กระบี่จงมา 421.4-424.1
บทที่ 421.4 สายน้ำและภูเขายังคงเดิม
วันนี้หร่วนเฉิงปรากฎตัวอีกครั้ง เขาพูดจากระชับเรียบง่าย เอ่ยแค่สองเรื่องก็ย้อนกลับไปยังเตาหลอมกระบี่
เรื่องแรก ขอแค่ใครก็ตามที่กลายมาเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ หร่วนฉงก็จะหลอมกระบี่ให้คนผู้นั้นเองกับมือหนึ่งเล่ม
ต้องรู้ว่าเจ้าสำนักหร่วนคืออันดับหนึ่งด้านการหลอมกระบี่ในแจกันสมบัติทวีปอย่างแท้จริง เป็นเหตุให้อย่าว่าแต่ทั้งสิบสองคนเลย นอกจากศิษย์พี่สี่เซี่ยที่ยังคงมีสีหน้าไม่สนใจไยดีดังเดิมแล้ว แม้แต่ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่หญิงสามที่รีบกลับภูเขามารับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ผู้มีพระคุณก็ยังอดเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้
เรื่องที่สองคือตอนนี้สำนักกระบี่หลงเฉวียนได้ซื้อภูเขาแห่งใหม่ไว้อีกลูกหนึ่ง หร่วนฉงจึงพูดจาให้กำลังใจสองสามคำ บอกว่าในอนาคตใครที่เลื่อนเป็นก่อกำเนิดก็จะมีคุณสมบัติจัดงานพิธีเปิดขุนเขาขึ้นที่สำนักกระบี่หลงเฉวียน แล้วได้ครอบครองภูเขาลูกหนึ่งไปเพียงลำพัง อีกทั้งในฐานะผู้ฝึกตนคนแรกของสำนักกระบี่ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดิน จากข้อตกลงก่อนหน้านี้ มีเพียงต่งกู่ที่ได้รับการยกเว้น สามารถเปิดขุนเขา เลือกภูเขาลูกหนึ่งไว้เป็นที่สร้างจวนในการฝึกตนของตนเองได้เลย และสำนักกระบี่หลงเฉวียนจะป่าวประกาศเรื่องนี้แก่ใต้หล้า
ทว่าต่งกู่กลับปฏิเสธ ขอร้องอาจารย์ว่ารอให้ตนได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเสียก่อนถึงจะเปิดภูเขาอย่างถูกต้องเปิดเผย
หร่วนฉงจึงอนุญาต
สวีเสี่ยวเฉียวที่เหล่าศิษย์น้องชายหญิงเคยชินที่จะเรียกว่าศิษย์พี่หญิงสามลงจากภูเขาไปอีกครั้ง กลับไปยังเพิงริมลำคลองหลงซวีอันเป็นสถานที่ก่อกำเนิดของสำนักกระบี่ หร่วนซิ่วเดินทางไปกับนางด้วยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้สวีเสี่ยวเฉียวรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน
เซี่ยหลิงศิษย์พี่สี่อยากตามพวกนางไปด้วย ผลคือหร่วนซิ่วไม่พูดอะไร แค่ชำเลืองตามองเขา เซี่ยหลิงก็ยอมล่าถอยไปเอง ยอมอยู่ต่อบนภูเขาอย่างว่าง่าย
ตอนที่เดินเท้าลงจากภูเขา หร่วนซิ่วถามว่า “อันที่จริงเจ้าต่างหากถึงจะเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของพ่อข้า แต่เป็นเพราะต่งกู่สร้างโอสถทองได้ก่อน ทุกคนก็เลยเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่หญิงสาม เจ้ารู้สึกไม่ดีหรือไม่?”
สวีเสี่ยวเฉียวที่ปีนั้นถูกศาลลมหิมะทอดทิ้งขับไล่ออกจากสำนักตอบตามสัตย์จริง “ในใจย่อมรู้สึกแย่ แต่ให้ต่งกู่เป็นศิษย์พี่รอง ข้าไม่มีความเห็นใด”
หร่วนซิ่วไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับ
สวีเสี่ยวเฉียวที่ปีนั้นนิ้วโป้งของมือข้างที่กุมกระบี่ขาดหายไปเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ สักวันหนึ่งข้าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้จริงๆ หรือ?”
หร่วนซิ่วตอบตามตรง “ค่อนข้างยาก เมื่อเทียบกับต่งกู่ที่สามารถเลื่อนเป็นก่อกำเนิดได้ภายในร้อยปีแล้ว ตัวแปรของเจ้ามีมากกว่า สำหรับเขาแล้วการสร้างโอสถค่อนข้างง่าย แต่เมื่อถึงเวลานั้นพ่อข้าต้องช่วยเจ้าแน่นอน ไม่มีทางลำเอียงช่วยแต่ต่งกู่ เมินเฉยเจ้า แต่หากคิดจะเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด เจ้ากลับลำบากกว่าต่งกู่มาก”
สวีเสี่ยวเฉียวสีหน้าหม่นหมอง
คนในตระกูลเซียนทั่วไปที่สามารถเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองได้นั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ต้องจุดธูปกราบไหว้ป้ายวิญญาณศาลบรรพชน กลับไปแอบหัวเราะชอบใจอยู่ในโปงผ้าห่มของตัวเองได้แล้ว
ทว่าในสายตาของสวีเสี่ยวเฉียวที่อยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนและเคยเห็นทัศนียภาพบนยอดเขาของศาลลมหิมะมาก่อนรู้ดีว่า เป็นแค่ผู้ฝึกตนโอสถทองนั้นอยู่ไกลจากคำว่าเพียงพอมากนัก
คิดไม่ถึงว่าหร่วนซิ่วจะยังพูดซ้ำเติมมาอีกประโยค “ส่วนเซี่ยหลิงศิษย์น้องของพวกเจ้าจะเป็นลูกศิษย์คนแรกของสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่ได้เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตหยกดิบ หากตอนนี้เจ้าก็รู้สึกอิจฉาเซี่ยหลิงแล้ว คาดว่าตลอดชีวิตของเจ้าก็มีแต่จะยิ่งอิจฉาเขามากขึ้นทุกที”
สวีเสี่ยวเฉียวเม้มปาก ฝีเท้าหนักอึ้ง
ในบรรดาลูกศิษย์เปิดภูเขาสามคนของหร่วนฉงผู้เป็นอาจารย์ ต่งกู่คือคนที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยที่สุด เพราะเป็นเดรัจฉานในป่าเขาที่ฝึกตนจนกลายเป็นภูต และตอนนี้แค่สะบัดตัวก็จำแลงกาย กลายมาเป็นเซียนดินโอสถทองและศิษย์พี่รองที่ทุกคนในสำนักกระบี่หลงเฉวียนให้ความเคารพนับถือ
เซี่ยหลิงคือชาวบ้านที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่ อายุน้อยที่สุด ไม่เคยเผชิญกับความยากลำบากมาแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นคนที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่มากที่สุด ไม่เพียงแต่บรรพบุรุษในตระกูลคือเทียนจวินลัทธิเต๋าคนหนึ่ง ยังถึงขั้นทำให้เจ้าลัทธิเต๋าท่านหนึ่งที่ฐานะสูงส่ง อยู่สูงเหนือนอกฟ้ามอบเจดีย์จิ๋วที่เทียบเคียงได้กับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งให้เขาด้วยมือตัวเอง
มีเพียงนางสวีเสี่ยวเฉียวที่ชีวิตพบเจอกับอุปสรรคมากที่สุด ตั้งใจฝึกตนมากที่สุด ทว่ามหามรรคากลับขรุขระมากที่สุด!
หร่วนซิ่วเด็ดกิ่งไม้กิ่งหนึ่งริมทางภูเขามาถือไว้ในมือ เอ่ยเนิบช้าว่า “รู้สึกว่าคนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ทำให้โมโหตายได้เลย ถูกไหม?”
สวีเสี่ยวเฉียวตาแดงก่ำ
หร่วนซิ่วพลันพูดประโยคหนึ่งด้วยรอยยิ้มบางๆ น้ำเสียงแผ่วเบา “แม้จะบอกว่าต่อให้ร่างทองของเจ้าเน่าเปื่อย แก่ตายไปอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ยังไม่มีทางเทียบกับเซี่ยหลิงและต่งกู่ได้ติด แต่ข้าก็ยังชอบเจ้ามากกว่า แต่ดูเหมือนว่านี่จะไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเจ้าสักเท่าไหร่”
สวีเสี่ยวเฉียวใช้หลังมือเช็ดหางตา หันหน้ามายิ้มให้หร่วนซิ่ว “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ขอบคุณท่านมาก”
หร่วนซิ่วหยุดเดิน ผงกศีรษะพูดว่า “ขอบคุณข้า? ถ้าอย่างนั้นขึ้นเขามาคราวหน้าก็เอาขนมมาให้ข้าด้วยล่ะ เจ้าก็รู้จักร้านในตรอกฉีหลงนี่นา”
สวีเสี่ยวเฉียวอึ้งตะลึง แต่แล้วก็คลี่ยิ้มราวกับบุปผาผลิบาน “โถ่ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้า!”
หร่วนซิ่วยิ้มตามนางไปด้วย
นางมาส่งสวีเสี่ยวเฉียวถึงแค่ตีนเขา เบื้องใต้ซุ้มประตูที่มีกรอบป้าย ‘สำนักกระบี่หลงเฉวียน’ ที่ฮ่องเต้ต้าหลี หรือควรจะพูดให้ถูกต้องว่าอดีตฮ่องเต้ประทานให้ สวีเสี่ยวเฉียวบอกลาหร่วนซิ่ว แล้วจึงโคจรลมปราณ ขึ้นเหยียบบนกระบี่ ทะยานลมจากไป
ในเขตการปกครองหลงเฉวียน ผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้มีเพียงลูกศิษย์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนเท่านั้น
หากเปลี่ยนมาเป็นเซียนดินคนอื่นๆ ใครที่กล้าบินทะยานบนฟ้า หร่วนฉงไม่คิดจะใช้ใจของอริยะอะไรพูดคุยด้วยทั้งนั้น
นับตั้งแต่ผู้ฝึกตนต้าหลีหลายกลุ่มที่มาหยั่งเชิงในช่วงแรกสุด มาจนถึงเซียนกระบี่เฉาจวิ้นในภายหลัง ต่างก็เคยลิ้มรสกฎของหร่วนฉงไปแล้ว บ้างก็ตาย บ้างก็บาดเจ็บ
หร่วนซิ่วยืนอยู่ตรงตีนเขา แหงนหน้ามองกรอบป้ายนั้น ท่านพ่อไม่ชอบให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนมีสองคำว่าหลงเฉวียนเพิ่มขึ้นมา ลูกศิษย์เปิดขุนเขาทั้งสามคนอย่างพวกสวีเสี่ยวเฉียวกต่างก็รู้ดีว่า ท่านพ่อหวังให้ในบรรดาพวกเขาสามคน มีคนใดคนหนึ่งสามารถปลดคำว่าหลงเฉวียนลงไปได้ เหลือทิ้งไว้เพียงคำว่า ‘สำนักกระบี่’ ที่หยัดยืนอยู่เหนือยอดเขาที่มีกลุ่มภูเขาของแจกันสมบัติทวีปโอบล้อม ถึงเวลานั้นคนผู้นั้นก็จะได้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไป
สำหรับปมในใจของบิดา หร่วนซิ่วค่อนข้างจะเข้าใจดี แต่ทุกครั้งที่บิดามาพูดบอกกับนางว่าให้ตั้งใจฝึกตนมากขึ้น แม้ปากของนางจะตอบรับ แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยภาพขนมเอย เนื้อตุ๋นหน่อไม้แห้งเอย
นี่ทำให้หร่วนซิ่วละอายใจเล็กน้อย
นางจึงเก็บความคิดนั้นไว้ คิดว่าจะไม่ไปพูดกับบิดาแล้วว่า ควรถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนอาหารการกินให้เหล่าศิษย์น้องทั้งหลายโดยเพิ่มเนื้อเข้ามาในทุกมื้ออาหารได้แล้วหรือไม่
น่าสงสารเหล่าศิษย์น้องที่ไม่มีลาภปากนั้น
ตำแหน่งศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่อยากจะเป็นนี้ทำหน้าที่ได้ไม่ดีเลยจริงๆ
ในขณะที่หร่วนซิ่วย้อนกลับขึ้นเขาไปด้วยความรู้สึกผิด
หร่วนฉงก็ออกจากภูเขาเสินซิ่วมาเยือนที่ว่าการเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างเงียบเชียบ
เจ้าเมืองอู๋ยวนมารออยู่นานมากแล้ว เขาไม่ได้พูดโอภาปราศรัยกับอริยะหร่วนฉงตามมารยาท แต่พูดเรื่องเป็นการเป็นงานเรื่องหนึ่งทันที
ตอนนี้ในอาณาเขตของต้าหลี มีกองกำลังบนภูเขาบางส่วนที่เป็นไปได้ว่าได้รับการสนับสนุนจากแคว้นอื่นทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือกันเต็มที
โดยเฉพาะนับแต่เริ่มฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ลำพังเพียงแค่ความขัดแย้งใหญ่ๆ ก็มีเกิดขึ้นถึงสามครั้ง หนึ่งในนั้นมีหน่วยจานกาน (คือองค์กรข่าวกรองที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในสมัยโบราณ) ตายไปเจ็ดคน ทางราชสำนักเดือดดาลอย่างหนัก
หร่วนฉงที่รับรู้รายละเอียดความขัดแย้งและความต้องการของราชสำนักต้าหลีแล้วก็ครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “ข้าจะให้ซิ่วซิ่ว ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวสามคนออกหน้า คอยรับคำสั่งจากผู้ที่ได้รับแต่งตั้งจากราชสำนักต้าหลีของพวกเจ้าให้รับผิดชอบเรื่องนี้”
อู๋ยวนดูแปลกใจและลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “แม่นางซิ่วซิ่วก็จะออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยหรือ?”
อันที่จริงหร่วนฉงกับสกุลซ่งต้าหลีเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ มานานแล้ว หน้าที่รับผิดชอบและค่าตอบแทนของทั้งสองฝ่ายถูกระบุไว้อย่างเป็นระเบียบ และถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน
แต่หลายปีมานี้ล้วนเป็นราชสำนักต้าหลีที่ ‘มอบให้’ ไม่เคย ‘รับไป’ แม้แต่ครั้งเดียว ต่อให้ครั้งนี้สำนักกระบี่หลงเฉวียนยอมอุทิศตนเพื่อราชสำนักต้าหลีตามข้อตกลง รองเจ้ากรมพิธีการก็ส่งจดหมายลับผ่านกระบี่บินมาสั่งความนานแล้วว่า ขอแค่หร่วนฉงยินดีมอบตัวต่งกู่ผู้เป็นเซียนดินโอสถทองไปช่วย ก็ถือว่ามีความจริงใจพอแล้ว ต้าหลีจะไม่มีทางเรียกร้องสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างเกินควรเด็ดขาด แน่นอนว่าอู๋ยวนเองก็ไม่กล้าทำตัดสินใจเองโดยพลการ
ดังนั้นเมื่อรู้ว่าหร่วนซิ่วก็จะออกจากภูเขาไปด้วย ด้วยเหตุด้วยผล อู๋ยวนจึงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม
คงเป็นเพราะรู้ว่าเหตุใดอู๋ยวนและราชสำนักต้าหลีถึงรู้สึกลำบากใจ หร่วนฉงจึงยิ้มกล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกำชับซิ่วซิ่วเอง ครั้งนี้ที่นางออกจากภูเขาไปจัดการธุระ จะพยายามไม่ให้นางเป็นผู้ลงมือ อีกอย่างต่อให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ข้าก็ไม่มีทางไปพาลโกรธเอากับต้าหลีของพวกเจ้า”
อู๋ยวนยังคงไม่กล้าตกปากรับคำเองโดยพลการ หร่วนฉงพูดอย่างนี้ก็จริง แต่เขาอู๋ยวนจะกล้าคิดเป็นจริงเป็นจังเสียที่ไหน เรื่องราวทางโลกซับซ้อน ขอแค่เกิดข้อผิดพลาดใหญ่ขึ้นมา สัมพันธ์ควันธูประหว่างราชสำนักต้าหลีกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนจะไม่เกิดความเสียหายหรอกหรือ? สกุลซ่งทุ่มเทแรงใจไปมากมายเพียงนั้น หากค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไหลหายไปกับสายน้ำ ตลอดทั้งต้าหลี เกรงว่าคงมีแต่อาจารย์ชุยฉานที่สามารถแบกรับได้ไหว
ดังนั้นอู๋ยวนจึงพูดอย่างชัดเจนว่าเขาต้องแจ้งให้ทางกรมพิธีการทราบก่อน
หร่วนฉงพยักหน้ารับ “ได้ ใต้เท้าเจ้าเมืองแค่ให้คำตอบข้ามาโดยเร็วก็พอ”
จากนั้นหร่วนฉงก็ถามว่า “ข้าอยากจะเลือกคนสองสามคนในกลุ่มของนักโทษสกุลหลูมาเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักกระบี่ เจ้าสามารถรายงานเรื่องนี้ไปทางราชสำนักพร้อมกันเลยก็ได้ ดูว่าทางนั้นจะอนุญาตหรือไม่ หากจะเกิดความขัดแย้งกับหน่วยจานกาน พวกเจ้าก็จะได้เตรียมใจเอาไว้ก่อน”
อู๋ยวนยิ้มเจื่อน “ตกลง”
พูดเรื่องเป็นการเป็นงานเสร็จแล้ว หร่วนฉงก็จากไปราวกับสายลม ไม่ยืดเยื้ออืดอาดแม้แต่น้อย
ทิ้งเจ้าเมืองอู๋ที่หน้านิ่วคิ้วขมวดไว้เพียงลำพัง เขากำลังใคร่ครวญหาถ้อยคำว่าควรจะจรดพู่กันรายงานสองเรื่องนี้แก่ทางราชสำนักอย่างไรดี
ราชสำนักต้าหลีที่อยู่ในมือของราชครูชุยฉานได้สร้างองค์กรใต้ดินที่ลึกลับมากขึ้นแห่งหนึ่ง สมาชิกทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนถูกเรียกรวมกันว่าหน่วยจานกาน ทุกครั้งที่ได้รับคำสั่งให้ออกจากเมืองหลวงจะจับกลุ่มกันไปสามคน คนจากกองโหราศาสตร์หนึ่งคน เซียงซือ (คนที่เชี่ยวชาญด้านการดูโหงวเฮ้งบนใบหน้า ลักษณะท่าทาง รูปร่างของคนแล้วทำนายชะตาในอนาคต) หนึ่งคน คนของสำนักหยินหยางหนึ่งคน ทำหน้าที่ช่วยต้าหลีค้นหาหยกงามวัตถุดิบล้ำเลิศที่เหมาะแก่การฝึกตนตามสถานที่ต่างๆ
หากถูกหน่วยจานกานหมายตา ต่อให้เป็นตัวเลือกที่ถูกผู้ฝึกลมปราณเลือกเอาไว้นานแล้ว แค่ยังไม่ได้พาขึ้นเขา ทุกคนก็ล้วนต้องหลีกทางให้หน่วยจานกาน
และนี่ก็น่าจะเป็นที่มาของชื่อเรียกว่าหน่วยจานกานนี้ (จานกานแปลว่าแท่งเหนียว เช่นแท่งที่ทากาวไว้จับดักจักจั่น)
หลังจากที่ชุยฉานกลายเป็นราชครู และแคว้นต้าหลีก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีการลงมือใหญ่โตจริงจังด้วยเรื่องนี้ เพียงแต่พอเกิดเรื่องขึ้นหลายครั้งเข้า พวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระของต้าหลีก็หยุดก่อความวุ่นวายกันไปเอง เพราะซิ่วหู่ผู้นั้นช่วยหนุนหลังให้หน่วยจานกานอย่างถึงที่สุดในทุกครั้งโดยไม่มีข้อยกเว้น
ในจวนตระกูลเซียนที่มีก่อกำเนิดท่านหนึ่งนั่งบัญชาการณ์ โอสถทองท่านหนึ่งได้ทดสอบเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างภูเขามานานถึงหกปีเต็ม ตั้งใจแกะสลักเกลากลึงหยกดิบชิ้นนั้น เตรียมจะรับอีกฝ่ายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดวิชาความรู้ของตัวเอง ผลกลับกลายเป็นว่าถูกหน่วยจานกานหน่วยหนึ่งที่ผ่านทางมาพบต้นกล้าที่ดีต้นนี้เข้า โอสถทองผู้เฒ่าเจอเข้ากับหน่วยจานกานที่เผด็จการไร้เหตุผลก็โมโหจนกัดฟันกรอด โอสถทองผู้เฒ่าถึงขั้นยินดีจ่ายเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ให้ แต่หน่วยจานกานก็ยังยืนกรานว่าจะพาตัวเด็กหนุ่มคนนั้นไป
ทั้งสองฝ่ายถกเถียงวิวาทกันไม่หยุด สุดท้ายกลายเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด หน่วยจานกานถูกสังหารตายคาที่ไปสองคน หนีไปได้หนึ่งคน
ตามหลักแล้วการกระทำของโอสถทองผู้เฒ่าสมเหตุสมผล อีกทั้งยังถือว่าเห็นแก่หน้าของราชสำนักต้าหลีมากแล้ว นอกจากนี้ภูเขาที่โอสถทองเฒ่าคนนี้ฝึกตนอยู่ก็คือตระกูลเซียนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของต้าหลี
ทว่าถึงท้ายที่สุดก็ยังคงถูกกองทัพม้าเหล็กหกพันนายของต้าหลี เลขาธิการอีกเกือบร้อยคน บวกกับกลไกสำนักโม่ที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุดอีกหลายร้อยอย่าง รวมไปถึงผู้ฝึกลมปราณ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอีกร้อยกว่าคนที่ที่ว่าการกรมอาญาต้าหลีเรียกตัวมาพากันมาล้อมภูเขา
หากพูดให้เพราะก็คือการแสดงวรยุทธ!
สงครามครั้งนั้นดุเดือดชวนพรั่นพรึง ต้าหลีถึงขั้นเรียกตัวทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีมาเข้าร่วมด้วย
สุดท้ายตระกูลเซียนที่ใหญ่ที่สุดทางชายแดนทิศเหนือของต้าหลีแห่งนั้นก็ถูกทำลายจนภูเขาหายไปครึ่งลูก พลังต้นกำเนิดเสียหายใหญ่หลวง กลายเป็นกลุ่มอิทธิพลระดับล่างของขั้นสอง บรรพจารย์ก่อกำเนิดสู้รบจนตัวตาย ผู้ฝึกตนเฒ่าโอสถทองถูกแม่ทัพบู๊ต้าหลีตัดหัว จากนั้นก็ให้ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งพกศีรษะแห้งเหี่ยวที่ตายตาไม่หลับนั้นไป ‘ส่งหัวผู้นำ’ ให้แก่ภูเขาหลายแห่งริมชายแดนได้เห็น
นับแต่นั้นมาเทพเซียนบนภูเขาในอาณาเขตของต้าหลีก็เก็บความโอหังเย่อหยิ่งของตัวเองลงไป ต่อให้เป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่เลือกพึ่งพาราชสำนักต้าหลีมานานแล้วก็ยังเริ่มกำชับสั่งสอนลูกศิษย์ผู้สืบทอดในสำนักของตน
ว่ากันว่าหลังจากศึกครั้งนั้นปิดฉากลง ราชครูซิ่วหู่ที่น้อยครั้งจะออกจากเมืองหลวงต้าหลีได้มาปรากฏตัวบนยอดเขาลูกนั้น แต่กลับไม่ได้ลงมือสังหาร ‘โจรกบฏ’ ที่เหลืออยู่บนภูเขา แค่บอกให้คนตั้งป้ายศิลาป้ายหนึ่ง บอกว่าวันหน้าจะได้ใช้
ตอนนี้ป้ายหินที่อยู่บนยอดเขายังคงว่างเปล่าไร้ตัวอักษร ไม่รู้ว่าใต้เท้าราชครูลืมเรื่องเก่าแก่ในอดีตเรื่องนี้ไปแล้ว หรือแค่เพราะโอกาสยังไม่มาถึง
……
บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่งทางชายแดนเหนือของต้าหลีที่มีตระกูลเซียนปักหลักตั้งถิ่นฐานมานานหลายปี มีผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เพิ่งเดินขึ้นเขามาได้ไม่นานยืนอยู่ข้างป้ายศิลาว่างเปล่าที่ไม่ได้สลักตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว เขายื่นมือไปกดลงบนป้ายศิลา หันหน้าไปมองทางทิศใต้
บนยอดเขามีผู้เฒ่าอยู่แค่คนเดียว ไม่มีคนอื่นๆ อยู่เคียงข้าง
คนรุ่นผู้อาวุโสของตระกูลเซียนทุกคนที่เคยผ่านศึกนองเลือดในปีนั้นต่างก็มารวมตัวกันอยู่ในแถบพื้นที่ที่ไม่ห่างจากยอดเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ส่วนลูกศิษย์หนุ่มสาวที่เพิ่งรับมาใหม่ในภายหลังก็ยิ่งถูกสั่งห้ามอย่างเข้มงวดว่าไม่ให้ออกจากจวนที่พักของตัวเอง ใครกล้าออกมาเดินโดยพลการจะถูกสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ แล้วโยนทิ้งไปที่ตีนเขา!
