หมอดูยอดอัจฉริยะ 423-426
ตอนที่ 423 ทิวทัศน์งดงามดุจดังอีกโลกหนึ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เยี่ยเทียนได้ยินเสียงของกลองหนังแกะนี้ก่อนหน้านั้น แต่กลับไม่เห็นตัวสิ่งของ เมื่อเขามองกลองที่อยู่ในมือแล้วจึก็ตกตะลึงงันไปทั้งตัว
“ของขลัง มันคือของขลังอย่างหนึ่ง?!”
มีคลื่นวิญญาณแฝงอยู่ในกลองนี้ ทำให้เยี่ยเทียนมั่นใจว่ากลองนี้คือของขลังอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่คลื่นวิญญาณนั่นกลับมีความประหลาดอยู่บ้าง ไม่เหมือนกับที่เยี่ยเทียนรู้จักโดยสิ้นเชิง
และชี่ดั้งเดิมที่นักลัทธิเต๋ากล่าวไว้ หมายถึงสองพลังแห่งหยินหยางที่อยู่ในโลกมนุษย์ แต่คลื่นวิญญาณที่อยู่ในกลองนี้ไม่มีพลังของหยินหยางติดอยู่เลยสักนิดเดียว แต่กลับทำให้คนรู้สึกถึงความเรียบง่ายและป่าเถื่อนบางอย่าง
กลองหนังแกะโดยทั่วไป ตัวกลองจะทำด้วยไม้ แต่ตัวนี้กลับทำมาจากทองสำริด และจะรู้สึกหนักมากเวลาที่ถืออยู่ในมือ
อีกทั้งตัวของกลองนี้ยังแกะสลักภาพวาดบุคคลบางกลุ่มไว้อีกด้วย เป็นมนุษย์ยุคบุพกาลที่ไม่ใส่เสื้อผ้าปกคลุมร่างกายกลุ่มหนึ่ง และเหมือนกับกำลังสักการะบูชาอะไรสักอย่าง นอกจากนี้ยังมีลวดลายของภาพวาดจีนที่วาดนกและดอกไม้เป็นหลักบางส่วน
และเมื่ออาศัยแสงไฟจากไม่ไกล หูหงเต๋อก็มองเห็นวัตถุที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียนเช่นกัน แล้วจึงเอ่ยพูด “เยี่ยเทียน เป็นอะไร? นี่คือของเมิ่งตาบอด เมื่อครู่อาจจะทิ้งไว้ที่นี่ก็ได้?”
หูหงเต๋อเคยเห็นกลองสำริดนี้เมื่อสิบกว่ามาแล้ว จึงรู้ว่าเมิ่งตาบอดจะใช้ในเวลาเข้าทรง และไม่เคยห่างกายของเมิ่งตาบอดเลย เมื่อเขาเห็นมันอยู่ที่นี่จึงไม่รู้สึกแปลกอะไร
“เจ้าของแปลกสิ่งนี้ เหมือนกับของขลังของพวกเรียนวิชาฉีเหมิน แต่ก็มีความแตกต่างอยู่บ้าง” หูหงเต๋อถือว่าเป็นคนฉีเหมินครึ่งหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงไม่อยากปิดบังเขา ยึดเอากลองนี้เป็นของตัวเอง
“ของขลัง? ของขลังของลัทธิชามัน?”
หูหงเต๋อเคยได้ยินชื่อของของขลัง จากนั้นจึงมองกลองที่อยู่ในมือแล้วจึงส่ายหน้ายื่นให้เยี่ยเทียนอีกครั้ง พลางพูด “ฉันไม่ได้ใช้ของสิ่งนี้หรอก เยี่ยเทียนเธอเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ!”
“ได้ เจ้าสิ่งนี้น่าจะลองศึกษาเสียหน่อย!”
เยี่ยเทียนยื่นนิ้วชี้ออกไปแล้วดีดหน้ากลองเบาๆ จากนั้นเสียงที่หนักอึ้งก็ดังขึ้น “หนังนี้ก็ไม่ใช่หนังแกะ เหล่าหู คุณรู้ไหมว่าเป็นหนังอะไร?”
“ไม่รู้ มองดูหนังนี้แล้วน่าจะมีอายุนานหลายปีแล้ว ฉันเองก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร”
และสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนต้องแปลกใจก็คือ หูหงเต๋อที่มีความคุ้นเคยภูเขาลูกใหญ่นี้มากกว่าใคร ต้องส่ายหน้าเหมือนกัน เพราะไม่รู้ประวัติความเป็นมาของกลองหนังตัวนี้เลย
“น่าจะเป็นสิ่งของที่สืบทอดมาจากลัทธิชามัน”
เยี่ยเทียนหยิบกลองตัวนี้ แล้วจึงใช้แรงตีไปที่หน้ากลอง ทันใดนั้นเสียงที่หนาและหนักอึ้งบางอย่างก็ดังขึ้นจากในป่าเขา
และในขณะเดียวกัน กลิ่นอายโบราณที่เรียบง่ายในกลองนั่นเหมือนจะล้นออกไปข้างนอก ทำให้พลังจักรวาลระยะสิบเมตรรอบตัวของเยี่ยเทียน เกิดการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกับกลองสำริดนี้อย่างฉับพลัน
เพียงแต่ผ่านไปไม่นานหรือเวลาเพียงสองสามวินาที พลังจักรวาลเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหายไป และตอนที่รอให้เยี่ยเทียนได้สติกลับมา โลกก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ
“น่าจะต้องท่องคาถาปลุกเสกไปด้วย ถึงจะสามารถรวบรวมพลังเหล่านั้นให้มารวมกันได้ และสิ่งที่เรียกว่าการเชิญเทพเจ้านั้น ความจริงก็คือพลังวิญญาณที่อยู่ในกลองนี้นั้นเอง แต่พลังวิญญาณเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน?”
ขณะที่ถือกลองสำริดนี้ ทำให้เยี่ยเทียนตกอยู่ในภวังค์ จากนั้นเขาจึงนึกถึงท่วงทำนองเพลงที่เมิ่งตาบอดเคยร้องออกมาก่อนหน้านี้ ทำให้เยี่ยเทียนเข้าใจทันที และบางทีคาถาเหล่านั้น ก็คือวิธีการติดต่อกับพลังวิญญาณที่แปลกๆ นั่นเอง
เพียงแต่เมิ่งตาบอดตายไปแล้ว คาถาจึงสูญหายไปเช่นกัน และเยี่ยเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่า “เพลงเรียกเทพเจ้า” ที่ร้องโดยพวกนักต้มตุ๋นที่อยู่ในมณฑลตงซันเฉิ่งนั้นจะได้ผลไหม
“เอ๊ะ เยี่ยเทียน ยังมีกระดิ่งอีกด้วย ผมเคยเห็นเมิ่งตาบอดใส่มาก่อน!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังตรวจสอบความล้ำลึกและมหัศจรรย์ของกลองนี้อยู่ เสียงของหูหงเต๋อก็ดังขึ้นมา และในมือของเขายังมีกระดิ่งขนาดเท่าศีรษะของทารก จากนั้นจึงลองสั่นไปมาและเกิดเสียงกังวานดัง “กริ๊งๆๆ”
“”นี่..นี่ก็เป็นของขลังเหมือนกันเหรอ?
เมื่อเห็นกระดิ่งนี้ ในหัวของเยี่ยเทียนรู้สึกคิดอะไรไม่ทันแล้ว เพราะของขลังของวิชาฉีเหมินที่ยากจะได้เห็น วันนี้เขากลับเจอติดต่อกันถึงสองอย่าง
“ฉันไม่ได้ใช้หรอก เธอเก็บไว้เถอะ!” หูหงเต๋อทิ้งกระดิ่งให้เยี่ยเทียน
เมื่อรับกระดิ่งมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงเผยความลังเลบนใบหน้า แต่เขาก็ยังพูดออกไป “เหล่าหู เจ้าสิ่งนี้สามารถเรียกวิญญาณได้ แต่ก็สามารถทำให้จิตใจสงบได้เช่นกัน อีกทั้งยังป้องกันการรุมเร้าของพลังชี่พิฆาตได้อยู่บ้าง คุณเอามันไปแขวนไว้ในห้องของหูเสี่ยวเซียน จะมีประโยชน์กับเธอมาก”
กระดิ่งตัวนี้ทำมาจากทองคำม่วง แต่ในยุคนี้ยังมีค่าสู้กลองสำริดไม่ได้ และพลังจักรวาลที่แฝงอยู่ข้างใน ถึงแม้จะมีความล้ำค่ามาก แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนนั้น ค่าของกระดิ่งกลับห่างไกลกับค่าของกลองสำริดมากนัก
การเดินทางในครั้งนี้ได้กลองสำริดมาครอบครองจึงทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกพอใจมาก และเจ้ากระดิ่งก็ไม่ได้มีประโยชน์กับเขามากเท่าไร อีกทั้งช่วงนี้หูเสี่ยวเซียนก็สูญเสียพลังชีวิตไปไม่น้อย หากมีเจ้ากระดิ่งนี้แขวนไว้ในห้อง ก็จะสามารถเรียกสิ่งมงคลและขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่แฝงอยู่ภายในร่างกายของเธอได้
“อ้อ มีสรรพคุณแบบนี้ด้วย? อย่างนั้ฉันขอเก็บไว้เอง!” หูเสี่ยวเซียนก็เป็นหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของหูหงเต๋อ หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เขาจึงไม่ปฏิเสธและรับกระดิ่งมาทันที
“เหล่าหู เมื่อครู่คุณพูดว่าเมิ่งตาบอดเขายืนอยู่ตรงนี้ทำอะไรนะ?”
