หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 420-421

 บทที่ 420 สะบั้นความสัมพันธ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“น่าสนใจ…” เมื่อเห็นว่าอดีตผู้ช่วยของเขาจู่ๆ ก็กลายเป็นเหมือนคนละคน แถมยังพูดจาอย่างใจเย็นและมั่นใจ เฉินมู่ก็หรี่ตาลงช้าๆ


ในฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน เขาจึงคุ้นเคยกับความรู้เรื่องการฝึกตนมาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นสิ่งหนึ่งที่สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าไม่อาจสอนได้ เพราะอย่างไรเสีย สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็ต้องดูแลศิษย์จำนวนมาก ในขณะที่ตระกูลเฉินแห่งตระกูลนภาห้าสมัยนั้นทุ่มเทความสนใจให้กับการเลี้ยงดูบุตรหลานของตนเท่านั้น


ครั้งหนึ่งเคยมีข่าวลือสะพัดออกไปว่า ตระกูลนภาห้าสมัยเคยขึ้นไปถึงกระบี่สำริดเขียวโบราณและนำเคล็ดวิชาฝึกตนลึกลับกลับมาด้วย ไม่มีใครรู้ว่าข่าวลือนั้นเป็นจริงมากน้อยเพียงใด เฉินมู่เองก็ไม่รู้เช่นกัน อย่างไรก็ดี เขารู้ดีว่าความรู้เรื่องการฝึกตนที่สืบทอดกันในตระกูลของเขานั้นล้ำหน้ากว่าตระกูลอื่นๆ มากนัก


ตัวอย่างเช่น เฉินมู่รู้ว่ามีวิธีแยกวิญญาณของคนๆ หนึ่งไปใส่ในกายหยาบอื่นได้ แม้ว่าจะต้องบรรลุขั้นกำเนิดวิญญาณก่อนจึงจะทำได้ก็ตาม และเขายังรู้อีกด้วยว่ามีวิธีอื่นๆ อีกมากที่จะใช้ควบคุมหุ่นเชิด รวมถึงมีวิชาที่สามารถควบคุมจิตใจคนอื่นเช่นกัน ชายหนุ่มไม่อาจใช้วิชาเหล่านั้นได้ แต่เขาก็รู้ว่าคนที่สามารถทำได้นั้นล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น


ดังนั้นเฉินมู่จึงไม่ด่วนตัดสินใจต่อหน้าผู้ช่วยตรงหน้าเขา เขาระแวดระวังแต่ไม่ได้กลัว ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาปลอดภัยเพราะการปกป้องจากองค์รักษ์เต๋าที่อยู่รอบกาย ไหนจะผู้อาวุโสของตระกูลเขาอีกด้วย เขาน่าจะสามารถต้านทานยอดฝีมือได้ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง


ในขณะเดียวกัน เฉินมู่เองก็สนใจใคร่รู้ว่าเจ้านายที่อดีตผู้ช่วยของเขากล่าวถึงนั้นเป็นใคร เขาไม่ชอบหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ในใจนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ดังนั้นเฉินมู่จึงไม่คิดจับผู้ร้ายคนนี้ส่งหวังเป่าเล่อแน่นอน เขาจ้องมองผู้ช่วยตรงหน้าอยู่นานก่อนจะทรุดตัวลงนั่งไม่พูดสิ่งใด


ไม่จำเป็นต้องนิ่งเงียบกันให้เนิ่นนาน ความตั้งใจของทั้งคู่เป็นที่รู้ชัด ดังนั้นผู้ฝึกตนวัยกลางคนจึงยิ้มตอบ


“สหายเต๋าเฉิน เจ้านายของข้ามีเป้าหมายเดียวเท่านั้น คือหวังเป่าเล่อ ทว่าเพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย เขาจึงไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตนเอง และต้องการให้เจ้าช่วย”


“เมื่องานนี้สำเร็จ เจ้านายของข้าจะแสดงความขอบคุณด้วยหุ่นเชิดระดับกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์!”


