กระบี่จงมา 424.2-425.2

 บทที่ 424.2 โลกมนุษย์เดินช้าๆ

 

เฉินผิงอันเดินไปบนราวระเบียงอย่างเชื่องช้ารอบแล้วรอบเล่า เดินไปถึงปลายทางก็จะย้อนกลับมา จากปลายขวาสุดไปปลายซ้ายสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า


เฉินผิงอันในเวลานี้ไม่รู้เลยสักนิดว่าทุกครั้งที่ความคิดอันลึกซึ้งบังเกิดขึ้น พวกมันก็เหมือนเมล็ดพันธ์ที่แตกหน่อขึ้นมาในผืนนาหัวใจส่วนลึกของตัวเขาเอง ต้นกล้าเหล่านั้นอาจจะตายไประหว่างทาง แต่ก็มีบางส่วนที่วันใดวันหนึ่งจะแตกดอกออกผล


เฉินผิงอันยิ่งไม่มีทางรู้ว่าตัวอักษรที่เขาใช้มีดแกะลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ซึ่งถูกเขานำมาขบคิดใคร่ครวญและท่องพึมพำซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในวันที่อากาศดีแสงแดดสดใสยังให้เผยเฉียนนำแผ่นไม้ไผ่ที่บันทึกตัวอักษรซึ่งเขายอมรับจากใจจริง และมองว่าพวกมันเป็นถ้อยคำที่งดงามออกไปตากแดด


ไม่ว่าตัวอักษรเหล่านั้นจะดีหรือเลว หลักการเหตุผลจะผิดหรือถูก สิ่งเหล่านี้ก็เป็นดั่งเมล็ดพันธ์ที่หว่านลงบนผืนนาหัวใจของเขาเสียแล้ว


เฉินผิงอันไม่ใช่ตัวอย่างเพียงหนึ่งเดียว ในความเป็นจริงแล้วคนบนโลกล้วนเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะใช้วิธีการแกะสลักลงบนแผ่นไม้ไผ่มาทำให้มันเป็นรูปธรรม บางประโยคที่พ่อแม่พร่ำบ่น บางประโยคที่อาจารย์สั่งสอน ประโยคบนตำราที่อ่านผ่านแล้วย้อนกลับมาอ่านซ้ำอีกครั้ง คำพูดเก่าแก่โบราณ หลักการเหตุผลบางอย่างที่ฟังมาหลายรอบและในที่สุดก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ภูเขาเขียวน้ำใสที่เคยเห็น สตรีในดวงใจที่เคยพลาดไป สหายที่แยกย้ายกันไปคนละทาง ล้วนเป็นเมล็ดพันธ์ที่อยู่ในผืนนาหัวใจของทุกคน เมล็ดพันธ์ที่รอวันจะผลิบานเป็นบุปผา


เฉินผิงอันยังคงไม่ล่วงรู้ เขาเพียงแค่เดินไปช้าๆ บนราวระเบียง คิดเพียงว่าออกมาเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจ


ในฟ้าดินขนาดเล็กของร่างคน กลางจวนน้ำที่มีอักษรน้ำตัวนั้นอยู่ เหล่าเด็กจิ๋วชุดเขียวต่างก็กำลังง่วนทำงานในมือของตัวเอง แต่ละคนกลั้นหายใจทำสมาธิ


ทางฝั่งจวนที่มีหัวใจบุ๋นสีทอง ด้านนอกมีมังกรเพลิงปราณที่แท้จริงกำลังนอนหลับขดล้อมอยู่ ส่วนในจวน คนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อที่สะพายกระบี่ยาว ตรงเอวห้อยตำราเล่มเล็กสีทองไว้หลายเล่มก็มีประกายแสงสีทองแผ่เรืองรองออกมา มองดูประหนึ่งร่างทองของเทวรูปองค์หนึ่ง


เพียงแต่ว่าคนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อที่มีแสงสีทองไหลรินไปทั่วร่างนั้นกลับมีสะเก็ดแสงสีทองเหมือนดวงดาวสลายหายไปอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าปรากฎการณ์นี้ไม่มั่นคง


มันเต็มไปด้วยความคาดหวัง คาดหวังให้เฉินผิงอันหยุดเดินบนราวระเบียงเสียที


เฉินผิงอันยังคงเดินไปอย่างเชื่องช้า


ออกมาจากสำนักศึกษาซานหยาครั้งนี้ ระหว่างทางเฉินผิงอันได้ถามจูเหลี่ยนและสือโหรวด้วยคำถามหนึ่ง


หากสังหารคนดีที่ไม่เคยทำความผิดแล้วสามารถช่วยคนได้สิบคน จะช่วยหรือไม่ช่วย คนทั้งสองต่างก็ส่ายหน้า รอจนเฉินผิงอันเพิ่มจำนวน เปลี่ยนจากสิบคนเป็นพันคนหมื่นคน สือโหรวกลับเริ่มลังเลใจ


มีเพียงจูเหลี่ยนที่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ต่อให้ช่วยคนได้ทั้งใต้หล้า เขาก็ไม่ฆ่าคนผู้นั้น


เฉินผิงอันจึงถามว่าทำไม


ตอนนั้นจูเหลี่ยนยิ้มและให้คำตอบว่า ‘ข้ากังวลว่าตัวเองจะกลายเป็นคนที่ถูกฆ่า’


แล้วจูเหลี่ยนก็หันกลับมาขอคำตอบจากเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันบอกว่าตัวเองก็ให้คำตอบไม่ได้ เว้นเสียจากว่าจะเดินไปถึงก้าวนั้นจริงๆ ถึงจะพอรู้เจตจำนงและการเลือกของตัวเอง


ในช่องโพรงลมปราณ คนจิ๋วสวมชุดลัทธิขงจื๊อสีทองเริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว มีหลายครั้งที่นึกอยากจะออกไปจากประตูใหญ่ของจวน วิ่งออกไปนอกฟ้าดินขนาดเล็กร่างคนนี้เพื่อเขกมะเหงกใส่เฉินผิงอันสักหลายๆ ที บอกเขาว่า เจ้าคิดส่งเดชแล้ว คิดปัญหายากใหญ่เทียมฟ้าที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าตอนนี้จะไม่มีทางได้ผลลัพธ์ไปเพื่ออะไร? อย่าได้ทำเรื่องที่ไม่เป็นการเป็นงาน อย่าได้พลาดโอกาสที่พันปียากจะพานพบไป! ทิศทางคร่าวๆ ที่เจ้าคิดไว้ก่อนหน้านี้นั่นต่างหากที่ถูกต้อง! รีบกลับไปคิดถึงคำว่าช้าที่สำคัญอย่างถึงที่สุด ตัวอักษรที่ฟ้าดินในโลกมนุษย์มองเมินข้ามตัวนั้นให้ไกลอีกหน่อย คิดให้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิด! ขอแค่คิดตกแล้ว แรงบันดาลใจจะพลันบังเกิด นี่ก็คือโชควาสนาบนมหามรรคาที่จะทำให้เจ้าเฉินผิงอันเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้ในอนาคต!


เพียงแต่เรื่องวงในเหล่านี้ หากมันบอกกับเฉินผิงอันไปตามตรง กลับยิ่งจะทำให้เฉินผิงอันจมสู่สภาวะจิตใจที่ย่ำแย่เกินจะเปรียบมากกว่าเดิม


ในที่สุดเฉินผิงอันที่อยู่บนราวระเบียงก็หยุดเดิน


คนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อสีทองและเหล่าคนจิ๋วชุดเขียวที่อยู่ใจวนสองแห่งต่างก็เต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย


ก่อนที่พวกเด็กๆ ชุดเขียวจะหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะครืนขึ้นมาเสียงดัง


ที่แท้หลังจากเฉินผิงอันผู้นั้นยืนนิ่งแล้ว ความคิดที่บังเกิดขึ้นในเวลานั้นกลับกลายเป็นว่าเขาเริ่มคิดถึงแม่นางคนหนึ่ง อีกทั้งความคิดของเขายังไม่เป็นวิญญูชนอย่างยิ่ง ถึงขนาดคิดว่าคราวหน้าเมื่อพบนางอีกครั้งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะแค่จับมือกันอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องใจกล้ากว่าเดิมสักหน่อย หากแม่นางหนิงไม่เต็มใจ อย่างมากก็แค่ถูกด่าหรือถูกตีรอบหนึ่ง เชื่อว่าคนทั้งสองจะยังได้อยู่ด้วยกัน แต่หากแท้จริงแล้วแม่นางหนิงเองก็เต็มใจอย่างยิ่ง เพียงแต่รอให้เขาเฉินผิงอันเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเล่า? เจ้าเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวนะ ไม่มีความกล้าเลยสักนิด เอาแต่อิดออดกระมิดกระเมี้ยน มันเข้าท่าแล้วหรือ?


เฉินผิงอันกระโดดลงจากราวระเบียง เขาเริ่มง่วงแล้ว ตอนที่เดินเข้าไปในห้องก็ใช้หมัดทุบฝ่ามือ ให้กำลังใจตัวเองไม่หยุดว่า “ไม่เข้าท่า ไม่เข้าท่าเลยสักนิด! อีกอย่างตอนที่อยู่ภูเขาห้อยหัวก็ใช่ว่าจะไม่เคยกอดแม่นางหนิงสักหน่อย เพียงแต่ว่าคราวนั้นเอาแต่อึ้งตะลึง ความรู้สึกเป็นอย่างไรก็จำไม่ได้แล้ว แบบนี้จะได้อย่างไร? จุมพิตที่ริมฝีปากนางเบาๆ สักที…เฉินผิงอันเจ้ารนหาที่ตายงั้นหรือ? จะคิดเรื่องนี้ไม่ได้ นี่ออกจะเร็วไปสักหน่อย เมื่อครู่นี้เจ้าคิดถึงคำว่าช้าอยู่ไม่ใช่หรือ? กับแม่นางหนิงก็ต้องช้าหน่อย ไฟอ่อนตุ๋นนานก็ดีเหมือนกัน…ดีกะผีอะไรล่ะ…”


พวกเด็กจิ๋วชุดเขียวพากันกุมท้องหัวเราะก๊าก ขำกลิ้งกันไปหมด


ไม่ใช่ว่าพวกมันจะรู้ทุกความคิดของเฉินผิงอัน เพียงแต่ว่าคืนนี้เป็นข้อยกเว้น เพราะสิ่งที่เฉินผิงอันคิดเกี่ยวพันกับสภาพจิตใจลึกซึ้งเกินไป เกี่ยวพันไปถึงรากฐาน อีกทั้งความคิดของเขายังใหญ่มาก จิตวิญญาณสั่นสะเทือนรุนแรงจนแทบจะปกคลุมฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างคนนี้ทั้งหมด


คนจิ๋วสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงสีทองเข้มข้นจนแทบจะก่อตัวกลายเป็นโอสถสีทองเม็ดหนึ่งขึ้นกลางหัวใจทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง แล้วก็อดด่าขึ้นมาไม่ได้ “เฉินผิงอัน ท่านปู่เจ้าเถอะ!”


