หมอดูยอดอัจฉริยะ 419-420

 ตอนที่ 419 เผชิญหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในป่าบนภูเขาฉางไป่ซาน มีเงาร่างสองร่างพุ่งเข้าไปในป่าและภูเขาอย่างรวดเร็ว เงาร่างหนึ่งพุงไปอย่างมุทะลุดุดัน อีกเงาร่างหนึ่งกลับล่องลอยราวกับเดินบนก้อนเมฆ แต่ไม่ว่าเป็นเคลื่อนไหวแบบไหนก็มีความรวดเร็วเป็นอย่างมาก


   ทางบนเขาที่คนปกติต้องเดินเป็นเวลากว่าครึ่งวัน ทั้งสองคนกลับใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษก็มาถึง เห็นไอหมอกพิษที่พวยพุ่งอยู่เบื้องหน้า เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อต่างก็หยุดเท้าลงพร้อมกัน


   นี่เป็นหุบเขาที่มีความยาวหลายพันเมตร ในบริเวณหุบเขามีไอหมอกสีเทาลอยเอื่อยๆ อยู่ หิมะที่กองทับกันถูกไอหมอกย้อมจนดูแล้วสกปรกเป็นบางส่วน


“ไอหมอกพิษนี้ดูแล้วแปลกประหลาด ตามหลักแล้ว ไอหมอกพิษนี้จะเกิดขึ้นมากในบริเวณเขตภูเขา “หลิงหนาน” ทางภาคใต้ที่ฝนตกชุก แต่ทำไมบริเวณตรงนี้ก็มี”


   ที่เขาเหมาซานก็มีไอหมอกพิษอยู่ เยี่ยเทียนตอนเด็กเคยหลงเดินเข้าไป เพียงแต่ไอหมอกนั้นพิษไม่ร้ายแรง เพียงแค่ทำให้เขาอาเจียนและท้องเสียไปหลายวันเท่านั้น


ไอหมอกพิษนั้นเป็นไอพิษที่มาจากการเน่าเปื่อยทับถมกันของซากสัตว์และพืชในบริเวณเขตป่าร้อนชื้น สาเหตุหลักก็คือไม่มีคนคอยจัดการซากสัตว์ตายแล้วที่ทับถมกันอยู่ แต่ว่าในทางภาคเหนือนั้นถือว่าพบเห็นได้น้อยมาก


“ที่นี่ก็คือบึงน้ำมังกรดำ เยี่ยเทียน เธอสามารถจับสัมผัสของเมิ่งตาบอดได้มั้ย ว่าอยู่ที่ไหน”


มองไปที่หมอกสีเทาหนาเบื้องหน้า สีหน้าของหูหงเต๋อมีแววสงสัยเป็นอย่างมาก ที่เทือกเขาฉางไป๋ซานมีสถานที่หลายแห่งที่คนปกติยากที่จะเข้าไปได้ หนึ่งในนั้นก็คือบึงน้ำมังกรดำ


ในตอนที่หูหงเต๋อเคยออกล่าสัตว์ ก็เคยไล่ต้อนหมูป่าตัวหนึ่งวิ่งเข้าไปในไอหมอกพิษ แต่เพียงไม่กี่นาทีหมูป่าตัวนั้นก็วิ่งออกมาราวกับแมลงไร้หัว หนังและขนที่หนาก็พลันเน่าเปื่อย


หลังจากนั้นมา หูหงเต๋อก็ขีดเส้นให้บึงน้ำมังกรดำแห่งเป็นพื้นที่ต้องห้าม และทางเข้าหุบเขาฝั่งตรงข้ามก็ไปปักป้ายเตือนอันตรายไว้ด้วย


“พวกมันอยู่ในพื้นที่ด้านหน้าห่างออกไปประมาณห้ากิโลเมตร น่าจะมีสี่ห้าคนได้!”


เยี่ยเทียนหยิบเหรียญทองแดงออกมาทำการทำนาย  เนื่องจากการที่ได้เข้ามาใกล้อีกฝ่ายแล้ว  ภาพการทำนายของเยี่ยเทียนจึงยิ่งชัดเจนมากขึ้น


“จากบริเวณนั้นหากจะเข้าสู่หุบเขาจะต้องผ่านบึงน้ำมังกรดำ เมิ่งตาบอดกับพวกนั้นมาทางนี้ทำไมกัน”


หูหงเต๋อขมวดคิ้วเป็นปมขึ้นมา ทางที่เมิ่งตาบอดและพวกมันเดินผ่านมาทั้งหมดราวกับว่าจงใจมาที่บึงน้ำมังกรดำโดยเฉพาะ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามขึ้นชื่อของเขาฉางไป๋ซาน เขาเริ่มจะไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเมิ่งตาบอดแล้ว


เยี่ยเทียนโบกมือ กล่าวว่า “เหล่าหู จะไปสนใจอะไรมากมาย อ้อมไปจับพวกเขาถามดูก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”


