หมอดูยอดอัจฉริยะ 421-422

 ตอนที่ 421 ฆ่าอย่างเลือดเย็น

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นี่…นี่เป็นเทพองค์ไหนประทับร่างกัน”


เอ้อหนิวที่ยืนพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกลจากเมิ่งตาบอด เห็นตลอดทั้งร่างของเมิ่งตาบอดสั่นสะท้านขึ้นระลอกหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างมีประกายสีเขียว เหมือนกับหมาป่าบนภูเขาอย่างไงอย่างนั้น


“ฮ่าๆ เหล่าหู แกจะเอาอะไรมาสู้กับฉัน!”


หลังจากได้รับพลังวิญญาณมา เมิ่งตาบอดรู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลัง แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับเปลี่ยนเป็นแหลมเหมือนกับเสียงเป็ด ทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา


“ใช่สิ หูฮั่นซาน เก่งจริงก็ออกมาเลย เจ้านายแซ่กัวก็รอนายอยู่ที่นี่!”


หลังจากได้ยินเมิ่งตาบอดตะโกน กัวจื่อเซินและคนอื่นก็หัวเราะออกมา หลังจากผิงไฟได้ไออุ่นแล้ว แรงพลังก็กลับมา ความเกรงกลัวหูหงเต๋อก็ลดน้อยลง


หลังจากได้ฟังเสียงทุกคน เม่งเซียจื่อก็ยิ้มออกมา มองไปทางเอ้อหนิวกล่าวว่า “พวกแก ไปสั่งสอนเฒ่าหูนั่นซักหน่อยไป!”


ปู่เมิ่ง  ท่า..ท่านหมายความว่าอย่างไร” เอ้อหนิวตกตะลึง ในตอนที่หันกลับไปมองเมิ่งตาบอดนั้น ดวงตาพลันเบิกกว้าง


เมิ่งตาบอดที่พิงอยู่บนต้นไม้ ในเวลานี้ราวกับลิงก็ไม่ปาน “ฟิ้วฟิ้ว” ปีนป่ายขึ้นไปบนต้นเบิร์ชที่สูงถึงสิบกว่าเมตร แล้วย่อตัวกระโจนข้ามไปยังต้นอื่นอย่างรวดเร็ว


จนกระทั่งเงาร่างของเมิ่งตาบอดหายจากสายตาเข้าไปในป่าที่มีต้นไม้แน่นขนัด เอ้อหนิวถึงได้สติกลับคืนมา ปากพึมพำว่า “สวรรค์ นี่เชิญเทพซุนหงอคงมาประทับร่างเลยเหรอเนี่ย!”


บางทีอาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็นทำให้สมองของ เอ้อหนิว แข็งไปด้วย จึงไม่รู้ว่าตอนนี้ เมิ่งตาบอดได้ทิ้งพวกเขาไปแล้ว จากไปเพียงลำพัง


“ไม่ดีแล้ว เหล่าหู เมิ่งตาบอดคิดจะหนีไป!”


แม้ว่าเอ้อหนิวยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยเทียนก็จะไม่รู้เช่นกัน เมิ่งตาบอดที่อยู่ในรัศมีสิบเมตรที่ตัวเขาจับได้พลันหายไป เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน


พลังของเยี่ยเทียนไม่สามารถปล่อยไปไกลได้ เขารู้สึกว่าการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วของเมิ่งตาบอดเหมือนกับควันหายไปจากขอบเขตที่ตัวเองรับรู้ได้ นี่นอกจากว่าจะหลบหนี ก็ไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่านี้แล้ว


“เหล่าหู เดี๋ยวคุณค่อยตามมา!”


ป่าด้านหน้าที่อยู่ตรงข้ามเหลือเพียงคนเฝ้าคนเดียว เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ระหว่างกล่าวร่างกายย่อต่ำ เท้าขวากระทืบไปบนพื้นหนึ่งครั้ง ร่างกายก็พุ่งไปราวกับลูกธนูฝ่าพื้นหิมะออกไป


“เมิ่ง..ปู่เมิ่ง นี่ท่านจะไปไหนกัน”


เอ้อหนิวในเวลานี้กำลังมองเมิ่งตาบอดที่หายไปด้วยท่าทางโง่ๆ สมองของเขายังไม่ฟื้นจากภาพนั้น จึงไม่รู้ว่าด้านหลังมีนักฆ่าฝีมือเทพโผล่มาแล้ว


ระยะห่างสามสิบเมตร สำหรับเยี่ยเทียนแล้วเหมือนกับเวลาที่หายใจ รอจนเอ้อหนิวได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านหลังก็รู้สึกเจ็บท้ายทอย ร่างกายค่อยๆ อ่อนแรงลงพิงกับต้นไม้