ด่าจบมันกลับหัวเราะคิกคัก


แม้ว่าการ ‘ผลิดอกออกผล’ ของคืนนี้จะไม่สมบูรณ์แบบมากพอ อยู่ไกลเกินกว่าจะใช้คำว่าไร้ข้อตำหนิได้ แต่อันที่จริงแล้วไม่ว่าจะกับเฉินผิงอันหรือกับมันก็ล้วนเป็นประโยชน์มหาศาล


ยกตัวอย่างเช่นเค้าโครงของโอสถทองที่ก่อร่างขึ้นมาตรงหัวใจของคนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อสีทอง นั่นก็คือความหวังอย่างใหญ่หลวงที่สุดที่เหมาเสี่ยวตงมีต่อเฉินผิงอันยามที่เขาหลอมหัวใจบุ๋นสีทองของเสิ่นเวิน


……


ฮูหยินเซียวหลวนและสาวใช้ สองนายบ่าวพักอาศัยอยู่ในเรือนเดี่ยวหลังหนึ่งในแถบห่างไกลของจวนจื่อหยาง


หากจัดให้พวกนางพักร่วมกับพวกซุนเติงเซียนสามคน ต่อให้ฮูหยินเซียวหลวนที่ใจเย็นก็คงต้องชักสีหน้าให้เห็นกันบ้าง


เวลานี้ฮูหยินเซียวหลวนยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ใครคนหนึ่งนั่งอยู่ ส่วนสาวใช้ถูกคนผู้นั้นร่ายเวทลับให้จมอยู่ในสภาพหลับลึก


คนผู้นั้นชำเลืองตามองเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่สวมชุดกระโปรงรัดรึงแนบไปทุกสัดส่วนแล้วคลี่ยิ้มประหลาด


ใบหน้าของฮูหยินเซียวหลวนเต็มไปด้วยความอิหลักอิเหลื่อ


คนผู้นี้ก็คืออู๋อี้ที่เรียกขานตนเองว่าต้งหลิงเจินจวิน คือเจ้าของจวนจื่อหยางที่แท้จริง


ต่อให้ฮูหยินเซียวหลวนจะใจกล้าแค่ไหนก็ไม่มีทางกล้าบุกเข้าไปในตำหนักจื่อชี่โดยพลการ แถมยังกล้าสวมชุดที่แทบไม่ต่างจากคณิกาในหอโคมเขียวไปเคาะประตูห้องของเฉินผิงอันเช่นนี้


ล้วนเป็นความต้องการของอู๋อี้


อู๋อี้ไม่ได้ใช้ตบะข่มผู้อื่น เพียงแค่มอบเงื่อนไขที่ฮูหยินเซียวหลวนไม่อาจปฏิเสธได้


เกี่ยวพันกับเรื่องที่เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงหมายจะใช้ความสัมพันธ์ของเขตการปกครองหลงเฉวียนมาทำร้ายจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่


หวงฉู่ผู้เป็นเจ้าประมุขได้รับปากฮูหยินเซียวหลวนแล้วว่าจะช่วยทำให้เทพวารีผู้นั้นหยุดการกระทำอันชั่วร้ายลับหลังโดยเร็ว


ด้วยสาเหตุนี้ต่อไปทุกๆ ระยะเวลาสิบปี จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่จึงจำเป็นต้องมอบเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ให้แก่จวนจื่อหยาง นับจากนี้แม่น้ำป๋ายกู่ก็เป็นเหมือนลำคลองเถี่ยเชวี่ยนที่ต่างก็กลายเป็นผู้พึ่งพาใต้อาณัติของจวนจื่อหยาง ทว่าทางฝ่ายของจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ก็ใช่ว่าจะจ่ายเงินฟาดเคราะห์ไปเสียทั้งหมด ข้อดีของการคลี่คลายปัญหาที่เป็นดั่งไฟลามขนคิ้วครั้งนี้ก็คือ หลังจากสวามิภักดิ์ต่อจวนจื่อหยางแล้ว แม้จะบอกว่าต้องห่างเหินกับฮ่องเต้สกุลหงองค์ปัจจุบันไปทุกขณะ ต้องขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ต่อกัน แต่หวงฉู่ก็รับรองกับฮูหยินเซียวหลวนว่าภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยปีจะทำให้แม่น้ำป๋ายกู่ที่ยาวไม่ถึงเก้าร้อยลี้ขยับขยายออกไปถึงหนึ่งพันสองร้อยลี้! เงิน ทางจวนเทพวารีต้องเป็นผู้จ่าย แต่อุปสรรคขัดขวางทั้งหมดที่มาจากราชสำนักแคว้นหวงถิง เหล่าองค์เทพภูเขาแม่น้ำที่ถูกช่วงชิงโชควาสนาไปจนหมดซึ่งจะต้องแว้งกลับมาโจมตีเอาชีวิต ทางจวนจื่อหยางก็จะช่วยจัดการให้เอง จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่แค่ต้องออกเงินตามราคาตลาดจ้างผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยาง เพียงเท่านี้ก็สามารถบดขยี้สังหารไปได้ตลอดทางแล้ว


เงินเทพเซียนนั้นหาได้ง่าย ทว่าระดับความยาวของแม่น้ำป๋ายกู่ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินว่าโชคชะตาน้ำของสายน้ำจะใหญ่มากหรือน้อย จะหนาหรือบาง ไม่ใช่แค่ว่าทางราชสำนักพยักหน้าอนุญาตแล้วก็จะสามารถเจาะช่องทางน้ำได้ เพราะระหว่างนี้ยังต้องเจอกับหายนะและการขัดขวางจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่แข็งแกร่งอีกมากมาย ไม่ใช่ว่าแค่มีเงินทุกอย่างก็เรียบร้อย อีกทั้งเมื่อแม่น้ำป๋ายกู่ยาวหนึ่งพันสองร้อยลี้แล้ว อาณาเขตการปกครองของแม่น้ำป๋ายกู่ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย เขตการปกครอง นครและเมือง รวมถึงภูเขาเขียวน้ำใสที่อยู่โดยรอบลำน้ำล้วนถูกควบรวมเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ทั้งหมด ถึงเวลานั้นรายรับของแต่ละปีย่อมน่าดูชม นี่คือเรื่องที่ฮูหยินเซียวหลวนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน อีกร้อยปีให้หลัง อย่าว่าแต่แซงหน้าแม่น้ำอวี้เจียงเลย ให้เลื่อนขั้นกลายเป็นแม่น้ำใหญ่อันดับที่สองของแคว้นหวงถิง สลัดแม่น้ำหันสือทิ้งไว้เบื้องหลังไปพร้อมกันในคราวเดียว หรือแม้กระทั่งเลื่อนขั้นเป็นตำหนักเทพวารีก็ยังพอจะวาดฝันได้


นี่ต่างหากจึงจะเป็นสาเหตุแท้จริงที่ว่าเหตุใดฮูหยินเซียวหลวนถึงได้ยอมอ่อนข้อเจียมตัวขนาดนั้นตอนอยู่ในโถงเซวี่ยหมาง


นางจะต้องคว้าอนาคตนี้เอาไว้ให้แน่น!


นี่ไม่ใช่แค่ว่าอดทนรอให้คลื่นลมสงบเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่เป็นการอดทนแค่ชั่วครู่ชั่วยามที่พาให้ตัวเองเดินตรงไปบนมหามรรคา ได้รับควันธูปโชติช่วงไพศาล


ดังนั้นพออู๋อี้มาหาฮูหยินเซียวหลวน เสนอข้อแลกเปลี่ยนอย่างที่สอง ฮูหยินเซียวหลวนที่เต็มไปด้วยความคาดหวังต่ออนาคต หลังจากชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียและลังเลอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงเลือกที่จะข่มกลั้นความน้อยเนื้อต่ำใจ ความเจ็บแค้นโกรธเคืองและความอับอายทั้งหลายในใจลงไป พยักหน้าตอบรับแต่โดยดี


อู๋อี้บอกว่าขอแค่คืนนี้ฮูหยินเซียวหลวนยินดีปีนขึ้นเตียงของเฉินผิงอัน หาความสุขร่วมกันหนึ่งคืนก็เท่ากับว่าช่วยนางอู๋อี้และจวนจื่อหยางไว้ครั้งหนึ่ง อู๋อี้จะบอกให้ลำคลองเถี่ยเชวี่ยนยอมกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่น้ำป๋ายกู่อย่างเต็มตัว ศาลจีเซียงจะไม่สามารถทำตัวเป็นจิ้งจอกห่มหนังพยัคฆ์ ใช้ศาลเทพลำคลองแห่งหนึ่งไปงัดข้อกับศาลเทพวารีสายน้ำใหญ่ได้อีก และนับจากนี้ไป นางอู๋อี้ก็จะช่วยพูดถึงเรื่องดีๆ ของเซียวหลวนและศาลเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ต่อหน้าราชวงศ์ต้าหลี ส่วนเรื่องที่ว่าสุดท้ายแล้วจะแลกเอาป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งมาได้หรือไม่ นางอู๋อี้ไม่คิดจะตบอกรับรอง แต่อย่างน้อยนางก็จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง


ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์ที่ฮูหยินเซียวหลวนเดินทางไปเยี่ยมเยือนยามค่ำคืนเกิดขึ้น


แม้แต่ฝนที่ตกปรอยๆ ลงมานั้นก็ยังเกิดจากการร่ายวิชาอภินิหารของอู๋อี้ นางร่ายใช้เวทบังตาภายในอาณาเขตของจวนจื่อหยางก็เพื่อพิสูจน์ให้เฉินผิงอันรู้ว่าฮูหยินเซียวหลวนเกิดอารมณ์รักใคร่ชอบพอเขาขึ้นมาจริงๆ เจ้าแม่เทพวารีท่านหนึ่งที่เคารพเลื่อมใสจนเกิดเป็นรักแรกพบต่อเจ้าจากใจจริงยอมเสนอตัวให้ มีความสัมพันธ์ข้ามคืนที่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ ไยจะไม่เต็มใจรับไว้เล่า? นอกจากนี้ยังมีความลี้ลับอีกอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านั้นอู๋อี้จงใจพูดถึงเรื่องผลกรรมที่เกิดจากการสังหารปีศาจเผ่าพันธุ์เจียวหลง นางไม่ได้พูดปด ในความเป็นจริงแล้วนางมองออกว่าบนร่างของเฉินผิงอันมีเวรกรรมติดอยู่จริงๆ จะแก้ไขอย่างไร? แน่นอนว่าย่อมต้องใช้ผลบุญจากควันธูปที่มาจากตัวของเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ช่วยขจัดให้ ความเสียหายในส่วนนี้ อู๋อี้ก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าจะชดใช้ให้ฮูหยินเซียวหลวนด้วยเงินเทพเซียน ฝ่ายหลังใคร่ครวญแล้วก็ตอบตกลง


น่าเสียดายก็แต่ฮูหยินเซียวหลวนกลับมาพร้อมความล้มเหลว


เฉินผิงอันผู้นั้นไม่ยอมแม้แต่จะให้นางเข้าประตูไปด้วยซ้ำ

 

 

 


บทที่ 424.3 โลกมนุษย์เดินช้าๆ

 

อู๋อี้เอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า “เซียนหลวน โชควาสนาใหญ่ถึงเพียงนน เจ้ากลับคว้าไว้ไม่อยู่ เจ้านี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ”


ฮูหยินเซียวหลวนได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน


อู๋อี้พลันถามขึ้นว่า “หรือเฉินผิงอันไม่สนใจสตรีอย่างเจ้า? สาวใช้คนนั้นของเจ้ามองดูแล้วอ่อนเยาว์กว่า หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ ให้นางไปลองดูดีไหม?”