“ดี กลางเนินเขามีทางสายเล็กๆ อยู่พวกเราอ้อมไป!” หูหงเต๋อพยักหน้า ถนนสายนี้มีความยากและลำบากในการเดินทางมากสำหรับพวกเยี่ยเทียน ถึงแม้ว่าเมิ่งตาบอดจะรู้เส้นทางนี้ เขาเองก็ผ่านไปไม่ได้


มันไม่ใช่ถนนสายเล็ก แต่กลับเป็นร่องระหว่างเนินเขาจะเหมาะกว่า แคบจนคนเดินไปได้แค่คนเดียว และมีบางแห่งยังขาดเป็นระยะสองสามเมตรด้วยร่วมกับหิมะที่กองท่วมพื้น คนปกติแม้แต่จะยืนก็น่าจะทรงตัวไม่ได้


ด้านล่างของช่องแคบนี้ เป็นหุบเหวที่สูงห้าหกสิบเมตรมีหมอกพิษด้านสีเทาปกคลุมอยู่ ถ้าเยี่ยเทียนรู้สึกตื่นเต้นพลาดตกลงไป ถึงจะไม่ตายเพราะตกภูเขาก็คงตายเพราะหมอกพิษยู่ดี


เยี่ยเทียนในตอนนี้ก็ไม่ได้สบายเหมือนตอนที่มาแล้ว ใต้ฝ่าเท้าแต่ละย่างก้าวที่ย่ำไปต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก จนกระทั่งผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเต็ม ทั้งสองคนก็ออกมาจากช่องเขา


หันกลับไปมองทางที่ตัวเองเดินข้ามมา เยี่ยเทียนก็รู้สึกเหนื่อยล้า หูหงเต๋อหน้าผากก็มีเหงื่อเท่าเม็ดถั่วผุดพรายขึ้นมา มีสภาพแย่กว่าเยี่ยเทียนเสียอีก


“เหล่าหู พักก่อนเถอะ บัดซบเอ้ย แม้แต่น้ำจะดื่มก็ยังไม่มี!”


เยี่ยเทียนหยิบเอากาน้ำออกมา อยากจะดื่มน้ำซักหน่อย กลับพบว่าน้ำในกาแข็งกลายเป็นก้อนน้ำแข็งไปแล้ว


“เยี่ยเทียน อย่ากินหิมะรอบๆ บริเวณนี้ ระวังมีพิษ!”


เห็นเยี่ยเทียนกอบเอาหิมะบนพื้นขึ้นมาเตรียมจะใส่ปาก หูหงเต๋อก็เอามือดึงไว้ หยิบเอากระติกที่มีเหล้าอยู่ข้างในส่งให้เยี่ยเทียน


“เหล่าหู พวกมันดูเหมือนจะยังไม่เคลื่อนย้ายไปไหน คุณจะวางกับดักอะไรซักหน่อยมั๊ย”


ดื่มเหล้าที่ร้อนแรงไปอึกหนึ่ง การหายใจของเยี่ยเทียนก็กลับมาเป็นปกติ


หูหงเต๋อส่ายหัว กล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์ เมิ่งตาบอดอาศัยอยู่ในภูเขานี้มาสิบกว่าปี พวกกับดักพวกนั้นทำอะไรมันไม่ได้หรอก”


เยี่ยเทียนเงยหน้ามองไปยังป่า ที่ต้นไม้ขึ้นรกทึบเบื้องหน้าแวบหนึ่ง พูดเสียงเรียบๆ ว่า


“งั้นก็ให้โชคชะตาฟ้าลิขิตแล้วกัน เหล่าหู คุณระวังหน่อย ลูกกระสุนไม่มีตา ตอนนั้นผมอาจจะไม่สามารถดูแลคุณได้!”


มันเป็นเรื่องบุญคุณความแค้นของยุทธภพ หลังจากทำลายวิชามนต์ของเมิ่งตาบอดแล้ว เยี่ยเทียนได้ตัดสินใจแล้วว่าเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมีปัญหายุ่งยากในภายหลัง เมิ่งตาบอดจะต้องถูกฝังเอาไว้ในภูเขาแห่งนี้


“เธอเองต้องระวังตัวด้วย จริงๆ แล้วหากว่าเกิดอะไรขึ้นมา ฉันก็ไม่รู้จะไปบอกเด็กแซ่อวี๋นั่นยังไง”


ถูกเยี่ยเทียนที่อายุน้อยกว่ากำชับให้ระวังตัว หูหงเต๋อก็รู้สึกไม่สบายใจ ถึงตัวเยี่ยเทียนจะบอกว่าเขาเคยฆ่าคนและเห็นเลือดมาแล้ว ยังไงตามในที่แห่งนี้เขาก็แข็งแกร่งกว่าเยี่ยเทียน


