กระบี่จงมา 418.2-420.1

 บทที่ 418.2 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้า...

 

หลินโส่วอีส่ายหน้า “ข้าคนนี้ค่อนข้างจะแข็งกระด้าง ไม่อยากคิดเรื่องมากมายให้วุ่นวาย ข้อนี้ข้าห่างชั้นกับเจ้าเฉินผิงอันหนึ่งแสนแปดพันลี้ ข้าไม่มีทางเดาถูกแน่นอน”


เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะแกล้งอุบเอาไว้ เขากล่าวว่า “เจ้าเคยบอกข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่เป็นเหมือนพ่อแม่ของข้าเฉินผิงอัน”


หลินโส่วอีรู้สึกมึนงงเล็กน้อย


เฉินผิงอันยื่นหมัดออกมาแล้วชูนิ้วหนึ่งนิ้ว ยิ้มพูดว่า “อันดับแรก ข้าดีใจมากที่เจ้าหลินโส่วอีเต็มใจเอ่ยคำพูดเช่นนี้ นี่หมายความว่าเจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อน ถึงอย่างไรตัวตนของเจ้าก็เป็นปมในใจที่ใหญ่ที่สุดของเจ้ามาโดยตลอด”


เฉินผิงอันยื่นนิ้วที่สองออกมา “ประโยคนี้ฝังแน่นอยู่ในใจของข้า เป็นเหตุให้หลังจากการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่มงคลดอกบัวของข้ายุติลง ข้าถึงสามารถเดินทางร่วมกับเผยเฉียนจนมาถึงที่นี่ นี่ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับประโยคนี้ของเจ้า”


 แล้วเฉินผิงอันก็ชูนิ้วที่สาม “อีกทั้งพอได้ยินประโยคนี้แล้ว ข้าก็เหมือน…คนยากจนข้นแค้นคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็พลันค้นพบว่าที่แท้ตัวเองก็คือคนมีเงินที่ได้รับสืบทอดทรัพย์สมบัติก้อนโต! พอคิดถึงเรื่องนี้ ต่อให้ข้าได้เห็นคนวัยเดียวกันที่มีเงินมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นฟ่านเอ้อร์ที่กลายมาเป็นสหายกันในภายหลัง หรือไม่ก็หลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีปที่ไม่ได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน ยามอยู่กับพวกเขา ข้ากลับไม่เคยรู้สึกว่าการที่ตัวเองไม่มีเงินเป็นเรื่องน่าอายอะไร”


หลินโส่วอีหัวเราะ จากนั้นก็พูดประโยคหนึ่งที่เหมือนเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ “ข้าเดาว่าซ่งจี๋ซินคงเกลียดเจ้าในข้อนี้มากที่สุด”


เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย


เฉินผิงอันมาหยุดเท้าอยู่ตรงหน้าหอเก็บตำรา เงยหน้ามองหอสูง “หลินโส่วอี น้ำใจอันน้อยนิดที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงนั้นของข้า กลับถูกเจ้าเห็นความสำคัญและทะนุถนอมเช่นนี้ ข้าดีใจมาก ดีใจมากเป็นพิเศษ”


หลินโส่วอีกลับกล่าวว่า “บนโลกใบนี้ แม้แต่คนดีก็ยังชอบเรียกร้องคนดีด้วยกันเอง ดังนั้นเจ้าต้องเห็นค่าและทะนุถนอมเพื่อนอย่างข้าเอาไว้ให้ดี”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว!”


หลินโส่วอีเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามอบของให้ข้า ในอนาคตข้าจะมอบของขวัญกลับคืนหรือไม่ ก็คงไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกันแล้วใช่ไหม?”


เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง โอบไหล่หลินโส่วอีเข้าหาตัว “ฝันไปเถอะ!”