ฮูหยินเซียวหลวนส่ายหน้า “คาดว่าแม้แต่หอเรือนหลังนั้นของหยวนจวินนางก็ยังเข้าไปไม่ได้ เจ้าคนที่ชื่อจูเหลี่ยนผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล เขามาตอแยข้าอยู่นาน มองดูเหมือนต้องการหยอกเย้า แต่แท้จริงแล้วในช่วงเวลาสุดท้ายกลับเกิดจิตคิดสังหารข้า อีกทั้งจูเหลี่ยนจงใจเปิดเผยความคิดนั้นให้ข้าเห็น ดังนั้นหากเปลี่ยนให้นางไป ไม่แน่ว่าอาจจะตายอยู่นอกหอเรือนเลยก็ได้ ถ้าอย่างนั้นศพของนางหากไม่ถูกโยนทิ้งไว้นอกตำหนักจื่อชี่ก็อาจถูกโยนลงลำคลองเถี่ยเชวี่ยน ปล่อยให้ไหลตามกระแสน้ำไปถึงแม่น้ำป๋ายกู่ของข้าได้พอดี”


อู๋อี้นวดคลึงหว่างคิ้ว “เฉินผิงอันผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่?”


สีหน้าของฮูหยินเซียวหลวนเผยความจนใจ ตอนนั้นเจ้าคนผู้นั้นไม่พูดไม่จาก็ปิดประตูใส่หน้านางแล้ว นางจะไม่รู้สึกอับอายจนพานเป็นความโกรธได้หรือ?


อู๋อี้มองประเมินฮูหยินเซียวหลวน “ด้วยรูปโฉมของเจ้าเซียวหลวนก็ถือว่าเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแคว้นหวงถิงเราแล้วกระมัง? แล้วข้าจะไปหาสตรีที่หน้าตาดีจากไหนมาให้เขาได้อีก? สตรีในหมู่ชาวบ้านด้านล่างภูเขา แม้ว่ามองดูแล้วจะไม่เลว แต่ใครบ้างที่เนื้อหนังมังสาไม่เหม็นคาวจนเกินจะทน เซียวหลวน เจ้าว่าจะเป็นเพราะสตรีวัยกลางคนหุ่นอวบอิ่มอย่างเจ้าไม่ใช่รสนิยมของเฉินผิงอันหรือไม่? หรือเขาจะชอบแต่สาวน้อยร่างเล็กกะทัดรัด หรือไม่ก็คนที่รูปร่างสูงโปร่งมากเป็นพิเศษ?”


ฮูหยินเซียวหลวนส่ายหน้า


นางไม่รู้จริงๆ


อู๋อี้ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่าเฉินผิงอันใช่บุรุษปกติหรือไม่?”


ฮูหยินเซียวหลวนเอ่ยเบาๆ “น่าจะใช่กระมัง”


อู๋อี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคิดว่าข้าเป็นอย่างไร?”


ฮูหยินเซียวหลวนเย็นวาบไปทั้งสันหลัง นับแต่เฉินผิงอันไปจนถึงจูเหลี่ยนผู้ติดตามของเขา มาจนถึงบรรพจารย์จวนจื่อหยางตรงหน้าท่านนี้ ล้วนเป็นพวกคนบ้าที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้จริงๆ


นางจึงได้แต่ใคร่ครวญหาถ้อยคำที่เหมาะสม เอ่ยประโยคน่าฟังอย่างระมัดระวัง “หยวนจวินมีฐานะสูงส่งถึงเพียงนี้ จะย่ำยีตนเองด้วยการทำเช่นนั้นไปไย?”


อู๋อี้โบกมือ รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย “ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็ไม่ควรต้องให้ถึงขั้นที่เจ้าเซียวหลวนบุกเข้าไปในหอเรือนแล้วขืนใจเฉินผิงอันผู้นั้น”


อู๋อี้ลุกขึ้นยืน “ถึงแม้ว่าการค้าครั้งนี้จะไม่สำเร็จในคืนนี้ แต่ก็ยังมีผลในช่วงเวลาถัดจากนี้ไปอีกระยะหนึ่ง เจ้ายังมีโอกาส เซียวหลวน เจ้าตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”


ทันใดนั้นอู๋อี้และเซียวหลวนต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึมไล่ตามกันมาติดๆ ทั้งคู่ต่างก็สัมผัสได้ถึง…ลมปราณแห่งมหามรรคาที่ไม่ปกติขุมหนึ่ง


สูงส่งยาวไกล ล่องลอยแผ่วพลิ้ว มากอำนาจบารมี ยิ่งใหญ่ไพศาล มากมายหลากหลาย มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย


คนทั้งสองต่างก็พอจะคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้บางส่วน


อู๋อี้พลันเอ่ยเสียงเฉียบ “เซียวหลวน! ว่าอย่างไร?”


จิตวิญญาณของเซียวหลวนหวั่นไหวไม่อยู่นิ่ง นางไม่เหลือความลังเลอีกต่อไป พลันเปลี่ยนมาเป็นห้าวเหิม คำตอบในใจของเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ท่านนี้แข็งแกร่งมิสั่นคลอน


เมื่อเทียบกับปีนั้นตอนที่พบกับบรรพบุรุษฮ่องเต้สกุลถังที่ ‘พบกันโดยบังเอิญ’ ริมแม่น้ำป๋ายกู่แล้ว ความรู้สึกของฮูหยินเซียวหลวนกลับกระตือรือร้นเร่าร้อนกว่ามาก


อู๋อี้ก้าวยาวๆ จากไป ฮูหยินเซียวหลวนก็กลับเข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง นางนอนพลิกตัวอย่างกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง มิอาจข่มตาหลับ


คืนนี้จวนจื่อหยางมีฝนตกลงมาอีกครั้ง


จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ในระเบียงใต้ชายคาของชั้นที่สองหัวเราะเสียงแปลกแปร่ง “ดีนักนะ คราวนี้ของจริงแล้ว”


……


เฉินผิงอันไม่รู้เรื่องพวกนี้


เขากลับเข้ามาในห้อง ตะเกียงบนโต๊ะยังคงสว่างไสว


เฉินผิงอันเริ่มอ่านหนังสือ อ่านไปอ่านมาก็อาศัยแสงตะเกียงเหลืองนวล เงยหน้ามองไปรอบด้าน


ในตำราบอกว่าจิตใจของคนบางคนก็เหมือนกระจกส่องมารบานหนึ่งที่ทำให้ภูตผีปีศาจรอบด้านไร้ที่ให้หลบเร้นกาย


แต่เฉินผิงอันกลับคาดหวังให้จิตใจของตัวเองเป็นเพียงแค่ตะเกียงดวงหนึ่ง วางมันไว้บนโต๊ะของบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงที่มีเพียงผนังสี่ด้าน ตนสามารถอาศัยแสงสว่างเพียงน้อยนิดนั้นมองไปเห็นฝุ่นผงและแมลงวันที่อยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างตน หากมีแขกมาเยือนที่บ้านก็จะมองเห็นว่าบนขอบหน้าต่างดินเหนียว เขาเฉินผิงอันวางอ่างดินเผาขนาดเล็กที่ปั้นอย่างหยาบๆ เอาไว้หนึ่งใบ ด้านในมีต้นหญ้าต้นเล็กส่ายไหวไปตามลมอย่างมีชีวิตชีวา


เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนโต๊ะ


วางคางไว้บนหลังมือของตัวเอง เขาจ้องนิ่งไปยังเปลวไฟในตะเกียงดวงนั้น


อันที่จริงเขาพอจะรู้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่กำลังรอให้ตนไปเผชิญหน้า


เฉินผิงอันคิดถึงความเป็นไปได้มากมายหลายอย่างโดยที่เขาไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย


มีเพียงเรื่องเดียวและคนคนเดียว


ที่เฉินผิงอันไม่กล้าคิดให้ลึกซึ้ง


หลักการเหตุผลของใต้หล้านี้ไม่แบ่งแยกว่าใกล้ชิดหรือห่างเหิน เขาเฉินผิงอันเป็นคนพูดเอง


……


เผยเฉียนสะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นนั่ง ดูเหมือนว่านางจะฝันร้าย


นางย้อนนึก แต่กลับลืมเนื้อหาในฝันนั่นไปแล้ว ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ยังสะลึมสะลืออยู่เล็กน้อย จึงลุกไปหยิบยันต์แผ่นหนึ่งมาแปะไว้บนหน้าผากแล้วนอนหลับต่ออีกครั้ง


นางสามารถมองทะลุใจคนไปเห็นสภาพภายในจิตใจของคนผู้หนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นหอเรือนสูงตระหง่านเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่ท่ามกลางลมคาวฝนเลือดของพ่อครัวเฒ่าจูเหลี่ยน ยกตัวอย่างเช่นบ่อน้ำดำมืดของชุยตงซานที่ข้างบ่อวางตำราสีทองกระจัดกระจายไว้หลายเล่ม


ในใจของนางซุกซ่อนความลับที่ใหญ่ที่สุดไว้อย่างหนึ่ง ต่อให้เฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์ นางก็ไม่เคยบอก


ขอแค่นางตั้งใจมองเฉินผิงอันก็จะเหมือนว่านางอยู่ในบ่อน้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่งแล้วกำลังแหงนหน้ามองไป คงเป็นเพราะบนปากบ่อน้ำวางตะเกียงไว้ดวงหนึ่ง เดิมทีแสงสว่างกลุ่มเล็กๆ ควรทำให้นางที่เป็นคนขี้ขลาดกลัวผีกลัวความมืดสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและใฝ่หา ทว่านางกลับรู้สึกเหมือนหลายๆ ครั้งที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ร้อนแรงกลางท้องนภา นางจะต้องรู้สึกแสบตาจนน้ำตาไหลพราก แต่ทุกครั้งที่บาดแผลหายดีแล้วนางก็จะลืมความเจ็บปวด ทำให้อดไม่ไหวคอยแหงนหน้าขึ้นมองมันอยู่ตลอดเวลา


เมื่อนางก้มหน้าลงมอง ใต้บ่อปรากฏเป็นดวงจันทร์ที่กระเพื่อมไปตามผิวน้ำ ขยับลงไปด้านล่างอีกนิดก็จะมองเห็นได้รางๆ ว่าเหมือนจะมีเจียวหลงตัวหนึ่งที่เดิมทีควรจะน่ากลัวมาก แต่นางกลับรู้สึกใกล้ชิดคุ้นเคยกับมันมากเป็นพิเศษ


บ่อน้ำบ่อนี้ในใจของอาจารย์ น้ำในบ่อคอยไต่ระดับขึ้นสู่เบื้องบนอย่างเชื่องช้า


บางทีวันหนึ่งดวงจันทร์ในน้ำก็อาจจะได้ไปพบเจอกับตะเกียงดวงที่ตั้งอยู่บนปากบ่อ


เผยเฉียนที่กำลังหลับสนิทยื่นมือไปวางตรงหัวใจตามจิตใต้สำนึก ตรงนั้นซ่อนถุงผ้าแพรใบเล็กที่ชุยตงซานมอบให้กับนาง เขาบอกว่าวันใดที่อาจารย์ของนางเสียใจอย่างถึงที่สุด หรือโกรธมากๆ นางจะต้องเอามันออกมาให้อาจารย์