หลังจากเก็บกระดิ่งกับกลองสำริดแล้ว เยี่ยเทียนจึงยืนอยู่ตรงสถานที่ที่เมิ่งตาบอดยืนอยู่พอดี แต่ข้างหน้านอกจากหินผาก้อนหนึ่งที่นูนเว้าแล้วก็คือหิมะ ไม่ได้มีความแตกต่างจากที่อื่นเลย
“เยี่ยเทียน เธอหลบไปก่อน ฉันขอดูหน่อย” หูหงเต๋อกลับมองเห็นสิ่งที่ผิดปกติ หลังจากรอให้เยี่ยเทียนหลบไปแล้ว เขาจึงยื่นมือไปเคาะกำแพงหินที่อยู่ตรงหน้า
“ตุง…ตุงตุง…”
ตอนที่หูหงเต๋อแงะหิมะที่ทับถมกันอยู่บนก้อนหินที่นูนออกมาและจัดการกิ่งก้านไม้ที่แห้งตายอยู่บนนั้นจนหมดเกลี้ยง หลังจากเคาะไปที่ผนังหินที่ถูกปกปิดเอาไว้ กลับเป็นเสียงดัง “ตุงตุง” เหมือนเคาะอยู่บนแผ่นกระดาน
“ข้างหลังคือกลวง?!” เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อตกตะลึง แล้วจึงพูดเป็นเสียงเดียวกัน“หรือจะมีถ้ำอยู่ข้างใน?”
“ไปดูก็จะรู้เอง”
หูหงเต๋อลองคลำบนก้อนหิน ผ่านไปสักพัก สองมือก็จับก้อนหินทั้งสองข้างแล้วใช้แรงดึง แผ่นไม้ยาวประมาณหนึ่งเมตรถูกเขาดึงออกมา แล้วจึงปรากฏปากถ้ำอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน
“ที่นี่มีอากาศไหลผ่าน ไม่ใช่ถ้ำ” หลังจากปากถ้ำปรากฏออกมาแล้ว จึงมีลมอุ่นพัดออกมาจากข้างใน และไม่ใช่อากาศเหม็นเน่าแบบที่ไม่เคยเห็นมานาน
“ไป เข้าไปดูกัน!”
ที่นี่มีการตัดวางอย่างยอดเยี่ยม บวกกับการกระทำของเมิ่งตาบอดก่อนหน้า เยี่ยเทียนจึงมั่นใจว่า ข้างในต้องเป็นที่อยู่อาศัยของเมิ่งตาบอดแน่นอน
เยี่ยเทียนเดาไม่ผิดจริงๆ การเดินทางของเมิ่งตาบอดในครั้งนี้ ไม่ใช่การไปที่ตั้งมั่นบนภูเขา จุดประสงค์ของเขาคือเข้าไปอยู่บนถ้ำกลางภูเขา ที่นี่ถึงจะเป็นรังที่ซ่อนตัวสุดยอดบนภูเขาฉางไป๋ซานของเขานั่นเอง
หลังจากเชิญเทพเจ้าเข้าร่างแล้ว เมิ่งตาบอดจึงรีบสะบัดเยี่ยเทียนออก แต่เขาก็รู้ว่าพลังเทพของตัวเองจะอยู่ไม่นาน ถ้าหากไม่สามารถเข้าไปในถ้ำได้ เกรงว่าไม่ต้องให้หูหงเต๋อไล่ฆ่า แต่สภาพอากาศแบบนี้ก็สามารถทำให้เขาแข็งตายได้
หลังจากเดินวนรอบป่าหนึ่งรอบแล้ว เมิ่งตาบอดจึงยอมเสี่ยงกลับไปที่หุบเขาอีกครั้ง เพียงแต่เขาไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะสามารถพบร่องรอยของเขาจากการสัมผัสลมหายใจได้ และการที่ใช้เล่ห์กลเยอะเกินไป สุดท้ายจึงทำให้ต้องจบชีวิตลง!
“เยี่ยเทียน รอเดี๋ยว เตรียมตัวก่อนแล้วค่อยเข้าไป!”
ถึงแม้การจัดวางตรงปากถ้ำจะเป็นฝีมือของคนก็ตาม แต่หูหงเต๋อรู้จักนิสัยที่เล่ห์เหลี่ยมของเมิ่งตาบอดเป็นอย่างดี ไม่แน่อาจจะมีกับดักอะไรอยู่ข้างในก็เป็นได้
เมื่อกลับไปยังกองไฟ หูหงเต๋อจึงนำศพที่แข็งทื่อมาวางข้างกองไฟ คิดว่ารอให้กลับมาอีกทีค่อยหาที่ขุดหลุมฝัง
จากนั้นจึงเอาเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวศพออกมาหนึ่งตัว หูหงเต๋อนำมาทำเป็นคบไฟง่ายๆ แล้วจึงเคาะไปที่ศีรษะของคนทั้งสองที่สลบไม่ตื่น เพื่อยืนยันว่าภายในสองชั่วโมงพวกเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมา แล้วจึงกลับไปที่ปากถ้ำกับเยี่ยเทียนอีกครั้ง
“เหล่าหู ให้ผมเดินข้างหน้าเถอะ…”
ความสามารถในการรับรู้ถึงอันตรายของเยี่ยเทียนสูงกว่าหูหงเต๋อมาก เขาปล่อยการขับเคลื่อนของชี่มาก่อนหน้านั้น และพบว่าไม่มีอันตรายใดๆ อยู่ในถ้ำแห่งนี้
หลังจากจุดไฟแล้ว จึงย่อตัวลง จากนั้นเยี่ยเทียนจึงมุดเข้าไปในถ้ำขนาดหนึ่งเมตร หลังจากเดินเข้าไปได้สองสามเมตร เยี่ยเทียนจึงพบว่า หากจะพูดว่าที่นี่เป็นถ้ำ ควรจะพูดว่าเป็นรอยแยกจะเหมาะสมกว่า
เพราะถ้ำแห่งนี้แคบมาก แต่ความสูงกลับสูงสามถึงสี่เมตร เยี่ยเทียนพยายามทำตัวตรง แต่ตอนที่เดินเข้าไปข้างหน้า กลับต้องแขม่วท้องเพื่อเก็บลมหายใจแล้วจึงจะเอาตัวผ่านเข้าไปได้
เมื่อเดินไปตามทาง กระทั่งยังมองเห็นรอยขวานอยู่บนก้อนหิน คาดว่าคงจะเป็นร่องรอยของเมิ่งตาบอดที่ทิ้งเอาไว้ ดังนั้นไม่ว่าจะเดินไม่สะดวกแค่ไหน เยี่ยเทียนทั้งสองคนก็พยายามจะผ่านไปให้ได้
และก็ไม่รู้ว่าลักษณะถ้ำแบบนี้มีความลึกมาก หลังจากเยี่ยเทียนสองคนเดินไปได้เจ็ดถึงแปดนาที ก็น่าจะเป็นระยะห่างสี่ถึงห้าสิบเมตรแล้ว แต่ก็ยังเดินไม่สุดทางเสียที
“หืม? เหล่าหู คุณรู้สึกอะไรไหม เหมือนอุณหภูมิจะร้อนมากขึ้นนะ?”
เมื่อเดินเข้าไปได้สี่ถึงห้านาที จู่ๆ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกมีความร้อนมาปะทะหน้า ถึงแม้เขาจะบรรลุขั้นที่ความร้อนหรือความเย็นไม่สามารถเข้าร่างกายได้ แต่เขาก็ยังสามารถรับรู้ความเย็นและความร้อนได้เสมอ
เมื่อเทียบกับอุณหภูมิภายนอก อุณหภูมิความร้อนแบบนี้น่าจะอยู่ในระดับแปดถึงเก้าสิบองศา ทำให้เยี่ยเทียนที่อยู่ในถ้ำที่หนาวเหน็บแบบนี้รู้สึกถึงความร้อนและความหนาวเย็นของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
“ใช่ แปลกมาก หรือว่าในถ้ำนี้จะยังมีส่วนกลางของภูเขา?” หูหงเต๋อรู้สึกได้อย่างชัดเจน เพราะเสื้อผ้าที่เขาใส่จนหนา ตอนนี้มีเหงื่อผุดออกมาที่หน้าผากแล้ว
“แต่ก็ไม่ถูกนะ แม้ว่าจะเป็นส่วนกลางภูเขา แต่อุณหภูมิก็ไม่น่าจะสูงเช่นนี้ นอกเสียจาก…นอกเสียจากจะมีน้ำพุร้อน!”
หูหงเต๋อที่เติบโตมาจากภูเขาฉางไป๋ซาน จึงมีความรู้และเข้าใจภูมิศาสตร์ของภูเขาฉางไป๋ซามากกว่านักธรณีวิทยาเหล่านั้นเสียอีก เพียงแค่ใช้สมองคิดก็สามารถนึกถึงความเป็นไปได้ของข้อนี้
ภูเขาฉางไป๋ซานเป็นทะลที่กว้างสุดลูกหูลูกตาในตอนแรก เนื่องจากเปลือกโลกที่สูงขึ้น ทำให้น้ำทะเลถดถอย พื้นดินเกิดผิวน้ำใหม่ และระหว่างนี้ยังผ่านการปะทุของภูเขาไฟนับสิบครั้ง จึงทำให้เกิดบ่อน้ำพุร้อนให้ผู้คนมาท่องเที่ยวได้
เพียงแต่น้ำพุเหล่านี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลหนึ่งพันกว่าเมตร หูหงเต๋อจึงไม่กล้ายืนยันว่าในถ้ำจะมีน้ำพุจริงไหม
พอสิ้นเสียงของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนที่เดินนำหน้าจู่ๆ ร่างกายก็นิ่งทื่อไปทันที แล้วหันคอมาอย่างยากลำบากพลางพูดอย่างขมขื่น “เหล่าหู คุณทายถูกแล้ว!”
