หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 424-425
บทที่ 424 ปรสิต!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ข้าจะฆ่าทั้งหวังเป่าเล่อ แล้วก็หลี่หว่านเอ๋อร์ด้วย นางหญิงแพศยา! ดวงตาของเฉินมู่ขณะนี้ฉาบคลุมไปด้วยความบ้าคลั่ง ทำให้ใบหน้าของเขาบูดเบี้ยวน่าสะพรึงกลัว ชายหนุ่มเกลียดหวังเป่าเล่อมาก และเกลียดหลี่หว่านเอ๋อร์ยิ่งกว่า
เฉินมู่ต้องการสังหารชายหญิงชู้รักคู่นี้ด้วยตนเอง เพื่อจะได้สัมผัสถึงความปลื้มปริ่มยินดีจากการได้จบชีวิตพวกเขา พอหลี่หว่านเอ๋อร์กับหวังเป่าเล่อตาย เขาก็จะมีโอกาสได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองคนใหม่ของนครอาวุธเทพใหม่แห่งนี้
อันที่จริงแล้ว การได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองนั้นเป็นเรื่องรอง หากได้ครอบครองหุ่นเชิดขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ เฉินมู่จะกลายมาเป็นผู้นำตระกูลเฉิน แถมยังได้ดำรงตำแหน่งในสภาผู้อาวุโส ไยจะต้องมาสนใจตำแหน่งเจ้าเมืองต่ำต้อยด้วยเล่า
เฉินมู่อาจจะใกล้เสียสติเต็มที แต่ก็ยังพอเหลือสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง…ชายหนุ่มคิดว่าคงเป็นการยากที่จะปิดบังความจริงหากหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์เกิดตายขึ้นมาพร้อมๆ กัน ในนครใหม่แห่งนี้กำแพงมีหูประตูมีช่อง และความช่วยเหลือก็จะมาถึงอย่างรวดเร็วหากเจ้าเมืองตกอยู่ในอันตราย หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เฉินมู่จึงต้องเก็บกักจิตสังหารเอาไว้และเอ่ยถึงความไม่สบายใจข้อนี้ออกมา
“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เจ้าไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ๆ เพื่อควบคุมหุ่นเชิด เจ้าสามารถควบคุมมันจากที่ไกลๆ ได้!”
“ยิ่งกว่านั้น ในวันที่เราจะลงมือตามแผน ข้าจะร่ายคาถาเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้านครและคนของนางเข้ามาถึงที่นี่ได้ ทำให้การช่วยเหลือนั้นล่าช้าออกไปอีก!” ชายในชุดคลุมสีดำที่อยู่ในน้ำแข็งพูดด้วยเสียงแหบพร่า ประโยคนั้นทำให้เฉินมู่ฉุกคิด ก่อนจะถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ท่านผู้เฒ่า หากท่านมีพลังมากมายเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่ทำการนี้ด้วยตนเองเล่า”
“หากเจ้าสามารถทำลายวงแหวนปราณดาวอังคารและวงแหวนปราณของนครใหม่ลงได้ ข้าจะให้หุ่นเชิดกับเจ้าตัวหนึ่ง เจ้าไม่ได้ต้องทำสิ่งใดเลย ข้าจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวข้าเอง!” ชายในชุดคลุมสีดำพูดอย่างเนิบๆ น้ำเสียงที่สงบนิ่งของเขาก้องกังวานไปทั่วห้อง นัยน์ตาของเฉินมู่ส่องประกาย ชายหนุ่มไม่ได้ไต่ถามเรื่องนี้ต่อแต่เริ่มถามรายละเอียดการหลอมหุ่นแทน
เฉินมู่เรียนรู้การหลอมหุ่นเชิดจากชายในชุดคลุมสีดำ ใบหน้าของชายหนุ่มแสดงอารมณ์ที่หลากหลายออกมาไม่หยุดหย่อน และถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง วิธีการหลอมหุ่นเชิดนั้นทั้งแปลกประหลาดและเหี้ยมโหด มันไม่ใช่การหลอมปกติทั่วไปแต่เป็นพิธีบูชายัญเสียมากกว่า เป็นพิธีบูชายัญเลือดเนื้อของผู้ประสงค์จะครองหุ่นเชิดนั่นเอง!