ผู้เฒ่าทุกคนในสำนักที่ในอดีตเคยอยู่สูงส่งเหนือผู้ใดในแถบทิศเหนือของต้าหลี เวลานี้หันมามองหน้ากันเอง ต่างก็มองออกถึงความหวาดกลัวและจนใจในดวงตาของอีกฝ่าย หวาดเกรงว่าราชครูต้าหลีผู้นั้นจะออกคำสั่งอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จากนั้นก็ตามมาด้วยการคิดบัญชีย้อนหลัง ตัดรากถอนโคนภูเขาที่ฟื้นคืนความมีชีวิตชีวากลับมาได้น้อยนิดอย่างยากลำบากแห่งนี้!
ชุยฉานซิ่วหู่ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมพลันคลี่ยิ้มบางๆ อย่างคลุมเครือ “เจ้าเฉินผิงอันชอบใช้เหตุผลนักไม่ใช่หรือ คราวนี้ข้าอยากจะดูนักว่าเจ้าจะยังใช้เหตุผลได้อีกหรือไม่”
บทที่ 422.1 จอมยุทธน้อยพบเจอจอมยุทธใหญ่
นั่งเรือหอซิ่วโหลวที่จำแลงมาจากเรือน้อยแกะสลักด้วยเมล็ดเหอเถาลำนั้นแค่หนึ่งชั่วยามก็แหวกทะเลเมฆลดระดับลงระหว่างยอดของเทือกเขาที่มีไอน้ำล้อมเวียนวน
มาถึงจวนจื่อหยางแล้ว
หากมองมาจากจุดสูง ตระกูลเซียนแห่งนี้มีขนาดไม่เป็นรองวังหลวงของราชวงศ์ในโลกมนุษย์เลย พื้นที่ตรงกลางคือสิ่งปลูกสร้างยิ่งใหญ่โอฬารที่เมื่อถูกแสงอาทิตย์สาดส่องก็มีประกายแสงสีม่วงเหลือบทองเรืองรอง
หลังจากที่พวกเฉินผิงอันลงมาจากเรือแล้ว สตรีร่างสูงโปร่งที่เรียกตัวเองว่าอู๋อี้ ต้งหลิงเจินจวินก็เก็บเรือลำน้อยเมล็ดเหอเถาแกะสลักใส่ไว้ในชายแขนเนื้อ ส่วนดรุณีน้อยที่อยู่รอบด้านก็พากันกลายมาเป็นแผ่นยันต์ แต่กลับไม่ได้ถูกต้งหลิงเจินจวินท่านนั้นเก็บไป เมื่อนางโบกชายแขนเสื้อพัดพายันต์ทั้งหลายไปยังลำคลองที่น้ำไหลริกๆ สายหนึ่ง ยันต์ทั้งหลายก็กลายเป็นปราณวิญญาณอันเปี่ยมล้นที่ผสานรวมเข้ากับน้ำในลำคลอง
ผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่งมาปรากฏกายอยู่ตรงริมตลิ่งฝั่งตรงข้ามของลำคลองอย่างรู้เวลา เขาคุกเข่าโขกศีรษะให้กับผู้ฝึกตนหญิงผู้นี้พลางตะโกนก้องว่า “เทพน้อยจากศาลจีเซียงคารวะบรรพจารย์ต้งหลิง ขอกราบขอบพระคุณบุญคุณอันใหญ่หลวงของท่านบรรพจารย์ไว้ ณ ที่นี้!”
จูเหลี่ยนตบเข้าที่ศีรษะของเผยเฉียน พูดเบาๆ ว่า “คนบนเส้นทางเดียวกับเจ้าปรากฏตัวอีกคนแล้ว ไปไม่ทักทายหน่อยรึ?”
เผยเฉียนกลอกตามองบนใส่
อู๋อี้กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “ไม่มีเรื่องอะไรก็กลับไปที่ศาลจีเซียงของเจ้าซะ”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้นรีบลุกขึ้นยืนบอกลา กลายร่างเป็นควันเขียวที่มีประกายแสงสีทองเจือปนผลุบหายเข้าไปในลำคลอง
อู๋อี้ยิ้มอธิบายว่า “ออกจากบ้านก็มักไม่ดีตรงนี้แหละ ยากที่จะหาความสงบสุขได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแสดงให้รู้ว่าเข้าใจ
อู๋อี้ถามชวนคุย “คุณชายเฉิน คราวก่อนท่านกับกลุ่มคนที่เดินทางมาด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่นแม่นางน้อยชุดแดงที่ท่านพ่อของข้าชื่นชอบมากที่สุดคนนั้น พวกเขาหายไปไหนเสียเล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กำลังเล่าเรียนอยู่ที่ต้าสุย”
อู๋อี้มีท่าทางเสียดายเล็กน้อย
บิดาเคยบอกว่า เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีนามว่าอวี๋ลู่ผู้นั้นก็คือรัชทายาทราชวงศ์สกุลหลูผู้ที่แคว้นล่มสลายซึ่งปิดบังชื่อแซ่อำพรางตน!
ปราณมังกรเข้มข้นทั่วร่างของเขาก็คืออาหารรสเลิศที่สุดบนโลกใบนี้
ปีนั้นไม่รู้ว่าเหตุใดบิดาถึงไม่ได้จับกิน นางเองที่อยู่ภายใต้เปลือกตาของบิดาก็ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม จึงพลาดของดีไปด้วย แค่ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้กินอิ่มหนำสักมื้อหรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองสมควรตายนั่นไปได้
เพื่อฝ่าทะลุขอบเขต สามารถเลื่อนขั้นไปสู่ ‘ปลายทางมหามรรคา’ ของเผ่าพันธ์เจียวหลงในทุกวันนี้อย่างขอบเขตก่อกำเนิด น้องชายยอมกลายเป็นองค์เทพแม่น้ำหันสืออย่างไม่เสียดาย ส่วนตนก็มุมานะฝึกวิชานอกรีต พูดไม่ได้ว่าไร้ประโยชน์ ได้แต่กล่าวว่าการพัฒนาเป็นไปอย่างเชื่องช้าจนแทบจะทำให้คนคลั่งตาย
หรือว่าในอีกร้อยปีพันปีให้หลังก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้เงาของบิดาต่อไปจริงๆ? ต้องหวาดหวั่นขวัญผวาอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าวันใดบิดาหิวโหย หรือไปเข่นฆ่ากับคนอื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจำต้องกินอาหารชดเชย แล้วจะเอาบุตรชายบุตรสาวอย่างพวกเขาสองคนมาเติมเต็มให้อิ่มท้อง?
ปีนั้นตนกับน้องชายที่น่าสงสารไปพบชุยฉานราชครูต้าหลีพร้อมกับบิดา ประสบการณ์ครั้งนั้นไม่ถือว่าดี บิดาถูกซิ่วหู่อาศัยแท่นฝนหมึกโบราณชิ้นหนึ่งและวิชาอภินิหารโบราณเล่นงานให้ตบะหายไปสามร้อยปี หลังจบเรื่องบิดาพาลโมโหใส่นางกับน้องชาย ทุบตีพวกเขาจนสภาพน่าอนาถชวนสังเวช แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ถือว่าไม่เลว ในที่สุดบิดาก็ได้ออกไปจากแคว้นหวงถิง นางและน้องชายไม่ต้องรู้สึกเหมือนมีภูเขาใหญ่กดทับในหัวใจอีก ถึงอย่างไรท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานหลายพันปี ลูกหลานที่ถูกบิดาผู้มีนิสัยดุร้ายอำมหิตผู้นี้กินเข้าไปก็มีมากจนนับไม่ถ้วน อีกทั้งจวนจื่อหยางและแม่น้ำหันสือต่างก็ได้เป็นพื้นที่สำคัญที่ราชสำนักต้าหลีให้การยอมรับ มีฐานะโดดเด่นเหนือกว่าแคว้นหวงถิง
แน่นอนว่าอู๋อี้นี้เป็นเพียงแค่นามสมมติ ในฐานะบรรพบุรุษของจวนจื่อหยาง ร่างจริงก็ยิ่งเป็นทายาทเผ่าพันธุ์เจียวแห่งแคว้นสู่โบราณ หากไม่เป็นเพราะจดหมายฉบับนั้นที่บิดาส่งมาให้ ต่อให้เฉินผิงอันจะมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลเป็นผู้ติดตาม นางก็คร้านจะใส่ใจ คงหนีไม่พ้นต่างคนต่างเดินกันไปบนทางของตัวเอง ทำไมนางจะต้องกระตือรือร้นถึงขนาดไปต้อนรับเขาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังต้องฝืนใจเค้นรอยยิ้มส่งให้คนหนุ่มคนหนึ่งด้วย?
อู๋อี้พาพวกเฉินผิงอันเดินไปบนทางเส้นใหญ่ริมลำคลองช้าๆ เส้นทางสายนี้ราบเรียบผิดไปจากปกติ เป็นทางที่ถูกปูด้วยหินสีเขียวเส้นยาวก้อนใหญ่ ภาพสะท้อนในแผ่นหินชัดเจนแจ่มแจ๋ว
เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือเอาแต่จับจ้องพื้นหินสีเขียวที่วาววับราวกับกระจก มองนังหนูถ่านดำที่อยู่ข้างในแล้วแสยะเขี้ยวใส่อย่างสนุกสนาน
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือหอเรือน อู๋อี้ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเฉินผิงอันมากนัก ดังนั้นจึงฉวยโอกาสนี้แนะนำประวัติความเป็นมาของจวนจื่อหยางให้เฉินผิงอันฟังคร่าวๆ
การตอบรับของเฉินผิงอันบอกได้แค่ว่าไม่ถือว่าเสียมารยาท สำหรับเรื่องประเภทนี้ อย่าว่าแต่หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าเลย ต่อให้เป็นหลี่ไหวก็ยังเก่งกว่าเขา
คงเป็นเพราะเปิดจวนน้ำไว้แห่งหนึ่ง และหล่อหลอมตราประทับอักษรน้ำ เมื่อมาเดินอยู่บนนี้ เฉินผิงอันจึงสามารถสัมผัสได้ถึงแก่นชะตาน้ำเป็นเส้นๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางหินยักษ์สีเขียวใต้ฝ่าเท้า
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน แล้วก็พลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
เผ่าพันธุ์เจียวหลงบนโลกจำเป็นต้องฝึกตนอยู่ใกล้กับน้ำ ต่อให้เป็นทายาทเจียวหลงที่มองดูเหมือนรากฐานของมหามรรคาใกล้เคียงกับภูเขามากกว่า แต่ขอแค่สร้างโอสถทองได้แล้วก็ยังจำเป็นต้องออกมาจากภูเขา ลงแม่น้ำเป็นเจียว หรือลงสายน้ำใหญ่เป็นมังกรแต่โดยดี ซึ่งก็หนีไม่พ้นตัวอักษรน้ำเช่นกัน
คาดว่าผู้ฝึกตนแต่ละยุคของจวนจื่อหยางแห่งนี้คิดจนหัวแทบแตกก็คงยังเดาไม่ถูกว่าเหตุใดบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาท่านนี้ถึงต้องเลือกสถานที่แห่งนี้มาสร้างจวนและแตกกิ่งก้านสาขาออกไป
จวนจือหยางก็คือตระกูลเซียนอันดับต้นของแคว้นหวงถิง แต่กลับไม่เหมือนตระกูลเซียนทั่วไปที่สร้างอยู่บนยอดเขา แต่มาสร้างอยู่ริมลำคลองงดงามที่การมองเห็นเปิดกว้าง ลำคลองที่เกิดจากธารน้ำในผืนป่าหลายสายไหลมารวมตัวกันมีนามว่าเถี่ยเชวี่ยน คือตอนบนของแม่น้ำป๋ายกู่แม่น้ำใหญ่อันดับสามของแคว้นหวงถิง ถือว่าเป็นต้นน้ำของแม่น้ำป๋ายกู่ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร อีกทั้งแม่น้ำป๋ายกู่ก็เป็นรองแค่แม่น้ำหันสือและแม่น้ำอวี้เจียงเท่านั้น เป็นเหตุให้มีองค์เทพวารีของแคว้นหวงถิงได้รับการแต่งตั้ง สามารถสร้างร่างทอง สร้างศาลบูชา ช่วยฮ่องเต้สกุลหงหลายยุคสมัยของแคว้นหวงถิงเฝ้าพิทักษ์โชคชะตาน้ำยาวไกลแปดร้อยลี้
ต้องรู้ว่าแคว้นมากมายในใต้หล้าไพศาล เรื่องการแต่งตั้งองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำนั้นเป็นเรื่องสำคัญในสำคัญที่เกี่ยวพันไปถึงชาติบ้านเมือง แล้วก็สามารถตัดสินได้ว่าฮ่องเต้องค์หนึ่งจะสามารถนั่งบนบัลลังก์มังกรได้อย่างมั่นคงหรือไม่ เพราะจำนวนมีจำกัด องค์เทพห้าขุนเขาซึ่งเป็นหนึ่งในองค์เทพเหล่านั้นจึงถือว่าเป็นคนประเภทที่มาก่อนได้ก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะให้ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นเป็นคนเลือก โดยทั่วไปแล้วกษัตริย์ในยุคหลังจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เพราะจะเกี่ยวพันกับหลายเรื่องเป็นวงกว้าง และอาจจะทำลายไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก เทพแม่น้ำ เทพลำคลอง พ่อปู่ลำคลองและแม่ย่าลำคลองทั้งหลายที่ขึ้นตรงกับเทพวารี เทพภูเขาน้อยใหญ่ เทพเจ้าที่ เทพแห่งผืนดินปลายแถวใต้อาณัติของห้าขุนเขาล้วนไม่สามารถถูกฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรนำมาใช้อย่างสิ้นเปลืองได้ ต่อให้เป็นกษัตริย์ที่ไร้ความสามารถมากแค่ไหนก็ไม่ยินดีเอาเรื่องนี้มาเล่นสนุก ต่อให้เป็นขุนนางในราชสำนักที่มีแต่คนถ่อยเรืองอำนาจแค่ไหนก็ไม่กล้าปล่อยให้ฮ่องเต้ทำตัวเหลวไหลกับเรื่องนี้
มีเพียงทุกครั้งที่ท้องพระคลังเปี่ยมล้นจึงจะสามารถนำไปแลกเป็นเงินเทพเซียนที่มากพอ จากนั้นค่อยขออนุญาตจากสำนักศึกษาบางแห่งที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักของลัทธิขงจื๊อ ปรากฏกายด้วยสถานะของวิญญูชน ปากอมกฎแห่งสวรรค์ เยื้องกรายไปเยือนภูเขาและแม่น้ำแห่งนั้น ช่วย ‘ชี้นำแผ่นดิน’ ให้กับแคว้นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นราชสำนักแห่งนี้ก็จะสามารถสร้างองค์เทพที่ได้รับการสืบทอดอย่างถูกต้องท่านหนึ่งให้กับภูเขาแม่น้ำของแคว้นตัวเอง ให้องค์เทพย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงชะตาแคว้น ทำให้โชคชะตาแคว้นมั่นคง
นี่เรียกว่าปรากฎการณ์ของยุคสันติรุ่งโรจน์ ย่อมได้รับคำอวยพรจากขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อย คนทั้งแคว้นร่วมยินดี และฮ่องเต้ก็มักจะปลาบปลื้มอารมณ์ดี ประกาศอภัยโทษให้แก่คนทั่วหล้า เพราะถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้รับการขนานนามด้วยชื่อเสียงที่ดีงามว่าเป็นเจ้าเหนือหัวผู้นำพาความเจริญรุ่งเรือง คือกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาในตำราประวัติศาสตร์
เพียงแต่ว่าทัศนียภาพล่างภูเขาที่เป็นเช่นนี้ล้วนถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาพ่นเสียงออกจมูก เอ่ยเยาะหยันว่า ‘เพิ่มฝาโลงชาวบ้านหนึ่งชั้น เพิ่มไม้บนบัลลังก์มังกรฮ่องเต้หนึ่งชิ้น’
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดในอาณาเขตของแต่ละแคว้นถึงมักจะมีศาลเถื่อนปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย เป็นเพราะราชสำนักอ่อนแอ ไม่มีกำลังพอจะตัดรากถอนโคนจริงๆ น่ะหรือ?