“ใช่แล้ว ลงมืออย่าให้หนักมาก พวกสมุนที่ติดตามเมิ่งตาบอดมาจับเป็นก็พอแล้ว ผมอยากจะสอบถามพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้”


หูหงเต๋อถึงจะไม่ได้ปฏิบัติตัวตามกฏหมาย แต่ก็ไม่อยากฆ่าคนบริสุทธิ์ ที่เขาเตือนก็เพราะกลัวว่าเยี่ยเทียนอายุยังน้อยใจร้อน เมื่อลงมือแล้วก็จะไม่ยั้งมือ


หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนปั้นก้อนหิมะโยนใส่นก ก้อนหิมะที่อัดพลังเข้าไป ทำให้เครื่องในของมังกรบินนั้นแหลกเละ หากว่าโยนใส่หัวคน แน่นอนว่าโดนครั้งเดียวก็ไม่หายใจ


“ผมรู้แล้ว พวกเราไปต่อเถอะ ไปหาที่ดักรอพวกมันกันเถอะ!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า ที่เขาฝึกวรยุทธของลัทธิเต๋าถึงจะไม่ได้ห้ามฆ่าคน แต่ความอาฆาตแค้นหากสั่งสมมากเข้าก็ต้องหาทางปลดปล่อย แน่นอนว่าเขาจะไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างแน่นอน


หูหงเต๋อมองซ้ายมองขวา กล่าวว่า


“ไม่ต้องหาแล้ว เรารออยู่ในปากทางเข้าของป่านี้ก็ได้ ถึงพวกมันมีปืนก็ไม่มีประโยชน์!”


ด้านนอกหุบเขาแคบเป็นป่าต้นเบิร์ชที่แน่นขนัด ทอดยาวออกไปหลายกิโลเมตร ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าหนาวที่ใบไม้ร่วงลงมา มองออกไปก็ยังคงดูงดงาม


พื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ อย่าว่าแต่พวกเมิ่งตาบอดไม่กี่คนเลย ต่อให้ด้านในมีคนเป็นร้อยก็ไม่สะดุดตา ความได้เปรียบจากจำนวนคนของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีแล้ว


…..


“รีบลุกขึ้นมา ไปได้แล้ว อยากตายที่นี่หรือยังไง”


เมิ่งตาบอดมองพวกลูกน้องที่ดื่มกินจนอื่มหนำสำราญแล้วนอนระเกะระกะบนพื้นอย่างอับจนหนทาง ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมากที่พาพวกเขาเข้ามาในภูเขาด้วย


พวกเขามาถึงที่ตรงนี้ก็หลังบ่ายสองแล้ว จึงต้องพักกินข้าวให้อิ่มก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ กินข้าวก็กินเถอะ มีสองคนที่ดื่มจนเมา ถึงตอนนี้เพิ่งจะสร่าง


เห็นพระอาทิตย์กำลังจะตกดินจนมิดแล้ว อากาศก็จะแปรเปลี่ยนลดลงกว่าสิบองศา หากว่าไปไม่ทันในที่ซ่อนตัว แม้แต่เมิ่งตาบอดก็จะต้านไม่ไหว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าเด็กพวกนี้สมองคิดอะไรอยู่


กัวจื่อเซินจุดบุหรี่สูบหนึ่งมวน กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ปู่เมิ่งพักอีกซักหน่อยเถอะ เหลือระยะทางอีกไม่ไกลแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเราค่อยไปเร่งเอาตอนนั้นก็ได้แล้ว”


กัวจื่อเซินกับพวกอีกสองสามคน ที่ฉางไป๋ซานแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเด็กเกเรเกียจคร้านไม่เอาการเอางาน ไม่อย่างงั้นคงไม่ทำเรื่องลักลอบขโมยพวกนี้หรอก ถึงวันนี้ ใช้เวลาเดินทางอยู่บนเทือกเขาใหญ่ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว พวกเขาล้วนแล้วแต่เหนื่อยล้า


“ไม่ได้ ไปตอนนี้เลย ฉันรู้สึกไม่ดี!”


เมิ่งตาบอดส่ายหัว ตอนนี้เขาไม่อยากยุ่งข้องกับคนพวกนี้อีกแล้ว หน้าเต็มไปด้วยหิมะเกาะ กล่าวว่า “พวกแกหากไม่ไป ก็อยู่ที่นี่เลยก็แล้วกัน!”


“ได้ ได้ ปู่เมิ่งอย่าโกรธสิ พกวเราไปต่อก็สิ้นเรื่อง”


หลังจากได้ฟังคำของเมิ่งตาบอดแล้ว พวกไม่กี่คนนั้นก็ลุกขึ้นมาอย่างไม่ค่อยยินยอม ทิ้งพวกเขาไว้ที่นี่ จุดจบของพวกเขาก็มีเพียงอย่างเดียวก็คือตาย! ดีที่เส้นทางข้างหลังไม่มีเส้นทางขึ้นเขาแล้ว อาศัยแสงสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ตกดินนำทาง เมิ่งตาบอดเห็นสัญลักษณ์ที่ทำไว้บนต้นไม้ และพาพวกเขาเดินตัดป่าทึบไป


ในตอนที่กำลังจะออกจากป่านั้นเอง ตาของเมิ่งตาบอดพลันกระตุกขึ้นมา ในใจโหวงเหวง รีบหยุดยืน กดเสียงให้ต่ำลงกล่าวว่า “รอก่อน!”