นี่ต้องเป็นวิชาแห่งศาสตร์มืดอย่างแน่นอน! เฉินมู่สูดลมหายใจเข้าลึก พลางจ้องมองไปที่กำแพงน้ำแข็งรอบกาย หลังจากที่ชายชุดดำพูดจนจบและเดินจากไป น้ำแข็งเหล่านั้นก็ค่อยๆ ละลาย ราวหนึ่งชั่วโมงต่อมา ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ อากาศไม่เย็นเยียบอีกต่อไป
ก่อนที่เขาจะจากไป เขาไม่ได้เร่งให้ข้ารีบหลอมหุ่นด้วยซ้ำ…เฉินมู่ยังคงไม่แน่ใจกับการตัดสินใจนี้ จำนวนคนที่ต้องถูกบูชายัญนั้นมากมายเกินไป ตามที่ชายชายในชุดคลุมสีดำได้พูดไว้ ชายหนุ่มต้องใช้เลือดสดๆ ของตนเองในการหล่อเลี้ยงกลองใบน้อยเป็นระยะเวลาหนึ่ง กลองนั้นจะเริ่มผลิบานราวดอกไม้และออกดอกเป็นอสูรละอองปีศาจจำนวนมหาศาล
คนอื่นไม่อาจมองเห็นละอองปีศาจเหล่านี้ พวกมันจะกระจายกันไปและใช้ร่างของผู้ฝึกตนเป็นที่อยู่อาศัย โดยซ่อนอยู่ในร่างและดูดกินพลังชีวิต หลังจากนั้นก็กลับมาหลอมรวมตัวเองเข้ากับกลองใบน้อย นี่คือขั้นตอนการหลอมหุ่นเชิดขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์
แม้จะมีองค์ประกอบอื่นๆ ด้วยแต่ก็เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น อสูรละอองปีศาจคือส่วนสำคัญที่สุด
ชายในชุดคลุมสีดำซ่อนแผนการร้ายเอาไว้ ข้าจะเชื่อใจและฟังคำสั่งของเขาอย่างเต็มที่ไม่ได้…สิ่งที่เขาต้องจากข้าคือการส่งละอองปีศาจเหล่านี้ให้กระจายไปทั่วเมือง แต่ในตอนนี้ น่าจะเป็นการยากอยู่สักหน่อย อาจจะเกิดความโกลาหลได้ และเจ้าเมืองจะต้องรู้แน่ว่ามีบางอย่างผิดปกติ…
ข้าจะต้องทำการนี้อย่างระมัดระวังและเงียบเชียบ น่าจะเป็นทางที่เหมาะที่สุด! หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เฉินมู่ก็กัดฟันตัดสินใจ ตระกูลนภาห้าสมัยอาจจะขาดบางสิ่งบางอย่างไปบ้าง แต่สิ่งที่มีอยู่เสมอไม่ขาดคือจำนวนผู้ฝึกตน ส่วนมากแล้วเป็นข้ารับใช้ของตระกูล ความจงรักภักดีของพวกเขาต่อตระกูลนั้นไร้ข้อกังขา พวกเขาจะเป็นที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยให้ปรสิตเหล่านี้
อีกแง่หนึ่ง เฉินมู่คิดว่าการเลือกที่อยู่อาศัยให้ปรสิตเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อเป็นการรับประกันว่าเขาจะควบคุมหุ่นเชิดได้โดยสมบูรณ์ เป็นเหตุให้เขาตัดสินใจว่าการปล่อยปรสิตเข้าไปในร่างคนของเขานั้นปลอดภัยที่สุด
เฉินมู่ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใดที่จะใช้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเป็นเหยื่อสังเวย หากคนเหล่านั้นภักดีต่อตระกูลถึงขนาดยอมตายแทนได้ พวกเขาก็ควรรู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้สังเวยตัวเองและกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของหุ่นเชิด
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฉินมู่จึงเริ่มถือสันโดษทันที ชายหนุ่มทำตามคำแนะนำของชายในชุดคลุมสีดำและเลือดของตนหล่อเลี้ยงกลองใบน้อย…เวลาเดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็ผ่านไปหนึ่งเดือน