ห่างออกไปสามเมตรจากตัวของเยี่ยเทียนยังมีปากถ้ำอีกหนึ่งอัน และแสงดาวระยิบระยับกลุ่มหนึ่งก็ตกลงมาจากปากถ้ำ และแล้วที่นี่ก็ยังมีทิวทัศน์ที่งดงามเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งจริงๆ…
ตอนที่ 424 แดนสุขาวดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตำแหน่งตรงหน้าปากถ้ำกว้างกว่าข้างในเล็กน้อย เยี่ยเทียนเบี่ยงตัว ให้หูหงเต๋อมายืนกับตัวเอง
“ที่…ที่นี่คือที่ไหน?” เมื่อเห็นลักษณะภายนอกถ้ำ หูหงเต๋อจึงตกตะลึง ทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าคือภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ตัวถ้ำห่างจากพื้นดินประมาณสิบเมตร แต่ก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าทั้งสองคน คือหุบเขาที่เว้าเข้าไป มีขนาดประมาณสามถึงสี่พันตารางเมตร มีหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมล้อมรอบ โอบล้อมภูเขาแห่งนี้เอาไว้
นอกจากนี้ยังมีต้นผลไม้พุ่มเตี้ยมากมายอยู่กลางหุบเขา และมีผลไม้อยู่เต็มพื้น พื้นหญ้าสีเขียวขจี ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เยี่ยเทียนทั้งสองคนคงคิดว่าอยู่ในความฝัน
ตรงกลางหุบเขามีบ่อน้ำพุร้อนทรงกลมขนาดเจ็ดถึงแปดสิบเมตร พร้อมกับฟองน้ำที่ผุดขึ้นมาตลอดเวลา จนเกิดเสียง “กูรู กูรู”
เนื่องจากเป็นหุบเขาปิด จึงทำให้น้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิสูงเช่นนี้แผ่กระจายความร้อนออกมา และลอยขึ้นไปข้างบน และถูกบังด้วยอากาศที่หนาวเย็นเข้ากระดูกที่อยู่ภายนอก จึงทำให้กลายเป็นพื้นที่ภูมิศาสตร์ที่มีลักษณะเฉพาะตัว
และข้างๆ ของป่าไม้นั่น ยังมีเสาไม้ทำเป็นบ้านยกสูงจากพื้นประมาณหนึ่งเมตรที่ข้างบนยังไม่ได้ลอกเปลือกไม้ออก และภายใต้ความชุ่มชื่นของอุณหภูมิความร้อนของน้ำพุ จึงยังคงรักษาสภาพความเขียวสดเอาไว้ได้
เมื่อมองขึ้นไปข้างบน ต้นสนที่อยู่บนหน้าผาสูงชันยังมีหิมะขาวปกคลุม ความแตกต่างราวฟ้ากับดิน ทำให้คนรู้สึกทึ่งกับความมหัศจรรย์ที่สรรค์สร้างจากธรรมชาติจริง!
และสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนตื่นเต้นสนใจมากที่สุด ก็คือความพอเพียงของพลังจักรวาลที่แปลกประหลาดภายในหุบเขา และยังมีความบริสุทธิ์มาก เหมือนกับมีคนสร้างค่ายกลเอาไว้ เพื่อพันธนาการพลังจักรวาลให้อยู่ในที่แห่งนี้
“เหล่าหู ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ซ่อนตัวของเมิ่งตาบอด?”
เมื่อดูทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่ตรงหน้า เยี่ยเทียนจึงพูดพึมพำ “บัดซบ ตาแก่หาสถานที่ได้ดีจริงๆ และก็ไม่รู้ว่าเขาหาสถานที่แบบนี้เจอได้อย่างไร?”
และดูจากร่องรอยตอนที่เข้าไปในถ้ำนั้นก็พอจะมองออกว่า ตอนแรกปากถ้ำนี้น่าจะเล็กมาก แต่ผ่านการเปลี่ยนแปลงจากเมิ่งตาบอดจึงทำให้คนสามารถผ่านไปได้ จึงคิดว่ายังไม่มีใครรู้สถานที่แห่งนี้
ความจริงตอนแรกเมิ่งตาบอดวิ่งไล่ตามจิ้งจอกขาวตัวหนึ่งมาที่นี่ และจิ้งจอกขาวตัวนั้นก็มุดเข้าไปในถ้ำและหายไปเลย เมิ่งตาบอดจึงสร้างกับดัก และรอห้าวันเต็มอย่างยากลำบาก ก็ไม่เห็นจิ้งจอกขาวออกมาอีก
จึงทำให้เมิ่งตาบอดรู้สึกแปลกใจมาก เขาไม่ทานอะไรมาห้าวัน เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นก็ต้องหิวตายแล้ว เขาจึงมุดเข้าไปในถ้ำด้วยความสงสัย แล้งจึงพบแดนสุขาวดีแห่งนี้
นับจากวันนั้น เมิ่งตาบอดจึงสร้างที่นี่เป็นที่ซ่อนตัวลึกลับของตัวเอง ไม่เพียงแต่สร้างกระท่อมในหุบเขา เขายังตุนอาหารและของกินไว้มากมาย กระทั่งเงินที่เขาหามาหลายปีก็ยังเอามาไว้ที่นี่
เพียงแต่เมิ่งตาบอดต้องเสียเวลาในการสร้างนานกว่าสิบปีถึงจะสร้างที่อยู่ของตัวเองเสร็จ เมื่อเขาตายไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร หรืออาจจะพูดว่าทำให้เยี่ยเทียนสองคนเสียเวลา!
เมื่อสัมผัสถึงพลังจักรวาลที่เข้มข้นที่อยู่ในหุบเขา เยี่ยเทียนจึงอดใจไม่ไหวแล้ว จากนั้นจึงผลักหูหงเต๋อเบาๆ
“ไป ลงไปดูข้างล่างกัน”
เพื่อการเข้าออกที่สะดวก เมิ่งตาบอดได้ทำบันไดไม้ติดกับกำแพงหินนอกถ้ำ จากนั้นทั้งสองคนจึงเดินไปตามท่อนไม้แล้วลงไปในหุบเขา
เมื่อเหยียบลงบนหญ้าที่เขียวขจี จึงสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มที่ฝ่าเท้า แล้วจึงนึกถึงหิมะบนภูเขาที่อยู่นอกถ้ำ จึงรู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือนดินแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน
นอกจากนี้รอบๆ น้ำพุร้อนยังมีต้นซานจา พุทราอ่อน กีวี แล้วก็ยังมีลูกพลัมจากจีนทางเหนืออีกด้วย ผลไม้บนต้นที่เน่าแล้ว ก็จะตกลงมาบนพื้นกินกลายเป็นปุ๋ย ทำให้เกิดระบบนิเวศที่ดีอย่างหนึ่ง
“โอ้ว ทำไมน้ำร้อนขนาดนี้?”
เยี่ยเทียนเดินมาถึงริมบ่อน้ำพุร้อน แล้วจึงยื่นมือไปลองวัดอุณหภูมิในสระ แค่ยื่นมือเข้าไปก็ต้องรีบชักกลับมาทันที เมื่อครู่เขาไม่ได้ใช้ชี่แท้ป้องกัน จึงทำให้หลังมือบวมแดงไปหมด
หูหงเต๋อก็เลียนแบบเยี่ยเทียนเอามือไปวัดอุณหภูมิในน้ำ แล้วจึงเงยหน้าพลางพูดหัวเราะ “เยี่ยเทียน น้ำพุร้อนของภูเขาฉางไป๋ซานสามารถต้มไข่ให้สุกได้และสามารถต้มให้สุกได้ในขณะนั้น แต่น้ำพุร้อนของที่นี่เกรงว่าจะมีอุณหภูมิสูงกว่าเจ็ดถึงแปดสิบองศาเสียอีก”
เยี่ยเทียนมองดูหุบเขาที่มีลักษณะเป็นวงกลมนี้ พลางคิดในใจแล้วพูดออกมา “อย่างนั้นที่นี่น่าจะเป็นปากปล่องภูเขาไฟ เพียงแต่ทำไมถึงถูกห่อหุ้มอยู่ภายในกำแพงหิน?”
“ไปใส่ใจมันมากทำไม เยี่ยเทียน ไป เข้าไปดูกระท่อมที่เมิ่งตาบอดสร้างดีกว่า!”
หูหงเต๋อกลับไม่ได้คิดถึงต้นสายปลายเหตุเหมือนเยี่ยเทียน เพราะความแปลกประหลาดในภูเขาฉางไป๋ซานนั้นมีมากมาย หลังจากเกิดเรื่องสั่นสะเทือนในตอนแรก เขาจึงเห็นจนชินแล้ว
ก่อนที่จะมาถึงกระท่อม ใบหน้าของหูหงเต๋อก็เกิดความสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง จากนั้นจึงใช้มือลูบไปที่ไม้ แล้วพูด “สุดยอด เยี่ยเทียน นี่คือต้นวอลนัตนะ!”
