กระบี่จงมา 420.2-421.3
บทที่ 420.2 เซียนกระบี่บนทะเลสาบ ดอกไ...
ชุยตงซานพลันนั่งลง ชายแขนเสื้อของเขาพลิกตลบ ไม่รู้ไปเสกเครื่องดนตรีมาจากไหน จากนั้นก็เริ่มตีเครื่องดนตรีพลางร้องเพลง
เป็นเพลงพื้นบ้านกินเต้าหู้เหม็นที่เฉินผิงอันกับเผยเฉียนดัดแปลงมาจากเพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งของเขตการปกครองหลงเฉวียน
ชุยตงซานร้องเพลงเสียงดัง “เสี่ยวเอ้อร์ของร้าน ข้าอ่านหนังสือมามาก รู้จักตัวอักษรมาก สะสมความรู้ไว้เต็มท้อง แต่เอามาขายได้ไม่กี่อีแปะ”
เผยเฉียนเก็บน้ำเต้าจิ๋วไปแล้ว นางยืดอกตั้ง เชิดศีรษะขึ้นสูง เดินวนรอบตัวชุยตงซาน “เต้าหู้เหม็นอร่อย ซื้อไม่ไหวหรือไร!”
“บนภูเขามีภูตผีปีศาจ ในแม่น้ำลำธารมีผีพราย ตกใจหันหน้ากลับไป ที่แท้ก็จากบ้านมาหลายปีแล้ว”
“ตกใจจนข้าต้องรีบกินเต้าหู้เหม็นระงับความตกใจ!”
“แม่นางน้อยจากบ้านไหน บนร่างหอมกลิ่นกล้วยไม้ เหตุใดร้องไห้จนหน้าลายพร้อย เจ้าว่าน่าสงสารหรือไม่?”
“กินเต้าหู้เหม็นเถอะ เต้าหู้เหม็นหอมเหมือนดอกกล้วยไม้!”
“ขอถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไร ว่าวกระดาษอันน้อยตากแดดห้อยอยู่บนกิ่งไม้”
“ปีนต้นไม้ปลดว่าวน้อยลงมา แล้วกลับบ้านไปกินเต้าหู้เหม็น!”
“เทพเซียนจุดธูปหน้าหลุมศพดุจเด็กหนุ่ม ลูกหลานในหลุมกลับกระดูกขาวมาร้อยปีแล้ว เจ้าว่าน่าหัวเราะหรือไม่?”
นี่เป็นท่อนที่ชุยตงซานพูดเหลวไหลเลื่อนเปื้อนไปเอง เผยเฉียนเลยอึ้งตะลึง แต่ก็ไม่มีเวลามามัวสนใจ รีบพูดคล้อยตามไปอย่างส่งเดช “เอ๊ะ? ใครกินเต้าหูเหม็นไปกันแน่?”
“เจ้าพูดเหตุผลของเจ้า ข้ามีหมัดของข้า ยุทธภพวุ่นวายสับสน บุญคุณความแค้นจะมีไปถึงเมื่อไหร่?”
ชุยตงซานยังคงเปลี่ยนบทเพลงไปอย่างมั่วซั่ว เผยเฉียนจึงแสร้งทำเป็นผีขี้เหล้าตัวน้อยอีกครั้ง เดินเอียงไปซ้ายทีขวาที “เต้าหู้เหม็นกินแกล้มเหล้า ข้าทั้งหิวทั้งกระหาย ยุทธภพไม่มีความหมายก็ไม่เป็นไร”
“คนบนโลกล้วนกล่าวว่าเทพเซียนดี ข้าว่าบนภูเขากลับไม่อิสระเสรี…”
เผยเฉียนหันหน้ามาถลึงตาใส่ชุยตงซานที่แต่งเพลงมั่วซั่วไม่จบไม่สิ้นสักที แล้วก็ร้องตอบไปมั่วๆ เช่นกัน “หากเจ้ายังทำอย่างนี้ ข้าคงกินเต้าหู้เหม็นท้องแตกตายพอดี!”
ชุยตงซานไม่ทำให้เผยเฉียนลำบากใจอีก เขาลุกขึ้นยืน ถามว่า “กินเต้าหู้เหม็นไปแล้ว ดื่มเหล้าไปแล้ว แล้วเซียนกระบี่ล่ะ?”
เผยเฉียนเองก็ทำหน้างงงัน ถามย้อนกลับว่า “ใช่สิ เหล้ามีแล้ว แล้วเซียนกระบี่อยู่ไหน?”
คนทั้งสองมองไปทางหอสูงแล้วตะโกนขึ้นพร้อมกัน “ลองตะโกนเรียกดูสิ?”
หลี่เป่าผิงสูดลมหายใจเขาลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “อาจารย์อาน้อย!”
ชุยตงซานดีดนิ้วหนึ่งที พวกหลี่ไหวพากันปรากฏตัว
ทุกคนล้วนมองไปทางยอดเขาของภูเขาตงหัว
หลี่เป่าผิงเองก็หันหน้ามองตามไป
เงาร่างสีขาวหิมะพลันพุ่งวูบมาจากบนยอดเขา
พลิ้วกายลงบนทะเลสาบด้วยพลังอำนาจน่าเกรงขาม
ชุดคลุมอาคมจินหลี่โบกสะบัดไม่หยุด ประหนึ่งมีเซียนชุดขาวมายืนอยู่บนพื้นผิวกระจก
เฉินผิงอันไม่ได้สะพายเจี้ยนเซียนไว้บนไหล่ แค่ห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอว
พอเฉินผิงอันยื่นมือออกมา
ชุยตงซานก็หยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ประกบสองนิ้วปาดหนึ่งครั้ง เลียนแบบคำพูดติดปากของหลี่เป่าผิง “เจ้าไปได้!”
กระบี่ยาวหลุดออกจากฝัก แหวกอากาศเป็นเส้นยาว
เฉินผิงอันยื่นมือมากุม วาดปลายกระบี่เป็นวงโค้ง ถือกระบี่ไพล่ไว้ด้านหลัง สองนิ้วประกบกันไว้เบื้องหน้าทำมุทราคาถากระบี่ คลี่ยิ้มพูดด้วยเสียงทรงพลัง “คนบนโลกล้วนกล่าวว่าผู้ที่สะสมหิมะเป็นธัญญาหาร กลึงอิฐเป็นกระจกคือคนปัญญาอ่อน (เพราะการเอาหิมะเป็นธัญญาหาร กลึงอิฐเป็นกระจกเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้ หิมะไม่อาจกินต่างอาหาร เอาหินมาส่องก็มองไม่เห็นตัวเอง เป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่า) แต่ข้าจะทวนกระแสขึ้นไปชนกำแพงทิศใต้ดูสักครั้ง! (เปรียบเปรยถึงคนที่ดึงดันจะทำตามความคิดของตัวเอง) ดื่มเหล้าในยุทธภพจนหมดสิ้น รู้หลักการเหตุผลบนโลก ข้ามีหนึ่งกระบี่ก็ใช้กระบี่ ยิ่งออกกระบี่ยิ่งรวดเร็ว สักวันหนึ่งเมื่อส่งกระบี่ออกไป มันจะกลายเป็นกระบี่มีชีวิตที่สง่างามเป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้า…”
แล้วเฉินผิงอันก็เริ่มกระโดดไปบนผิวน้ำเหมือนกบ เดินอยู่บนผิวของทะเลสาบอย่างสง่างาม กระบี่ที่ถืออยู่ในมือพลิกหมุนกวัดแกว่งได้สมปรารถนา ประหนึ่งสายลมที่พัดโชยใบไม้ให้ร่วงหล่น เรือนกายของเขาเบี่ยงไปทางขวาเล็กน้อย เท้าซ้ายก็เยื้องไปด้านหน้าอย่างแผ่วเบา มือขวาที่กำกระบี่หมุนไปตามตัว ตวัดไปทางขวาแล้วดึงกลับหลัง ตามองกระบี่ตาม แล้วทันใดนั้นเขาก็งอขาข้างขวาเป็นท่าคันธนู (หนึ่งในห้าท่าพื้นฐานของการฝึกวรยุทธ์ เท้าหนึ่งก้าวไปข้างหน้า งอเท้า เท้าหลังเหยียดตรง) กระบี่ตวัดขึ้นด้านบน ตามองปลายกระบี่ “เซียนชักกระบี่ออกจากชายแขนเสื้อ วาดกระบี่เป็นวงโค้งเดินตามไป ดวงตามองปลายกระบี่ เหนือปลายกระบี่มีแผ่นดิน”
เฉินผิงอันก้าวยาวๆ เดินไป กระบี่ก็เคลื่อนตามตัวไปด้วย ปณิธานกระบี่ทอดยาวเป็นสาย มีทั้งช้ามีทั้งเร็ว แล้วจู่ๆ ก็พลันหยุดชะงัก สะบัดข้อมือตวัดปลายกระบี่ขึ้นด้านบน ปลายกระบี่พ่นประกายแสงดุจงูเหลือมสีขาวแลบลิ้น หลังจากนั้นกระบี่ยาวก็หลุดออกจากมือ แต่กลับบินโฉบวนรอบกายเฉินผิงอันประหนึ่งนกน้อยอิงแอบคน เฉินผิงอันใช้จิงชี่เสินและการเดินนิ่งหกเก้าที่ปณิธานหมัดผสานรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติเดินขึ้นหน้า กระบี่บินเดี๋ยวเคลื่อนเดี๋ยวหยุดตามไป หลังจากเฉินผิงอันปล่อยหมัดสุดท้ายของท่าเดินหนึ่งก็ต่อยหนักๆ ลงบนด้ามกระบี่พอดี กระบี่บินบินวนเป็นวงกลมอยู่เบื้องหน้าเฉินผิงอัน แสงกระบี่ไหลเวียนไม่หยุดนิ่งประหนึ่งแสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนทะเลสาบ เฉินผิงอันยื่นแขนออกไป สองนิ้วปาดไปบนด้ามกระบี่บินอย่างแม่นยำ โบกชายแขนเสื้อไปด้านหลัง กระบี่บินก็บินออกไปไกลสิบกว่าจั้ง จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินหน้าต่อไปช้าๆ กระบี่บินเริ่มวาดวงกลมวงแล้ววงเล่า จากเล็กไปใหญ่ สาดส่องให้ทะเลสาบทั้งผืนเกิดประกายแสงเรืองรอง ปราณกระบี่แผ่อบอวลน่าเกรงขาม
“เดินทางยามค่ำคืนเยือนจวนเทพวารี ยามกลางวันเยี่ยมเยือนศาลเทพอภิบาลเมือง เรือน้อยลอยลำในร่องเจียวหลง เซียนสะพายกระบี่ดุจตั้งขบวนรบ…คนทั้งโลกต่างพากันพูดว่าเหตุผลไร้ประโยชน์ที่สุด แต่ข้ากลับกล่าวว่าในตำราย่อมมีปณิธานของเซียนกระบี่ แต่ละตัวอักษรมีแสงกระบี่ อีกทั้งยังจะสอนให้อริยะปราชญ์ต้องมองปราณกระบี่ของข้าที่ทะยานท่วมเทียมฟ้า!”