……


เฉินผิงอันไม่ได้หลับเลยตลอดทั้งคืน


เพราะความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหัน เขาจึงเตรียมจะออกเดินทาง ไม่รั้งอยู่ในจวนจื่อหยางอีกต่อไป จึงบอกให้จูเหลี่ยนไปแจ้งแก่ผู้ดูแล ถือเป็นการบอกกล่าวแก่อู๋อี้


คิดไม่ถึงว่าเจ้าประมุขหวงฉู่จะมาถึงอย่างรวดเร็ว พยายามรั้งเฉินผิงอันไว้สุดกำลัง บอกว่าหากเฉินผิงอันไปจากจวนจื่อหยางทั้งอย่างนี้ เจ้าประมุขอย่างเขาก็คงต้องลาออกจากตำแหน่งแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ขอให้เฉินผิงอันอยู่ต่อสักวันสองวัน เขาจะได้พาเฉินผิงอันไปชมทัศนียภาพบริเวณใกล้เคียงกับจวนจื่อหยาง นอกจากนี้ยังบอกข่าวหนึ่งแก่เฉินผิงอัน บรรพจารย์หยวนจวินเดินทางไปแม่น้ำหันสือแล้ว แต่ก่อนจะจากไปบรรพจารย์กล่าวว่า ตอนที่พวกเฉินผิงอันไปจากจวนจื่อหยาง สามารถเลือกของตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นสี่ของหอเก็บสมบัติจวนจื่อหยางไปได้คนละชิ้น ถือเป็นของขวัญที่จวนจื่อหยางมอบให้ หากเฉินผิงอันไม่รับไว้ก็ได้ เขาที่เป็นเจ้าประมุขจะเลือกของที่แพงที่สุดสี่ชิ้นมาทุบให้เละต่อหน้าเฉินผิงอันไปเลยก็แล้วกัน


เฉินผิงอันยิ่งเดาไม่ออกว่าอู๋อี้คิดจะทำอะไรกันแน่


การต้อนรับขับสู้ที่กระตือรือร้นจนแทบจะเรียกได้ว่าหน้ามึนเช่นนี้ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ต่อให้เป็นเว่ยป้อก็ไม่มีทางได้รับเกียรติขนาดนี้


เฉินผิงอันย่อมอยากไปจากสถานที่ที่เป็นปัญหายุ่งยากแห่งนี้ในทันที จะสนไปไยว่าเจ้าหวงฉู่จะทุบทำลายสมบัติสี่ชิ้นหรือไม่ ก่อนหน้านี้อู๋อี้กระวีกระวาดมาต้อนรับเขาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ภายหลังฮูหยินเซียวหลวนยังมาเคาะประตูยามค่ำคืน ในใจเฉินผิงอันจึงเกิดเงามืดต่อจวนจื่อหยางแห่งนี้


แต่ดูเหมือนหวงฉู่จะคาดการณ์ไว้ได้ล่วงหน้าแล้ว เขาถึงขั้นไม่คิดจะรักษาหน้าตาของตัวเองแม้แต่น้อย วางท่าหน้าด้านหน้าทนเลียนแบบบรรพจารย์ของตน บอกว่าข้าหวงฉู่จะยังเป็นเจ้าประมุขได้หรือไม่ล้วนอยู่ที่ความคิดเดียวของคุณชายเฉิน หรือแค่อยู่เที่ยวเล่นตามแม่น้ำและภูเขา ให้จวนจื่อหยางได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี คุณชายเฉินก็ยังไม่เต็มใจจะรับน้ำใจ? จะทนเห็นเขาหวงฉู่สูญเสียตำแหน่งประมุขได้คาตาตัวเองเชียวหรือ?


หลังจากที่เฉินผิงอันปรึกษากับจูเหลี่ยนและสือโหรวแล้วก็ตัดสินใจว่าจะรับมือไปตามสถานการณ์ ตอบรับหวงฉู่ว่าจะอยู่อีกหนึ่งวันเพื่อชมทัศนียภาพในบริเวณใกล้เคียง


ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อทางจวนจื่อหยางส่งคนผู้หนึ่งมาทำหน้าที่เป็นผู้นำทาง เฉินผิงอันก็ให้เสียใจจนไส้เขียว ส่วนจูเหลี่ยนก็ทำท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องร้ายอะไร


ที่แท้ฮูหยินเซียวหลวนที่กลับคืนมามีท่าทางสุภาพเยือกเย็นก็เป็นคนทำหน้าที่พาเฉินผิงอันท่องเที่ยว


เฉินผิงอันจึงแข็งใจนั่งโดยสารเรือหอเรือนลำหนึ่งที่จอดอยู่ริมตลิ่งลำคลองเถี่ยเชวี่ยนมุ่งหน้าไปยังตอนบนของลำคลอง


ท่ามกลางม่านราตรี


คนทั้งกลุ่มเดินทางกลับมายังจวนจื่อหยาง


อู๋อี้ยืนอยู่ในลานหลังเล็กที่พักของเซียวหลวน ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอย่างไร?”


ฮูหยินเซียวหลวนทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป


อู๋อี้กล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “พูดมาตามตรง!”


ฮูหยินเซียวหลวนถอนหายใจ “ตลอดทางมานี้ ไม่ว่าข้าจะพยายามบอกเป็นนัยแค่ไหน หรือแม้กระทั่งภายหลังที่เปิดเผยความรู้สึกชื่นชมเขาอย่างตรงไปตรงมา เฉินผิงอันกลับไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้ข้าเห็น แล้วก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่ว่าก่อนที่จะลงจากเรือ เฉินผิงอันได้พูดกับข้าอยู่สองประโยค”


อู๋อี้ถามอย่างใคร่รู้ “สองประโยคไหน”


ฮูหยินเซียวหลวนยิ้มขื่น “ประโยคแรก ‘ฮูหยินเซียวหลวน เจ้าคิดจะทำร้ายข้าให้ตายใช่หรือไม่?’”


อู๋อี้ได้ยินแล้วก็มึนงงไม่เข้าใจ


ส่วนฮูหยินเซียวหลวนกลับมีท่าทางหวาดหวั่นไม่สบายใจ “ประโยคที่สอง เฉินผิงอันพูดอย่างจริงจังมาก ‘หากเจ้ายังตอแยข้าไม่เลิก ข้าจะต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียว’”


อู๋อี้ยื่นสองนิ้วมานวดคลึงจุดไท่หยาง


ฮูหยินเซียวหลวนปิดปากหัวเราะ เสน่ห์อันน่าหลงใหลในตัวนางพลันปรากฏเด่นชัด แต่จากนั้นนางก็เก็บสีหน้าเย้ายวนใจ ตบอกเอ่ยเบาๆ ว่า “รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ข้ากลัวก็จริง แต่กลับยังไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ ทว่าข้าเองก็รู้ว่าคราวนี้ข้าคงถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องพลาดโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ไป”


ฮูหยินเซียวหลวนโค้งตัวคำนับขออภัยอู๋อี้อย่างนอบน้อม


อู๋อี้ชำเลืองตามองฮูหยินเซียวหลวน “นับว่าเจ้ารู้ความสามารถของตัวเอง”


เซียวหลวนอึ้งตะลึง ทันใดนั้นก็พลันกระจ่างแจ้ง แอบชำเลืองตามองอู๋อี้ที่มีเรือนกายสูงเพรียวออกผอม ก่อนที่นางจะรีบเก็บสายตา รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย


อู๋อี้กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เขาเฉินผิงอันน่ะตาบอด!”


……


จูเหลี่ยนแอบขำอยู่ตลอดเวลา เวลานี้เขายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันในระเบียงชั้นสี่


สุดท้ายจูเหลี่ยนก็หลุดถามกลั้วเสียงหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ว่า “นายน้อย เจอกับดวงความรักที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”


เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน “ยุทธภพอันตราย!”

 

 

 


บทที่ 425.1 ขี่กระบี่ไปเยือนทะเลเมฆ

 

ยามฟ้าสาง พวกเฉินผิงอันก็เก็บสัมภาระเตรียมออกจากจวนจื่อหยาง


หวงฉู่เจ้าประมุขและเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองสองคนมาส่งด้วยตัวเอง ส่งจนกระทั่งถึงริมตลิ่งลำคลองเถี่ยเชวี่ยน เทพลำคลองของศาลจีเซียงเตรียมเรือลำหนึ่งไว้ให้เรียบร้อยแล้ว จะเดินทางทางน้ำเลียบลำคลองไปร้อยกว่าลี้ก่อน แล้วค่อยขึ้นฝั่งที่ท่าเรือแห่งหนึ่งเพื่อเดินทางไปยังชายแดนแคว้นหวงถิงต่ออีกครั้ง


เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณหวงฉู่ หวงฉู่หยิบกล่องไม้ใบเล็กที่ทำจากไม้จื่อถานส่งกลิ่นหอมสดชื่นใบหนึ่งออกมา คือ ‘แท่นน้ำค้างหวาน’ สิ่งของตกแต่งชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงของแคว้นหวงถิง บอกว่าเป็นน้ำใจจากบรรพจารย์


เผยเฉียนตีหน้าเคร่ง แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่สนใจ


เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ยังรับกล่องที่บรรจุสมบัติสี่ชิ้นในหอเก็บสมบัติมาไว้ กล่าวว่า “วันหน้าหากเจ้าประมุขหวงเดินทางผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียนจะต้องไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วให้ได้”


จากนั้นเฉินผิงอันก็ทำท่ายกกล่องล้ำค่าใบนั้นขึ้น พูดสัพยอกว่า “ไม่มีของขวัญล้ำค่าเช่นนี้มอบให้ แล้วก็ไม่มีสุราเจียวเฒ่าน้ำลายสออย่างในงานเลี้ยงโถงเซวี่ยหมางให้ดื่ม มีเพียงอาหารพื้นบ้านธรรมดาๆ ข้าคาดว่าต่อให้เจ้าประมุขหวงเดินทางผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียนก็คงไม่ค่อยอยากจะแวะไปเยี่ยมหาข้าเท่าไหร่กระมัง”


หวงฉู่ยิ้มบางๆ “ขอแค่มีโอกาสได้ไปเยือนต้าหลี ต่อให้ไม่ผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียน ข้าก็จะต้องหาโอกาสอ้อมไปรบกวนคุณชายเฉินให้จงได้”


พูดคุยกันอย่างถูกคอไปตลอดทาง จนกระทั่งหวงฉู่พาพวกเฉินผิงอันไปส่งถึงเรือข้ามฟาก เดิมทีคิดว่าจะขึ้นเรือไปส่งถึงท่าเรือของลำคลองเถี่ยเชวี่ยน แต่เฉินผิงอันยืนกรานว่าไม่ต้อง หวงฉู่จึงต้องยอมล้มเลิกความคิด


ขึ้นเรือมาแล้ว เฉินผิงอันก็มายืนอยู่ตรงหัวเรือ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่บรรจุเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอซึ่งเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณไว้จนเต็ม เรือข้ามฟากขับเคลื่อนลงสู่ตอนล่างของลำคลองอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะไปทางตำหนักจื่อชี่