อันที่จริงแล้ว ศาลเถื่อนจำนวนมากได้รับการยอมรับโดยปริยายจากทางราชสำนักก็เพราะศาลเหล่านี้แค่ไม่ได้รับการยอมรับจากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ไม่อาจเชิญวิญญูชนท่านหนึ่งให้เปิดปากทองคำเอ่ยเอื้อนถ้อยคำได้ก็เท่านั้น ราชสำนักของแต่ละแคว้นถึงได้ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งกับศาลเถื่อนที่ควันธูปโชติช่วงเหล่านี้ ถึงขั้นที่ว่าราชสำนักบางแห่งยังแอบมอบเงินเทพเซียนสนับสนุนศาลเถื่อนลับหลังสำนักศึกษาอยู่ตลอดเวลา แอบยุยงให้ปัญญาชนนักท่องเที่ยวในพื้นที่นำพาผู้คนไปจุดธูป เพื่อสะดวกให้ชาวบ้านในท้องถิ่นติดตามมาทำบุญด้วย
และลำคลองเถี่ยเชวี่ยนก็มีเทพลำคลองที่ได้รับการสืบทอดจากระบบดั้งเดิมอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งก็คือผู้เฒ่าท่าทางนอบน้อมที่ไปมาอย่างเร่งรีบผู้นั้น
หลายปีที่ผ่านมานี้ เทพลำคลองแห่งศาลจีเซียงที่มีร่างทองให้ผู้คนกราบไหว้ท่านนี้เป็นหุ่นเชิดที่ถูกจวนจื่อหยางชักใยมาตลอดเวลา หนึ่งในการฝึกประสบการณ์ของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างของจวนจื่อหยางแห่งนี้ก็คือการสังหารภูตผีทั้งหลายที่เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนซึ่งมักจะถูกเพื่อนร่วมงานหัวเราะเยาะว่า ‘สหายตายข้าไม่ตาย แล้วข้ายังจะช่วยเก็บกระเป๋าเงินเจ้ามาด้วย’ ผู้นี้ส่งตัวไปให้ ลูกสมุนที่น่าสงสารเหล่านั้นแทบจะเท่ากับว่ายื่นคอไปให้ตัวอ่อนผู้ฝึกลมปราณทั้งหลายสังหาร หากโชคดีหน่อยก็จะหนีรอดมาได้ ไปๆ มาๆ ภูตผีที่ฟูมฟักมาจากลำคลองเถี่ยเชวี่ยนจึงมีไม่มากพอ จำต้องให้เทพลำคลองท่านนี้ควักเงินของตัวเองมาเพิ่มแก่นชะตาน้ำ หากเป็นปีใดที่รายรับไม่ดี ยังต้องเอาของขวัญไปเยี่ยมเยือนถึงที่ ขอร้องให้เหล่าผู้เฒ่าเทพเซียนในจวนจื่อหยางทุ่มเงินเทพเซียนลงไปในลำคลองเพื่อเพิ่มปราณวิญญาณชะตาน้ำ ทำให้ผีพรายภูติน้ำเติบโตได้เร็วขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้การฝึกประสบการณ์ของลูกศิษย์ในจวนจื่อหยางถูกถ่วงเวลาล่าช้า
ฟังดูเหมือนถูกลดค่า แทบจะเรียกได้ว่ามีชีวิตอยู่รอดไปเพียงวันๆ เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่รู้ว่ามีองค์เทพแห่งลำคลองและแม่น้ำมากน้อยเท่าไหร่ในแคว้นหวงถิงที่อิจฉาเขา
หลักการนั้นง่ายมาก ลำคลองเถี่ยเชวี่ยนมีแค่เทพลำคลอง แต่ระดับความแข็งแกร่งของร่างทองเขากลับไม่เป็นรององค์เทพวารีของแม่น้ำใหญ่ลำดับสามของแคว้นหวงถิงอย่างแม่น้ำป๋ายกู่เลย
อาศัยอะไร? แน่นอนว่าต้องอาศัยเศษน้ำแกงที่ทุกปีจวนจื่อหยางแคะออกมาจากซอกเล็บ เก็บสั่งสมปีแล้วปีเล่า และบวกกับควันธูปที่รมอยู่ในศาลจีเซียงอันเป็นที่ตั้งของร่างทอง
ผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยางไม่ชอบให้คนนอกมารบกวนการฝึกตน ขุนนางและชนชั้นสูงจำนวนมากที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงเลื่อมใสมานานก็ได้แต่หยุดเท้าอยู่ที่ศาลจีเซียงซึ่งห่างจากจวนจื่อหยางไปสองร้อยลี้
เมื่อหยุดเดินแล้ว แน่นอนว่าต้องจุดธูปกราบไหว้เทพเจ้า และหากมีธุระบางอย่างที่ไม่อาจบอกใครได้ก็จำเป็นต้องขอให้เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนช่วยเข้าหาจวนจื่อหยางแทน เพราะจวนจื่อหยางมีวิธีการหาเงินเป็นของตัวเอง ตั้งแต่ผู้ฝึกตนขอบเขตสามไปจนถึงผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ทุกครั้งที่ถูกเชื้อเชิญให้ออกจากภูเขาไป ‘หาประสบการณ์’ จะต้องมีการตั้งราคาคร่าวๆ เอาไว้ แต่ผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยางเป็นพวกหัวสูงมองไม่เห็นใครในสายตา ต่อให้ชนชั้นสูงทั่วไปในโลกมนุษย์จะมีเงินแค่ไหน เทพเซียนเหล่านี้ก็อาจจะไม่ยอมพบหน้า จำเป็นต้องให้ศาลจีเซียงแห่งลำคลองเถี่ยเชวี่ยนที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับจวนจื่อหยางช่วยเชื่อมสะพานความสัมพันธ์ให้
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนจะไม่กล้าตักตวงผลประโยชน์เด็ดขาด แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่มีทางรับไป เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่นำเงินเทพเซียนซึ่งขุนนางและชนชั้นสูงของต่างถิ่นมอบให้ไปให้แก่เทพเซียนของจวนจื่อหยาง ฝ่ายหลังออกจากภูเขาไปจัดการเรื่อง เมื่อเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว เงินควันธูปก้อนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับจวนจื่อหยางก็จะถูกส่งมาที่ศาลจีเซียงเอง
บริเวณใกล้เคียงกับจวนจื่อหยาง
นอกประตูจวนคือลานกว้างหยกขาวแห่งหนึ่ง
เวลานี้มีกลุ่มคนของจวนจื่อหยางจำนวนมากมารอรับการกลับมาของบรรพจารย์อย่างเนืองแน่น จวนจื่อหยางแบ่งออกเป็นฝ่ายในและฝ่ายนอก ผู้ฝึกตนฝ่ายในคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายของอู๋อี้บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขา รวมไปถึงเจ้าประมุขจวนจื่อหยางแต่ละรุ่นและลูกศิษย์ของพวกเขา บวกกับผู้ถวายงานผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกร และผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่เป็นผู้ดูแลเรื่องต่างๆ ซึ่งได้กุมอำนาจอย่างแท้จริง ส่วนฝ่ายนอกนั้นค่อนข้างจะปะปนกันหลากหลาย นอกจากผู้ฝึกลมปราณที่คุณสมบัติธรรมดาแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนอิสระ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่สวามิภักดิ์ต่อจวนจื่อหยาง รวมไปถึงพวกข้ารับใช้ที่อุทิศตนให้กับจวนจื่อหยางมาหลายยุคหลายสมัย ฝ่ายนอกที่มีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกัน จำนวนคนย่อมมากกว่าผู้ฝึกลมปราณที่ตั้งใจฝึกตนอย่างมุ่งมั่นอยู่แล้ว
มีคนเกือบพันคน
บนลานกว้าง ทุกคนต่างก็ยืนอยู่ตามตำแหน่งฐานะของตัวเอง ซึ่งตำแหน่งนี้ไม่มีการคลาดเคลื่อนผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย
คงเป็นเพราะไม่อยากให้เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าตนแสดงบารมีต่อหน้าพวกเขา อู๋อี้จึงยิ้มบางๆ พลางอธิบายว่า “ข้าไม่ได้เปิดเผยตัวในจวนจื่อหยางมาร้อยกว่าปีแล้ว ในอดีตเคยป่าวประกาศว่าได้เลือกพื้นที่สวรรค์ถ้ำมงคลไว้แห่งหนึ่งแล้วปิดด่านฝึกตน แต่ความจริงเป็นเพราะรำคาญที่ต้องไปมาหาสู่กับผู้อื่นซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เลยเลือกหลบซ่อนตัวไม่พบใครเสียเลย”
เมื่ออู๋อี้ก้าวจากทางเดินหินเขียวเข้าไปยังริมขอบของลานกว้างหยกขาว ทุกคนต่างก็พากันคุกเข่าโขกหัวคำนับพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พร้อมกับเปล่งเสียงอันดังว่า “ขอแสดงความยินดีกับบรรพจารย์ที่ออกจากด่าน”
เมื่อดังเข้าหูเผยเฉียนก็ไม่ต่างจากเสียงฟ้าผ่า
จัดขบวนยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เอิกเกริกขนาดนี้ ทำเอาเผยเฉียนที่ได้เห็นดวงตาสาดประกายเจิดจ้า
อู๋อี้ยกมือข้างหนึ่งขึ้น
เผยเฉียนเห็นแล้วก็จุ๊ปากชื่นชม ทั้งๆ ที่คนพันกว่าคนนั้นคุกเข่าก้มหน้าแนบพื้น แต่เวลานี้กลับพากันลุกพรึ่บขึ้นยืนราวกับว่ามีตาอยู่บนหัวอย่างไรอย่างนั้น
อู๋อี้เดินตรงไปด้านหน้า เฉินผิงอันจึงจงใจเดินเยื้องมาด้านหลังหนึ่งก้าว หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองไปบังรัศมีของบรรพจารย์จวนจื่อหยาง คิดไม่ถึงว่าอู๋อี้จะหยุดเดิน ใช้ริ้วกระเพื่อมในทะเลสาบหัวใจบอกกับเฉินผิงอัน ในคำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะที่จริงใจ “คุณชายเฉินไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้ ท่านคือแขกสูงศักดิ์ที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้งของจวนจื่อหยางเรา ในพื้นที่เล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่กลางป่ากลางเขา ห่างไกลจากอริยะปราชญ์ของข้านี้ วิถีการรับรองแขกที่สมควรมีก็ยังต้องมี ดังนั้นคุณชายเฉินก็เดินเคียงไหล่ไปกับข้าได้เลย”
บทที่ 422.2 จอมยุทธน้อยพบเจอจอมยุทธใหญ่
อู๋อี้มีนิสัยเย่อหยิ่ง คือเซียนดินที่มีชื่อเสียงว่าจองหองโอหังของแคว้นหวงถิง เดิมทีการที่ไปพบเฉินผิงอันก็เป็นเรื่องที่ฝืนใจทำ ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจาหรือการกระทำของเฉินผิงอันล้วนพอเหมาะพอดี อีกทั้งยังไม่อาศัยความสนิทสนมกับบิดา ซิ่วหู่และเว่ยป้อมาวางมาดต่อหน้านาง นี่จึงทำให้อู๋อี้สบายใจขึ้นไม่น้อย และถึงได้มีคำพูดในทะเลสาบหัวใจนี้
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “อู๋เจินจวินกลับจวนครั้งแรกในรอบร้อยปี หากเป็นเวลาปกติ ข้าเองก็คงอาจจะกล้าเดินเคียงบ่าไปกับอู๋เจินจวิน แต่วันนี้จะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด อู๋เจินจวินโปรดเดินนำไปก่อนเถิด พวกเราจะตามติดไปด้านหลังทันที”
อู๋อี้คลี่ยิ้ม แล้วก็เดินนำไปด้านหน้าเพียงลำพังโดยไม่ยืนกรานอีก
ถือว่าเป็นคนหนุ่มที่รู้จักกาลเทศะ
แต่คร่ำครึเกินไปสักหน่อย ไม่ต่างจากอาจารย์ในโรงเรียนเลย ไม่รังเกียจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบอะไร
เมื่ออู๋อี้เดินนำไปด้านหน้า ฝูงมหาชนบนลานกว้างก็แหวกออกเป็นทางทันที
มีเพียงคนห้าหกคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะมาเดินตามหลังอู๋อี้ ยิ่งฐานะสูงส่งมากเท่าไหร่ในจวนจื่อหยาง ตำแหน่งยืนก็ยิ่งขยับมาเบื้องหน้ามากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่เดินมาอยู่ทางฝั่งขวามือของเฉินผิงอันก็คือเจ้าประมุขจวนจื่อหยางคนปัจจุบัน คือเซียนดินขอบเขตโอสถทอง ส่วนผู้ฝึกตนสองท่านที่มีสถานะไม่ต่างจากจูเหลี่ยนและสือโหรวสักเท่าไหร่ก็คือผู้ฝึกลมปราณผู้เฒ่าขอบเขตมังกรที่มีวัยวุฒิสูงกว่าเจ้าประมุขจวนจื่อหยาง คนหนึ่งคือผู้ที่ดูแลด้านการให้รางวัลและการลงโทษ คนหนึ่งดูแลเรื่องการเงิน ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาตำแหน่งเจ้าประมุขจวนจื่อหยางจึงเป็นเพียงแค่ตำแหน่งลอยๆ ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง เป็นแค่บุคคลที่ช่วยออกหน้าเวลาที่ต้องคบค้าสมาคมกับราชสำนักแคว้นหวงถิงและตระกูลเซียนบนภูเขาลูกอื่นเท่านั้น
เจ้าประมุขจวนจื่อหยางในแต่ละรุ่นรวมกันแล้วมีทั้งหมดเจ็ดคน แต่มีเพียงคนเดียวที่อาศัยพรสวรรค์ของตัวเองเลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนพสุธา คนอื่นๆ อีกหกคนก็เหมือนเจ้าประมุขคนปัจจุบันนี้ที่ล้วนอาศัยเงินเทพเซียนของจวนจื่อหยางฝืนผลักดันจนได้ขอบเขตมาครอบครอง พลังการต่อสู้ที่แท้จริงเป็นรองเซียนดินโอสถทองในสำนักใหญ่อยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเซียนดินอิสระที่เดินผ่านเส้นทางสายโลหิตมาด้วยตัวเอง
รากฐานของจวนจื่อหยางย่อมไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีอดีตเจ้าประมุขอีกหลายคน หรือไม่ก็เป็นลูกศิษย์ที่อู๋อี้เคยรับไว้ในอดีต บุรพาจารย์ของจวนจื่อหยางในรุ่นหลังกำลังปิดด่าน แล้วก็มีผู้ฝึกตนวัยชราบางส่วนที่ไม่มีหวังบนมหามรรคา โอสถทองถูกสายน้ำแห่งกาลเวลาชะล้างไปจนเน่าเปื่อยไม่เหลือสภาพ ได้แต่หลบเลี่ยงอยู่ในจวนแต่ละแห่งของจวนจื่อหยางที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นประหนึ่งคนธรรมดาที่นอนป่วยติดเตียงแล้วอาศัยโสมคนมาต่อชีวิต ได้แต่เก็บตัวเงียบไม่ออกไปไหน
ทุกคนของจวนจื่อหยางต่างก็กำลังคาดเดาตัวตนของคนหนุ่มที่สะพายหีบไม้ไผ่ไว้ด้านหลัง
หรือว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่บรรพาจารย์ต้งหลิงไปรับมาใหม่จากข้างนอก? ถ้าอย่างนั้นจะเป็นตัวเลือกเจ้าประมุขคนถัดไปหรือไม่?
อู๋อี้พาเฉินผิงอันเดินเข้าไปในจวนจื่อหยาง ตรงดิ่งไปที่ตำหนักจื่อชี่ที่ตั้งอยู่ใจกลางของจวนใหญ่ มอบหมายให้เจ้าประมุขจัดงานเลี้ยงใหญ่ยามค่ำคืนเพื่อต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์
เข้ามาในตำหนักจื่อชี่แล้ว อู๋อี้ก็บอกให้ทุกคนไปรอที่โถงเจี้ยนชื่อ นางบอกว่าต้องการจัดหาที่พักให้คุณชายเฉินด้วยตัวเอง
แขกผู้สูงศักดิ์?
คนทั้งกลุ่มหันมามองหน้ากันเอง
หรือว่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนดินก่อกำเนิดท่านใดของต้าหลี หรือจะเป็นลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงอย่างพวกสกุลหยวนสกุลเฉาที่เป็นเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลี
อู๋อี้จัดการหาที่พักให้พวกเฉินผิงอันอย่างรวดเร็วและเรียบร้อย จากนั้นจึงไปที่โถงเจี้ยนชื่อที่พวกผู้อาวุโสใหญ่ของจวนจื่อหยางรวมตัวกันอยู่ นางนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรของเจ้าประมุขที่สร้างขึ้นจากไม้จื่อถาน แรกเริ่มยังบอกให้แต่ละคนรายงานเรื่องต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นรายรับเงินเทพเซียนที่จวนจื่อหยางได้มาตลอดร้อยปีมานี้ การพัฒนาของเหล่าลูกศิษย์ในสำนักที่มีพรสวรรค์โดดเด่น สถานการณ์ของพวกคนเฒ่าคนแก่ในจวน โดยรวมแล้วนางจะเป็นผู้ฟัง ไม่เสนอความเห็นใดๆ หากไม่เป็นเช่นนี้ก็คงไม่มีทางหายตัวไปเป็นร้อยปี เป็นเถ้าแก่แต่สะบัดมือทิ้งร้าน ยิ่งไม่มีทางเลือกหุ่นเชิดขึ้นมาเป็นเจ้าประมุขทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลก
อันที่จริงในใจทุกคนต่างก็รู้ดีว่าบรรพจารย์ไม่ชอบฟังเรื่องยิบย่อยพวกนี้ การรายงานอย่างเอาจริงเอาจังของทุกคนก็แค่ทำให้พอเป็นพิธีเท่านั้น
อู๋อี้เองก็ไม่ปิดบังสีหน้าเบื่อหน่ายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย นางนั่งตัวเอียง เอามือข้างหนึ่งเท้าคาง บางครั้งก็พยักหน้ารับ
โดยรวมแล้วจวนจื่อหยางสามารถใช้สี่คำว่า ‘เจริญรุ่งเรืองในทุกวัน’ มาบรรยายได้
นี่ก็ถือว่าพอสมควรแล้ว
อู๋อี้คร้านจะไปสนใจพวกกลอุบายทั้งหลายนอกเหนือจากการฝึกตน
การที่นางสร้างจวนจื่อหยางขึ้นมา และกลายมาเป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขา เป็นเพราะความคิดชั่วแล่นของนางในปีนั้น เพราะความเบื่อหน่ายนำพาโดยแท้
นอกจากนี้เผ่าพันธุ์เจียวหลงมากมายที่ยังหลงเหลืออยู่ ส่วนใหญ่ก็ชอบสร้างจวนเพื่อโอ้อวดบารมี รวมไปถึงใช้มันเป็นที่เก็บซ่อนทรัพย์สมบัติที่ไปรีดไถมาจากสี่ทิศ
แคว้นหวงถิงถือเป็นหนึ่งในอาณาเขตเก่าหลังจากที่แคว้นสู่โบราณแตกแยก แคว้นเสินสุ่ยที่อยู่ดีๆ ก็ราวกับว่าล่มสลายภายในค่ำคืนเดียวก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ต่างก็เป็นสถานที่วิเศษที่เผ่าพันธ์เจียวหลงปรารถนาอยากครอบครองแม้ในยามหลับฝัน เพราะมีโชคชะตาน้ำเข้มข้น นอกจากนี้เซียนกระบี่บรรพกาลก็ชอบมาสังหารเจียวหลงที่นี่ ท่ามกลางการเข่นฆ่ากันเองทำให้คนมากมายต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ สมบัติอาคมจึงมีมากตามไปด้วย แม้ว่าส่วนใหญ่จะถูกราชวงศ์ที่แข็งแกร่งอย่างพวกแคว้นเสินสุ่ยกวาดเอาเข้าไปไว้ในท้องพระคลังของตัวเอง กลายเป็นอาวุธสำคัญของแคว้นที่แต่ละชิ้นได้รับการสืบทอดอย่างมีระบบระเบียบ การถ่ายโอนในภายหลังก็เป็นแค่การผลัดเปลี่ยนจากมือของราชวงศ์ที่ตกอับทรุดโทรมไปสู่มือของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ที่รุ่งเรืองขึ้นมาใหม่เท่านั้น แต่กระนั้นก็ยังมีสมบัติตกทอดหลายชิ้นที่ถูกบิดาของนางเก็บเข้ากระเป๋าอย่างไม่กระโตกกระตาก
นางรู้ดีที่สุดว่าทรัพย์สมบัติของบิดานั้นมากมายมหาศาลปานใด
สมบัติอาคมที่เป็นเรือเมล็ดเหอเถาแกะสลักลำน้อยบนร่างของตนชิ้นนั้นก็เป็นแค่ของขวัญเล็กๆ ที่ปีนั้นบิดาหยิบยื่นมาให้เพราะนางเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตก็เท่านั้น
แต่ความอุดมสมบูรณ์ของสมบัติที่บิดานางเก็บสะสมเอาไว้ สามารถพูดได้ว่าเกินจริงที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนเซียนดินทุกคนทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป
ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้อาจจะพอเอาชนะไปได้ แต่นั่นเป็นสมบัติที่คนตลอดทั้งตระกูลฝูเก็บสะสมมานานถึงสองพันกว่าปี แต่บิดาของนางอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวเท่านั้น
ดังนั้นอู๋อี้จึงทั้งเกลียด ทั้งกลัวและทั้งยำเกรงบิดาที่นางไม่เคยเข้าใจความคิดของเขาผู้นี้ ความเกลียดนั้นคือภายนอก ความกลัวอยู่ในกระดูก แต่ความเคารพยำเกรงอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ คิดดูแล้วน้องชายของนางก็น่าจะมีความรู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
อู๋อี้เงยหน้าขึ้น ที่แท้ก็มีคนมาถามว่าจวนจื่อหยางควรจะรับรองคุณชายเฉินผู้นั้นอย่างไร
อู๋อี้คิดแล้วก็ตอบว่า “พวกเจ้าไม่ต้องยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ ควรทำอะไร ข้าจะสั่งความไปเอง”
……
การจัดการของอู๋อี้นั้นน่าสนใจมาก นางจัดให้พวกเฉินผิงอันสี่คนอยู่ในหอสูงหกชั้นแห่งหนึ่งที่สามารถเทียบเท่ากับหอเก็บสมบัติได้
ทุกชั้นของหอแห่งนี้ล้วนวางสมบัติที่ต้งหลิงเจินจวินกับผู้ฝึกตนหลายยุคหลายสมัยของจวนจื่อหยางเก็บสะสมเอาไว้
ก่อนที่อู๋อี้จะจากไปได้บอกแค่ว่า หวังว่าพวกเขาจะไม่เดินขึ้นไปบนสองชั้นบนสุด ส่วนอีกสี่ชั้นที่เหลือสามารถเดินเที่ยวได้ตามใจชอบ
เนื่องจากอาคารแห่งนี้กินอาณาบริเวณกว้างขวาง นอกจากชั้นหนึ่งแล้ว ชั้นบนทุกชั้นล้วนมีทั้งห้องนอน ห้องหนังสือ ชั้นสามยังมีลานแสดงวรยุทธที่จัดวางหุ่นเชิดกลไกสูงหนึ่งจั้งไว้สามตัว ดังนั้นพวกเฉินผิงอันจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าที่นี่จะมีแต่วัตถุดิบวิเศษละลานตา แต่ไม่มีที่ให้พักนอน
ลำพังแค่ชั้นหนึ่ง เผยเฉียนก็นึกอยากให้ตัวเองมีดวงตาเพิ่มมาอีกคู่หนึ่งแล้ว
การเดินทางมาเยือนจวนจื่อหยางในครั้งนี้ทำให้เผยเฉียนได้เปิดโลกทัศน์จึงอารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด
ก่อนหน้านี้นางมักรู้สึกว่าในอนาคตนอกจากกล่องเก็บสมบัติที่เหยาจิ้นจือมอบให้แล้ว หาชั้นวางสมบัติอีกชั้นสองชั้นมาจัดวางเพิ่มก็ถือเป็นขีดจำกัดความสามารถในการจินตนาการของหัวสมองเล็กๆ ของเผยเฉียนแล้ว ตอนนี้พอเข้ามาในหอเรือนของตำหนักจื่อชี่แห่งนี้ นางถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้คนมีเงินจริงๆ เขาก็มีเงินกันแบบนี้นี่เอง!
ตอนนี้ไม่ต้องให้เฉินผิงอันเอ่ยเตือน เผยเฉียนก็ไม่กล้าไปลูบคลำสมบัติโบราณลักษณะแปลกประหลาดเหล่านั้นโดยพลการ
นางคิดว่าคืนนี้คงไม่นอนแล้ว จะต้องเดินเที่ยวให้ครบทั้งสี่ชั้นชื่นชมสมบัติหลายร้อยชิ้นนี้ให้ถ้วนทั่ว ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องเสียดายไปตลอดชีวิต
ปล่อยให้เผยเฉียนและสือโหรวที่จิตใจหวั่นไหวไม่หยุดพอๆ กัน ‘ชื่นชมทัศนียภาพ’ อยู่ที่ชั้นหนึ่ง เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนมายืนอยู่ที่ชั้นสี่ หลุบตาลงต่ำมองไปยังจวนจื่อหยางครึ่งแห่งที่เห็นจากมุมสูง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เคยพูดคุยกับคนอื่นว่าภูเขาของตัวข้าในอนาคตควรจะเป็นเช่นไร ตอนนี้มาลองดูแล้ว เวลานั้นคงต้องเรียกว่าเป็นความคิดเหลวไหลของคนยากจน จวนจื่อหยางนี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าตัวอย่างที่มีชีวิตอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันรีบพูดเสริมไปอีกประโยค “อันที่จริงตอนนั้นข้าก็ไม่ถือว่ายากจนแล้วนะ”
จูเหลี่ยนถาม “นายน้อย ดูเหมือนว่าต้งหลิงเจินจวินผู้นี้จะไม่ใช่เซียนดินโอสถทองทั่วไป?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเกินครึ่งตัวกระมัง”
ถึงอย่างไรก็มากินฟรีอยู่ฟรีในบ้านคนอื่น เฉินผิงอันจึงไม่อยากพูดถึงความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายในให้จูเหลี่ยนฟังอย่างละเอียด
ในใจจูเหลี่ยนพอจะรู้คร่าวๆ แล้ว
อู๋อี้อยู่ในจวนจื่อหยางย่อมต้องมีค่ายกลตระกูลเซียน ทำให้ที่นี่เป็นเหมือนฟ้าดินขนาดเล็ก จึงมองได้ว่านางมีพลังการต่อสู้ที่เกือบจะเท่าเทียมก่อกำเนิด
จูเหลี่ยนพูดหยอกล้อ “หากมีผู้ฝึกตนอิสระที่สามารถมากวาดเอาสิ่งของของที่นี่ไปได้ จะไม่ร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐีเลยหรือ ได้ยินมาว่าแจกันสมบัติทวีปมีผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบอยู่คนหนึ่ง”
เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าใบหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อฉื่อยื่นส่งให้จูเหลี่ยน ส่ายหน้ากล่าวว่า “สำหรับเซียนดินทุกคนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน การดำรงอยู่ของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อมีพลังสยบกำราบที่รุนแรงเกินไป พวกเขาอาจจะดูแลทุกเรื่องได้ไม่ทั่วถึง แต่หากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อลงมือขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือหมายหัวใครขึ้นมา นั่นก็หมายความว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่กลับไร้ที่ให้ซ่อนตัว ดังนั้นนี่จึงเป็นการกำราบความขัดแย้งของผู้ฝึกตนใหญ่มากมายอย่างที่มองไม่เห็น”
จูเหลี่ยนดื่มเหล้าหนึ่งอึก ยิ้มกล่าวว่า “เหตุใดใต้หล้าไพศาลถึงไม่มีพันธนาการต่อผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างพวกเรามากนัก? หรือแค่เพราะผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดเก้ามีน้อยเกินไป? ได้ยินมาว่าผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งสังหารฮ่องเต้ตาย ก็ไม่แน่เสมอไปว่าสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อจะส่งคนไปไล่จับ”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “นี่เกี่ยวพันกับเรื่องวงในสมัยโบราณที่ถูกฝุ่นทับถมจนหนาชั้น ชุยตงซานไม่ค่อยเต็มใจอยากจะพูดถึงเรื่องพวกนี้ ข้าเองก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านเกิดเขตการปกครองหลงเฉวียน ครั้งแรกที่ข้าออกเดินทางไกล ผู้ตรวจการงานเตาเผาและนายอำเภอที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ในภายหลังก็ถือว่าเป็นขุนนางที่ใหญ่ที่สุดแล้ว มักรู้สึกว่าฮ่องเต้อะไรนั่นอยู่ห่างไกลเกินไป ภายหลังเหนียงเนียงท่านหนึ่งจากวังหลวงต้าหลี ซึ่งก็คือมารดาแท้ๆ ของซ่งจี๋ซินส่งคนมาสังหารข้า ในใจข้าจดจำบัญชีนี้ไว้ตลอดเวลา คราวก่อนที่พบเจอกับซ่งจี๋ซินซึ่งเคยเป็นเพื่อนบ้านตรอกหนีผิงในสำนักศึกษาซานหยา ก็ได้พูดคุยกับเขาจนเข้าใจแล้ว แต่เล่าให้เจ้าฟังแล้วก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะหรอกนะ ต่อให้ตอนนี้ข้ามองซ่งจี๋ซินก็ยังไม่อาจจินตนาการได้ว่าเขาคือองค์ชายต้าหลีท่านหนึ่ง เกาเซวียนยังดีกว่าหน่อย ถึงอย่างไรตอนที่พบหน้ากันครั้งแรกเขาก็สวมเสื้อผ้าหรูหราสีสันสดใส ข้างกายยังมีข้ารับใช้ติดตามมา แต่ซ่งจี๋ซิน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังคงเป็นเจ้าคนเอ้อระเหยลอยชายผู้นั้นอยู่นั่นเอง”
จูเหลี่ยนยกกาเหล้าขึ้นชนกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือเฉินผิงอันเบาๆ เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแล้วก็ไม่ได้ขยับมันอีก เวลานี้เพิ่งจะดื่มเหล้าเป็นคำแรก
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “หากวันใดซ่งจี๋ซินเป็นฮ่องเต้ต้าหลีขึ้นมาจริงๆ นายน้อยจะไม่ยิ่งนึกภาพไม่ออกหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว”
คนทั้งสองเงียบงันไปครู่หนึ่ง
เฉินผิงอันพลันกล่าวขึ้นว่า “ชุยตงซานเคยพูดประโยคหนึ่งที่น่าสนใจมาก เขาบอกว่าอริยะของสามลัทธิต่างก็กำลังพยายามเปลี่ยนแปลงวิธีการ ทำให้ความเร็วในการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะพุ่งทะยานไปอย่างไม่หยุดยั้งนั้นไหลช้าขึ้นอีกนิด”
จูเหลี่ยนพลันเกิดความสนใจ ถามอย่างใคร่รู้ว่า “จะลดความเร็วอย่างไร?”
เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนราวระเบียง ตบราวรั้วกล่าวว่า “ภูเขาของตระกูลเซียนคือสิ่งหนึ่ง”
จูเหลี่ยนมึนงงไม่เข้าใจ
เฉินผิงอันพูดต่ออีก “เมืองและนครในโลกมนุษย์ก็คือสิ่งหนึ่ง”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “สงคราม ก็คืออีกสิ่งหนึ่ง”
สุดท้ายเฉินผิงอันกล่าวว่า “ความรู้ของร้อยสำนักที่สามารถทำให้จิตใจของคนจมจ่อมอยู่กับมันก็คล้ายจะเป็นหนึ่งในนั้น”
จูเหลี่ยนฟังแล้วยิ่งรู้สึกหัวโต “ชุยตงซานช่างพูดได้ลึกลับนัก บ่าวเฒ่าสับสนยิ่งกว่าเดิมแล้ว”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า ยิ้มกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
จูเหลี่ยนถามเสียงเบา “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยอยากเข้าใจมหามรรคาที่ลี้ลับซับซ้อนพวกนี้ไหม?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้า “หากไม่จำเป็นต้องเข้าใจก็อย่าเข้าใจดีกว่า”
จูเหลี่ยนอืมรับหนึ่งที “นายน้อยเข้าใจได้มากพอแล้ว แล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดอยากสืบเสาะไปถึงต้นกำเนิดของทุกเรื่องราวจริงๆ นั่นแหละ”
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “จูเหลี่ยน นิสัยที่ต้องหาจังหวะพูดประจบของเจ้านี่ ช่วยเปลี่ยนหน่อยได้ไหม?”
จูเหลี่ยนชูแขน แกว่งกาเหล้าที่อยู่ในมือ หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ทำไมต้องเปลี่ยนด้วยเล่า? เปลี่ยนแล้วจะมีเหล้าดื่มหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็จริงนะ”
จูเหลี่ยนถามหยั่งเชิง “ก่อนหน้านี้นายน้อยบอกว่าจะไปฝึกประสบการณ์ที่อุตรกุรุทวีปเพียงลำพัง พาบ่าวเฒ่าไปด้วยไม่ได้จริงๆ หรือ? ข้างกายไม่มีพ่อครัวที่ก่อไฟทำอาหารให้กิน ไม่มีผู้ติดตามที่คอยประจบเอาใจ จะน่าเบื่อแค่ไหน?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าจงอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วไปแต่โดยดีเถอะ ข้ายังคงหวังว่าเจ้าจะสามารถ…เดินขึ้นไปบนวิถีวรยุทธได้อีกชั้นหนึ่ง ในเมื่อวิธีการป้อนหมัดของผู้เฒ่าแซ่ชุยคนนั้นเหมาะสมกับข้า แน่นอนว่ายิ่งต้องเหมาะสมกับเจ้า วันหน้าหากเจ้าสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตยอดเขา ถ้าอย่างนั้นการเดินทางออกท่องยุทธภพในครั้งแรกของเผยเฉียน ต่อให้จะเดินไปไกลแค่ไหน หรืออาจถึงขั้นไปเที่ยวเล่นที่ทวีปอื่นกับหลี่ไหว ขอแค่มีเจ้าคอยให้การปกป้องคุ้มครองอย่างลับๆ ข้าก็วางใจได้มากแล้ว”
จูเหลี่ยนจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะเกลี้ยกล่อมให้เฉินผิงอันเปลี่ยนใจ
เฉินผิงอันถาม “จูเหลี่ยน เล่าเรื่องตอนที่เจ้ายังหนุ่มให้ฟังได้ไหม?”
จูเหลี่ยนมีท่าทางขัดเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “บัญชีเลอะเลือนนับไม่ถ้วน หนี้ของความเสเพลเกินคณานับ พูดเรื่องพวกนี้ ข้ากลัวว่านายน้อยจะไม่มีอารมณ์ดื่มเหล้าอีก”
เฉินผิงอันกระโดดขึ้นไปนั่งบนราวระเบียง “ลองพูดมาสิ อันที่จริงนิยายยุทธภพหลายเล่มที่เจ้ามอบให้เผยเฉียนนั้น ข้าแอบอ่านมาหลายรอบแล้ว ข้ารู้สึกว่าเขียนได้ดีมากเลย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นยุทธภพในจินตนาการของปัญญาชนที่อยู่ในห้องหนังสือ ไม่สมจริงมากพอ เชื่อว่าไม่น่าสนใจเท่าประสบการณ์ที่เจ้าผ่านมาด้วยตัวเองและเล่าจากปากของเจ้าเองหรอก”
จูเหลี่ยนเองก็ขึ้นมานั่งบนราวระเบียง ยิ้มกว้างกล่าวว่า “ได้สิ งั้นก็ให้บ่าวเฒ่าได้เล่าให้ฟังก็แล้วกัน นายน้อยท่านไม่รู้หรอกว่าปีนั้นที่บ่าวเฒ่ายังเป็นเด็กหนุ่มสง่างามเพียงใด ในยุทธภพมีจอมยุทธหญิงและเทพธิดามากน้อยเท่าไหร่ที่ชื่นชมเลื่อมใสข้าจะเป็นจะตาย หลงรักข้าจนโงหัวไม่ขึ้น”
ผลก็คือยิ่งฟังมาถึงช่วงท้าย จูเหลี่ยนกลับพบว่าสายตารังเกียจของนายน้อยตัวเองยิ่งชัดเจนมากขึ้น ถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันก็ตบไหล่จูเหลี่ยน ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงกระโดดลงจากราวระเบียงแล้วเดินจากไป
นี่ทำให้จูเหลี่ยนเจ็บปวดเล็กน้อย
ไม่ว่าอะไรนายน้อยของตัวเองก็ดีหมด มีเพียงเรื่องความรักชายหญิงเท่านั้นที่เป็นวิญญูชน เป็นคนจริงจังเกินไป ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันเอาเสียเลย!
จูเหลี่ยนคงจะไม่รู้ว่า เฉินผิงอันที่เดินเข้าไปในหอเรือนบ่นพึมพำอยู่ในใจว่า “เจ้ามีแม่นางหนิงแล้ว เจ้ามีแม่นางหนิงแล้ว หากกล้าคิดเหลวไหลส่งเดช กล้าทำตัวหลายใจ ต้องถูกแม่นางหนิงที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงตีตายแน่…แต่แค่คิดก็ไม่ได้เลยหรือ? ไม่ได้สิไม่ได้ ขอแค่เจ้าได้เจอกับแม่นางหนิง เวลาอยู่กับนางมีหรือจะเก็บซ่อนความคิดได้อยู่ แปบเดียวก็ถูกนางมองทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็ยังต้องถูกตีจนเกือบตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ เจ้ากล้าเอาคืนหรือไง?”
บทที่ 422.3 จอมยุทธน้อยพบเจอจอมยุทธใหญ่
เรือหอเรือนสองชั้นที่ประดับประดาอย่างหรูหรางดงามลำหนึ่งขับเคลื่อนจากแม่น้ำป๋ายกู่ที่กระแสน้ำโหมซัดสาดเขาสู่ลำคลองเถี่ยเชวี่ยนที่ผิวน้ำราบเรียบ
บนหัวเรือมีสตรีสวมชุดชาววังหน้าตางามพิลาสแต่เยือกเย็นคนหนึ่งยืนอยู่ ข้างกายยังมีสาวใช้ประจำตัวอีกคนและบุรุษอีกสามคนที่ต่างวัย และหน้าตาก็แตกต่างกันมาก
ผู้เฒ่าคนหนึ่งยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ฮูหยิน พวกเราเดินทางมาเยี่ยมเยือนจวนจื่อหยางคราวนี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นที่ต้อนรับ”
ผู้เฒ่ากับคนอีกสองคนต่างก็เป็นแขกในจวนของฮูหยินท่านนี้ ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันมานานมากแล้ว อีกทั้งนิสัยใจคอก็เข้ากันได้ดี หากจะพูดถึงความสัมพันธ์ของวิญญูชนที่จืดชืดดั่งน้ำเปล่า ก็คือการจับมือเป็นพันธมิตรช่วยกันกำจัดความชั่วร้ายผดุงคุณธรรม ยกตัวอย่างเช่นตอนนั้นเมื่อได้รับรายงานข่าวลับจากฮูหยิน พวกเขาจึงพากันไปไล่จับปีศาจจิ้งจอกที่ก่อความวุ่นวายมานับร้อยปีตนนั้นอยู่ในเทือกเขาสันตะขาบ ส่วนความสัมพันธ์อย่างคนถ่อยที่หวานปานน้ำผึ้งก็ยกตัวอย่างเช่นการไปมาหาสู่จวนจื่อหยางและศาลจีเซียงที่ไม่ต่างจากการคบค้ากันระหว่างพ่อค้า คือบรรยากาศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หว่างคิ้วของฮูหยินผู้นั้นมีความกลัดกลุ้มจางๆ ให้เห็น คำตอบของนางมีเพียงเสียงถอนหายใจ
สาวใช้อายุน้อยข้างกายนางอยู่กับนางมาร้อยปีแล้ว แม้ว่าจะเป็นวัตถุหยินผีพราย แต่เพราะได้รับบุญคุณจากควันธูป การจมน้ำตายอย่างอยุติธรรมในอดีตทำให้ได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ได้ก้าวขึ้นมาบนเส้นทางของการฝึกตน
สาวใช้ถือเป็นคนสนิทของฮูหยินท่านนี้ ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้นางจึงมีคุณสมบัติที่จะแสดงความเห็นได้ จึงเอ่ยเบาๆ ว่า “สถานการณ์บีบบังคับ แม่น้ำหันสือและแม่น้ำอวี้เจียงต่างก็ได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยจากสกุลซ่งต้าหลีแล้ว มีเพียงแม่น้ำป๋ายกู่ของพวกเราที่ถูกหมางเมินมาจนถึงตอนนี้ นี่ยังไม่นับเป็นอะไร อย่างมากก็แค่ไม่ต้องไปมาหาสู่กับราชสำนักต้าหลีเท่านั้น เพียงแต่ว่าคราวนี้ฮูหยินของเราเข้าเมือง ฟังจากความหมายของฮ่องเต้แล้ว ไม่แน่ว่าแม่น้ำป๋ายกู่ของพวกเราอาจจะยังมีหายนะใหญ่รออยู่เบื้องหลัง พวกเราจึงไม่อาจหวังว่าจะแยกตัวออกมาอยู่อย่างสงบได้”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างสงสัย “หายนะใหญ่?”
สาวใช้เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม น้ำเสียงที่พูดจึงค่อนข้างทุ้มต่ำ “ฮ่องเต้ยังตรัสเป็นนัยๆ ว่า เทพวารีของแม่น้ำอวี้เจียงได้ป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งไปแล้วก็ยังไม่รู้จักพอ ยังทำตัวหน้าไม่อาย วิ่งโร่ไปที่ภูเขาพีอวิ๋นของถ้ำสวรรค์หลีจู ดูเหมือนว่าจะอาศัยความสัมพันธ์ลับกับใครบางคน ขอให้ช่วยพูดดีๆ ต่อหน้าองค์เทพขุนเขาเหนือเว่ยป้อ จึงมีความเป็นไปได้มากว่าราชสำนักต้าหลีจะลงมือกับแม่น้ำป๋ายกู่ของพวกเรา พรรคหลิงอวิ้นที่ถูกปิดภูเขาก็คือบทเรียนให้เห็น ฮ่องเต้เองก็จนใจกับเรื่องนี้เช่นกัน ได้แต่ปล่อยให้พวกคนเถื่อนต้าหลีก่อกรรมทำเข็ญไปทั่ว”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างระอาใจ “ความหน้าหนาไร้ยางอายของเจ้านั่นเป็นที่เลื่องลือจริงๆ”
ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยกสองแขนกอดอก เขายืนห่างมาไกลเล็กน้อย สายตาทอดมองลำคลองเถี่ยเชวี่ยน แม้ว่าก่อนปีใหม่เขาจะเลื่อนจากขอบเขตห้าขั้นสูงสุดกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกได้สำเร็จ แต่ตอนนี้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในแคว้นทำให้ชายฉกรรจ์เลือดร้อนที่เดิมทีวางแผนไว้ว่าหลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตหกแล้วจะไปเข้าร่วมกองทัพเริ่มรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
กีบเท้าม้าของคนเถื่อนต้าหลีเหยียบย่ำลงบนผืนแผ่นดินของแคว้นหวงถิงอย่างกำเริบเสิบสาน ก็ไม่เห็นจะแจ้งข่าวหรือทักทายฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของพวกเขาให้รับรู้มาก่อน
และเรื่องที่ยิ่งทำให้ชายฉกรรจ์รับไม่ได้ก็คือตลอดทั้งราชสำนัก นับตั้งแต่ขุนนางบุ๋นบู๊ไปจนถึงชาวบ้านร้านตลาด จนมาถึงแม่น้ำทะเลสาบและบนภูเขา แทบจะไม่มีใครที่รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น แต่ละคนพากันประจบสอพลอเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง คิดทำทุกวิถีทางเพราะอยากพึ่งพาขุนนางต้าหลีที่มาปักหลักอยู่ในแคว้นหวงถิงเหล่านั้น ขุนนางขั้นเจ็ดของสกุลซ่งต้าหลีมีบารมียิ่งกว่าขุนนางใหญ่ขั้นสองของแคว้นหวงถิงเสียอีก! คำพูดคำจาของพวกเขาก็ใช้ได้ผลมากยิ่งกว่า!
และเรื่องที่ทำให้ชายฉกรรจ์ล้มเลิกความคิดที่จะไปเข้าร่วมกองทัพในท้ายที่สุดก็คือข่าวหนึ่งที่ส่งมาจากเมืองหลวงแคว้นหวงถิง
ปีนั้นตนกับสหายไล่จับปีศาจจิ้งจอกตนนั้น แต่กลับถูกฝ่ายหลังวางกับดักเล่นงานอยู่ในสันเขาตะขาบ เพียงแต่ว่าภายหลังปีศาจใหญ่หมียักษ์ที่ควรจะเผยร่างจริงมาร่วมต่อสู้กับมัน ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่เพียงแต่ไม่ปรากฏตัว กลับกลายเป็นว่าเห็นปีศาจจิ้งจอกที่เชี่ยวชาญการฝึกวิชาสองผสานซึ่งเป็นคู่รักของตนเผชิญความตายโดยไม่คิดช่วยเหลือ นั่นถึงทำให้พวกเขาร่วมแรงร่วมใจกันจับตัวปีศาจจิ้งจอกที่เรียกตัวเองว่าฮูหยินชิงหยามาได้ ถือเป็นการสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ให้แก่ราชสำนักหวงถิง
ปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นถูกเวทลับพันธนาการจึงสูญเสียวิชาอภินิหารไปเกินครึ่ง ถูกจับขังอยู่ในคุกใหญ่ที่ทางราชสำนักเอาไว้ใช้สยบผู้ฝึกตนอิสระและภูตผีปีศาจโดยเฉพาะ
ตอนนั้นชายฉกรรจ์กับเหล่าสหายร่วมกันดื่มเหล้าเฉลิมฉลองอยู่ที่จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่
แต่เพียงไม่นานก็มีข่าวลือเล็กๆ แพร่ไปทั่วเมืองหลวงว่า ปีศาจจิ้งจอกที่เดิมทีควรถูกถลกหนังดึงเส้นเอ็นเพื่อตักเตือนไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงย่างถูกฮ่องเต้รับตัวไปเลี้ยงดูอย่างสุขสบายอยู่ในวังหลัง
ในใจชายฉกรรจ์เจ็บแค้นอย่างถึงที่สุด
ครั้งนี้เขาเดินทางมาเยือนจวนเทพวารีพร้อมกับสหายที่เป็นผู้ฝึกตนอีกสองคน เจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่ยืนอยู่บนหัวเรือผู้นั้นก็ได้บอกความจริงให้พวกเขารู้อย่างชัดเจน
ข่าวลือไม่ใช่เรื่องโกหก
หายนะมาเยือนแคว้น แต่ฮ่องเต้กลับมีชีวิตสุขกายสบายใจยิ่งนัก?
ตอนที่เจ้าแม่เทพวารีเข้าวังไปพบฮ่องเต้ ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นก็ยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้จริงๆ เพียงแต่ว่านางสงบเสงี่ยมสำรวม ยังดีที่บนร่างของนางยังมีพันธนาการที่ผู้ฝึกตนซึ่งเป็นผู้ถวายงานร่ายไว้ ฮ่องเต้สกุลหงยังไม่ได้โง่จนถึงขั้นปลดปล่อยมันอย่างเต็มที่
ภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้เจ้าแม่เทพวารีที่เคยมีความสัมพันธ์กับฮ่องเต้ผู้เป็นบรรพบุรุษของสกุลหงในช่วงเวลาสั้นๆ จำต้องมุ่นคิ้วน้อยๆ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่อยู่ในความทรงจำของนาง ไม่ได้มีชื่อเสียงด้านความบ้าตัณหา
เพียงแต่ว่าวันและเวลาล่วงเลยผ่าน ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเจ้าเหนือหัวของแคว้น นางจึงไม่อาจพูดอะไรได้มาก
อีกอย่างในฐานะองค์เทพของแม่น้ำสายหนึ่ง ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ถูกตั้งบูชาอยู่บนแท่นสูง มองผ่านควันธูปตลบอบอวลหลายร้อยปี นางมองเห็นความหลากหลายของผู้คนมาจนถ้วนทั่วแล้ว สำหรับเรื่องเหลวไหลในโลกมนุษย์เหล่านี้ก็ยิ่งเห็นมาจนชินตานานแล้ว
คิดดูแล้วคงเป็นเพราะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีความกดดันในใจมากเกินไป เพราะต่อให้สกุลซ่งต้าหลีจะยอมรับตำแหน่งแคว้นใต้อาณัติของแคว้นหวงถิง แต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าวันใดวันหนึ่งจะมีเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งอายุน้อยคนใดโผล่มาบอกให้เขาไสหัวลงไปจากบัลลังก์มังกรหรือไม่?
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ควรจะคลายความกลัดกลุ้มอย่างไร? คาดว่าก็คงมีแต่การหาความสุขบนเตียงอย่างเดียวเท่านั้น
อันที่จริงเจ้าแม่เทพวารีก็รู้ถึงอารมณ์อัดอั้นของซุนเติงเซียนผู้ฝึกยุทธคนนั้นดี
เพียงแต่คำพูดเหล่านี้ นางเอ่ยออกไปไม่ได้
เพราะหากพูดออกไป ความสัมพันธ์ระหว่างวิญญูชน ความสัมพันธ์ควันธูปที่สะสมกันมาก่อนหน้านี้จะสลายหายไป
แนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นนี้ หากฮ่องเต้สกุลหงแคว้นหวงถิงไม่เลือกสวามิภักดิ์ต่อคนเถื่อนต้าหลี แล้วจะให้ระดมพลใช้กำลัง เอาไข่ไปตีกระทบหิน ทำให้สกุลซ่งต้าหลีเดือดดาล เคลื่อนทัพม้าเหล็กริมชายแดนมาบดขยี้แคว้นจนพังราบเพียงเพื่ออยากรักษาหน้าตาเอาไว้น่ะหรือ? ถึงเวลานั้นไม่เพียงแต่ฮ่องเต้จะกลายเป็นนักโทษชั้นต่ำ ยังต้องมีชาวบ้านแคว้นหวงถิงอีกมากน้อยเท่าไหร่ที่ต้องประสบภัยเพราะไฟสงคราม? กี่แสนคน? หรือกี่ล้านคน? ฟ้าคว่ำดินตลบ ภูเขาและแม่น้ำเปลี่ยนสี มองไปทางใดเห็นแต่ความพินาศวอดวาย ย่อมไม่มีใครในแคว้นหวงถิงที่จะอยู่อย่างสุขสบายเพียงลำพังได้
รากฐานในการหยัดยืนของชาวบ้านที่บริสุทธิ์เหล่านั้น ไหนเลยจะซับซ้อนพิถีพิถัน ก็แค่หวังว่าจะไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องการกินอยู่ตลอดทั้งปี หน้าหนาวมีเสื้อผ้าหนาๆ ให้ใส่ ยามหิวก็มีอาหารให้กิน มีชีวิตที่สงบสุขปลอดภัยก็ถือว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว
ครั้งนี้นางยืนกรานจะมาเยือนจวนจื่อหยาง แถมยังลากพวกเขาสามคนมาด้วย มีหรือที่เจ้าแม่เทพวารีจะไม่รู้ถึงความไม่สบอารมณ์ในใจของซุนเติงเซียน?
แต่นางไม่มาไม่ได้
นางถึงขั้นจำเป็นต้องให้คนทั้งสามช่วยปกป้องคุ้มครอง หลีกเลี่ยงไม่ให้บรรพจารย์ของจวนจื่อหยางที่นิสัยยากคาดเดาคนนั้นจับนางขังไว้ที่นั่น มีคนทั้งสามเพิ่มเข้ามา อันที่จริงก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้ แต่ถึงอย่างไรก็พอจะทำให้จวนจื่อหยางเกิดความกริ่งเกรงขึ้นได้บ้างสักส่วนสองส่วน
ฮูหยินท่านนี้ได้แต่หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะราบรื่นสมหวัง หลังจบเรื่องจวนเทพวารีของตนจะต้องตอบแทนซุนเติงเซียนทั้งสามคนอย่างดีแน่นอน
ยิ่งขับเคลื่อนเข้ามาในลำคลองเถี่ยเชวี่ยน บรรยากาศก็ยิ่งเงียบงันเคร่งเครียด ยามที่เคลื่อนผ่านศาลเทพลำคลองจีเซียง ผู้เฒ่าเทพลำคลองปรากฏตัวอยู่ริมลำคลอง ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขาหันไปคารวะเจ้าแม่เทพวารีก่อน เพียงแต่ว่าคำพูดที่เขาเอ่ยหลังจากยืดตัวขึ้นตรงกลับไม่ค่อยน่าฟังเท่าใดนัก เขายิ้มตาหยีถามว่า “ฮูหยินเทพแม่น้ำนับเป็นแขกที่หาได้ยาก ไม่ทราบว่าคราวนี้เดินทางมาตรวจตราลำคลองเถี่ยเชวี่ยนของข้าน้อย มีอะไรจะแนะนำหรือไม่? หากฮูหยินยังไม่เต็มใจจะปล่อยผู้บัญชาการทางน้ำของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนของพวกเราไป ข้าน้อยก็คงไม่กล้าพูดอะไร เพียงแต่ตอนนี้ผู้บัญชาการท่านนี้ได้กลายเป็นผู้ฝึกตนที่ได้แขวนชื่อไว้ในจวนเซียนจื่อหยางแล้ว หรือครั้งนี้ที่ฮูหยินเดินทางทวนกระแสน้ำขึ้นมาก็เพราะคิดจะฟื้นฝอยเรื่องในอดีตกับจวนเซียนจื่อหยางของเรา?”