เห็นได้ชัดว่าเมิ่งตาบอดทุ่มเทเป็นอย่างมาก วัสดุไม้ที่ใช้ในการสร้างกระท่อมกับใช้ไม้ของต้นวอลนัตที่อยู่ในหุบเขา
เนื้อของไม้วอลนัตมีความแข็งมาก อีกทั้งยังอดทนต่อการดัดงอและการกัดกร่อนได้ดีเยี่ยม แม้ว่าในหุบเขาจะมีหมอกควันตลอด แต่ก็ไม่ถูกกัดกร่อนจนเปลี่ยนรูปทรงได้ง่าย
ต้องรู้ก่อนว่าไม้วอลนัตมักจะใช้ในงานแกะสลักและทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง แต่กระท่อมที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับใช้ไม้วอลนัตสร้างขึ้นมาทั้งหลัง ถ้าหากเอาไปวางข้างนอก ก็คงจะเป็นกระท่อมที่มีราคาแพงหูฉี่
“เหล่าหู น่าเสียดายที่เมิ่งตาบอดไม่ได้เป็นช่างไม้” เยี่ยเทียนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องไม้วอลนัตเท่าไร เขาแค่รู้สึกว่ากระท่อมหลังนี้สร้างได้ดีมาก
“ไปกันเถอะ เข้าไปดูข้างใน!” เมื่อเดินขึ้นบันไดไม้ขั้นที่สาม เยี่ยเทียนจึงผลักประตูไม้ออก
บึงน้ำมังกรดำคือสถานที่ที่อันตรายของภูเขาฉางไป๋ซาน อย่าว่าแต่คน แม้แต่สัตว์ก็ไม่กล้าเข้ามาที่นี่ แต่เมิ่งตาบอดไม่ได้สร้างกับดักเอาไว้ กระทั่งไม่สร้างกลอนประตู
กระท่อมแบ่งเป็นสามห้อง ทุกห้องเชื่อมต่อถึงกัน โดยมีแผ่นไม้กั้นตรงกลาง มีเตียงวางอยู่ห้องที่อยู่ด้านนอกสุด ตรงหัวเตียงมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่งและมีตะเกียงน้ำมันวางอยู่บนโต๊ะ และมีดล่าสัตว์กับมีดหั่นแขวนอยู่บนผนัง
หลังจากจุดไฟน้ำมันตะเกียงแล้ว ทั้งสองคนจึงเห็นกล่องไม้สีแดงเข้มสามอันเรียงกันอยู่ใต้เตียง และห้องอื่นๆ ก็ไม่มีสิ่งของใดๆ อีก เยี่ยเทียนจึงนั่งลงยองๆแล้วใช้มือคลำไปบนพื้น ฝุ่นไม่เยอะจนเกินไป แสดงว่าเมิ่งตาบอดต้องมาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้
หลังจากผลักประตูอีกสองห้อง จึงมีกลิ่นของเสบียงอาหารแห้งมาเตะจมูกทั้งสองคน และเสบียงอาหารเหล่านี้ถูกพลาสติกขนาดใหญ่มัดอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้อากาศชื้นภายนอกแทรกเข้ามา
นอกจากเสบียงอาหารแล้ว ภายในอีกห้องหนึ่งยังวางเนื้อแห้งเต็มไปหมด ล้วนแต่หมักด้วยเกลือทั้งนั้น สามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้หนึ่งถึงสองปีอย่างไม่มีปัญหา
“ถ้าหากอีตานี่เข้ามาซ่อนตัวที่นี่จริง ถึงไม่ได้ออกไปข้างนอกสองสามปีก็คงไม่อดตาย!”
เมื่อมองดูสิ่งของที่อยู่ภายในกระท่อมแล้ว หูหงเต๋อจึงสายหน้า ถ้าไม่ใช่คนเลวจอมเจ้าเล่ห์ เขาจะมัวเสียเวลามากมายในยุคที่สงบสุขตอนนี้แล้วกักตุนของพวกนี้ไปทำไม?
“ลองดูในกล่องสิว่ามีอะไร?”
เยี่ยเทียนเดินไปข้างเตียงแล้วจึงยื่นมือไปจับมาหนึ่งกล่อง ตัวกล่องก็ทำมาจากไม้วอลนัตเหมือนกัน เกรงว่าเดิมทีต้นวอลนัตที่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ จะถูกเมิ่งตาบอดตัดจนหมดแล้ว
“บัดซบ เงินเยอะขนาดนี้เชียว?”
เมื่อเปิดกล่องดู เยี่ยเทียนจึงอดพูดคำหยาบออกมาไม่ได้ ภายในกล่องที่กว้างประมาณห้าสิบเซ็นติเมตรและยาวประมาณหนึ่งเมตร ล้วนมีแต่พันธบัตรใบใหญ่ซ้อนทับกันเป็นตับอยู่เก็บไว้ในถุงกระดาษพลาสติก
และบนพันธบัตรก็ยังมีทองแท่งหกแท่งเหลืองอร่ามขนาดเท่าปลาเหลืองวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และของสิ่งนี้ก่อนจะอยู่ในช่วงปลดปล่อยก็เป็นเงินตราสกุลแข็ง ซึ่งไม่รู้ว่าเมิ่งตาบอดเอามาจากไหน?
เยี่ยเทียนพยายามคาดคะเนเงินที่อยู่ในกล่อง และนึกถึงหูหงเต๋อที่มอบคฤหาสน์หลังนั้นให้หลานสาว แล้วจึงพูดอย่างโกรธเคือง “ในนี้น่าจะมีอยู่สี่ล้าน เหล่าหู คนที่อยู่ในภูเขาอย่างพวกคุณมีเงินเยอะขนาดนี้เชียว?”
ในปีหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบแปดนี้คนที่มีเงินสี่ล้านแบบนี้ ไม่ว่าไปที่เมืองไหนก็จะถูกเรียกว่าเศรษฐี ทว่าเมิ่งตาบอดทำธุรกิจก็ว่าไปอย่าง เป็นแค่คนที่อยู่ในภูเขา แบบนี้ถึงจะเรียกว่าคนรวยของจริง
หูหงเต๋อส่ายหน้าแล้วพูด “สองสามปีที่ผ่านมานี้เงินหาง่ายหน่อย ถ้ารอหลังจากสิบปีผ่านไป แม้ว่าเธอจะขุดโสมคนออกมาขาย ก็ขายได้ไม่เท่าไรหรอก”
ในยุคของการจัดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ เอกชนไม่สามารถซื้อขายวัสดุยาได้ มิฉะนั้นจะถูกตัดสินว่าคุณค้าขายอย่างเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้นคนที่นำโสมคนที่เป็นยาล้ำค่าออกมานั้น จึงได้แต่ขายให้ประเทศและเป็นราคาต่ำจนน่าตกใจ
แต่คนอย่างหูหงเต๋อ จะยอมเก็บยาไว้กับมือโดยไม่ขาย ดังนั้นตอนที่เปิดตลาด มูลค่าของพวกมันจึงสูงขึ้นไปด้วย
ในภูเขาฉางไป๋ซานเมิ่งตาบอดขึ้นชื่อว่าเป็นนักขุดโสมคนตัวยง ของล้ำค่าที่เขาขุดมาได้ก็ไม่น้อยกว่าหูหงเต๋อ และที่เขามีเงินขนาดนี้จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
เยี่ยเทียนจึงมีความคิด จากนั้นจึงนำกล่องที่มีเงินผลักไปอยู่ตรงหน้าหูหงเต๋อแล้วพูด “เหล่าหู ผมไม่ต้องการเงินเหล่านี้ แต่ของที่อยู่ในกล่องอีกสองอัน ถ้ามีของที่ผมชอบคุณห้ามแย่งผมนะ!”
“เธอนี่ไม่ยอมเสียเปรียบเลยนะ ของที่อยู่ในกล่องนั่นไม่น่าจะมีของมีค่าอะไร?” หูหงเต๋อได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมาทันที ในใจก็ไม่ไม่ได้สนใจอะไร อีกอย่างเมิ่งตาบอดก็ถูกเยี่ยเทียนจัดการ ดังนั้นของเหล่านี้จึงต้องเป็นของเยี่ยเทียนทั้งหมดอยู่แล้ว
“เหล่าหู รีบมาดูเร็ว ของสิ่งนี้เป็นของจริงหรือของปลอม?” ถึงแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ตอนที่เยี่ยเทียนเปิดอีกกล่องหนึ่ง ลมหายใจของเขาก็หายใจถี่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ในกล่องใบนี้วางวัตถุไว้สี่อย่าง นอกจากโถลายครามสามอันแล้ว ตรงกลางกล่องมีเห็ดหลินจือแห้งที่มีขนาดเท่ากับพัดที่ทำมาจากต้นปาล์ม ผิวสีน้ำตาลแดง สีสันสวยงาม ความยาวของตัวเห็ดยาวเกือบครึ่งเมตร
จากตำนานของนักบวชลัทธิเต๋า เห็ดหลินจือสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ เป็นยาที่ได้ผลดีชะงัด มีพลังมหัศจรรย์ จึงได้ชื่อว่าหลินจือหรืออีกชื่อหนึ่งว่า “ยาอายุวัฒนะ” หรือถูกขนานนามอีกอย่างว่า “หลิงจือฉ่าว” ในตำรายาของหลี่ซั่นหยวนโดยทั่วไปก็จะใช้ของสิ่งนี้
“แน่นอนว่าเป็นของจริง เห็ดหลินจือนี้หากนับจากปีแล้วน่าจะมีอายุประมาณสามร้อยปี ถือว่าเป็นของล้ำค่ามาก เยี่ยเทียน แต่ของที่อยู่ในโถนี้น่าจะมีราคาแพงกว่าหลินจืออีกนะ!”