หลี่เป่าผิงตบมือรัวๆ เสียงดัง ใบหน้าแดงก่ำ
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแล้วขว้างไปอย่างไม่ใส่ใจ ยื่นมือบังคับให้กระบี่มาอยู่ในมือ ส่งกระบี่ออกไป ปลายกระบี่ก็รับน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ได้พอดี
เขาตวัดกวัดแกว่งกระบี่ได้ตามใจปรารถนายิ่งกว่ายามที่เผยเฉียนร่ายวิชากระบี่มารคลั่งเสียอีก
แต่ไม่ว่าจะออกกระบี่อย่างไร น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ปลายกระบี่ก็ยังคงตั้งนิ่งไม่ขยับ
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าชุยตงซานถอนบ่อสายฟ้าที่ปราณกระบี่สีทองสร้างขึ้นออกไปนานแล้ว
แม้คนนอกจะไม่ได้ยินเสียงจากแถบนี้ แต่คนมากมายในสำนักศึกษากลับเห็นท่าบังคับกระบี่ร่ายรำของเขา
……
คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตูสำนักศึกษา
เฉินผิงอันสะพายกระบี่ยาวเจี้ยนเซียนและหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ไว้บนหลังเรียบร้อยแล้ว
เผยเฉียนสะพายห่อสัมภาระ มือถือไม้เท้าเดินป่า ตรงเอวห้อยเตาเจี้ยนชว่อ (ดาบและกระบี่สลับกัน)
จูเหลี่ยนยืนอยู่ข้างกายสือโหรว
หลี่ไหวซุบซิบอยู่กับเผยเฉียน นัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันหน้าจะต้องออกไปท่องยุทธภพด้วยกัน จากนั้นก็หันมาพูดกับเฉินผิงอันเบาๆ “ไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วอย่าลืมช่วยไปดูบ้านของข้าให้บ้างล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา”
จากนั้นก็พูดกับพวกหลี่เป่าผิง หลินโส่วอีและหลี่ไหวว่า “พวกเจ้าไปเรียนกันเถอะ ไม่ต้องไปส่งแล้ว ตอนนี้ก็เสียเวลามาไม่น้อยแล้ว เดี๋ยวภายภาคหน้าพวกอาจารย์จะไม่อยากเห็นหน้าข้าอีก”
หลี่เป่าผิงไม่ได้ยืนกรานว่าจะไปส่งอาจารย์อาน้อยถึงประตูใหญ่ของเมืองหลวงต้าสุย นางพยักหน้ารับ “อาจารย์อาน้อย เดินทางระวังด้วย”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง “อาจารย์อาน้อยยังต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ”
หลี่เป่าผิงยิ้มกว้าง
เฉินผิงอันประสานมือคารวะบอกลาเหมาเสี่ยวตง
เหมาเสี่ยวตงผงกศีรษะรับ ลูบหนวดยิ้มพูดว่า “วันหน้าก็มาบ่อยๆ”
สุดท้ายชุยตงซานบอกว่าจะเดินไปส่งอาจารย์ที่สุดถนนป๋ายเหมา
เผยเฉียนแอบกระซิบกระซาบอยู่กับพี่หญิงเป่าผิง สองศีรษะสุมเข้าด้วยกัน สุดท้ายเผยเฉียนยิ้มหน้าบาน เยี่ยมไปเลย ได้ตำแหน่งเจ้าประมุขน้อยมาครองแล้ว!
เฉินผิงอันกับชุยตงซานเดินช้าๆ นำไปด้านหน้าสุด จนกระทั่งเดินออกจากถนนป๋ายเหมาที่เลี้ยวเข้าสู่ถนนใหญ่ สุดท้ายเมื่อไปถึงสุดปลายถนนป๋ายเหมา ชุยตงซานก็หยุดเดิน เอ่ยเนิบช้าว่า “อาจารย์ ข้าไม่รู้สึกว่าวิถีทางโลกในทุกวันนี้เลวร้ายยิ่งกว่าในอดีต ผู้ฝึกตนบนภูเขามีมากขึ้นทุกที คนล่างภูเขาที่อยู่ดีกินดี อันที่จริงกลับมีมากยิ่งกว่า ท่านรู้สึกว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะเป็นเช่นนี้”
ชุยตงซานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พึมพำเบาๆ ว่า “แต่จะปฏิเสธไม่ได้ว่า ขุนเขาที่สูงพ้นผืนดินจนคล้ายกระบี่หลายเล่ม ยอดเขาที่ชี้ตรงไปยังม่านฟ้าเหล่านั้น ทุกๆ ระยะหนึ่งร้อยหรือหนึ่งพันปี จำนวนที่พวกมันจะปรากฏตัว แท้จริงแล้วกลับน้อยลงทุกที ดังนั้นข้าหวังว่าการพบพรากและความสุขความทุกข์ทั้งหมดของพวกเรา จะไม่เปลี่ยนไปเป็นเหมือนไก่ที่จิกอาหารอยู่นอกเล้า ไม่กลายเป็นเสียงจิ๊บๆ จั๊บๆ ในรังนกกระจอก ไม่อ้างว้างเดียวดายดุจจักจั่นบนกิ่งไม้ในหน้าหนาว”
ชุยตงซานชี้นิ้วไปที่จุดสูง “ในท้องนภาที่สูงขึ้นไป ถึงอย่างไรก็ต้องมีเสียงนกกระเรียนร้องให้ได้ยินสักครั้งสองครั้ง แม้จะอยู่ห่างจากพื้นดินไปไกล แต่ก็ยังทำให้คนสัมผัสได้ถึงความเศร้าอาดูร เงยหน้ามองเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ก็ยากจะทำให้คนลืมเลือนได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าคิดได้แบบนี้ ข้ารู้สึกว่าดีมาก”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะก็กล่าวว่า “อาจารย์เล่าเรียนมาน้อย ความรู้ตื้นเขิน ตอนนี้ยังไม่อาจให้คำตอบแก่เจ้าได้ แต่ข้าจะคิดให้มากๆ ต่อให้สุดท้ายแล้วก็ยังให้คำตอบไม่ได้ ก็จะบอกเจ้าว่าอาจารย์คิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ศิษย์ทำให้อาจารย์ลำบากใจซะแล้ว ถึงเวลานั้นศิษย์อย่าได้หัวเราะเยาะอาจารย์”
นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินผิงอันยอมรับว่าตัวเองคืออาจารย์ของชุยตงซาน
ชุยตงซานคลี่ยิ้มเจิดจ้า พลันโค้งตัวลงต่ำ พอยืดตัวขึ้นแล้วก็กล่าวเบาๆ ว่า “ต้นข้าวที่บ้านเกิดออกรวง ดอกไม้บานบนทางเล็กริมคันนา อาจารย์ค่อยๆ เดินทางกลับไปได้แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “นี่เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว”
ชุยตงซานส่ายหน้าอย่างแรง “หวังว่าในใจของอาจารย์ สี่ฤดูกาลดุจวสันตฤดู”
บทที่ 421.1 สายน้ำและภูเขายังคงเดิม
เส้นทางกลับบ้านเกิดจากเมืองหลวงต้าสุยไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี เฉินผิงอันคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด
เขายังคงพยายามเลือกทางสายเล็กในป่าเขา รอบกายไร้ผู้คน นอกจากจะฝึกเดินท่าฟ้าดินแล้ว ทุกวันยังจะต้องขอให้จูเหลี่ยนช่วยป้อนหมัด ยิ่งต่อยก็ยิ่งเอาจริงเอาจัง จากที่จูเหลี่ยนสะกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตหก ถึงท้ายที่สุดก็ไปถึงขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด ความเคลื่อนไหวยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที ทำเอาเผยเฉียนเป็นกังวลอย่างยิ่ง หากอาจารย์ไม่ได้สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้น จะต้องเสียเงินค่าเสื้อผ้าอย่างสิ้นเปลืองไปมากน้อยเท่าไหรกันนะ? การประมือกันในครั้งแรก เฉินผิงอันสู้ไปได้ครึ่งทางก็บอกให้หยุด ที่แท้รองเท้าหุ้มแข้งของเขาก็ทะลุเป็นรูโหว่ ได้แต่ถอดรองเท้า ใช้เท้าเปล่ามาประมือกับจูเหลี่ยน
หลังออกมาพ้นอาณาบริเวณของต้าสุย เฉินผิงอันก็กลับมาสวมรองเท้าสาน ทำเอาเผยเฉียนชอบอกชอบใจ จากนั้นเฉินผิงอันก็ทำให้นางหนึ่งคู่ เจ้าถ่านดำน้อยกลับยิ้มไม่ออกแล้ว รองเท้าสานแน่นหนา อันที่จริงเหมาะกับการขึ้นเขาลงห้วยยิ่งกว่าสวมรองเท้าหุ้มแข้งทั่วไปเสียอีก แต่ถึงอย่างไรมันก็เสียดสีให้เท้าเป็นตุ่มพอง ยังดีที่เฉินผิงอันไม่ได้ยืนกรานให้เผยเฉียนสวมใส่อยู่ตลอด ตอนที่เผยเฉียนเอาเข็มเจาะตุ่มน้ำพองที่ใต้ฝ่าเท้า จูเหลี่ยนก็คอยพูดจาเหน็บแนมอยู่ด้านข้าง หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กคู่นี้เคยชินที่จะโต้คารมกันเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว
ตอนนั้นเฉินผิงอันนั่งอยู่ริมลำธาร ถอดรองเท้าสาน เหยียบลงในน้ำ ความคิดล่องลอยไปไกล
ไม่ใช่ว่าใกล้ถึงบ้านเกิดแล้วกลับรู้สึกขลาดกลัว แต่เมื่อเทียบกับการเดินทางหวนคืนสู่บ้านเกิดในครั้งแรกแล้วกลับมีความห่วงพะวงเพิ่มขึ้นมามากกว่าเก่า บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เรื่องที่ขอให้เว่ยป้อช่วยซื้อภูเขาให้ กิจการของสองร้านในตรอกฉีหลง การซ่อมแซมเทวรูปของพระโพธิสัตว์ดินเผาและเทพสวรรค์ในสุสานเทพเซียน เรื่องมากมายหลายอย่างที่ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไม่ได้คิดถึงมากนัก เวลานี้กลับมักจะผุดขึ้นมาในใจ และก็วางแผนไว้ว่าหลังกลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วก็ค่อยไปเยี่ยมหากู้ช่านที่ทะเลสาบเจี่ยนหู แล้วค่อยไปเยี่ยมสองสามีภรรยาและหญิงชราที่มีฝีมือทำอาหารเลิศล้ำของแคว้นไฉ่อี ยังมีอริยะกระบี่ซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ยที่ต้องไปพบหน้า เลี้ยงหม้อไฟคืนผู้อาวุโสหนึ่งมื้อ แล้วเฉินผิงอันก็อยากจะโอ้อวดกับผู้เฒ่าด้วยว่า แม่นางที่ตนรักก็ชอบตนเหมือนกัน ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผู้อาวุโสซ่งกล่าวไว้
ความสง่างามองอาจเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของปัญญาชนจากบนร่างของชุยตงซาน ลู่ไถ หรือแม้แต่หลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโต แน่นอนว่าเฉินผิงอันเลื่อมใสและปรารถนาอย่างยิ่งว่าตัวเองจะเป็นเหมือนพวกเขาได้ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เฉินผิงอันคิดแต่จะโอนเอียงเข้าหาพวกเขาถ่ายเดียว
นี่เรียกว่าได้ใหม่ไม่ลืมเก่า ดังนั้นจึงสามารถสะสมทรัพย์สมบัติได้มากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันรู้สึกว่านี่เป็นนิสัยที่ดี เหมือนพรสวรรค์ด้านการตั้งชื่อของเขาที่เป็น ‘เรื่องถนัด’ เพียงไม่กี่หยิบมือซึ่งทำให้เฉินผิงอันอดลำพองใจน้อยๆ ไม่ได้
เฉินผิงอันพลันหันหน้ามาพูดกับเผยเฉียน “วันหน้าเมื่อเจ้ากับพวกหลี่ไหวออกท่องยุทธภพด้วยกัน ไม่ต้องบังคับควบคุมตัวเองมากเกินไป แล้วก็ไม่ต้องเลียนแบบข้าไปเสียทุกเรื่อง”
เผยเฉียนกล่าวอย่างเขินๆ “ข้าก็อยากเลียนแบบอาจารย์อยู่หรอกนะ แต่เลียนแบบแล้วก็ไม่เห็นเหมือนสักที”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เผยเฉียนเอ๋ย วันหน้าข้าจะแต่งผลงานชิ้นเอกด้านการประจบสอพลอมาเรื่องหนึ่ง ต้องขายได้เงินดีในยุทธภพแน่นอน ถึงเวลานั้นเงินที่ได้มา ข้าจะเอามาแบ่งให้เจ้า”
เผยเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ห้ามกลับคำนะ พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง!”
