่หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกได้ในทันที ว่าระหว่างสวรรค์และผืนพิภพบนดาวอังคารนั้น หมอกโลหิตได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด!
ในตอนแรกหมอกนั้นยังอยู่ไกล แต่ภายในพริบตาเดียวก็พัดเข้ามาเต็มบริเวณ มันไม่ได้พุ่งตรงมาหาหวังเป่าเล่อ แต่ล้อมดาวอังคารไว้ทั้งดวงด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
หวังเป่าเล่อเห็นภาพนี้ขณะกำลังถอดจิต ชายหนุ่มอดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวไม่ได้ เขาออกจากสภาวะถอดจิตอีกครั้ง ลืมตาที่เต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงขึ้น
หมอกนี้… ดูคุ้นประหลาด…
ตอนที่หวังเป่าเล่อเริ่มกลับมาได้สติ เสียงแหบก็ดังก้องอยู่ในจิตของเฉินมู่ ผู้ที่ถือสันโดษอยู่เช่นกัน
“เมล็ดสมบูรณ์แล้ว หุ่นเชิดกำลังจะพร้อมใช้งานเร็วๆ นี้… ข้าจะทำตามข้อตกลงของเราที่ว่าจะกันเจ้านครดาวอังคารและสมุนเอาไว้ให้… จำให้ดี เป้าหมายของเราคือ สังหารหวังเป่าเล่อ!”
เฉินมู่ลืมตาขึ้นพร้อมเสียงที่ก้องกังวานอยู่ในหัว ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความต้องการสังหารที่รุนแรงชัดเจน
ตอนที่จิตสังหารของเฉินมู่ทวีความรุนแรงขึ้นจนต้านทานเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปนั้น หมอกโลหิตที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้ก็ปกคลุมดาวอังคารไว้ทั้งดวง ความกว้างใหญ่และรุนแรงนั้นมากกว่าครั้งที่แล้วอยู่โข หมอกกระจายไปทั่วพื้นที่รกร้าง แม้วงแหวนปราณในนครดาวอังคารและนครใหม่จะป้องกันหมอกโลหิตไว้ได้ แต่พื้นที่ที่เหลือก็ถูกหมอกปกคลุมเสียจนมิด!
หมอกครั้งใหม่นี้น่ากลัวเป็นอันมาก หมอกนี้ไม่เพียงกันพลังปราณไว้ได้เท่านั้น แต่ยังตัดการสื่อสารทั้งหมดได้อีกด้วย ตอนนี้แม้แต่วงแหวนปราณของดาวอังคารยังได้รับผลกระทบ เป้าหมายหลักของหมอกนี้คือนครหลัก ดังนั้นหมอกที่ปรากฏบนนครหลักดาวอังคารจึงหนาเป็นพิเศษ และหากเพ่งดูดีๆ จะเห็นหมู่บ้านร้างอยู่ภายใน!
เจ้านครดาวอังคารและเจ้าพนักงานคนอื่นๆ เป็นกังวลมาก ทุกคนรีบลงพื้นที่ไปดูในทันที แต่หมอกนั้นเกิดขึ้นโดยฉับพลัน และกินรัศมีกว้างเสียจนการติดต่อสื่อสารทั้งหมดถูกตัดขาดสิ้น จึงไม่สามารถสอบถามไปทางนครใหม่ได้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นใด ทั้งยังรับข้อความจากนครใหม่ไม่ได้อีกด้วย ราวกับว่าทั้งสองนครถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง!
ตอนนี้นครอาวุธเทพใหม่ของหวังเป่าเล่อกลายเป็นนครโดดเดี่ยวเป็นที่เรียบร้อย!
หมอกโลหิตที่ล้อมนครและเสียงร้องไห้ปริศนา ทำให้ผู้ฝึกตนภายในนครใหม่ตกใจกลัว ทว่าในณะที่แต่ละเขตต่างกระวนกระวายและระวังตัวเป็นอย่างมาก เขตของเฉินมู่ก็เปลี่ยนหน้าตาไปอย่างเห็นได้ชัด!
“เมล็ดที่อาศัยอยู่ในกายพาหะได้ตื่นขึ้นแล้ว!” เฉินมู่ลุกขึ้นยืนในห้องลับและวาดแขนออกด้านข้าง ดวงตาของชายหนุ่มเอ่อล้นด้วยความตื่นเต้นและบ้าคลั่ง เสียงของเขาดังก้องอยู่ในจิตใจของผู้ฝึกตนมากมายที่กลายมาเป็นพาหะของปรสิต
บทที่ 428 หุ่นเชิดมนุษย์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
บัดนี้หมอกโลหิตได้ปกคลุมดาวอังคารไว้ทั้งดวงแล้ว หมอกหนาชอนไชไปทุกซอกทุกมุมของดาว ไม่เหลือที่ว่างเอาไว้แม้แต่น้อย หมอกที่กระจายตัวอยู่นอกนครหลักดาวอังคารเริ่มทวีความทึบทึมขึ้นทุกที
ความเปลี่ยนแปลงอันเลวร้ายนี้ทำให้ทั้งเจ้านครดาวอังคารและคนสำคัญในสหพันธรัฐเป็นกังวลมาก ทุกคนเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด ต้วนมู่ฉี ประธานสหพันธรัฐ หายใจหอบด้วยความกระวนกระวาย เขาต้องการติดต่อเจ้านครดาวอังคารแต่ก็ทำไม่ได้
ทว่าต้วนมู่ฉีก็เชื่อว่าท่านเจ้านครดาวอังคารจะจัดการเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าหมอกโลหิตจะเกิดจากอะไรก็ตาม และยังเชื่อว่าดาวอังคารจะจัดการได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องให้สหพันธรัฐยื่นมือเข้าไปช่วย
แต่สิ่งที่ต้วนมู่ฉีและเจ้านครดาวอังคารไม่ทราบก็คือ เป้าหมายของหมอกโลหิตในคราวนี้ไม่ใช่นครหลักดาวอังคาร หากแต่เป็นนครใหม่!
นั่นเพราะเหตุการณ์หมอกโลหิตในครั้งนี้ คือแผนสังหารหวังเป่าเล่อของผู้ที่ได้ชื่อว่าราชครู ชายในชุดคลุมสีดำที่ปรากฏกายจากใต้ดิน ชายผู้นี้ไม่สามารถฆ่าหวังเป่าเล่อด้วยตนเองได้จึงต้องยืมมือคนอื่น!
แม้ว่าราชครูต้องใช้ทรัพยากรมากมายไปกับการสร้างหมอกโลหิตในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ แต่ความต้องการที่จะสังหารหวังเป่าเล่อนั้นรุนแรงมาก จนไม่ว่าจะต้องเสียสิ่งใดไปบ้าง เขาก็เต็มใจพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วง
ผลก็คือแม้หมอกโลหิตที่กระจายอยู่นอกนครหลักดาวอังคารจะหนาแน่นเป็นพิเศษ แต่หมอกที่ปกคลุมรอบนครใหม่กลับหนาแน่นเสียยิ่งกว่า หมอกนี้ชอนไชเข้าทุกซอกทุกมุมของพื้นที่ ทำให้ผู้ฝึกตนที่ถูกล้อมตื่นกลัวเป็นอันมาก เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น สิ่งเดียวที่มองเห็นบนท้องฟ้าก็คือหมอกสีโลหิต มองอะไรไม่เห็นมากไปกว่านี้ และเสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงโหยหวยชวนสยดสยองที่มาพร้อมหมอก
ขณะที่ทุกชีวิตในนครใหม่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น เสียงของเฉินมู่ก็ดังก้องอยู่ในจิตของผู้ฝึกตนที่กลายเป็นพาหะของปรสิต ผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีปรสิตอยู่ในตัวร่างสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาของพวกเขาดับสูญด้วยรอยแห่งชีวิต การควบคุมร่างกายตกไปเป็นของผู้อื่น แม้ว่าทุกคนจะยังกระทำอากัปกิริยาที่ตนเองทำอยู่ก่อนหน้านี้ก็ตาม
เส้นเลือดสีน้ำเงินเด่นชัดผุดขึ้นทั่วใบหน้า แต่ความจริงแล้วกลับหาใช่เส้นเลือดไม่ หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เคลื่อนไหวชอนไชอยู่ใต้ผิวหนังของผู้ฝึกตนเหล่านี้
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ดูดพลังชีวิตและพลังปราณจากผู้ฝึกตนที่เป็นพาหะ แถมยังกลืนกินเนื้อของพวกเขาเข้าไปด้วย ไม่นานนักพวกมันก็เป็นอิสระ มันพากันชอนไชออกจากร่างผู้เคราะห์ร้ายเหมือนกิ่งไม้แข็งทื่อ ร่างกายของผู้ฝึกตนเหล่านั้นค่อยๆ เหี่ยวลงและกลายเป็นเถ้าธุลีในทันที เมล็ดสีโลหิตงอกออกมาจากส่วนที่เคยเป็นศีรษะ
เมล็ดสีโลหิตพุ่งทะยานขึ้นบนฟากฟ้าด้วยความเร็วสูง ในเวลาเดียวกันนั้น หมอกโลหิตที่โอบล้อมดาวอังคารไว้ ก็บดบังดวงอาทิตย์เข้าไปทั้งดวง!