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในภูเขาฉางไป๋ซาน ถึงแม้หลินจือจะเป็นสิ่งที่หายาก แต่ในภูเขาก็สามารถเห็นได้เยอะมาก ตอนนี้สายตาของหูหงเต๋อกลับจ้องมองไปที่โถลายครามทั้งสามนั้นตาไม่กระพริบ
…
ตอนที่ 425 เก็บเกี่ยวได้ค่อนข้างเยอะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เหล่าหู ในโถสองสามอันนี้ใส่โสมทั้งนั้นใช่ไหม? ใส่เข้าไปได้ยังไง? ไม่ยุ่งยากเหรอ”
เยี่ยเทียนปล่อยพลังชี่เคลื่อนออกไปสัมผัสในโถเล็กน้อย แล้วจึงรู้สึกได้ว่าสิ่งของที่อยู่ในโถนั่นเป็นโสมคนแก่อย่างละหนึ่งอันวางอยู่ข้างใน และพลังชีวิตในโสมนั้นมีมากกว่าต้นโสมที่ตัวเองเคยกินเคี้ยวสดๆ มาก
“ถ้าหากเก็บโสมนี้อย่างไม่ระมัดระวัง ก็จะถูกแมลงหรือไม่ก็ขึ้นราจนเปลี่ยนสภาพได้ เมิ่งตาบอดมีความอดทนจริงๆ!”
เมื่อนึกถึงเมิ่งตาบอดที่นอนเป็นศพอยู่ข้างนอก หูหงเต๋ออดถอนหายใจไม่ได้ ในเขตภูเขาฉางไป๋ซานนี้ ถือว่าเมิ่งตาบอดเป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่มีความสามารถในการล่าสัตว์และขุดโสมคน ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอง
รู้จักกันมาสิบกว่าปี สุดท้ายกลับต้องมาทำสงครามกัน แล้วยังตายด้วยน้ำมือของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นยาล้ำค่าเหล่านี้ที่เมิ่งตาบอดเก็บรักษาเอาไว้ หัวใจของหูหงเต๋อจึงพรั่งพรูไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
“ต้องพิถีพิถันมากขนาดนี้?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เปิดโถลายครามออกหนึ่งอัน จึงมองเห็นกล่องที่ห่อด้วยถุงพลาสติกหนึ่งอันอยู่ข้างใน และยังมีกระดาษน้ำมันหนึ่งใบรองอยู่ข้างล่างกล่อง และข้างล่างกระดาษน้ำมันยังมีปูนขาวรองอยู่อีกชั้น
หลังจากยื่นมือไปหยิบกล่องนั้นออกมาแล้วเปิดถุงพลาสติกออก เยี่ยเทียนจึงพบว่าด้านนอกของโสมคนที่อยู่ในกล่องยังมีกระดาษสีขาวห่ออยู่อีกชั้น
“เหล่าหู โสมคนจำเป็นต้องเก็บรักษาแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
เมื่อนึกถึงโสมคนที่วางอยู่ในห้องของเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนรู้สึกเหงื่อโทรมหน้าไม่หยุด ยกเว้นโสมแก่สองสามอันที่เขาแยกเก็บต่างหากแล้ว ส่วนที่เหลือก็โยนทิ้งในห้องเก็บของ
โชคดีที่ในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนยังมีง้าวพระจันทร์เสี้ยวอยู่ และยังมีเจ้าเหมาโถวที่ใช้ชีวิตอยู่บ้าน จึงทำให้พวกมดแมลงหนูไม่กล้าเข้าไปข้างใน ไม่อย่างนั้นถ้าถูกแมลงพวกนี้กัดคงมีสภาพที่ไม่ดีแน่
“แน่นอน ต้องเก็บวิธีนี้ถึงจะเก็บรักษาได้สองสามปี”
หูหงเต๋อโบกมือพลางพูด “โอเค รีบเปิดดูเถอะว่าเมิ่งตาบอดเก็บอะไรไว้ข้างใน จะต้องเป็นของดีแน่นอน!”
ในฐานะที่เป็นนักขุดโสมคนที่มีชื่อเสียงในภูเขาฉางไป๋ซานเหมือนกัน วิธีการของเมิ่งตาบอดต้องดีมากกว่าหูหงเต๋อแน่นอน เขาไม่เพียงแต่ขุดด้วยตัวเอง แถมยังแย่งโสมที่คนอื่นขุดมาแล้วอีกต่างหาก เมื่อสะสมมาเรื่อยๆ จึงมีเยอะเป็นธรรมดา
“นี่…นี่อย่างน้อยต้องเป็นพวก หกใบ?”
เมื่อเปิดกระดาษสีขาวที่ห่อโสมคนออกมา จึงได้กลิ่นหอมสดชื่นของโสมคนลอยมาเตะจมูก แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนตกใจคือ โสมคนอันนี้มีหนวดโสมล้อมอยู่โดยรอบแต่กลับมองไม่เห็นตัวของโสมเลย
เมื่อเห็นโสมนี้ หูหงเต๋อมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีแล้วพูดอย่างรีบร้อน “เยี่ยเทียน เบาๆ รีบ…รีบเอาไปวางบนโต๊ะ!”
หลังจากรอให้เยี่ยเทียนเอาโสมคนไปวางบนโต๊ะแล้ว หูหงเต๋อจึงค่อยๆ ลูบหนวดโสมให้เรียบอย่างระมัดระวัง และขยับอย่างเบามือที่สุด หลังจากสิบนาทีผ่านไป โสมคนอันนี้ก็เผยหน้าตาออกมาทั้งหมด
ก้านรากใต้ดินของโสมคนนี้ไม่ใหญ่มาก มีความกว้างประมาณสองนิ้วมือแต่หนวดโสมเยอะมาก บนโต๊ะมีความกว้างยาวประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตร เวลานี้มีแต่หนวดของโสมคนเต็มไปหมด มีความหนาขนาดเท่านิ้วก้อย แต่ละเอียดยิบเหมือนเส้นผมที่แน่นขนัดปูอยู่เต็มโต๊ะ
“แปดร้อยปี โสมนี้อย่างน้อยต้องมีอายุเจ็ดแปดร้อยปีขึ้นไป เป็นโสม เจ็ดใบ ราชาแห่งโสม สามารถเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งโสม!”
หูหงเต๋อขุดโสมคนอยู่บนภูเขาฉางไป๋ซานมาตลอดชีวิต ก็ไม่เคยเห็นโสมล้ำค่าขนาดนี้มาก่อน จากนั้นเขาจึงเอามือไปลูบหนวดโสมเบาๆ พร้อมกับใบหน้าที่แสดงถึงความตื่นเต้นอย่างเต็มที่
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูด “โสมนี้ไม่เลว ถึงแม้จะถูกตากแห้งแล้ว แต่พลังชีวิตที่อยู่ข้างในนั้นมีมากกว่าอันที่มีอายุห้าสิบปีหลายเท่า เป็นของดีจริงๆ!”
หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนมองดูราชาโสมที่อยู่บนโต๊ะตาไม่กระพริบ สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ทันที แล้วจึงรีบพูด “เยี่ยเทียน คุณคงไม่คิดอยากจะทานโสมนี้สดๆ หรอกนะ? โสมตากแห้งรสชาติไม่ดีนะ!”
“ไม่ ไม่หรอก” เมื่อถูกหูหงเต๋ออ่านใจออก เยี่ยเทียนจึงหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดเปลี่ยนประเด็นทันที “เหล่าหู เก็บโสมต้นนี้ไว้ให้ดี พวกเราก็ไปดูอีกสองต้นที่เหลือกันเถอะ”
ถึงแม้อีกสองต้นที่เหลือจะไม่มีอายุมากเท่าราชาโสม แต่ก็เป็นโสมที่มีอายุหนึ่งร้อยปีขึ้นไปและยังมีคุณสมบัติดีมากอีกด้วย หากนำไปวางข้างนอกจะกลายเป็นสิ่งของล้ำค่าที่สุดบนโลกมนุษย์ที่เงินก็ไม่สามารถซื้อได้
“เหล่าหู ตกลงกันแล้วนะ ของพวกนี้ต้องเป็นของผมทั้งหมด!”
หลังจากเยี่ยเทียนเก็บหนวดโสมที่เป็นราชาแห่งโสมที่อยู่บนโต๊ะอีกครั้งและวางลงไปในกล่องไม้ ในขณะที่หูหงเต๋อใช้สายตามองตามตาปริบๆ แม้แต่กล่องที่เหลืออีกสองอันก็ถูกเก็บไปพร้อมกัน
“เอ่อ เยี่ยเทียน ของพวกนี้ต้องใช้อย่างระวังนะ เวลาที่คนกำลังจะตาย มันสามารถต่อเวลาให้ชีวิตคนได้ไม่น้อย!”
หูหงเต๋อถอนหายใจ เขากลัวว่าเยี่ยเทียนคึกขึ้นมาแล้วจะทานโสมแก่สองสามอันนั้นจนหมดเกลี้ยง แบบนั้นคงจะเป็นเหมือนวัวเคี้ยวดอกโบตั๋น
“เหล่าหู วางใจได้ ของพวกนี้อยู่ในมือผมแล้ว ยังมีประโยชน์มากกว่าให้คุณเสียอีก” เยี่ยเทียนยิ้มแล้วจึงพูด “กลับไปรออีกสองสามเดือน แล้วผมจะปรุงยามาให้คุณ หลังจากคุณทานแล้วก็จะรู้ถึงข้อดีของมัน!”
ตำรับยาวิเศษที่หลี่ซั่นหยวนทิ้งเอาไว้ให้ มียาหลายชนิดที่จำเป็นต้องใช้โสมที่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีเป็นตัวนำ
ยาวิเศษแบบนี้มีประสิทธิภาพที่ดีมากต่อผู้ที่ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ โดยเฉพาะการฝึกกำลังภายในและภายนอกอย่างหูหงเต๋อ เขาจะต้องกำจัดลมปราณแฝงที่ไม่ดีออกจากภายในร่างกายก่อน
เพียงแต่โสมดีนั้นหายาก เยี่ยเทียนไม่สามารถรวบรวมวัตถุดิบชั้นยอดได้ ตอนนี้มีโสมแก่อายุร้อยปีสามอัน จึงสามารถปรุงยาวิเศษที่บำรุงร่างกายและเลือดลมออกมาได้เสียที
“โอเค อย่างนั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้นะ!” เมื่อได้อยู่กับเยี่ยเทียนมาสักระยะหนึ่ง หูหงเต๋อจึงรู้ว่าเขามีความรอบรู้สูงมาก และสิ่งของที่สามารถทำให้เขาชื่นชมได้ จะต้องเป็นของดีอย่างมากแน่นอน
“เหล่าหู นี่คือของอะไร?”