จูเหลี่ยนยื่นนิ้วมาชี้หน้าเผยเฉียน “เจ้านี่นะ ชีวิตนี้เห็นแต่เงิน คงปีนออกมาจากบ่อเงินไม่ได้แล้ว”
เผยเฉียนโคลงศีรษะแลบลิ้นปลิ้นตาเลียนแบบหลี่ไหว “ไม่ฟังๆ ตะพาบท่องคัมภีร์”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ “ได้ยินหลี่ไหวเล่าให้ฟังว่า พวกเจ้าตัดสินใจแล้วว่าวันหน้าจะไปขุดหาสมบัติด้วยกัน?”
จูเหลี่ยนเอ่ยสัพยอก “โอ้โห คู่รักเทพเซียนหรือนี่ อายุน้อยแค่นี้ก็ตัดสินใจเรื่องใหญ่ในชีวิตกันเองแล้วหรือ?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้ากับหลี่ไหวคือสหายในยุทธภพที่ถูกชะตากัน ไม่มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรทั้งนั้น พ่อครัวเฒ่าเจ้าพูดจาน่าเกลียดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!”
จากนั้นเผยเฉียนก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างว่องไว หันมายิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “อาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวลว่าข้าจะเห็นคนอื่นดีกว่าคนกันเอง ข้าไม่ใช่สตรีในยุทธภพประเภทที่ว่าเห็นบุรุษก็หน้ามืดตามัว สมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่ข้ากับหลี่ไหวขุดเจอร่วมกัน ข้าตกลงกับเขาไว้แล้วว่าจะแบ่งเท่ากัน ถึงเวลานั้นส่วนที่เป็นของข้าต้องเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของอาจารย์ทั้งหมดแน่นอน”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ
หลังจากนั้นคนทั้งกลุ่มก็เดินทางมาถึงเขตการปกครองของแคว้นหวงถิงได้อย่างราบรื่น ตรงริมตลิ่งแม่น้ำอวี้เจียง เวลานั้นเฉินผิงอันกับชุยตงซานจับคู่กันเดินทางมาถึงที่นี่ ได้พบกับผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่ขี่กระบี่ผ่านถนนหนทางจนเกิดความโกลาหลไก่บินหมากระโดด ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ขัดขวาง เนื่องด้วยศักยภาพของตนในเวลานั้นไม่อาจเข้าไปยุ่งได้ จึงได้แต่มองดูดายเท่านั้น
ยังคงเป็นประโยคเก่าแก่ประโยคนั้น วัดเล็กลมปีศาจใหญ่
ไม่พูดถึงพื้นที่ทางใต้ของต้าหลี ลำพังแค่อาณาเขตของแคว้นต้าสุยและเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ก็ดูเหมือนว่าผู้ฝึกลมปราณจะไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานถึงขนาดนั้น
กลับเป็นเขตการปกครองใหญ่ที่อยู่ในอาณัติของแคว้นเล็กๆ เสียอีกที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระต่างก็โอหังอวดดีกันมาก แม้แต่ชาวบ้านก็ยังได้รับความเดือดร้อนไปด้วย หลังจบเรื่องก็ได้แต่ทำใจยอมรับว่าตัวเองดวงซวยเอง เนื่องด้วยไม่อาจทวงคืนความยุติธรรมจากที่ใดได้ ทางราชสำนักก็ไม่สนใจ เพราะต้องเหนื่อยยากแต่ไม่ได้อะไรดีๆ กลับคืนมา ที่ว่าการของท้องถิ่นก็ไม่กล้ายุ่ง ต่อให้มีผู้ผดุงคุณธรรมที่เป็นเดือดเป็นแค้นก็ยังมีแต่ใจไร้กำลัง
และในเขตการปกครองแห่งนี้ ชุยตงซานได้กำราบเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่ถูกบ่มเพาะมาจากปราณบุ๋นในหอเก็บตำราของสกุลเฉาจือหลันซึ่งร่างจริงคืองูเหลือมไฟ และยังมีเด็กชายชุดเขียวที่มีอำนาจบารมีอยู่ในอาณาเขตของเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียง
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูถือเป็น ‘จิตวิญญาณบุ๋น’ ที่ถือกำเนิดเพราะถูกบ่มเพาะมาจากบทกวีที่ติดปากเป็นที่นิยม หรือบทความที่มีชื่อเสียงของโลก ส่วนเด็กชายชุดเขียวนั้น ตามคำบอกของเว่ยป้อที่เขียนไว้ในจดหมาย ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับลู่เฉิน เป็นเหตุให้เจ้าลัทธิเต๋าที่ทุกวันนี้รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิงคิดอยากจะพาเด็กชายชุดเขียวไปที่ใต้หล้ามืดสลัวด้วยกัน เพียงแต่เด็กชายชุดเขียวไม่ยอมตกลง ลู่เฉินจึงทิ้งเมล็ดพันธ์บัวทองเมล็ดนั้นเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ขอร้องเฉินผิงอันว่าในอนาคตจะต้องช่วยให้งูน้ำอย่างเด็กชายชุดเขียวผู้นี้ลงน้ำกลายเป็นมังกรที่อุตรกุรุทวีปให้ได้
เฉินผิงอันไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้ ถึงขั้นไม่มีความสงสัยอะไรมากนัก
เขตการปกครองยังคงครึกครื้นดังเดิม ราวกับว่าสำหรับชาวบ้านแคว้นหวงถิงแล้ว การที่ถูกยกจากสกุลเกาต้าสุยให้กลายเป็นบรรณาการของสกุลซ่งต้าหลีจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขานัก ชีวิตยังคงสุขสบายกันดังเดิม
แต่พอได้ยินว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีเคลื่อนทัพลงใต้ กองทัพม้ากองหนึ่งในนั้นยาตรามาตามเส้นทางชายแดนของต้าสุยและแคว้นหวงถิง
แม้ไม่ถึงขั้นไม่รุกรานชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้สร้างคลื่นมรสุมอะไรที่ใหญ่โตให้กับราชสำนักแคว้นหวงถิง
ระหว่างที่เดินทางลึกเข้ามาใจกลางแคว้นหวงถิงเรื่อยๆ ก็ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์จากชาวบ้านร้านตลาดอยู่เนืองๆ สำหรับการที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีบุกไปที่ใดที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง พวกชาวบ้านถึงขั้นแสดงความภาคภูมิใจที่ตัวเองได้กลายเป็นประชาชนของต้าหลี จากตอนแรกที่สงสัยในการตัดสินใจของฮ่องเต้แคว้นหวงถิงก็เปลี่ยนมาเป็นให้การยอมรับและชื่นชม
ขณะเดียวกันจวนจื่อหยาง แม่น้ำอวี้เจียง แม่น้ำหันสือ ห้าขุนเขาของแคว้นหวงถิงก็กลายมาเป็นจวนตระกูลเซียนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาที่ได้รับการยอมรับจากราชสำนักต้าหลีก่อนผู้ใด มีหน้ามีตากันอย่างถึงที่สุด
ขยับเข้าใกล้ช่วงสนธยา พวกเขาก็ได้เข้ามาในเมือง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเผยเฉียนคือคนที่ดีใจที่สุด แม้จะบอกว่ายังเหลือระยะทางอีกช่วงหนึ่งกว่าจะไปถึงชายแดนต้าหลี แต่ถึงอย่างไรก็ขยับเข้าใกล้เขตการปกครองหลงเฉวียนมากขึ้นทุกทีแล้ว ราวกับว่าทุกก้าวที่นางย่างก้าวออกไปล้วนเป็นการเดินกลับบ้าน ช่วงที่ผ่านมานี้ทั่วร่างของนางจึงแผ่กลิ่นอายของความสดใสชื่นบาน
จูเหลี่ยนไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก คงเป็นเพราะมองตัวเองเป็นดั่งจอกแหนไร้รากที่ล่องลอยไปมา ไม่เคยหยุดพักพิงที่ใดนาน การเดินทางไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนก็เป็นแค่การเปลี่ยนทัศนียภาพให้ชื่นชมเท่านั้น แต่ความสงสัยใคร่รู้ต่อเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ในอดีตเคยเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าบนภูเขาลั่วพั่วมีปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางท่านหนึ่งอาศัยอยู่ จูเหลี่ยนก็อยากจะทำความรู้จักกับอีกฝ่ายอย่างมาก
มีเพียงสือโหรวที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ
ประติดประต่อเอาจากการคุยเล่นของเฉินผิงอัน บวกกับที่ชุยตงซานเคยบรรยายให้นางฟังว่าเขตการปกครองหลงเฉวียนเป็นพื้นที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอย่างไร สือโหรวก็มักรู้สึกว่าการที่ตนสวมใส่คราบร่างเซียนนี้ไปเยือนที่นั่น ก็ไม่ต่างจากลูกแกะที่เดินเข้าปากเสือ
โดยเฉพาะเมื่อชุยตงซานจงใจสัพยอกนางด้วยประโยคว่า ‘อยู่อาศัยในคราบร่างเซียนนั้นไม่ง่าย’ ก็ยิ่งทำให้สือโหรวกลัดกลุ้มเป็นกังวล
เฉินผิงอันเข้าเมืองมาแล้วก็ไปซื้อหาของกระจุกกระจิกบางอย่างก่อน จากนั้นจึงเลือกเหลาสุรากลางเมืองที่คึกคักนั่งจิบเหล้าจอกเล็กกับจูเหลี่ยนสองสามจอก ถือโอกาสซื้อเหล้ากลับไปสองไห จากนั้นก็ไปหาโรงเตี๊ยมพักแรม
เมื่อเฉินผิงอันได้มาเดินบนถนนที่เจริญรุ่งเรืองของเขตการปกครองแห่งนี้อีกครั้ง เขากลับไม่ได้เจอผู้ฝึกกระบี่ ‘สง่างาม’ ที่มาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์อีกแล้ว
ไม่อย่างนั้นหากพวกเขายังทำร้ายผู้คนอย่างกำเริบเสิบสานอีก เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาที่จะปล่อยหมัดต่อยให้พวกเขาร่วงลงมาจากกระบี่
ส่วนหลังจากนั้นจะมีคลื่นมรสุมตามมาหรือไม่ จะชักนำให้เหล่าบุรพาจารย์บนภูเขาปรากฏตัวหรือไม่ เฉินผิงอันไม่สนใจแม้แต่น้อย