เฉินมู่เลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะเยือกเย็นอยู่ในใจ เขารู้สึกว่าผู้ฝึกตนวัยกลางคนผู้นี้ช่างพูดง่ายและไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย อีกทั้งยังไม่พยายามปกปิดสักนิดว่าต้องการให้เฉินมู่ไปฆ่าคน แม้ว่าชายหนุ่มจะอยากสังหารหวังเป่าเล่อกับมือเพียงใด เขาก็ไม่เขลาถึงขนาดจะยอมถูกหลอกได้ง่ายๆ


ความสนใจที่เฉินมู่มีอยู่ก่อนหน้านี้อันตรธานไปจนสิ้น เขากำลังจะลุกขึ้นส่งแขก แต่ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนวัยกลางคนตรงหน้าก็หัวเราะลั่นและขยับตัวออกไปเอง ก่อนที่อีกฝ่ายจะจากไป เขาวางกลองขนาดเล็กเอาไว้ตรงหน้าเฉินมู่!


กลองเล็กนั้นเป็นสีโลหิต วินาทีที่อีกฝ่ายหยิบมันออกมา ไอโลหิตก็แผ่ออกมาอย่างเข้มข้น ไอชั่วร้ายแผ่ออกมาจากด้านใน ในเวลาเดียวกันก็มีแรงกดดันมหาศาลถูกปล่อยออกมาด้วย แรงกดดันนั้นอยู่ในระดับเดียวกับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ ซึ่งทำเอาเฉินมู่ตกตะลึงอย่างหนัก


“วัตถุเวทชิ้นนี้เป็นเมล็ดของหุ่นเชิด สหายเต๋าเฉินเอ๋ย ถือว่าข้ามอบสิ่งนี้เพื่อช่วยเจ้าตัดสินใจ หากเจ้ายอมตกลง ก็จงลั่นกลองนี้ เจ้านายของข้าจะชี้ทางการบ่มเพาะเมล็ดนี้ให้แก่เจ้า” ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดพลางก้าวถอยหลังเพื่อจะออกจากห้องไป ขณะที่กำลังก้าวออกไป ไฟเริ่มเผาไหม้ร่างของเขาอย่างไร้เสียง ทันทีที่ก้าวออกไปพ้นตัวตึก กายของเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าปลิวหายไปกับสายลม


สีหน้าของเฉินมู่เคร่งเครียดขึ้นทันทีเมื่อมองกลองซึ่งดูชั่วร้ายประกอบกับร่างที่โดนแผดเผา ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคิดใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างจริงจัง


อย่างไรเสีย เฉินมู่ก็ไม่ได้แตะต้องกลองแม้แต่น้อย หลังจากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน เขาจึงส่งคนมานำกลองนี้กลับไปยังตระกูล เพื่อจะได้ศึกษาและตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อไป


ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งออกมาจากเขตของเวินไหวหลังการตรวจสอบ ก็กลับที่พักด้วยความอิ่มเอมใจ พลางตั้งใจจะฝึกตนและศึกษาอาวุธเวทต่อไป


กลางดึกคืนเดียวกันนั้นเอง ความมืดปกคลุมไปทั่วและความเงียบสงบแผ่ซ่านอยู่ในอากาศ แหวนสื่อสารของหวังเป่าเล่อและประตูที่พักของเขาส่งเสียงขึ้นพร้อมๆ กัน หลี่หว่านเอ๋อร์มาพบเขาอีกครั้ง…


หวังเป่าเล่อพร้อมอยู่แล้ว อย่างไรเสียปราณมืดในกายหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะขจัดออกไปได้โดยง่าย ชายหนุ่มลืมตาขึ้น จ้องมองแหวนสื่อสารก่อนจะเปิดประตูที่พักให้หลี่หว่านเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านนอก


หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้พูดสิ่งใด นางเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางเดินไปที่ห้องลับในทันทีโดยไม่รอให้หวังเป่าเล่อนำทาง


หวังเป่าเล่อกะพริบตา หลังจากปิดประตูแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดออกจะแปลกอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาคิดถึงร่างกายอันยั่วยวนของหลี่หว่านเอ๋อร์ หัวใจเขาก็เต้นโครมครามอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชายหนุ่มกระแอมกระไอก่อนจะเดินเข้าไปในห้องลับและเริ่มกระบวนการรักษา…


ครั้งนี้ทั้งหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์รู้สึกคุ้นชินกับกระบวนการรักษามากขึ้น  โดยเฉพาะเมื่อไฟดับลง กระบวนการเป็นไปเช่นเดียวกับเมื่อวาน คือหนักอึ้งไปด้วยบรรยากาศอันยากจะบรรยาย


อย่างไรก็ดี หวังเป่าเล่อยังคงพอใจกับความประพฤติของตน ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษและทำสิ่งเหนื่อยยากทั้งหมดนี้ไปเพื่อช่วยเหลือคน เขาเอาจริงเอาจังและรับผิดชอบ แถมยังไม่มีความคิดนอกลู่นอกทาง ทั้งหมดที่ทำไปเพียงเพราะต้องการรักษาหลี่หว่านเอ๋อร์ ชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสัมผัสกายนางจนทั่ว


หลายวันผ่านไปเช่นนี้ กระบวนการรักษาของหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ได้กลายมาเป็นความลับและเรื่องปกติของคนทั้งคู่ ความสัมพันธ์ของพวกเขายิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก ระหว่างวัน เมื่อทั้งคู่อยู่ในห้องทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ ไม่ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์จะมารายงานความคืบหน้าหรือหารือเรื่องงานกับหวังเป่าเล่อ นางจะเย็นชาและไร้อารมณ์ ไม่ต่างจากที่เคยเป็นมาโดยตลอด


บางครั้งนางก็ใช้น้ำเสียงไม่พอใจเมื่อต้องพูดถึงเฉินมู่


แต่เมื่อยามวิกาลมาเยือน หลี่หว่านเอ๋อร์ก็จะมาหาหวังเป่าเล่อ ณ ที่พักด้วยตัวเองและเดินเข้าห้องลับไปอย่างคล่องแคล่ว แม้นางจะยังดูเย็นชาและห่างเหิน แต่เมื่อกระบวนการรักษาเริ่มขึ้นและแสงไฟมืดดับลง นางก็กลับกลายเป็นคนละคน นางหายใจหอบ ร่างกายร้อนรุ่ม แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ทำสิ่งใดเกินเลย แต่กระบวนการรักษาโดยการสัมผัสนี้ก็ทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันเสียยิ่งกว่าเมื่อคราวที่ติดอยู่ในถ้ำเสียอีก


หวังเป่าเล่อมักสับสนว่าตัวจริงของหลี่หว่านเอ๋อร์นั้นคือคนใดกันแน่ อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะหากเขามีปากเสียงกับนางในเวลากลางวัน เมื่อถึงกลางคืน เขาก็จะจับตัวนางแรงขึ้นอีก ด้านหลี่หว่านเอ๋อร์นั้นจะตัวสั่นอย่างรุนแรงเมื่อถูกหวังเป่าเล่อจับแรงขึ้น แต่นางก็ไม่ได้แสดงท่าทีดิ้นรนขัดขืนแต่อย่างใด…


มีหลายครั้งที่หวังเป่าเล่อเกือบจะเสียการควบคุมตนเองและเสียพรหมจรรย์ ทว่าสุดท้ายชายหนุ่มก็ยังรักษาความเป็นสุภาพบุรุษและควบคุมตัวเองไว้ได้ เขาอาจจะคิดไปเอง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเขาทำเช่นนั้นมากเท่าใด หลี่หว่านเอ๋อร์ก็จะยิ่งมีปากเสียงกับเขารุนแรงขึ้นในเรื่องการงานในวันถัดมา