“เอ้อหนิว ปู่เมิ่ง เกิดอะไรขึ้น” ได้ยินเสียงด้านข้างของป่าดังออกมา กัวจื่อเซินและคนอื่นก็ทยอยกันหยิบปืนลุกขึ้นยืน


เพียงแต่เพิ่งลุกขึ้นยืน พายุหิมะระลอกหนึ่งก็พลันพัดมาพร้อมกับลมหนาวปะทะใบหน้า ทำให้คนปิดเปลือกตาลงตามธรรมชาติ


ในตอนที่พวกนั้นปิดเปลือกตาลงนั้น เยี่ยเทียนก็เหมือนกับฝูงหมาป่าพุ่งเข้ามา เขาไม่ได้คิดลงมือฆ่า มือขวาเหยียดตรงค่อยๆ ฟันใส่หลังคอของสามคนที่ยืนเรียงกันอยู่ด้านหน้า


เยี่ยเทียนเข้าใจเรื่องกายภาพของคนเป็นอย่างดี ทั้งสามคนรู้สึกท้ายทอยชา ทั้งร่างก็ไร้เรี่ยวแรงล้มลงไปบนพื้น


“อืม ยังมีอีกคน”


ในตอนที่เยี่ยเทียนจัดการทั้งสามคนลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น พลันรู้สึกใจเต้น เท้าขวาเหยียบบนพื้น ตลอดทั้งร่างก็พุ่งตรงขึ้นไปสองเมตรได้


“ปังปังปัง!!” เสียงปืนดังขึ้นระลอกหนึ่ง ชายคนที่ยืนอยู่ด้านข้างของเยี่ยเทียนยังไม่ทันได้ล้มลงบนพื้นดี ร่างกายก็ปรากฏเลือดไหลออกมารูกระสุน


คนที่ยิงก็คือกัวจื่อเซิน เขาลงมือคล่องแคล่วกว่าพวกคนที่นอนกองกับพื้นมากนัก ในตอนที่เยี่ยเทียนพุ่งเข้ามา เขาก็ถอยหลังไปหลายก้าว หิมะที่เยี่ยเทียนใช้เท้าเตะออกมาไม่สามารถบดบังสายตาของเขาได้


เพียงเพราะเยี่ยเทียนนั้นเร็วเกินไป ในขณะที่กัวจื่อเซินรู้สึกตัวและลั่นไกปืน คนอื่น ๆ ก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว


ในปี 1990 กัวจื่อเซินเคยเกี่ยวข้องกับคดีสังหารหมู่ในเมือง เฟิ่งเทียน มาแล้ว  หากไม่ใช่ว่ามีคนต้องการที่จะปกปิดเรื่องนี้ไว้ เขาคงถูกยิงตายไปแล้ว


ปืนจุดเจ็ดเก้าที่ถืออยู่ในมือกระบอกนี้ กัวจื่อเฉินลอบทำร้ายทหารยามแล้วขโมยมา ในชีวิตนี้เขาเลื่อมใสที่สุดก็คือฆาตรกรต่อเนื่อง “ไป๋เป่าชาน” ที่พึ่งถูกจับไปเมื่อหลายปีก่อน


กัวจื่อเฉินไมได้สนใจพวกพ้องเลย  ตั้งใจเพียงว่าจะฆ่าใครเป็นคนต่อไป ในเวลานี้ เขาคิดว่าคนที่พุ่งเข้ามาในป่าคือหูหงเต๋อ


“ตายซะเถอะ!”


เห็นคนนี้ตอบสนองได้รวดเร็ว กัวจื่อเซินที่ยิงพลาดก็รีบยกปืนขึ้นสูงเตรียมยิงอีก ทันใดนั้นมือขวาของเยี่ยเทียนก็ตวัดลงมา เห็นแสงวาบพาดผ่านไป กัวจื่อเซินพลันหยุดชะงักลง


“เยี่ยเทียน เป็นอะไรไป เธอบาดเจ็บหรือเปล่า!”


ในตอนที่หงหูเต๋อพุ่งออกมาจากป่าตรงเข้ามา มองกวาดสายตาไปก็เห็นกัวจื่อเซินยืนถือปืนอยู่ห่างออกไปสี่ห้าเมตร มือด้านขวายกขึ้น ลูกหน้าไม้โลหะผสมก็พุ่งตรงไปที่ข้อมือขวาของกัวจื่อเซิน


“ฟ้าวฉึก!”


ลูกหน้าไม้ที่เป็นโลหะผสมตรงไปที่กัวจื่อเซินอย่างแม่นยำ เสียงที่ปักเข้าไปในเนื้อ ได้ยินลอยเข้าหูของ     หูหงเต๋ออย่างชัดเจน แต่กัวจื่อเซินที่ยืนอยู่ กลับไม่รู้สึกตัวอะไรเลย ยังคงยืนอยู่อย่างนั้น


“หืม นี่เป็นอะไรไป”


หูหงเต๋อรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง เดินออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว กัวจื่อเซินที่ยืนจังก้าอยู่ หัวก็พลันกระเด็นลอยขึ้นไปประมาณเมตรกว่าได้ เลือดสายหนึ่งจากสันคอก็พวยพุ่งออกมา


“อ๊าก!”