หลังจากเยี่ยเทียนเปิดกล่องอันสุดท้าย ในกล่องกลับมีกล่องพลาสติกสี่อันวางอยู่ และเป็นกล่องโปร่งใสด้วย ทำให้เยี่ยเทียนสามารถมองเห็นสิ่งของที่เป็นสีเหลืองทองอร่ามวางอยู่ข้างใน
เมื่อมองเห็นกล่องสี่อันแล้ว หูหงเต๋อจึงพูดด้วยความตกใจ “น้ำมันหอยหิมะ? นี่ก็เป็นของดีเหมือนกัน โอ้แม่เจ้า เมิ่งตาบอดฆ่ากบป่าไปกี่ตัวกันแน่?”
เมื่อเห็นท่าทางไม่เข้าใจของเยี่ยเทียน หูหงเต๋อจึงอธิยาย “ของสิ่งนี้ก็เป็นยาเหมือนกัน แต่มันสกัดมาจากสัตว์ สามารถช่วยบำรุงปอดให้ชุ่มชื่น ร่างกายแข็งแรงกำยำ ไม่ด้อยไปกว่าของล้ำค่าสามอย่างบนภูเขาฉางไป๋ซานหรอก…”
น้ำมันหอยหิมะของแท้ส่วนใหญ่มีกำเนิดมาจากน้ำมันกบที่เกิดจากกบป่าในภูเขาฉางไป๋ซาน ในฤดูใบไม้ร่วงท้องของกบป่าจะมีน้ำมันออกมา พอตากแห้งแล้วก็จะกลายเป็นน้ำมันหอยหิมะ หลังจากผู้ชายได้ทานแล้วก็เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ส่วนผู้หญิงก็จะทำให้ใบหน้าดูเปล่งปลั่ง
ดังนั้นในสมัยราชวงศ์ชิงและราชวงศ์หมิง น้ำมันหอยหิมะจะเป็นของบรรณาการ และที่ผ่านมามีความต้องการที่สูงมาก จึงทำให้เป็นสินค้าที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทัน
แต่ในปีหนึ่งพันเก้าร้อยเจ็ดสิบ เนื่องจากปัจจัยความต้องการของมนุษย์ทำให้ระบบนิเวศน์แย่ลง การเข้าไปจับกันอย่างพร่ำเพรื่อ ทำให้กบป่าในประเทศจีนใกล้สูญพันธุ์ หลายปีมานี้จึงประกาศให้กบป่าเป็นสัตว์สงวน จึงทำให้เริ่มดีขึ้นมาบ้าง
เมิ่งตาบอดสามารถรวบรวมน้ำมันหอยหิมะได้มากมายขนาดนี้ ไม่รู้ว่ามีกบป่ามากมายขนาดไหนที่ต้องตายด้วยมือของเขา และน้ำมันหอยหิมะนี้ก็เพิ่งทำเมื่อไม่นานมานี้เอง จึงไม่รู้ว่าเมิ่งตาบอดเอามาซ่อนไว้ที่นี่เพื่ออะไร?
“แค่กๆ…”
เยี่ยเทียนได้ยินสรรพคุณของน้ำมันหอยหิมะ จึงไอทันที จากนั้นจึงปิดกล่องแล้วพูดว่า “เหล่าหู ของสิ่งนี้คุณเอาไปก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหม? บ้านของผมมีผู้หญิงเยอะ งั้นก็ให้ผมดีกว่า!”
“หลานสาวของผมไม่ใช่ผู้หญิงเหรอ? เธอสามารถใช้ได้เหมือนกัน”
เมื่อได้เจอของดีแบบนี้ หูหงเต๋อจึงไม่ยอมถอยให้เหมือนกัน เพราะน้ำมันหอยหิมะสีเหลืองทองอร่ามนี้ มีคุณภาพดีมาก เขาเองก็อยากได้
“โอเค มีสี่กล่องผมให้คุณหนึ่งกล่อง เหล่าหูคุณก็ไม่มีน้ำใจเลย ตัวเองอยู่ในภูเขาฉางไป๋ซานแท้ๆ ยังจะมาแย่งของกับแขกอย่างผมอีก?”
เยี่ยเทียนหยิบกล่องหนึ่งใบออกมาจากในกล่องแล้วยื่นให้หูหงเต๋อ จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องแล้วเทข้าวสารใส่ถุงหนึ่งถุง แล้วนำน้ำมันหอยหิมะกับโสมคนวางข้างใน
“ใครบ้างไม่ชอบของดี ของพวกนี้สามารถเอาไปบำรุงร่างกายให้หูเสี่ยวเซียนได้” สำหรับราชาแห่งโสมที่มีมูลค่าสูงกว่า หูหงเต๋อสามารถยอมให้ได้ แต่น้ำมันหอยหิมะเขาไม่ยอมและต้องเอามาให้ได้
หลังจากเก็บของล้ำค่าของเมิ่งตาบอดหมดแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูด “ไปกันเถอะ เหล่าหู พวกสองสามคนนั้นน่าจะตื่นแล้ว สถานที่แห่งนี้จะให้พวกเขารู้ไม่ได้”
พอเดินออกมาจากกระท่อม ก็ได้รับพลังจักรวาลที่บริสุทธิ์ที่อยู่ภายในหุบเขา ทำให้เยี่ยเทียนส่ายหน้าด้วยความเสียดาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะหุบเขาอยู่ไกลเกินไป เขาคงจะสร้างค่ายกลรวบรวมพลังชีวิตเพื่อใช้ในการฝึกวรยุทธ์ คงจะมีประสิทธิผลที่แข็งแกร่งกว่าในเรือนสี่ประสานของเขาอีก
ต้องรู้ก่อนว่าในเรือนสี่ประสานนั้นสร้างมาจากพลังพิฆาตและดูดเอาความแข็งแกร่งเส้นเลือดมังกรของพระราชวัง สุดท้ายพลังเหล่านั้นก็จะหมดไป
แต่พลังจักรวาลที่หล่อเลี้ยงที่นี่มาจากน้ำพุร้อนในหุบเขา ที่มาจากธรรมชาติทั้งหมด ใช้ไปมากกว่าหนึ่งร้อยปีก็ไม่ทำให้พลังงานที่มีลดลงไป
และที่นี่ยังเป็นที่ซ่อนตัวที่ยอดเยี่ยม ต่อให้ทำผิดคดีใหญ่มาจากภายนอก เมื่อมาหลบอยู่ที่นี่ก็สามารถปกป้องตัวเองได้อย่างปลอดภัย ถ้าหากเยี่ยเทียนเป็นคนที่มีจิตใจชั่วร้ายแบบนั้น ไม่แน่เขาคงคิดอยากฆ่าหูหงเต๋อปิดปากก็เป็นได้
เยี่ยเทียนตบไหล่ของหูหงเต๋อพลางพูด “เหล่าหู กลับไปที่ทางออกถ้ำแล้วจัดใหม่อีกครั้ง พยายามอำพรางให้ดีที่สุด ถ้าหากวันหลังเกิดเรื่องอะไร ที่นี่ก็คือทางถอย”
มีเรื่องมากมายที่เราก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะปรมาจารย์อย่างเยี่ยเทียนและพวกเขา ที่ต้องหวาดกลัวกับอำนาจมืดของแต่ละยุคแต่ละสมัยมาตลอด ไม่แน่วันหนึ่งเขาก็อาจจะได้มาอยู่ที่นี่
“ฉันรู้แล้ว เธอวางใจได้ แม้แต่เสี่ยวเซียน ฉันก็จะไม่บอกเธอ”
หูหงเต๋อได้ยินแล้วจึงพยักหน้า เขาเคยมีประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงมาแล้วถึงสองครั้ง ครั้งแรกก็คือการทำสงครามกับเหล่าทหารญี่ปุ่น ครั้งที่สองคือช่วงที่มีการปฏิรูปประเทศ ทั้งสองครั้งมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อชายชราคนนี้มาก
ความคิดในการหาที่หลบซ่อนตัวเพื่อความปลอดภัยของหูหงเต๋อนั้นรุนแรงกว่าของเยี่ยเทียน และในภูเขานี้มีสถานที่ซ่อนตัวของตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ายังมีสถานที่ลึกลับอยู่ที่นี่ด้วยเท่านั้นเอง
เมื่อคำนวณเวลาแล้ว ทั้งสองคนอยู่ในหุบเขานี้ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว หลังจากเก็บของแล้ว จึงปีนขึ้นไปบนปากถ้ำ เดินไปตามทางที่ทั้งสองคนผ่านมาแล้วกลับออกไป
“หืม? ทำไมกลิ่นคาวเลือดรุนแรงขนาดนี้?”
