หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 422-423

 บทที่ 422 ตาแก่หวัง ข้าโตแล้วนะ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

นี่มันอะไรกัน


เกิดอะไรขึ้นกันแน่


หากนางจะลวนลามข้า ข้าควรจะขัดขืนดีไหมนะ หรือข้าควรจะดิ้นแค่พองาม…


ข้าควรทำอย่างไรดี หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปในห้องลับในขณะที่ความคิดนับไม่ถ้วนแล่นผ่านมโนสำนึก หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความกล้าๆ กลัวๆ


หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไปในห้องลับพร้อมความคิดมากมายในหัวก่อนจะกระแอมกระไออย่างอึดอัด เขาทำเป็นมองเห็นไม่ชัด จากนั้นก็ทำอย่างที่เคยทำมาตลอดคือเริ่มรักษาหลี่หว่านเอ๋อร์


แต่กระนั้น แม้ว่าไฟในห้องลับจะถูกปิดไปหมดแล้ว ชายหนุ่มก็ยังมองเห็นอย่างชัดเจน เขามองเห็นแก้มที่เริ่มแดงระเรื่อของหลี่หว่านเอ๋อร์


การรักษาเริ่มขึ้นอย่างปกติ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ลมหายใจของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ยิ่งหนักขึ้น หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน เขาแทบคุมตัวเองไม่อยู่ การรักษานั้นแปลว่าชายหนุ่มต้องถูกเนื้อต้องตัวนางไปเรื่อยๆ….


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งชั่วโมงผ่านไป หากยึดตามการรักษาคราวก่อนๆ การรักษาครั้งนี้ก็ได้เวลาสิ้นสุดแล้ว หลี่หว่านเอ๋อร์จะลุกขึ้นและเดินจากไป


แต่วันนี้ดูเหมือนว่าหลี่หว่านเอ๋อร์จะลืมไป หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาเองก็ลืมจบการรักษาเช่นกัน ลมหายใจของทั้งคู่ยิ่งหนักหน่วงขึ้น มือของหวังเป่าเล่อยังคงลูบไล้ไปทั่ว หลี่หว่านเอ๋อร์รอคอยต่อไป แต่ดูเหมือนว่านางจะรออยู่นานพอแล้ว จึงทำหน้าบึ้งอย่างขัดใจ ก่อนจะพูดขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในห้องลับแห่งนี้


“หวังเป่าเล่อ เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่”


หวังเป่าเล่อไม่ชอบใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกเสียหน้า ชายหนุ่มตีก้นหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างแรง และกำลังจะอ้าปากพูด แต่การตีนั้นกลับทำให้หลี่หว่านเอ๋อร์ยิ่งหายใจหนักขึ้น ร่างของหลี่หว่านเอ๋อร์ตอนนี้ร้อนผ่าวราวเตาหลอมที่ส่งคลื่นความร้อนแผ่กระจายออกมาเป็นระยะ


ภายใต้คลื่นแห่งความเร่าร้อนนั้น หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ใช่คนเดียวที่เริ่มขยับตัว หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน…ช่วงเวลาแห่งการแนบชิดกันดำเนินไปเองตามธรรมชาติ


ยุคกำเนิดวิญญาณเริ่มต้นขึ้นด้วยการมาถึงของกระบี่สำริดเขียวโบราณ ภายในกระบี่เต็มได้ด้วยอักขราจารึกและคัมภีร์โบราณ ซึ่งส่งผลให้อารยธรรมการฝึกปราณโบราณกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ทว่าจิตสำนึกของผู้คนนั้นได้ผ่านเวลาและประวัติศาสตร์มายาวนาน ขณะนี้ทุกคนไม่ได้หัวโบราณเช่นเดิมอีกแล้วโดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างชายหญิง หวังเป่าเล่อเองก็ได้ดูบันทึกภาพของเรื่องเช่นนี้มามากมายเมื่อครั้งยังเยาว์ แน่นอนว่าดูเพื่อการศึกษา…


เป็นเหตุให้เขาไม่ได้เงอะงะหรืออึดอัดแม้ว่าจะเป็นครั้งแรก ฝั่งหลี่หว่านเอ๋อร์นั้นแสดงความไม่ประสาออกมาอย่างเต็มที่ แต่นางก็มีจุดเด่นที่มากลบความไม่เชี่ยวชาญไว้ได้ นั่นก็คือ…กำลังกาย!