ผู้คนในเขตอื่นๆ ของนครใหม่คงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ทว่านาทีที่เมล็ดสีโลหิตพุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้า เสียงระเบิดในเขตปกครองตนเองของฟางจิ้งก็ดังขึ้น
สิ่งที่ตามมาคือแสงเรืองรองสีโลหิตที่พวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า แสงเรืองเหล่านี้ไม่ใช่เมล็ด หากแต่เป็นลำแสงปริศนา!
จุดที่เกิดเหตุระเบิดนั้น คือเขตที่เป็นลานจัตุรัสสาธารณะในเขตของฟางจิ้ง รอยแตกร้าวอุบัติขึ้นบนพื้นของลานทันที และเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเหวลึก
พื้นดินที่ยุบลงไปพร้อมเสียงอึกทึกครึกโครม เผยให้เห็นปากทางเข้าสุสานใต้ดินขนาดมหึมา!
ลำแสงสีโลหิตระเบิดออกมาจากปากทางเข้าสุสาน พร้อมเสียงคำรามดุร้ายของอสูรบ้าเลือด เหล่าซากศพพยายามดีดดิ้นออกมาจากหลุมพร้อมเสียงขู่ฟ่อ ผีร้ายเหล่านั้นกระจายออกไปทุกทิศทาง ทำลายสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ขวางทาง
ปากทางเข้าสุสานนี้เป็นฝีมือของชายในชุดคลุมสีดำที่ทำตามคำขอของเฉินมู่ จุดมุ่งหมายคือการพยายามกลบเกลื่อนการตายทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเขตของเขา รวมถึงต้นกำเนิดของหุ่นเชิด ทั้งยังเบนเป้าการสืบสวนทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นไปที่เขตของฟางจิ้งแทน!
เหตุที่เฉินมู่เลือกฟางจิ้งไม่ใช่เวินไหว เป็นเพราะการกระทำใดๆ ภายในเขตของเวินไหวเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีหลิวต้าวปินคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่วางตา ฟางจิ้งเพียงทำตามบัญชาการของหวังเป่าเล่อ และให้ความร่วมมือกับคนที่หวังเป่าเล่อส่งมา ความหละหลวมในเขตของฟางจิ้งเปิดโอกาสให้เฉินมู่ดำเนินการตามแผนได้สำเร็จ
แผนการของเฉินมู่ดำเนินอย่างไร้อุปสรรค สุสานที่ระเบิดออกมาทำให้พื้นดินทั่วทั้งนครใหม่สั่นไหว กลบเกลื่อนการกลายร่างของพาหะเมล็ดสีโลหิตในเขตของเฉินมู่ได้เป็นอย่างดี
ลำแสงสีโลหิตที่พุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ทำให้ผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีปรสิตอยู่ในตัวตกใจ เลือดเนื้อของพวกเขากลายเป็นธุลีที่พุ่งขึ้นในอากาศ ทะลุผ่านวงแหวนปราณเข้าไปสะสมอัดแน่นอยู่ในเมล็ดภายใต้หมอกสีโลหิตที่ปกคลุมไปทั่ว
ความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เหตุการณ์ระเบิดของสุสาน การตายของผู้ฝึกตนที่มีปรสิตอยู่ในร่าง เมล็ดสีโลหิตและลำแสงที่พวยพุ่งขึ้นบนฟากฟ้า วงแหวนปราณที่หมดความเสถียรและแตกสลาย… ทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่ามีบางคนทำหน้าที่ของตนผิดพลาดไป จนทำให้เหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดอุบัติขึ้นมากมาย และด้วยหมอกหนาที่เข้าปกคลุม ทำให้ยากที่จะล่วงรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง ตราบใดที่เรื่องนี้ดำเนินไปโดยไม่มีช่องโหว่ คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสืบสวนหาความจริงในอนาคต ดังนั้นเสียงระเบิดจึงดังขึ้นอีกครั้งโดยไร้อุปสรรค หลังจากนั้นลำแสงสีโลหิตและเมล็ดสีโลหิตก็พุ่งเข้าใส่หมอกหนา หมอกสีโลหิตหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง มองดูราวกับยักษ์ปักหลั่นที่กำลังจะลงมาโจมตีทุกสิ่งอย่างในนคร
เจ้าลาก็กำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกัน ร่างของมันสั่นเทา ดวงตาเบิกโพลงด้วยความคาดไม่ถึง ละอองปีศาจมากมายในกายเจ้าลากำลังดูดกลืนพลังชีวิตและเลือดเนื้อของมัน แต่เจ้าลาของหวังเป่าเล่อนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตปกติทั่วไป อาจเป็นเพราะมันเคยกินแขนของเด็กชายในสุสานมาก่อนก็เป็นได้ ร่างของมันจึงไม่สลายกลายเป็นผุยผง ละอองปีศาจมากมายที่มันกินเข้าไปก่อนหน้านี้ก่อให้เกิดเมล็ดสีโลหิตขนาดยักษ์ในกาย!
แม้ว่าเมล็ดนี้จะมีสีเลือดเช่นเดียวกับเมล็ดอื่นๆ แต่ขนาดมหึมาของมันทำให้ดูน่ากลัวกว่าหลายเท่า ทันทีที่เมล็ดก่อตัว มันก็พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ทะลุผ่านวงแหวนปราณราวกับเป็นระเบิดปรมาณูและพุ่งตรงเข้าใส่หมอกโลหิต!
ขณะที่เมล็ดมากมายรวมพุ่งเข้าใส่หมอกและวงแหวนปราณถูกทำลาย เสียงร้องระงมก็ดังไปทั่วนคร กงเต๋า หลินเทียนหาว จินตั้วหมิง เวินไหว และคนอื่นๆ ต่างตกใจเป็นอันมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนพยายามป้องกันตนเองทันทีตามสัญชาตญาณ ไม่ว่าจะอยู่ในที่แห่งใดก็ตาม
หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่เสียสมาธิแม้แต่น้อย นางส่งคำสั่งออกไปมากมาย ทั้งให้ส่งกำลังเสริมไปที่เขตของฟางจิ้ง และให้เดินหน้าผนึกปากทางเข้าสุสานใหม่ด้วย
ฟางจิ้งตกใจแทบสิ้นสติ แต่นางก็ไม่ได้ทำอย่างที่หลี่อี้กระทำก่อนหน้านี้ ดวงตาของฟางจิ้งกลายเป็นสีแดงชาด แต่นางกลับไม่ได้คิดหนีเอาตัวรอด นางรวบรวมกำลังคนมากมายเพื่อต้านทานกองทัพอสูรที่แตกฮืออย่างบ้าคลั่ง โดยหมายซื้อเวลาขณะรอกำลังเสริมมาช่วยเหลือ ฟางจิ้งอนุญาตให้องครักษ์เต๋าของตนเดินหน้าผนึกปากทางเข้าสุสานเช่นกัน
เมืองทั้งเมืองกำลังเดินหน้าต่อสู้สุดกำลัง ผู้ฝึกตนมากมายพุ่งตรงไปยังเขตของฟางจิ้งเพื่อช่วยเหลือ ส่วนหวังเป่าเล่อก็กำลังเดินทางออกจากที่พัก สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมจริงจัง เหตุการณ์ไม่คาดคิดทั้งหมดนี้แปลกประหลาดเกินกว่าจะเชื่อได้ หวังเป่าเล่อพยายามสำรวจความเปลี่ยนแปลงตรงทางเข้าสุสานเกิดใหม่ผ่านวงแหวนปราณ เพื่อกันไม่ให้มีสุสานเกิดใหม่อีก แต่ชายหนุ่มก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงตาเบิกกว้างด้วยความพรั่นพรึง
ไม่ใช่แค่หวังเป่าเล่อเท่านั้นที่รู้สึกได้ถึงพลังประหลาด ผู้ฝึกตนทุกคนในเมืองก็เช่นกัน ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ใบหน้าและแววตาอาบไปด้วยความตกใจ หลายคนตัวแข็งอยู่กับที่
“นั่น… นั่นมัน…”
“สวรรค์โปรด นั่นมันตัวบ้าอะไรกันนี่!”