หวังเป่าเล่อค่อยๆ เคยชินกับเรื่องนี้ ยี่สิบกว่าวันผ่านไปเช่นนี้ และเมื่อปราณมืดในกายหลี่หว่านเอ๋อร์ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น หวังเป่าเล่อก็จบกระบวนการรักษาด้วยความเสียดาย


ก่อนที่จะจากไป หลี่หว่านเอ๋อร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหวังเป่าเล่อ และจากไปโดยไร้ถ้อยคำลาเช่นทุกครั้ง


หยาบคายจริง นางไม่ได้ขอบคุณข้าด้วยซ้ำ ข้าก็ลำบากร่วมเดือนเหมือนกันนะที่ต้องรักษาให้น่ะ หวังเป่าเล่อคิดอยู่ในใจพลางรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง


ชายหนุ่มจมอยู่กับความผิดหวังอยู่สามวัน ในตอนเที่ยงของวันที่สี่ หวังเป่าเล่อเดินออกจากที่พักเพื่อจะไปยังตึกสำนักงาน ภายในตึกสำนักงานของเจ้าเมือง หลี่หว่านเอ๋อร์ สตรีรูปงามผู้เย็นชาในชุดเครื่องแบบที่เน้นทรวดทรง กำลังจ้องเฉินมู่อย่างฉุนเฉียวในห้องทำงานของชายหนุ่ม


“เจ้าอย่ามองข้าแบบนั้นสิ การก่อสร้างในเขตปกครองตนเองต้องการทรัพยากรและการสนับสนุนมากกว่านี้ ข้ามองว่าไม่เป็นการมากไปสักนิดที่จะให้เจ้ายกกำลังคนและอำนาจของเจ้าในนครใหม่มาให้ข้า” เฉินมู่พูดอย่างใจเย็น เขามาที่นี่วันนี้เพื่อขอกำลังคนและอำนาจสั่งการจากนครใหม่ เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะตระเตรียมและวางแผนป้องกันไม่ให้หลี่หว่านเอ๋อร์เปลี่ยนฝั่งมาต่อต้านเขาได้


ในความเป็นจริง เฉินมู่เสนอความคิดนี้มาครึ่งเดือนแล้ว และหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ปฏิเสธไปทุกครั้ง ครั้งนี้เขาจึงเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองพร้อมความโกรธ


หลี่หว่านเอ๋อร์หายใจแรง นางควรจะระเบิดโทสะไปนานแล้ว แต่หญิงสาวยังต้องคำนึงถึงการที่บิดาของนางเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับตระกูลเฉิน นางจึงทำได้เพียงหายใจเข้าลึกเพื่อทำใจให้เย็นลง แม้ว่าจะรำคาญความล้ำเส้นของเฉินมู่สักเพียงใดก็ตาม


“เฉินมู่ หากข้ายอมยกอำนาจสั่งการให้เจ้า ข้าก็ต้องตกที่นั่งลำบากหากมีปัญหาเกิดขึ้น เราต้องวางแผนทุกสิ่งและมองภาพใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น การที่ข้ามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อจะกรุยทางให้เจ้า…”


“ไม่ต้องมาพูดเรื่องช่วยเหลือข้าหรอก เป้าหมายที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อจะมีสัมพันธ์ลับๆ กับหวังเป่าเล่อ!” เฉินมู่ชักสีหน้า แววเย็นยะเยือกฉายผ่านนัยน์ตา ชายหนุ่มจงใจยั่วโมโหหลี่หว่านเอ๋อร์เพื่อ.shบรรลุเป้าประสงค์


“เฉินมู่!” เมื่อได้ยินประโยคนั้น หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ทุบโต๊ะอย่างแรง นางร่ำๆ จะบันดาลโทสะออกมาอยู่แล้ว