“ปู่เมิ่ง มีอะไรเหรอ ปู่บอกว่าออกจากป่าไปก็จะถึงแล้วไม่ใช่เหรอ ” กัวจื่อเซินมองไปทางเมิ่งตาบอดอย่างไม่ค่อยเข้าใจ


เมิ่งตาบอดที่ตลอดมามีสีหน้าและแววตาเป็นคนเมตตากรุณา สีหน้าพลันเปลี่ยนไป ตบหัวกัวจื่อเซินไปหนึ่งฉาดแล้วกล่าวว่า “ไอ้บัดซบ เบาเสียงลงหน่อย!”


การโมโหของเมิ่งตาบอด ทำให้พวกที่เหลือพลอยตกตะลึง กัวจื่อเซินก้มหน้าลง ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ในใจพลันคิดว่ารอให้ออกไปก่อน จะฆ่าเมิ่งเซี่ยจื่อทิ้งเลยดีมั้ย


เมิ่งเซี่ยจื่อในเวลานี้ ไม่มีเวลาไปสนใจกับความคิดของกัวจื่อเซิน เขาแอบซ่อนร่างตัวเองหลังต้นไม้ใหญ่ ดวงตามองจ้องไปที่หุบเขาที่ว่างเปล่า ตะโกนเสียงดังว่า “เหล่าหู ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็อย่าแอบซ่อนอีกเลย ออกมาเถอะ!”


สัตว์หลายประเภทมักจะมีประสาทรับรู้ที่ไวต่ออันตราย เหมือนกับมดที่หากจะเกิดแผ่นไหวก็จะย้ายรัง หรือสุนัขที่จะเจออันตรายก็จะเห่าไม่หยุดเช่นกัน


สัมผัสที่หกของมนุษย์นั้นหากเทียบกับสัตว์ถือว่าด้อยกว่ามาก แต่สำหรับคนที่ฝึกวิชาเต๋านั้น สามารถอาศัยการปล่อยประสาทสัมผัสก็จะมีความสามารถประเภทนี้ได้เช่นกัน


เมิ่งตาบอดถึงแม้จะสืบทอดวิชามนต์ของลัทธิชามันได้บ้างและไม่มีคนคอยสอน แต่มักจะอัญเชิญเทพเจ้าประทับร่าง จึงเหลือพลังบนตัวเขาอยู่ไม่น้อย สำหรับปฏิกิริยาการรับรู้ต่ออันตรายนั้น ถือว่าสูงกว่าคนธรรมดามาก


“ออกมาเถอะ…ออกมาเถอะ…”


เสียงของเมิ่งตาบอดกระจายออกไปไกล และมีเสียงสะท้อนกลับมาจากหุบเขา สะเทือนจนหิมะบนต้นไม้ตกลงมาไม่หยุด


“ปู่เมิ่ง  หู…หูฮั่นซานตามมาแล้วเหรอ ”


เมิ่งตาบอดเพิ่งพูดออกไป กัวจื่อเซินก็ตกใจจนหน้าซีด พวกเขาเคยถูกหูหงเต๋อจัดการมาก่อน จึงรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ


“เมิ่งเซี่ยจื่อ ครอบครัวเราทั้งสองเคยเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ทำไมแกถึงมาทำร้ายหลานสาวของฉัน เรื่องนี้แกต้องมีคำอธิบายต่อข้า เหล่าหู”


เมิ่งตาบอดยังไม่ได้พูดอะไรออกมา เสียงของหูหงเต๋อก็ลอยออกมาจากหุบเขา เยี่ยเทียนเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า เมิ่งตาบอดจะตรวจจับเจอร่องรอยของพวกเขาได้เช่นกัน จากการดักซุ่มโจมตีก็เลยเป็นการเผชิญหน้าไปแล้ว


เมิ่งตาบอดกรอกตา กล่าวตอบเสียงดัง “แกพูดว่าอะไร เหล่าหู ฉันได้ยินไม่ชัด มีเรื่องอะไรก็ออกมาคุยกันเถอะ!”


ในขณะที่พูด เมิ่งตาบอดก็บรรจุลูกกระสุนกระสุนห้าหกลูกใส่เข้าในรังปืน จากนั้นหันหลังกลับไปพูดเสียงต่ำว่า  “อีกประเดี๋ยวถ้าหูหงเต๋อโผล่หัวออกมา  ระดมยิงกันได้เลย!”