เฉินมู่ใช้เวลาทั้งเดือนไปกับการถือสันโดษ ส่วนการก่อสร้างนครใหม่ก็ยังดำเนินต่อไป ทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างและดำเนินไปอย่างราบรื่น ส่วนหลี่หว่านเอ๋อร์กับหวังเป่าเล่อก็ยังดำเนินความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดของพวกเขาต่อไป ปะทะคารมในตอนกลางวันและเร่าร้อนกันในยามค่ำคืน…
ความรอบคอบของหลี่หว่านเอ๋อร์ทำให้ไม่มีใครล่วงรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าการแอบพบกันอย่างลับๆ เช่นนี้ตื่นเต้นยิ่งนัก
แต่ความคิดเห็นทางการเมืองและการปกครองของทั้งคู่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม หากมีความเห็นใดแตกต่างกัน หวังเป่าเล่อก็จะสำแดงอำนาจของตนในตอนกลางคืนและบังคับให้หลี่หว่านเอ๋อร์ยอมเห็นด้วยกับเขา…
หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดฝึกตน ชายหนุ่มใกล้จะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์เต็มที หลินเทียนหาวเองก็รวบรวมวัตถุดิบหายากและวิญญาณวุธเพื่อหลอมอาวุธเวทได้เกือบครบแล้ว เขารายงานมายังหวังเป่าเล่อและบอกว่าน่าจะรวบรวมทุกอย่างได้ครบในไม่ช้า
ทุกอย่างดูราบรื่นดี ในขณะเดียวกัน การถือสันโดษของเฉินมู่ก็เสร็จสิ้น ในช่วงหนึ่งเดือนของการหล่อเลี้ยงกลองใบน้อยด้วยเลือด สีของกลองได้เปลี่ยนเป็นสีแดงสด และกลิ่นอายชั่วร้ายจากภายในก็รุนแรงขึ้นกว่าเก่า ในที่สุดวันหนึ่ง เมล็ดในกายมันก็ราวกับมีชีวิตขึ้นและผลิดอก มันปล่อยละอองปีศาจจำนวนมหาศาลออกมา!
ละอองปีศาจเหล่านั้นมีจำนวนนับแสน พวกมันกำลังจะกระจายตัวออกไป แต่เฉินมู่เตรียมการรอไว้แล้ว เขารีบควบคุมละอองปีศาจและจำกัดให้พวกมันอยู่ภายในเขตปกครองตนเองของเขาเท่านั้น ชายหนุ่มยังจัดให้ผู้ฝึกตนขั้นการฝึกตนโบราณและขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขามารออยู่ด้านนอก พร้อมที่จะรับละอองปีศาจเหล่านี้
แม้จะมีเหตุปรสิตแทรกซึมผิดตัวไปบ้าง แต่ละอองปีศาจส่วนใหญ่ก็เข้าไปอยู่ในร่างคนของเฉินมู่ ละอองปีศาจเหล่านี้แพร่กระจายออกไป พวกมันล่องลอยไปในอากาศโดยไม่มีใครเห็น และเข้าไปอยู่ในร่างของผู้ฝึกตนอย่างช้าๆ
ทันทีที่ละอองปีศาจแตะโดนผิว มันจะชอนไชเข้าไปในร่างกายโดนไม่ทำให้รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองแม้แต่น้อย ผู้รับไม่อาจรู้สึกถึงการบุกรุกหรือรู้ได้เลยว่ามีอะไรผิดแผกไป
ตอนนั้นเองเฉินมู่ก็มั่นใจว่าเขาจะได้ครอบครองหุ่นเชิดอย่างแน่นอน ชายหนุ่มรู้ดีว่าแม้เขาไม่อาจควบคุมละอองปีศาจได้อย่างแม่นยำ แต่เขาก็รู้สึกได้เมื่อปรสิตเหล่านี้เข้าไปอยู่ในที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ราวกับว่ามีแสงไฟดวงใหม่หลอมรวมเข้ากับดวงจิตของเขา เฉินมู่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกร่างหนึ่งได้
ชายหนุ่มตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก เฉินมู่นั่งหลับตาอยู่ในห้องลับ และรู้สึกได้ว่ามีคนกลายเป็นที่อยู่ให้ปรสิตของเขามากขึ้นเรื่อยๆ โดยใช้เวลาไม่นานเลย จู่ๆ เฉินมู่ก็ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะหันมองออกไปยังที่ห่างไกล ราวกับว่าเขาสามารถใช้พลังแห่งการรับรู้ที่ได้มาใหม่มองผ่านกำแพงได้ สักพักที่ผ่านมา ลาตัวหนึ่งได้วิ่งเข้ามาในเขตปกครองตนเองของเขา!