“เจ้ากล้าทุบโต๊ะต่อหน้าข้าหรือ” เฉินมู่หัวเราะก่อนจะทุบโต๊ะเสียงดังเช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็เขวี้ยงแผ่นหยกมาทางหลี่หว่านเอ๋อร์


“เจ้าลองดูบันทึกภาพในแผ่นหยกนั่นสิ ข้าจะบอกอะไรให้นะ หลี่หว่านเอ๋อร์ เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากจะยอมยกอำนาจสั่งการมาให้ข้าเท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะอยากหรือไม่ก็ตาม ไม่เช่นนั้น ข้าจะส่งแผ่นหยกนี้ให้บิดาเจ้า ข้าไม่สนใจว่าเขาจะโกรธหรือไม่ แต่ข้าจะไม่ยอมโดนสวมเขาเด็ดขาด!”


บทที่ 421 นางต้องการสิ่งใดกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลี่หว่านเอ๋อร์ตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินมู่พูด ใบหน้าเย็นเยียบไร้อารมณ์ของนางซีดเซียวไป นางจ้องมองเฉินมู่เขม็งและพูดไม่ออกไประยะหนึ่ง ความสับสนและสิ้นหวังปรากฏในดวงตา


หญิงสาวไม่อาจเข้าใจได้สักนิดว่าทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไร นางไม่คิดว่าตนเองนั้นชอบหวังเป่าเล่อ เพียงแค่ไม่ได้เกลียดเขาเท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นกับหวังเป่าเล่อในถ้ำเป็นเพียงอุบัติเหตุ และนางก็เลี่ยงไม่พบเขาตั้งแต่นั้นมา ทว่าเคล็ดเวทอายุวัฒนะก็นำพาทั้งสองมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง


แม้กระนั้นหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ยังมีสติรู้คิดและจิตใจที่มีเหตุผล นางกับหวังเป่าเล่อไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะควร ทั้งนางเองยังห้ามความคิดตนเองไม่ให้เตลิดไปเสียด้วยซ้ำ


ตอนนี้เฉินมู่เอาทุกสิ่งมาเผยในที่แจ้ง ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายอธิบายหรือโต้เถียง หน้าของหลี่หว่านเอ๋อร์ซีดลงอีก น้ำเสียงของนางอ่อนลงเป็นครั้งแรก


“ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและหวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด โปรดฟังข้าอธิบายก่อน…”


“หุบปากไปเลย นางผู้หญิงงามเมือง!” หากว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้พูดเช่นนั้น เฉินมู่ก็คงไม่แน่ใจเท่าตอนนี้ สายตาของเขาฉาบเคลือบไปด้วยโทสะอันแรงกล้า เขาพ่นลมออกทางจมูกอย่างเย้ยหยัน


“หากเจ้าไม่รู้จักอาย จะยึดอำนาจไว้ในมือก็ตามใจ ข้าให้เวลาเจ้าคิดหนึ่งวัน!” หลังจากพูดจบเฉินมู่ก็หันหลังกลับและเหวี่ยงประตูให้เปิดออก ชายหนุ่มกำลังจะเดินออกไปก่อนจะชะงัก หันหลังกลับมาจ้องหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ใบหน้าซีดเผือดอย่างเกลียดชัง


“อีกเรื่องหนึ่ง หากเจ้าหาคนที่หน้าตาดีสักหน่อยข้าก็คงพอเข้าใจ ทำไมถึงต้องเลือกไอ้หน้าหมูอย่างหวังเป่าเล่อด้วย คนบางคนก็มีรสนิยมน่าทุเรศเสียจริง” เฉินมู่พูดความในใจออกมาจนสิ้น เขาโคลงศีรษะพลางรู้สึกจิตใจสงบขึ้น แล้วจึงเดินอาดๆ ออกจากห้องทำงาน ก่อนจะกระแทกประตูปิดด้วยเสียงอันดัง