เรือข้ามแม่น้ำเคลื่อนไปข้างหน้าต่อ เจ้าแม่เทพวารีไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนไม่เห็นเป็นสำคัญ หันหน้าไปมองเรือที่ยังเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่ลืมโบกมือกว้างพูดตะโกนเสียงดังเหมือนราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “จะบอกข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้าข่าวหนึ่งให้แก่ฮูหยิน ตอนนี้บรรพบุรุษต้งหลิงหยวนจวินของจวนเซียนจื่อหยางเราก็อยู่ที่จวนด้วย ในฐานะที่ฮูหยินคือเทพแม่น้ำใหญ่ คิดดูแล้วจวนเซียนจื่อหยางคงต้องเปิดประตูใหญ่ต้อนรับการมาเยือนของฮูหยินอย่างแน่นอน หลังจากนั้นท่านก็จะโชคดีได้พบกับหยวนจวินตัวเป็นๆ ฮูหยินเดินช้าๆ นะ วันหน้าย้อนกลับไปที่แม่น้ำป๋ายกู่แล้ว หากมีเวลาว่างก็มานั่งเล่นที่ศาลจีเซียงของข้าน้อยบ้างนะ”
รอจนเรือจากไปไกลแล้ว
เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนผู้นี้ก็ถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างแรง ก่อนผรุสวาทเสียงดัง “จะแสร้งทำตัวสูงส่งไปไย ก็แค่ก่อกำเนิดต่างถิ่นไม่รู้ที่มา แค่ถ้วยที่โยนลงน้ำแล้วจำแลงร่างกลายเป็นนกขาว (ป๋ายกู่) อาศัยว่าเคยนอนกับฮ่องเต้แคว้นหวงถิง ใช้ความสามารถบนเตียงจนโชคดีกลายเป็นเทพแม่น้ำ คู่ควรจะมาทำการค้ากับบรรพบุรุษหยวนจวินของพวกเราหรือไง? หลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยมอบเงินเกล็ดหิมะบรรณาการจวนเซียนจื่อหยางของพวกเราแม้แต่ครึ่งเหรียญ ทีตอนนี้วัวหายแล้วเพิ่งจะคิดล้อมคอก? ฮ่าๆ น่าเสียดายที่ตอนนี้จวนเซียนจื่อหยางของพวกเรามีบรรพบุรุษหยวนจวินเป็นคนตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นหากสตรีหน้าเหม็นอย่างเจ้ายอมเสียเนื้อเสียตัว หน้าด้านปีนขึ้นเตียงของเจ้าประมุขจวน ก็ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะทำสำเร็จได้จริงๆ …สะใจนัก สาแก่ใจข้าจริงๆ …”
เทพลำคลองหมุนตัวเดินอาดๆ กลับศาลจีเซียง
เขาพลันแอบกลืนน้ำลาย หัวเราะอย่างชั่วร้าย ไม่รู้ว่าหากได้ลูบเนื้อหนังร่างทองหลังจากที่สตรีผู้นั้นทอดชุดชาววังออกแล้ว จะให้ความรู้สึกและรสชาติเช่นไรกันนะ?
หากแม่น้ำป๋ายกู่เจอหายนะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังมีโอกาสได้ลิ้มรสดูสักครั้ง?
……
จวนจื่อหยาง โถงเจี้ยนชื่อ
อู๋อี้รับฟังจนถึงขีดจำกัดความอดทนของหูตัวเองแล้ว และกำลังจะบอกให้กลุ่มคนที่ยังพูดจ้อขอความดีความชอบจากนางไม่หยุดถอยออกไป
แต่จู่ๆ กลับมีพ่อบ้านฝ่ายนอกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อมอยู่ด้านหลังประตูใหญ่ของโถงเจี้ยนชื่อ “ท่านบรรพจารย์ เทพแม่น้ำของแม่น้ำป๋ายกู่นำของขวัญมาขอเข้าพบ หวังว่าท่านบรรพจารย์จะเห็นแก่หน้านางสักครั้ง”
มุมปากของนางกระตุกเป็นวงโค้ง กึ่งยิ้มกึ่งบึ้งตึง มองไปทางทุกคนแล้วถามว่า “เท้าหน้าข้าเพิ่งมาถึง เท้าหลังของสตรีจากแม่น้ำป๋ายกู่ก็ตามมาติดๆ เป็นเจ้าคนของศาลจีเซียงที่เอาข่าวไปบอกงั้นรึ? เขาอยากตายใช่ไหม?”
ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็รู้ดีว่านี่คือสัญญาณบอกว่าท่านบรรพจารย์โมโหแล้ว
ทันใดนั้นเหล่าเทพเซียนผู้เฒ่าที่กุมอำนาจใหญ่ มีตำแหน่งสูงในจวนจื่อหยางต่างก็กระวนกระวายไม่เป็นสุข
ทุกครั้งที่บรรพจารย์เดือดดาลก็หนีไม่พ้นภูเขาสั่นแผ่นดินสะเทือน หากไม่เป็นพวกคนนอกที่ตาไร้แววเจอหายนะดับชีพ ก็ต้องเป็นคนกันเองที่ทำงานไม่เรียบร้อยโดนถลกหนังหนึ่งชั้น
ผู้ฝึกตนผู้เฒ่าคนหนึ่งของจวนจื่อหยางที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับเทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนรีบแข็งใจลุกขึ้นยืน ช่วยพูดให้กับเทพลำคลองที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย “เรียนท่านบรรพจารย์ เทพลำคลองศาลจีเซียงไม่กล้าทำอย่างนั้นแน่นอน เจ้าคนผู้นั้นมีตบะต่ำต้อย ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ได้เรื่อง มีเพียงความจงรักภักดีต่อจวนจื่อหยางเท่านั้นที่สามารถพูดได้ว่าไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นข้าจึงกล้าเดาว่าการที่บรรพจารย์ขับเคลื่อนเรือเซียนเดินทางไกลกลับมาครั้งนี้ คงถูกพวกเจ้าแม่เทพวารีเงยหน้าเบิกตาสุนัขมองเห็นท่วงท่าอันสง่างามของท่านบรรพจารย์เข้า ก็เลยรีบวิ่งตุปัดตุเป๋มาส่ายหางขอความเมตตาจากท่านบรรพจารย์”
นางใช้นิ้วข้างหนึ่งเคาะที่วางแขนเก้าอี้ “พูดเช่นนี้…ก็พอจะมีเหตุผล”
ทุกคนพลันรู้สึกโล่งอก
ต่อให้เป็นผู้เฒ่าจวนจื่อหยางที่ไม่ค่อยถูกกับผู้ฝึกตนเฒ่าคนนี้ก็ยังอดชื่นชมอีกฝ่ายในใจไม่ได้
ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนเฒ่าเป็นคนดีมีคุณธรรม ยินดีพูดจาเพื่อความเป็นธรรมแก่คนนอกจวนจื่อหยาง แต่เป็นเพราะเขาคือคนที่ดูแลเรื่องเงินของฝ่ายนอกจวนจื่อหยาง ทุกปีจึงมีรายรับเพิ่มเติมจากเทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนที่รู้ความว่าง่ายผู้นั้นไม่น้อย
บทที่ 422.4 จอมยุทธน้อยพบเจอจอมยุทธใหญ่
เรื่องแบบนี้จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่
โดยทั่วไปแล้วต่อให้ต้งหลิงเจินจวินบรรพจารย์ที่ตั้งใจฝึกตนท่านนี้รู้เรื่องสกปรกหยุมหยิมประเภทนี้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่านางจะขยับเปลือกตาหรืออ้าปากพูดจารุนแรงสักครึ่งคำ
ไม่แน่ว่าคนที่เอาความลับมาบอก กับเจ้าคนน่าสงสารที่ถูกเปิดโปงอาจจะถูกนางขับไล่ไปด้วยความรังเกียจ ลงโทษโบยคนละห้าสิบไม้แล้วโยนออกไปนอกประตูใหญ่จวนจื่อหยางพร้อมกัน เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะมันทำให้นางอารมณ์ไม่ดี
แม้บรรพจารย์จะไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกของจวนจื่อหยาง แต่ทุกครั้งที่มีคนทำให้นางโมโหก็จะต้องขุดดินลึกสามฉื่อ ลากหัวไชเท้าให้พ้นออกมาจากดิน ถึงเวลานั้นทั้งหัวไชเท้าและดินต่างก็ต้องเจอหายนะ ไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้อีก เรียกได้ว่าเป็นคนที่ไม่นับทั้งญาติและมิตรอย่างแท้จริง
ในประวัติศาสตร์มีผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรที่สร้างคุณความชอบอยู่หลายคนที่หากจะบอกว่าสุขุมรอบคอบ ยอมตายเพื่อจวนจื่อหยางก็ไม่มากเกินไปแม้แต่นิดเดียว ไม่ขาดทั้งคุณความชอบและคุณความเหนื่อยยาก แล้วก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์อีกหลายคนที่ต่างก็มีคุณสมบัติในการเป็นเซียนดินโอสถทอง ทว่าหลังจากเกิดเรื่องก็ยังต้องถูกบรรพจารย์จับตัวไปด้วยตัวเอง จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวส่งมาอีก
อู๋อี้ยังคงไม่ได้แสดงความเห็นของตน นางถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “พวกเจ้าคิดว่าข้าควรจะพบนางดีหรือไม่?”
ทุกคนมีความเห็นไม่ตรงกัน บ้างบอกว่าเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ผู้นี้ใจกล้าเทียมฟ้า อาศัยความสัมพันธ์น้อยนิดที่มีต่อสกุลถังจึงไม่เคยมอบบรรณาการเรียกตัวเองว่าขุนนางต่อจวนจื่อหยางของพวกเรา ในเมื่อนางกล้ามาจวนจื่อหยาง ไม่สู้ลองหาข้ออ้างบางอย่างจับตัวนางขังไว้ในคุกน้ำใต้ดินของจวน หลังจากนั้นค่อยเลือกหุ่นเชิดที่เชื่อฟังคนหนึ่งมาทำหน้าที่เป็นเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ ฝ่ายเรามีแต่ได้กับได้ แต่ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วย บอกว่าถึงอย่างไรฮูหยินเซียวหลวนท่านนี้ก็เป็นองค์เทพแห่งสายน้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของแคว้นหวงถิงที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ ตอนนี้แคว้นหวงถิงมีคลื่นใต้น้ำ แม้ว่าจวนจื่อหยางของพวกเราจะถือว่าได้ขึ้นฝั่งมาแล้ว แต่ทางที่ดีที่สุดช่วงนี้ก็ควรทำอะไรอย่างรอบคอบสุขุม จวนจื่อหยางที่ยิ่งใหญ่จำต้องใจแคบกับเทพวารีที่เป็นเพื่อนบ้านด้วยหรือ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องตลกของผู้คน
อู๋อี้หงุดหงิดยิ่งนัก นางตบที่วางแขนเก้าอี้ พูดกับผู้ฝึกตนโอสถทองที่เป็นเจ้าประมุขคนปัจจุบันว่า “ฮูหยินเซียวหลวนผู้นี้ไม่ได้หน้าใหญ่ขนาดที่จะทำให้ข้าออกไปต้อนรับนางด้วยตัวเองได้ หวงฉู่ เจ้าออกไปพบนาง ดูสิว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่ หากพูดจาไม่เข้าหู หรือมีเรื่องจะขอร้องให้ช่วยแต่ให้ราคาต่ำเกินไปก็จับโยนไปไว้ในคุกน้ำ หากพูดจานอบน้อมมากพอ หรือไม่ก็ให้ราคาที่เป็นธรรม ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงแลกเปลี่ยนกับนางซะ แม้ว่ากิจการของจวนจื่อหยางจะใหญ่โต แต่ใครเล่าที่ไม่ชอบเงิน หากพูดคุยกันถูกคอ คืนนี้ก็สามารถเชิญให้นางเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายเฉินได้ จำไว้ว่าที่นั่งของนาง…อืม ให้อยู่ติดกับประตูใหญ่ที่สุดก็แล้วกัน”
หวงฉู่เจ้าประมุขจวนจื่อหยางกุมหมัดรับคำสั่ง
เส้นสายตาของอู๋อี้กวาดมองไปบนร่างของทุกคน พูดด้วยรอยยิ้มคลุมเครือว่า “ตอนที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าทำอย่างไร ข้าจะไม่สนใจก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าอยู่ในจวนจื่อหยาง หากพวกเจ้ากล้าทำอะไรโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง นั่นก็เท่ากับว่าเห็นข้าเป็นคนโง่”
หวงฉู่เจ้าประมุขที่เดิมทีมีความคิดสกปรกอยู่เสี้ยวหนึ่ง เพราะฮูหยินเซียวหลวนเทพวารีมีชื่อเสียงด้านความงามเลื่องลือไกล เขาปรารถนาในความงามของนางมาเนิ่นนานแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่วิชาสองผสานของเทพวารีท่านนี้สามารถบำรุงจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนได้อย่างดีเยี่ยม หากกักขังนางไว้ในคุกน้ำ ค่อยๆ ลับความแหลมคมของนาง รอจนวันใดที่บรรพาจารย์ไปจากจวนจื่อหยาง เจ้าประมุขอย่างเขาจะยังไม่ได้ทุกอย่างตามที่ต้องการอีกหรือ? เพียงแต่ว่าคำพูดประโยคนี้ของอู๋อี้ทำให้เขาหวาดผวาพรั่นพรึง ตกใจจนชาไปทั้งหนังศีรษะ รีบก้มหน้าประสานมือกล่าวว่า “หวงฉู่มีหรือจะกล้าทรยศต่อพระคุณที่บรรพจารย์ช่วยอบรมปลูกฝัง มีหรือจะกล้ารนหาที่ตายเช่นนี้?!”
อู๋อี้หน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไรอีก
หวงฉู่ค่อยๆ ถอยออกมาจากโถงเจี้ยนชื่อ พอเดินออกมาแล้ว เหงื่อก็แตกพลั่กท่วมร่าง
คนอื่นๆ ที่เหลือก็ทยอยกันออกไป แต่ละคนต่างก็รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
อู๋อี้พลันขมวดคิ้ว ยื่นมือออกมาคว้าประกายแสงเส้นหนึ่งที่แหวกอากาศตรงเข้ามาหา นั่นคือกระบี่บินส่งข่าวที่สามารถมองข้ามค่ายกลจวนจื่อหยางได้อย่างสิ้นเชิง
วิธีการที่น่าตะลึงเช่นนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าต้องเป็นฝีมือของท่านบิดาที่ไปเป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอะไรนั่นแน่นอน
อ่านเนื้อหาในจดหมายเรียบร้อยแล้ว อู๋อี้ก็นวดคลึงหว่างคิ้วเพราะปวดหัวอย่างยิ่ง อีกทั้งยังรู้สึกเดือดดาลอย่างที่แทบจะระงับไม่อยู่
นางตบที่พักแขนของบัลลังก์มังกรที่ทำจากไม้จื่อถ่านจนแตกละเอียด
ตนเกรงใจมากพอแล้ว ยังจะให้ต้อนรับขับสู้อย่างกระตือรือร้นถึงขนาดไหนอีก?
หรือจะต้องยกเฉินผิงอันผู้นั้นขึ้นบูชาประดุจบรรพบุรุษของตัวเอง?
เพียงแต่พอคิดถึงสีหน้ามืดทะมึนของบิดา สุดท้ายอู๋อี้ที่สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างก็ถอนหายใจยาวเหยียด ช่างเถิด ก็แค่ต้องอดทนวันสองวันเท่านั้น
……
สีสนธยาเยื้องกรายมาเยือน ตลอดทั้งตำหนักจื่อชี่จุดไฟสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
คืนนี้จวนจื่อหยางจัดงานเลี้ยงใหญ่ สถานที่คือโถงเซวี่ยหมางในตำหนักจื่อชี่ที่เอาไว้ใช้ต้อนรับแขกสูงศักดิ์อันดับหนึ่ง
ฮูหยินเซียวหลวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่พาสาวใช้และพวกซุนเติงเซียนสามคนเดินตามผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยคนหนึ่งของจวนจื่อหยางมุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงที่โถงเซวี่ยหมาง
พูดคุยธุระกันเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมฮูหยินเซียวหลวนถึงได้รู้สึกว่าเจ้าประมุขหวงฉู่ค่อนข้างจะระมัดระวังตัว ไม่มีมาดฮึกเหิมสง่างามอย่างเวลาที่ไปเผยตัวตามจวนตระกูลเซียนแห่งต่างๆ ในอดีต
ที่พักของพวกเขาถูกหวงฉู่จัดไว้ในแถบที่ค่อนข้างห่างไกลของจวนจื่อหยาง ไม่มีทางจะได้มาพักอยู่ในตำหนักจื่อชี่ซึ่งเป็นเรือนส่วนตัวของอู๋อี้แห่งนี้ อีกทั้งยังมีแค่ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตสามซึ่งเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งของจวนจื่อหยางคอยรับผิดชอบอาหารและที่พักของพวกเขา ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ผู้ฝึกตนขอบเขตสามเล็กๆ ผู้นี้ก็ยังไม่ทำสีหน้าดีๆ ให้เจ้าแม่เทพวารีของแม่น้ำใหญ่ได้เห็น จวนจื่อหยางก็เป็นดั่งร้านใหญ่ไม่แยแสลูกค้า ความเย่อหยิ่งหัวสูงที่แผ่ออกมาจากส่วนลึกของกระดูกเช่นนั้น เห็นได้ชัดเจนเพียงมองแค่ปราดเดียว
นอกจากฮูหยินเซียวหลวนแล้ว ตอนนั้นสาวใช้และบุรุษทั้งสามต่างก็มีสีหน้าไม่น่ามองนัก มีเพียงฮูหยินเซียวหลวนที่มีสีหน้าสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา
เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ยิ่งเกินจะทนรับ ทำให้สาวใช้และพวกซุนเติงเซียนไม่อาจตีหน้านิ่งเฉยได้อีกต่อไป แต่ละคนต่างก็แค่นเสียงเย็นชาออกจากลำคอ
หลังจากผู้ฝึกตนขอบเขตสามคนนั้นเดินผ่านประตูใหญ่ของตำหนักจื่อชี่มาอย่างระมัดระวังแล้ว ทุกก้าวที่เดินรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ข่าวลือเกี่ยวกับตำหนักจื่อชี่ล้วนทำให้คนเกิดความเคารพยำเกรง ผลกลับกลายเป็นว่าเดินไปได้ครึ่งทาง นางก็บอกทางคร่าวๆ ให้กับแขกกลุ่มนั้นแล้วบอกว่าให้ฮูหยินเซียวหลวนไปที่โถงเซวี่ยหมางด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรที่นั่งของนางก็หาได้ง่าย เพราะอยู่ติดกับประตูใหญ่
ฮูหยินเซียวหลวนเอ่ยปลอบใจทุกคนอยู่สองสามคำ แต่ก็ไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนเดินนำไปข้างหน้า
พอเดินอ้อมกำแพงบังตาก็ไปเจอเข้ากับกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งในระเบียงยาว
ซึ่งก็คือพวกเฉินผิงอันสี่คน ก่อนหน้านี้มีผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งไปเชิญเฉินผิงอันด้วยตัวเอง แต่เฉินผิงอันถามทางเรียบร้อยแล้วก็บอกว่าไม่รบกวนให้ท่านผู้อาวุโสช่วยนำทาง เดี๋ยวตนเดินทางไปเองก็พอ เดิมทีผู้ฝึกตนเฒ่าแห่งจวนจื่อหยางที่มีอำนาจใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างทุกคนอยากจะยืนกราน แต่พอนึกถึงคำพูดของบรรพจารย์ในโถงเจี้ยนชื่อก่อนหน้านี้ รวมไปถึงสิ่งที่ตนขบคิดออกมาได้ก็รู้สึกว่าควรจะอิงตามความต้องการของคุณชายเฉินผู้นี้จะดีกว่า จึงเอ่ยลาและหมุนตัวไปทำธุระของตัวเองต่อ
ทั้งสองฝ่ายมาเจอกันตรงจุดตัดของระเบียงสองเส้นพอดี
เฉินผิงอันจึงเป็นฝ่ายหยุดเดิน เปิดทางให้ฮูหยินเซียวหลวนเดินนำไปก่อน
ฮูหยินเซียวหลวนผงกศีรษะพลางคลี่ยิ้มน้อยๆ ถือเป็นการขอบคุณในความมีมารยาทของคนแปลกหน้าผู้นี้
คนหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่ยาวคนหนึ่งที่อยู่ในตำหนักจื่อชี่?
ฮูหยินเซียวหลวนไม่ได้คิดอะไรมาก
ทว่าสาวใช้ของนางกลับเหลือบมองเฉินผิงอันซ้ำอีกรอบ โอ้โห ตรงเอวยังห้อยกาเหล้าสีชาดเล็กๆ ไว้ใบหนึ่งด้วยนะ
มองดูคล้ายเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลฝ่ายในของจวนจื่อหยาง แต่ทำไมถึงไม่มีท่าทางโอหังเหมือนพวกผู้ฝึกตนจวนจื่อหยางเลยเล่า?
ซุนเติงเซียนที่เดินอยู่ด้านหลังสุดกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ยิ่งนัก จึงไม่ทันได้สนใจกลุ่มของเฉินผิงอัน
แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินคนตะโกนขึ้นว่า “จอมยุทธใหญ่?!”
ซุนเติงเซียนไม่ได้สนใจ ยังคงเดินหน้าต่อไป
แต่คนผู้นั้นยังพูดต่อว่า “จอมยุทธใหญ่! พวกเราเคยพบกันมาก่อนที่หน้าวัดร้างเทือกเขาสันตะขาบ”
ซุนเติงเซียนอึ้งตะลึง หยุดฝีเท้า หันหน้ากลับไปมองก็เห็นคนหนุ่มชุดขาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสคนนั้น “เจ้าคือ?”
เฉินผิงอันเดินเร็วๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าซุนเติงเซียน ยิ้มกล่าวว่า “จอมยุทธใหญ่ยังจำได้หรือไม่ว่าตอนที่อยู่วัดร้าง ข้ามีเด็กสองคนอยู่ด้วย คนหนึ่งสวมชุดเขียว คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงชมพู หลังจากพวกท่านกำจัดปีศาจปราบมารแล้ว จอมยุทธใหญ่ยังหวังดีเตือนข้าว่าให้ระวัง ไม่ใช่คนบนภูเขาทุกคนที่จะไม่ถือสาคนที่มีปีศาจเดินทางอยู่ข้างกาย”
ซุนเติงเซียนพลันกระจ่างแจ้ง เขาหัวเราะร่าเสียงดัง “อ้อ ที่แท้ก็คือเจ้านี่เอง!”
เฉินผิงอันเกาหัว รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “สองปีมานี้ข้าโตเร็ว แล้วก็เปลี่ยนการแต่งตัวใหม่ จอมยุทธใหญ่จำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ”
ซุนเติงเซียนตบลงบนไหล่ของเฉินผิงอันหนักๆ “เจ้าเด็กนี่ ไม่เลวๆ! มีชื่อเสียงใหญ่แล้ว ถึงขนาดได้มาดื่มเหล้าในตำหนักจื่อชี่! อีกเดี๋ยวที่นั่งของพวกเราคงห่างกันไม่ไกลนัก ถึงเวลานั้นพวกเรามาดื่มร่วมกันดีๆ สักสองจอก”
เฉินผิงอันอารมณ์ดียิ่งนัก พยักหน้ารับบอกว่าตกลง
ปีนั้นตอนที่อยู่เทือกเขาสันตะขาบ ชายฉกรรจ์ท่านนี้ถือดาบเล่มเล็กสีเงิน ร่วมกับสหายไล่จับสตรีวัยกลางคนหน้าตางดงามที่จำแลงร่างมาจากปีศาจจิ้งจอก และยังเกือบจะทะเลาะกับลูกหลานขุนนางที่ออกมาหาประสบการณ์ในยุทธภพ สุดท้ายชายฉกรรจ์ก็กำราบปีศาจจิ้งจอกที่จิตใจอำมหิตตนนั้นได้ ดูเหมือนว่าปีศาจจิ้งจอกจะเรียกตัวเองว่าฮูหยินชิงหยา
สำหรับการพบเจอกันโดยบังเอิญครั้งนั้น เฉินผิงอันจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
ถึงขั้นพูดได้ว่าเฉินผิงอันที่มีความเข้าใจอันพร่าเลือนต่อยุทธภพได้รู้ว่าอะไรคือจอมยุทธ ทำไมต้องกำจัดปีศาจปราบมาร ควรจะมองยุทธภพที่เต็มไปด้วยความอันตรายชั่วร้ายอย่างไร ก็ล้วนมีจุดกำเนิดมาจากการพบกันโดยบังเอิญและการยืนชมเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ไม่นึกว่าจะได้มาพบกับชายฉกรรจ์ที่ลงมือได้อย่างรวดเร็วฉับไวคนนั้นได้ในจวนจื่อหยางแห่งนี้ เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจระคนดีใจอย่างยิ่ง
เพียงแต่มีแค่เฉินผิงอันคนเดียวที่ดีใจ
เพราะเผยเฉียนกลับเบิกตากว้าง
มองฝ่ามือนั้นที่ตบลงบนไหล่เฉินผิงอันของผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่ไม่รู้ว่าเป็นหอมต้นไหนของแคว้นหวงถิง
ภาพนี้ทำเอาจูเหลี่ยนที่ได้เห็นยิ้มบางๆ สือโหรวก็ยิ่งหนังตากระตุก ในใจนางคิดว่าหากชุยตงซานอยู่ที่นี่ คาดว่าผู้ฝึกยุทธบุ่มบ่ามที่ตาไร้แววผู้นี้ มีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนว่าต้องตายแน่แล้ว
ฮูหยินเซียวหลวนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าซุนเติงเซียนก็ได้ยินความเคลื่อนไหวด้านหลัง พวกเขาพากันหยุดเดิน ซุนเติงเซียนหันหน้าไปมองพวกเขาแล้วคลี่ยิ้มกว้างแนะนำเฉินผิงอันให้รู้จัก “น้องชายผู้นี้ก็คือเด็กหนุ่มคนนั้นที่ข้าเคยเล่าให้พวกเจ้าฟัง อายุยังน้อยแต่ปณิธานหมัดกลับไม่ธรรมดา ความกล้าหาญก็ยิ่งมีมากกว่า ปีนั้นมีตบะวิถีวรยุทธแค่ขอบเขตสามสี่ก็กล้าพาปีศาจน้อยสองตัวออกมาท่องยุทธภพ แต่เมื่อเทียบกับพวกหมอนปักลายบุปผาที่เป็นลูกหลานขุนนางเหล่านั้นแล้ว จอมยุทธน้อยคนนี้มีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชนกว่ามากนัก…”
แม้ว่าบนใบหน้าของฮูหยินเซียวหลวนที่มีบุคลิกเรียบร้อยสุภาพ รูปโฉมงดงามโดดเด่นจะมีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นอีกครั้ง แต่สาวใช้ที่อยู่ข้างกายนางได้ใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่ซุนเติงเซียนว่าเลิกอืดอาดได้แล้ว รีบไปร่วมงานเลี้ยงที่โถงเซวี่ยหมาง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน
ผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เสี่ยวซุน พวกเจ้าเดินพลางคุยกันไปได้”
ซุนเติงเซียนไม่ใคร่จะพอใจสักเท่าไหร่ ยังดีที่เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “รีบไปร่วมงานเลี้ยงสำคัญกว่า จอมยุทธใหญ่แซ่ซุนหรือ? ข้าแซ่เฉินนามผิงอัน จอมยุทธใหญ่ซุนเรียกข้าว่าเฉินผิงอันก็แล้วกัน”
เดิมทีซุนเติงเซียนก็เป็นจอมยุทธที่มีนิสัยโผงผางใจกว้างอยู่แล้ว จึงไม่เกรงใจ “ได้ งั้นก็เรียกเจ้าว่าเฉินผิงอัน”
ฮูหยินเซียวหลวนเร่งรุดเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง
ซุนเติงเซียนที่อยู่ด้านหลังจึงเริ่มพูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างกระตือรือร้น
เดินไปถึงสุดปลายระบียงก็มีเสียงตวาดดังขึ้นว่า “พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่? หรือต้องให้บรรพจารย์และเจ้าประมุขของพวกเรารอให้พวกเจ้าไปถึงก่อนถึงจะเริ่มงานเลี้ยงได้? ฮูหยินเซียวหลวน เจ้าช่างมีมาดใหญ่โตซะจริง!”