มีลาเข้ามาในเขตปกครองตนเองของเฉินมู่จริงๆ และมันอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว มันตามกลิ่นอาหารของตัวเองมา ทุกครั้งที่มันคิดว่าเจออาหารแล้ว ก็เป็นอันต้องคลาดกันไปเส้นยาแดงผ่าแปดทุกที ความฉิวเฉียดนี้ทำให้เจ้าลาแทบคลั่ง แต่มันก็ยังคงอดทนตามหาต่อไป
เจ้าลาตามรอยมากระทั่งถึงเขตปกครองตนเองของเฉินมู่ แม้ว่ามันจะไม่พบอาหาร แต่กลับพบละอองปีศาจอันหนึ่งตกลงตรงหน้าก่อนที่ละอองปีศาจนั้นจะเจอร่างผู้ฝึกตน เจ้าลาสัมผัสถึงมันได้และกลืนลงคอไป…
หลังจากที่กินเข้าไป นัยน์ตาของเจ้าลาก็ลุกวาว ละอองปีศาจนี้รสชาติดีทีเดียว มันเริ่มวิ่งไปมาอยู่ในเขตปกครองตนเองแห่งนั้น ก่อนจะกลืนละอองปีศาจทุกอันที่หาเจอ มันเดินเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข และละอองปีศาจเหล่านั้นก็ได้เข้าไปนอนสงบนิ่งอยู่ในท้องของเจ้าลา
ลาของหวังเป่าเล่อ…เฉินมู่หรี่ตา นัยน์ตาของเขามีประกายเหี้ยมโหดฉายอยู่
ได้ ในเมื่อลามาเหยียบถิ่นของข้าเอง ข้าก็จะจับมันมาบูชายัญด้วยเสียเลย! หลังจากที่คิดได้เช่นนั้น เฉินมู่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมละอองปีศาจ แม้ว่าจะคุมได้ไม่ไม่เต็มที่ แต่เขาก็สามารถบังคับทิศทางของพวกมันได้อยู่บ้าง เฉินมู่ส่งละอองปีศาจนับหมื่นไปยังทางที่ลายืนอยู่
เจ้าลาเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ตื่นเต้นเสียจนตัวสั่น มันเริ่มกินอย่างบ้าคลั่ง เฉินมู่ที่อยู่ในห้องลับ รู้สึกถึงดวงไฟนับไม่ถ้วนในตัวของลา เขาฉีกยิ้มอย่างน่าเกลียดน่ากลัว
ชายหนุ่มรู้ดีว่าปรสิตละอองปีศาจเหล่านี้จะดูดพลังชีวิตร่างต้นของมันจนแห้งเหือด และเจ้าลาก็กินละอองปีศาจเข้าไปจำนวนมากจนในตัวของมันมีปรสิตอยู่มากมาย เฉินมู่รอวันดำเนินแผนการแทบไม่ไหว เมื่อการดูดกินเริ่มต้นขึ้น เจ้าลาลานี่ต้องพบจุดจบอันน่าสยดสยองแน่นอน
ข้าจะฆ่ามันก่อน จากนั้นก็จะตามไปฆ่าเจ้านายมันเสียด้วย! ริมฝีปากของเฉินมู่ม้วนงอขึ้นเป็นรอยยิ้มแสยะดูชั่วร้าย สายตาก็ลุกโชนด้วยแสงอันน่าสะพรึงกลัว
บทที่ 425 ขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในช่วงเวลาที่ชายในชุดคลุมสีดำและเฉินมู่ร่วมมือกันนั้น หวังเป่าเล่อก็กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการฝึกตน ขณะนั้นชายหนุ่มกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ พลังปราณของเขาส่งเสียงคำรนและพลุ่งพล่านอยู่ภายในกาย พลางเคลื่อนไหวหมุนวนอย่างไม่หยุดยั้ง อัสนีสวรรค์เส้นที่สี่กำลังก่อตัวขึ้น!
กระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นช่วยให้เขาสร้างอัสนีสวรรค์เส้นแรกขึ้นมาได้ตอนที่ยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นขั้นต้นและเส้นที่สองในขั้นกลาง ในขั้นปลายนี้ ชายหนุ่มสามารถสร้างอัสนีสวรรค์เส้นที่สามขึ้นมาได้ และการก่อตัวของอัสนีสวรรค์เส้นที่สี่ก็หมายความว่า หวังเป่าเล่อกำลังจะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์!
หากเขาฝึกกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นต่อไป เมื่อเขาบรรลุสู่ขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ บรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน และกลายมาเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเมื่อใด เขาก็จะสามารถหลอมแก่นในอัสนีได้!
พลังของแก่นในอัสนีนั้นช่างมหาศาลยิ่ง นอกจากจะได้ครอบครองพลังและความแข็งแกร่งแล้ว สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยังจะมอบเคล็ดเวทเล่มต่อไป หรือ กระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลาง ให้เขาอีกด้วย เคล็ดเวทนี้…สามารถฝึกได้จนกระทั่งบรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณ อย่างไรก็ดี ในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาของยุคกำเนิดวิญญาณนี้ ยังไม่เคยมีใครไปถึงขั้นนั้นมาก่อน
ทว่า…ภายในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้น กระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นเป็นเคล็ดเวทที่ยอดเยี่ยมและได้รับความนิยมสูงสุด ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถฝึกจนชำนิชำนาญ และบางคนไม่มีโอกาสได้ฝึกเสียด้วยซ้ำ มีเพียงผู้ที่มีคุณสมบัติเท่านั้นจึงจะฝึกได้ เคล็ดเวทนี้เป็นหนึ่งในกระบวนเวทที่สมบูรณ์ที่สุด เรียกได้ว่า สามารถพาผู้ฝึกนั้นก้าวขึ้นไปสู่ขั้นจุติวิญญาณได้เลยทีเดียว!
ด้วยเหตุนี้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จึงได้ตระเตรียมกระบวนเวทนี้ไว้ให้หวังเป่าเล่อ ในแง่หนึ่ง พวกเขาเองก็ฝากความหวังไว้กับหวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก พวกเขาคาดหวังว่าชายหนุ่มจะเดินไปตามเส้นทางแห่งเต๋าได้ไกล พวกเขาไม่เพียงเชื่อมั่นว่าหวังเป่าเล่อจะสร้างแก่นในอัสนีได้เท่านั้น แต่ยังเชื่อว่าเขาจะสร้างดวงวิญญาณอัสนีได้ด้วยซ้ำ!
ความรวดเร็วในการฝึกตนของหวังเป่าเล่อทำให้เขาใกล้บรรลุขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ภายในเวลาไม่นานนัก แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นที่สนใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าตกใจแต่อย่างใด ยุคกำเนิดวิญญาณอาจจะยังอยู่ในช่วงต้นแต่ก็เต็มไปด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์มากมาย ยังมีอีกหลายคนที่มีความเร็วในการฝึกตนที่รวดเร็วยิ่งกว่าหวังเป่าเล่อเสียอีก
ถึงกระนั้น การจะบรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณได้ภายในระยะเวลาไม่กี่สิบปีนั้น ต้องใช้ทั้งปาฏิหาริย์และพรสวรรค์เฉพาะตัวอย่างมาก แม้จะมีข่าวลือว่ามีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอยู่บนโลก แต่ตามข้อมูลทางการนั้น ทั้งสหพันธรัฐไม่มีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณแม้แต่คนเดียว
ต้องมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอยู่ในสหพันธรัฐแน่นอน! หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่ปะทุอยู่ภายในกายเป็นระลอก ชิ้นส่วนของตัวต่อจำนวนมากปรากฏขึ้นในใจเขา และกำลังต่อกันเป็นภาพใหญ่อันพร่าเลือน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พลังปราณและยศถาบรรดาศักดิ์ของเขาเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการทำงานของสหพันธรัฐมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้ไปเยือนศูนย์วิจัยแห่งดาวอังคารมาแล้ว ความเชื่อที่ว่ามีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอยู่ในสหพันธรัฐจริงๆ ก็ยิ่งแรงกล้าขึ้น
หวังเป่าเล่อยังคิดเรื่องนี้ไม่ตก แต่ก็รีบปล่อยวางความคิดรบกวนทุกอย่างเพื่อกลับไปตั้งมั่นกับการบรรลุขั้นการฝึกปราณที่จะมาถึงในไม่ช้า พลังปราณของเขายังคงหมุนวนอย่างต่อเนื่อง และเขาก็รู้สึกได้ถึงอัสนีสวรรค์เส้นที่สี่ที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข้าจะต้องเดินไปตามเส้นทางของกระบวนท่าเต๋าสายฟ้า…ทว่ายังมีอีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้ ข้าเองก็จะเดินไปบนเส้นทางนั้นเช่นกัน! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ในวินาทีนั้นเองเปลวไฟสีดำก็ปรากฏขึ้นในดวงตาเขา!