ในหมอกสีโลหิตที่กำลังหมุนวนบนท้องฟ้า มีเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ค่อยๆ ปรากฏขึ้น เงานั้นพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วจากใต้หมอกหนา เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ งูเหลือมขนาดยักษ์พุ่งตรงออกจากหมอกที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่งด้วยแววตาน่าขนลุก มันกำลังเข้าปะทะกับวงแหวนปราณของนคร
เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นอีกครั้ง วงแหวนปราณร้าวครึ่งในทันทีเนื่องจากทนแรงปะทะไม่ได้ ร่างของอสูรร้ายพลันปรากฏให้เห็นต่อสายตาเมื่อวงแหวนปราณแตก มันคืองูเหลือมขนาดมโหฬาร!
งูเหลือมมีกายสีแดงชาดกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับหมอก ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งอำมหิต แรงอาฆาตและความกระหายเลือดบาดลึกในแววตาดุดันของสัตว์ร้าย
ดวงตาของสัตว์ร้ายนั้น คือดวงตาของ… เฉินมู่!
แม้ตอนนี้เฉินมู่จะอยู่ในห้องลับของตนเอง แต่จิตวิญญาณของเขาได้แปรสภาพไปเป็นงูเหลือมยักษ์ทันทีที่เมล็ดสีโลหิตรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับหมอก จิตวิญญาณของเฉินมู่ถูกดูดเข้าไปในร่างของงูเหลือมตัวนี้ ร่างของมันกลายเป็นร่างของเขา และจิตของมันก็รวมเข้ากับจิตของเขาเช่นกัน
ความรู้สึกนี้ทำให้เฉินมู่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขามั่นใจแล้วว่าชายในชุดคลุมสีดำไม่ได้โกหกตน เขาควบคุมหุ่นเชิดตัวนี้ได้จริงๆ เสียด้วย
หมอกโลหิตตัดนครใหม่ออกจากโลกภายนอก ซึ่งทำให้เขามีเวลาเหลือเฟือที่จะสังหารทุกคนที่ต้องการ หากเขาฆ่าเพียงหวังเป่าเล่อ คงจะดูประเจิดประเจ้อเกินไปจนไม่เหมือนอุบัติเหตุ เฉินมู่จึงต้องฆ่ากงเต๋า หลินเทียนหาว และจินตั้วหมิงด้วย นอกจากนี้เฉินมู่ยังตัดสินใจอีกว่าจะฆ่าเวินไหว ฟางจิ้ง และ… หลี่หว่านเอ๋อร์ทิ้งเช่นกัน!
บทที่ 429 สังหารหมู่!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตายไปเสียให้หมด! เฉินมู่ไม่รู้สึกตัวเลยว่าความหยิ่งทะนงของเขาบัดนี้ได้พุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า อาจเพราะมั่นใจว่าเขาควบคุมหุ่นเชิดงูเหลือมยักษ์นั้นได้ หรืออาจเพราะ… เขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับกลองอย่างแนบสนิท ความเกลียดที่กดเอาไว้ได้ก่อนหน้านี้ บัดนี้ระเบิดออกอย่างหมดสิ้นและทวีความเข้มข้นขึ้นหลายเท่า ความจงเกลียดจงชังเข้ากระดูกดำทำให้การควบคุมตนเองของเฉินมู่หมดสิ้นไป ส่งให้เขากลายเป็นชายผู้บ้าคลั่งไร้สติ
อาการเสียสติฉายชัดบนใบหน้าของเฉินมู่ ดวงตาของชายหนุ่มกระหายเลือด ความต้องการฆ่ารุนแรงขึ้นจนควบคุมไม่อยู่ ความต้องการแก้แค้นและความรู้สึกที่ผสมปนเปกันมากมายอยู่ในตัวเฉินมู่ ทำให้หุ่นเชิดงูเหลือมเรืองแสงสีแดงสว่าง พลังปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ใกล้ระเบิดออกจากกาย!
เมื่อพลังนั้นระเบิดออกมา งูเหลือมก็พุ่งเข้ากระแทกวงแหวนปราณของนครใหม่อีกครั้ง
กะโหลกศีรษะของมันปะทะกับเกราะเรืองแสงของวงแหวนปราณในพริบตา เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วบริเวณ วงแหวนปราณของนครใหม่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รอบแตกร้าวยาวขึ้นอีกจนดูเหมือนจะพังลงในทุกขณะ และไม่อาจต้านทานการโจมตีอันแสนหนักหน่วงได้อีกต่อไป!
หากวงแหวนปราณที่ปกป้องนครทลายลง หมอกโลหิตจะพุ่งเข้าปกคลุมทั้งนครทันที และเริ่มกลืนกินนครทั้งหมดและชีวิตทุกชีวิต!
หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นจริง… คงเป็นโศกนาฏกรรมอันใหญ่หลวง!
ทว่าในตอนนี้ไม่ใช่แค่งูเหลือมเท่านั้นที่พยายามพังวงแหวนปราณที่ปกป้องนครจากภายนอก ภายในนครอาวุธเทพใหม่ยังมีเหตุการณ์อสูรหลั่งไหลในเขตของฟางจิ้งอีกด้วย นครใหม่ตกอยู่ในความโกลาหลด้วยภัยอันตรายที่ถามโถมจากภายในและภายนอก แต่ยังถือว่าโชคดีที่ในสถานการณ์คับขันนี้ ฟางจิ้งไม่ได้สนใจเอาชีวิตตนเองให้รอด นางพยายามช่วยยับยั้งเหตุร้ายอย่างบ้าคลั่ง โดยใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่ตนมี รวมทั้งผู้คนและอาวุธจากสำนักสหชุมนุมสกุณา นางพยายามผนึกปากทางเข้าสุสานใหม่ให้กลับไปอยู่ในความสงบ
ฟางจิ้งรู้ดีว่าตนเองจะเพลี่ยงพล้ำไม่ได้ และจะปล่อยให้เหตุอาเพศเกิดขึ้นในเขตของตนเองไม่ได้เช่นกัน ผลกระทบที่ตามมานั้นเกินกว่าที่นางและสำนักสหชุมนุมสกุณาจะรับไหว ฟางจิ้งคงจะสูญเสียตำแหน่งนายกเทศมนตรีเป็นแน่ หากนางปล่อยให้เหตุการณ์บานปลาย ด้วยเหตุนี้นางจึงเครียดมากแต่ก็ไม่หมดสิ้นซึ่งความหวัง ตอนนั้นเอง งูเหลือมบนฟากฟ้าก็กำลังจะโจมตีวงแหวนปราณอีกเป็นครั้งที่สาม
เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ผู้ฝึกตนทุกคนภายในนครใหม่กระวนกระวายถึงขีดสุด ตอนนั้นเองเสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังกระจายไปทั่วเมืองผ่านวงแหวนปราณที่แตกร้าว
“เวินไหว เฉินมู่ หลี่หว่านเอ๋อร์ พวกเจ้าทั้งสามคนส่งกองกำลังไปสมทบฟางจิ้งเดี๋ยวนี้ พวกเจ้ามีเวลาครึ่งชั่วโมง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องผนึกสุสานให้จงได้!
“กงเต๋า จินตั้วหมิง หลินเทียนหาว พวกเจ้าทั้งสามคนนำผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในเพื่อเตรียมการโจมตี เป้าหมายคืองูเหลือมที่อยู่ด้านนอกการคุ้มกันของวงแหวนปราณ!”