ตอนที่ 420 อัญเชิญเทพ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เหล่าหู คุณจะทำอะไร!”  เห็นหูหงเต๋อลุกยืนขึ้นจากโขดหินที่ซ่อนตัวอยู่ เยี่ยเทียนรีบดึงเขาไว้


“เมิ่งตาบอดเรียกฉันออกไป ฉันก็จะออกไป จัดการกับมันให้รู้เรื่องกันไป!”


หูหงเต๋อมองไปทางเยี่ยเทียนอย่างแปลกใจ กล่าวว่า “พวกเราที่นี่มีวิธีการเจรจา หากคุยกันไม่เข้าใจแล้วจึงค่อยลงไม้ลงมือ ถ้าเจ้าเมิ่งตาบอดบอกว่าไม่กลัว แล้วฉันจะกลัวอะไร”


ก่อนการปฏิรูป มีพวกโจรและพวกต้มเหล้าเถื่อนเป็นจำนวนมากในสามมณฑลของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน นอกจากทหารแล้ว ด้านนอกเมืองก็อย่างหวังว่าจะหาคนดีๆ เจอ ดังนั้นในการปล้นแต่ละครั้ง จึงมักเจอแต่พวกเดียวกัน


ดังนั้นจากคำกล่าวที่ว่า “ฮ่องเต้ปกครองเหล่าเสือ เจดีย์เป่าคาถาสะกดมาร”  หากว่ามีพวกโจรเหลือสองกลุ่มเกิดความขัดแย้งขึ้น ก็จะพากันมาเจรจากันก่อน หากไม่ลงตัวแล้วจึงต่อสู้กัน


เวลานี้ ในภูเขาก็ยังคงมีกฏเกณฑ์แบบนี้อยู่ ดังนั้นหูหงเต๋อถึงได้จะออกไป เพื่อพูดคุยกับเมิ่งตาบอดให้รู้เรื่อง


หลังจากที่ได้ฟังหูหงเต๋ออธิบายแล้ว เยี่ยเทียนก็อยากจะร้องไห้ ออกแรงดึงเขากลับมา กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า


“ผมว่าคุณน่ะเหล่าหู อายุอานามก็หกสิบเจ็บสิบแล้ว สมองเสื่อมไปแล้วเหรอไง”


ห่างออกไปจากป่าไม่เกินสามสิบเมตร เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงพลังสังหารที่กระจายออกมา หากหูหงเต๋อเดินออกไป แน่นอนว่าต้องโดนยิงพรุนเป็นรังผึ้งแน่


“ไม่น่านะ เมิ่งตาบอดหากทำแบบนี้ เขาก็จะอยู่ที่ภูเขานี้ไม่ได้อีกต่อไป ” หูหงเต๋อเป็นคนหัวโบราณ เห็นเรื่องกฏเกณฑ์เป็นเรื่องสำคัญ รู้สึกว่าคำพูดของเยี่ยเทียนไม่น่าเป็นไปได้


“เหลวไหล ฆ่าคุณแล้ว ใครจะไปรู้เล่าว่าเขาทำผิดกฏ”


เยี่ยเทียนมองหูหงเต๋อหเหมือนคนไม่รู้จัก เขาไม่รู้ว่าตาแก่นี่อยู่รอดมานานขนาดนี้ได้ยังไง แล้วยังอยู่ในภูเขานี้อย่างรุ่งเรื่องเสียด้วย


จริงๆ แล้วเยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ที่ภูเขาแห่งนี้หากว่าทำผิดกฎ จะยิ่งตายเร็วขึ้นเท่านั้น หูหงเต๋อปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ ประกอบกับมีวรยุทธ์สูง ถึงแม้ว่าจะเคยเจอพวกนักเลง แต่ก็ได้แค่ตกใจไม่ได้มีอันตรายอะไร


“เอาหมวกมา เสื้อผ้าก็ถอดมาให้ฉันด้วย !”


 เห็นหูหงเต๋อไม่เชื่อตัวเอง เยี่ยเทียนก็ออกแรงกระชากหมวกหนังแกะของเขา รอจนหูหงเต๋อถอดเสื้อออกแล้ว เยี่ยเทียนก็เก็บไม้แห้งยาวขนาดสองเมตรกว่าขึ้นมา เอาหมวกและเสื้อสวมเข้าไป


เยี่ยเทียนเดินมาที่ริมของหุบเขา หันกลับไปพูดกับหูหงเต๋อว่า “ตะโกนพูดออกไป !”


“เมิ่งเซี่ยจื่อ ฉันจะออกไปแล้ว แกก็ออกมาสิ!” พร้อมกับเสียงตะโกนของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนนำเอาหมวกและเสื้อยื่นไปที่ทางเข้าหุบเข้า


ตอนนี้พระอาทิตย์ตกลงไปแล้ว แสงนั้นมืดลง แต่อาศัยแสงสะท้อนบนพื้นน้ำแข็งสีขาว ก็ยังพอจะแยกแยะเงาคนได้บ้าง ห่างออกไปยี่สิบสามสิบเมตร เยี่ยเทียนเชื่อว่าเมิ่งตาบอดและคนอื่นจะมองเห็นไม่ชัดเจน


“เปรี้ยง!”