เส้นทางที่ไม่มีใครล่วงรู้…วิชาแห่งศาสตร์มืดนั่นเอง!
ขณะนี้ชายหนุ่มได้สร้างเปลวไฟสีดำขึ้นมาสามดวงแล้ว ขั้นต่อไปคือการรวบรวมไฟทั้งสามดวงเข้าด้วยกันเพื่อสร้างแก่นในแห่งความมืดขึ้นมา และนี่คือ…หนทางแห่งศาสตร์มืดที่จะนำไปสู่ขั้นกำเนิดแก่นใน!
หวังเป่าเล่อมองเห็นเส้นทางสู่ขั้นกำเนิดแก่นในของตนอย่างชัดเจน ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการแก่นในอันเดียว…เขาต้องการแก่นในที่มาจากทั้งกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าและวิชาแห่งศาสตร์มืด เขาต้องการแก่นในคู่!
แก่นในคู่จะทำให้หวังเป่าเล่อก้าวข้ามผู้อื่นในขั้นกำเนิดแก่นในอย่างไม่เห็นฝุ่น ความแข็งแกร่งและพลังของเขาจะเหนือกว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในขั้นเดียวกัน เช่นเดียวกับที่เป็นตอนเขาอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น!
แม้ว่าสิ่งนี้จะดูเป็นความท้าทายที่เกินเอื้อมสำหรับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว เขารู้สึกว่าสุสานอาวุธเทพใต้ดินที่อยู่ใต้นครใหม่แห่งนี้สร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับเขาที่จะใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้!
ด้วยอารมณ์ที่ร่าเริงและฮึกเหิม หวังเป่าเล่อจึงปล่อยให้พลังปราณของตนหมุนวนอยู่ภายในกายไปอีกเก้าวัน ในที่สุดเสียงคำรามดังสนั่นก็กึกก้องขึ้นภายในศีรษะของเขา พลังปราณทะลักล้นออกมาจนกระทั่งบรรลุขั้น!
ในวินาทีนั้น ทั้งรัศมี พลังงาน พลังปราณ ทุกๆ สิ่งในตัวเขาพุ่งไปถึงขีดสุดในแง่ของพลังและความแข็งแกร่ง คล้ายกับคนใส่ชุดรัดรูปที่ออกแรงเบ่งและกินจนกระทั่งร่างกายอวบอ้วน และเสื้อผ้าก็ขยายไปถึงขีดสุดจนระเบิดออกมา!
ทันทีที่เสื้อผ้าชุดแรกระเบิด พวกมันก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นเสื้อคลุมยาวชุดใหม่ที่หลวมกว่าเดิม หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความสบายอันเหลือเชื่อเมื่อแหล่งพลังปราณอันไร้ขีดจำกัดในกายปล่อยให้พลังปราณไหลล้นออกมาภายนอก
แต่การบรรลุขั้นในครั้งนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ตอนที่ระดับการฝึกตนของเขาบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นขั้นปลายไปสู่ขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์นั้น ดอกบัวเขียวในกายเขาก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนจะปล่อยคลื่นพลังชีวิตที่แผ่ซ่านไปทั่วกายหวังเป่าเล่อ กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งขึ้นอีก กล้ามเนื้อทุกมัด กระดูกทุกชิ้น เส้นปราณทุกเส้นในกายเหมือนจะได้รับการเสริมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หวังเป่าเล่อหายใจหอบถี่ การปะทุขึ้นมาอย่างฉับพลันนี้ส่งผลให้พลังชีวิตของเขาพลุ่งพล่านจนมีระดับสูงจนน่ากลัว
ราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นั่นเชียว!