หูหงเต๋อชีวิตนี้ก็เผชิญกับคลื่นชีวิตมาก็ไม่น้อย ตอนที่เห็นภาพที่น่ากลัว สยองขวัญขนาดนี้ ถึงกับร้องเสียงหลงออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ตลอดทั้งตัวถอยหลังไปหลายก้าว


ในขณะที่หูหงเต๋อถอยหลังไป ร่างกายของกัวจื่อเซินก็ล้มลงบนพื้นดัง “ปึ่ง”  เลือดที่อยู่หลังคอก็ยังพุ่งออกมาเป็นสาย ทำให้พื้นหิมะขาวโพลนในบริเวณนั้นย้อมไปด้วยเลือด


“เหล่าหู เป็นอะไร กลัวเหรอ!” เงาร่างของเยี่ยเทียนเหมือนกับปีศาจก็ไม่ปานถอยมาข้างกายของหูหงเต๋อ เขาไม่อยากถูกเลือดสกปรกพวกนั้นเปรอะเปื้อนตัว


“เยี่ย….เยี่ยเทียน นี่….นี่นายลงมือเหรอ”


หูหงเต๋อมองไปที่เยี่ยเทียนอย่างตื่นตะลึง หากไม่ใช่ความจริงอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนหนุ่มที่เยือกเย็นตรงหน้าเป็นคนฆ่า


“เหล่าหู คนนี้พลังอาฆาตติดตัว อย่างน้อยก็ฆ่ามาแล้วสี่ห้าชีวิต ตายก็ไม่น่าเสียดาย!”


ในตอนที่เกิดเหตุการณ์เมื่อซักครู่ เยี่ยเทียนลงมือแล้วแน่นอนว่าจะไม่ออมมือ พลังที่โอบล้อมร่างที่ไร้รูป ส่งประกายความแหลมปราบของมีดออกมา ตัดคอของกัวจื่อเซินในทันที


และความเร็วที่ขนาดไม่มีร่องรอย บวกกับความแหลมคมของมีด ทำให้หูหงเต๋อที่ตามมา ทำให้พื้นสั่นสะเทือน จึงทำให้หัวตกลงบนพื้น


“ฉัน…ฉันรู้จักเขา หลายปีก่อนฉันเคยจับเขาไปที่สถานี”


หูหงเต๋อมองดูหัวนั้น แล้วเลยมองไปที่เยี่ยเทียนซึ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าทำไม ในใจส่วนลึกถึงได้รู้สึกเย็นจับจิตขึ้นมา


ในปีนั้นที่หูหงเต๋อใช้มีดแทงพวกทหารญี่ปุ่นตายไปหลายคน เมื่อกลับมาถึงบ้านยังไปก็อ้วกเอาน้ำดีออกมาจนหมด ไหนเลยจะเทียบได้กับการลงมือฆ่าที่เลือดเย็นของเยี่ยเทียน


เพียงแต่หูหงเต๋อไม่รู้ว่า สภาพที่ตายอย่างน่าสยอสยองของกัวจื่อเซินนั้น เยี่ยทียนเห็นมาก่อนแล้ว และเป็นเขาเองที่เป็นคนลงมือ ภาพตรงหน้านี้ สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่เท่าไหร่


เห็นคนอื่นๆที่นอนกองอยู่บนพื้น หูหงเต๋อก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป เงยไปสบตากับเยี่ยเทียน กล่าวว่า “เยี่ยเทียน นี่…พวกสามสี่คนนี้คงไม่ได้ตายแล้วเหมือนกันใช่มั๊ย”


“เปล่า เพียงแต่สลบไป ” เยี่ยเทียนส่ายหัว ชี้ไปที่บรรดาคนพวกนั้นแล้วกล่าวว่า “คนนี้ถูกปืนยิงไปหลายนัด คิดว่าคงไม่น่ารอดแล้ว!”


คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้หูหงเต๋อถอนใจ พวกไม่กี่คนนี้เขาล้วนแต่รู้จัก เป็นพวกเด็กที่โตมาจากครอบครัวล่าสัตว์ที่เขาฉางไป๋ซาน และก็ไม่สมควรจะตายทั้งหมด


“น่าเสียดาย ทำให้เมิ่งตาบอดหนีไปได้!”