หวังเป่าเล่อเกือบต้านทานแรงและความเร่าร้อนของนางไว้ไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากยอมแพ้ ชายหนุ่มปล่อยพลังปราณและพลังกายออกมาอย่างเต็มที่เพื่อจะตามนางให้ทัน


ค่ำคืนได้ผ่านไป…


เช้าวันต่อมา หวังเป่าเล่อผู้ยังเหนื่อยอ่อนจ้องมองหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดลุกขึ้นแต่งตัว นางดูอึดอัดเล็กน้อย ชายหนุ่มปลาบปลื้มในตนเองเป็นอย่างยิ่ง


“หลี่หว่านเอ๋อร์ ข้าได้แสดงให้เจ้าเห็นหรือยังว่าข้าสมชายเพียงใด” หวังเป่าเล่อมีความสุขเสียจนอดถามคำถามนั้นออกมาไม่ได้


หลี่หว่านเอ๋อร์ที่กำลังแต่งตัวชะงักมือไปก่อนจะเอียงศีรษะมามองหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของหญิงสาวเยือกเย็นและเรียบเฉยตามเคย นางจ้องมองเขาและไม่ได้พูดว่ากระไร หลังจากแต่งตัวเสร็จนางก็พ่นลมหายใจออกมาจากจมูกครั้งหนึ่ง แล้วหันหลังเดินจากไป


เจ้าจะจากไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ หวังเป่าเล่อตบพุงเบาๆ ก่อนจะทอดถอนใจอยู่ภายใน เขารู้สึกราวกับว่าได้โตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน ชายหนุ่มเปิดแหวนสื่อสารขึ้นและส่งข้อความเสียงไปหาบิดา


“ตาแก่หวัง ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ!” หวังเป่าเล่อตะโกนเสียงลั่นเข้าไปในแหวนสื่อสาร


“ไอ้เจ้าตัวแสบ เจ้าไปปู้ยี่ปู้ยำลูกสาวใครเขาเข้าแล้วใช่ไหม” บิดาของหวังเป่าเล่อเข้าใจสิ่งที่ลูกชายต้องการจะสื่อจึงรีบถามทันที


หวังเป่าเล่อได้แต่หัวเราะคิกคักกับความหัวไวของบิดา เขาไม่ได้อธิบายต่อ เพียงแต่จบบทสนทนาอย่างเปี่ยมสุข ชายหนุ่มลุกขึ้นเก็บเตียงก่อนจะออกจากที่พักไปยังสำนักงาน


หวังเป่าเล่อฮัมเพลงอย่างมีความสุขอยู่ในลำคอขณะเดินทางไปทำงาน เขากำลังอารมณ์ดี ทุกคนวันนี้ช่างดูดีกันเสียเหลือเกิน หลังจากที่มาถึงห้องทำงาน ไม่ช้าหลี่หว่านเอ๋อร์ก็เดินเข้ามา ก่อนที่เขาจะได้กล่าวต้อนรับนางอย่างอบอุ่น หญิงสาวก็เริ่มพูดเรื่องรูปปั้นในเขตของเวินไหวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางเน้นย้ำเรื่องที่ต้องลงโทษหลิวต้าวปินอย่างหนัก


เกิดอะไรขึ้นกัน สมองของหวังเป่าเล่อปั่นป่วน เขาพยายามจะพูดคุยกับหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างใจเย็น แต่หญิงสาวก็ยังยืนยันเช่นเดิม ไม่ยอมแพ้เลย คำพูดของนางรุนแรงและทำให้หวังเป่าเล่อเกิดโมโห


“หลี่หว่านเอ๋อร์ เจ้าไม่มีอย่างอื่นต้องหรืออย่างไร เรื่องนี้จบไปแล้ว เจ้าออกไปได้!”