“ข้าจะปลุกวงแหวนปราณคุ้มกันเพื่อล่อไอ้งูนั่นให้เข้ามาก่อนที่จะผนึกมัน เราต้องชนะเท่านั้นไม่มีทางเลือกอื่น ท่านเจ้านครดาวอังคารรับทราบเรื่องนี้แล้วและกำลังเดินทางมาสมทบ!” เสียงของหวังเป่าเล่อสงบและเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ความมั่นใจของเขานี่เองที่ทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนในนครมีกำลังสู้ต่อ
แต่ความจริงแล้ว ความมั่นใจของหวังเป่าเล่อไม่ได้มาจากเจ้านคร… แม้สิ่งแรกที่หวังเป่าเล่อทำหลังจากทราบเรื่อง คือการติดต่อเจ้านครเพื่อแจ้งเหตุร้าย แต่เขาก็พบว่าการติดต่อสื่อสารได้ถูกตัดขาดไปเรียบร้อย จึงทำให้ส่งข้อความไปให้ใครภายนอกนครไม่ได้ทั้งสิ้น
ส่วนเหตุผลที่เขาตัดสินใจเปิดวงแหวนปราณคุ้มกันเพื่อล่อให้งูเหลือมเข้ามานั้นเป็นเพราะว่า… ต่อให้ไม่เปิด วงแหวนปราณก็จะพังทลายลงมาอยู่ดีในไม่เกินห้านาทีต่อจากนี้ หากเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงงูเหลือมเท่านั้นที่จะเข้ามาได้ แต่เป็นทะเลหมอกโลหิตด้วย หมอกนี้มีอำนาจหยุดยั้งการไหลเวียนของปราณ หากหมอกปกคลุมทั่วนครเมื่อไหร่… ผู้ฝึกตนทุกคนในนครก็จะกลายเป็นปุถุชนธรรมดาทั่วไป และเมื่องูเหลือมเริ่มสังหาร จะไม่มีใครมีอำนาจพอยับยั้งมันได้เลย!
ดังนั้นทางเดียวที่เหลืออยู่คือการเปิดวงแหวนปราณ เพื่อให้งูเหลือมเข้ามาอยู่ข้างในแทน หากทำเช่นนั้น หวังเป่าเล่อจะสามารถใช้ทั้งผู้ฝึกตนมากมายและทรัพยากรต่างๆ ที่มีเพื่อหยุดการอาละวาดของมันได้ แผนการนี้จะช่วยซื้อเวลาก่อนที่ความพังพินาศจะเกิดขึ้น ทำให้มีเวลามากพอที่จะรอโอกาสเผด็จศึก!
การตัดสินใจนี้ไม่ได้ยากแต่ต้องใช้ความกล้าหาญ สัญชาตญาณของคนทั่วไปในยามที่ภัยมาถึงตัว คือการพยายามกันอันตรายนั้นออกไปเพื่อให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัย ดังนั้นตอนที่หวังเป่าเล่อสั่งการ เขาจึงต้องการให้ผู้รับบัญชาจับได้ว่าน้ำเสียงของเขาสงบนิ่งและมั่นใจเพียงใดในยามวิกฤติ นี่คือทางเดียวที่จะสร้างกำลังใจให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาให้สู้ต่อ!
แต่ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ดำเนินการบุ่มบ่ามโดยไม่มีแผนสำรอง เพราะอย่างไรเสียที่นี่ก็คือนครของเขา ปราการนิรันดร์ของเขา!
ทว่านครใหม่แห่งนี้ใหญ่โตเกินไป การเปลี่ยนนครทั้งนครให้กลายเป็นปราการนิรันดร์ต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นขณะที่นครกำลังเดินหน้าเปลี่ยนสภาพ การถ่วงเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
น้ำเสียงสงบราบเรียบและมั่นใจของหวังเป่าเล่อมีผลอย่างมากต่อผู้ฝึกตนที่กำลังกระวนกระวายใจ หลี่หว่านเอ๋อร์รู้ดีว่า หน้าที่ของตนในฐานะรองเจ้าเมืองนั้นว่ายากแล้ว แต่หน้าที่ของหวังเป่าเล่อในฐานะเจ้าเมืองนั้นยากยิ่งกว่า
ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงแบ่งงานกับหวังเป่าเล่อ โดยนางจะเป็นผู้ควบคุมการผนึกสุสาน ส่วนหวังเป่าเล่อจะทำหน้าที่… จัดการกับงูเหลือมที่มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ ทั้งสองไม่มีเวลาให้คิดมากนัก หลี่หว่านเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึกและรีบเดินหน้าปฏิบัติภารกิจของตนเองทันที
เวินไหวและหลิวต้าวปินก็เช่นกัน แม้เฉินมู่จะไม่ได้มาด้วยตนเอง แต่เขาก็ยังแต่งตั้งให้ผู้ช่วยของตนนำคนมาร่วมปฏิบัติภารกิจด้วย เฉินมู่เป็นคนเดียวที่รู้แผนการนี้ จึงทำให้คนของเขาดำเนินการช่วยเหลือหวังเป่าเล่ออย่างสุดความสามารถ
กงเต๋าเองก็เตรียมการเสร็จเรียบร้อย และมาพร้อมผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในสามคนจากกองทัพ ทั้งสามปกป้องกงเต๋าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เบื้องหลังพวกเขามีผู้ฝึกตนระดับรากฐานตั้งมั่นและลมหายใจเที่ยงแท้มากมาย ทุกคนตั้งใจสะกดปีศาจร้ายเอาไว้ด้วยกำลังทั้งหมดที่ตนมีไม่ว่าจะมีปราณอยู่ในขั้นใดก็ตาม เพราะหนึ่งคาถาเวทจากผู้คนมากมายย่อมกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ได้หากร่วมมือกัน
จินตั้วหมิงและหลินเทียนหาวก็เดินหน้ารวบรวมกำลังคนตามที่ได้รับมอบหมายเช่นกัน โดยหลินเทียนหาวเป็นผู้นำพลเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ตามที่หวังเป่าเล่อสั่ง
เมื่อการเตรียมการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าของที่พักก็เงยหน้าขึ้นมองงูเหลือมยักษ์ที่กำลังพุ่งเข้าใส่วงแหวนปราณอีกครั้ง เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท รอยแตกร้าวกว้างขึ้นอีก ชายหนุ่มรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะรีรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ข้าต้องทุ่มสุดตัว! หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก แววโหดเหี้ยมวาบเข้ามาในดวงตา เขาปลุกผนึกฝ่ามือของตนเองขึ้นและชี้ไปที่วงแหวนปราณทันที ขณะที่งูเหลือมยักษ์คำรามและพุ่งเข้าชนวงแหวนปราณอีกครั้ง!
ทันใดนั้นเอง วงแหวนปราณของนครใหม่แห่งดาวอังคารก็กลายเป็นคลื่นน้ำ คลื่นนั้นถาโถมใส่งูเหลือมยักษ์ด้วยความเร็วสูง จุดที่วงแหวนปราณชนเข้ากับร่างของงูบังเกิดเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นโพรงยักษ์!
กะโหลกขนาดมหึมาของงูเหลือมยักษ์ติดอยู่ในวังวนนั้น และค่อยๆ ถูกดูดเข้ามาในวงแหวนปราณ ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบ เขาตัดสินใจว่าจะไม่ล่องูให้เข้ามาอยู่ภายในวงแหวนปราณ เนื่องจากเป็นการตัดสินใจที่อันตรายเกินไป และมีความเป็นไปได้ว่าวงแหวนปราณจะแตกสลายเร็วกว่าเดิมขณะที่มันดิ้นรนเอาตัวรอด
หากไม่มีหมอกละก็… หวังเป่าเล่อกำหมัดแน่น งูเหลือมยักษ์ดิ้นเข้ามาในวงแหวนปราณมากขึ้นอีก ร่างของมันยาวหลายพันเมตรและมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดมหึมา มันดูเหมือนลูกอ๊อดมากกว่างูเหลือมเพราะกะโหลกนั้นใหญ่กว่าลำตัวมากนัก
ขณะที่งูเหลือมยักษ์เบียดตัวเข้ามา หวังเป่าเล่อก็ปิดวงแหวนปราณลงอีกครั้ง กงเต๋าเตรียมการของตนเองสำเร็จเรียบร้อย ดวงตาของเขาอาบไปด้วยแรงสังหาร และเริ่มดำเนินการทันที
ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้และรากฐานตั้งมั่นรอบกายกงเต๋าต่างพากันหยิบวัตถุเวทของตนออกมา พลังเวทลอยขึ้นบนฟากฟ้าเป็นหนึ่งเดียว พุ่งตรงเข้าหางูเหลือมที่ติดกับ ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในจากทั้งกองทัพ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และกลุ่มไตรจันทรารวมกันได้สิบคน ต่างพุ่งเข้าใส่งูเหลือมยักษ์นั้น
หลินเทียนหาวและจินตั้วหมิงก็เดินหน้าตามแผนเช่นกัน ผู้ฝึกตนจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้าโจมตีตามคำสั่งของหลินเทียนหาว ทุกคนต่างตะโกนกู่ร้อง เสียงที่ระเบิดออกมาพร้อมกันนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ เหมือนลูกธนูนับล้านที่พุ่งเข้าใส่เป้าหมายอย่างพร้อมเพรียงกัน!