เยี่ยเทียนตามมา ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง เมิ่งตาบอดยืมพลังวิญญาณประทับร่างเปลี่ยนเป็นคล่องแคล่วว่องไว พลังนี้หายไปท่ามกลางป่าอันลึกลับแล้ว


“เขาหนีไม่พ้นหรอก ขอเพียงอยู่ในภูเขาแห่งนี้ ฉันก็สามารถจะหาเขาจนเจอได้!” ไม่สามารถจับตัวการได้ หูหงเต๋อมีสีหน้าหงุดหงิดไม่น้อย


เพียงแต่หลังจากค้นหาไปรอบๆ แล้ว หูหงเต๋อก็มีสีหน้าประหลาดใจ เพราะป่าด้านหลังกองไฟนั้นมีหิมะปกคลุมอยู่ นอกจากรอยเท้าที่พวกเขามาแล้ว กลับไม่มีรอยเท้าออกไปเสียอย่างนั้น


“เหล่าหู เขาปีนต้นไม้หนีไป คุณหาไม่เจอหรอก” เยี่ยเทียนส่ายหัว ตามความสามรถของเขาแล้วสามารถปีนป่ายบนต้นไม้ได้ แต่ว่าหากเทียบกับเมิ่งตาบอดนั้นแล้ว ดูเหมือนจะห่างกันหลายขุม


“อืม ยังกล้ากลับมาอีก!”


 เยี่ยเทียนเพิ่งพูดออกมา สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เพราะเขาสัมผัสได้ว่าเมิ่งตาบอดได้ย้อนกลับมาทางป่าด้านหน้า หรือก็คือทางด้านขวาของหุบเขา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่


“เหล่าหู รอผมอยู่นี่!”


เยี่ยเทียนหลังจากพูดจบ ร่างกายก็กระโดดอย่างรวดเร็วไปในทิศทางที่เมิ่งตาบอดอยู่ ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเมิ่งตาบอดถึงได้วิ่งกลับมา แต่ครั้งนี้เยี่ยเทียนจะไม่ปล่อยเขาไปเด็ดขาด


อาศัยแสงดวงจันทร์ที่สะท้อนหิมะออกมา เยี่ยเทียนเห็นทางด้านขวาของหุบเขาสิบกว่าเมตร มีชายแก่ไม่สูงมากยืนอยู่ หลังจากได้ยินเสียงของเขาแล้ว คนนั้นก็หันหัวกลับมาอย่างเร็ว


“สวรรค์ นี่ยังเป็นคนอยู่มั๊ย” เมิ่งตาบอดดวงตามีสีเขียวปั๊ด เยี่ยเทียนจึงถอยหลังลับไปหยุดอยู่ด้านหน้าของเมิ่งตาบอดห่างประมาณเจ็ดแปดเมตร


เมิ่งตาบอดคิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองที่เบาขนาดนี้  ยังทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตัวได้ พลันก็หมุนตัวกลับมา เปิดปากกล่าวว่า “แกเป็นคนที่ เหล่าหูเชิญให้มาช่วยเหลือใช่มั๊ย”


เยี่ยเทียนส่ายหัว ถามกลับไปว่า “ในฐานะคนของฉีเหมิน หูเสี่ยวเซียนเคยล่วงเกินแกเหรอ!”


ฉีเหมินมีกฎของฉีเหมิน ห้ามฆ่าคนบริสุทธิ์ แต่หากมีคนล่วงเกิน ลงมือทำร้ายคน ใครก็ว่าไม่ได้ ประโยคนี้ของเยี่ยเทียนทำให้เมิ่งตาบอดโต้เถียงไม่ได้


ปู่เมิ่งจะฆ่าคน จำเป็นจะต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ เด็กน้อย แกก็ตายเหมือนกันเถอะ”


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังวิญญาณที่ประทับร่างหรืออะไร เมิ่งเซียจือในเวลานี้สมองไม่แจ่มใส ลืมว่าเมื่อก่อนถูกอีกฝ่ายไล่ฆ่าจนแพ้ ต้องหนีหัวซุกหัวซุน กลับเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีเยี่ยเทียนก่อน


ตอนที่ 422 ไม่ตายไม่เลิกรา

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมิ่งตาบอดเดิมทีร่างกายก็ไม่สูงมากนัก ตอนนี้คอกลับหดสั้นลง หูตั้ง สองมือตบลงบนพื้น ทั้งล่างตีลังกายืนขึ้น เหมือนกับลิงพุ่งเข้าหาเยี่ยเทียน


“หมัดวานร หรือว่าสามารถอัญเชิญเทพซุนหงอคงได้จริงๆ เหรอ”


วิชามวยพื้นฐานที่เยี่ยเทียนฝึกก็คือ มวยเบญจสัตว์  กระบวนท่าจะเลียนแบบสัตว์ อาศัยรูปร่างของสัตว์แปลงเป็นรูปร่างของการออกหมัด จึงเข้าใจเป็นอย่างดี เมื่อมองท่าทางของเมิ่งตาบอดแล้ว ก็รู้ว่าใช้หมัดวานร