เดินทางผ่านภูเขาห้อยหัวและสองทวีปมาแล้ว จึงรู้ว่าแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ อย่างแคว้นหวงถิงนี้ โดยทั่วไปแล้วเซียนดินโอสถทองก็ถือว่าเป็นผู้นำของเหล่าเซียนซือในหนึ่งแคว้น มีฐานะสูงส่งเกินจะปีนป่ายมากแล้ว อีกอย่างหากเจอกับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเข้าจริงๆ เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะไว้ได้ แต่เมื่อมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลอย่างจูเหลี่ยนคอยคุมท้ายขบวนให้ อีกทั้งยังมีสือโหรวที่สามารถกลืนกินกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดได้โดยไม่เป็นอะไร เฉินผิงอันคิดจะเผ่นหนีก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เซียนดินโอสถทองที่ว่านี้ก็ยกตัวอย่างเช่นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าเฉิง รองเจ้ากรมผู้เฒ่ากรมครัวเรือนแคว้นหวงถิงที่ปีนั้นกลุ่มของพวกเฉินผิงอันไปขอพักค้างแรมในจวนส่วนตัวของเขาที่สร้างขึ้นในป่าลึก เขาคือผู้มีความรู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นหวงถิงที่มีผลงานโด่งดังไปทั่ววงการวรรณกรรมทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปอย่าง ‘ชุดดาบเหล็กสะบัดเบา’
ภายหลังเฉินผิงอันถึงได้รู้ว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าคนนั้น แท้จริงแล้วในประวัติศาสตร์ของแคว้นหวงถิง เขาเคยใช้สถานะและรูปโฉมที่แตกต่างกันเดินทางท่องเที่ยวไปในโลกมนุษย์ และตอนนั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าก็เคยเชื้อเชิญพวกเฉินผิงอันที่เดินทางผ่านมาให้เข้าไปพักแรมที่จวนตัวเองอย่างกระตือรือร้น
เรือนที่เงียบสงบแต่งดงามตั้งอยู่ใกล้กับหน้าผาใหญ่ คือสถานที่มีชื่อเสียงที่ผู้คนพากันมาท่องเที่ยวอย่างไม่ขาดสายเนื่องจากมีทัศนียภาพงดงามเป็นเอก
ภายหลังชุยตงซานเปิดเผยความลับสวรรค์ให้รู้ว่า รองเจ้ากรมผู้เฒ่าคือเผ่าพันธ์เจียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของแคว้นสู่โบราณซึ่งจำศีลมาอย่างยาวนานมากตัวหนึ่ง ตอนนั้นลูกศิษย์ของเขาเป็นผู้แนะนำ จึงได้ถูกราชสำนักต้าหลีเรียกตัวมาให้ทำหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋น ส่วนบุตรสาวคนโตของเจียวเฒ่าก็เป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของจวนจื่อหยางซึ่งเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งบนภูเขาแคว้นหวงถิง บุตรชายคนเล็กคือเทพวารีแม่น้ำหันสือ บุตรสาวคนโตของเจียวเฒ่าก็คือเจียวเพศเมียโอสถทองที่มีขีดจำกัดด้านพรสวรรค์ นางพยายามจะใช้วิธีฝึกตนของสำนักนอกรีต จนกระทั่งสุดท้ายฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดไปได้ แต่น่าเสียดายที่ยังขาดไปอีกนิดหน่อย ภายในเวลาร้อยปีก็ไม่ต้องหวังว่าจะเลื่อนหน้าไปอีกขั้น
บนเส้นทางของการฝึกตน เผ่าพันธุ์เจียวหลงนั้นได้รับความเมตตาจากสวรรค์เป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าเมื่อสร้างโอสถทองได้แล้วการฝึกตนก็เริ่มยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์
ปีนั้นโชควาสนาห้าอย่างที่ใหญ่ที่สุดในถ้ำสวรรค์หลีจู ปลาหลีสีทองขององค์ชายเกาเซวียนต้าสุย งูสี่ขาที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมอยู่ในบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน มังกรเพลิงที่กลายร่างเป็นกำไลข้อมือขดล้อมอยู่บนข้อมือของหร่วนซิ่ว ที่ทับกระดาษไม้สลักเป็นรูปชือหลงที่ยังจำศีลอยู่ของจ้าวเหยา บวกกับปลาหนีชิวที่ปีนั้นเฉินผิงอันตกมาได้ด้วยตัวเอง แต่กลับมอบมันให้กู้ช่าน การที่พวกมันทำให้ผู้คนน้ำลายสออยากครอบครองได้ถึงขนาดนั้นก็เพราะพวกมันสามารถเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ใครที่ได้เลี้ยงพวกมันตัวใดตัวหนึ่งก็เท่ากับว่าได้มีผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่พลังการต่อสู้เทียบเคียงได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ
สำหรับในแจกันสมบัติทวีปที่เดิมทีก็มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนน้อยจนนับนิ้วได้แห่งนี้ ใครเล่าจะไม่อิจฉาตาร้อน?
อีกทั้งเผ่าพันธุ์เจียวหลงทั้งห้าตัวที่ระบบสายเลือดใกล้เคียงกับมังกรแท้จริงอย่างยิ่งนี้ หากยอมรับเจ้านายขึ้นมา จิตวิญญาณเชื่อมโยงถึงกัน พวกมันก็จะสามารถหันกลับมาหล่อเลี้ยงเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของเจ้านายได้อย่างต่อเนื่อง เท่ากับว่ามอบร่างกายและจิตวิญญาณที่แน่นหนาแข็งแกร่งเท่าเทียมกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตโอสถทองให้กับเจ้านายได้อย่างไร้รูปลักษณ์
เมื่อเฉินผิงอันเดินนำกลุ่มคนเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เขากับจูเหลี่ยนต่างก็หันหน้าไปมองทางถนนใหญ่พร้อมกัน
สตรีเรือนกายสูงเพรียวสีหน้าเย็นชาคนหนึ่งเดินเยื้องย่างตรงเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเฉินผิงอัน นางคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดด้วยภาษาราชการของต้าหลีสำเนียงถูกต้อง “คุณชายเฉิน บิดาของข้ากับเว่ยป้อองค์เทพขุนเขาเหนือต้าหลีของพวกเจ้าเป็นสหายสนิทกัน ตอนนี้บิดาข้ารับตำแหน่งเป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหลินลู่ อีกทั้งในอดีตยังเคยรับรองคุณชายเฉินมาก่อน บิดาข้าสั่งความไว้แล้วว่า ก่อนที่ท่านจะไปจากแคว้นหวงถิง หากคุณชายเฉินเดินทางผ่านมาที่นี่ ข้าจะต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี ห้ามเพิกเฉยเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้รับจดหมายจากทางบ้านที่ส่งมาจากภูเขาพีอวิ๋น จึงมารอคอยท่านอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว หากการลอบสังเกตการเหล่านี้เป็นการล่วงเกินคุณชายเฉิน หวังว่าท่านจะให้อภัย ข้าขอเชิญให้คุณชายเฉินไปเป็นแขกที่จวนจื่อหยางของข้าสักสองสามวันด้วยใจจริง”
เฉินผิงอันถาม “เพราะต้องเร่งรีบเดินทาง หากคืนนี้ข้าปฏิเสธผู้อาวุโส จะเป็นการสร้างปัญหายุ่งยากให้ผู้อาวุโสหรือไม่?”
บทที่ 421.2 สายน้ำและภูเขายังคงเดิม
สตรีร่างสูงโปร่งที่เป็นบุตรสาวของเจียวเฒ่า และยังเป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาจวนจื่อหยางยิ้มกล่าวว่า “ย่อมไม่ แต่ข้าหวังจริงๆ ว่าคุณชายเฉินจะไปพักอยู่ที่จวนจื่อหยางสักวันสองวัน ทัศนียภาพของที่นั่นไม่เลวเลยจริงๆ ผลผลิตพิเศษบางอย่างบนภูเขาก็พอจะเอาออกมาโอ้อวดคนอื่นได้ หากคุณชายเฉินไม่รับปาก ข้าก็ไม่ถูกบิดาและเทพขุนเขาตำหนิ แต่หากคุณชายเฉินยินดีให้เกียรตินี้แก่ข้า คุณความชอบเล็กๆ น้อยๆ นี้ของข้าย่อมถูกบิดาผู้แยกแยะการลงโทษและให้รางวัลอย่างชัดเจน และองค์เทพเว่ยจดจำไว้อย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องรบกวนผู้อาวุโสสักวันสองวัน?”
สตรีร่างสูงโปร่งที่เป็นเผ่าพันธ์เจียวหลงแคว้นสู่โบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันหยิบเรือลำน้อยแกะสลักจากผลเถาเหอขนาดเท่านิ้วก้อยออกมาแล้วโยนลงบนพื้น ไอน้ำพลันแผ่อบอวล เรือน้อยกลายเป็นเรือสูงสามชั้นที่ล้อมรอบด้วยราวไม้แกะสลักและภาพวาด บรรจุผู้คนสี่สิบห้าสิบคนได้ไม่เป็นปัญหา ยังดีที่ขณะที่หญิงสาวโยนสมบัติอาคมเหอเถาแกะสลักชิ้นนี้ออกไป นางได้โบกชายแขนเสื้อผลักให้คนเดินเท้าบนถนนล่องลอยไปอยู่สองฝากฝั่งของถนนเบาๆ ก่อนแล้ว
ขณะเดียวกันนางก็หยิบยันต์ปึกหนึ่งที่สีสันไม่เหมือนกันออกมาจากชายแขนเสื้อ พอปล่อยมือยันต์ก็ร่วงลงบนพื้น ปรากฏเป็นเด็กสาวรูปร่างสะโอดสะอง หน้าตางดงามหลายนาง มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา มองไม่ออกสักนิดเลยว่านาทีก่อนนี้พวกนางยังเป็นคนกระดาษปึกหนึ่ง
มือเท้าของพวกนางคล่องแคล่วว่องไว พุ่งขึ้นไปบนเรือแล้วพากันขนกระดานไม้ที่ใช้ขึ้นเรือออกมาอย่างรวดเร็ว
สตรีร่างสูงโปร่งยิ้มกล่าว “เชิญคุณชายขึ้นเรือ”
เผยเฉียนมองตาไม่กะพริบ รู้สึกว่าวันหน้าตนก็ต้องมีสมบัติสองชิ้นอย่างเรือหอเรือนและยันต์แบบนี้เช่นกัน ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องซื้อมาให้ได้ เพราะได้ครอบครองแล้วช่างมีหน้ามีตายิ่งนัก!