หลี่หว่านเอ๋อร์ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความเกรี้ยวกราดของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเดินจากไปนางเน้นย้ำอีกครั้งว่าความคิดของนางต่อเรื่องนี้ยังไม่เปลี่ยน หากหวังเป่าเล่อไม่จัดการ นางจะรายงานความคิดของตนต่อเจ้านครและให้เจ้านครเป็นผู้ตัดสินใจ


นางเสียสติไปแล้ว ต่างกับเมื่อคืนเป็นคนละคน หลี่หว่านเอ๋อร์ผู้นี้มีน้องสาวฝาแฝดหรืออย่างไรกัน หวังเป่าเล่อผู้กำลังอารมณ์เสียเริ่มจะสงสัย นิสัยของหลี่หว่านเอ๋อร์ในตอนกลางวันและตอนกลางคืนนั้นต่างกันราวกับคนละคน


หลังจากที่ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ หวังเป่าเล่อก็ส่งข้อความเสียงไปหาหลี่ซิ่ว และได้รับคำยืนยันว่านอกจากหลี่หว่านเอ๋อร์แล้ว หลี่ซิ่วไม่มีพี่น้องผู้หญิงอื่นใดอีก หวังเป่าเล่อไม่อาจรู้ได้จริงๆ ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์คิดสิ่งใดอยู่


ชายหนุ่มยังคงแบกความประหลาดใจและความสงสัยไว้ในใจ คืนนั้นขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะนั่งสมาธิ ก็พลันได้ยินเสียงเคาะประตู เขามองผ่านวงแหวนปราณและเห็นว่าเป็นหลี่หว่านเอ๋อร์ที่มายืนอยู่หน้าประตู ชายหนุ่มถึงกับตะลึงไป


นี่หมายความว่าอย่างไรกัน นางทะเลาะกับข้าด้วยความเย็นชาในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนนางก็…หวังเป่าเล่อกำลังจะโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาพ่นลมหายใจออกทางจมูกแล้วออกไปปลดกลอนประตู ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากพูดแต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็เดินตรงไปยังห้องลับเรียบร้อย นางปิดไฟลง…


หวังเป่าเล่อตกตะลึงไปอีกครั้ง เขายืนนิ่งอย่างงุนงงและสับสนด้านนอกประตู หลังจากที่ยืนอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มก็ปิดประตูและเดินตรงไปยังห้องลับด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง พลางคิดว่านางทำตัวน่ารำคาญเพียงใดเมื่อตอนกลางวัน จากนั้นชายหนุ่มก็พ่นลมออกจากจมูก ก่อนจะกระทืบเท้าและเดินเข้าห้องลับไป…


คืนนั้นผ่านไป


หลายวันผ่านไปเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ประหลาดขึ้นทุกวัน พวกเขายังคงถกเถียงกันเพราะมุมมองด้านการบริหารที่ไม่ตรงกันในเวลากลางวัน แต่เมื่อตกกลางคืน…หลี่หว่านเอ๋อร์ก็จะมาหาเขาในเวลาเดิมทุกๆ คืน นางเดินลิ่วเข้าไปในห้องลับโดยไม่พูดไม่จาและปิดไฟ


หวังเป่าเล่อยอมแพ้ให้กับการกระทำของนาง เขาเลือกที่จะระบายความคับข้องใจที่มีต่อหลี่หว่านเอ๋อร์ในตอนกลางวันลงกับนางในตอนกลางคืน หลี่หว่านเอ๋อร์เองก็ดูจะไม่ใส่ใจกับพฤติกรรมนี้ของหวังเป่าเล่อ…


จนในที่สุด คืนหนึ่งในห้องลับของหวังเป่าเล่อ ท่ามกลางความมืดสนิท เสียงที่แฝงไปด้วยโทสะของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้น


“ทำตามคำสั่งข้าเรื่องคดีของหลิวต้าวปิน!”