หมัดวานรนี้สืบทอดมาจากนักต่อสู้ท่านหนึ่งคิดค้นขึ้นตอนอยู่ในป่าในปลายราชวงศ์ชิง ท่าออกหมัดคล่องแคล่วแปลกประหลาด การโจมตี การหลบหนีที่ไม่มีการเตรียมการ แตกต่างกับกลวิธีปกติเป็นอย่างมาก


จากท่ายืนที่ยังไม่ถูกต้อง เยี่ยเทียนจึงถอยหลังออกมาเล็กน้อยเพื่อหลบการโจมตีของเมิ่งตาบอด เมิ่งตาบอดถึงแม้จะรวดเร็ว แต่หากเทียบกับเยี่ยเทียนยังห่างชั้นกันอยู่มาก


เห็นเยี่ยเทียนหลบหลีก เมิ่งตาบอดก็ตีลังกาบนพื้น ไม่ได้ลุกขึ้นมาก็โจมตีไปทางเยี่ยเทียนสามกระบวนท่าโดยหนึ่งในนั้นก็คือ ท่าวานรขโมยลูกท้อ ซึ่งเป็นกระบวนท่าที่เลวร้ายมาก


เยี่ยเทียนเท้าขวายกขึ้นป้องกันการโจมตีของเมิ่งตาบอด มีเสียงดัง “ปึกปัก” ออกมา เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย กระบวนท่าที่เมิ่งตาบอดตะปบมา ทำให้ขากางเกงเขาขาดวิ่นแล้วยังครูดขาเขาอีกด้วย รู้สึกเจ็บปวดกล้ามเนื้อที่ขาขึ้นมา


การโจมตีนี้ไม่ทำให้เกิดบาดแผล เมิ่งตาบอดจึงตกตะลึง เขาเคยแอบซุ่มโจมตีคนขุดโสมคนหนึ่งบนเขา กรงเล็บของเขานั้นได้ดึงเนื้อของคนเก็บโสมคนนั้นออกมาก้อนหนึ่ง ไม่เคยคิดว่าสำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่มีความเสียหายอะไรเกิดขึ้นเลย


ปากก็ส่งเสียงร้องประหลาดขึ้นมา ในตอนที่เมิ่งตาบอดขยับตัวไปด้านหน้า ก็มีเงาสูงใหญ่มาบังตัวของเยี่ยเทียนไว้ เป็นหูหงเต๋อที่รีบมาจากในป่านั่นเอง


“เยี่ยเทียน ให้ฉันรับมือเอง!” เผชิญหน้ากับคนเคยคบค้าสมาคมกันเมื่อสิบปีก่อน  จนในปัจจุบันกลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาต หูหงเต๋อสองหมัดกำแน่น มือสองข้างก็เปลี่ยนเป็นกรงเล็บอินทรีย์ ยกสูงขึ้นมา


“ระวังหน่อย ตัวเขาตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณเลย!” เยี่ยเทียนพยักหน้า หลังจากกำชับหูหงเต๋อไปประโยคหนึ่งแล้ว ก็เคลื่อนตัวถอยออกมาอีกฝั่งหนึ่ง


นกอินทรีย์ไม่เพียงแต่จับกระต่ายหรือหนูเป็นอาหารเท่านั้น ลิงบนเขาก็เป็นเป้าโจมตีของพวกมัน กรงเล็บเหยี่ยวปะทะหมัดวานร พอดีกับที่ต้านทานอีกฝ่ายได้


ถึงแม้หูหงเต๋อในเวลานนี้ จะมีสภาพร่างกายและจิตใจอ่อนแรงกว่าเมิ่งตาบอดเล็กน้อย แต่พลังวรยุทธ์ของเขามาจากการฝึกฝนด้วยตนเอง เมื่อใช้งานแล้วก็สั่งได้ดั่งใจมากกว่าเมิ่งตาบอดมากนัก


หมัดวานรออกหมัดแรง ชกออกไปใช้แรงตามจังหวะ แต่กรงเล็บอินทรีย์นั้นใช้พลังแข็งแกร่ง นิ้วทั้งห้าของหูหงเต๋อนั้นเหมือนกับกรงเล็บตะขอเหล็กกล้า พลังออกมาจากกระดูก แต่ละกรงเล็บที่ตะครุบออกไป ก็มีเสียงแรงลมดังขึ้นมา ทั้งสองคนต่อสู้กันขึ้นมา ในเวลาอันสั้นนั้นแพ้ชนะยากที่จะตัดสิน


“ตึง ปึก!”