หลินโส่วอีออกแรงเล็กน้อยดีดเฉินผิงอันออกห่าง จัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบ พูดบ่นว่า “หากให้สตรีในสำนักศึกษามาเห็นภาพนี้เข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจสูญเสียคนที่ชื่นชมเลื่อมใสไปหลายคน แน่นอนว่าข้าไม่มีทางชอบพวกนาง แต่ก็ไม่รังเกียจที่พวกนางจะชอบข้า”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าว่าหลายปีที่อยู่ในสำนักศึกษามานี้ อันที่จริงเป็นเจ้าหลินโส่วอีที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ต่างหากที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด”


หลินโส่วอีมองสบตาเฉินผิงอัน ทั้งคู่ต่างก็คิดถึงคนผู้หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานพร้อมกัน


นี่คงจะเป็นจิตที่สื่อถึงกันของคนเป็นสหายกระมัง


คนบ้านเดียวกันสองคนพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายพลางเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในหอเก็บตำราด้วยกัน


หลักการเหตุผลนับไม่ถ้วนในตำรากำลังรอให้พวกเขาไปเปิดอ่านและรับเอาไป


……


ทางฝ่ายของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวเพิ่งจะกลับมาจากเหลาสุราในเมืองเล็กหลังจากดื่มเหล้าเลี้ยงอำลากับสหาย


เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็ก สังเกตเห็นว่าเขาเหมือนจะอารมณ์ห่อเหี่ยวไม่ร่าเริงจึงถามว่า “ไม่ได้ดื่มเหล้ากับสหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้นของเจ้าอย่างเต็มคราบหรือ? หรือว่าค่าเหล้าแพงเกินไป?”


เด็กชายชุดเขียวนั่งแปะลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ข้างกายนาง ยกสองมือเท้าคาง “เรื่องในยุทธภพ เจ้าไม่เข้าใจหรอก”


เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูยื่นมือออกมาเทเมล็ดแตงแบ่งให้เขาบางส่วน เด็กชายชุดเขียวไม่ได้ปฏิเสธ


ก่อนหน้านี้เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แผ่นหนึ่งไปครองอย่างราบรื่นโดยอาศัยความช่วยเหลือจากเด็กชายชุดเขียว


จากนั้นก็ได้รับอนุญาตจากกรมพิธีการราชสำนักแคว้นหวงถิงให้ออกมานอกอาณาเขต ผ่านด่านชายแดนของต้าหลีมาเยี่ยมเยือนที่ภูเขาลั่วพั่ว


เด็กชายชุดเขียวพาเพื่อนรักที่ดีที่สุดในยุทธภพท่านนั้นไปเดินเที่ยวตามที่ต่างๆ หลายแห่ง เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูคาดเดาเอาว่าเจ้าหมอนี่คงคุยโวโอ้อวดต่อเทพวารีไปไม่น้อย


เด็กชายชุดเขียวแทะเมล็ดแตงโมเสร็จแล้วก็คร่ำครวญด้วยความกลัดกลุ้ม เกาหูเกาแก้มอย่างงุ่นง่าน แต่เพียงชั่วพริบตาก็สงบนิ่ง สองขาเหยียดตรง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร นอนตัวอ่อนพังพาบอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ พูดช้าๆ ว่า “องค์เทพแห่งลำคลองและแม่น้ำแบ่งออกเป็นสามหกเก้าระดับ ตอนที่ดื่มเหล้ากัน สหายคนนี้ของข้าบอกว่าได้พบกับเทพแม่น้ำที่ระดับขั้นสูงที่สุดของแม่น้ำเถี่ยฝูผู้นั้นแล้วก็ให้อิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยอยากให้ข้าช่วยพูดถึงเขากับราชสำนักต้าหลีด้วยถ้อยคำดีๆ สักสองสามคำ อยากให้ช่วยยกแม่น้ำลำคลองสายย่อยทั้งหลายให้ขึ้นตรงกับเขตการปกครองแม่น้ำอวี้เจียงของเขา”


“ถ้าอย่างนั้นเขาให้เงินเทพเซียนสำหรับช่วยสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าไหม?”