หลี่หว่านเอ๋อร์เงียบกริบ ดูเหมือนนางกำลังพยายามควบคุมตัวเองอยู่


“เจ้าไม่ตอบข้างั้นหรือ ได้ ข้าจะทำให้เจ้าตอบเอง!” หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ เขาทำอะไรบางอย่าง และในเวลาไม่นานนัก ลมหายใจของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ถี่เร็วขึ้น เสียงหายใจของนางได้ยินออกไปถึงนอกห้องลับ ในที่สุดนางก็ตัวสั่นงันงก ราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์


“ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง เรื่องของหลิวต้าวปิน เจ้าต้องทำตามคำสั่งของข้า เข้าใจไหม” หวังเป่าเล่อคำรามเสียงต่ำ หลี่หว่านเอ๋อร์ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ราวกับว่าสติของนางกำลังจะหลุดลอยไป


“ข้า…ข้าจะทำตามที่ท่านสั่ง…”


หวังเป่าเล่อมีความสุขขึ้นมาทันที เขายิ้มเยาะ หลี่หว่านเอ๋อร์ทำตามสัญญา เมื่อพวกเขาพบกันในวันรุ่งขึ้น แม้ว่าหญิงสาวจะยังเยือกเย็นและมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ไม่พูดเรื่องหลิวต้าวปินอีก นางทำตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อและไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งยังเลิกตามเรื่องนั้นไปโดยปริยาย


สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มรู้วิธีที่จะรับมือกับหลี่หว่านเอ๋อร์ พวกเขายังคงมีความสัมพันธ์แปลกประหลาดนี้กันต่อไป ช่วงนี้เองที่เฉินมู่ได้ขอสิทธิ์การเข้าถึงวงแหวนปราณ เขาจึงมาเยี่ยมหลี่หว่านเอ๋อร์อีกครั้งในห้องทำงานของนาง


ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้มาขอทรัพยากรหรือการสนับสนุน แต่มาเพื่อแก้ความบาดหมางระหว่างทั้งคู่ เฉินมู่เตรียมกระทั่งของขวัญมาให้หลี่หว่านเอ๋อร์ด้วย ก่อนจะชักชวนนางไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน


หลี่หว่านเอ๋อร์ตอบปฏิเสธทันทีด้วยสีหน้าราบเรียบเช่นเคย


“หว่านเอ๋อร์ เรื่องมันแล้วไปแล้ว ถึงอย่างไรเสียเราก็เป็นคู่หมั้นกัน นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” เฉินมู่ยิ้ม เขาเมินเฉยการปฏิเสธของนาง ชายหนุ่มไม่เคยใส่ใจนางอยู่แล้ว เขาแค่ต้องการลดความตึงเครียดระหว่างทั้กันลงเพื่อเป็นการรับประกันว่าจะได้รับสิทธิ์เข้าถึงวงแหวนปราณ เขาอาศัยอยู่ในนครใหม่มาสักพักแล้ว และเริ่มรู้สึกงุ่นงานกับการต้องเห็นใบหน้าที่งดงามและเรือนร่างอันโค้งเว้าของหลี่หว่านเอ๋อร์อยู่เป็นประจำ


เมื่อพูดจบ เฉินมู่ก็ลุกขึ้นยืนและเดินมาข้างๆ หลี่หว่านเอ๋อร์ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือนาง


แต่ในขณะที่มือของชายหนุ่มกำลังจะสัมผัสโดนนางนั้น ใบหน้าของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ขมึงทึงขึ้น พลังปราณของนางระเบิดออกมาทำเอาเฉินมู่ผงะ เป็นครั้งแรกที่ดวงตาของนางส่องประกายโหดร้ายออกมา นางกล่าวอย่างเยือกเย็น


“นายกเทศมนตรีเฉิน โปรดควบคุมตัวเองด้วย!”


“ข้าน่ะหรือต้องควบคุมตัวเอง หลี่หว่านเอ๋อร์ ข้าแค่ต้องการจะกุมมือเจ้าเท่านั้น แต่เจ้ากลับไม่ยอม แต่ในถ้ำนั่นเจ้ายอมให้เจ้าหวังเป่าเล่อสัมผัสจนทั่วกาย!” โทสะของเฉินมู่ระเบิดขึ้น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด ชายหนุ่มกำลังจะก้าวออกไปอีกก้าว แต่ครั้งนี้ หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่คิดยับยั้งตัวเองอีกต่อไป นางตบหน้าเฉินมู่อย่างแรง!


“ไสหัวไปเสีย!”