“ปังปัง…”


“ตู้ม ตู้ม ตู้ม..”


ในตอนที่เยี่ยเทียนเพิ่งยื่นเสื้อและหมวกออกไปนั้น เสียงปืนหลายประเภทก็ดังขึ้นพร้อมกัน เหมือนกับจุดประทัด ประเดี๋ยวก็เสียงฟังชัดประเดี๋ยวก็เสียงทุ้ม ในคืนที่เหน็บหนาวมีหิมะโปรยปรายก็มีเสียงปืนดังระงมไปทั่วหุบเขา


พริบตาเดียวหมวกและเสื้อบนกิ่งไม้นั้นก็เต็มไปด้วยรูกระสุน ถูกกระสุนยิงจนลอยขึ้นกลางอากาศ เป็นเวลานานกว่าที่จะตกลงบนพื้นหิมะ


เมิ่งตาบอดและพวกมีปืนหลายชนิด ตั้งแต่ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ไปจนถึงปืนลูกซองยาวที่ใช้ก่อนสมัยปลดแอก กัวจื่อเซินถือปืนจุดเจ็ดเก้าอยู่ในมือ ไม่รู้ว่าเขาไปเอาปืนมาตรฐานที่ใช้ในกองทัพแบบนี้มาจากที่ไหน


แม้กระทั่งมีคนหนึ่งถือปืนยิงระเบิด เมื่อยิงออกมา สะเก็ดระเบิดก็แผ่กระจายครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ ถึงแม้ปืนประเภทนี้จะไม่แม่น แต่อัตราการกระทบเป้าสูงมาก เป็นที่มาของจำนวนรูในหมวกและเสื้อ


“บัดซบเอ๊ย เมิ่งตาบอดไม่เคยคิดเลย ว่ามันเป็นคนของภูเขาแห่งนี้”


เมื่อได้เห็นภาพนี้ เหงื่อของหูหงเต๋อก็ไหลลงไปตามกระดูกสันหลัง  หากเมื่อครู่ไม่ได้เยี่ยเทียนดึงเขาไว้ ตัวเองออกไปน่าจะตายไปแล้ว ชีวิตชราที่เหลือน้อยของเขาจะต้องมาจบลงที่นี่แน่นอน


“ปู่เมิ่ง ยิงโดนแล้ว จัดการหูฮั่นซานได้แล้ว!”


เห็นเงาสูงลอยขึ้น พวกนั้นก็ตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจ กั่วจื่อเซินและคนอื่นไม่ได้มองดูให้ชัดว่า นั้นเป็นเพียงแค่เสื้อผ้าเท่านั้น


“หุบปากให้หมด!”


“ทำไมล่ะ ปู่เมิ่ง ” เห็นเมิ่งตาบอดสีหน้าเคร่งขรึม กัวจื่อเซินและคนอื่นๆ ก็พากันปิดปากเงียบ


เมิ่งตาบอดด่าอย่างโมโห “นั่นมันเสื้อตัวหนึ่งเท่านั้น บัดซบเอ้ย หูหงเต๋อหัวโบราณนั่น เรียนที่จะใช้ลูกไม้นี่แล้วเหรอ”


บนโลกนี้จะมีคนประเภทหนึ่ง ที่มักแต่จะจ้องจับแต่ข้อบกพร่องคนอื่น แต่กลับไม่พิจารณาพฤติกรรมของตัวเอง เมิ่งตาบอดก็ไม่คิดว่าตัวเขาเองที่เคยเป็นคนหลอกล่อคนอื่นมาก่อน กลับถูกเยี่ยเทียนใช้ลูกไม้นี้ออกมา


“ปู่…ปู่เมิ่ง งั้น…งั้นทำยังไงดี เจ้าหูฮั่นซานนั้นขึ้นชื่อว่าลงมือโหดเหี้ยมนัก!”


เมื่อได้ยินว่ายังไม่ได้ฆ่าหูหงเต๋อ กัวจื่อเซินก็พูดด้วยเสียงสั่น ฟันกระทบปาก เขาถือว่าเป็นหัวหน้าแก๊งค์คนหนึ่งมีลูกน้องหลายคน แต่เผชิญหน้ากับหูหงเต๋อเขาไม่มีความมั่นใจเลยซักนิดเดียว


ก่อนนั้นกัวจื่อเซินที่ถือปืนอยู่ในมือ กลับถูกมีดบินของหูหงเต๋อที่สะบัดขึ้นมาจากเอวปักเข้าที่ข้อมือ จนถึงตอนนี้ก็ลยต้องใช้มือซ้ายถือปืน


เมิ่งตาบอดในตอนนี้ได้สูญเสียความเคร่งขรึมไปแล้ว กระทืบเท้า กล่าวอย่างด่าทอว่า “บัดซบ ฉันให้พวกแกรีบออกเดินทาง ไม่ใครฟังซักคน เลยต้องมาถูกดักอยู่ตรงปากหุบเขานี่!”