ผู้ที่ออกเสียงก็คือผู้ดูแลฝ่ายในคนหนึ่งของจวนจื่อหยางที่เดินเลี้ยวมาถึงสุดปลายระเบียงอย่างเร่งร้อน สีหน้าของเขาเย่อหยิ่งอย่างถึงที่สุด ไม่เห็นเทพวารีท่านหนึ่งอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
หลังจากผู้ดูแลคนนั้นตวาดสั่งสอนแล้วก็หมุนตัวเดินนำไปด้วยสีหน้าดำทะมึน “รีบตามมา ชักช้าอืดอาดซะจริง!”
ตอนที่ผู้ดูแลคนนั้นหมุนตัวเดินไป ฮูหยินเซียวหลวนพลันหรี่ตาลง พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งที ก่อนที่สีหน้าจะกลับคืนมาเป็นปกติ
ซุนตงเซียนสบถด่ามารดาอีกฝ่ายเบาๆ หนึ่งที
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร
ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทั้งหมดของจวนจื่อหยางมารวมตัวกันที่โถงเซวี่ยหมางแล้ว
เมื่อฮูหยินเซียวหลวนเดินมาถึงนอกประตูใหญ่ของโถงก็ชะลอฝีเท้าลง เพราะนางรู้สึกเย็นสันหลังวาบ
ผู้ดูแลคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ถลึงตาใส่เจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่อย่างดุดัน กดเสียงต่ำพูดว่า “ยังไม่รีบเข้าไปนั่งอีก!”
ฮูหยินเซียวหลวนสีหน้าไร้อารมณ์ เดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ด้านหลังคือสาวใช้และสหายในยุทธภพสองคนนั้น สำหรับเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ ผู้ดูแลยังมีอารมณ์อยากจะเอ่ยเหน็บแนมสักคำสองคำ แต่กับพวกคนด้านหลังที่เทียบไม่ได้แม้แต่ผายลมนั้น เขามีเพียงเสียงหัวเราะหยันเย็นชาให้
เพียงแต่ว่าพอเขาเห็นซุนเติงเซียนที่มีท่าทางสนิทสนมกับคนผู้หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ดูแลคนนี้พลันแข็งค้าง หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม
ซุนเติงเซียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก ได้แต่เดินก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูไป
เฉินผิงอันที่เดินเข้าไปในโถงเซวี่ยหมางช้ากว่าหนึ่งก้าววางสีหน้าเป็นปกติ
บทที่ 423.1 ค่ำคืนฝนพรำในยุทธภพ
ฮูหยินเซียวหลวนสี่คนนั่งลงประจำตำแหน่ง และที่นั่งของพวกนางก็อยู่ติดกับธรณีประตูใหญ่ของโถงเซวี่ยหมางจริงๆ เหมาะแก่การชมทัศนียภาพนอกประตูอย่างยิ่ง
สาวใช้ประจำตัวของฮูหยินเซียวหลวน นางที่ภูตผีพรายน้ำทั้งหมดในเขตการปกครองแม่น้ำป๋ายกู่ซึ่งกินอาณาเขตแปดร้อยลี้ล้วนพากันเรียกขานอย่างยกย่องว่าเทพน้ำน้อย เมื่อมาอยู่ที่จวนจื่อหยางกลับไม่มีแม้แต่ที่นั่ง
สาวใช้จึงได้แต่ยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินเซียวหลวน สีหน้านิ่งสนิทดุจน้ำค้างแข็ง
นับตั้งแต่จมน้ำตายกลายมาเป็นผีพราย ระยะเวลาสองร้อยปี จากทูตลาดตระเวนของจวนเทพวารีป๋ายกู่ที่ฮูหยินเซียวหลวนช่วยเลื่อนตำแหนงให้ทีละก้าว ภูตผีปีศาจและผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างทุกคนที่อาละวาดก่อกวนในอาณาเขต นางสามารถสังหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง เคยหรือที่จะถูกหมิ่นเกียรติเช่นนี้ การมาเยือนจวนจื่อหยางครั้งนี้ นับว่าความมีหน้ามีตาที่นางสะสมมาสองร้อยกว่าปีล้วนถูกโยนทิ้งลงพื้นทั้งหมด ถึงอย่างไรอยู่ในจวนจื่อหยางแห่งนี้ก็อย่าหวังว่าจะเก็บกลับคืนมาได้
ยังดีที่นางติดตามอยู่ข้างกายฮูหยินเซียวหลวนมานานจึงถูกกล่อมเกลาให้รู้จักหนักเบา ไม่จำเป็นต้องให้ฮูหยินเตือน นางก็ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอยู่ก่อนแล้ว พยายามทำให้สีหน้าของตัวเองดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่กล้าเผยความไม่พอใจออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว ก่อนหน้านี้หลังจากฮูหยินพูดคุยธุระสำคัญกับหวงฉู่เจ้าประมุขคนปัจจุบันของจวนจื่อหยางเรียบร้อยแล้ว อารมณ์ของฮูหยินก็ยังคงไม่ผ่อนคลาย นางเอ่ยเตือนพวกเขาสี่คนว่า หากยังไม่โดยสารเรือกลับไปถึงจวนเทพวารีก็ยังมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นขอให้ทุกคนโปรดอดทนกันอีกนิด
ตอนนั้นฮูหยินเซียวหลวนค่อนข้างละอายใจ สีหน้าทุกข์ตรม ในคำพูดของนางถึงขั้นแฝงไว้ด้วยแวววิงวอนขอร้องเสี้ยวหนึ่ง ทำเอาสาวใช้ปวดแปลบในใจ เกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา
เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม การแต่งกายหรือท่านั่งของฮูหยินเซียวหลวนก็แทบไม่มีข้อตำหนิ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่หม่นหมองไม่แจ่มใส
นางสามารถเฝ้าบัญชาการณ์แม่น้ำป๋ายกู่ ใช้แผนกลยุทธทางการเมืองขยายแม่น้ำป๋ายกู่ที่แต่เดิมมีแค่หกร้อยลี้ให้ยาวไปเกือบเก้าร้อยลี้ อำนาจใหญ่ที่นางกุมไว้ในมือเหนือกว่าขุนนางใหญ่ในแคว้นศักดินาของราชสำนักในโลกมนุษย์เสียอีก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาหลายแห่งของแคว้นหวงถิง รวมไปถึงปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์อย่างซุนเติงเซียน แน่นอนว่าไม่ได้อาศัยแค่การรบราฆ่าฟันอย่างเดียวเท่านั้น
นางคือคนกลุ่มแรกในสองกลุ่มที่เดินก้าวเข้ามาในโถงจัดงานเลี้ยง ห้องโถงที่อัดเต็มไปด้วยโต๊ะที่นั่ง มีเทพเซียนมารวมตัวกันอยู่เนืองแน่น มีเพียงตำแหน่งสองแห่งเท่านั้นที่ว่างเปล่า แขกจากจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่รวมถึงตัวนางด้วยนั้น ในเมื่อได้รับแจ้งมาแต่แรกแล้วว่าที่นั่งคือตำแหน่งห่างไกลใกล้กับธรณีประตูมากที่สุด ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งฝั่งซ้ายมือที่สูงศักดิ์ที่สุดซึ่งรองลงมาจากตำแหน่งประธานที่เว้นว่างอยู่จะเก็บไว้ให้ใคร ฮูหยินเซียวหลวนแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว
แล้วก็จริงดังคาด เห็นว่าเฉินผิงอันเดินเข้ามาในโถงเซวี่ยหมาง อู๋อี้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานอย่างเกียจคร้าน บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาของจวนจื่อหยางที่ไม่แม้แต่จะปรายตามองหน้าฮูหยินเซียวหลวน
กลับลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม เดินลงมาจากบันได ตรงรี่เข้าหาพวกเฉินผิงอัน คล้องแขนเฉินผิงอันไว้แล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “คุณชายเฉินยังไม่มาถึงโถงเซวี่ยหมาง พวกเราก็ไม่กล้าเริ่มงานเลี้ยงก่อนโดยพลการ”
เฉินผิงอันที่ปณิธานหมัดทั่วร่างผสานรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ อยู่ดีๆ แขนกลับถูกสตรีแปลกหน้าคล้องไว้พลันตัวแข็งทื่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วก็ไม่อาจปฏิเสธท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมของอู๋อี้ต่อหน้าทุกคนที่กำลังจับตามองได้ จึงรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกตนใหญ่ของจวนจื่อหยางซึ่งรวมถึงเจ้าประมุขหวงฉู่ แต่ละคนจิตใจไหวเอนไม่หยุดนิ่ง ยิ่งรู้สึกว่าคนหนุ่มแปลกหน้าแซ่เฉินผู้นี้ อาจจะเป็นคู่รักของบรรพจารย์ แต่ความเป็นไปได้ข้อนี้มีไม่มากเลยจริงๆ ถึงอย่างไรนับตั้งแต่ที่บรรพจารย์สร้างจวนจื่อหยางขึ้นมาก็ไม่เคยมีคู่บำเพ็ญตนมาก่อน บรรพจารย์หลงใหลอยู่กับมหามรรคา สำหรับความรักฉันท์ชายหญิงแล้ว นางไม่เคยมีความสนใจ หรือว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลีบางคนที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่?
หาไม่แล้วการแสดงออกแต่ละอย่างของอู๋อี้ในงานเลี้ยงครั้งนี้ก็ออกจะผิดแผกแปลกประหลาดเกินไปหน่อย
โชคดีที่หลังจากอู๋อี้พาเฉินผิงอันมาถึงที่นั่งแล้ว นางก็ปล่อยมือออกอย่างเป็นธรรมชาติ เดินตรงไปที่ตำแหน่งประธานแล้วนั่งลง ยังคงมีท่าทางโปรดปรานใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินผิงอันดังเดิม พูดด้วยเสียงอันดังว่า “คุณชายเฉิน อย่างอื่นในจวนจื่อหยางของเราไม่ต้องพูดถึง ทว่าเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอนี้มีชื่อเสียงระบือไกลไปสี่ทิศ ไม่ใช่แค่คำยกยอโอ้อวดตนเองเท่านั้น ต่อให้เป็นฮ่องเต้สกุลเกาเกอหยางต้าสุยก็ยังเคยมาขอร้องสกุลหงแคว้นหวงถิงเป็นการส่วนตัวว่าขอให้จวนจื่อหยางของพวกเราส่งไปให้ปีละหกสิบไห ตอนนี้เหล้าเตรียมมาวางรอไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เมื่อดื่มหมดแล้วจะมีคนยกมาเติมให้ใหม่ จะไม่มีทางปล่อยให้ถ้วยเหล้าเบื้องหน้าใครว่างเปล่าเด็ดขาด ทุกท่านเชิญดื่มให้เต็มที่ คืนนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับ!”
ผู้ฝึกตนหญิงหน้าตางดงามหลายสิบคนของจวนจื่อหยาง สาวใช้ที่ทำหน้าที่ยกสุราวางอาหารสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสใหม่เอี่ยมเดินกรูกันออกมาจากสองฝากฝั่งของโถงเซวี่ยหมาง ประหนึ่งผีเสื้อหลากหลายสีสันกางปีกบิน สดใสสะดุดตายิ่งนัก
อู๋อี้ลุกขึ้นยืนแล้วชูจอกหล้าขึ้น “จอกแรกนี้ขอดื่มคารวะให้คุณชายเฉินที่มาเยือนจวนจื่อหยางของพวกเรา ทำให้จวนของพวกเราสว่างสดใสเรืองรองขึ้นอีกหลายเท่า!”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ได้แต่ลุกขึ้นยืนตามไปด้วย พร้อมใจกันชูจอกเหล้า หันไปดื่มคารวะให้กับเฉินผิงอัน
ในแคว้นหวงถิง นี่เรียกว่าหน้าใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า
เกรงว่าต่อให้ฮ่องเต้สกุลหงเสด็จมาเยือนตำหนักจื่อชี่ด้วยตัวเองก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะทำให้อู๋อี้เอ่ยประโยคเช่นนี้ได้
หลังจากที่พวกเฉินผิงอันนั่งประจำที่แล้ว ซุนเติงเซียนยังไม่ทันคืนสติ นั่งเหม่ออยู่ตรงที่นั่งของตัวเอง ยังดีที่ถูกสหายเหยียบเท้าหนึ่งที ถึงได้รีบร้อนลุกขึ้นยืน
เฉินผิงอันได้แต่เอ่ยขอบคุณแล้วกระดกดื่มรวดเดียวหมด
โต๊ะตัวเล็กจิ๋วกะทัดรัดที่วางอยู่ด้านหน้าเผยเฉียนก็มีเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอวางไว้สองกาเช่นกัน แต่ทางจวนจื่อหยางเอาใจใส่ดีเยี่ยม เตรียมเหล้าผลไม้รสชาติหอมหวานสดชื่นไว้ให้แม่หนูน้อยกาหนึ่ง ทำให้เผยเฉียนที่ลุกขึ้นยืนชูจอกเหล้าเบิกบานใจสุดขีด
จวนจื่อหยางเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ
เผยเฉียนตัดสินใจแล้วว่าวันหน้านางจะต้องพร่ำพูดอยู่ข้างหูอาจารย์ว่าให้มาเป็นแขกที่จวนจื่อหยางบ่อยๆ แม้ว่าอู๋อี้ผู้นี้จะหน้าตาไม่งดงามนัก เมื่อเทียบกับหวงถิงหรือเหยาจิ้นจือแล้วจะดูป่าเถื่อนกว่าเยอะมาก แต่กลับนิสัยดี ต้อนรับแขกอย่างกระตือรือร้น หาข้อบกพร่องไม่ได้แม้แต่น้อย! ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องให้อาจารย์แต่งนางเข้าบ้านมาเป็นอาจารย์แม่ของนาง หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่สำคัญหรอก
หลังจากนั้นอู๋อี้กลับไม่ได้ใส่ใจเฉินผิงอันมากนัก ปล่อยให้งานเลี้ยงดำเนินไปเหมือนการฉลองของตระกูลเซียนบนภูเขาธรรมดาเท่านั้น
อาหารเลิศรสหลากหลายสีสันที่หายากล้ำค่าซึ่งถูกยกมาด้วยมือของผู้ฝึกตนหญิงเรือนกายสะโอดสะองดุจผีเสื้อหลากสีพากันเปล่งประกายแสงตัดสลับละลานตาอยู่ในโถงเซวี่ยหมาง
ไม่เสียแรงที่เจ้าประมุขหวงฉู่คือมือวางอันดับสองของจวนจื่อหยางที่รับผิดชอบเป็นหน้าเป็นตาให้ทางสำนัก เขาเป็นคนที่รู้จักพูด ในงานนี้ก็เป็นคนนำขบวนดื่มคารวะอู๋อี้ เอ่ยประโยคน่าฟังที่ไหลรื่นดุจไข่มุก พาให้คนทั้งห้องโถงกู่ร้องชอบใจ
อู๋อี้พูดไม่มาก แต่เมื่อเทียบกับท่าทียามอยู่ในงานเลี้ยงของจวนจื่อหยางในอดีตแล้ว วันนี้นางกลับน่าเข้าใกล้กว่าเยอะมาก ราวกับเป็นคนละคน ยังเป็นฝ่ายเล่าเรื่องน่าสนใจบนภูเขาสองสามเรื่อง ทุกคนในจวนจื่อหยางย่อมพากันหัวเราะเสียงดังไม่ขาดสาย อันที่จริงอู๋อี้มีนิสัยไม่ชอบหัวเราะพูดคุย หากเปลี่ยนมาเป็นหวงฉู่ที่เป็นคนเล่าเรื่องเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจไม่ด้อยไปกว่านักเล่านิทานเลย แต่พอหลุดออกมาจากปากของอู๋อี้ เฉินผิงอันฟังแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ตลกเลยสักนิด ทว่าผู้คนที่ส่งเสียงหัวเราะในโถงเซวี่ยหมางกลับมีท่าทางจริงใจยิ่ง สีหน้าแต่ละคนเป็นธรรมชาติไม่น้อยหน้ากันเลย
บางทีนี่ก็คงจะถือว่าเป็นยุทธภพกระมัง
อันที่จริงครั้งแรกที่เฉินผิงอันรู้สึกเช่นนี้ ยังคงเป็นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ล่องลอยเหมือนภาพมายาแห่งนั้น หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลงก็ได้พบกับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนที่เหลาสุราโดยบังเอิญ
ฮูหยินเซียวหลวนถือจอกเหล้าไว้ในมือ ลุกขึ้นยืนช้าๆ
ทุกคนหยุดส่งเสียงดังจอแจพร้อมกันราวกับจิตสื่อถึงกันได้ ทันใดนั้นห้องโถงก็เงียบกริบ
ฮูหยินเซียวหลวนยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เซียวหลวนขอเป็นตัวแทนจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ดื่มคารวะบรรพจารย์หยวนจวินหนึ่งจอก”
อู๋อี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่สายตากลับหยุดนิ่งอยู่บนร่างของฮูหยินเซียวหลวน
ท่าทางเช่นนี้เห็นได้ชัดว่านางอู๋อี้ไม่คิดจะให้หน้าจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ และเจ้าเซียวหลวนก็อย่าหวังมาได้หน้าได้ตาที่จวนจื่อหยางแม้แต่เสี้ยวเดียว
ซุนเติงเซียนโมโหจนอกเกือบแตก สองหมัดกำแน่นวางไว้บนโต๊ะ ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
อู๋อี้ชำเลืองหางตามองเฉินผิงอันคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา ฝ่ายหลังกำลังหันหน้าไปพูดเบาๆ กับเผยเฉียน ราวกับกำลังเตือนนังหนูน้อยว่ามาเป็นแขกที่บ้านของคนอื่น จำเป็นต้องนั่งให้สำรวม กินให้สุภาพ อย่าหลงระเริงลืมตน เหล้าผลไม้ไม่ใช่เหล้า จะหาข้ออ้างว่าดื่มจนเมามายเลยไม่คิดสนใจสิ่งใดไม่ได้เผยเฉียนยืดเอวขึ้นตรง แต่กลับโคลงศีรษะพูดกลั้วหัวเราะคิกคักว่ารู้แล้วน่า รู้แล้วน่า ผลคือถูกเฉินผิงอันประเคนมะเหงกให้หนึ่งลูก
อู๋อี้เห็นว่าเฉินผิงอันไม่คิดจะเข้ามามีเอี่ยวด้วยจึงดึงสายตากลับคืนมาอย่างรวดเร็ว อ้าปากหาวหวอด มือหนึ่งจับคอของกาเหล้าที่บรรจุเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอไว้เต็มกาพลางแกว่งมันเบาๆ อีกมือหนึ่งเท้าคาง ถามอย่างเกียจคร้าน “แม่น้ำป๋ายกู่? อยู่ที่ไหน?”
จากนั้นอู๋อี้ก็หันหน้าไปมองหวงฉู่ ถามว่า “ห่างจากจวนจื่อหยางของพวกเราไปไกลเท่าไหร่?”
หวงฉู่รีบลุกขึ้นยืนตอบอย่างนอบน้อม “เรียนท่านบรรพจารย์ จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่แห่งนี้ห่างจากจวนจื่อหยางของพวกเราแค่ระยะทางของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนกางกั้น เป็นระยะทางน้ำสามร้อยลี้”
อู๋อี้แสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “งั้นก็ไม่ไกลน่ะสิ”
ไม่ไกล ก็ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน คำสุภาษิตของชาวบ้านเคยกล่าวไว้ว่าญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง สำหรับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำแล้ว ระยะทางสามร้อยลี้ก็เป็นระยะทางที่สามารถมาถึงได้ในชั่วพริบตา เท่ากับระยะทางเวลาที่คนธรรมดากินข้าวเสร็จแล้วออกมาเดินเล่นเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่กลับวางท่าว่าต่อให้ตายก็ไม่คิดจะไปมาหาสู่กับจวนจื่อหยาง เมื่ออยู่ในสายตาของอู๋อี้ นี่จึงไม่ต่างจากการท้าทายของฮูหยินเซียวหลวน
แต่สำหรับเรื่องนี้ อู๋อี้ก็มีการดีดลูกคิดรางแก้วของตัวเอง ถึงได้ปล่อยให้จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่บุกเบิกขยับขยายพื้นที่โดยที่ไม่เปิดปากสั่งให้ผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยางและศาลจีเซียงลำคลองเถี่ยเชวี่ยนขัดขวาง
ในโถงเซวี่ยหมางที่บรรยากาศกลมเกลียวปรองดองพลันเปี่ยมไปด้วยปราณสังหารดุดัน
ฮูหยินเซียวหลวนใช้สองมือถือประคองจอกเหล้าไว้เบื้องหน้าตัวเองอยู่อย่างนั้น บนใบหน้าที่งามพิลาสไร้ข้อบกพร่องยังคงคลี่ยิ้มหยดย้อยไม่เปลี่ยน “หวังว่าต้งหลิงหยวนจวินจะให้อภัย ถ้าอย่างนั้นข้าเซียวหลวนจะดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”
และในขณะที่ฮูหยินเซียวหลวนยกแขนขึ้น อู๋อี้พลันยื่นฝ่ามือออกมากดลงบนความว่างเปล่าสองที “เซียวหลวน จวนจื่อหยางเล็กๆ ไหนเลยจะรับสุราคารวะจากองค์เทพแม่น้ำท่านหนึ่งได้ หวงฉู่ เจ้าเป็นเจ้าสำนักอย่างไร เซียวหลวนเขาไม่มาเยี่ยมเยียน เจ้าก็ไม่รู้จักเป็นฝ่ายไปเยือนจวนเทพวารีบ้างเลยหรือ? จะต้องให้ฮูหยินเทพแม่น้ำมาพบเจ้าให้ได้? ดูมาดเจ้าประมุขที่เจ้าวางนี่เถอะ สามารถเทียบเคียงกับฮ่องเต้สกุลหงได้แล้ว เร็วเข้า มัวยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบเป็นฝ่ายดื่มคารวะฮูหยินเทพแม่น้ำเข้าสิ ช่างเถิด หวงฉู่เจ้าดื่มลงโทษตัวเองสามจอกก็แล้วกัน”
หวงฉู่ไม่พูดไม่จาก็หันหน้าไปทางฮูหยินเซียวหลวนแล้วยกจอกเหล้าขึ้นดื่มติดๆ สามจอกรวด
บรรยากาศในโถงเซวี่ยหมางตึงเครียดจนแม้แต่เข็มตกก็คงได้ยินกันถ้วนทั่ว
ฮูหยินเซียวหลวนถือจอกเหล้าที่ไม่มีโอกาสได้ดื่มค้างไว้ตลอดเวลา หลังจากก้มตัวลงวางจอกเหล้าแล้วก็ทำท่าทางแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง นางหันไปยกไหเหล้าสองใบที่วางไว้บนโต๊ะของผู้เฒ่าและซุนเติงเซียนที่อยู่ทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวามาวางไว้ตรงหน้าตัวเอง เหล้าสามไหวางเรียงกัน นางยกไหหนึ่งในนั้นขึ้นมา หลังจากเปิดผนึกดินออกก็กอดกาเหล้าหนักประมาณสามจินเอาไว้ พูดกับอู๋อี้ว่า “จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่รับเหล้าคารวะของเจ้าประมุขหวงไปแล้วสามจอก นี่เป็นเพราะใต้เท้าแห่งจวนจื่อหยางเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ไม่ถือสาสตรีอย่างข้าเซียวหลวน แต่ข้าก็อยากจะดื่มสุราลงโทษสามไหเพื่อเป็นการขออภัยต้งหลิงหยวนจวิน ขณะเดียวกันก็ขออวยพรให้หยวนจวินเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน เปิดสำนักให้แก่จวนจื่อหยางได้ในเร็ววัน!”