บนหลังคาหอเก็บสมบัติ ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งร่ายใช้เวทอำพรางตา นางก็คืออู๋อี้ต้งหลิงเจินจวิน พอนางเห็นภาพนี้ก็คลี่ยิ้ม “เชิญเทพเจ้ามาง่าย แต่ส่งเทพเจ้ากลับไปก็ไม่เห็นจะยากสักเท่าไหร่นี่นา”


อารมณ์ของนางนับว่าไม่เลว


อู๋อี้ได้เล่าประสบการณ์ของสองวันที่ผ่านมานี้อย่างละเอียด แล้วให้กระบี่บินส่งไปยังภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียน รายงานให้บิดาฟังอย่างไม่มีตกหล่นบกพร่อง


เชื่อว่าต่อให้ไม่ได้รับรางวัล อย่างน้อยก็คงไม่ถูกลงโทษ


ในสายตาของอู๋อี้ เรือข้ามฟากลำนั้นค่อยๆ เคลื่อนไปไกลจนเล็กเท่าเมล็ดงาเมล็ดหนึ่ง


หัวใจของอู๋อี้พลันหดเกร็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อน


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้างกายของนางมีผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อท่าทางสุภาพอ่อนโยนมาปรากฏตัว เขาทำลายค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำของจวนจื่อหยางได้อย่างง่ายดาย มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายอู๋อี้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้


อู๋อี้ทำจิตใจให้สงบ เอ่ยเบาๆ ว่า “บุตรอกตัญญูคารวะบิดา”


ที่แท้แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็คืออดีตรองเจ้ากรมการคลังของแคว้นหวงถิง รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋นในปัจจุบัน ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานของชีวิต ไม่รู้ว่าเจียวเฒ่าตัวนี้เปลี่ยนนามแฝงมาแล้วกี่ครั้ง


ผู้เฒ่ามองอู๋อี้แล้วก็คลี่ยิ้มให้นางอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “เจ้ายิงธนูดอกเดียว แต่ได้นกถึงสามตัว ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้ามีไหวพริบเช่นนี้?”


อู๋อี้หวาดหวั่นไม่เป็นสุข ด้วยรู้สึกว่าบิดากำลังเหน็บแนม พูดจาแฝงความนัย เกรงว่านาทีถัดมาตนคงต้องประสบหายนะ จึงเกิดความคิดที่จะเผ่นหนีไปให้ไกลแล้ว


ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือมาวางบนราวระเบียง เอ่ยเนิบช้าว่า “เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นเอาความสามารถที่ไหนมาสร้างหายนะให้แก่เซียวหลวนแม่น้ำป๋ายกู่ การเดินทางไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างเอิกเกริกคราวนั้น ก็แค่ไปดื่มเหล้ากับงูน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น กว่าที่เด็กชายชุดเขียวแห่งภูเขาลั่วพั่วที่ตบหน้าตัวเองให้กลายเป็นคนอ้วน (เปรียบเปรยถึงคนที่หน้าใหญ่ใจโต/ไม่ประมาณตน) ผู้นั้นจะขอแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งมาให้สหายได้สำเร็จ ตอนนั้นก็ต้องวิ่งชนตอไปทั่วทิศ เหนื่อยยากเปลืองแรงอยู่มาก ในความเป็นจริงแล้วก็แค่เซียวหลวนกังวลจนเสียกระบวนไปเอง เหมือนคนเป็นโรคร้ายที่หาหมอส่งเดช ถึงได้ยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเองมาสวามิภักดิ์ต่อจวนจื่อหยางของพวกเจ้า แต่การที่เซียวหลวนตัดใจละทิ้งความสัมพันธ์ควันธูปกับสกุลหงได้ก็นับว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง อุทิศตนเพื่อจวนจื่อหยาง นางมีแต่จะได้รับผลประโยชน์ ส่วนเจ้าก็สามารถนอนนับเงิน ต่างคนต่างก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน นี่คือข้อแรก”


ผู้เฒ่าแบฝ่ามือ ก้มหน้าลงมองแล้วส่ายหน้า จากนั้นจึงไพล่สองมือไว้ด้านหลัง เอ่ยต่อว่า “วิธีการที่เจ้าใช้ประจบเอาใจเฉินผิงอันเป็นวิธีชั้นต่ำเกินไป แข็งทื่อเกินไป โดยเฉพาะในงานเลี้ยงโถงเซวี่ยหมางที่ถึงขั้นคิดจะข่มเฉินผิงอัน แต่กลับเหมือนการเข้าผิดออกผิดบนกระดานหมากล้อมที่กลับกลายเป็นว่าล้ำเลิศ ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกดีต่อเจ้าขึ้นอีกไม่น้อย เพราะหากเจ้าเอาแต่แสดงออกว่ามีจิตใจที่ลึกล้ำ เฉินผิงอันก็มีแต่จะยิ่งระแวงเจ้ามากขึ้น รู้สึกกริ่งเกรงและคอยป้องกันเจ้ากับจวนจื่อหยางอยู่ตลอดเวลา ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจผูกความสัมพันธ์ในยุทธภพอะไรกันได้เลย จุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ที่สายฝนซึ่งเดิมทีเจ้าคิดจะช่วยอำพรางตัวเซียวหลวน สร้างภาพลวงตาว่าเทพแห่งสายน้ำเกิดความรักผลิบาน คาดไม่ถึงว่าจะกลับกลายเป็นการมอบโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดให้แก่เฉินผิงอัน หากไม่เป็นเพราะข้าจงใจระงับเอาไว้ เกรงว่าปรากฎการณ์ประหลาดของฟ้าดินต้องเอิกเกริกกว่านี้มากนัก ไม่เพียงแต่จวนจื่อหยาง แต่ทั้งลำคลองเถี่ยเชวี่ยน หรือแม้แต่ภูตผีปีศาจและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ำป๋ายกู่ก็ล้วนเกิดใจขานรับ ได้รับผลบุญกันถ้วนหน้า คำกล่าวที่ว่าอริยะชอบภูเขาแต่ใกล้ชิดกับสายน้ำมากกว่ามีความรู้ยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ ดังนั้นการกระทำของเจ้าทำให้พ่อประหลาดใจอย่างมาก เป็นความประหลาดใจที่แฝงไว้ด้วยความยินดี นี่ก็คือข้อที่สอง”


ผู้เฒ่าหันหน้ามายิ้มให้ “ส่วนข้อสุดท้าย ครั้งนี้ที่บอกให้เจ้าเชิญเฉินผิงอันมาเป็นแขกในจวนจื่อหยาง เป็นแผนการของใต้เท้าราชครู ราชครูชุยบอกกับข้าอย่างชัดเจนว่าจะต้องทำให้การเดินทางกลับบ้านเกิดของเฉินผิงอันช้าลงกว่าเดิม ส่วนสิ่งที่ราชครูต้องการ เขาย่อมไม่เอามาพูดกับคนนอกอย่างข้า แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากรู้ มามีส่วนร่วมกับเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าทั้งเจ้าและข้าจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรด้วย แต่คราวนี้เจ้าช่วยพ่อทำเรื่องนี้สำเร็จก็เท่ากับว่าพ่อช่วยเหลือราชครูชุยไปเล็กน้อย วันหน้าจวนจื่อหยางจะต้องได้รับรางวัลจากต้าหลีแน่นอน เจ้าก็รอฟังข่าวดีเถอะ”


นี่เป็นข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้า เพียงแต่อู๋อี้อดรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวไม่ได้ ให้ตายนางก็นึกไม่ถึงว่าบิดาจะเฝ้ามองเรื่องตลกครั้งนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ


อู๋อี้ที่เวลานี้เผชิญหน้ากับเจียวเฒ่าในระเบียงของหอสูงคงจะรู้สึกพอๆ กับตอนที่ฮูหยินเซียวหลวนเผชิญหน้ากับอู๋อี้ในเรือนเล็กกระมัง


เจียวเฒ่าที่แต่งกายไม่ต่างจากปราชญ์ผู้รอบรู้แห่งโลกมนุษย์แบมือออกอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดแน่น “นี่จะมองอะไรออกกันนะ?”


อู๋อี้แอบชำเลืองตามองมา


เห็นเพียงว่าบิดาใช้วิชาอภินิหารรวบรวมแก่นไอน้ำไอหมอกที่อยู่ท่ามกลางปราณวิญญาณฟ้าดินให้กลายเป็นหยดน้ำหลายเม็ดกลางฝ่ามือ คล้ายหยดน้ำที่ยังค้างอยู่บนใบบัวหลังจากฝนตก จากนั้นหยดน้ำทั้งหลายก็ระเบิดแตกอยู่กลางฝ่ามือของบิดาไปพร้อมๆ กัน กลายเป็นน้ำฝนหนึ่งกอง บิดาจ้องมองมันนิ่งๆ อยู่นาน ยังคงทำท่าทางฉงนไม่เข้าใจ ก่อนจะร่ายหยดน้ำหลายเม็ดขึ้นมาอีกครั้ง ในสายตาของอู๋อี้ ดูเหมือนว่าบิดาที่ความรู้ไม่เป็นรองอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อจะลังเลอยู่เล็กน้อย เขายื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมา เทหยดน้ำที่อยู่ในมือข้างเดิมลงไปยังมือข้างที่เพิ่งยื่นมา ทันใดนั้นอู๋อี้ก็เห็นว่ากลางฝ่ามือของบิดามีแสงทองเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ไม่รอให้อู๋อี้เพ่งสายตามองให้ชัดๆ บิดาก็หุบมือกำเป็นหมัดอย่างว่องไว อู๋อี้จึงมองไม่เห็นภาพปรากฎการณ์กลางฝ่ามือของบิดาอีก


ผู้เฒ่าใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ พอคืนสติกลับมาก็ยิ้มกล่าวกับอู๋อี้ว่า “ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”


อู๋อี้ย่อมไม่กล้าซักไซ้ไล่เรียงอยู่แล้ว


ผู้เฒ่าถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดสรรพชีวิตบนโลกถึงพากันแสวงหาเนื้อหนังมังสาของมนุษย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย? ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าร่างกายของมนุษย์อ่อนแอถึงเพียงนั้น แม้แต่การกินอาหารเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดก็ยังกลายมาเป็นอุปสรรคในการฝึกตน ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณจึงพิถีพิถันเรื่องการหลีกเลี่ยงธัญพืชทั้งห้า ป้องกันไม่ให้กลิ่นเหม็นไปรบกวนจิตวิญญาณ ทำให้ลมปราณในครรภ์กระจัดกระจายจนไม่อาจเปลี่ยนจากคนแก่กลับคืนมาเป็นทารกที่เพิ่งก่อกำเนิดได้อีกครั้ง? หันกลับมามองเผ่าพันธุ์เจียวหลงอย่างพวกเราที่ได้รับความรักความเมตตาจากสวรรค์ ไม่เพียงแต่เกิดมาก็มีร่างกายและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง สติปัญญาก็ไม่ด้อยไปว่ามนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมเจ้าและข้าต่างก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยรูปลักษณ์ของมนุษย์?”