เสียงกระแทกนั้นดังสนั่น แต่หลี่หว่านเอ๋อร์เหมือนจะไม่ได้ยิน นางยืนเงียบอยู่ตรงนั้น สีหน้าแปรเปลี่ยนจากซีดขาวราวคนตายไปสู่สีแดงแห่งความโกรธเกรี้ยว แววตาสิ้นหวังกลายเป็นประกายแห่งความมุ่งมั่น


“ถ้าหากเจ้าต้องการเช่นนั้น…ก็ได้!” หลี่หว่านเอ๋อร์พึมพำหลังจากเงียบไปพักใหญ่ ความมุ่งมั่นในดวงตายิ่งฉายแววกล้า นางเองก็ดูโล่งใจเช่นกัน ราวกับว่าได้วางภาระอันหนักอึ้งลงจากบ่าแล้ว


ไม่มีใครได้ยินการโต้เถียงระหว่างทั้งคู่ หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ตัวว่าเฉินมู่กำลังช่วยเขาอย่างอ้อมๆ เขาเดินอารมณ์ดีเข้ามาในห้องทำงานเหมือนเช่นเคย ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งก่อนจะเริ่มกินขนม พลางเปิดดูคำร้องการอพยพครั้งใหญ่รอบต่อไป


ตอนนั้นเองหลี่หว่านเอ๋อร์ก็เข้ามา


นางยังมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย ความเย็นชาและห่างเหินยังคงอยู่ตามปกติ ราวกับว่าพยายามจะกันทุกคนออกไปจากตน หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของหวังเป่าเล่อ นางก็โยนแผ่นหยกลงบนโต๊ะทำงานของเขา


“เจ้าเมืองหวัง ข้าได้รับคำร้องเรียนเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตของนายกเทศมนตรีเวินไหว รองนายกเทศมนตรีหลิวต้าวปินลุแก่อำนาจและเริ่มตั้งรูปปั้นจำนวนมาก ข่าวนี้ไปถึงหูท่านเจ้านคร นางสั่งให้พวกเราสอบสวนเรื่องนี้!”


หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ในวันนี้มีบางอย่างแปลกไป แม้นางจะเย็นชาเป็นปกติแต่ก็จะพยายามปกปิดความเกรี้ยวกราดเอาไว้เสมอ มาวันนี้มีบางอย่างเปลี่ยนไป ทว่าหวังเป่าเล่อเองก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันคือสิ่งใด


ชายหนุ่มบอกได้เพียงว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ในวันนี้นั้นแทบจะเหมือนหลี่หว่านเอ๋อร์ในวันแรกที่ได้เจอกันที่สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาเลยทีเดียว


นางอาจจะนอนหลับไม่สบายกระมัง หวังเป่าเล่อคิด เขาหยิบแผ่นหยกขึ้นมาและเริ่มตรวจสอบข้อความด้านใน จริงอย่างนางว่า มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจการกระทำของหลิวต้าวปิน มีข้อความจากเจ้านครอยู่อยู่ด้วย สั่งให้ฝ่ายบริหารนครใหม่สืบสวนเรื่องนี้และจัดการด้วยตนเอง


จากคำสั่งของนาง ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก เจ้านครไม่มีเวลามากนัก จึงสั่งให้ฝ่ายบริหารงานนครใหม่จัดการเรื่องนี้กันเอง ว่ากันตามจริง เรื่องนี้ไม่นับเป็นปัญหาเสียด้วยซ้ำ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า


“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปได้”


เมื่อได้ยินสุ้มเสียงไม่ทุกข์ร้อนของหวังเป่าเล่อ หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าเช่นนั้น ท่านเจ้าเมืองคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างใดกัน”


“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” หวังเป่าเล่อไม่พอใจท่าทีของหลี่หว่านเอ๋อร์ขึ้นมาทันที เขาเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา


“ทำลายรูปปั้นทั้งหมด ไล่หลิวต้าวปินออก และขอความร่วมมือในการสอบสวนจากเขา” หลี่หว่านเอ๋อร์ตอบอย่างตรงไปตรงมา น้ำเสียงกระแทกกระทั้น


“วันนี้เป็นวันนั้นของเดือนเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว พ่นลมหายใจออกทางจมูก เมื่อคิดว่านางเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องเล็กๆ ด้วยท่าทีเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่านางกำลังพยายามก่อปัญหาให้เขา ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงพูดจาประชดประชันออกไป


“เจ้าเมืองหวัง ได้โปรดระวังถ้อยคำด้วย นี่เรากำลังถกเถียงเรื่องจริงจังกันอยู่!” หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่มีอารมณ์จะมาต่อล้อต่อเถียง โทสะที่นางแบกมาด้วยนั้นยิ่งลุกโชนขึ้นอีกเพราะคำพูดของหวังเป่าเล่อ นางทุบโต๊ะเสียงดังทันทีอย่างลืมตัว


“หลี่หว่านเอ๋อร์!” หวังเป่าเล่อตอนนี้ก็โกรธเช่นกัน เขาทุบโต๊ะอย่างรุนแรงพอๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและตะโกน


“เจ้าพูดเป็นเล่นหรือเปล่า แค่เพราะรูปปั้นไม่กี่ตัว เจ้าไม่เพียงแต่จะทุบพวกมันทิ้งแต่จะให้ไล่หลิวต้าวปินออก เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าเขามีความสามารถเพียงใด ไม่ได้เห็นผลงานของเขาหรอกหรือ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าไม่มีผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะเลยสักคนเดียวในเขตที่เขาเป็นผู้ดูแล!”


“แล้วเจ้าเล่า เรื่องเล็กแค่นี้กลับตามไล่ฟัดราวกับหมาบ้า เขาอาจทำผิด แต่ก็ได้สร้างความชอบไว้มากมาย เพียงแค่กล่าวตักเตือนด้วยวาจาก็เพียงพอแล้ว ทำไมจึงจะต้องไล่เขาออกแล้วสอบสวนอีก”


“อีกอย่างหนึ่ง ที่นี่คือนครใหม่ ไม่ใช่กองวินัยอาณานิคม อย่ามาใช้วิธีเดิมๆ ของเจ้ากับที่นี่ และจงจำเอาไว้ด้วยว่า ณ ที่แห่งนี้…ข้าคือเจ้าเมือง!” หวังเป่าเล่อก็โกรธเช่นกัน ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา นางบังอาจทุบกำปั้นลงบนโต๊ะของเขา หลี่หว่านเอ๋อร์ทำเกินไปจริงๆ


“ออกไป เดี๋ยวนี้!” หวังเป่าเล่อฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ


อาการของหลี่หว่านเอ๋อร์นั้นประหลาด นางไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาต่อ นางจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาแปลกๆ จากนั้นจึงเริ่มพูดเรื่องการอพยพครั้งใหญ่รอบต่อไป


น้ำเสียงของนางใจเย็นลงกว่าก่อน นางให้คำแนะนำมาด้วยซ้ำ คำแนะนำเหล่านั้นช่วยเติมเต็มใบคำร้องได้อย่างยอดเยี่ยม หวังเป่าเล่อตะลึง เขาไม่อาจตามการเปลี่ยนเรื่องชนิดพลิกฝ่ามือและการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ได้ทัน น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของนางจู่ๆ ก็กลายเป็นน้ำเสียงที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ


หวังเป่าเล่อครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้คำตอบ เขายังคงตามน้ำไปเรื่อยๆ หลังจากให้คำแนะนำแล้วหลี่หว่านเอ๋อร์ก็เดินออกไป หวังเป่าเล่อนั่งลงเกาศีรษะอย่างงุนงง ความเคลือบแคลงสงสัยปรากฏอยู่ในดวงตา