บทที่ 423 พันธมิตร!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หลี่หว่านเอ๋อร์!” แรงตบนั้นทำให้แก้มข้างขวาของเฉินมู่บวมเป่งขึ้นมาในทันใด แถมยังกระทบใจเขาอย่างแรง ในวินาทีนั้นความบาดหมางระหว่างตระกูลนภาห้าสมัยและคณะเสนาบดีก็เริ่มเผยออกมาให้เห็น!


แต่เห็นได้ชัดว่าเฉินมู่ ผู้ซึ่งเจ้านครประเมินว่าเป็นคนทะเยอทะยานเกินตัวและไม่มีความสามารถ ไม่ได้คิดถึงความเป็นพันธมิตรระหว่างตระกูลของเขาและคณะเสนาบดีแต่อย่างใด เขากำลังเดือดพล่านไปด้วยโทสะ ชายหนุ่มไม่เคยถูกขัดใจเลยตั้งแต่ยังเด็ก อันที่จริงแล้ว ไม่เคยมีใครกล้าหาญขนาดตบหน้าเขาจังๆ เช่นนี้มาก่อน


สตรีตรงหน้ากล้าตบหน้าเขา และนางตบเขาเพราะหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเฉินมู่แดงก่ำขึ้นมาทันใด ชายหนุ่มจ้องมองหลี่หว่านเอ๋อร์ตาไม่กะพริบ หากสายตาเชือดเฉือนนั้นสามารถฆ่าคนได้ เขาก็คงได้สังหารหลี่หว่านเอ๋อร์ไปเสียแล้ว!


ทว่าพลังปราณของเขาไม่อาจเทียบหลี่หว่านเอ๋อร์ได้ ตอนนี้นัยน์ตาของหญิงสาวนั้นเยือกเย็นราวน้ำแข็งและแฝงแววอันตราย เฉินมู่รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยนัก


นางจะฆ่าข้าแน่แล้ว! จู่ๆ เฉินมู่ก็ได้สติ ลมหายใจเขาถี่เร็ว ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากกายของหญิงสาว ในวินาทีนั้น หลี่หว่านเอ๋อร์ก็มีความเช่นนั้นอยู่ในหัว สำหรับนางแล้ว หากเฉินมู่ตายเสีย บิดาก็คงไม่อาจบังคับให้นางแต่งงานกับเขาได้


หากเขาตายเสีย ทุกอย่างก็จะจบ นางจะไม่ต้องมาปวดศีรษะกับเรื่องนี้อีกต่อไป


หากเขาตายเสีย ปัญหาทุกอย่างที่นางมีในตอนนี้ก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป และนางจะไม่ต้องมีปัญหาเพิ่มอีกในอนาคต


ความคิดนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของหญิงสาว แสงในดวงตาของนางยิ่งเปี่ยมไปด้วยอันตรายมากขึ้นทุกที เฉินมู่ตัวสั่นและค่อยๆ ถอยหลังออกไปช้าๆ เขาหยิบแผ่นหยกขึ้นมา แล้วรีบถอยออกไปจากห้องทำงานของหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างรวดเร็วโดยที่สายตายังจับจ้องมองนางอยู่ไม่วาง เมื่อเขาก้าวพ้นห้องทำงานออกมาได้ก็รีบวิ่งหนีเต็มฝีเท้าโดยไม่แม้จะหันกลับมามอง


หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้ไล่ตามไป นางยืนนิ่งอยู่ จ้องมองเจ้าคนขลาดเฉินมู่วิ่งหนีราวสุนัขหางจุกก้นด้วยสายตาเย็นชา ประกายอันตรายในตานางไม่ได้เลือนหายไปหากแต่เจิดจ้ากว่าเดิม นี่คือตัวตนของนาง ในอดีต ตอนที่จินตั้วหมิงเย้านางเพียงเล็กน้อย นางก็ไล่ตามเขาไปจนเกือบจะตอนอีกฝ่ายได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้แสดงถึงความแข็งแรงและดุดันซึ่งเป็นตัวตนของนาง


ที่ผ่านมาหลี่หว่านเอ๋อร์ยอมทนเฉินมู่เพราะบิดานางตักเตือนอย่างหนักแน่น นางหักห้ามใจตนเองเอาไว้เพราะต้องคิดถึงภาพใหญ่มาโดยตลอด