“ปู่เมิ่ง ถ้า…ถ้าอย่างนั้นพวกเราถอยกันเถอะ”


กัวจื่อเซินถูกเตะล้มลงไปหัวคะมำ เมื่อยืนขึ้นมาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก ตอนนี้ชีวิตน้อยๆ ของพวกเขา ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับเมิ่งตาบอดแล้ว


“ถอยไป ถ้าไม่แข็งตายก็ต้องถูกหูหงเต๋อฆ่าตาย รอดูสถานการณ์ไปก่อน!”


เมิ่งตาบอดสูดหายใจเข้าลึก พยายามให้อารมณ์ของตัวเองกลับมาสงบลง ในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ รีบร้อนลุกลนจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้


“เหล่าหู ทำไมทางนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว หรือว่าจะวิ่งหนี” ด้านหลังของแนวหินปากทางหุบเขา เยี่ยเทียนก็กำลังสนทนาอยู่กับหูหงเต๋อ อาวุธของอีกฝ่ายน่ากลัวมาก แม้แต่เยี่ยเทียนก็ไม่มั่นใจที่พุ่งเข้าไป


หูหงเต๋อหัวเราะกล่าวเสียงเย็นว่า “พวกมันกำลังรอ รอให้พวกเราทนไม่ไหว!”


นักล่าที่ดี สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การยิงปืนแม่น แต่เป็นความอดทนรอโอกาส ยึดหลักนัดเดียวจอด แต่ว่ามาแข่งความอดทนกับหูหงเต๋อ เมิ่งตาบอดกลับคิดผิดแล้ว


เมิ่งตาบอดสามารถอดทนได้เช่นเดียวกันกับหูหงเต๋อ แต่กัวจื่อเซินและพวก ล้วนแต่เป็นคนธรรมดา เพราะอายุน้อยใจร้อน ภายใต้อุณหภูมิลบยี่สิบกว่าองศาในเขตภูเขา ถึงแม้พวกเขาแต่ละคนจะสวมชุดขนหนังสัตว์ แต่ก็คงอดทนได้ไม่นานเท่าไหร่หรอก


“เมิ่ง…ปู่เมิ่ง นี่…เป็นแบบนี้พวกเราทนไม่ไหว หนาว…..หนาวจะตายอยู่แล้ว!”


เพียงแค่ผ่านไปได้ราวครึ่งชั่วยาม กัวจื่อเซินและพวกก็นั่งยองลงตรงบริเวณที่เคยยืนอยู่ ใบหน้าและริมฝีปากแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวม่วงคล้ำ ความเหน็บหนาวแบบนั้น ราวกับจะทำให้วิญญาณของคนถูกแช่แข็งก็ไม่ปาน


“เอ้อหนิว แกมากับฉัน มาเฝ้าปากทางเข้านี่ พวกแกที่เหลือไปช่วยกันเก็บไม้แห้ง มาจุดไฟตรงพื้นที่โล่งบริเวณนั้นขึ้นกองหนึ่งไป!”


เห็นสีหน้าของกัวจื่อเซินและคนอื่นๆ เมิ่งตาบอดก็เข้าใจว่าพวกเขานั้นทนต่อไปไม่ไหวแล้ว อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ปฏิกิริยาตอบสนองจะช้าลง ในตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่จะหยิบปืนก็ทำไม่ได้


แม้แต่ตัวของเมิ่งตาบอดเองถ้าจะมาเผชิญหน้ากันอย่างนี้ต่อไป เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหูหงเต๋อ คิดอะไรไม่ออกจึงให้กัวจื่อเฉินจุดไฟ


“ได้ ปู่เมิ่ง ขอเพียงดักทางเข้าหุบเขาได้ หูฮั่นซานก็ออกมาไม่ได้ พวกเราถึงตอนนั้นก็รอจนให้พวกนั้นตายไปเอง!”


หลังจากได้ฟังคำของเมิ่งตาบอดแล้ว กัวจื่อเซินและคนอื่นก็พากันดีใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าไม่มีใครเห็นรอยยิ้มเย็นบนสีหน้าของเมิ่งตาบอด


“เยี่ยเทียน พวกนั้นจุดไฟแล้ว หากว่าจะอยู่แบบนี้ต่อไป พวกเราจะเสียเปรียบ!”