เฉินผิงอันตบศีรษะเผยเฉียนเบาๆ พานางเดินตามสตรีร่างสูงโปร่งขึ้นไปบนเรือด้วยกัน
ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คนมากมาย เรือหอเรือนลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ ทะยานลมล่องไปด้วยความไวสุดขีด พริบตาเดียวก็ไปไกลสิบกว่าลี้
ยืนอยู่บนเรือตระกูลเซียนของบรรพบุรุษจวนจื่อหยางลำนี้ ใต้ฝ่าเท้าก็คือแม่น้ำอวี้เจียงที่คดเคี้ยวทอดยาวเกือบพันลี้
เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างราวรั้ว ทอดสายตามองภูเขาและแม่น้ำบนพื้นดินที่งดงามประหนึ่งภาพวาดไปพร้อมกับเผยเฉียน
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็คิดถึงบ้านเกิด คิดถึงเขตการปกครอง อำเภอและตลาดของเมืองเล็กจำนวนมากระหว่างเส้นทางที่มุ่งไปสู่เขตการปกครองหลงเฉวียน รวมไปถึงภูเขาสวยแม่น้ำใสระหว่างทางที่เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจได้อย่างแม่นยำ
แล้วก็นึกถึงคนบางคนของที่บ้านเกิด
ตอนนั้นในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ติดตามสารถีหม่าของโรงเรียนออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู สุดท้ายหลี่ไหวกับหลินโส่วอีก็เลือกติดตามเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงมา
ต่งสุ่ยจิ่งกับสือชุนเจีย คนหนึ่งเลือกจะอยู่ต่อที่บ้านเกิด อีกคนหนึ่งติดตามครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองหลวง
อันที่จริงความทรงจำที่เฉินผิงอันมีต่อพวกเขาก็ดีมาก คนหนึ่งนิสัยซื่อสัตย์เรียบง่าย สาเหตุคงจะเป็นเพราะมีชาติกำเนิดคล้ายคลึงกัน ปีนั้นจึงทำให้เฉินผิงอันรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยด้วยมากที่สุด ส่วนอีกคนหนึ่งคือแม่นางน้อยมัดผมแกละที่นิสัยร่าเริงน่ารัก มองดูแล้วก็รู้ว่าฉลาดเฉลียวงดงาม
เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าการเลือกของพวกเขานั้นผิด
ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันหวังว่าภูเขาและแม่น้ำของบ้านเกิดยังคงเดิม ไม่ว่าจะคนอย่างต่งสุ่ยจิ่ง สือชุนเจียที่เลือกจะอยู่ต่อที่บ้านเกิด หรือคนอย่างพวกหลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่านและจ้าวเหยาที่เดินทางออกไปจากบ้านเกิด หวังว่าในใจพวกเขาจะยังคงมีภูเขาเขียวน้ำใสของบ้านเกิดอยู่ดังเดิม
แน่นอนว่าการเดินทางกลับบ้านเกิดครั้งนี้ เฉินผิงอันยังต้องไปเยือนจวนผีสาวสวมชุดแต่งงานที่แขวนป้ายอักษรคำว่าน้ำใสลมเย็นแห่งนั้นด้วย
กลับไปพูดคุยกับนางด้วยถ้อยคำที่ปีนั้นเก็บกลั้นไว้ในใจมานาน
……
ท่ามกลางแสงสนธยา ร้านเกี้ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งแขวนป้ายปิดร้าน แต่กลับไม่ได้รีบร้อนปิดประตูหน้าร้านลง ค้าขายนานวันเข้าจึงรู้ว่าจะต้องมีผู้มีจิตศรัทธาบางส่วนที่ก่อนขึ้นเขาได้นัดหมายกับทางร้านไว้ก่อนแล้วว่าพอลงจากเขาแล้วจะมาซื้อเกี้ยวน้ำซึ่งจะต้องมาสายไปชั่วครู่ชั่วยาม ดังนั้นต่อให้ต่งสุ่ยจิ่งจะแขวนป้ายไม้ว่าร้านปิดแล้ว ก็ยังจะรออีกประมาณครึ่งชั่วยาม แต่สุยต่งจิ่งจะไม่ให้ลูกจ้างร้านสองคนที่เพิ่งจ้างมาใหม่มารอลูกค้าพร้อมกับเขาด้วย ถึงเวลานั้นหากมีลูกค้ามาเยือน ต่งสุ่ยจิ่งก็จะเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง ต่อให้ลูกจ้างร้านที่มีชาติกำเนิดยากจนทั้งสองคนจะอยากร่วมทุกข์ร่วมสุขไปพร้อมกับเถ้าแก่ ต่งสุ่ยจิ่งก็ไม่ยอม
ร้านขายเกี้ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ คนมีเงินมากมายที่มาสร้างจวนใหม่ขึ้นในเขตการปกครองหลงเฉวียนต่างก็เชื้อเชิญให้ต่งสุ่ยจิ่งไปเปิดร้านเพิ่มอีกสองร้านที่เขตการปกครอง เพียงแต่ว่าต่งสุ่ยจิ่งเอ่ยปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม
นอกจากร้านเกี้ยวน้ำกึ่งกลางภูเขาที่บนยอดเขามีศาลเทพภูเขาแห่งนี้แล้ว เงินก้อนใหญ่ที่ปีนั้นต่งสุ่ยจิ่งได้จากการขายบ้านบรรพบุรุษหลังหนึ่งในเมืองเล็ก เขาก็ได้เอาไปซื้อบ้านครึ่งถนนที่เขตการปกครองแห่งใหม่ไว้ตั้งนานแล้ว นอกจากจะเก็บบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ บ้านหลังอื่นๆ ล้วนปล่อยให้เช่าทั้งหมด
ต่งสุ่ยจิ่งยังคงเป็นคนในพื้นที่กลุ่มแรกสุดที่สามารถเก็บตกของดีได้ทั่วสารทิศ ในกลุ่มเพื่อนบ้านสองฝากฝั่งของบ้านบรรพบุรุษสองหลัง มีคนแก่และหญิงหม้ายไม่น้อยที่เกิดและเติบโตมาในเมืองเล็กที่นิสัยดึงดันถือทิฐิ ต่อให้คนนอกให้ราคาสูงเทียมฟ้าเพื่อขอซื้อวัตถุตกทอดจากบรรพบุรุษของพวกเขา ให้ตายพวกเขาก็ไม่ยอมขาย บอกว่าขายไปแล้วตอนกลางคืนจะนอนอยู่ในกองเงินหรือไง หรือว่าตายไปแล้วให้เอาเงินยัดใส่โลงจนเต็มเพื่อเอาไปใช้ชาติหน้าด้วย? ลูกหลานตระกูลเซียนบนภูเขาที่พยายามอดทนพูดคุยกับพวกคนแก่ที่ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีให้หลังอาจกลายเป็นกองกระดูกขาวโพลนใต้ดินรู้สึกเพียงว่าพวกเขาไร้เหตุผล แต่กลับไม่กล้าบังคับซื้อ จึงได้แต่พาเงินเทพเซียนก้อนใหญ่กลับไปด้วยความผิดหวัง
แต่พอต่งสุ่ยจิ่งไปเยือน ไม่รู้ว่าพวกคนแก่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนกับคนหนุ่มที่พวกเขาเห็นอีกฝ่ายเติบใหญ่มา หรือเป็นเพราะต่งสุ่ยจิ่งเข้าใจพูดเกลี้ยกล่อม สรุปก็คือพวกผู้เฒ่าลดราคาให้เขาต่ำกว่าที่พวกคนต่างถิ่นเสนอให้มากนัก แทบจะเรียกได้ว่ากึ่งขายกึ่งยกให้ ต่งสุ่ยจิ่งไปเยือนร้านผ้าห่อบุญที่ภูเขาหนิวเจี่ยวอยู่หลายครั้ง ก็ได้รายรับที่มากจนไม่อาจประเมินมาอีกก้อนหนึ่ง บวกกับฃผลเก็บเกี่ยวซึ่งได้มาโดยไม่คาดฝันจากการที่เขามุมานะขึ้นเขาลงห้วย ต่งสุ่ยจิ่งจึงไปหาเจ้าเมืองอู๋ นายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉาที่เคยทยอยกันมาอุดหนุนร้านเกี้ยวน้ำ จนซื้อที่ดินไว้ได้อีกหลายแห่งอย่างเงียบเชียบ โดยไม่ทันรู้ตัวต่งสุ่ยจิ่งก็กลายเป็นเศรษฐีใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของเขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งใหม่ บนภูเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียนถึงขั้นแอบมีคำเรียกขานที่น่าตะลึงว่าเมืองครึ่งต่งให้ได้ยินแว่วๆ แล้ว
วันนี้ต่งสุ่ยจิ่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับลูกจ้างหนุ่มสองคนเสร็จแล้ว คนทั้งสองก็จากไป เถ้าแก่ร้านที่เติบโตกลายมาเป็นคนหนุ่มร่างสูงใหญ่อยู่ในร้านเพียงลำพัง เขาทำเกี้ยวน้ำร้อนๆ ให้ตัวหนึ่งชาม ถือเป็นการให้รางวัลตัวเอง เมื่อถึงยามพลบค่ำ อากาศของฤดูใบไม้ร่วงก็ยิ่งเย็นขึ้นทุกที ต่งสุ่ยจิ่งกินอิ่มแล้วก็เก็บชามเก็บตะเกียบ เดินมานอกร้าน มองไปยังเส้นทางที่ใช้ขึ้นเขาไปจุดธูปไหว้เทพเจ้า ไม่เห็นเงาร่างของคนที่มาทำบุญก็เตรียมจะปิดร้าน คิดไม่ถึงว่าไม่มีผู้มีจิตศรัทธาย้อนกลับมา แต่กลับมีคุณชายหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากตีนเขาแทน ต่งสุ่ยจิ่งคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดีจึงคลี่ยิ้มแล้วเชื้อเชิญให้เข้ามาในร้าน ทำเกี้ยวน้ำอีกชาม แล้วยกเหล้าข้าวหมักที่ทำเองมาหนึ่งกา คนทั้งสองตั้งใจใช้ภาษาท้องถิ่นหลงเฉวียนสนทนากันตั้งแต่ต้นจนจบ ต่งสุ่ยจิ่งพูดช้ามากเพราะกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะฟังไม่เข้าใจ
ลูกค้าคนนี้เป็นคนประหลาด เขาชื่อว่าเกาเซวียน บอกว่าตัวเองคือนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋น ภาษาทางการของต้าหลีก็ยังพูดได้ไม่คล่อง แต่กลับอยากจะพูดภาษาท้องถิ่นหลงเฉวียนกับต่งสุ่ยจิ่ง
รอจนเกาเซวียนกินเกี้ยวน้ำหมด ต่งสุ่ยจิ่งก็รินเหล้าข้าวหมักสองถ้วย เหล้าข้าวนี้หากอยากจะให้หอมหวาน น้ำและข้าวเหนียวคือกุญแจสำคัญ และเขตการปกครองหลงเฉวียนก็ไม่เคยขาดน้ำดี ส่วนข้าวเหนียวนั้นต่งสุ่ยจิ่งไปขอให้ผู้ตรวจการงานเตาเผาแซ่เฉาขนส่งจากถิ่นกำเนิดของข้าวเหนียวแห่งหนึ่งของต้าหลีมายังหลงเฉวียน ราคาต่ำกว่าราคาตลาดมาก ดังนั้นตอนนี้ทางเขตการปกครองหลงเฉวียนจึงสร้างร้านขายเหล้าข้าวหมักขนาดไม่เล็กขึ้นมาแล้ว และตอนนี้ก็เริ่มส่งไปขายที่เมืองหลวงต้าหลี กิจการยังไม่ถือว่ารุ่งเรืองนัก ทว่าอนาคตและรายรับที่ได้ย่อมถือว่าไม่เลว ร้านเหล้าของเมืองหลวงต้าหลีเริ่มยอมรับเหล้าข้าวหมักของหลงเฉวียน บวกกับการดำรงอยู่ของถ้ำสวรรค์หลีจูและข่าวลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับเทพเซียนก็ยิ่งทำให้สุรามีรสชาติหอมหวลขึ้นไปอีก ส่วนเรื่องช่องทางการจำหน่ายนั้น ต่งสุ่ยจิ่งได้ไปขอร้องนายอำเภอหยวน การค้าที่มีกำไรน้อยแต่อัตราการจำหน่ายสูงนี้จึงต้องเกี่ยวพันกับการพยักหน้าตอบรับของเจ้าเมืองอู๋ การเปิดประตูใหญ่เมืองหลวงของนายอำเภอหยวน และการขนส่งข้าวเหนียวของผู้ตรวจการเฉา
เจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉา ในบรรดาคนทั้งสามนี้ ระดับขั้นของอู๋ยวนสูงสุด แม้ว่าจะเป็นตำแหน่งขุนนางระดับสี่ชั้นเอก ยังไม่ถือว่าเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาอย่างแท้จริง ทว่าในฐานะคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองของต้าหลี อู๋ยวนจึงเป็นบุคคลที่ทางราชสำนักต้าหลีไม่กล้าดูแคลน ถึงอย่างไรอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับอู๋ยวนก็คือชุยฉานราชครูต้าหลี น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้หลังจากอู๋ยวนได้เลื่อนขั้นแล้ว ชื่อเสียงของเขากลับแย่กว่าตอนก่อนจะออกมาจากเมืองหลวงมาก เพราะว่ากันว่าระหว่างที่หลงเฉวียนยังไม่เลื่อนขั้นจากอำเภอเป็นเขตการปกครองนั้น นายอำเภออู๋ที่ถูกราชครูส่งตัวมาที่นี่พร้อมความคาดหวังสูง ได้ถูกตระกูลใหญ่ของท้องถิ่นหลายตระกูลผลักไสอย่างเอาเป็นเอาตาย เกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันจนวางตัวไม่ถูก
ทว่าอู๋ยวนมีอาจารย์ที่ดี คนนอกจึงได้แต่อิจฉาตาร้อน
แต่ถึงกระนั้นอู๋ยวนก็กลายเป็นตัวตลกของราชสำนักในเมืองหลวงต้าหลีไปแล้วไม่มากก็น้อย
หันกลับมามองสองคนหลังอย่างนายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉาที่กลายเป็นว่าวงการขุนนางต้าหลีชื่นชอบมากกว่า ไม่เพียงแต่เป็นลูกหลานสายตรงของสองแซ่สกุลใหญ่ที่ผู้เป็นเสาคานค้ำยันบ้านเมืองเท่านั้น เมื่อมาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน คนทั้งสองต่างก็สร้างเนื้อสร้างตัว สร้างผลงานจนรุ่งโรจน์อยู่ในถิ่นของตัวเองได้ด้วย นายอำเภอหยวนรับผิดชอบการสร้างจวนตระกูลเซียนส่วนหนึ่งบนภูเขาตะวันตก การที่ศาลบุ๋นและศาลบู๊ถูกสร้างขึ้นที่สุสานเทพเซียนและภูเขาเครื่องกระเบื้องได้อย่างราบรื่นเรียบร้อยก็เป็นความชอบของเขาเช่นกัน ตระกูลใหญ่ที่อยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนไม่ยอมรับเจ้าเมืองอย่างอู๋ยวน แต่กลับเต็มใจยอมรับนายอำเภอที่หมวกขุนนางเล็กกว่าผู้นี้
ส่วนหน่วยผู้ตรวจการงานเตาเผาของผู้ตรวจการเฉานั้น มองภายนอกคือที่ว่าการมือสะอาดที่ดูแลรับผิดชอบเตาเผามังกรสร้างเครื่องกระเบื้องที่จะต้องถูกส่งไปในวัง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีหน้าที่รับผิดชอบจับตามองความเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจบนภูเขาเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างลับๆ
แต่หยวนและเฉาที่เป็นสองแซ่สกุลซึ่งสูงศักดิ์ที่สุดในต้าหลีนี้กลับเป็นน้ำกับไฟที่ไม่ถูกกัน กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีที่เคลื่อนพลลงใต้แบ่งเป็นสามสาย เบื้องหลังของกองทัพม้าเหล็กสองสายในนั้นต่างก็มีเงาร่างของสองแซ่ใหญ่ที่เป็นเสาคานค้ำยันแคว้นยืนอยู่
ต่งสุ่ยจิ่งสามารถอาศัยการค้าขายเล็กๆ ไม่สะดุดตานี้ดึงคนทั้งสามให้มารวมกันได้ ก็จำต้องพูดว่าเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ ‘จับผลัดจับผลู’ จนทำสำเร็จ
ในความเป็นจริงแล้วการขายเหล้าข้าวหมักนี้เป็นความคิดของต่งสุ่ยจิ่งก็จริง แต่แผนการอย่างละเอียด ขั้นตอนต่างๆ ที่ร้อยเรียงกันแนบแน่นกลับเป็นคนอื่นที่ช่วยวางแผนให้กับเขา
หลังจบเรื่องต่งสุ่ยจิ่งถามคนผู้นั้นว่า เหตุใดลูกหลานที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูงอย่างนายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉาถึงไม่ปฏิเสธกำไรที่เล็กเท่าหัวแมลงวันนี้ ยกตัวอย่างเช่นกำไรปันผลของสามฝ่ายเมื่อปลายปีก่อน ต่งสุ่ยจิ่งได้เงินมาเจ็ดหมื่นตำลึงเงิน หยวนเฉาสองคนรวมกันได้มาแค่หนึ่งแสนสี่หมื่นตำลึงเท่านั้น เมื่อเทียบกับพ่อค้าในหมู่ชาวบ้านอาจถือว่าได้กำไรมหาศาล การแบ่งกำไรในอนาคตจะเพิ่มมากขึ้นอย่างมั่นคงก็จริง แต่พอต่งสุ่ยจิ่งรับรู้ถึงกิจการใหญ่เบื้องหลังสองแซ่หยวนและเฉาคร่าวๆ แล้ว เขาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
คนผู้นั้นจึงบอกกับต่งสุ่ยจิ่งว่าการค้าขายใต้หล้านี้ นอกจากแบ่งเล็กใหญ่ รวยจนแล้ว ก็ยังแบ่งเป็นการค้าที่ได้เงินสกปรกกับกิจการที่สะอาดด้วย
ได้เงินก้อนใหญ่จากการค้าขายหัวขาดมาครอง ถือเป็นความสามารถ ได้เงินที่เป็นดั่งลำธารสายเล็กไหลยาวมาจากการค้าเล็กๆ ที่สะอาดก็ถือว่ามีฝีมือเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่การค้าขายเล็กๆ หลายอย่าง เมื่อทำไปจนถึงขีดสุดแล้วก็จะมีโอกาสกลายเป็นช่องทางหาเงินที่แท้จริง กลายมาเป็นกิจการร้อยปีที่สามารถสร้างรากฐานของตระกูลให้แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง
สุดท้ายคนผู้นั้นหยิบเงินเหรียญทองแดงธรรมดาเหรียญหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะ ผลักมาตรงหน้าต่งสุ่ยจิ่งที่นั่งขอความรู้อยู่ตรงข้ามอย่างจริงใจ แล้วกล่าวว่า “ต่อให้เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภของใต้หล้าไพศาลอย่างสกุลหลิ่วแห่งธวัลทวีปก็ยังเริ่มสร้างตระกูลด้วยเงินเหรียญทองแดงเหรียญแรก เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ”
แล้วเจ้าคนที่ยังคงพาดกระบี่ไว้ด้านหลังในแนวขวางผู้นั้นก็ทะยานจากไป บอกว่าจะไปเมืองหลวงต้าสุยสักรอบ หากโชคดีไม่แน่ว่าอาจจะได้พบกับบรรพาจารย์ของสำนักการค้า ผู้เฒ่าที่มองดูเหมือนหน้าเด็ก แต่เคยใช้วิชาอภินิหารใหญ่ผสานมรรคาลดระดับต้นไม้สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่งลงมา ช่วงชิงความไว้วางใจจากใต้หล้า สุดท้ายก็ได้รับการยอมรับจากหลี่เซิ่ง
ต่งสุ่ยจิ่งครุ่นคิดอยู่นานถึงนึกขึ้นได้ว่าคนผู้นั้นกินเกี้ยวน้ำไปสองชามใหญ่ ดื่มเหล้าหมักข้าวไปหนึ่งไห สุดท้ายจ่ายด้วยเหรียญทองแดงแค่เหรียญเดียวแล้วก็เผ่นจากไป
แต่ครั้งนั้นต่งสุ่ยจิ่งที่เคยชินกับการทำการค้าแบบคิดเล็กคิดน้อยแล้วไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกขาดทุน กลับกันยังรู้สึกว่าเขาได้กำไรด้วยซ้ำ
เกาเซวียนเห็นว่าต่งสุ่ยจิ่งที่กำลังดื่มเหล้าเหมือนความคิดจะล่องลอยไปไกลจึงยิ้มถามว่า “มีเรื่องในใจหรือ? ไม่สู้พูดออกมา ข้าช่วยอะไรไม่ได้ แต่ให้รับฟังคำบ่นจากเถ้าแก่ต่งสองสามคำกลับยังทำได้”
ต่งสุ่ยจิ่งส่ายหน้า พูดหยอกล้อว่า “คิดเรื่องในอนาคตไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรให้บ่นหรอก ทุกวันพอกลับไปถึงบ้านในเขตการปกครองก็เหนื่อยแทบตายแล้ว นับเงินเสร็จหัวถึงหมอนก็หลับทันที พอลืมตาก็เป็นวันใหม่แล้ว แล้วก็ต้องยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น”
เกาเซวียนพูดอย่างปลงอนิจจัง “อิจฉาเจ้าจริงๆ”
ต่งสุ่ยจิ่งพูดไม่ออก เขาไม่คิดว่าเกาเซวียนแสร้งทำเป็นกลัดกลุ้มทั้งที่ไม่มีเรื่องอะไร ทุกครอบครัวย่อมต้องมีคัมภีร์ที่อ่านยากอยู่หนึ่งเล่ม ไม่ได้เกี่ยวกับว่ามีเงินมากหรือน้อย ต่งสุ่ยจิ่งจึงไม่ได้รับคำ เพียงดื่มเหล้าหมักข้าวที่หมักเองหนึ่งอึก เหล้าของร้านเกี้ยวน้ำแห่งนี้ต่างก็ฉีกกระดาษแดงร้านตระกูลต่งทิ้งไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะก่อให้เกิดเรื่อง ทำให้ร้านเรียบง่ายที่ไว้ใช้อบรมขัดเกลาจิตใจกลายมาเป็นร้านที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรก ตอนนี้ตลอดทั้งเขตการปกครองหลงเฉวียนที่เทพเซียนแต่ละฝ่ายเป็นดั่งปลาและมังกรปะปนกันหลากหลาย คนที่รู้ว่าต่งสุ่ยจิ่งมีทรัพย์สมบัติมากน้อยแค่ไหนกลับยังคงมีเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น
บทที่ 421.3 สายน้ำและภูเขายังคงเดิม
หลังจากเกาเซวียนจ่ายเงินเรียบร้อยก็บอกว่าจะขึ้นเขาไปพักค้างแรมที่ศาลเทพภูเขา พรุ่งนี้จะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขา ต่งสุ่ยจิ่งจึงมอบกุญแจร้านให้กับเกาเซวียน บอกว่าหากเปลี่ยนใจก็มาพักที่ร้านได้ อย่างน้อยก็มีที่ให้หลบลมหลบฝน เกาเซวียนปฏิเสธความหวังดีนี้ เดินขึ้นเขาไปเพียงลำพัง
ส่วนต่งสุ่ยจิ่งก็ลงจากภูเขาไป แต่กลับไปเจอสวี่รั่วที่น่าจะเพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงต้าสุย เขาบอกว่าอยากกินเกี้ยวน้ำสักชามให้อิ่มท้อง แล้วค่อยไปท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยวเพื่อเดินทางไปเมืองหลวงต้าหลีต่อ ต่งสุ่ยจิ่งจึงได้แต่ย้อนกลับทางเดิม เปิดประตูใหญ่ของร้าน ทำเกี้ยวน้ำให้จอมยุทธสำนักโม่ผู้นี้สองชามใหญ่ ไม่ได้เอาเหล้าหมักออกมา ด้วยคร้านจะทำตัวเกรงใจมีมารยาทกับคนผู้นี้ ต่งสุ่ยจิ่งนั่งลงตรงข้ามเขา มองดูสวี่รั่วสวาปามกินอาหาร
สวี่รั่วพูดอู้อี้ได้ยินไม่ชัดเจน “เจ้าเดาดูสิว่าคนหนุ่มคนเมื่อครู่นี้คือใคร”
เดิมทีต่งสุ่ยจิ่งไม่ได้คิดอะไรมาก เขาคบค้าสมาคมกับเกาเซวียนโดยที่ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรมาเกี่ยวข้องมากนัก และต่งสุ่ยจิ่งเองก็ชอบการคบหาเช่นนี้ เขาชอบทำการค้ามาตั้งแต่เด็ก แต่การค้าไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต แต่ในเมื่อสวี่รั่วถามเช่นนี้ ต่งสุ่ยจิ่งเองก็ไม่ใช่คนโง่ คำตอบจึงหลุดออกมาทันที “องค์ชายต้าสุยสกุลเกาเกอหยาง? มาเป็นตัวประกันที่ต้าหลีของพวกเรา?”