คลื่นพลังชีวิตอันเข้มข้นนั้นทำให้พลังการฟื้นฟูของหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งขึ้นไม่แพ้กัน แถมครั้งนี้ยังเป็นเพียงการบรรลุขั้นเล็กๆ ในขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น หากเขายังคงตั้งหน้าตั้งตาฝึกต่อไปเช่นนี้ พลังของหวังเป่าเล่อในอนาคตเมื่อบรรลุถึงขั้นกำเนิดแก่นในคงจะสูงเกินจินตนาการทีเดียว
ขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์! หวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงการก่อตัวขึ้นของอัสนีสวรรค์เส้นที่สี่และจำนวนสายฟ้ามากภายในกาย เขารู้สึกได้ถึงเปลวไฟสีดำทั้งสามที่เริ่มมีปฏิกิริยากับการเพิ่มพูนขึ้นของพลังปราณในกาย ดูราวกับว่าจะเริ่มรวมตัวกัน
สิ่งนี้ส่งให้หวังเป่าเล่อมีกำลังใจขึ้นมาก ชายหนุ่มกำลังจะออกไปทดสอบพลังเพื่อเทียบกับพลังก่อนหน้านี้ แต่ก่อนที่เขาจะได้ลุกขึ้นยืน เพียงไม่นานหลังการบรรลุขั้นและขณะที่เปลวไฟสีดำกำลังจะรวมตัวกันนั้นเอง ทันใดนั้น สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็แสดงความตกใจออกมา ชายหนุ่มหลุบศีรษะลงต่ำในทันที เขาได้ยินเสียงพึมพำดังมาแต่ไกล ฟังดูคล้ายกับว่าเสียงนั้นดังมาจากพื้นเบื้องล่างเขา จากสุสานอาวุธเทพใต้ดินที่อยู่ลึกลงไป!
“บุตรแห่งความมืด…บุตรแห่งความมืด…”
เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงจากสุสานอาวุธเทพใต้ดินระหว่างการฝึกปราณ ชัดเจนแล้วว่ามีเขาเพียงคนเดียวที่ได้ยินเสียงนี้ เพราะรอบกายของเขาไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด นครใหม่ทั้งนครยังเป็นเช่นเดิม
สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งแน่ใจว่าเขาเป็นคนเดียวที่ได้ยินเสียงนี้ คือความรู้สึกที่เหมือนมีใครเรียกซึ่งเกิดขึ้นพร้อมเสียงที่ดังจากใต้โลก!
ราวกับว่ามีสิ่งชีวิตที่อยู่ลึกลงไปภายในสุสานอาวุธเทพใต้ดินกำลังเรียกหาหวังเป่าเล่อ กำลังรอคอยการมาเยือนของเขาอยู่อย่างใจจดใจจ่อ!