อู๋อี้รู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเปิดปากพูดง่ายๆ เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับช่องโพรงลมปราณของมนุษย์ หรือแม้แต่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลต่างก็กลายเป็นความรู้ทั่วไปของผู้ฝึกตนบนภูเขาและภูตผีปีศาจทั้งหมดมานานแล้ว ทว่าบิดาไม่มีทางพูดเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านี้กับตนแน่นอน ถ้าเช่นนั้นความลี้ลับอยู่ที่ตรงใด?


ผู้เฒ่าไม่ได้ทำให้อู๋อี้ที่เป็นหนึ่งในทายาทซึ่งเหลืออยู่อีกไม่มากลำบากใจนานนัก “ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่คำคำเดียว กลับคืน”


ผู้เฒ่ายื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดวงกลมหนึ่งวงกลางอากาศ


อู๋อี้จมสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด


ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เจ้าอายุยังน้อย มีประสบการณ์ทางโลกไม่มาก อย่าว่าแต่ทัศนียภาพของเมื่อสามพันปีก่อนเลย แม้แต่เมื่อหมื่นปีก่อน หากพ่อไม่เล่าให้เจ้าฟัง เจ้าจะไปหาคำตอบมาจากที่ไหน”


อู๋อี้สีหน้าเคร่งเครียด รู้ว่าบิดากำลังมอบโอกาสในการบรรลุมรรคาให้แก่ตน!


ขอบเขตโอสถทองของนางหยุดนิ่งไม่ขยับเคลื่อนมาสามร้อยกว่าปีแล้ว วิชานอกรีตที่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้นั้น ในฐานะที่นางเป็นทายาทของเผ่าพันธุ์เจียวหลง เมื่อฝึกฝนมันขึ้นมา ไม่เพียงแต่ไม่เหนื่อยน้อยได้ผลสำเร็จมาก กลับกันยังมีแต่อุปสรรคติดขัด กว่าจะอาศัยความพยายามมุมานะจนเลื่อนเป็นโอสถทองขั้นสูงสุดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าร้อยกว่าปีหลังจากครั้งนั้นเป็นต้นมา คอขวดของโอสถทองที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยก็ทำให้นางสิ้นหวังยิ่งนัก


ผู้เฒ่าเงยหน้ามองม่านฟ้า “เจ้าไม่สงสัยบ้างเลยหรือว่าคนธรรมดามากมายที่อยู่ในสามลัทธิ เมธีร้อยสำนักและสามใต้หล้าของทุกวันนี้ มาจากที่ไหน? แล้วทำไมถึงต้องมา? สุดท้ายกลายมาเป็นเจ้าของใต้หล้าได้อย่างไร? อืม ข้อสุดท้ายนี่ในป่าเขามีข่าวลืออยู่มากมาย บ้างก็อยู่ใกล้ความจริง บ้างก็อยู่ไกลห่างออกไป เจ้าอาจจะพอเข้าใจเรื่องวงในส่วนหนึ่งได้คร่าวๆ”


อู๋อี้พยักหน้ารับ


เมื่อสามพันปีก่อน มังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายของโลกหนีออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่สามารถควบคุมชะตาน้ำในตอนนั้นเลือกไปขึ้นฝั่งที่นครมังกรเฒ่าทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป ระหว่างนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงร่วงลงไปยังใต้ผืนแผ่นดินใหญ่ ลอดทะลุทะลวงอยู่ใต้ดินจนเกิดเป็นเส้นทางมังกรเดินสายหนึ่ง จนกระทั่งถูกผู้ฝึกตนใหญ่ไม่ทราบชื่อแซ่คนหนึ่งใช้วิชาสยบขุนเขาซึ่งในปัจจุบันหายสาบสูญไปแล้วกำราบ จำต้องแหวกทะลุดินออกมา ก่อนจะตาย มังกรที่แท้จริงตัวนั้นเลือกทิ้งกายลงใกล้กับบริเวณของถ้ำสวรรค์หลีจูที่ปรากฎในภายหลัง แล้วก็ตายไปทั้งอย่างนั้น ผู้ฝึกตนใหญ่ใช้เวทลับสร้างถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้นขึ้นมา มันจึงเป็นดั่งไข่มุกเม็ดหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือราชวงศ์ต้าหลี


ผู้เฒ่าถอนหายใจ “ความสามารถในการตื่นรู้ของเจ้านี้ ช่างย่ำแย่ซะจริง”


อู๋อี้รู้สึกน้อยใจนิดๆ


ผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เปลี่ยนจวนจื่อหยางให้กลายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งในฉับพลัน แล้วจึงหยิบเอาเรือตระกูลเซียนลำเล็กที่ปีนั้นเขาเคยล่องเรือไปเยือนม่านฟ้าดาวดารดาษออกมา ก้าวขึ้นไปในเรือไม้ก่อน บอกเป็นนัยให้อู๋อี้ก้าวตามมา แล้วถึงกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเคยปรากฏขึ้นในโลก คืออะไร?”


อู๋อี้กล่าวอย่างขลาดๆ “บรรพจารย์ของสามลัทธิ? แล้วก็ยังมีเหล่าผู้อาวุโสใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ไม่ยินดีเผยกายบนโลก? ฝ่ายแรกขอแค่อยู่ในฟ้าดินของตัวเองก็จะไม่ต่างจากเทพเทวดาบนสรรค์ ส่วนฝ่ายหลัง ถึงอย่างไรก็หลุดพ้นจากขอบเขตของการแบ่งแยกระดับสูงต่ำทั้งหลายไปแล้ว และก็มีวิชาเซียนอภินิหารอันน่าเหลือเชื่อ…”


ผู้เฒ่าไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนอย่างไม่ใส่ใจ ยิ้มกล่าวว่า “ศาลจีเซียง ศาลเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่ห่างไป ขยับไปไกลอีกนิดก็คือจวนแม่น้ำหันสือของน้องชายเจ้า รวมไปถึงศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาที่อยู่รอบด้าน มีอะไรที่เหมือนกัน? ช่างเถิด ข้าพูดตรงๆ เลยดีกว่า ด้วยสมองนี้ของเจ้า กว่าเจ้าจะได้คำตอบก็คงต้องสิ้นเปลืองปราญวิญญาณที่ข้าสะสมมาอย่างเสียเปล่า ข้อที่เหมือนกันก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาในสายตาของคนบนโลกเหล่านี้ ขอแค่มีศาลแล้วก็ต้องสร้างร่างทอง ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่คุณสมบัติในการฝึกตนของเจ้าจะย่ำแย่แค่ไหน หากกลายมาเป็นองค์เทพที่มีร่างทองได้ นั่นก็เรียกว่าเดินขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว หลังจากนั้นยังต้องฝึกตนอีกไหม? ก็แค่กินควันธูปเท่านั้น ยิ่งกินมากเท่าไหร่ตบะก็ยิ่งสูง ความเร็วในการเสื่อมสภาพของร่างทองก็ยิ่งช้าลง วิธีนี้กับการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณคือเส้นทางใหญ่สองเส้น ดังนั้นนี่จึงเรียกว่าเทพเซียนมีความต่าง เมื่อทำได้แล้วค่อยหันกลับมาพูดถึงคำว่ากลับคืนอีกครั้ง เข้าใจแล้วหรือยัง?”


อู๋อี้ส่ายหน้า “ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”


ผู้เฒ่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “หากวันใดที่เจ้าหายเข้ากลีบเมฆไปก็คงเพราะโง่จนตายแน่ๆ รู้หรือไม่ว่าเหตุใดเพื่อเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเหมือนกันแล้ว น้องชายของเจ้าถึงได้อำมหิตต่อตัวเองมากกว่าเจ้า ยอมสละวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตมากมายของเผ่าพันธ์เจียวหลง ทำให้ตัวเองกลายเป็นเทพวารีของแม่น้ำสายหนึ่งที่ถูกพันธนาการมือเท้า?”


ดวงตาอู๋อี้เป็นประกาย “หากพวกเราอยาก ‘กลับคืน’ สู่ทารกก่อกำเนิด ก็ต้องกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์?”


ผู้เฒ่าใช้สายตาเวทนามองบุตรสาวคนนี้ เขาเริ่มรู้สึกหมดอารมณ์จะพูดคุย สมกับเป็นไม้ผุที่มิอาจแกะสลักจริงๆ “ทิศทางของน้องชายเจ้านั้นถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่าสุดโต่งเกินไป กลายเป็นว่าตัดขาดมหามรรคาของเผ่าพันธ์เจียวหลงไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นข้าจึงหมดหวังกับเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางมาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า เจ้าตั้งใจศึกษาวิชานอกรีต ยืมหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก ก็ถือว่าทำถูกเหมือนกัน เพียงแต่ยังไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เดินยังไม่ไกลมากพอ แต่จะดีจะชั่วเจ้าก็ยังพอมีโอกาสเหลืออีกเสี้ยวหนึ่ง”


ผู้เฒ่ายื่นนิ้วมือข้างหนึ่งออกมาเคาะราวระเบียง “ไม่ใช่สองฝั่ง แต่อยู่ตรงนี้ อยู่ระหว่างเทพและคน นี่จึงจะเป็นรากฐานมหามรรคาที่สอดคล้องกับเผ่าพันธ์เจียวหลงมากที่สุด นี่ก็คือขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของบรรพบุรุษพวกเราเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ช่วงเวลานั้นเจียวหลงปกครองห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรในใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร ทุกสถานที่ที่มีน้ำล้วนเป็นอาณาเขตของพวกเรา เพียงแต่น้องชายของเจ้าฉลาดเกินจนเสียรู้ เข้าใจผิดคิดว่าการ ‘แต่งตั้ง’ ตามระบบที่ถูกต้องของวิถีเทพไม่แตกต่างจากการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ของราชสำนักในทุกวันนี้ คิดอย่างนั้นก็คือไร้ทางเยียวยาแล้ว นี่ทำให้เขาเดินไปบนทางแยกสายนั้น เพียงแต่ทุกวันนี้กฎเกณฑ์ของฟ้าดินเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบต่อพวกเรามาก เพราะหายนะนองเลือดของปีนั้น พวกเราจึงถูกมหามรรคาที่มองไม่เห็นรังเกียจเดียดฉันท์ ดังนั้นการเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดจึงลำบากแสนเข็ญ…”


ในที่สุดอู๋อี้ก็อดไม่ไหวถามว่า “ท่านพ่อ ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าควรจะฝึกตนอย่างไรถึงจะเป็นก่อกำเนิดได้ ท่านพูดกับลูกมาตรงๆ เถอะ!”


ผู้เฒ่าหัวเราะ ย้อนถามว่า “เจ้ากับข้าคือพ่อลูกกัน เจ้าก็เลยรู้สึกว่าเจ้าฝึกตน ข้าถ่ายทอดวิชา เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว?”


อู๋อี้รู้สึกเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ รู้สึกว่าอีกเดี๋ยวตนต้องเจ็บตัวแน่

 

 

 


บทที่ 425.2 ขี่กระบี่ไปเยือนทะเลเมฆ

 

แล้วก็จริงดังคาด ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงหยัน “บิดาเมตตาบุตรกตัญญู ความคิดเช่นนี้เป็นลัทธิขงจื๊อที่สอนเจ้า ไม่ใช่พ่อที่สอนเจ้า พ่อไม่เคยคาดหวังว่าลูกหลานจะกตัญญูและนอบน้อมเชื่อฟัง ข้อนี้เจ้าควรจะรู้ชัดเจนดีกว่าพี่น้องชายหญิงที่อยู่ในท้องของพ่อไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าควรจะทำตัวเป็นบุตรสาวอย่างไรจึงจะถูกต้อง?”