มาบัดนี้หญิงสาวไม่อยากทนอีกต่อไป แม้ว่านิสัยของนางจะตรงไปตรงมา แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ หญิงสาวรู้ดีว่าการจะสังหารใครสักคนนั้นง่ายดายเพียงใด แต่การจะสังหารใครสักคนโดยไม่พัวพันมาถึงตนเองต่างหากคือสิ่งที่ยาก


เพราะเหตุนี้นางจึงยั้งมือมาโดยตลอด หลี่หว่านเอ๋อร์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะยกมือถูหน้าผากพลางคิดใคร่ครวญอย่างหนัก จู่ๆ แผนการฆาตกรรมก็ผุดขึ้นมาในใจนาง!


เฉินมู่ผู้ซึ่งเป็นเป้าหมายของแผนฆาตกรรมทั้งกลัวทั้งโกรธ เขารีบกลับไปยังเขตปกครองตนเองของตนอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกปลอดภัยขึ้น จากนั้นจึงเริ่มก่นด่าด้วยเสียงอันดัง


“นางแพศยา นางโสเภณี หลี่หว่านเอ๋อร์ เจ้ากล้าดีอย่างไรคิดจะฆ่าข้า หวังเป่าเล่ออาจเป็นหมูตอน แต่เจ้าเองก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่ามันเลย!” เฉินมู่หายใจหอบ ก่อนจะหยิบแหวนสื่อสารออกมาและกำลังจะติดต่อไปที่ตระกูล ทว่าตอนที่หยิบแหวนสื่อสารขึ้นมานั้น เขาก็เริ่มควบคุมตนเองได้จึงตัดสินใจวางแหวนลง ชายหนุ่มรู้ดีว่าแม้คนในตระกูลรู้เรื่องหลี่หว่านเอ๋อร์กับหวังเป่าเล่อ พวกเขาก็จะไม่ทำตามที่ตนต้องการแน่นอน


ทั้งเฉินมู่และหลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้สำคัญเลยสำหรับตระกูล สิ่งที่สำคัญนั้นคือความเป็นพันธมิตรกับคณะเสนาบดี เฉินมู่จินตนาการออกว่าหากตระกูลรู้เรื่องนี้ก็คงขอให้เขาเฉยและแกล้งทำเป็นไม่รู้เสีย พวกเขาอาจถึงกับตักเตือนอย่างรุนแรงและสั่งให้ตนไปขอขมาหลี่หว่านเอ๋อร์ก็เป็นได้


หัวหน้าเสนาบดีก็คงจะทำเช่นเดียวกัน จุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายคือการสร้างพันธมิตรผ่านการสมรส มีกลุ่มอำนาจการเมืองมากมายที่ทัดทานการสมรสในครั้งนี้ เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงเพียงหมั้นกันอยู่และยังไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ


สถานการณ์การเมืองในสหพันธรัฐนั้นทั้งยุ่งยากและละเอียดอ่อน ทุกอย่างต้องกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด หาไม่แล้วก็อาจกลายเป็นการสร้างปัญหาหรืออาจเกิดผลกระทบที่เกินจะคาดเดา หัวหน้าเสนาบดีและตระกูลเฉินนั้นได้วางแผนให้พวกเขาหมั้นกันหนึ่งปีครึ่ง เพื่อให้กลุ่มอำนาจการเมืองอื่นๆ ปรับตัวและยอมรับกับการจัดการนี้ จากนั้นพวกเขาจึงค่อยวางแผนการแต่งงาน


หากมีเหตุไม่คาดฝันใดเกิดขึ้นในช่วงนี้ ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้คาดการณ์ไว้ก่อน ก็จะถือเป็นการยกเลิกการหมั้นหมายและการแต่งงานโดยปริยาย แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นนอกเสียจากว่าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ


เฉินมู่ ผู้ซึ่งรู้เรื่องราวโดยตลอดทำได้เพียงกัดฟัน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อาจปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆ ชายหนุ่มนั่งลงหรี่ตาคิด หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจ แววความมุ่งมั่นก็ปรากฏบนดวงตา เขารีบติดต่อไปยังตระกูลในทีนที