หลังจากนั้นเซียวหลวนก็จงใจสยบการโคจรของร่างทอง เท่ากับว่าสลายตบะของเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ออก ใช้เรือนกายของผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์ทั่วไปชั่วขณะ แล้วยกเหล้าสามไหดื่มหมดรวดเดียว
ใบหน้าของเซียวหลวนแดงก่ำ นางยกไหเหล้าขึ้นสูงสามครั้ง แหงนหน้ากระดกดื่ม สุราจึงหกเลอะออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ สาบเสื้อตรงหน้าอกของอาภรณ์ชาววังที่งดงามเปียกชื้นเล็กน้อย นางหันหน้ากลับไป ใช้มืออุดปาก
เผยเฉียนอ้าปากกว้าง มองวีรสตรีที่ห้าวหาญผู้นั้นอยู่ไกลๆ หากเปลี่ยนมาเป็นตน อย่าว่าแต่เหล้าสามไหเลย ต่อให้เป็นเหล้าผลไม้ไหเล็กๆ นางก็คงกรอกไม่เข้าท้องแล้ว
นางรีบยกจอกเหล้าขึ้น รินเหล้าผลไม้ให้ตัวเองหนึ่งจอก เตรียมจะยกขึ้นดื่มระงับความตกใจ
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ กับเผยเฉียน “แค่พอประมาณก็พอแล้ว”
บทที่ 423.2 ค่ำคืนฝนพรำในยุทธภพ
อู๋อี้ที่มองประเมินเฉินผิงอันอีกครั้งหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่ยังไม่กล้านั่งแล้วผงกศีรษะให้ “สุราคารวะดื่มแล้ว สุราลงทัณฑ์ก็ดื่มไปไม่น้อย ดีมาก ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าบ้านหลังเดียวกัน วันหน้าจวนเทพวารีของพวกเจ้าก็ถือว่าเป็นญาติกับจวนจื่อหยางของพวกเราครึ่งตัวแล้ว ยามถึงช่วงเทศกาลหรือปีใหม่ก็จำไว้ว่ามาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ แต่ข้าคงต้องขอเตือนฮูหยินเซียวหลวนสักคำว่า วันนี้ที่เจ้ามีโอกาสนี้ล้วนเป็นคุณความชอบของคุณชายเฉิน ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยรึ?”
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินเซียวหลวนผู้นั้นย่ำแย่เต็มที ลมหายใจของนางถี่กระชั้นจนเกิดเป็นทัศนียภาพที่เทือกเขาสลับสล้างขึ้นลง แต่ก็ยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สมควรต้องทำอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าจะดื่มอีกหนึ่งไห ก็อย่างที่ต้งหลิงหยวนจวินกล่าวไว้ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ไม่เมาไม่กลับ! ข้าเซียวหลวนล้วนไม่กล้าผิดต่อฤกษ์งาม ทัศนียภาพน่ามอง สุราเลิศรสและวีรบุรุษ หวังเพียงว่าถึงเวลานั้นหากข้าเมามายแล้วเสียกิริยา หยวนจวินจะไม่หัวเราะเยาะ…”
ระหว่างที่พูดเซียวหลวนก็ยกเหล้าขึ้นมาอีกไห นิ้วที่แกะผนึกดินสั่นเบาๆ อย่างเห็นได้ชัด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน หยิบจอกเหล้ามาไว้ในมือ มองไหเหล้าในมือของเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่อยู่ห่างไปตรงหน้าประตู พอก้มลงมองจอกเหล้าในมือของตัวเองก็หันไปหาอู๋อี้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน ยิ้มกล่าวว่า “หยวนจวิน ข้าดื่มเหล้าไม่เก่ง ไม่สู้ให้ทั้งข้าและเจ้าแม่เทพวารีดื่มกันคนละจอกดีไหม? ไม่อย่างนั้นหากข้าดื่มหนึ่งจอก แต่เจ้าแม่เทพวารีกลับดื่มหนึ่งไห ตามเหตุตามผลแล้วล้วนเป็นข้าที่ทำไม่ถูก วันหน้าหากต้องมารบกวนจวนจื่อหยางอีกครั้ง ยามที่เดินทางผ่านจวนเทพวารีจะได้ไม่ถึงขั้นไม่กล้าไปเยี่ยมเยียนเจ้าแม่เทพวารี”
สายตาของอู๋อี้มืดลึก แกว่งกาเหล้า ยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเฉิน แบบนั้นไม่ได้หรอก เซียวหลวนคารวะข้าสามไห แต่กลับดื่มให้คุณชายแค่จอกเดียว แบบนี้จะนับได้อย่างไร ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทำไม หรือคุณชายเฉินเกิดมีใจนึกรักหยกถนอมบุปผาขึ้นมา? หากเป็นเช่นนั้นก็บังเอิญเลย ใช้สุราเป็นสื่อ ฮูหยินเซียวหลวนของเราอยู่ตัวคนเดียวมานานหลายปีแล้ว คุณชายเฉินผิงอันเองก็เป็นมังกรในกลุ่มคน…”
เฉินผิงอันรีบตัดบทคำพูดของอู๋อี้ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งออกทะเลไปไกล หิ้วไหเหล้าขึ้นมา แกะผนึกดินออก พูดคล้ายขอร้องอู๋อี้ “หยวนจวิน ข้าพูดสู้ท่านไม่ได้ ข้าเองก็น้อมรับการลงโทษ ดื่มสุราลงทัณฑ์ครึ่งไห ที่เหลืออีกครึ่งไหก็ถือซะว่าข้าคารวะเจ้าแม่เทพวารีกลับคืนแล้วกัน”
อู๋อี้พลันหัวเราะเสียงดังลั่น
ดังนั้นในโถงเซวี่ยหมางจึงมีเสียงหัวเราะสะเทือนฟ้าดังขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินผิงอันหันหน้าเข้าหาตำแหน่งประธาน ดื่มหมดรวดเดียวครึ่งไห จากนั้นก็หันหน้าไปทางฮูหยินเซียวหลวน ชูไหเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งกาขึ้นสูง “คารวะเจ้าแม่เทพวารี”
ฮูหยินเซียวหลวนกระดกดื่มสุราหมดไหอีกครั้ง
คราวนี้นางไม่มัวรักษามารยาทอีก รีบนั่งลง หันหน้ากลับไปใช้หลังมืออุดปากไว้แน่น
หลังจากเรื่องวิวาทผ่านไป งานเลี้ยงก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
ผู้ฝึกตนสาวที่สวมชุดสีสันงดงามยุ่งวุ่นวายไม่หยุดมือ
มีคนเริ่มลุกออกจากที่นั่งเพื่อมาดื่มคารวะกันและกันแล้ว
ถึงอย่างไรในจวนจื่อหยางตอนนี้ก็มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางมารวมตัวกัน ในจำนวนนี้มีคนไม่น้อยที่เร่งรุดเดินทางมาจากจวนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับจวนจื่อหยาง ผู้ฝึกตนสองขอบเขตอย่างชมมหาสมุทรและประตูมังกรพิถีพิถันในเรื่องน้ำหยดลงหินมากที่สุด ผู้ฝึกตนที่เรียกได้ว่าฝึกบำเพ็ญตนจนประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงประเภทนี้ หากไม่ได้พบหน้ากันสิบกว่าปีหรือหลายสิบปีก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก หากไปถึงขอบเขตก่อกำเนิดในตำนานก็ยิ่งชื่นชอบความสงบดุจมังกรซ่อนตัวในหมู่เมฆ
สาวใช้ก้มตัวลงลูบแผ่นหลังฮูหยินเซียวหลวนเบาๆ แต่กลับถูกเซียวหลวนสะบัดออก สาวใช้รีบหยุดมือ ยืนนิ่งเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว
ฮูหยินเซียวหลวนที่สายตาปรือปรอยด้วยความเมายิ่งงดงามจับตา โดดเด่นชวนมอง นางพูดกับซุนเติงเซียนเบาๆ ว่า “เติงเซียน ไม่ไปดื่มเหล้ากับสหายของเจ้าสักหน่อยหรือ?”
สีหน้าของซุนเติงเซียนเผยความลำบากใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมามายหรือไม่ ฮูหยินเซียวหลวนเวลานี้จึงดูแตกต่างไปจากสตรีสุภาพเรียบร้อยในเวลาปกติ กลับมีท่าทางออดอ้อนเหมือนสาวน้อย นางกำลังมองซุนเติงเซียนด้วยสีหน้าน่าสงสาร
ซุนเติงเซียนรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาเคารพนับถือเจ้าแม่เทพวารีท่านนี้เพียงอย่างเดียว ไม่ได้มีใจคิดรักใคร่นางแบบชายหญิง แต่ใต้หล้านี้จะมีบุรุษสักกี่คนที่เห็นประกายออดอ้อนอ่อนหวานในดวงตาของคนงามแล้วจะทำใจแข็งเป็นหินได้?
ซุนเติงเซียนจึงได้แต่พยักหน้ารับ ลุกขึ้นหยิบจอกเหล้า เตรียมจะไปดื่มคารวะเฉินผิงอัน
ต่อให้ซุนเติงเซียนจะมีนิสัยพยศเย่อหยิ่ง หากไม่รู้ว่าเฉินผิงอันคือแขกผู้มีเกียรติอันดับหนึ่งของจวนจื่อหยางที่แม้แต่บรรพจารย์อู๋อี้ก็ยังต้องประจบเอาใจ แต่คิดว่าเขาคือจอมยุทธหนุ่มขอบเขตสามสี่ในความทรงจำของปีนั้น ทุกคนมาพบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพ ในเมื่อมีโอกาสกลับมาเจอกันในยุทธภพอีกครั้ง อย่าว่าแต่เฉินผิงอันไม่มาดื่มคารวะเลย เขาซุนเติงเซียนนี่แหละจะเป็นฝ่ายไปชนแก้วกับเขาแล้วชวนคุยเอง แต่ตอนนี้ซุนเติงเซียนกลับรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ความห้าวเหิมหายเกลี้ยงไม่มีเหลือ
แต่ซุนเติงเซียนก็ต้องอึ้งตะลึงอยู่กับที่
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่ผู้นั้นเดินมาพร้อมเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านที่กระโดดโลดเต้นตามมา
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซุนเติงเซียน “จอมยุทธใหญ่ซุน ขอดื่มคารวะท่านหนึ่งจอก”
แม้ว่าก่อนหน้านี้ซุนเติงเซียนจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่พอเฉินผิงอันมาหาถึงที่ ซุนเติงเซียนก็ให้รู้สึกดีใจไม่น้อย แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองมีหน้ามีตา ในที่สุดการเดินทางมาจวนจื่อหยางที่น่าอึดอัดคับข้องใจนี้ก็มีช่วงเวลาที่สบายใจได้บ้าง ซุนตงเซียนคลี่ยิ้มลุกขึ้นยืนเคียงบ่ากับเฉินผิงอัน หลังจากชนแก้วกันแล้ว ต่างคนก็ต่างดื่มเหล้าในจอกของตัวเองจนหมด ตอนที่ชนจอกกัน เฉินผิงอันจงใจลดระดับจอกของตัวเองให้อยู่ต่ำกว่า ซุนเติงเซียนรู้สึกว่าไม่เหมาะเท่าไหร่ จึงลดระดับต่ำตามไปด้วย คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะลดระดับต่ำลงไปอีก ซุนตงเซียนจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
เดิมทีคืนนี้ซุนเติงเซียนก็เอาแต่ดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองด้วยความอัดอั้นจึงเริ่มกรึ่มๆ บ้างแล้ว พอดื่มเหล้าหนึ่งจอกนี้ไปแล้ว คำพูดบางอย่างที่วิ่งมารออยู่ตรงปากก็โพล่งหลุดออกไปทันที “เฉินผิงอัน เจ้าไปเรียนกฎบนโต๊ะสุราพวกนี้มาจากไหน บ้านนอกยิ่งนัก! อีกอย่าง ข้าเองก็รับมารยาทนี้ของเจ้าไม่ไหวหรอก”
ฮูหยินเซียวหลวนลุกขึ้นยืนแล้ว สหายสองคนของจวนเทพวารีซึ่งรวมถึงผู้เฒ่าเห็นว่าซุนเติงเซียนทำตัวเป็นกันเองขนาดนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกายจ้า “จอมยุทธใหญ่ซุน ท่านรับได้ไหวอยู่แล้ว!”
ซุนเติงเซียนอารมณ์ดีทันใด “ก็แค่จับปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งได้ไม่ใช่หรือ เจ้าต้องจดจำไม่ลืมถึงขนาดนี้ด้วยหรือไง?”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดความในใจที่เป็นความรู้สึกซึ่งเขามีต่อยุทธภพ เพียงแต่หยิบเหล้าไหหนึ่งบนโต๊ะข้างๆ ขึ้นมา รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก แล้วก็รินให้ซุนเติงเซียนจนเต็มจอก ยิ้มกล่าวว่า “บนโลกมนุษย์ทางคับแคบ จอกเหล้ากว้าง ขอดื่มกับจอมยุทธใหญ่ซุนอีกจอก!”
คนทั้งสองยังคงดื่มเหล้าในจอกรวดเดียวหมด ซุนเติงเซียนหัวเราะอย่างเบิกบาน “เจ้าตัวดี ความสามารถในการชวนดื่มมีไม่น้อยเลยนี่นา!”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี ก่อนหน้านี้ดื่มเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอฤทธิ์แรงไปรวดเดียวหนึ่งไห ใบหน้าของเขาจึงแดงก่ำแล้วเช่นกัน
ครั้นแล้วก็บอกลาซุนเติงเซียน ไม่ได้โอภาปราศรัยกันนานนัก
ยิ่งไม่ได้พูดคุยกับเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ผู้นั้นเลยแม้แต่คำเดียว
ก่อนที่เฉินผิงอันจะจากไป เขาหันไปมองทางประตูใหญ่แวบหนึ่ง
ผู้ดูแลที่ได้แต่เฝ้าอยู่นอกธรณีประตูมองมาทางเฉินผิงอันและฮูหยินเซียวหลวนตาปริบๆ ตลอดเวลา พอเห็นสายตาเฉินผิงอันที่มองมา เขาก็รีบก้มหน้าค้อมตัวลงต่ำทันที
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยกจอกเหล้าที่ว่างเปล่าในมือขึ้นสูง แล้วถึงได้ย้อนกลับไปที่นั่ง
พอได้รับสัญญาณนี้ ผู้ดูแลที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่นานก็ดีใจจนแทบจะน้ำตาไหล
ฮูหยินเซียวหลวนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะก้มหน้าลงต่ำ เช็ดคราบเหล้าที่เปื้อนสาบเสื้อเบาๆ พ่นลมหายใจขุ่นมัวและกลิ่นสุราออกมา
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการดื่มสุราลงทัณฑ์อย่างเอาเป็นเอาตายนี้ก็คือ ต่อให้เจ้าอยากจะดื่มลงโทษตัวเองสักกี่ร้อยกี่พันจิน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ให้โอกาสเจ้าได้ดื่มแม้แต่สองสามจิน
สาวใช้มองแผ่นหลังที่จากไปไกลของคนหนุ่มผู้นั้น หลังจากขบคิดใคร่ครวญแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจ
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ถามอย่างใคร่รู้ “ตาแก่นั่นใช้ตาสุนัขมองคนอื่นต่ำต้อย อาจารย์ท่านไม่โกรธหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีอะไรให้ต้องโกรธกันเล่า”
เผยเฉียนถามเสียงเบา “เพราะอาจารย์หวังดีต่อพวกจอมยุทธใหญ่ซุนสินะ”
เฉินผิงอันตบศีรษะนางเบาๆ “เจ้านี่ฉลาดจริงๆ”
ห่างจากที่นั่งอีกแค่ไม่กี่ก้าว เผยเฉียนก็จับฝ่ามือที่อบอุ่นของเฉินผิงอันเอาไว้ เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป?”
เผยเฉียนหัวเราะคิกคัก “แตะสัมผัสกลิ่นอายในยุทธภพและกลิ่นอายเซียนของอาจารย์คนดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใช่ กินฟรีอยู่ฟรีมาได้ตลอดทาง จะไปหาอาจารย์แบบนี้ได้จากที่ไหนอีก”
เผยเฉียนถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ ขอข้าดื่มเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอสักนิดได้ไหม หอมยิ่งนัก ข้าอยากกินจะตายอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เผยเฉียนพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าสามารถดื่มจอกเล็กๆ ได้ ข้าเองก็อยากจะทางแคบจอกเหล้ากว้างเหมือนกัน”
เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียน โยนนางไปไว้บนที่นั่งพิเศษที่ตั้งโต๊ะตัวเล็กและเก้าอี้ตัวเล็กสำหรับนาง “ดื่มเหล้าผลไม้ของเจ้าไปเลย”
เฉินผิงอันเตรียมจะนั่งลง อู๋อี้กลับเดินลงจากตำแหน่งประธาน มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา นางโบกมือบอกให้คนในโถงเซวี่ยหมางที่เงียบลงในชั่วพริบตาดื่มเหล้ากันต่อ รอจนงานเลี้ยงสุรากลับคืนสู่ความคึกคักอีกครั้ง
อู๋อี้ถึงใช้เสียงในใจถามว่า “คุณชายเฉิน เจ้าเคยฆ่าพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงมาไม่น้อยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ศึกที่ร่องเจียวหลง เขาไม่ใช่คนสังหารเจียวเฒ่าก่อกำเนิดตนนั้นด้วยมือของตัวเอง
แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงปีศาจปลาไหลตอนอยู่ริมชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนของใบถงทวีปขึ้นมาได้ เจ้านั่นเป็นเฉินผิงอันที่สังหารเองตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันขมวดคิ้ว ถามว่า “หยวนจวินมองอะไรออกหรือ?”
ตอนที่อู๋อี้เห็นเฉินผิงอันส่ายหน้า ลึกๆ ในใจก็ให้รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่พอนึกถึงจดหมายจากทางบ้านที่ได้ผลยิ่งกว่าคำสั่งของอริยะก็ได้แต่เอ่ยอธิบายอย่างอดทนว่า “ข้าเองก็ไม่สะดวกจะซักไซ้เรื่องในอดีตของคุณชายเฉิน แต่ข้ามองออกว่าบนร่างของคุณชายมีผลกรรมติดตัวอยู่ไม่น้อย”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “หมายความว่ายังไง?”
อู๋อี้ยิ้มกล่าว “บนโลกนี้มีปีศาจบางตน เมื่อสังหารแล้วผลบุญจะติดตัว แต่ก็มีบางตนที่กลายเป็นเวรกรรมตามติด กฎเกณฑ์ที่ไม่เหมือนปกติทั่วไปพวกนี้ ลัทธิขงจื๊อเก็บไว้เป็นความลับตลอดเวลา ดังนั้นคุณชายอาจจะไม่รู้”
เฉินผิงอันถามอย่างตรงไปตรงมา “มีวิธีแก้ไขหรือขจัดทิ้งไหม?”
อู๋อี้อุบไว้ไม่ยอมบอก “ไม่ต้องรีบร้อน ถึงอย่างไรคุณชายก็ยังต้องอยู่ที่จวนจื่อหยางอีกวันสองวัน รอให้สร่างเมาเมื่อไหร่ ข้าค่อยคุยกับคุณชายเฉินเรื่องนี้ คืนนี้แค่ดื่มเหล้าอย่างเดียวก็พอ อย่าคุยเรื่องที่ทำให้หมดสนุกพวกนี้เลย”
ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา
อู๋อี้ออกไปจากงานเลี้ยงก่อนใคร
และเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็พาพวกเผยเฉียนออกจากโถงเซวี่ยหมาง เดินย้อนกลับไปทางเดิม
เผยเฉียนยังคงอารมณ์ดี ไม่ลืมหยิบไม้เท้าเดินป่ามาคลอเพลงพื้นบ้านที่แต่งขึ้นเองไปตลอดทาง เนื้อเพลงล้วนเป็นภาษาถิ่นของบ้านเกิดในเขตการปกครองหลงเฉวียนที่นางได้ยินมาจากอาจารย์
“วันนี้เทพเจ้าสายฟ้าร้องเพลง พรุ่งนี้ฝนตกก็คงไม่มาก นกนางแอ่นบินต่ำ งูเลื้อยผ่านทาง มดย้ายบ้าน ภูเขาสวมหมวก…ดวงจันทร์มีขน ฝนตกเซาะปราการ บนท้องฟ้าลายพร้อยด้วยจุดปลาหลี พรุ่งนี้ตากธัญพืชไม่ต้องพลิก…”
ร้องไปเรื่อยไม่มีท่าทีจะหยุด
จูเหลี่ยนฟังเพลงพื้นบ้านเพลงนี้มานานจนหูจะด้านชาแล้ว จึงพูดเกลี้ยกล่อมว่า “จอมยุทธหญิงเผย เจ้าโปรดเมตตาปล่อยหูข้าไปเถอะนะ?”
เผยเฉียนทอดถอนใจ คืนนี้นางอารมณ์ดีมากก็เลยยอมตามใจพ่อครัวเฒ่าสักครั้ง นางวิ่งออกไปบนทางที่เงียบสงัดสองสามก้าว โบกตวัดไม้เท้าเดินป่า “หมาดุร้ายในใต้หล้าออกอาละวาด หมาป่าและหมาในสมคบคิดกันทำชั่ว ถึงได้ทำให้ยุทธภพอันตรายถึงเพียงนี้ ผู้คนอยู่กันอย่างหวาดหวั่น แต่ข้ายังฝึกวิชากระบี่และวิชาดาบล้ำโลกไม่สำเร็จ ต้องโทษข้า ต้องโทษข้าคนเดียว”
จูเหลี่ยนถีบเข้าที่ก้นของเผยเฉียน
เผยเฉียนเซถลาไปหลายก้าว แต่ก็ยังพลิ้วตัวหยุดยืนนิ่งได้อย่างสบายๆ ก่อนจะหันหน้ามาพูดอย่างเคืองๆ “ทำอะไรน่ะ?”