“ไม่”


สีหน้าของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแปลกประหลาด


เด็กชายชุดเขียวถลึงตาใส่นาง พูดอย่างมีโทสะ “ไม่ใช่ว่าสหายคนนี้ของข้าขี้งก เขาพูดเองว่า ระหว่างสหายด้วยกัน พูดคุยเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้นไม่เหมาะไม่ควร ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผล ตอนนี้ข้าก็แค่กลุ้มว่าควรจะเข้าวัดไหนไปจุดธูปไหว้พระโพธิสัตว์องค์ใด เจ้าเองก็รู้ดีว่าเจ้าเว่ยป้อผู้นั้นไม่ชอบขี้หน้าข้ามาโดยตลอด คราวก่อนที่ไปไหว้วานให้เขาช่วย เขาไม่มีคุณธรรมและน้ำใจให้เลยสักนิด ส่วนคำพูดของเทพภูเขาบนยอดเขาของเราที่มีหัวเป็นสีทองผู้นั้นก็ยิ่งไร้ประโยชน์ เจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอแซ่หยวน ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยไปพบมาแล้วแต่ไม่เป็นผล กลับเป็นคนที่ชื่อสวี่รั่ว มือกระบี่ที่มอบป้ายสงบสุขปลอดภัยให้พวกเราคนละแผ่นน่ะ ข้ารู้สึกว่าน่าจะได้เรื่อง เพียงแต่ว่าข้าหาตัวเขาไม่พบ”


 เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแทะเมล็ดแตงพลางพูดเบาๆ ว่า “ต่อให้หาวัดเจอ แต่เจ้ามีเงินบูชาพระหรือ?”


เด็กชายชุดเขียวเริ่มรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ “สวี่รั่วผู้นั้นอาจจะไม่เก็บเงินข้าก็ได้ เจ้าก็เห็นว่าสวี่รั่วสนิทกับนายท่านของพวกเรามากขนาดนั้น เขาจะกล้าเก็บเงินข้าเชียวหรือ? หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็ติดไว้ก่อน วันหน้าค่อยยืมเงินจากนายท่านไปคืนให้สวี่รั่ว แบบนี้คงจะได้อยู่กระมัง?”


เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเกิดโทสะขุ่นเคืองอย่างที่หาได้ยาก “เจ้านี่มันเป็นยังไงนะ?! ทำไมถึงต้องคอยพะวงถึงเงินของนายท่านตลอดเวลา?”


เด็กชายชุดเขียวบ่นพึมพำ “เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษลำบากได้ มีอะไรน่าแปลกตรงไหน ใครเล่าไม่เคยมีช่วงเวลาที่ตกอับ อีกอย่างที่นี่ก็เรียกว่าภูเขาลั่วพั่ว (ตกอับ) ไม่ใช่หรือ ต้องโทษนายท่านนั่นแหละ ดันเลือกภูเขาที่ชื่อไม่เป็นมงคลแบบนี้”


เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูโมโหยิ่งกว่าเดิม “นี่ยังจะโทษนายท่านอีกหรือ?! มโนธรรมในใจเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง?!”


หากเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น นางกล้าพูดแบบนี้กับเขา ป่านนี้ไฟโทสะของเด็กชายชุดเขียวคงลุกโชนสามจั้งไปแล้ว แต่วันนี้แม้แต่นึกจะโกรธ เด็กชายชุดเขียวก็ยังไม่อยากโกรธ เขาไม่มีอารมณ์นั้นจริงๆ


และเวลานี้เอง เว่ยป้อที่ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามาเยือนภูเขาลั่วพั่วน้อยครั้งก็พลันปรากฏตัวอยู่บนทางเดิน เดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างเชื่องช้า


เด็กชายชุดเขียวกระโดดผลุงขึ้นแล้ววิ่งเต็มเหยียดเข้าหาอีกฝ่าย พยายามประจบเอาใจอย่างสุดฤทธิ์ “ท่านเทพใหญ่เว่ย เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลาว่างมาเป็นแขกที่บ้านพวกเราได้เล่า เดินเหนื่อยหรือไม่ อยากนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่หรือไม่ ให้ข้าทุบไหล่นวดขาให้ท่านผู้อาวุโสดีไหม?”