โดยเฉพาะจินตั้วหมิงนายน้อยแห่งกลุ่มไตรจันทราซึ่งถือวัตถุเวทที่มีพลังสังหารสูงเอาไว้ในมือ เหล่าองครักษ์ของชายหนุ่มก็เช่นกัน ทุกคนปล่อยพลังทั้งหมดที่ตนเองมีกำเนิดเป็นเสียงกึกก้อง
ปราการของจินตั้วหมิงลอยขึ้นในอากาศตามการควบคุมของชายหนุ่ม ปราการอันแสนล้ำค่าที่สร้างจากวัตถุดิบมีค่าและศิลาวิญญาณมากมายนั้นพุ่งเข้าใส่งูเหลือมยักษ์อย่างไม่ปรานี การปกป้องนครใหม่ให้อยู่รอดปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับจินตั้วหมิงในตอนนี้ เนื่องจากศูนย์วิจัยได้อนุมัติคำขอของเขาเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างที่เขาตระเตรียมไว้พร้อมเริ่มดำเนินการ ชายหนุ่มจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้างูนี่มาทำให้ความพยายามของเขาสูญเปล่า
“ฆ่าไอ้งูระยำนี่เสีย!” ดวงตาของจินตั้วหมิงเป็นสีแดงก่ำ เขาตะโกนก้อง กัดฟันแน่น ก่อนควบคุมปราการของตนให้พุ่งเข้าใส่งูเหลือมยักษ์อย่างดุดัน!
บทที่ 430 เปิดไพ่ตาย!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่ทุกคนกำลังสาละวนจัดการกับงูเหลือมยักษ์ นัยน์ตาของมันก็เป็นประกาย งูเหลือมหันหัวไปทางลำแสงคาถาเวทที่เหล่าผู้ฝึกตนปล่อยออกมาพร้อมกัน ก่อนขู่คำรามก้อง
ฟ่อ!
เสียงขู่คำรามนั้นดังมากจนแก้วหูแทบแตก ราวกับอัสนีสวรรค์ได้ฟาดลงบนผืนปฐพี ทันทีที่เสียงคำรามระเบิดออกมาจากปากงูยักษ์ คลื่นเสียงรุนแรงก็ไหลบ่าอย่างรวดเร็วไปทั่วบริเวณ ก่อนพุ่งเข้าปะทะเหล่าคาถาเวท
ทันทีที่คาถาของเหล่าผู้ฝึกตนทั้งที่มีปราณขั้นลมหายใจเที่ยงแท้และรากฐานตั้งมั่นปะทะเข้ากับคลื่นเสียง แรงระเบิดก็กระจายตัวออกทั่วบริเวณ แรงที่เกิดจากการปะทะรุนแรงเกินจินตนาการ และพุ่งเข้าปกคลุมทั่วนครภายในพริบตาเดียว ลูกหลงจากการปะทะชนเข้ากับผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในในทันที
ผู้ฝึกตนทั้งสิบนั้นอยู่ในระดับกำเนิดแก่นในชั้นต้น และต่างตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ ทุกคนพยายามต้านแรงโจมตี แต่ด้วยขั้นปราณของพวกเขาทำให้ยากที่จะต้านทานได้ จนทำให้กระอักเลือดออกมาขณะพยายามถอยหนี
ปราการของจินตั้วหมิงก็พังไปบางส่วนเช่นกัน แต่ปราการนั้นมีคุณภาพดีพอส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับความเสียหาย และยังสามารถเดินหน้าต้านทานงูยักษ์ได้อยู่
แต่ความเร็วของปราการก็ลดลงไปเช่นกัน ทันทีที่มันพุ่งเข้าปะทะงูยักษ์ หางของเจ้างูก็แตกออก เศษชิ้นส่วนของหางเข้าชนกับปราการของจินตั้วหมิง
เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ปราการของจินตั้วหมิแตกออกเป็นเศษเหล็กขนาดใหญ่นับชิ้นไม่ถ้วน และตกลงใส่พื้นดินจนทำให้พื้นทะลุเป็นโพรง
ภาพที่เห็นทำให้จินตั้วหมิง กงเต๋า และหลินเทียนหาว อ้าปากค้างด้วยความตกใจ สีหน้าซีดเผือดไปตามๆ กัน ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในสิบคนนั้นมีสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม หลายคนหลุดปากออกมาด้วยความกระวนกระวายใจ
“นี่มั่นพลังปราณกับกำลังกายขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์มิใช่หรือ คงมีแต่ผู้มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์เช่นกันเท่านั้นที่จะต่อกรกับสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้!”
ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปากผู้ฝึกตน สีหน้าของงูยักษ์ก็แปรเปลี่ยนเป็นดูถูก เฉินมู่กำลังบ้าคลั่งเลือดเดือด จึงควบคุมหุ่นเชิดงูเหลือมให้มุ่งหน้าโจมตีต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง งูเหลือมมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเหล่านั้น และก่อนที่พวกเขาจะทันได้ทำอะไร สัตว์ร้ายก็อ้าปากมหึมาออกก่อนจะกลืนพวกเขาเข้าไปทั้งตัว!
เสียงกรีดร้องโหยหวนน่าสยดสยองดังลอดออกมา เลือดสดๆ สีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ภาพน่าสยดสยองนองเลือดนี้ทำให้ทุกคนตกใจจนก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
แต่เจ้างูเหลือมก็เคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก มันพุ่งออกโจมตีอีกครั้งด้วยความเร็วราวสายฟ้า ร่างพร่าเลือนของมันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจินตั้วหมิง หมายที่จะกลืนกินเขาทั้งตัว!
จินตั้วหมิงตกใจสุดขีด เขาหลบไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเห็นโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า องครักษ์เต๋าสองคนข้างกายก็แทบคลั่งด้วยความกระวนกระวายใจ กลุ่มไตรจันทรามีบุญคุณกับพวกเขาทั้งสองมากเหลือล้น ทั้งดูแลครอบครัวของพวกเขาด้วยความเอาใจใส่ ไม่ว่าจะลูกเล็กเด็กแดงหรือผู้เฒ่าแก่ชรา ทั้งสองตระหนักดีว่าหน้าที่ของตนคือการปกป้องจินตั้วหมิง ในนาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง ทั้งคู่จึงพุ่งตัวเข้าไปในทันที คนหนึ่งคว้าตัวจินตั้วหมิงไว้และถอยหนี ส่วนอีกคนก็กัดฟันระเบิดตัวเองออกเป็นชิ้นๆ ทันทีที่งูร้ายมาถึง!
เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นอีกครั้ง การระเบิดตนเองของผู้ฝึกตนที่มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในทำให้แม้แต่งูเหลือมยังต้องถอยหนีเพื่อรักษาชีวิต จินตั้วหมิงตื่นจากภวังค์ทันทีที่ได้ยินเสียงระเบิด ดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ ก่อนตะโกนร้องออกมาด้วยหัวใจแตกสลาย
“ท่านลุงหลี่!”