สวี่รั่วพยักหน้ารับ
ต่งสุ่ยจิ่งลังเลอยู่ชั่วขณะก็ถามว่า “ทำการค้ากับเกาเซวียนได้หรือไม่?”
สวี่รั่วคลี่ยิ้ม “มีอะไรไม่ได้กันเล่า การที่ข้าพูดแบบนี้ก็เพราะอยากให้เจ้าเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง”
ต่งสุ่ยจิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ”
มีเพียงเวลาเช่นนี้เท่านั้นต่งสุ่ยจิ่งถึงจะยินดีเรียกสวี่รั่วว่าอาจารย์
สวี่รั่วชำเลืองตามองไปที่โต๊ะคิดเงิน ต่งสุ่ยจิ่งรีบไปหยิบเหล้าข้าวหมักกาหนึ่งมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าสวี่รั่วทันที สวี่รั่วดื่มเหล้าข้าวที่รสชาติติดค้างอยู่ในลำคอยาวนาน แล้วเอ่ยว่า “ทำการค้าเล็กๆ อาศัยความขยันหมั่นเพียร แต่เมื่อทำการค้าใหญ่แล้ว แน่นอนว่ายังต้องขยัน แต่คำว่า ‘ข้อมูล’ กลับยิ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าต้องเชี่ยวชาญในการขุดค้นรายละเอียดที่ทุกคนไม่สนใจ รวมไปถึง ‘ข้อมูล’ ที่ถูกซุกซ่อนไว้เบื้องหลังรายละเอียด สักวันหนึ่งจะต้องเอามาใช้งานได้ และไม่จำเป็นต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับเรื่องนี้ ฟ้าดินกว้างใหญ่ รู้ข้อมูลแล้วไม่ได้หมายความว่าจะให้เจ้าไปทำการค้าที่ทำร้ายคนอื่น การค้าที่ดีมักต้องมีการยื่นหมูยื่นแมวกันเสมอ”
ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ
สวี่รั่วถามอีกว่า “เจ้าคิดว่านิสัยที่อู๋ยวน นายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉา รวมไปถึงเกาเซวียนผู้นี้แสดงออกให้เจ้าเห็น เป็นเช่นไร?”
ต่งสุ่ยจิ่งกล่าวเนิบช้า “เจ้าเมืองอู๋อ่อนโยน นายอำเภอหยวนเข้มงวด ผู้ตรวจการเฉามีเสน่ห์ เกาเซวียนผ่อนคลาย”
สวี่รั่วถามอีก “เหตุใดถึงต้องเป็นเช่นนี้?”
ต่งสุ่ยจิ่งมีคำตอบอยู่ในใจคร่าวๆ นานแล้วจึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ทุกวันนี้ราชครูชุยฉานอาจารย์ของเจ้าเมืองอู๋ฉายประกายเฉียบคม เจ้าเมืองอู๋จึงจำต้องสำรวมตน จะหลงระเริงไม่ได้ เพราะง่ายที่จะชักนำให้คนอิจฉาริษยาและโจมตีโดยที่ไม่จำเป็น แต่ไรไหนมาสกุลหยวนก็ยึดความระมัดระวังรอบคอบเป็นขนบธรรมเนียมประจำตระกูล หากข้าจำไม่ผิด ในคำสอนของสกุลหยวนมีสี่คำว่าเก็บลมซ่อนน้ำ สกุลเฉามีลูกหลานอยู่ประจำกองทัพชายแดนหลายคน นิสัยโผงผางเปิดเผย เกาเซวียนในฐานะองค์ชายต้าสุย ซัดเซพเนจรมาอยู่ที่นี่ ย่อมเลี่ยงที่จะหมดอาลัยตายอยากไม่ได้ ต่อให้ในใจเจ็บแค้น แต่อย่างน้อยภายนอกก็ต้องแสดงออกว่าผ่อนคลายสบายใจ”
สวี่รั่วกล่าว “สิ่งที่เจ้าพูดมาล้วนถูกต้อง แต่แท้จริงแล้วกลับยังคงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นแค่ภายนอกเท่านั้น เรื่องพวกนี้ที่เจ้าคิดได้ คนหลายคนก็คิดได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้นี่จึงไม่ถือว่าเป็น ‘ข้อมูล’ ที่ช่วยให้ร่ำรวย เจ้ายังต้องขุดลึกลงไปอีก ไปผลักไปเคาะในจุดที่สูงขึ้นอีก นึกถึงสถานการณ์ของราชสำนัก แนวโน้มของราชวงศ์ที่ลึกล้ำยาวไกลให้มากขึ้น อาจจะไม่มีประโยชน์ต่อกิจการของเจ้าในเวลานี้ แต่หากฝึกฝนจนกลายเป็นความเคยชินแล้วก็จะได้ประโยชน์ไปตลอดชีวิต”
ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
สวี่รั่วยิ้มกล่าว “ข้าไม่ใช่คนเชื่อดาบที่แท้จริง สิ่งที่สามารถสอนเจ้าได้ อันที่จริงก็ตื้นเขิน แต่เจ้ามีพรสวรรค์ สามารถเปลี่ยนจากตื้นเขินมาเป็นลึกซึ้ง วันหน้าจำนวนครั้งที่ข้ามาพบเจ้าจะน้อยลงทุกที อีกอย่างข้าเองก็ถือว่าเป็น ‘ข้อมูล’ ของเจ้าต่งสุ่ยจิ่งเช่นกัน ไม่ใช่ว่าข้าชมตัวเอง แต่ข้อมูลที่มีเฉพาะจากตัวข้านี้ไม่นับว่าน้อยเลยทีเดียว ดังนั้นในอนาคตหากพบเจอหลุมที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ เจ้าก็ย่อมสามารถทำการค้ากับข้าโดยที่ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าข้า”
ต่งสุ่ยจิ่งร้องอืมหนึ่งที
สวี่รั่วหยิบแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งออกมา “อันที่จริงกิจการของเจ้าในเวลานี้ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยของต้าหลีแผ่นนี้ แต่ป้ายสงบสุขที่ข้าช่วงชิงมาได้ตลอดหลายปีมานี้ เมื่อมาอยู่ในมือข้าก็นับว่าสิ้นเปลืองโดยแท้ ดังนั้นจึงมอบมันให้คนอื่นไปหมด ถือซะว่าข้าตามีแวว เห็นดีในตัวเจ้าแต่เนิ่นๆ วันหน้าคงต้องขอส่วนแบ่งกับเจ้า พรุ่งนี้เจ้าไปที่จวนเจ้าเมืองสักรอบ หลังจากนั้นก็จะได้รับการบันทึกไว้ในเอกสารของที่ว่าการส่วนท้องถิ่นและกรมพิธีการของราชสำนัก”
ต่งสุ่ยจิ่งไม่ได้ปฏิเสธ เขาเก็บแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยเข้ามาไว้ในสาบเสื้ออย่างระมัดระวัง
แผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนี้ ตอนนี้หากใช้คำว่ามีมูลค่าควรเมืองมาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
ตลอดอาณาบริเวณอันกว้างขวางทางแถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป ไม่รู้ว่ามีกษัตริย์ อัครเสนาบดี เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ผู้ฝึกตนอิสระและองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำมากน้อยเท่าไหร่ที่อยากจะครอบครองมันไว้สักแผ่น
สวี่รั่วเอ่ยสัพยอก “ได้ยินว่าพ่อตาของเจ้าในอนาคตเดินทางไปเยือนใบถงทวีป ระหว่างที่ย้อนกลับมายังอุตรกุรุทวีปได้ปรากฏตัวในเมืองเล็กของบ้านเกิดแห่งนี้ เจ้าได้ฉวยโอกาสไปเยี่ยมหาเขาบ้างไหม?”
ต่งสุ่ยจิ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวอย่างจนใจว่า “กว่าข้าจะได้ข่าว ท่านอาหลี่ก็ออกไปจากเมืองเล็กแล้ว”
สวี่รั่วยิ้มถาม “อยากรู้หรือไม่ว่าศัตรูตัวฉกาจของเจ้าอย่างหลินโส่วอีผู้นั้น ตอนนี้มีชีวิตอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ “อยากรู้สิ”
สวี่รั่วเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
ต่งสุ่ยจิ่งถาม “เท่าไหร่?”
สวี่รั่วยื่นมือออกมา กวักกาเหล้าข้าวหมักที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินกาหนึ่งมาไว้ในมือแล้วกล่าวว่า “ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง แต่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงต้าสุยแล้ว หากเจ้ายังไม่ขยันให้มากกว่านี้ ปล่อยให้หลินโส่วอีกลายเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางไปได้ โชควาสนาใหญ่มากมายก็จะพากันกรูเข้าหาเขา เป็นไปได้ว่าแค่เขาขยับนิ้วมือก็อาจจะได้ผลเก็บเกี่ยวเป็นเงินขาวหรือทองก้อนหลายแสนตำลึง ง่ายมากที่จะทำให้เขาที่ตามมาทีหลังแซงหน้าไป”
ต่งสุ่ยจิ่งลังเลอยู่ชั่วขณะ “แน่นอนว่าข้าไม่อยากแพ้ให้กับหลินโส่วอี แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าหาเงินได้มากหรือน้อย”
สวี่รั่วหัวเราะ หิ้วกาเหล้าแล้วลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “มีดีกว่าไม่มี มีมากดีกว่ามีน้อย เรื่องหลายเรื่องที่มองดูเหมือนเงินแก้ไขไม่ได้ แต่สืบสาวกันถึงแก่นแล้วก็ยังเป็นเพราะมีเงินไม่มากพอ”
ต่งสุ่ยจิ่งลุกขึ้นตาม “เหตุใดจนถึงตอนนี้อาจารย์ก็ยังไม่ยอมบอกให้ข้ารู้ถึงความหมายที่แท้จริงของคนเชื่อดาบ แค่สอนศาสตร์บางอย่างของสำนักการค้าให้ข้าเท่านั้น?”
สวี่รั่วหัวเราะพลางถามกลับ “แค่?”