เว่ยป้อยื่นมือมาดันศีรษะของเด็กชายชุดเขียวออก “ไปไกลๆ เลยไป”


เด็กชายชุดเขียวยกสองมือกอดชายแขนเสื้อข้างหนึ่งของเว่ยป้อเอาไว้แน่น แต่กลับโดนเว่ยป้อเหวี่ยงลงบ่อน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่


เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูส่ายหน้า เสียหน้านายท่านหมดแล้วจริงๆ


เว่ยป้อนั่งยองอยู่ข้างบ่อน้ำขนาดเล็กที่น้ำใสแจ๋วจนมองเห็นก้นบึ้ง เมล็ดพันธ์ของดอกบัวสีทองเริ่มแตกหน่อแล้ว


เด็กชายชุดเขียวนั่งยองอยู่ด้านข้าง “เทพเซียนผู้เฒ่าเว่ย ขอข้าปรึกษาท่านสักเรื่องได้ไหม?”


เว่ยป้อจ้องนิ่งไปยังเมล็ดพันธ์ที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งเมล็ดนั้น ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหนึ่งใน ‘มรดกตกทอด’ ที่เจ้าลัทธิเต๋าลู่เฉินทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดโชคชะตาของแคว้นเสินสุ่ยขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว แต่กลับยังมีเส้นใยบางๆ เชื่อมโยงไว้ โชคชะตายังไม่สลายไปหมดสิ้น และยิ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเว่ยป้อคอยจับจ้องเทพแม่น้ำเถี่ยฝูหยางฮวาผู้นั้นไม่ให้คลาดสายตา ในฐานะองค์เทพที่หลงเหลืออยู่เพียงองค์เดียวของแคว้นเสินสุ่ย ท่ามกลางหายนะของปีนั้น เว่ยป้อสามารถหนีเอาชีวิตรอดจนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งได้เลื่อนขั้นกลายเป็นองค์เทพขุนเขาเหนือของราชวงศ์ต้าหลี เป็นเพราะเจตนารมณ์สวรรค์ที่มองไม่เห็น แน่นอนว่าต้องมีความอดทนของตัวเว่ยป้อเองซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วย คนที่ไม่ช่วยเหลือตัวเอง สวรรค์ย่อมไม่ช่วยเหลือ


เว่ยป้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เพียงแค่ประโยคเดียวก็สะบั้นความคิดที่หวังว่าตัวเองจะโชคดีของเด็กชายชุดเขียวไปจนสิ้น “เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นเห็นเจ้าเป็นคนโง่ แล้วเจ้าก็ดีใจที่ได้เป็นคนโง่ขนาดนี้เชียวหรือ?”


เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง พอเดินไปได้สองสามก้าว หันกลับมาเห็นว่าเว่ยป้อนั่งหันหลังให้ตัวเอง จึงยืนอยู่ตรงที่เดิมแล้วสาวเท้าเตะออกหมัดต่อยสะเปะสะปะใส่แผ่นหลังที่เกะกะลูกตา แล้วถึงได้รีบวิ่งหนีไปไกล


สุดท้ายก่อนที่เว่ยป้อจะไปจากภูเขาลั่วพั่วก็ยิ้มพูดกับเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ว่า “อีกไม่นานนายท่านของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว”


แล้วเว่ยป้อก็ทะยานจากไปไกล


เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูดีใจสุดประมาณ เพียงแต่พอหันหน้ามา ไม่รู้ว่าทำไมเด็กชายชุดเขียวที่เดิมทีควรปิติยินดีเช่นเดียวกับนางถึงได้นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่


นางถามเบาๆ ว่า “เป็นอะไรไป?”