ลมหายใจของชายหนุ่มหนักหน่วงขึ้น เขาเคยเข้าไปในสุสานใต้ดินมาก่อนและเคยได้สัมผัสถึงความรู้สึกคล้ายๆ กันนี้ เพียงแค่ว่าครั้งนี้มันหนักหนากว่าเดิมมาก เสียงเสียงเพรียกหาที่ดังกึกก้องอยู่ในศีรษะเขานั้นชัดเจนมาก
เสียงประหลาดและเสียงเรียกนั้นไม่ได้ดังอยู่นานนัก เมื่อพลังปราณในกายของหวังเป่าเล่อเริ่มสงบลง และเมื่อการรวมตัวกันของเปลวไฟสีดำดำเนินไปถึงจุดหนึ่งและหยุดลง เสียงนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์นี้สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งคำทำนายของปรมาจารย์เจ้าและความรู้สึกของข้าบอกตรงกันว่าอาวุธเทพที่นอนหลับใหลอยู่ข้างใต้ดูจะเป็นวัตถุเวทแห่งความมืด แม่นางน้อยเองยังบอกว่าสิ่งนั้นเคยเป็นของนางมาก่อน…นั่นก็แปลว่า บางที…วัตถุเวทแห่งความมืดชิ้นนี้อาจจะเป็นของข้าด้วยเช่นกัน หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาคิดว่าการวิเคราะห์ของตนถูกต้องและตรรกะก็ไม่มีที่ติ
อย่างไรเสีย ของชิ้นนี้เป็นของแม่นางน้อย และแม่นางน้อยก็เป็นของเขา นั่นแปลว่า วัตถุเวทแห่งความมืดชิ้นนี้ย่อมเป็นของเขาไปโดยปริยาย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกมุ่งมั่นขึ้นมาทันที แต่ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่ามีอันตรายอยู่ภายในสุสานอาวุธเทพใต้ดิน แม้ว่าเขาจะใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดได้อย่างคล่องแคล่วเพียงใด ก็ไม่อาจบุ่มบ่ามลงไปในสุสานใต้ดิน เขาตัดสินใจว่าจะรอให้กำแพงสลายลงไปทั้งหมดและผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งจากสหพันธรัฐเข้าไปในสุสานใต้ดินเสียก่อน จากนั้นจึงจะตามไปด้วย ถึงตอนนั้น การฝึกตนของเขาก็คงจะรุดหน้าไปมากเช่นกัน และด้วยความช่วยเหลือของแม่นางน้อย ก็มีโอกาสมากที่เขาจะก้าวนำคนอื่นและหยิบวัตถุเวทแห่งความมืดมาโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น!
ข้าขอส่วนแบ่งชิ้นใหญ่ไปแล้วกัน ให้พวกเขาแบ่งส่วนที่เหลือกันไป เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย! หวังเป่าเล่อคิดว่าตนเองช่างเป็นคนใจบุญเสียนี่กระไร เขาไม่ได้เป็นคนที่ยึดทุกอย่างไว้คนเดียวแม้แต่น้อย
หวังเป่าเล่อถูกนิสัยใจคออันไร้ที่ติของตนเองทำให้ไขว้เขวไประยะหนึ่ง จากนั้นชายหนุ่มก็สูดลมหายใจลึกก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งออกไปในทันที ยังไม่ทันที่เสียงคำรนของกำแพงเสียงที่ถูกทำลายจะสิ้นลงด้วยซ้ำ หวังเป่าเล่อก็ไปปรากฏอยู่ข้างกำแพงแล้ว ชายหนุ่มประเมินความเร็วของเขาแล้วก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมา
ข้าเร็วขึ้นกว่าเดิมเกือบสองเท่า! เขากำหมัดแน่น พลางต้องการทดสอบความแข็งแกร่งว่าเพิ่มขึ้นเท่าใด ทว่าหวังเป่าเล่อตระหนักได้ว่าขณะนี้เขาอยู่ในที่พัก ชายหนุ่มออกจากห้องลับและเดินไปด้านนอก ก่อนจะพบที่พักของเฉินมู่ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เป็นที่พักที่เฉินมู่ไม่เคยมาอยู่ เขาจึงส่งกำปั้นออกไปยังทิศทางนั้นทันที!
เสียงคำรามราวฟ้าร้องดังสนั่นลั่นท้องฟ้า แม้ว่าวงแหวนปราณจำนวนมากจะป้องกันที่พักของเฉินมู่เอาไว้ แต่หมัดเดียวของหวังเป่าเล่อก็พังวงแหวนปราณไปกว่าครึ่งหลัง เสียงกำปั้นดึงความสนใจจากเหล่ายามในเขตที่พักอาศัย พวกเขารีบรุดมาถึงที่เกิดเหตุและกำลังจะต่อว่าผู้กระทำผิด แต่แล้วก็ได้เห็นว่าผู้กระทำผิดนั้นไม่ใช่ใครอื่น คือหวังเป่าเล่อ เจ้าเมืองของพวกเขานั่นเอง
ทุกคนถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะรีบเดินจากไป พวกเขาแกล้งทำเป็นไม่เห็นเหตุการณ์และไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของหวังเป่าเล่อที่สะท้อนก้องไปในอากาศ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น