ตามเสียงประทะที่ดังขึ้น เงาของทั้งคู่แยกออกจากกัน กลับเป็นหูหงเต๋อที่เสียเปรียบเล็กน้อย ด้านหลังถูกกรงเล็บของเมิ่งตาบอดตะกุย จนเป็นรอยนิ้วทั้งห้าเห็นได้อย่างชัดเจน


“เหล่าหู ทุกคนก็ล้วนหากินบนภูเขา แกเดินทางสายสว่างของแก ฉันก็เดินทางบนสะพานไม้โดดเดี่ยวของฉัน ทำไมแกต้องมาคอยขัดขวางฉันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย หรือว่ายึดติดอยู่กับความหลังครั้งเก่าก่อนพวกนั้นเหรอ”


หลังจากโจมตีไปได้หนึ่งหมัด เมิ่งตาบอดก็ไม่ได้โจมตีต่อ ดวงตากรอกหมุนไปมา มีเหลือบมองไปทางเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้างบ้างเป็นครั้งคราว


สำหรับหูหงเต๋อ เมิ่งตาบอดไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย แต่คนหนุ่มที่ไม่รู้จักตื้นลึกหนาบางนั้นทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นสุข ดังนั้นถึงแม้จะต่อสู้ช่วงชิงโอกาสได้ เมิ่งตาบอดกลับกล่าวว่าจาอ่อนน้อมลงมา


“เมิ่งเซียจือ กฎของภูเขาแกก็รู้ ฉันปล่อยแกไปหลายครั้ง แกกลับจะพรากเอาชีวิตหลานสาวของฉันไป แกกับฉันวันนี้ ไม่ตายไม่เลิกรา !”


หูหงเต๋ออายุมากกว่าเมิ่งตาบอดสิบกว่าปี เขามักให้ความสำคัญกับกฎระเบียบธรรมเนียมเก่าก่อน ก็เพราะแบบนี้ เขาถึงได้เกลียดเมิ่งตาบอดเข้าไส้ ทั้งสองคนไม่มีทางไกล่เกลี่ยให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก


ถึงแม้จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดของบาดแผล หูหงเต๋อที่ถึงแม้จะอายุมากแต่ก็ยังคงมีพละกำลังอยู่ จึงไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เขาเองก็รู้สึกได้ว่า ท่าทางบนร่างกายของเมิ่งตาบอดเหมือนกับกำลังอ่อนแรงลง


ไม่เพียงแต่หูหงเต๋อที่สัมผัสได้ เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน พลังวิญญาณที่ล้อมรอบตัวของเมิ่งตาบอดอยู่นั้น กำลังค่อยๆ หายไปทีละน้อย คาดว่าหลังจากสามถึงห้านาทีผ่านไป เมิ่งตาบอดก็จะกลับมาเป็นคนปกติอีกครั้ง


สีหน้าของเมิ่งตาบอดเปลี่ยนไป มีสีหน้าโกรธแค้นกล่าวว่า “เหล่าหู แกอย่าบีบคนให้จนตรอกมากเกินไป!”


เมิ่งตาบอดที่ได้ฝึกปรือวิชาชามันนั้น เริ่มมาจากคุณปู่ของเขา ในตอนที่กษัตริย์ชิงสละราชบังลังก์ เป็นตอนที่ประเทศจีนกำลังวุ่นวาย


เพื่อเป็นการรักษาสายเลือดของตัวเอง ปู่ของเมิ่งตาบอดไม่ได้ให้ลูกชายฝึกวิชาชามัน แต่สั่งให้คนพาลูกชายไปยังสถานที่ที่กำเนิดลัทธิชามันเพื่อหลบซ่อนตัว


ประเทศจีนในตอนนั้นไม่มีพื้นที่ไหนที่ปลอดภัย พ่อของเมิ่งตาบอดในท้ายที่สุดก็ร่วมกับหูอวิ๋นเป้าขึ้นเขาตั้งกองโจรขึ้นมา ในยุคที่ใช้ปืนผาหน้าไม้ต่อสู้กัน เขาก็ไม่ได้สนใจลัทธิชามันที่สืบทอดของตระกูลเท่าไหร่


รอจนพ่อของเมิ่งตาบอดถูกยิงตายแล้ว ที่บ้านก็เต็มไปด้วยหีบหนังสือเคล็ดวิชาสองหีบใหญ่ และก็ถูกเผาเสียหายไปหนึ่งหีบ อีกหีบหนึ่งอยู่ใต้เตียงจึงรอดมาได้ รวมถึงกลองหนังแพะและกระพรวนทองที่พกไม่ห่างกาย


คนบนเขานั้นใสซื่อ ไม่มีการดูถูกพ่อของเมิ่งตาบอดที่ถูกยิงตาย ดังนั้นตอนเด็กเขาก็เข้าเรียนได้สองปีจึงอ่านหนังสือออก โอกาสบังเอิญครั้งหนึ่งได้เปิดหีบนั้นดู