เฉินมู่ไม่ได้กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างเขาและหลี่หว่านเอ๋อร์ แต่กลับถามเรื่องความคืบหน้าเกี่ยวกับกลองใบน้อยแทน กลองใบนั้นเขาได้รับมาจากอดีตลูกน้อง ผู้ซึ่งมาเป็นตัวแทนของเจ้านายคนใหม่อีกทีหนึ่ง


ตอนที่เฉินมู่ได้รับกลอง เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายชั่วร้ายและพลังงานที่อยู่ด้านใน ชายหนุ่มจึงแอบส่งกลองกลับไปที่ตระกูลเพื่อให้ตรวจสอบ เขายังได้แจ้งเหตุการณ์ครั้งนี้ให้ตระกูลได้รับรู้และรอฟังผลอยู่


ขณะนี้ตระกูลเฉินกำลังจะให้คำตอบกับทุกคำถามของเฉินมู่ ที่ผ่านมาทั้งตระกูลเฉินต่างพากันยุ่งวุ่นวายกับการศึกษากลองใบน้อยนี้ ถึงขนาดนำไปให้ผู้อาวุโสของตระกูลช่วยเหลือ ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ว่าใครเป็นผู้ส่งกลองใบน้อยมาให้เฉินมู่ บุรุษผู้นั้นมีความเกี่ยวข้องกับสุสานอาวุธเทพใต้ดิน


พวกเขาเห็นทั้งข้อได้เปรียบและเสียเปรียบหากจะยอมร่วมมือด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขายืนยันได้แล้วว่ากลองใบน้อยนั้นเป็นอุปกรณ์แก่นในที่ใช้ควบคุมหุ่นเชิดตัวหนึ่ง!


พวกเขาไม่รู้ว่าหุ่นเชิดที่ว่านั้นคือตัวใด แต่ความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์!


สิ่งนี้เรียกความสนใจจากตระกูลเฉินอย่างยิ่ง เพราะผู้อาวุโสของตระกูลเฉินเองก็อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์เช่นกัน หากได้หุ่นเชิดตัวนี้มา ความแข็งแกร่งของตระกูลเฉินก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว!


พวกเขาพูดคุยกันอยู่นาน พอดีกับที่เฉินมู่ถามความคืบหน้ามา บิดาของเฉินมู่จึงก้าวออกมาและให้คำตอบกับเขาด้วยตนเอง!


“มู่เอ๋อ เจ้าจงร่วมมือกับเขาเสีย…แต่ต้องปิดไว้เป็นความลับ หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ตระกูลจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยทั้งสิ้น!”


“แต่ผู้อาวุโสสูงสุดบอกข้ามาว่า หากเจ้ารอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้และนำหุ่นเชิดขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์กลับมาได้ เจ้าจะได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเฉิน และยังได้รับตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสของตระกูลอีกด้วย!”


หัวใจของเฉินมู่ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อได้ยินครึ่งแรกที่บิดาพูด แต่หลังจากได้ยินส่วนที่เหลือ ลมหายใจของเขาก็เริ่มถี่เร็ว เลือดวิ่งขึ้นมาคั่งในดวงตาที่สะท้อนแสงแรงกล้า ชายหนุ่มตระหนักถึงอำนาจที่เขาจะได้รับหากขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเฉินได้ดี เขายังรู้อีกด้วยว่าการดำรงตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสของตระกูลนั้นหมายถึงอะไร มันคือตำแหน่งสูงสุดในตระกูลนภาห้าสมัย!


เฉินมู่จะมีอำนาจเทียบเท่าหัวหน้าเสนาบดีเลยเชียว


ความบ้าคลั่งฉาบเคลือบอยู่ในแววตาของเฉินมู่ หลังจากที่พูดคุยรายละเอียดกับบิดาเรื่องต้นกำเนิดของกลองใบน้อย เขาก็วางสาย


เฉินมู่วางแหวนสื่อสารลงและสูดลมหายใจเข้าลึก โทสะและความบ้าเลือดที่เขารู้สึกจากเหตุการณ์ที่เกิดกับหลี่หว่านเอ๋อร์ระเบิดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ในวินาทีนั้นเอง ชายหนุ่มตอนนี้นั้นเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ เขากัดฟันก่อนจะปลงใจได้


ข้าต้องทำงานกับบุคคลปริศนาจากสุสานอาวุธเทพใต้ดินแล้วอย่างไรกัน!