ขณะที่เพิ่งจะมุดตัวออกมาจากถ้ำ เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เหลือบตามองออกไปจึงเห็นกองไฟยังคงติดอยู่ แต่คนสองสามคนที่นอนอยู่ข้างกองไฟ กลับหายไปแล้ว
“เหล่าหู นี่เป็นฝีมือของฝูงหมาป่าเหรอ?” เมื่อรีบเดินเข้าไปที่ข้างกองไฟ เยี่ยเทียนจึงเห็นเลือดสดกระจายเต็มพื้น เนื่องจากที่นี่มีอุณหภูมิค่อนข้างสูง กลิ่นคาวเลือดจึงเตะจมูกและฉุนมาก
“ไม่ใช่ฝูงหมาป่า เยี่ยเทียน นี่…รอยเลือดนี้ตรงไปที่บึงน้ำมังกรดำ!” หูหงเต๋อมองดูบริเวณรอบๆ อย่างละเอียด จากนั้นสีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที
…
ตอนที่ 426 บึงน้ำมังกรดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“นี่…นี่คือร่องรอยอะไร?”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนจึงอาศัยแสงจากกองไฟกวาดตามองไปที่พื้นหิมะ จากนั้นสีหน้าจึงเปลี่ยนไปเป็นดูไม่ได้ขึ้นมาทันที
นอกจากเมิ่งตาบอดกับอีกคนที่ถูกยิง นอกนั้นยังไม่ตายแต่ถูกตีให้สลบเท่านั้น ดังนั้นรอบๆ กองไฟจึงไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ แต่บนพื้นหิมะกลับมีรอยคลานเป็นทางยาว ตรงไปยังหุบเขาที่เต็มไปด้วยอากาศพิษ
สิ่งมีชีวิตลึกลับที่ไม่รู้ว่าคืออะไรมีความโหดเหี้ยมทารุณมาก ตอนที่มันกำลังลากคนสองสามคนนั้น เหมือนจะกัดพวกเขาจนเลือดกระจายเต็มพื้นก่อน จากนั้นจึงลากเข้าไปในหุบเขา
ดังนั้นจากกองไฟลากไปถึงหุบเขาจึงมีระยะทางเกือบยี่สิบเมตร พร้อมกับเลือดที่สาดเต็มพื้นแล้วก็ยังมีอวัยวะของร่างกายมนุษย์บางส่วน แต่เวลานี้ได้ถูกแช่แข็งไปหมดแล้ว
“เหล่าหู คุณมาดูสิ มีของเหนียวบนพื้นด้วย” เยี่ยเทียนหมอบคลานสำรวจร่องรอย จากนั้นจึงลงนั่งยองๆ เอามือปาดลงบนพื้นหิมะ พบว่ามีน้ำเมือกติดเป็นชั้นเต็มมือ
น้ำเมือกเหล่านี้มีความโปร่งใสชัดจน แต่ไม่รู้ว่าเกิดจากวัตถุอะไร ภายใต้อุณหภูมิลบยี่สิบกว่าองศากลับไม่แข็งตัว เมื่อใช้มือดึงจะรู้สึกถึงแรงยึดเกาะได้ชัดเจน
“นี่..นี่คือสารคัดหลั่งของงู หรือ..หรือจะเป็นจริงเหมือนในตำนาน?”
มองดูทางเข้าหุบเขาของถ้ำที่มืดมิด ใบหน้าของหูหงเต๋อเผยความหวาดกลัวอย่างไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน พร้อมกับเดินถอยหลังไปสองสามก้าวไม่หยุดโดยไม่รู้ตัว เหมือนยิ่งห่างจากหุบเขาลูกนี้ก็จะยิ่งปลอดภัย
“เหล่าหู ตำนานอะไร?” ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่ใช่คนกลัวผีหรือเทวดา แต่เมื่อเห็นท่าทางของหูหงเต๋อแล้ว ในใจจึงอดรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาไม่ได้
หูหงเต๋อโบกมือ จากนั้นจึงหยิบฟืนแห้งหนึ่งมัดมาจากในป่าแล้วโยนลงไปในกองไฟ หลังจากกองไฟลุกโชนจนสว่างมากขึ้นแล้ว เขาจึงเอ่ยพูด “เยี่ยเทียน ฉันเคยบอกเธอแล้วว่ามีบึงน้ำมังกรดำอยู่ในหุบเขาลูกนี้…”
ที่แท้สถานที่แบบนี้จะมีคนมาถึงน้อยมาก แต่เมื่ออยู่ในช่วงฤดูร้อน จะมีคนที่ขุดโสมบนภูเขาสามารถมาถึงที่นี่ได้ ทว่าเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ที่นี่กลับมีตำนานเล่าขานว่ามีสัตว์ประหลาดกินคนแพร่ออกมา
เนื่องจากอากาศพิษของบึงน้ำมังกรดำจะหายไปในตอนเช้าตรู่ จึงมีคนขุดโสมสองสามคนมาพบโสมล้ำค่าที่อยู่ในนี้โดยบังเอิญ ทำให้พวกเขาดีใจมากที่ได้เห็น จากนั้นพวกเขาจึงถือโอกาสตอนที่อากาศพิษหายไปเดินเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา
แต่ใครจะรู้ว่าตอนที่พวกเขากำลังขุดหาโสมอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีตัวที่เหมือนงูแต่ก็ไม่เหมือนงูตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากบึงน้ำมังกรดำที่อยู่กลางหุบเขา ตัวของสัตว์ประหลาดมีกรงเล็บยาวคู่หนึ่ง จากนั้นก็ฉีกคนที่กำลังขุดโสมคนหนึ่งจนขาดสะบั้นในทันที
ตอนนั้นคนที่เข้าไปในหุบเขามีทั้งหมดห้าคน แต่ที่หนีรอดออกมาได้มีเพียงสองคน เพียงแต่หลังจากหนึ่งในสองคนนี้กลับไปมาแล้วก็เป็นบ้าเสียสติไป จากนั้นเรื่องที่ว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่ในบึงน้ำมังกรดำอยู่ๆ ก็หายไปเอง
คนที่มาเก็บโสมบนภูเขาฉางไป๋ซานมีเป็นพันคน และมีบางคนที่โลภมาก จึงไม่เชื่อเรื่องของพวกเขา
หลังจากเรื่องผ่านไปยี่สิบกว่าปี ก็มีกลุ่มคนอยากลองดีรวมตัวกันสร้างทีมขึ้นมาสิบกว่าคน แล้วเข้าไปในบึงน้ำมังกรดำอีกครั้ง
คนพวกนี้พกปืนและอาวุธที่ใช้ในการล่าสัตว์แล้วก็ยังมีแหขนาดใหญ่ที่ใช้จับปลาสองสามอันมาด้วย หลังจากรออยู่นอกหุบเขามาหนึ่งคืนแล้ว เช้าวันที่สองต่อมา อากาศพิษที่ปกคลุมหุบเขาก็สลายไป
ขณะที่เข้าไปในหุบเขาอย่างระมัดระวัง ตอนแรกก็ยังไม่มีปรากฏการณ์ผิดปกติใดๆ แต่ตอนที่ทีมนี้มาถึงบึงน้ำสีดำสนิทนั้น จู่ๆ ก็เกิดความผิดปกติขึ้นมา
แตกต่างจากการบอกเล่าของสองคนครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง มีงูเหลือมใหญ่ขนาดเท่าถังน้ำตัวหนึ่ง พุ่งออกมาจากบึงน้ำ กัดร่างกายของพวกเขาคนหนึ่งอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบแล้วลากลงไปในสระน้ำ
งูเหลือมใหญ่ตัวนั้นมีความรวดเร็วมาก ทำให้พวกเขาไม่ทันได้ตอบโต้ใดๆ เลย หลังจากพวกเขาได้สติกลับมา บึงน้ำก็คืนสู่ความเงียบสงบแล้ว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ครั้งนี้มีคนมาหลายคน ความกล้าจึงมากขึ้นเป็นธรรมดา มีบางคนมองเห็นงูเหลือมใหญ่ตัวนั้นชัดเจนแล้ว มันไม่ใช่สัตว์ประหลาดอะไร
ถึงแม้จะรู้ว่าเพื่อนร่วมทางที่ถูกลากลงไปในน้ำนั้นไม่น่าจะมีชีวิตรอดแล้ว แต่ทุกคนก็ยังนำระเบิดโยนใส่ไปในบึงน้ำ
ระเบิดเหล่านี้จะนำดินปืนใส่เข้าไปในหม้อดิน จากนั้นเชื่อมต่อชนวน ระเบิดเป็นชนิดที่รุนแรงใช้ในการเจาะภูเขา พวกเขาจุดไฟแล้วโยนเข้าไป
ถึงแม้การใช้ระเบิดจะเป็นวิธีที่ง่ายๆ และหยาบ แต่อานุภาพของมันกลับแรงมาก หลังจากระเบิดบึงน้ำ ทันใดนั้นก็เกิดคลื่นขนาดใหญ่ลอยขึ้นมาในบึงน้ำ
มีเสียงเหมือนเสียงเด็กทารกร้องไห้ดังขึ้นมา จากนั้นก็มีเงาสีดำโผล่พรวดออกมาจากสระน้ำ ตวัดหางแล้วจึงทำให้คนหกคนล้มลง ตกลงไปในบึงน้ำ
คนที่มาจับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ คือมือล่าสัตว์ที่มีชื่อเสียงในเขตภูเขาฉางไป๋ซาน ถึงแม้จะตกใจแต่ก็ไม่ลนลาน ใช้ปืนยิงออกไปหลายชุด
หลังจากรอให้ควันระเบิดหายไป กลับทำให้ทุกคนงงและประหลาดใจ เพราะนอกจากเกล็ดปลาสองสามอันที่ตกอยู่บนพื้นแล้ว สัตว์ประหลาดที่เหมือนงูเหลือมยักษ์ กลับไม่มีเลือดไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
คนที่สายตาแหลมคม มองเห็นบนศีรษะของงูเหลือมตัวนั้นมีมุมแหลมนูนออกมา และตรงศีรษะด้านล่างของมันลงไปอีกหนึ่งเมตร ก็มีกรงเล็บที่งอกยาว การค้นพบครั้งนี้จึงทำให้ทั้งคนที่อยู่บนบกและที่ตกลงไปในบึงน้ำตื่นตระหนกตกใจ
ถึงแม้ตอนนั้นจะเป็นยุคหลังราชวงศ์ชิงแล้ว แต่สำหรับประชาชนทั่วไปมากมาย ยังคงเชื่อว่า มังกรที่อยู่ในภาพวาดโบราณยังมีตัวตนอยู่ ดังนั้นสัตว์ประหลาดที่คล้ายมังกรที่อยู่ตรงหน้า จึงทำให้พวกเขาตกใจจนต้องถอยออกมา
เพียงแต่การกระทำก่อนหน้าของคนพวกนี้ ทำให้สัตว์ประหลาดโกรธมาก มีคนหนึ่งทิ้งปืนล่าสัตว์ในมือแล้วกำลังวิ่งหนีไปข้างนอก ร่างของสัตว์ประหลาดตัวนั้นกลับชูตัวสูงขึ้นแล้วพ่นหมอกสีเทาออกมาจากปากของมัน
หมอกพวกนี้ลอยฟุ้งขึ้นอย่างรวดเร็ว มีบางคนที่เพิ่งจะวิ่งถึงปากหุบเขาก็ถูกหมอกควันนี้ไล่ตามทัน แต่ละคนก็ร้องโหยหวนดิ้นไปมาอยู่บนพื้น พอผ่านไปสักพักหนึ่ง เลือดเนื้อทั้งร่างกายก็เน่าเปื่อยผุพัง ตายไป
การไปล่าสัตว์ประหลาดในครั้งนี้มีทั้งหมดสิบแปดคน แต่มีเพียงคนสุดท้ายที่โชคดี ยืนรออยู่ปากทางหุบเขาจึงมีชีวิตรอด แต่เขาก็สูดอากาศพิษเข้าไปเช่นกัน แต่เพราะโสมที่เขามีอยู่และกินเข้าไปจึงทำให้รอดชีวิตมาได้ จากนั้นเขาก็ไปพบกับคนที่มาขุดโสมบนภูเขา แล้วจึงเล่าเรื่องที่เจอมาทั้งหมดให้ฟังแล้วก็ตายไป
หลังจากเกิดเรื่องนั้น บึงน้ำมังกรดำจึงกลายเป็นเขตห้ามเข้าของคนขุดโสมบนภูเขาฉางไป๋ซาน แล้วก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปในหุบเขานี้อีกเลย กระทั่งป่าที่อยู่นอกหุบเขาก็มีคนเข้าไปน้อยมาก
บึงน้ำที่อยู่กลางหุบเขานั้น จึงถูกคนตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า บึงน้ำมังกรดำ ตั้งแต่นั้นมา!