ต้องเกิดอะไรสักอย่างขึ้นกับหลี่หว่านเอ๋อร์แน่ๆ ทำไมนางถึงทำตัวราวกับคนบ้า…นางวางแผนสิ่งใดอยู่กันแน่ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่พบคำตอบ ชายหนุ่มเริ่มระมัดระวังตัว ท้องฟ้ามืดลงแล้วก็ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก


บางทีอาจจะเป็นช่วงนั้นของเดือนจริงๆ กระมัง หวังเป่าเล่อคิดว่าน่าจะเป็นไปได้มาก ชายหนุ่มเก็บโต๊ะก่อนจะลุกออกจากห้องทำงาน เมื่อถึงที่พัก เขาก็วางความคิดทุกอย่างลงและเริ่มทำสมาธิ ตั้งใจว่าจะฝึกตนและเริ่มเรียนรู้ทักษะการหลอมอาวุธเวทสวรรค์สร้าง


เมื่อหวังเป่าเล่อจมอยู่กับการฝึก ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการหลอมสวรรค์สร้างก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น เขาได้บอกหลินเทียนหาวไปแล้วว่าให้เตรียมวัตถุดิบสำหรับอาวุธเวทและวิญญาณวุธเอาไว้


การหาวัตถุดิบและวิญญาณวุธยังอยู่ในขั้นดำเนินการ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงตั้งใจจะส่งดวงจิตของเขาออกไปอีกครั้ง ชายหนุ่มต้องการทำความคุ้นเคยกับวิชานี้และอยากลองเรียกวิญญาณออกมาด้วยสักสองสามดวง


เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงตรงกลับที่พักและเข้าไปยังห้องลับทันที ชายหนุ่มนั่งสมาธิจนกระทั่งมืดค่ำ เมื่อฝึกเสร็จ เขาก็ลืมตาขึ้นและหยิบอาวุธเวทออกมา ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้อาวุธเวทเพื่อช่วยในการสัมผัสถึงเศษเสี้ยวของวิญญาณวุธที่หลงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพ เมื่อนั้นเอง แหวนสื่อสารและประตูบ้านของเขาก็ส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน เสียงที่คุ้นเคยดังกระทบโสตประสาท


หวังเป่าเล่อชะงัก เขาจ้องมองแหวนสื่อสารที่มีเสียงของหลี่หว่านเอ๋อร์ดังออกมา หวังเป่าเล่อมองผ่านวงแหวนปราณรอบที่พัก และเห็นหลี่หว่านเอ๋อร์ยืนอยู่นอกประตูรั้ว เหมือนทุกวันที่นางมาเพื่อรับการรักษา


แต่ข้าบอกนางไปแล้วนี่ว่าการรักษาจบลงแล้ว นางหายดีแล้ว…หวังเป่าเล่อชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป ชายหนุ่มเปิดประตูและเห็นหลี่หว่านเอ๋อร์ยืนอยู่ หญิงสาวไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด นางเดินเข้าไปในห้องลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย…


หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงประตู จ้องมองไปที่ประตู แล้วจึงหันไปมองห้องลับ ชายหนุ่มรู้สึกสับสน ในขณะเดียวกันหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความคิดหนึ่งเข้ามาในหัว


นาง…ต้องการอะไรกัน


หวังเป่าเล่อรีรออยู่ชั่วครู่ เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองจะปิดประตูใหญ่แต่ก็ปิด ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องลับ ตอนนั้นเองสีหน้าของเขาก็แปลกแปร่ง ไฟในห้องลับนั้น…ถูกหลี่หว่านเอ๋อร์ปิดไปแล้วทั้งหมด


บรรยากาศสุดแปลกประหลาดปกคลุมอยู่ในอากาศ ในความเงียบสงัด ในความมืดมิด…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)