อู๋อี้หน้าซีดขาว


ผู้เฒ่าแสยะปากเผยให้เห็นฟันสีขาวหิมะ “ภายในเวลาร้อยปี หากเจ้ายังไม่อาจกลายเป็นก่อกำเนิดได้ ข้าจะกินเจ้าซะ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะสิ้นเปลืองปราณเจียวหลงของข้าไปเปล่าๆ เห็นแก่ที่เจ้าทำงานได้ดี จะบอกข่าวหนึ่งแก่เจ้า บนร่างของเฉินผิงอันยังมีหินดีงูก้อนที่ก่อตัวขึ้นมาจากแก่นเลือดของมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้าย มีหลายก้อนที่คุณภาพดีเยี่ยม เมื่อเจ้ากินเข้าไปแล้ว แม้จะไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด แต่จะดีจะชั่วก็สามารถยกระดับพลังการต่อสู้ของเจ้าได้อีกขั้นหนึ่ง เมื่อถึงวันที่ข้ากินเจ้าลงท้อง เจ้าก็สามารถดิ้นรนขัดขืนได้มากหน่อย เป็นอย่างไร พ่อเมตตาต่อเจ้ามากเลยใช่ไหม?”


อู๋อี้ที่มีเรือนกายสูงเพรียวตัวสั่นเทิ้ม


ผู้เฒ่าพลันพูดอย่างสะท้อนใจว่า “เจ้ากินเผ่าน้ำที่กลายเป็นภูตจนอิ่มท้อง ส่วนข้าก็กินพวกเจ้า รวบรวมโชคชะตาเอาไว้ด้วยกัน ชุยตงซานที่ได้ครอบครองคราบร่างบรรพกาลก็ย่อมสามารถกินข้าได้ จะทำอย่างไรดี?”


ผู้เฒ่าส่งยิ้มให้อู๋อี้ “ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าตบะสูง ความสามารถมาก นี่ต่างหากที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาลูกหนึ่งเสมอ ฉะนั้นแล้วพวกเราจึงยังต้องขอบคุณกฎที่เหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อตั้งขึ้น ไม่อย่างนั้นเจ้ากับน้องชายคงกลายเป็นอาหารในจานของพ่อนานแล้ว ส่วนข้าก็น่าจะกลายเป็นของในกระเป๋าของชุยตงซาน อย่ามองว่าแต่ละแคว้นที่อยู่ตีนเขาของใต้หล้าในทุกวันนี้ตีกันไปตีกันมา พรรคบนภูเขาก็แย่งชิงกันไม่หยุด เมธีร้อยสำนักเองก็ปัดแข้งปัดขากัน แต่นี่สมควรใช้คำว่ากลียุคแล้วหรือ? ฮ่าๆ ไม่รู้ว่าหากเหตุการณ์ของเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนปรากฎขึ้นอีกครั้ง ทุกคนที่อยู่ในยุคปัจจุบันจะพากันวิ่งไปที่ศาลบุ๋นของแต่ละเขตการปกครองเพื่อโขกหัวคำนับหรือไม่?”


สำหรับ ‘เรื่องใหญ่’ พวกนี้ อู๋อี้กลับไม่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งอะไรด้วยนัก


จิตใจของนางยังคงพะวงถึงวิธีการเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด


ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “เจ้ามอบของอะไรสี่ชิ้นให้เฉินผิงอัน?”


อู๋อี้ตอบไปตามตรง “เลือกอย่างละชิ้นจากแต่ละชั้น หนึ่งคือเหล็กอุกกาบาตที่ฟูมฟักท่ามกลางเสียงฟ้าร้องแรกในฤดูใบไม้ผลิ แล้วหล่นลงมาในโลกมนุษย์ ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ หนักหกจิน ชิ้นหนึ่งคือชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมที่ทำจากหญ้าวสันต์เป็นเสื้อตัวบางๆ ยันต์ ‘คนงามหนังจิ้งจอก’ หกแผ่นที่สกุลซวี่นครลมเย็นทำขึ้นเป็นพิเศษ เมล็ดบ๊วยสีเขียวชิ้นหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น พอฝังไว้ใต้ดิน ระยะเวลาหนึ่งปีก็เติบโตกลายเป็นต้นหยางเหมยที่มีอายุยาวนานเป็นพันปี ทุกๆ ครั้งที่ถึงวันเปลี่ยนยี่สิบสี่ฤดูกาลก็จะแผ่ปราณวิญญาณออกมา ก่อนหน้านี้พรรคหลิงอวิ้นได้ส่งบรรพจารย์คนหนึ่งมา หมายจะทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อไป แต่ข้าก็ตัดใจขายไม่ลง”


ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “แรงไฟกำลังพอดี” (อุปมาถึงความชำนาญ/เปรียบเปรยถึงช่วงเวลาสำคัญที่กำลังคับขัน)


ผู้เฒ่าพลันหัวเราะ “อย่าทิ้งสายตาให้คนตาบอดดูอีกเลย องค์เทพขุนเขาเหนือเว่ยป้อย่อมต้องอธิบายให้เฉินผิงอันฟังอย่างชัดเจน แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้น…เฉินผิงอันต้องเดินทางไปให้ถึงภูเขาลั่วพั่วเสียก่อน นี่ก็คือผลลัพธ์จากการประลองฝีมือระหว่างราชครูชุยฉานกับชุยตงซาน”


อู๋อี้ฟังความนัยที่น่าตะลึงในคำพูดนี้ออก ชุยฉานกับชุยตงซานประลองฝีมือกัน? แต่นางยังคงยึดติดอยู่กับคำกล่าวที่ว่า ‘ระหว่างคนและเทพ’ จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปการวิงวอนขอร้อง “ท่านพ่อ หากข้าสามารถเลื่อนขั้นสู่ก่อกำเนิดได้จะไม่ยิ่งช่วยท่านพ่อทำธุระได้มากกว่าเดิมหรอกหรือ?”


ผู้เฒ่ากลับเก็บเรือลำเล็ก สลายวิชาอภินิหารฟ้าดินขนาดเล็กทิ้งไป ทะยานร่างวูบย้อนกลับไปยังภูเขาพีอวิ๋นของต้าหลี


ทิ้งอู๋อี้ที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและหวาดกลัวไว้เพียงลำพัง


ระยะเวลาร้อยปี


คืออายุขัยยาวนานที่คนธรรมดาปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน แต่ในสายตาของอู๋อี้ จะนับเป็นอะไรได้?


……


เทพลำคลองศาลจีเซียงกระตือรือร้นเกินความจำเป็นมาตลอดทาง เฉินผิงอันจึงได้แต่เอาจูเหลี่ยนออกมาต้านรับหายนะครั้งนี้แทน


เพียงไม่นานจูเหลี่ยนก็เรียกขานกับเทพวารีลำคลองเถี่ยเชวี่ยนเป็นพี่เป็นน้อง พอไปถึงท่าเรือ คนทั้งสองต่างก็อาลัยอาวรณ์ที่จะต้องแยกจากกัน เทพลำคลองเรียกจูเหลี่ยนว่าพี่ใหญ่ได้อย่างคล่องปากและจริงใจยิ่ง


เทพลำคลองขับเรือข้ามฟากกลับไป เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนดึงสายตากลับมา เฉินผิงอันยิ้มถามว่า “คุยอะไรกันถึงได้ถูกคอกันขนาดนี้”


จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “ผู้ชายยังจะคุยอะไรกันได้อีกเล่า ก็เรื่องผู้หญิงไง พูดถึงฮูหยินเซียวหลวนนั่นมาเสียครึ่งทาง”


เฉินผิงอันจึงคร้านจะพูดอะไรอีก


จูเหลี่ยนพลันกล่าวด้วยสีหน้าเขินอาย “นายน้อย วันหน้าหากเจอเหตุการณ์ที่ยุทธภพอันตรายอีก ขอให้บ่าวเฒ่าช่วยแบ่งเบาภาระได้หรือไม่? บ่าวเฒ่าเองก็ถือว่าเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว ไม่กลัวที่จะฝ่าลมฝ่าคลื่นมรสุมมากที่สุด องค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำอย่างฮูหยินเซียวหลวนนี้ บ่าวเฒ่ากลับไม่กล้าคาดหวังว่าจะคว้ามาไว้ในมือได้สำเร็จ แต่ขอแค่ปลดปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่ งัดเอาความมีเสน่ห์น้อยนิดของปีนั้นออกมาจากซอกเล็บ สาวใช้ที่อยู่ข้างกายฮูหยินเซียวหลวน และยังมีพวกผู้ฝึกตนหญิงของจวนจื่อหยางพวกนั้น อย่างมากสุดก็แค่สามวัน…”


เฉินผิงอันรีบตัดบทคำพูดของจูเหลี่ยน ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ยังอยู่ข้างกาย อายุของแม่หนูน้อยยังไม่มาก แต่กลับจะยิ่งจดจำคำพูดเหล่านี้ได้ดีเป็นพิเศษ ตั้งใจยิ่งกว่ายามเรียนหนังสือเสียอีก


จูเหลี่ยนยังคงไม่ยอมแพ้ พูดพึมพำว่า “นายน้อย น้ำและดินของสถานที่หนึ่งเลี้ยงผู้คนแบบหนึ่ง ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดคงต้องมีสาวงามมากมายดุจก้อนเมฆเลยกระมัง?”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “หากพูดถึงเรื่องหน้าตาแล้ว ดูเหมือนจะไม่ต่างจากพวกชาวบ้านในเมืองเล็กสักเท่าไหร่”


จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “ความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบแท้ๆ”


แต่เพียงไม่นานจูเหลี่ยนก็กล่าวว่า “บ่าวเฒ่าบังอาจพูดคุยถึงเรื่องบางอย่างของซุนเติงเซียนกับน้องเล็กเทพลำคลองโดยพลการ คาดว่าวันหน้าต่อให้ซุนเติงเซียนไปเจอปัญหาในแคว้นหวงถิง ขอแค่น้องเล็กเทพลำคลองที่เชี่ยวชาญการศึกษาค้นคว้าได้ยินเข้า ไม่แน่ว่าอาจจะพอช่วยซุนเติงเซียนได้บ้าง เพียงแต่ว่านายน้อยเองก็ต้องเตรียมตัวให้ดี ต่อให้อยู่ห่างไกล มีพันภูเขาหมื่นแม่น้ำกางกั้น เทพลำคลองศาลจีเซิงก็คงยังไปขอความดีความชอบจากนายน้อยอยู่บ่อยครั้ง”


เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้จูเหลี่ยน “เรื่องนี้ทำได้ดีเยี่ยม”


จูเหลี่ยนกล่าวอย่างสงสัย “เหตุใดนายน้อยถึงได้เลื่อมใสซุนเติงเซียนมากขนาดนี้?”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่ลังเล “เพราะเขาคือจอมยุทธใหญ่อย่างไรล่ะ พวกเราท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่เลื่อมใสจอมยุทธใหญ่ หรือจะให้ไปเลื่อมใสโจรเด็ดบุปผาเล่า”


จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นายน้อย ข้าจูเหลี่ยนไม่ใช่โจรเด็ดบุปผานะ! ข้าเป็นคนมีเสน่ห์โด่งดัง…”


ประโยคเดียวของเฉินผิงอันก็ทำให้จูเหลี่ยนชะงักได้ทันที “เจ้าโม้มากกว่ากระมัง”


เผยเฉียนโคลงศีรษะ พูดราดน้ำมันลงบนกองเพลิงด้วยน้ำเสียงเลียนแบบเฉินผิงอัน “เจ้าโม้มากกว่ากระมัง”


จูเหลี่ยนทำท่ายกเท้า ทำเอาเผยเฉียนตกใจรีบวิ่งหนีไปไกล


เฉินผิงอันยังคงไม่เลือกด่านเหย่ฟูเป็นเส้นทางเข้าอาณาเขตเฉกเช่นครั้งแรกที่เดินทางกลับจากต้าสุยไปถึงบ้านเกิด


ไปถึงอำเภอเฟิงหย่าที่อยู่ริมชายแดนแคว้นหวงถิงอีกครั้ง เมื่อมาถึงที่นี่ก็หมายความว่าอยู่ห่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนไม่ถึงหกร้อยลี้


เมื่อขยับเดินหน้าไปอีกนิดก็จะผ่านสะพานไม้เลียบติดหน้าผาระยะทางยาวไกลเส้นหนึ่ง ครั้งนั้นข้างกายมีเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู ท่ามกลางลมหิมะหวีดหวิว เฉินผิงอันหยุดพักเท้าก่อไฟ แล้วก็ได้พบกับนายบ่าวคู่หนึ่งที่ผ่านทางมาโดยบังเอิญ


ยิ่งเฉินผิงอันใคร่ครวญถึงสีหน้าอันอบอุ่นและบุคลิกอันสุขุมเยือกเย็นของบุรุษผู้นั้นก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือที่ฝีมือสูงส่งมากคนหนึ่ง


ผ่านอำเภอเฟิงหย่าไป ท่ามกลางแสงสนธยา คนทั้งกลุ่มก็มาถึงสะพานไม้เลียบหน้าผาที่คุ้นเคยดีเส้นนั้น


เฉินผิงอันเลือกตำแหน่งที่กว้างขวาง คิดจะพักแรมที่นี่ กำชับเผยเฉียนว่าตอนที่ฝึกวิชากระบี่มารคลั่งอย่าได้อยู่ใกล้กับขอบของสะพานไม้มากนัก


เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “ถึงอย่างไรพ่อครัวเฒ่าก็บินได้ ต่อให้ข้าตกลงไปโดยไม่ทันระวัง เขาก็คงช่วยข้าได้กระมัง?”


เฉินผิงอันตอบอย่างเรียบง่าย “คิดจะบังคับลมทะยานไกลก็บอกให้จูเหลี่ยนช่วยเจ้าได้โดยตรง แต่เวลาฝึกกระบี่แล้วต้องระวัง มันเป็นคนละเรื่องกัน”


เผยเฉียนร้องอ้อรับหนึ่งที


เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่า แล้วก็เริ่มฟาดฟ้าฟาดดินฟาดภูตผีปีศาจของตัวเองไป


แต่ละครั้งทำเอาจูเหลี่ยนเห็นแล้วแสบตายิ่งนัก


แต่สือโหรวกลับชอบดูการเล่นสนุกของเผยเฉียน จึงนั่งลงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง ชื่นชมวิชากระบี่ของเผยเฉียน


ฝึกฝนอย่างยากลำบากไปคำรบหนึ่งจนเหงื่อแตกเต็มตัว เผยเฉียนถึงวางไม้เท้าเดินป่าลง หยิบหีบไม้ไผ่ของอาจารย์มาวางตั้งขวาง ทำเป็นโต๊ะหนังสือ พอหยิบทรัพย์สมบัติของตัวเองออกมาแล้วก็ฉวยโอกาสที่ยังมีแสงอาทิตย์อัสดงเสี้ยวสุดท้าย นั่งลงตรงนั้นแล้วเริ่มคัดตัวอักษร


คัดตัวอักษรเสร็จ จูเหลี่ยนก็หุงข้าวเสร็จพอดี เผยเฉียนและสือโหรวหยิบชามและตะเกียบออกมา ส่วนจูเหลี่ยนก็หยิบจอกเหล้ามาสองใบ เฉินผิงอันเอาเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ คนทั้งสองจะจิบเหล้าเบาๆ เป็นบางครั้ง


เผยเฉียนกินข้าวถ้วยใหญ่หมดไปหนึ่งถ้วยอย่างรวดเร็วปานพายุลมกรด เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนเพิ่งจะเริ่มดื่มจอกที่สอง นางก็ยิ้มตาหยีถามเฉินผิงอันว่า “อาจารย์ ขอข้าดูกล่องไม้จื่อถานใบเล็กนั่นหน่อยได้ไหม หากของข้างในหายไป พวกเราก็จะได้รีบย้อนกลับไปตามหาทางเดิมไงล่ะ”


เฉินผิงอันซดเหล้าดังซวบ ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ไปดูเองเลย”


เผยเฉียนจึงหยิบกล่องไม้ใบเล็กงดงามออกมาจากในหีบไม้ไผ่ กอดมันมานั่งขัดสมาธิตรงหน้าเฉินผิงอัน พอเปิดออกดูก็ไล่นับไปทีละชิ้น ก้อนเหล็กขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือแต่กลับหนักอึ้ง เสื้อสีเขียวตัวหนึ่งที่ทบซ้อนกันแล้วก็ยังหนักไม่ถึงสองตำลึง ยันต์ที่วาดเป็นรูปสาวงามหนึ่งปึก นางทำท่าพลิกไปพลิกมาอย่างละเอียดราวกับกลัวว่าพวกมันจะมีขาวิ่งหนีไป แล้วจู่ๆ เผยเฉียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “อาจารย์ อาจารย์ เม็ดบ๊วยนั่นหายไปแล้ว! จะทำอย่างไรดีๆ จะให้ข้าย้อนกลับไปหาดูดีไหม?”


จูเหลี่ยนกลอกตามองบน


สือโหรวหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ นังหนูนี่เวลาหลอกคนอื่น ช่วยเก็บซ่อนรอยยิ้มในดวงตาให้ดีหน่อยได้ไหม?


เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “ไม่เป็นไร ตอนนี้อาจารย์มีเงิน หายแล้วก็หายไปเถอะ”


เผยเฉียนส่งเสียงหัวเราะดังฮิ พลันพลิกข้อมือ แบมือออกแล้วกล่าวว่า “อาจารย์ ดีใจหรือไม่ เมื่อครู่นี้พวกเราต่างก็คิดว่ามันหายไปแล้ว ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าตอนนี้พวกเรามีเม็ดบ๊วยเพิ่มขึ้นมาอีกเม็ดหนึ่งแล้ว”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


เผยเฉียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อาจารย์ ท่านนี้โง่จริงๆ มันไม่ได้หายไปสักหน่อย แค่นี้ท่านก็มองไม่ออกหรือ”


เฉินผิงอันดีดหน้าผากเผยเฉียนหนึ่งที


เผยเฉียนไม่สะทกสะท้าน ทำท่ากดลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน “ไม่เจ็บเลยสักนิด!”


จูเหลี่ยนอดทนมานานจนทนไม่ไหวอีกต่อไป ดีดนิ้วกลางอากาศหนึ่งที


ความเจ็บมาเยือนกะทันหันจนเผยเฉียนไม่ทันได้ตั้งตัว นางเก็บเม็ดบ๊วยใส่กลับไว้ในกล่องใบเล็กแล้วรีบก้มตัวย้ายกล่องไปวางด้านข้าง จากนั้นก็ยกสองมือกุมหัว ร้องไห้จ้าเสียงดัง


เฉินผิงอันหัวเราะปากกว้าง


พอเห็นว่าอาจารย์ไม่สงสารนาง เผยเฉียนที่แอบมองอาจารย์ผ่านร่องนิ้วก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม


เฉินผิงอันจึงรีบเก็บรอยยิ้ม ถามว่า “อยากเห็นอาจารย์ขี่กระบี่เดินทางไกลไหม?”


มุมปากเผยเฉียนเบะลง พูดอย่างน้อยใจ “ไม่อยาก”


เฉินผิงอันได้แต่ยิ้มบางๆ


เผยเฉียนพลันคลี่ยิ้มกว้างสดใส “อยากเห็นมากเลยล่ะ”


เฉินผิงอันจึงปลดเจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งอาคมที่อยู่ด้านหลังลง แต่ไม่ได้ชักกระบี่ออกจากฝัก พอยืนขึ้นแล้วก็หันหน้าออกไปนอกหน้าผา จากนั้นก็ขว้างมันออกไป


เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ ไปเบื้องหน้า ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง พุ่งตัวออกไปเหยียบลงบนกระบี่ยาวเล่มนั้นแล้วทะยานจากไปไกล


เผยเฉียนอ้าปากกว้าง รีบลุกขึ้นยืน วิ่งมาที่หน้าผา เบิกตากว้างมองแผ่นหลังสง่างามที่กำลังขี่กระบี่นั่น


จูเหลี่ยนกับสือโหรวย่อมรู้ว่ากลเม็ดที่เฉินผิงอันใช้ก็คือให้กระบี่บินชูอีกับสืออู่ซ่อนตัวอยู่ด้านใต้เจี้ยนเซียนเล่มนั้น


เผยเฉียนตะโกนเสียงดัง “อาจารย์ อย่าบินไปไกลนักนะ”


ท่ามกลางลมภูเขา เฉินผิงอันงอเข่าน้อยๆ เหยียบอยู่บนกระบี่เจี้ยนเซียน จิตของเขาเชื่อมโยงกับกระบี่บิน ปลายฝักของกระบี่เจี้ยนเซียนที่ตวัดขึ้นด้านบนเล็กน้อยพลันแหงนทะยานขึ้นสูง เฉินผิงอันและกระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าแหวกทะเลเมฆชั้นหนึ่ง แล้วก็ต้องหยุดลอยนิ่งอย่างอดไม่ได้ ใต้ฝ่าเท้าก็คือทะเลเมฆสีทองท่ามกลางแสงสุดท้ายที่เหลืออยู่ มองไปเห็นแต่ความกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา


ระหว่างฟ้าดินมีเพียงความงดงามที่มิอาจบรรยายได้


เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่าที่แท้สิ่งที่มองเห็นระหว่างการที่ตัวเองขี่กระบี่ท่องเที่ยว กับการที่โดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนก้มหน้าลงมองทะเลเมฆ คือทัศนียภาพและความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


เฉินผิงอันมองทะเลเมฆอยู่นาน เมื่อดวงอาทิตย์เหมือนจมหายลงไปในมหาสมุทร แสงสุดท้ายที่เหลือก็ค่อยๆ สลายหายไป สุดท้ายเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนกระบี่เล่มยาวหลับตาลง กลั้นหายใจทำสมาธิ ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู


เฉินผิงอันเก็บท่าเจี้ยนหลู ทันใดนั้นความรู้สึกบางอย่างพลันเกิดขึ้นในใจ เขาพึมพำว่า “เฉาสือฝ่าทะลุขอบเขตอีกแล้วหรือ?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)