และนี่คงจะเป็นสถานที่ซ่อนตัวกลางภูเขาที่ค้นพบโดยเมิ่งตาบอด และยังเห็นสาเหตุหลักที่ไม่มีใครค้นพบจนถึงตอนนี้
“มังกร? เหล่าหู คุณ…คุณคิดว่าเป็นไปได้เหรอ?”
หลังจากฟังหูหงเต๋อเล่าเรื่องจนจบแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนจึงประหลาดใจมาก เพราะมังกรก็เป็นแค่ตำนานที่ได้รับรู้มาจากผู้คนเท่านั้น บนโลกนี้จะมีมังกรจริงๆ ได้อย่างไร?
“ฉันรู้สึกว่าเป็นไปได้!” หูหงเต๋อพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนั้นพ่อของฉันตั้งที่พักอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ เคยคิดอยากไปสำรวจบึงน้ำมังกรดำ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อากาศพิษในหุบเขากลับไม่เคยหายไปเลย สุดท้ายจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูด “เหล่าหู ผมรู้สึกว่าข้างในน่าจะเป็น งูเหลือมตัวหนึ่งหรือไม่ก็จระเข้”
ในสายตาของเยี่ยเทียน คนพวกนั้นก่อนช่วงปลดปฏิรูป ยังไม่รู้จักว่าอะไรคือจระเข้เลย พวกเขาอาจจะมองจระเข้เป็นมังกร เพราะในสมัยโบราณก็มีการเข้าใจผิดอย่างนี้มาก
ก็เหมือนกับที่ทุกคนรู้ตำนานของ “โจวฉู่พิฆาตสามเลวร้าย” ที่เขาปราบมังกรคะนองน้ำ แท้จริงแล้วเป็นจระเข้ เพียงแต่คนโบราณความรู้น้อย จึงเอาจรเข้กับมังกรมารวมกัน
“ไม่ว่าจะเป็นจระข้หรือมังกร พวกเราก็หาเรื่องไม่ได้ เยี่ยเทียน วันนี้ก็นอนที่นี่อีกสักวัน พรุ่งนี้เช้าก็ออกจากภูเขาแต่เช้าเถอะ”
ถึงแม้จะเป็นรุ่นน้องที่มีความกล้าหาญมาก แต่หูหงเต๋อก็ให้เความเคารพบึงน้ำมังกรดำที่อยู่ไกล้ ๆ มาตลอด โดยเฉพาะร่องรอยที่ทิ้งอยู่บนพื้น ยิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
“สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบึงน้ำอาจจะเป็นสัตว์วิเศษ? ไม่อย่างนั้นตอนที่หูอวิ๋นเป้าไปสำรวจ อากาศพิษเหล่านั้นจะอยู่อย่างนั้นโดยไม่หายไปได้อย่างไร?”
เยี่ยเทียนได้ยินตำนานของบึงน้ำมังกรดำเป็นครั้งแรก เขาไม่กลัวสัตว์ประหลาดที่อยู่ในหุบเขามากเท่าไร คนที่ฝึกวรยุทธ์อย่างเขา นอกจากเคารพโลกและสวรรค์แล้ว มีน้อยมากที่วัตถุภายนอกจะทำให้จิตใจเขาหวั่นไหวได้
“เหล่าหู คุณรอก่อนนะ ผมขอเข้าไปดูหน่อย!” เยี่ยเทียนพูดพลางลุกขึ้น แล้วจึงเดินเข้าไปในหุบเขา
“เยี่ยเทียน เธอ…เธออย่าไป นี่ไม่ใช่การล้อเล่นนะ” หูหงเต๋อตกใจมาก จึงรีบลุกขึ้นแล้วเอาตัวมาบังตรงหน้าเยี่ยเทียนไว้
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางพูด “เหล่าหู ไม่เป็นไร ผมก็แค่ไปสัมผัสอากาศพิษด้านนอก ไปดูว่าอากาศพิษเกิดจากวัตถุอะไรกันแน่ อีกอย่าง วันนี้สัตว์ประหลาดนั่นก็กินจนอิ่มหนำแล้ว คงไม่ทำอะไรผมหรอก”
หูหงเต๋อเห็นว่าตัวเองโน้มน้าวเยี่ยเทียนไม่ได้ จึงเอ่ยพูด “งั้น…งั้นฉันจะไปกับเธอด้วย!”
“ไม่ต้อง เหล่าหู ฝีมือคุณยังไม่พอ ถ้าหากเกิดเรื่องยุงยากล่ะ คุณรอผมอยู่ข้างนอกนี่แหละ!”
เยี่ยเทียนโบกมือ เขามั่นใจกับวิชาของตัวเองมาก ต่อให้สัตว์ประหลาดวิ่งออกมาจากอากาศพิษ เยี่ยเทียนรับประกันได้ว่าตัวเองจะสามารถหนีออกมาจากหุบเขาได้แน่นอน
และจะว่าไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ใช่ว่าจะไม่กลัวสัตว์ประหลาดนั่น ถ้าหากต่อสู้กันขึ้นมา ใครจะอยู่หรือใครจะตายก็ยังไม่รู้เลย
“ตกลง เธอระวังตัวด้วย เฮ้อ ฉันพาเธอเข้ามาในภูเขาได้ยังไง!”
หูหงเต๋อส่ายหน้าด้วยความกังวลใจ เยี่ยเทียนที่สุภาพอ่อนโยนก่อนหน้านั้น ให้ความประทับใจเขามาก แต่หลังจากเข้ามาในภูเขาแล้วหูหงเต๋อเพิ่งพบว่า เด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นตัวเจ้าปัญหาเหมือนกัน
“ผมรู้แล้วครับ เหล่าหู คุณอยู่ข้างนอกก็ระวังตัวด้วย มีอะไรไม่ชอบมาพากลก็หนีเข้าไปในป่านะ!”
เยี่ยเทียนโบกมือโดยไม่หันหน้ากลับมาและยังไม่เอาคบเพลิงไปด้วย จากนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆ หายเข้าไปในหุบเขา และกองไฟด้านนอกก็ส่องไม่เห็นแล้ว
เยี่ยเทียนพูดเหมือนสบาย ๆ แต่การกระทำของเขากลับไม่กล้าประมาท เขาไม่เพียงแต่ปล่อยพลังชีวิตออกไป ในมือยังจับมีดสั้นอู๋เหินเอาไว้ด้วย เพื่อเตรียมต่อสู้ตลอดเวลา
“อากาศพิษนี้มีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง ภายในแฝงไปด้วยพลังจักรวาล?”
ถึงแม้ตาจะมองไม่เห็น แต่สถานการณ์ที่อยู่รอบตัวของเยี่ยเทียนในระยะสิบว่าเมตร ปรากฏขึ้นมาในใจของเขาอย่างชัดเจน หลังจากเดินเข้าไปประมาณแปดนาที เยี่ยเทียนก็รู้สึกถึงการมีอยู่ของอากาศพิษ
…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น