เสียงของจินตั้วหมิงเต็มไปด้วยอารมณ์บ้าคลั่งและความเสียใจสุดขีด หลังจากที่งูร้ายหลบแรงระเบิดได้ ตัวของมันก็สั่นอยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจพุ่งเข้าใส่กงเต๋าแทน แต่กงเต๋าเตรียมตัวรับการโจมตีไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งองครักษ์เต๋าทั้งสองคนที่อยู่ข้างกายก็มุ่งมั่นสกัดการโจมตีของงูยักษ์เต็มที่เช่นกัน หลินเทียนหาวเองก็ไม่ต่างกัน แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกรของเจ้างูยักษ์ เสียงระเบิดดังติดต่อกันทั่วบริเวณ กงเต๋า หลินเทียนหาว และองครักษ์เต๋าทั้งหลายต่างพากันกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ พวกเขารีบถอยร่นออกมาทันที แต่ในระหว่างนั้นเองผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในคนหนึ่งก็ถูกงูยักษ์กลืนกินเข้าไปอีกคน
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีความหมายแม้แต่น้อยกับเจ้างูร้าย มันหันหน้าไปทิศใหม่อีกครั้ง และพุ่งเข้าใส่หลินเทียนหาว สายตาของมันอาบด้วยความจงเกลียดจงชัง และต้องการที่จะคร่าชีวิต
หลินเทียนหาว ไอ้หมารับใช้หวังเป่าเล่อ ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้คราวนี้! เฉินมู่ที่ควบคุมงูเหลือมอยู่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาควบคุมหุ่นเชิดนั้นให้ปรากฏตัวต่อหน้าหลินเทียนหาว งูยักษ์อ้าปากมหึมาออกพร้อมแรงดูดมหาศาลเพื่อกลืนหลินเทียนหาวเข้าไปทั้งตัว
ทว่าตอนนั้นเอง แววแห่งความบ้าคลั่งก็วาบขึ้นมาในดวงตาของหลินเทียนหาวเช่นกัน ชายหนุ่มตะโกนก้อง ก่อนจะหยิบเหรียญหยกที่แขวนเป็นสร้อยคอออกมาจากใต้เสื้อ และขยี้มันอย่างรุนแรง!
แสงสว่างเจิดจ้าระเบิดออกมาจากเหรียญหยกนั้น ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงเรืองรอง ร่างนั้นก็คือ หลินโยว บิดาของหลินเทียนหาว!
เหรียญหยกนี้คือเครื่องรางกู้ชีพที่หลินโยวมอบให้หลินเทียนหาวสำหรับยามคับขันบนดาวอังคาร โดยเฉพาะหลังจากที่หลินเทียนหาวผ่านเหตุการณ์เกือบถึงชีวิตมาแล้วในถ้ำโลหิตเมื่อครั้งก่อน เหรียญหยกนี้บรรจุดวงจิตของหลินโยวเอาไว้ หากปลุกขึ้น ดวงจิตจะปล่อยพลังรุนแรงออกมาเพื่อป้องกันภัยให้หลินเทียนหาว!
เครื่องรางนี้ล้ำค่ามาก จนแม้แต่ผู้ที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์และอำนาจอย่างหลินโยว ยังสามารถสร้างขึ้นได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เนื่องจากวัตถุดิบที่นำมาทำเหรียญนี้หาได้ยากยิ่งบนโลก หลินโยวได้มันมาครอบครองด้วยโชคชะตาที่นำพา เมื่ออำนาจของมันถูกปลุกขึ้นมา เสียงระเบิดก็ดังก้องไปทั่วบริเวณอีกครั้ง ร่างมายาของหลินโยวยกมือขวาขึ้น ก่อเกิดเป็นกระบี่ยินมายาที่พุ่งตรงออกมา!
คมกระบี่ทรงพลานุภาพมากล้น ทุกสิ่งทุกอย่างถูกตัดขาดออกเป็นสองส่วน งูเหลือมยักษ์ตกใจและรีบถอยหนีไปข้างหลัง หางของมันม้วนไปมาด้วยความเร็วสูงขณะพยายามเอาชีวิตรอด ทันทีที่คมกระบี่ฟาดเข้าที่หางของงูยักษ์ หางของมันก็มีรอยร้าวเผยให้เห็นลายไม้ที่อยู่ภายในร่าง ขณะที่มันถอยร่นไปข้างหลัง
ทว่าตอนที่เจ้างูถอยร่นอยู่นั้น กงเต๋าก็กัดฟันแน่นพลางยกมือซ้ายขึ้นอย่างฉับพลัน และบิดนิ้วก้อยข้างขวาของตนออกมา! นิ้วก้อยข้างขวาของกงเต๋าหาใช่เลือดเนื้อ หากแต่เป็นวัสดุชนิดหนึ่งที่ดูคล้ายร่างกายมนุษย์ ความจริงแล้ว มือขวาของกงเต๋ามีเพียงสี่นิ้วมาตลอด!
หลังจากที่บิดนิ้วก้อยของตนออกมาเรียบร้อย กงเต๋าก็บีบมันจนแตก แสงสว่างเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์ก็ระเบิดออกมาทันที ก่อนจะก่อตัวเป็นปักษาเพลิงพุ่งเข้าหางูยักษ์!
แสงที่เรืองออกจากนิ้วก้อยขวาของกงเต๋า บ่งบอกว่ามันคืออาวุธเวทระดับเจ็ด แต่ไม่ใช่แค่นั้น อาวุธเวทระดับเจ็ดของกงเต๋านี้ยังมีพลังอยู่ในชั้นสมบูรณ์อีกด้วย!
ดวงตาของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าทอแสงวาบ พวกเขามองไปที่หางของงูยักษ์ซึ่งได้รับบาดเจ็บและท่าทีของมันที่กำลังหนีเอาตัวรอด ก่อนตะโกนก้องออกมา
“ไอ้งูนี่ไม่ใช่อสูร! มันเป็นหุ่นเชิด! แถมคนที่ควบคุมมันยังด้อยทั้งขั้นปราณและความรู้ มันทำได้แค่ใช้พลังของหุ่นเชิดเท่านั้น แต่ควบคุมงูนี่อย่างเบ็ดเสร็จไม่ได้!”
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทั้งหมดพุ่งออกไปข้างหน้าทันทีที่ได้ยิน ดวงตาของจินตั้วหมิงและพรรคพวกเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ชายหนุ่มตะโกนก้อง ก่อนยกมือซ้ายขึ้นเรียกขวานรบออกมาและโยนให้ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในข้างกายตน ผู้ฝึกตนผู้นั้นรับเอาไว้มั่น ก่อนหายใจเร็วขึ้นด้วยพลังอำนาจรุนแรงของขวานรบที่ส่งเข้ามาในกาย ขวานรบนั้นคืออาวุธเวทระดับแปด และบัดนี้กำลังถูกกวัดแกว่งต่อกรกับเจ้างูร้ายกลางอากาศ!
ตอนนั้นเองจินตั้วหมิงก็หยิบกระบี่อาวุธเวทออกมาควง ชายหนุ่มคำรามก้อง ก่อนพุ่งเข้าใส่งูร้ายหมายห้ำหั่น!
แม้ทุกคนจะร่วมมือกันโค่นงูยักษ์ แต่สัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บและหลบหนีการโจมตีของหลินเทียนหาวก็ยังแข็งแกร่งนัก ด้วยพลังปราณที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ หุ่นเชิดงูยักษ์ยังคงเดินหน้าโจมตีเป้าหมายของมันต่อไปแม้จะตกอยู่ในอันตราย ร่างของมันปล่อยเกล็ดหิมะสีเลือดออกทุกทิศทาง จนทำให้เกิดพายุโลหิตขึ้นกลางอากาศหมายจะปิดกั้นทั่วทุกทิศทางและสกัดการโจมตีของกงเต๋า
พายุสีโลหิตเดินหน้าปล่อยแสนยานุภาพต่อไปพร้อมเสียงดังกึกก้อง ในตอนนั้นเองที่ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในชั้นต้นต่างหยิบไพ่ตายของตนเองออกมา สร้างเป็นคาถาเวทให้พุ่งออกไปข้างหน้า พายุสีโลหิตสลายตัวไปด้วยแรงปะทะจากคาถาเวท ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนที่กำลังกวัดแกว่งขวานรบอาวุธเวทระดับแปดก็ส่งคมขวานรุนแรงออกไปหาเจ้างูยักษ์ พลังของมันทำให้ทั้งสวรรค์และพื้นพิภพสั่นสะเทือน หมู่เมฆหมุ่นวนอย่างบ้าคลั่ง คมขวานกล้าฟาดเข้าใส่หัวของงูร้ายอย่างจัง!