ประกายไฟกองใหญ่สว่างจ้าอยู่บริเวณป่าด้านหน้า แต่ว่าเนื่องจากต้นไม้ขึ้นหนาแน่น หูหงเต๋อกลับมองไม่เห็นเงาของเมิ่งตาบอดและคนอื่นๆ


“เหล่าหู นี่ไม่ใช่แผนที่ดี จะให้เรามาทนหนาว แล้วปล่อยให้พวกเขาผิงไฟเอาไออุ่นแบบนี้หรอกนะ” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วขึ้นมา ที่หุบเขาตรงนี้ไม่มีต้นไม้ซักต้น พวกเขาอยากจุดไฟก็ทำไม่ได้


เห็นกองไฟลุกโชน เมิ่งตาบอดที่แอบอยู่หลังต้นไม้กล่าวกับชายกำยำข้างกายว่า “เอ้อหนิว แกคอยดูต้นทางไว้ให้ฉันหน่อย ฉันจะอัญเชิญเทพประทับร่าง!”


เอ้อหนิวพยักหน้า กล่าวว่า “ได้เลย ปู่เมิ่ง ขอให้วางใจเถอะ ต่อให้เป็นแมลงวันซักตัวผมก็จะไม่ให้บินเข้ามา!”


มือซ้ายหยิบกลองหนังแกะ เมิ่งตาบอดใช้มือขวาตีลงไปบนกลองซ้ำๆ ปากก็ร้องออกมา  “สภาพอากาศแห้งแร้งพื้นดินเหน็บหนาวฉันเข้ามาในภูเขา รอบด้านศัตรูล้อมรอบตกอยู่ในอันตราย องค์เทพที่ผ่านไปมาเชิญหยุดก่อน ขออัญฉีเทียนต้าเซิ้งมาเข้าประทับร่างข้าด้วย!”


ท่วงทำนองการร้องที่หยาบกร้านลอยออกมาจากป่าบนภูเขา ตามมาด้วยเสียงตีกลองหนังแกะที่ลอยออกมา ถึงแม้จะรู้ว่าเมิ่งตาบอดเป็นพวกเดียวกัน แต่บรรยากาศอันตรายอย่างมากก็ยังคงโอบล้อมอยู่ในใจของกัวจื่อเซินและคนอื่นๆ


เมิ่งตาบอดทำไมตอนนี้กลับร้องเพลงขึ้นมาล่ะ” เยี่ยเทียนไม่เคยได้เห็นการเชิญเทพประทับร่าง ฟังเนื้อเพลงนั่นอย่างเพลิดเพลิน


“นี่เขาอัญเชิญเทพประทับร่าง!” หูหงเต๋อสีหน้าสงสัยอย่างหนัก หลังจากหลานสาวถูกเมิ่งตาบอดทำมนต์ใส่นั้น เขาก็ไม่กล้าดูแคลนพวกวิชาไสยศาสตร์นอกรีตพวกนี้อีก


“อัญเชิญเทพ!” เยี่ยเทียนกล่าวถาม พลันก็หัวเราะออกมากล่าวว่า “เหล่าหูคุณระวังเอาไว้หน่อยนะ ผมจะไปดูว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรกันแน่”


วิชามนต์ของชามันนั้นมีมาก่อนราชวงค์ฉินหรือเก่าแก่กว่านั้น เนื่องจากคนในสมัยนั้นอายุขัยสั้น ประกอบกับมีโรคภัยและภัยพิบัติมากมาย


ดังนั้นวิชาชามันจึงใช้ในการรักษาเป็นหลัก กระบวนท่าโจมตีนั้นมีไม่เยอะมาก ก็เลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ถูกศาสนาพุทธฉางชุนเข้ามาแทนที่


แต่ว่าวิชาที่สืบทอดมาเป็นเวลาหลายพันปีหรือหลายหมื่นปี แน่นอนว่าต้องมีลักษณะเด่นไม่เหมือนใคร เยี่ยเทียนสั่งความหูหงเต๋อเสร็จแล้ว ก็ปล่อยพลังเทพออกไป แค่อยากจะสัมผัสการเดินพลังของวิชาประเภทนี้เล็กน้อย ว่ามีผลกระทบกับพลังธาตุธรรมชาติหรือไม่


“อืม นี่มันพลังวิญญาณอะไรกัน”


หลังจากที่เสียงร้องของเมิ่งตาบอดดังได้นาทีกว่า เยี่ยเทียนก็จับความรู้สึกได้ ระหว่างฟ้าและดินก่อกำเนิดพลังวิญญาณที่เขาไม่เคยพบมาก่อน หลั่งไหลเข้าไปในร่างกายของเมิ่งตาบอด


เดิมเมิ่งตาบอดคิดว่าเยี่ยเทียนนั้นมีพลังไม่ดีเท่าหูหงเต๋อนั้น ทันใดนั้นพลังก็เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ค่อย ๆ ครอบคลุมตัวหูหงเต๋อไว้ เขาคิดว่านี่เป็นผลจากการที่ “องค์เทพ” เข้าประทับแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)