จูเหลี่ยนกำลังจะเอ่ยหยอกล้อนาง แต่กลับร้องเอ๊ะขึ้นมาเสียก่อน เขาเงยหน้าขึ้น ยื่นมือออกไป “ฝนตกแล้ว?”
เฉินผิงอันอืมหนึ่งที
มีฝนเม็ดบางๆ ตกลงมาจริงๆ
คนทั้งกลุ่มจึงเดินเร็วๆ กลับไปที่หอเก็บสมบัติแห่งนั้น
สือโหรวคือวัตถุหยิน ไม่จำเป็นต้องนอนหลับ จึงเฝ้ายามอยู่ที่ชั้นหนึ่ง
จูเหลี่ยนกับเผยเฉียนแยกกันอาศัยในชั้นที่สองและชั้นที่สาม
ส่วนเฉินผิงอันไปยืนอยู่ตรงระเบียงของชั้นสี่เพียงลำพัง คืนนี้ฝนตกไม่แรงนัก
เดินนิ่งอยู่กลางระเบียงได้ครึ่งชั่วยาม กลิ่นเหล้าที่คลุ้งอยู่นอกกายก็หายไปสิ้น
เฉินผิงอันจึงกลับไปนอนในห้อง เขาหลับไม่สนิทนัก ถึงอย่างไรก็อยู่ที่จวนจื่อหยางซึ่งอู๋อี้ผู้มีนิสัยยากคาดเดาเป็นเจ้าของ
ครึ่งคืนหลังพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
เฉินผิงอันลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า พอเปิดประตูออกกลับเห็นคนที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็น
เจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ ฮูหยินเซียวหลวน
เห็นเพียงว่านางมีสีหน้าสับสนระคนเขินอาย ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ดูเหมือนว่านางจะเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงที่รัดรึงแนบกายชุดใหม่ นางเบี่ยงหน้ามา กัดริมฝีปาก ปลุกความกล้าแล้วพึมพำแผ่วเบาว่า “คุณชายเฉิน…”
เฉินผิงอันกลับปิดประตูลงดังปัง
ฮูหยินเซียวหลวนที่ยืนอยู่ข้างนอกใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ได้ยินเพียงเสียงเดือดดาลของคนหนุ่มที่อยู่ในห้องดังลอดมา “ฮูหยินโปรดสำรวมกิริยาด้วย!”
บทที่ 424.1 โลกมนุษย์เดินช้าๆ
ฮูหยินเซียวหลวนยืนนิ่งอึ้งอยู่นอกประตู เนิ่นนานก็ยังไม่จากไป ในขณะที่นางกำลังลังเลว่าควรจะเคาะประตูอีกครั้งดีหรือไม่ หันหน้ากลับไปก็เห็นผู้เฒ่าหลังค่อมที่ไม่สะดุดตาคนนั้น
ตอนที่เดินอยู่บนระเบียงมุ่งหน้าไปร่วมงานเลี้ยงที่โถงเซวี่ยหมาง ฮูหยินเซียวหลวนเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการสังเกตสีหน้าและท่าทางของผู้คน ตอนที่เห็นคนผู้นี้เป็นครั้งแรก ดูจากลมหายใจที่ทอดยาว เสียงฝีเท้าที่สัมผัสกับพื้นอย่างเต็มเท้าก็เห็นได้ชัดว่าเขาอำพรางตัวเองอย่างลึกล้ำ ถึงขนาดจงใจรักษาตบะวิถีวรยุทธขอบเขตห้าเอาไว้ตลอดเวลา แต่ครั้งนี้ที่ผู้เฒ่ามาปรากฎตัวอยู่บนชั้นสี่อย่างเงียบเชียบกลับเผยลักษณะของวิถีวรยุทธที่คล้ายคลึงกับซุนเติงเซียน
เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นคนประเภทที่มีความคิดและกลอุบายลึกซึ้งแยบยล
ฮูหยินเซียวหลวนแค่มองออกว่าผู้ติดตามเฒ่าคนนี้คือปรมาจารย์ที่มีวรยุทธสูงกว่าซุนเติงเซียน แต่จะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองแล้วหรือไม่ เท้าทั้งสองเริ่มก้าวไปบนขั้นบันไดของการหลอมจิตของขอบเขตปลายทางวิถีวรยุทธแล้วหรือไม่ นางกลับมองไม่ออก
มองไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งก็หมายความว่าเซียวหลวนต้องระวังคนผู้นี้ไว้ให้ดี
รอยยิ้มของผู้เฒ่าเกือบจะทำให้ขนทั่วร่างของเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ลุกพอง ถ้อยคำที่เขาเอ่ยก็ยิ่งทำให้นางครั่นเนื้อครั่นตัว “ฮูหยินเซียวหลวนกินน้ำแกงประตูปิดของนายน้อยข้าหรือ? อย่าเก็บไปใส่ใจเลย นายน้อยของข้าก็เป็นอย่างนี้แหละ หาใช่ตั้งใจเป็นปฏิปักษ์กับฮูหยินไม่”
ฮูหยินเซียวหลวนใคร่ครวญหาคำพูดอยู่พักหนึ่งก็ยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ท่านผู้เฒ่า คืนนี้จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา ท่านเองก็รู้ว่าข้าคือองค์เทพแห่งสายน้ำ แน่นอนว่าต้องรู้สึกชิดใกล้เป็นพิเศษ กว่าจะสลายฤทธิ์สุราไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงคิดจะใช้โอกาสนี้มาเที่ยวชมตำหนักจื่อชี่ยามค่ำคืน บังเอิญเห็นคุณชายของท่านฝึกหมัดอยู่บนระเบียงชั้นบนนี่พอดี เดิมทีข้านึกว่าคุณชายเฉินเป็นผู้ฝึกตน คือเซียนกระบี่น้อยที่มีอนาคตยาวไกลท่านหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าปณิธานหมัดของคุณชายเฉินจะเยี่ยมยุทธถึงเพียงนี้ ไม่ด้อยกว่าปรมาจารย์ในยุทธภพท่านใดของแคว้นหวงถิงพวกเราเลย ด้วยความใคร่รู้ก็เลยละลาบละล้วงมาเยือนที่นี่ เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเอง”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างมีเหตุมีผล “ไม่บุ่มบ่ามๆ ใต้หล้านี้มีแต่บุรุษมุทะลุเท่านั้นที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น บุ่มบ่ามล่วงเกินสาวงาม แต่ไม่ว่าสาวงามจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็ล้วนไม่บุ่มบ่ามทั้งสิ้น!”
ฮูหยินเซียวหลวนไม่อยากจะพัวพันอยู่กับคนผู้นี้ต่ออีก เรื่องในคืนนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องจบลงอย่างค้างคา จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่
อีกอย่างคิดว่านางไม่รู้จักละอายบ้างเลยหรือ? องค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของแม่น้ำใหญ่ลำดับที่สามแคว้นหวงถิง เมื่อเทียบกับองค์เทพห้าขุนเขาของแคว้นก็ไม่เป็นรองสักเท่าไหร่ หากไม่เป็นเพราะอู๋อี้และจวนจื่อหยางมีอำนาจยิ่งใหญ่เกินไป อีกทั้งวันนี้ยังเป็นผู้คุมสถานการณ์ใหญ่ สวามิภักดิ์กับราชวงศ์ต้าหลี หาไม่แล้วหากเปลี่ยนให้เซียวหลวนไปอยู่ในงานเลี้ยงใดก็ตามของแคว้นหวงถิงก็ล้วนต้องได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นที่เฉินผิงอันได้รับในค่ำคืนนี้
ดังนั้นนางจึงพูดจาตามมารยาทไปสองสามคำ แล้วเตรียมจะผละจากไป
มาเยือนจวนจื่อหยางแห่งนี้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย วันนี้เมื่อไปจากหอเก็บสมบัติแห่งนี้แล้วก็ยังมีเรื่องปวดหัวรอนางอยู่อีกเช่นกัน
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ขอฮูหยินโปรดรอสักครู่”
ในใจเซียวหลวนลุกโชนไปด้วยโทสะ เพียงแต่ภายนอกยังคงวางท่าสุขุมเยือกเย็น กล่าวอย่างกังขา “ท่านผู้เฒ่ามีธุระอะไรหรือ? หากไม่รีบร้อน พรุ่งนี้ค่อยไปคุยกับข้าก็ได้”
จูเหลี่ยนยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาโบก “ท่านผู้เฒ่าอะไรกัน เมื่อเทียบกับกาลเวลาอันยาวนานในชีวิตของฮูหยินเซียวหลวนแล้ว ข้าก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่หน้าแก่คนหนึ่งเท่านั้น ฮูหยินเซียวหลวนเรียกข้าว่าเสี่ยวจูก็ได้ จูจากประโยคผมสีกาน้ำ พวงแก้มแดงปลั่ง หมึกดำชาดแดงน่ะ (จูของชื่อจูเหลี่ยนแปลว่าสีแดง/สีชาด) ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรหรอก เพียงแต่ตอนอยู่โถงเซวี่ยหมาง ข้าน้อยไม่มีความกล้าจะดื่มสุราคารวะฮูหยิน ตอนนี้ค่ำมืดดึกดื่น ไม่มีคนนอกพอ จึงเกิดอารมณ์อยากออกมาเที่ยวเล่นจวนจื่อหยางไม่ต่างจากฮูหยิน ไม่ทราบว่าฮูหยินคิดเห็นเช่นไร?”
เซียวหลวนรู้สึกพะอืดพะอมยิ่งกว่าตอนดื่มสุราเจียวเฒ่าน้ำลายสอสี่ไหเสียอีก
นางยังคงคลี่ยิ้มส่งมาให้ “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้ายังต้องออกจากจวนจื่อหยาง ย้อนกลับไปยังแม่น้ำป๋ายกู่ ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนให้เร็วสักหน่อย หวังว่าท่านจะให้อภัย”
จูเหลี่ยนกลับก้าวยาวๆ ออกไปเบื้องหน้าแล้ว “ย่อมต้องให้อภัยฮูหยินอยู่แล้ว! ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ข้าได้คุ้มครองฮูหยินไปส่งที่พัก ฮูหยินกลับไปคนเดียว ข้าไม่วางใจจริงๆ ฮูหยินมีรูปโฉมงดงาม แม้จะบอกว่ามีมาดน่าเกรงขามของสุดยอดสาวงามผู้มากความสามารถ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าต่อให้พวกผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยางที่ลาดตระเวนแค่มองฮูหยินนานหน่อย ข้าก็เจ็บปวดใจแทบแย่แล้ว ไม่ได้ๆ ฮูหยินไม่ต้องกลัวว่าข้าจะลำบากหรอก ข้าจะต้องไปส่งฮูหยินให้จงได้!”
เซียวหลวนยิ้มรับ ด้วยความสามารถในการวางตัวของนางก็ยังเกือบจะอดไม่ไหวชักสีหน้าใส่อีกฝ่าย
นางหมุนตัวกลับทันที ทั้งไม่ปฏิเสธและไม่ได้รับปาก ทะยานวูบออกไปจากหอเรือน เรือนกายอรชรที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งแจ่มชัดพลันกลายร่างเป็นสายรุ้งที่พุ่งออกไป หากเจ้ามีปัญญาก็ตามมาให้ทันแล้วกัน
คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วพริบตาจูเหลี่ยนจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายนาง ทะยานลมไปพร้อมกันกับนาง!
จิตใจเซียวหลวนสั่นสะเทือน เกือบจะพลัดตกลงมาบนพื้น
ขอบเขตเดินทางไกล!
เจ้าเฒ่าหื่นกามผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตแปดเชียวหรือ?!
บุคคลอันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ในยุทธภพของแคว้นหวงถิงมาสี่สิบกว่าปีก็ยังเป็นแค่ขอบเขตร่างทองเท่านั้น
จูเหลี่ยนที่อยู่ข้างฮูหยินเซียวหลวนกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าอ่านเจอจากหนังสือเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่ง บอกว่าเผ่าพันธ์เจียวหลงและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำ หากเกิดความรักขึ้นมาก็จะมีฝนหวานน้ำค้างฉ่ำชื้นโปรยลงมาบนโลกมนุษย์ ไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ?”
ฮูหยินเซียวหลวนทั้งอับอายและแค้นเคืองอย่างถึงที่สุด เกลียดคนที่บงการอยู่เบื้องหลังผู้นั้นยิ่งนัก และยิ่งอยากจะตบเจ้าเฒ่าลามกผู้นี้ให้หัวทิ่มลงไปยังก้นแม่น้ำป๋ายกู่ จากนั้นนางจะค่อยๆ สาวเอาดวงวิญญาณของคนผู้นี้ออกมา ขมวดให้กลายเป็นไส้ตะเกียงหลายๆ เส้น แล้วเอาตะเกียงที่ทำเสร็จแล้วแขวนไว้สูง จุดให้จวนน้ำของนางสว่างไสวเรืองรอง!
จูเหลี่ยนยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ได้เที่ยวชมจวนจื่อหยางยามค่ำคืนร่วมกับฮูหยินเซียวหลวน ช่างเป็นเรื่องที่น่าปิติยินดียิ่งนัก พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าฮูหยินจะหัวเราะเยาะ ข้าเสี่ยวจูชอบเขียนบันทึกท่องเที่ยว บันทึกเรื่องประหลาดและคนมหัศจรรย์ที่พบเจอท่ามกลางพันภูเขาหมื่นสายน้ำมากที่สุด คิดมาตลอดว่าวันใดวันหนึ่งจะจัดพิมพ์บันทึกท่องเที่ยวเล่มนี้ ข้ารู้สึกว่าเรื่องในคืนนี้ที่ข้าโชคดีได้ท่องเที่ยวเคียงคู่อยู่กับฮูหยิน ก็ต้องเขียนบรรยายไว้ในบันทึกท่องเที่ยวเล่มนั้นสักหน่อย รอให้รวมเล่มจัดพิมพ์เมื่อไหร่ ข้าจะต้องเอาไปมอบให้ฮูหยินเล่มหนึ่งถึงจวนเลยล่ะ!”
ฮูหยินเซียวหลวนโมโหจนกัดฟันกรอดๆ เป็นเหตุให้ลมหายใจไม่มั่นคง หน้าอกจึงกระเพื่อมขึ้นลง อีกทั้งเดิมทีอาภรณ์บนร่างที่นางรู้สึกว่าร้อนแรงเกินไปตัวนี้ก็ถูกคนผู้นั้นทิ้งไว้ บังคับให้นางสวมใส่
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองทัศนียภาพอันงดงามตระการตาที่ราวกับว่าฟ้าดินอยู่ใกล้ในระยะประชิดแล้วรีบหันหน้ากลับไปมองทางลำคลองเถี่ยเชวี่ยนอย่างว่องไว พูดด้วยเสียงอันดังว่า “ทัศนียภาพช่างงดงามนัก!”
……
จูเหลี่ยนกลับไปยังที่พักในชั้นสองของหอเรือนนานแล้ว
ในห้องของหอเก็บสมบัติ เฉินผิงอันไม่รู้สึกง่วงอีกแล้ว เขาจึงลุกขึ้นมาจุดตะเกียง เริ่มอ่านหนังสือ อ่านไปได้พักหนึ่งก็พูดขึ้นอย่างคนที่หวาดผวาไม่คลาย “ในนิยายจอมยุทธเล่มหนึ่งกล่าวไว้ว่าอย่างไรแล้วนะ วีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงาม? เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ช่าง…ช่างไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเกินไปแล้ว! ตอนอยู่ที่โถงเซวี่ยหมางข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าด้วยความหวังดี มีอย่างที่ไหนที่เจ้าจะมาเล่นงานข้าเช่นนี้! เคยได้ยินแต่ประโยคว่าผู้มีคุณธรรมไม่มีความแค้นชั่วข้ามคืน ต้องสะสางกันภายในคืนนั้นเลย แต่เจ้ากลับดีนัก ตอบแทนบุญคุณคนอื่นเช่นนี้หรือ? มารดามันเถอะ หากไม่เพราะกังวลว่าจูเหลี่ยนจะเข้าใจผิดคิดว่าข้าร้อนตัว ตบเจ้าทีหนึ่งยังเบาไปเลย…หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ใช่ว่าในกางเกงข้าเต็มไปด้วยดินเหลือง ไม่ใช่ขี้ แต่คนอื่นก็มองว่าข้าขี้หรอกหรือ?”
เฉินผิงอันปาดเหงื่อบนหน้าผาก บ่นพึมพำพลางสบถด่าเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ผู้นั้นไม่หยุด
สุดท้ายเฉินผิงอันก็ได้แต่หาข้ออ้างมาปลอบใจตัวเอง “เดินทางท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัว ถือว่าไม่เสียเที่ยว นี่หากเปลี่ยนมาเป็นเมื่อก่อน ไม่แน่ว่าข้าอาจเปิดประตูให้นางเข้ามาในห้องอย่างโง่งมไปแล้ว”
เมื่อจิตใจเริ่มสงบลง เฉินผิงอันก็เริ่มรวบรวมสมาธิอ่านหนังสือ นั่นคือคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่ง ตอนนั้นเขายืมตำรามาจากหอเก็บหนังสือของสำนักศึกษาซานหยามาหกเล่ม ไม่ว่าจะเป็นตำราของลัทธิขงจื๊อ พุทธ เต๋า สำนักนิติธรรมหรือสำนักโม่ก็ล้วนมีครบหมด เจ้าขุนเขาเหมาบอกว่าไม่ต้องรีบร้อนส่งคืน เมื่อใดที่เขาเฉินผิงอันทำความเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้วค่อยส่งกลับคืนมายังสำนักศึกษาก็ยังไม่สาย
เฉินผิงอันพลันปิดหน้าหนังสือ เดินออกมาจากห้อง มาหยุดอยู่ตรงราวรั้วของระเบียง
เหตุการณ์ราบรื่นเกินไปย่อมไม่ปกติ
ฝนนอกหอเรือนหยุดตกแล้ว ม่านราตรีดำมืด
เฉินผิงอันยื่นมือมาจับราวระเบียง เดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือล้วนเต็มไปด้วยน้ำฝนที่หลังจากแตกกระจายแล้วก็มารวมกันเป็นหนึ่ง จึงรู้สึกเย็นเล็กน้อย
เฉินผิงอันแบฝ่ามือออก ก้มหน้าลงมอง
เขากระโดดขึ้นไปบนราวระเบียงแล้วเดินช้าๆ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล มองไปยังลำคลองเถี่ยเชวี่ยนนอกจวนจื่อหยาง และนอกลำคลองก็มีขุนเขาเขียว
ตอนนี้เขาอยู่ในแคว้นหวงถิง ในจวนจื่อหยาง ในหอเก็บสมบัติสูงชั้นของตำหนักจื่อชี่ อยู่บนราวระเบียงใต้ชายคา
ความคิดล่องลอยไปไกล
เฉินผิงอันคิดถึงการเดินทางไปเยือนแคว้นชิงหลวนก่อนหน้านี้แล้วได้ยินชาวบ้านในพื้นที่ที่มากินอาหารในเหลาสุราพูดถึงงานโต้วาทีพุทธเต๋า นึกถึงเรื่องเล่าที่บอกว่ามีภิกษุยืนกางร่มอยู่ข้างนอก บัณฑิตหลบฝนอยู่ใต้ชายคา
หากระหว่างที่เดินทางมีฝนตก ย่อมต้องหาชายคาให้หลบฝนเป็นธรรมดา
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่ในเรือนหลังเล็กของป้อมอินทรีบิน ลู่ไถเคยทอดถอนใจบอกว่า ความน่าเสียดายบนโลกมนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่สามคำว่า ‘รั้งไว้ไม่อยู่’ ถ้อยคำที่ออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจก็เป็นแค่ประโยคหนึ่งที่กล่าวกับแต่ละทัศนียภาพ แต่ละบุคคลว่าให้เดินช้าๆ
ลู่ไถยังพูดอีกว่า ยากนักที่พวกเราจะรู้สึกร่วมไปกับเรื่องราวความทุกข์ยากมากมายในโลกมนุษย์เหมือนได้ประสบพบเจอกับตัวเองอย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อความยากลำบากเกิดขึ้นกับใครเข้าจริงๆ ไม่ว่าใครก็ล้วนรับมือไม่ทันทั้งสิ้น
เดินช้าๆ
ช้า
เจ้าลัทธิผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า นักพรตผู้เฒ่าไร้นามที่ใช้ความหลากหลายของสรรพสิ่งในพื้นที่มงคลดอกบัวมาพิศดูมรรคา ผู้ที่มีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้า เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถควบคุมแม่น้ำแห่งกาลเวลาของพื้นที่มงคลดอกบัวไว้ได้ สามารถทำให้มันเร็ว ทำให้มันช้า ทำให้มันหยุดนิ่งไม่เดินหน้า
ทว่ากระแสแห่งแม่น้ำกาลเวลาของสี่ใต้หล้า อย่าว่าแต่ควบคุมเลย คิดจะไปขวางมันไว้ ว่ากันว่าแม้แต่มรรคาจารย์เต๋าก็ยังทำไม่ได้ เป็นเหตุให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่พิศสายน้ำเคยบรรลุธรรมจึงกล่าวว่า กาลเวลาไหลรินไม่หยุดนิ่งดั่งสายน้ำ จากไปแล้วไม่หวนกลับมา
ชุยตงซานเคยบอกว่าตระกูลเซียนบนภูเขาและนครทั้งหลายในโลกมนุษย์ล้วนมีความลี้ลับ รวมถึงสงครามและความรู้ของเมธีร้อยสำนักที่ต่างก็เกี่ยวพันกับความเร็วในการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลา คือสิ่งที่เหล่าอริยะหวังจะเปลี่ยนวิธีการมาทำให้มันช้าลง
อริยะสามลัทธิที่ยืนอยู่สูงขนาดนั้น มองเห็นได้กว้างไกลขนาดนั้น เหตุใดถึงยืนกรานจะทำให้มันช้าลงให้ได้?
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ศาสดาพุทธ มรรคาจารย์เต๋า ในสายตาของอริยะผู้บุกเบิกฟ้าดินทั้งสามท่านนี้ พวกเขามองเห็นอะไรกันแน่? ถึงต้องให้โลกมนุษย์ของใต้หล้าทั้งสามแห่ง ‘เดินช้าๆ’?
ครั้งแรกที่เดินทางไปถึงแคว้นหวงถิงพร้อมกับชุยตงซาน มีครั้งหนึ่งตอนที่อยู่บนยอดเขา ชุยตงซานฝึกวิชาหมัดเป็นเพื่อนเขาและเคยพูดด้วยรอยยิ้มว่า ยามที่กงล้อแห่งประวัติศาสตร์เคลื่อนไปเบื้องหน้า ย่อมต้องบดขยี้ดอกไม้ใบหญ้าไปมากมาย
นี่ไม่ใช่คำพูดไร้เมตตาของผู้ที่มีจิตใจของกษัตริย์ แต่เป็นถ้อยคำจากความเศร้าอาดูรของผู้รอบรู้แห่งแผ่นดินกลางท่านหนึ่ง บัณฑิตคนนั้นหวังให้ผู้มีอำนาจทุกคน หรือไม่ก็บุคคลยิ่งใหญ่ที่ตอนนั้นนั่งอยู่บนรถม้าคันนั้นซึ่งได้เห็นประโยคนี้ จะก้มหน้าลงมองต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกบดจนเละสักครั้ง
วิถีทางโลกค่อยๆ ดีขึ้น ต้องเป็นกังวลด้วยหรือ? ขอแค่มันเปลี่ยนไปดีขึ้น ทิศทางถูกต้อง ต่อให้ช้าแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกังวล
หากวิถีทางโลกเปลี่ยนไปเป็นแย่ยิ่งกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่นล้อรถแห่งประวัติศาสตร์เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว บดขยี้ต้นไม้ใบหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนไปตลอดทาง ต่อให้มีคนอยากจะก้มหน้าลงมองก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเห็นได้ชัดเจน
แล้วจะชดเชยอย่างไร?
ดังนั้นถึงต้องให้ช้าลงอีกหน่อย?
เพราะหากเดินไปอย่างเชื่องช้า ต่อให้เดินแยกไปบนมหามรรคาที่ผิดและเริ่มทำพลาด ก็หมายความว่ายังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงแก้ไขใช่หรือไม่? หรือไม่ความทุกข์ยากบนโลกมนุษย์ก็จะลดน้อยลงไปอีกหน่อย?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น