ภายในหีบบรรจุความรู้ที่เป็นประตูเปิดโลกกว้างให้กับเมิ่งตาบอด ถึงการสืบทอดจะขาดหายไม่สมบูรณ์ แต่เมิ่งตาบอดก็เรียนรู้จนสามารถเชิญองค์เทพประทับร่างได้ แต่วิชานี้ ก็มีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงอยู่


นั่นก็คือพลังการเชิญองค์เทพสามารถรักษาไว้ได้ในเวลาที่จำกัด ปกติแล้วอย่างมากที่สุดก็ครึ่งชั่วโมง และหลังจากเชิญองค์เทพประทับแล้ว ร่างกายก็จะอ่อนแอลงอย่างผิดปกติ


ในตอนนี้ระยะเวลาที่พลังเทพจะสูญหายไปนั้นใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ดังนั้นเมิ่งตาบอดจึงยอมอ่อนข้อให้กับหูหงเต๋อ ดวงตาคู่นั้นในขณะเดียวกันก็มองไปรอบด้าน เหมือนกับว่าจะหาทางหนีทีไล่เอาไว้


“คิดจะหนีเหรอ อยู่ที่นี่แหละ!”


หูหงเต๋อเป็นคนระดับไหน แค่มองก็เห็นความคิดในใจของเมิ่งตาบอดแล้ว ในตอนนั้นไม่กล่าวมากความอีก โถมตัวเข้าไป กรงเล็บที่แข็งราวกับเหล็กโจมตีไปที่จุดตายของเมิ่งตาบอด


เยี่ยเทียนเห็นเท้าของเมิ่งตาบอดเริ่มลอยแล้ว ตอนนั้นจึงได้ตะโกนออกไป “เหล่าหู ออกแรงหน่อย มันจะไม่ไหวแล้ว!”


“วางใจได้ มันหนีไปไหนไม่ได้หรอก!”


หูหงเต๋อและเมิ่งตาบอดประทะหมัดกัน พลันก็รู้สึกได้ถึงพลังของอีกฝ่ายลดลงอย่างมาก ในปากก็เปล่งเสียงร้องของพญาอินทรีย์ออกมา กรงเล็บพุ่งเป้าไปที่คอหอยของเมิ่งตาบอด


ตามความคิดของหงหูเต๋อ เมิ่งเซียจื่อจะต้องหลบหลีกได้แน่นอน จากนั้นก็จะอาศัยจังหวะทำลายไหล่ทั้งสองข้างของเขา แต่ที่หงหูเต๋อคิดไม่ถึงก็คือ ร่างการของเมิ่งตาบอดแข็งค้าง ถูกกรงเล็บเล่นงานเข้าพอดี


หูหงเต๋อตั้งแต่เล็กก็จับลูกบอลไม้ในน้ำฝึกกรงเล็บ หลังจากนั้นก็เป็นลูกบอลไม้ใหญ่ขึ้น สุดท้ายก็เป็นลูกเหล็ก กรงเล็บตะครุบลงไปรุนแรงเกินต้านทาน หากว่าเป็นต้นไม้ที่ใหญ่เท่าชามข้าวแค่กรงเล็บเดียวก็หักคาต้น นับประสาอะไรกับคอของคนกัน


เนื่องจากเมื่อซักครู่ด้านหลังได้รับบาดเจ็บ หูหงเต๋อลงมือคราวนี้ออกแรงทั้งหมดทุ่มลงไป เขาคิดไม่ถึงว่าเมิ่งตาบอดไม่หลบหลีกแล้ว นิ้วมือของระบวนท่านี้แหลมคม แต่ยังไงก็ยั้งมือไม่อยู่แล้ว


ตามด้วยเสียง “ฉับ” ดังขึ้นอย่างชัดเจน คอของเมิ่งเซียจื่อก็ถูกกรงเล็บตัดขาดลงมา หัวกลิ้งตกลงบนพื้น ดวงตายังทอประกายไม่อยากเชื่อค้างอยู่


เมิ่งตาบอดคิดไม่ถึงว่า ในเวลาสำคัญแบบนี้ พลังเทพในร่างกายจะพลันสลายหายไป ฝีมือดั้งเดิมของเขาเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหงหูเต๋อ คอนี้จึงเหมือนกับรอรับการมาของกรงเล็บพญาอินทรีย์


“เหล่าหู คุณ…ทำไมคุณถึงฆ่ามันไปแล้วหล่ะ”


เยี่ยเทียนก็คิดไม่ถึงว่าผลแพ้ชนะจะตัดสินกันเร็วขนาดนี้ และเหมือนกับคำที่หูหงเต๋อลั่นวาจาเอาไว้ ทั้งสองจะสู้กันไม่พักจนกว่าจะมีใครตาย


ความเป็นความตายของเมิ่งตาบอด เยี่ยเทียนไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ แต่สำหรับวิชาของเมิ่งตาบอด เขากลับอยากหามาดูซักหน่อย ดูว่าวิชาชามันนี้มันเป็นยังไงกันแน่


แต่ว่าพอเมิ่งตาบอดตายไป การสืบทอดนั้นก็เท่ากับว่าตายไปพร้อมกับเขาแล้ว นี่ทำให้เยี่ยเทียนผิดหวังอยู่ไม่น้อย ยุทธภพฉีเหมินในครั้งนี้ก็จะมีส่วนขาดหายไปอีกหนึ่ง


“ฉัน..ฉันก็คิดไม่ถึงว่ามันจะไม่หลบนี่!”