เด็กชายชุดเขียวพึมพำตอบ “เจ้าโง่ขนาดนั้นแล้ว แต่นี่เว่ยป้อกลับดันมาพูดว่าข้าก็เป็นคนโง่ด้วย เจ้าว่าถ้านายท่านกลับมาเจอพวกเราคราวนี้จะผิดหวังมากหรือไม่”


เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นขึ้ง ไม่สนใจเจ้าคนที่ใจจืดใจดำผู้นี้อีกต่อไป นางไปตักน้ำมาหนึ่งถังพร้อมกับหยิบผ้ามาหนึ่งผืน แล้วจึงเริ่มเช็ดถูเรือนไม้ไผ่อย่างละเอียด


เด็กชายชุดเขียวค้อมตัวลง เอามือเท้าคาง เขาเคยวาดภาพหนึ่งไว้อย่างมีความหวัง นั่นก็คือตอนที่สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เขาจะสามารถนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านข้าง มองดูเฉินผิงอันกับสหายของตัวเองเรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้อง เจ็บใจที่พบเจอกันช้าไป ผลัดกันชนจอกเหล้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นเช่นนั้น เขาคงภาคภูมิใจอย่างมาก หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา ตอนที่เขากลับมาภูเขาลั่วพั่วกับเฉินผิงอันก็จะได้คุยโวถึงประสบการณ์ในยุทธภพของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังว่าตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียงตนมีหน้ามีตาขนาดไหน


แต่เขาเพิ่งจะค้นพบว่าดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก


เด็กชายชุดเขียวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองเปลือกเมล็ดแตงบนพื้น ดูเหมือนว่ายังมีบางส่วนที่เป็นปลาหลุดลอดแหไป เด็กชายชุดเขียวที่เบื่อหน่ายสุดขีดจึงเก็บมันขึ้นมากิน คล้ายว่ารสชาติจะดีกว่าปกติเล็กน้อย?


 เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่กำลังเช็ดถูขั้นบันไดเรือนหันมาเห็นภาพนี้เข้าพอดีก็ถามอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าจนขนาดนี้แล้วหรือ? เจ้าคงไม่ได้เอาทรัพย์สินของตัวเองมอบให้สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไปหมดแล้วหรอกนะ?”


เด็กชายชุดเขียวอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว เขาหันมาเหลือกตามองบนใส่นาง “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย จะไม่คิดเก็บเงินไว้แต่งเมียบ้างเลยหรือ? ข้าไม่อยากเป็นคนโสดอย่างเหล่าชุยหรอกนะ! ตอนยังเยาว์ไม่รู้จักเก็บเงิน แก่ตัวไปก็ต้องยอมเป็นตาแก่ขึ้นคานแต่โดยดี หลักการนี้ รอให้นายท่านของพวกเรากลับบ้านมาเมื่อไหร่ ข้าต้องพูดให้เขาฟังสักหน่อย เขาจะได้ไม่ทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์แบบนั้นอีก…”


เสียงปังดังสนั่น


ร่างทั้งร่างของเด็กชายชุดเขียวกระเด็นลิ่วออกไปนอกหน้าผา


เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเห็นจนเคยชินเสียแล้ว จึงไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของเขา


งูยาวสีเขียวตัวหนึ่งพลันเผยร่าง ทะยานลมล้อเมฆ จากนั้นก็เลื้อยคลานขึ้นมาบนหน้าผาสูงชัน กลับคืนสภาพมาเป็นเด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง เขาเดินอาดๆ กลับมาที่เรือนไม้ไผ่ “คำพูดจริงใจฟังแล้วระคายหูเสมอ มิน่าเล่านับแต่โบราณมา ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ภักดีถึงมีจุดจบที่ดีได้ยาก…”


แล้วเสียงปังก็ดังขึ้นอีกครั้ง


ร่างของเด็กชายชุดเขียวลอยหวือไปอีกรอบ


ครั้งที่สองที่เขาย้อนกลับมายังยอดเขาก็เห็นว่ามีผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อ แต่กลับเปลือยเท้าเปล่ายืนอยู่บนชั้นที่สองของเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวรีบตะโกนโหวกเหวกทันที “เหล่าชุย ครั้งนี้ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!”