ต่งสุ่ยจิ่งยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี
แต่สวี่รั่วกลับเดินออกจากร้านไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ต่งสุ่ยจิ่งเก็บเศษซากที่เหลืออยู่บนโต๊ะ ปิดประตูร้าน ลงจากเขามุ่งหน้าไปยังเขตการปกครองแห่งใหม่ของหลงเฉวียน
คนหนุ่มที่คิดว่าบนร่างของตัวเองมีแต่กลิ่นเหม็นของเหรียญทองแดง (เปรียบเปรยถึงคนที่เห็นแก่เงิน เห็นแก่ผลประโยชน์ ต่อให้มีเงินแค่ไหน เงินนั้นก็เหม็นอยู่ดี) ท่ามกลางม่านราตรีกลับเปล่งรัศมีเรืองรองเหมือนห่มแสงดาวสวมแสงจันทร์
……
สำนักกระบี่หลงเฉวียน เจ้าสำนักหร่วนฉงรับลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อมาเพิ่มสิบกว่าคน ในที่สุดก็ทำให้ภูเขาหลายลูกที่เงียบเหงาวังเวงมีกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาได้บ้าง
เกี่ยวกับเรื่องที่สุดท้ายแล้วอริยะหร่วนฉงรับคนหลายคนไว้เป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ ชักนำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์กันไปชั่วขณะหนึ่ง
การที่มีลูกศิษย์ซึ่งได้รับการบันทึกชื่อไว้ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนชั่วคราวเหล่านี้ ต้องยกคุณความชอบให้กับความสำคัญที่สกุลซ่งต้าหลีมีให้แก่ปรมาจารย์ใหญ่ผู้หลอมกระบี่อย่างหร่วนฉง ทางราชสำนักตั้งใจคัดเลือกเด็กหนุ่มเด็กสาวและเด็กเล็กที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมมาสิบสองคน จากนั้นก็สั่งทหารม้าฝีมือดีหนึ่งพันนายให้การคุ้มกันพวกเขาพามาส่งถึงตีนเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียน
ตอนนั้นหร่วนฉงกำลังเปิดเตาหลอมกระบี่ จึงไม่ได้ปรากฏตัว เป็นคนหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้ไม่นานคนหนึ่งออกมาทำหน้าที่รับรองทุกคนแทน เมื่อรู้ว่าคนหนุ่มชุดดำผู้นี้คือเซียนดินโอสถทองที่แท้จริง ในสายตาของเด็กๆ เหล่านั้นก็เผยแววตาร้อนแรงออกมาให้เห็น อันที่จริงชื่อของอริยะหร่วนฉง และการที่มีทหารเกราะเหล็กของราชสำนักต้าหลีทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน บวกกับที่ในชื่อสำนักกระบี่หลงเฉวียนมีคำว่าจง (สำนัก สำนักกระบี่หลงเฉวียนภาษาจีนคือหลงเฉวียนเจี้ยนจง) อยู่ด้วยนั้น ได้ทำให้เด็กๆ เหล่านี้เกิดความประทับใจที่ล้ำลึกมานานแล้ว
ว่ากันว่าบนเส้นทางของการฝึกตน การที่จะกลายเป็นเซียนบนภูเขาได้นั้น แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยอันตรายและอนาคตที่ไม่อาจล่วงรู้ หากสามารถเข้าร่วมกับสำนักกระบี่หลงเฉวียน ถูกอริยะหร่วนหมายตา สุดท้ายกลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักอย่างเป็นทางการก็หมายความว่าอย่างน้อยการเลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางจะต้องราบรื่นไร้อุปสรรค
ในกลุ่มคนสิบสองคน มีคนหนึ่งคือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ถูกวิเคราะห์มาว่าหาได้ยากอย่างถึงที่สุด ต้องสามารถบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้อย่างแน่นอน
อีกสามคนมีพรสวรรค์ของเซียนดิน ที่เหลืออีกแปดคนก็คือวัตถุดิบที่ดีในการฝึกตนซึ่งมีหวังว่าจะเลื่อนขั้นถึงห้าขอบเขตกลางได้
นี่จึงแสดงให้เห็นว่าสกุลซ่งต้าหลีให้การสนับสนุนหร่วนฉงอย่างเต็มที่จริงๆ
หลังจากที่คนทั้งสิบสองมาพักอาศัยอยู่ที่นี่แล้ว เนื่องจากอยู่ในช่วงหลอมกระบี่ หร่วนฉงจึงหาเวลาว่างมาปรากฏตัวแค่ครั้งเดียว พอแน่ใจในคุณสมบัติด้านการฝึกตนของคนทั้งสิบสองคนคร่าวๆ แล้วก็ให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา หลังจากนี้จะเป็นช่วงเวลาของการคัดเลือกอย่างไม่หยุดพัก สำหรับสำนักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว จะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้หรือไม่นั้น คุณสมบัติในการฝึกตนเป็นเพียงแค่ก้อนอิฐที่ใช้เคาะประตูเท่านั้น (อิฐที่ใช้เคาะประตู เมื่อใช้เสร็จก็จะถูกคนโยนทิ้ง เปรียบเปรยถึงอุปกรณ์หรือแผนการในการช่วงชิงชื่อเสียงผลประโยชน์ เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็โยนมันทิ้ง) พรสวรรค์ในการฝึกตนและจิตใจที่แท้จริงกลับสำคัญยิ่งกว่าในสายตาของหร่วนฉง
หลังจากที่คนเหล่านี้ขึ้นมาบนภูเขาถึงได้รู้ว่าที่แท้เจ้าสำนักหร่วนมีบุตรสาวโทนอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าหร่วนซิ่ว นางชอบสวมชุดกระโปรงสีเขียว มัดผมหางม้า เพียงแค่มองครั้งเดียวก็ยากที่จะทำให้คนลืมเลือนได้
เด็กหนุ่มบางคนก็ยิ่งหัวใจลิงโลด เพียงแต่ไม่กล้าเปิดเผยความคิดเหล่านี้ออกมาภายนอกก็เท่านั้น
พวกคนที่เข้ามาอยู่สำนักกระบี่หลงเฉวียนในภายหลังเหล่านี้ต่างก็ชอบเรียกหร่วนซิ่วว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่
หร่วนซิ่วที่ไม่ว่ากับใครก็ล้วนแสดงความอ่อนโยนมีน้ำใจ แต่ไม่คิดจะใกล้ชิดใครเป็นพิเศษเคยพูดกับพวกเขาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนคำเรียกขานได้ จึงได้แต่ปล่อยให้คนอื่นเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ต่อไป
นานวันเข้าพวกลูกศิษย์บางส่วนที่เริ่มแสดงความโดดเด่นให้เห็น และบางส่วนที่เริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยยากเปลืองแรงก็ค้นพบว่าเดิมทีศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็คือบุคคลที่แปลกประหลาดที่สุดในสำนักบนภูเขาที่แปลกประหลาดอย่างมากแห่งนี้
ไม่เคยมีใครเห็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ท่านนี้ฝึกตน ทุกวันหากไม่เก็บตัวเงียบก็อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามอย่างเตาหลอมกระบี่ ช่วยเจ้าสำนักหลอมกระบี่ หรือไม่ก็เดินเล่นไปตามภูเขาลูกต่างๆ นอกจากภูเขาเสินซิ่วอันเป็นที่ตั้งของสำนักรวมไปถึงภูเขาไม่กี่ลูกที่ห่างไปค่อนข้างไกลแล้ว บริเวณใกล้เคียงกับภูเขาเสินซิ่วยังมีภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาไฉ่อวิ๋นและภูเขาเซียนฉ่าวอีกสามลูก เป็นเวลานานกว่าที่ทุกคนจะรู้ว่าภูเขาสามลูกนี้ไม่ใช่ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างแท้จริง แต่เป็นภูเขาที่ทางสำนักขอเช่าจากคนผู้หนึ่งเป็นเวลาสามร้อยปี
นอกจากหร่วนซิ่วจะไปไหนมาไหนเพียงลำพังระหว่างขุนเขาและสายน้ำแล้ว นางยังเลี้ยงแม่ไก่และลูกเจี๊ยบขนฟูเอาไว้เต็มลานบ้าน บางครั้งนางจะมองไกลๆ มายังโอสถทองที่เป็นคนร่วมสำนักซึ่งกำลังช่วยอธิบายขั้นตอนการฝึกตน ถ่ายทอดวิชาหายใจอันเป็นเอกลักษณ์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียน วิเคราะห์เวทกระบี่ชั้นสูงที่ว่ากันว่าได้มาจากศาลลมหิมะให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด ศิษย์พี่หญิงใหญ่หร่วนซิ่วไม่เคยเข้ามาใกล้ทุกคน มือหนึ่งของนางจะถือผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ บนผ้าเช็ดหน้าวางขนมที่คล้ายกับภูเขาลูกย่อม นางแค่กินมันอย่างเชื่องช้า ตอนมาถึงจะคลี่ผ้าเช็ดหน้าออก พอกินเสร็จก็จากไป
ลูกศิษย์บางคนที่ฉลาดเฉลียวเริ่มสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่จากไปแล้ว ศิษย์พี่รองที่เป็นเซียนดินโอสถทองคนนั้นจะต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ
นอกจากศิษย์พี่หญิงใหญ่หร่วนซิ่วแล้ว ก็มีศิษย์พี่รองที่แทบจะเป็นอาจารย์ครึ่งตัว ศิษย์พี่หญิงสามที่พักอยู่ริมลำคลองหลงซวีเพียงลำพัง และยังมีศิษย์พี่สี่ที่เป็นเด็กหนุ่มแซ่เซี่ย เกิดมาก็มีคิ้วคู่หนึ่งที่ยาวมากคนนั้น ศิษย์พี่เซี่ยที่อายุไม่มากคนนี้แทบไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เด็กรุ่นหลังเห็น แล้วเจ้าคนคิ้วยาวแซ่เซี่ยผู้นี้ก็ดันรับหน้าที่เป็นผู้คุมกฎของสำนักกระบี่หลงเฉวียนเสียอีก ตอนแรกยังมีศิษย์น้องบางคนที่บ่นศิษย์พี่สี่อย่างไม่พอใจว่าเย็นชาเข้มงวดเกินไป ไม่เห็นแก่มิตรภาพของคนร่วมสำนักเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าภายหลังได้ยินข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งมาจากทางเมืองเล็ก ทุกคนจึงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางหัว
ศิษย์พี่สี่เซี่ยที่บ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกเถาเย่ บรรพบุรุษท่านหนึ่งในตระกูลที่ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงก็คือเทียนจวินลัทธิเต๋าแห่งอุตรกุรุทวีป
เซียนเหรินขอบเขตสิบสอง
ก่อนจะขึ้นเขามา ในบรรดาคนทั้งสิบสองคนนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเซียนดินบนโลกยังแบ่งออกเป็นอีกสองประเภทคือโอสถทองและก่อกำเนิด
ส่วนหลังก่อกำเนิดไปนั้น ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน จึงเข้าใจผิดคิดว่านั่นคือขอบเขตสูงสุดของผู้ฝึกลมปราณแล้ว
หลังจากขึ้นเขามา ศิษย์พี่รองที่ถือเป็นหนึ่งในลูกศิษย์บุกเบิกขุนเขาของหร่วนฉง เซียนดินโอสถทองชุดดำที่ไม่ชอบแย้มยิ้มพูดจาท่านนั้นก็ได้ช่วยอธิบายให้พวกเขาฟังคร่าวๆ ถึงการแบ่งขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณ พวกเขาถึงได้รู้ว่ายังมีห้าขอบเขตบน มีขอบเขตหยกดิบและขอบเขตเซียนเหริน
หลังจากนั้นมา นอกจากพวกเด็กๆ ที่ไม่รู้ประสา หรือบางคนที่เป็นคนใจกล้าแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือทุกคนยามที่เห็นศิษย์พี่สี่ซึ่งชอบตีหน้าเคร่งอบรมผู้อื่นก็แทบจะไม่กล้าหายใจเสียงดัง
มีเพียงอยู่กับศิษย์พี่หญิงใหญ่หร่วนซิ่วเท่านั้น ศิษย์พี่สี่ถึงจะยิ้มแย้มให้เห็น และตลอดทั้งภูเขาก็มีเพียงเขาที่ไม่เรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ แต่เรียกหร่วนซิ่วว่าพี่หญิงซิ่วซิ่ว
เพียงแต่ว่าดูเหมือนหร่วนซิ่วก็ไม่ได้ให้ความสนิทสนมกับศิษย์น้องผู้นี้เหมือนกัน
นี่ทำให้ในใจของเด็กหนุ่มหลายคนที่เพิ่งเข้ามาอยู่สำนักทีหลังรู้สึกดีขึ้นเยอะมาก
ถึงอย่างไรทุกคนต่างก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องผิดหวัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น