หัวของหุ่นเชิดแตกออกเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นเสี้ยนไม้ที่อยู่ภายใน ตอนนั้นเองคมกระบี่ของจินตั้วหมิงก็พุ่งเข้าปะทะเข้าที่จุดเดิมบนหัวงู ดวงตาของสัตว์ร้ายฉายแววอับอายขึ้น ร่างของมันสั่นเทา มันกรีดร้องพร้อมส่งคลื่นเสียงออกทำลายล้าง
เสียงกรีดร้องทำให้ทุกคนในที่แห่งนั้นกระอักเลือดออกมาและจำใจต้องถอยหนี เสียงของปีศาจร้ายก่อให้เกิดระเบิดเสียงที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทานทนได้ มันจะทำให้ร่างกายของพวกเขาย่อยสลาย จิตวิญญาณสั่นสะเทือน ราวกับวิญญาณภายในกายถูกฉีกกระชากออกจากร่าง
หลังจากที่กรีดร้องจนทุกคนต้องหนีตายเรียบร้อยแล้ว หุ่นเชิดงูยักษ์ก็เตรียมจะหนี -ขณะที่แผลบนร่างกายเริ่มสมานกัน เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ลงทุนลงแรงไปก่อนหน้านี้กำลังจะหายวับไปกับตา หลินเทียนหาวก็แทบคลั่ง ดวงตาของจินตั้วหมิงเป็นสีแดงก่ำด้วยโทสะรุนแรง ส่วนกงเต๋าหายใจหอบและจับหมัดขวาของตนที่เหลือเพียงสี่นิ้วไว้แน่น
ทว่าตอนนั้นเอง เสียงเรือบินก็ดังมาจากระยะไกล เรือบินนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนก่อให้เกิดระเบิดเสียงขึ้น ร่างหนึ่งพุ่งทะยานไปข้างหน้า โดยใช้ความเร็วจากเรือบินเสริมความแรงของการโจนทะยานให้เพิ่มขึ้นไปอีกทำให้เกิดเงาร่างอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนที่มองจากระยะไกลไม่สามารถบอกได้ว่าเจ้าของร่างนั้นคือใคร แต่ทันทีที่เขาพุ่งออกจากเรือบิน พายุสีดำก็อุบัติขึ้น ก่อนเปลี่ยนร่างเป็นจระเข้นิลขนาดยักษ์ สัตว์ร้ายสีดำกรีดร้องก้อง รวมร่างเข้ากับมนุษย์ที่เป็นเจ้า จนเกิดภาพอันน่าตื่นตะลึงของจระเข้ที่กำลังกลืนกินงูเหลือมยักษ์!
ร่างนั้นทะยานผ่านเหล่ามนุษย์ที่หนีตายจากคลื่นเสียง และพุ่งเข้าใส่งูเหลือมยักษ์ในทันที!
คนผู้นั้นก็คือ… หวังเป่าเล่อ!
บทที่ 431 ระวัง ลาบุก!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อกำลังง่วนอยู่กับการผนึกวงแหวนปราณใหม่อีกรอบทำให้มาช้าเนื่องจากอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุไม่น้อย ทว่าเขาก็รีบขับเรือบินด้วยความเร็วเต็มพิกัด ในใจคุกรุ่นไปด้วยความกังวล เมื่อเริ่มเข้าไปใกล้ขึ้น ชายหนุ่มก็ปลดปล่อยพลังกายทั้งหมดที่มีเพื่อพุ่งทะยานไปข้างหน้า
ด้วยความเร็วของเรือบินผสานกับพลังกายทำให้หวังเป่าเล่อทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วจนทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง จนเกิดเป็นเสียงสนั่นฟ้าดินดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ พลังกายของชายหนุ่มที่ผสานเข้ากับกระบี่ทำให้จระเข้สีดำปรากฏเด่นชัดในพายุ เขาพุ่งผ่านฝูงชนที่ถูกบีบให้ถอยหนีเข้าไปใกล้งูเหลือม
เสียงคำรามของงูเหลือมส่งผลกระทบกับคนอื่นๆ แต่หวังเป่าเล่อสามารถต้านทานพลังวิชาแห่งศาสตร์มืดที่แฝงอยู่ในเสียงคำรามด้วยเปลวไฟสีดำภายในร่าง ทว่าเสียงคำรามของมันไม่ได้มีเพียงพลังจากวิชาแห่งศาสตร์มืดเท่านั้น แต่ยังเสริมด้วยระดับพลังปราณของมัน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเข้าไปใกล้เป้าหมายมากขึ้น
ทันใดนั้น ดอกบัวสีเขียวในกายก็เผยอิทธิฤทธิ์เต็มขั้น ร่างกายของหวังเป่าเล่อฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อบาดแผลปรากฏขึ้นก็ได้รับการรักษาในทันที จึงมั่นใจได้ว่าร่างกายของตนจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเกินจะทานทนอยู่ดี ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลามามัวกังวลเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น หวังเป่าเล่อร้องคำรามขึ้นเสียงดัง ก่อนจะฟาดกระบี่ลงไปบนศีรษะของงูเหลือมที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อน ท่ามกลางความตื่นตะลึงของฝูงชนโดยรอบ
ฟ้าดินพลันเปลี่ยนสี เหล่าเมฆหมุนวนตามกระแสลม คมกระบี่ที่หวังเป่าเล่อฟาดลงไปด้วยพลังทั้งหมดที่มีเข้ากระทบกับแผลเดิมบนศีรษะของงูเหลือม หากมองจากไกลๆ จะเห็นภาพจระเข้สีดำพุ่งเข้ากัดกะโหลกงูเหลือมอย่างรุนแรงราวกับจะฉีกหัวมันให้ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
หากงูเหลือมมีเลือดเนื้อจริงๆ คงจะต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่มันเป็นเพียงหุ่นเชิดที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดตามสัญชาตญาณแต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดจริงๆ เมื่อมันสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายเนื่องจากโดนโจมตีเข้าที่ศีรษะอีกครั้ง ความคลุ้มคลั่งที่ปรากฏในดวงตาของเฉินมู่ก็ฉาบวาบบนแววตาของมัน
“ตายเสียเถอะ หวังเป่าเล่อ!” เฉินมู่ร้องคำรามลั่นห้องลับ งูเหลือมที่เขาควบคุมอยู่กรีดร้องเสียงดัง มันตวัดหางที่บาดเจ็บใส่หวังเป่าเล่อ มุ่งหมายจะสังหารอีกฝ่ายแม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก็ตาม!
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาที่งูเหลือมพุ่งเข้ามา ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแววแข็งกร้าว ก่อนที่เขาจะเอ่ยคาถาเสียงดัง
“ยับยั้ง!”
ทันทีที่กล่าวถ้อยคำออกไป วงแหวนปราณของนครแห่งใหม่ก็พลันทำงานแม้จะได้รับความเสียหายหนักก็ตาม วงแหวนปราณปลดปล่อยพลังมหาศาลที่ราวกับจะสามารถยับยั้งเจ้างูได้ออกมาใส่มัน
ในความเป็นจริง หากวงแหวนปราณไม่ได้รับความเสียหาย หรือไม่ต้องต้านทานการกัดกร่อนจากหมอกสีโลหิตรวมถึงการโจมตีของงูเหลือม แค่ส่วนเล็กๆ ของมันก็เพียงพอที่จะควบคุมสถานการณ์วุ่นวายในปัจจุบันได้
ทว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในสามส่วน วงแหวนปราณจึงไม่สามารถแสดงพลังได้เต็มที่ อีกทั้งหวังเป่าเล่อยังไม่อาจฝืนใช้วงแหวนปราณจนเกิดขีดจำกัด เพราะหากวงแหวนปราณได้รับความเสียหายจนทลายลง หมอกสีโลหิตก็จะเข้ามาในตัวนคร และสร้างความเสียหายรุนแรงหนักกว่าเก่า
ดังนั้นชายหนุ่มจึงทำเพียงยืมพลังของมันมาช่วยเพิ่มพลังยับยั้งเท่านั้น งูเหลือมที่กำลังฟาดหางมาชักกระตุกไป ขณะที่ศัตรูหยุดชะงักไป หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาฝืนทนความเจ็บปวดในใจ ดวงตาพลันฉายแววมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ชายหนุ่มปล่อยอาวุธเวทในมือและถอยหลังไป ก่อนจะร้องคำรามขึ้นเสียงดัง
“จงระเบิด!”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ กระบี่อาวุธเวทที่ฝังอยู่บนหัวของงูเหลือมก็ปลดปล่อยคลื่นความร้อนรุนแรงออกมา อักขระที่อยู่บนกระบี่หมุนวนปั่นป่วน แสดงให้เห็นสัญญาณการระเบิดทำลายตัวเองจากภายใน พริบตาต่อมา เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วพื้นที่ และอาวุธเวทก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยง!