หูหงเต๋อหน้าตาไม่สู้ดี ค่อยๆ ปล่อยมือที่บีบคอหอยของเมิ่งตาบอดออก ร่างกายที่ไร้ลมหายใจจึงล้มตึงลงไปที่พื้น


หูหงเต๋อได้เก็บพลังที่ปล่อยออกมาแล้ว เพียงแต่ความสามารถของเขายังไม่ได้สลายไป ปลายนิ้วที่มีพลังแฝงจึงยังเก็บไม่ได้ แต่พลังที่เหลือก็ไม่ได้ตะครุบอวัยวะเส้นเลือดอื่น ถือว่าเป็นการเหลือร่างที่สมบูรณ์ให้กับเมิ่งตาบอดแล้ว


“เอาเถอะ ดูว่าบนตัวของมันมีอะไรเหลือทิ้งไว้บ้างเถอะ”


เยี่ยเทียนถอนหายใจ กล่าวว่า “เหล่าหู จุดไฟไว้บริเวณที่ว่างแบบนี้ คุณออกไปแบกคนที่ไม่ตายมาก่อน ไม่อย่างนั้นปล่อยไว้เดี๋ยวก็แข็งตาย!”


สภาพอากาศลบยี่สิบสามสิบองศา เกรงว่าในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็จะทำให้เส้นเลือดและชีพจรแข็งตัว อีกทั้งหูหงเต๋อก็บอกเองว่าโทษของพวกนั้นไม่ถึงกับตาย เยี่ยเทียนเองก็อยากไว้ชีวิตพวกนั้นด้วย


นอกจากกัวจื่อเซินและคนที่ถูกเขายิงที่ตายไปแล้ว พวกคนที่ตามเมิ่งตาบอดเข้ามาในภูเขาก็เหลือรอดเพียงสองคนเท่านั้น มือหนึ่งแบกคนหนึ่ง เยี่ยเทียนเอาพวกเขาไปทิ้งไว้บริเวณที่หูหงเต๋อจุดไฟไว้


ในมือของหูหงเต๋อมีหนังแกะอยู่ชิ้นหนึ่ง โชว์ต่อหน้าเยี่ยเทียนแล้วกล่าวว่า “เยี่ยเทียน เธอมาดูของสิ่งนี้ ฉันหยิบมาจากร่างของเมิ่งตาบอด”


นอกจากหนังแกะผืนนั้นแล้ว ในมือของหงหูเต๋อยังหยิบโสมป่าที่มีขนาดใหญ่เท่านิ้วหัวแม่มือเอาไว้ด้วย  แต่กลองหนังแกะก่อนหน้านั้นกลับไม่เห็นเงา


“เหล่าหู ด้านบนมีแผนที่วาดเอาไว้ “ เยี่ยเทียนหยิบแผ่นหนังแกะมา พิจารณาดูอย่างละเอียด เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “หนังแกะนี้ถูกตัดทำไว้ดูแล้วมีอายุไม่น้อยเลย”


“ใช่ หนังแกะนี้มีอายุไม่เกินยี่สิบปี แต่แผนที่นี้ค่อนข้างน่าสนใจ”


หูหงเต๋อพยักหน้า มองทางเดินบนแผนที่แล้วกล่าวว่า “เส้นทางหลักนี้ก็คือทางไปยังบึงน้ำมังกรดำ หรือก็คือบริเวณที่พวกเราสองคนยืนอยู่ และจุดนี้ ก็คือที่นั่น!”


หูหงเต๋อชิ้นิ้วไปตามทิศทาง ที่แท้ก็ห่างจากพวกเขาไปประมาณสิบกว่าเมตร เป็นผนังเชิงผา ตอนแรกที่เยี่ยเทียนเห็นเมิ่งตาบอดนั้น เขาก็เหมือนกับกำลังยืนอยู่หน้าผนังเชิงผานั้นอยู่


“น่าแปลก!” เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อมองตากัน และลุกขึ้นไปดูพร้อมกัน


“อืม นี่ไม่ใช่กลองที่เมิ่งตาบอดตีหรอกเหรอ” เยี่ยเทียนเตะโดนของสิ่งหนึ่งเมื่อหยิบขึ้นมาดู พลันตาก็โตขึ้นมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)