ต่อให้สุดท้ายแล้วคนผู้นั้นจะเป็นปีศาจชั่วร้าย ข้าก็ไม่สน ขอเพียงงานครั้งนี้ลุล่วง ข้าก็จะสร้างอนาคตที่รุ่งโรจน์ให้กับตนเองได้ ข้าขอเดิมพันทุกสิ่ง…เพื่อสิ่งนี้!


มีแสงน่าสะพรึงส่องสว่างอยู่ในดวงตาของเฉินมู่ หลังจากที่ตัดสินใจได้ ชายหนุ่มก็ติดต่อตระกูลไปทันที จากนั้นเขาก็เฝ้ารอ ไม่กี่วันต่อมา…คนจากตระกูลก็นำกลองใบน้อยมาคืน คืนนั้น เฉินมู่ก็ลั่นกลองใบน้อยขึ้นด้วยดวงตาที่เปรอะด้วยความบ้าคลั่ง!


ทันทีที่เสียงก้องสะท้อนออกมาจากกลอง ห้องลับที่เฉินมู่อยู่ก็หนาวเหน็บลงในชั่วอึดใจ สายลมที่มองไม่เห็นพัดเข้ามาในห้องทั่วทุกทิศทาง เกล็ดน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนกำแพง น้ำแข็งเริ่มหนาขึ้นจนกระทั่งห้องลับทั้งห้องกลายเป็นถ้ำน้ำแข็งไป!


ความเย็นยะเยือกนั้นดำมืดและแผ่รังสีความหนาวเหน็บและมืดดำออกมา


“ข้ายอมเป็นพันธมิตรกับเจ้า แต่…ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะสามารถควบคุมหุ่นเชิดขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ที่เจ้าบอกได้ เจ้าต้องมอบหุ่นเชิดให้กับข้าก่อนสิ!” เฉินมู่เริ่มรู้สึกหนาว แต่เพื่ออนาคตที่สดใส เขาก็ต้องกัดฟันทนและพูดออกไปด้วยเสียงต่ำ


ทันทีที่เสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้องลับ ทันใดนั้น ร่างอันพร่าเลือนก็ปรากฏขึ้นบนชั้นน้ำแข็งบนกำแพง ร่างนั้นดูเหมือนอยู่ภายในน้ำแข็ง ราวกับว่าภายใต้กำแพงเย็บเยียบนั้นเป็นอีกโลกหนึ่งก็ไม่ปาน ร่างนั้นเป็นชายในชุดคลุมสีดำ ใบหน้าของเขาพร่าเลือน ทว่าทันทีที่ชายผู้นี้ปรากฏตัว ลมหายใจของเฉินมู่ก็นิ่งสนิท ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ซ่านออกมากดทับตัวเขาเอาไว้


เฉินมู่ตัวสั่น เขาก้าวถอยหลังออกมาหลายก้าวด้วยความตื่นกลัวอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้พูดอะไรต่อ เสียงที่ทั้งต่ำและแหบพร่าจนฟังดูชราของชายในชุดดำก็ดังออกมาจากน้ำแข็ง


“หุ่นเชิดที่เจ้าต้องการ…เจ้าจะต้องหลอมด้วยตนเอง ข้าจะบอกวิธีให้…เรื่องการควบคุมนั้น…ให้เจ้าเลี้ยงดูกลองใบน้อยด้วยโลหิตจากกายตน มันจะกลายมาเป็นของเจ้าและเป็นแก่นให้หุ่นเชิด…


“แต่ด้วยเหตุผลบางประการที่ตระกูลของเจ้าอาจจะรู้ เจ้าจะต้องหลอมหุ่นเชิดที่นี่เท่านั้น…ข้าขอเจ้าเพียงเรื่องเดียว…เมื่อหุ่นเชิดถูกหลอมจนสมบูรณ์ เจ้าจะต้องสังหาร…หวังเป่าเล่อ!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)