พลังทำลายล้างของมันเหมือนดังพายุหมุนที่ถาโถมเข้าใส่งูเหลือม เศษชิ้นส่วนของอาวุธเวทพุ่งไปทั่วทุกทิศทางด้วยความเร็วสูง เศษชิ้นส่วนเกือบทั้งหมดพุ่งทะลุหัวงูเหลือมส่งผลให้ร่างของมันเหมือนจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปราณโลหิตจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากร่างราวกับเป็นเลือดจริงๆ
มองจากไกลๆ จะเห็นภาพจระเข้สีดำกำลังประกาศศักดาครั้งสุดท้ายขณะอาวุธเวทระเบิดทำลายตัวเอง ราวกับว่าจระเข้จุติใหม่ แผ่พลังไร้ขอบเขตเข้ากลืนกินงูเหลือม ทันใดนั้นเมฆหมอกก็เริ่มหมุนวนปั่นป่วนทำให้คนภายนอกไม่สามารถเห็นภาพข้างในได้ชัดเจน เห็นเพียงรางๆ ว่าจระเข้สีดำและงูเหลือมกำลังปะทะกันอย่างบ้าคลั่ง!
เกิดเสียงดังสนั่นฟ้าดินยิ่งกว่าเก่าไปทั่วพื้นที่ขณะจระเข้กำลังกลืนกินงูเหลือม ฟากฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ เมฆหมอกหมุนวนปั่นป่วน พลังมหาศาลแผ่พุ่งไปทั่วทุกทิศทาง
โชคดีที่หวังเป่าเล่อเป็นคนสั่งระเบิดอาวุธเวท ด้วยพลังกายอันแข็งแกร่งทำให้ชายหนุ่มสามารถหลบแรงปะทะของระเบิดได้ทันท่วงทีขณะเปิดใช้งานพลังป้องกันจากวงแหวนปราณไปด้วย ถึงกระนั้นเขาก็ยังได้รับผลกระทบจากแรงปะทะ เลือดสดๆ กระอักออกมาจากปากขณะที่กำลังถอยหนีในสภาพสะบักสะบอม
หวังเป่าเล่อถอยหนีออกมาทันทีที่อาวุธเวทระเบิดส่งเสียงดังก้องปฐพี เสียงปริแตกดังออกมาจากตัวงูเหลือม แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก งูเหลือมก็กรีดร้องเสียงดังลั่นผ่าหมอกควันจากแรงระเบิดของอาวุธเวทที่ปิดบังมันอยู่!
เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ ฟังดูแตกต่างจากเสียงร้องของอสูร เหมือนเป็นเสียงกรีดร้องจากความบ้าคลั่ง ขณะที่มันกำลังกรีดร้อง หมอกสีโลหิตก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของงูเหลือมที่บาดเจ็บรุนแรงหนาแน่นขึ้น หมอกไม่ได้แผ่กระจายออกไปรอบๆ หากแต่รวมตัวกันกลายเป็นภาพมายาของศีรษะงูเหลือมขนาดยักษ์ที่พุ่งเข้ากลืนกินจระเข้สีดำ!
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทุกคนตื่นตกใจ การโจมตีหลายชุดก่อนหน้านี้อยู่เหนือจินตนาการของทุกคน เพราะทุกคนได้ดึงไพ่ตายมาใช้จนหมดแล้ว หนำซ้ำหวังเป่าเล่อถึงกับต้องสละและระเบิดอาวุธเวทของตนทิ้ง ทว่างูเหลือมกลับยังสามารถพลิกสถานการณ์ได้
ระดับพลังปราณระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นเทียบกันไม่ติด ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจกันอยู่นั้น ปราณโลหิตปริมาณมหาศาลก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างของงูเหลือมหลังจากกลืนกินจระเข้เข้าไป ปราณโลหิตแผ่พลังน่าครั่นคร้าม ดวงตาของงูเหลือมแดงก่ำไปด้วยไฟแค้น มันพุ่งฝ่าหมอกสีโลหิต มุ่งเป้าไปยัง…หวังเป่าเล่อ!
มันไม่ได้ส่งเสียงแม้แต่นิด แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารรุนแรงที่แผ่ออกมาจากงูเหลือม!
มันรวดเร็วมากเสียจนสามารถตามความเร็วของหวังเป่าเล่อได้ทัน แม้ว่าเขาจะถอยหนีออกมาก่อนก็ตาม ระดับพลังปราณของงูเหลือมทวีคูณขึ้นหลายเท่า มองจากไกลๆ คล้ายว่างูเหลือมได้กลายเป็นดวงอาทิตย์สีเลือดที่แผดเผาทุกสิ่งที่ขวางหน้าอยู่!
หวังเป่าเล่อหัวตื้อไปหมด เริ่มหายใจถี่รัว แต่ก็ไม่มีเวลาให้ได้คิดอะไร เขาพุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปที่งูเหลือมขณะมันกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ร่างของมันปรากฏใหญ่ขึ้นในสายตาภายในชั่ววินาที!
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นความตายที่กำลังเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็คุมวงแหวนปราณเพื่อใช้ป้องกันตัวโดยสัญชาตญาณ แม้ว่านครใหม่จะยังไม่ได้แปลงรูปโดยสมบูรณ์ เขาก็ยังสั่งการให้เปิดใช้งานปราการนิรันดร์โดยไม่รู้ตัว!
คนอื่นๆ ไม่สามารถล่วงรู้ถึงการป้องกันตัวนี้ ในสายตาของพวกเขา หวังเป่าเล่อที่ตกเป็นเป้านั้นไม่มีโอกาสรอดแม้แต่นิดเดียว ทั้งจินตั้วหมิง กงเต๋า หลินเทียนหาว และผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่อยู่รอบๆ ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเขาได้เลย…
ราวกับว่าครั้งนี้ หวังเป่าเล่อจะต้องสิ้นชีวีอย่างแน่นอน!
ด้วยเหตุนี้ ชายในชุดคลุมสีดำที่จับตาดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ไกลๆ จึงตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ เขาปรากฏตัวบนดาดฟ้าของตึกแถวๆ จุดที่เกิดเหตุการณ์ คอยเฝ้ามองหวังเป่าเล่อที่กำลังจะโดนสังหาร รอยยิ้มพลันผุดขึ้นบนใบหน้าซึ่งถูกปิดบังไว้ด้วยชุดคลุม
ขณะเดียวกัน นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววหิวกระหาย รอบกายแผ่บรรยากาศเย็นยะเยือก ชายในชุดคลุมสีดำตัดสินใจเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังจะโดนจัดการ เพราะตั้งใจจะดูดกลืนเปลวไฟสีดำจากร่างของหวังเป่าเล่อหลังจากอีกฝ่ายตายลง!
ชายในชุดคลุมสีดำรู้ดีว่าเปลวไฟสีดำเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงสถานะและคุณสมบัติของบุตรแห่งความมืด คุณสมบัตินั้นไม่สามารถส่งมอบได้ แต่เมื่อบุตรแห่งความมืดตายลง ยังมีโอกาสที่ผู้อื่นจะดูดกลืนเปลวไฟสีดำมาเป็นของตนได้
ถ้าข้าทำได้สำเร็จ… ความตั้งมั่นฉายชัดในแววตาชายในชุดคลุมสีดำ เขาเดินเข้าไปใกล้ขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทว่าขณะที่กำลังเดินเข้าไปใกล้นั้นก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น!
เหตุการณ์ตรงหน้าไม่ใช้การป้องกันจากวงแหวนปราณหรือปราการนิรันดร์ ทว่าขณะที่ทั้งสองสิ่งกำลังจะสำแดงฤทธิ์เดชนั้นเอง งูเหลือมที่พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อพร้อมรังสีสังหารรุนแรงก็หยุดชะงักห่างจากชายหนุ่มไปเล็กน้อย ศีรษะยักษ์พลันหันมองไปทางชายในชุดคลุมสีดำที่คนอื่นมองไม่เห็น!
ทันใดที่หันมอง มันก็แลบลิ้นออกมาเลียรอบปาก ดวงตาไร้ชีวิตชีวาของมันฉายแววดิ้นรนราวกับว่าสัญชาตญาณบางอย่างได้ตื่นขึ้น!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น