แล้วก็โดนฟาดร่วงกลับลงไปในหุบเหวอีกครั้ง


เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเดินขึ้นมาเช็ดราวระเบียงของชั้นสองแล้ว นางรู้สึกฉงนฉงายเล็กน้อย


ผู้เฒ่าแซ่ชุยยิ้มบางๆ กล่าวว่า “โดนฟาดให้เจ็บๆ คันๆ จะได้จำไว้เป็นบทเรียน”


เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไม่อาจโต้ตอบกลับไปได้ จึงไม่คิดจะขอร้องแทนเด็กชายชุดเขียวอีก


บนเส้นทางภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวผรุสวาทพลางวิ่งตะบึงไปตลอดทาง

 

 

 


บทที่ 418.3 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้า...

 

บนเกาะนอกมหาสมุทรที่อยู่ใกล้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง


วันนี้บุรุษที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อเอ่ยปฏิเสธแขกอีกคนหนึ่งที่จะมาเยี่ยมเยือน ปล่อยให้ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาซึ่งเป็นสายของหย่าเซิ่งต้องกินน้ำแกงประตูปิด (เปรียบเปรยถึงแขกที่เจ้าบ้านไม่ให้การต้อนรับ)


หากเป็นก่อนหน้านั้น ต่อให้บุรุษลัทธิขงจื๊อจะไม่เต็มใจ ‘เปิดประตู’ แค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องปรากฏตัว ทว่าคราวนี้กลับไม่แม้แต่จะออกมาพบหน้า


ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาท่านนั้นจึงได้แต่กลับไปพร้อมกับความผิดหวัง ลึกๆ ในใจก็อดที่จะกลัดกลุ้มไม่ได้


ไม่รู้ว่าเหตุใดบัณฑิตท่านนั้นถึงไม่รับน้ำใจคนอื่น ยากจะใกล้ชิดสนิทสนมขนาดนี้


บุรุษชุดลัทธิขงจื๊อยืนอยู่ในกระท่อมที่ปีนั้นจ้าวเหยามาพักอาศัย ภูเขาตำรามีเส้นทางให้เดิน


เขายืนอยู่มุมหนึ่งท่ามกลางกองหนังสือ กำลังเปิดตำราลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งที่ดึงออกมาอย่างไม่ใส่ใจ อริยะลัทธิขงจื๊อที่เขียนตำราเล่มนี้ขึ้นมา สายบุ๋นได้ขาดสะบั้นไปแล้ว เพราะอายุยังน้อยแต่กลับต้องตายไปท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างกะทันหัน ส่วนลูกศิษย์ก็ยังไม่สามารถคว้าจับแก่นสำคัญที่แท้จริงของสายบุ๋นเอาไว้ได้ แค่ร้อยปี ควันธูปของสายบุ๋นก็ต้องขาดสะบั้นลง ณ บัดนี้


เขาวางหนังสือลง เดินออกจากกระท่อมมาหยุดอยู่บนยอดเขา ทอดสายตามองมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลต่ออีกครั้ง


ปีนั้นจ้าวเหยามาที่นี่ได้อย่างไร มาได้เพราะการปกป้องคุ้มครองจากเศษซากวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่เหลืออยู่


ไม่อย่างนั้นขนาดเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์และผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษายังต้องเคาะประตูก่อนถึงจะเข้ามาได้ จ้าวเหยาที่ลอยตามกระแสคลื่นจะมาถึงที่แห่งนี้โดยบังเอิญได้อย่างไร


เขาดึงสายตากลับมา มองไปทางริมหน้าผา ตอนนั้นจ้าวเหยาคิดจะก้าวเท้าออกไปให้พ้นจากหน้าผาแห่งนี้


เขาย่อมไม่ใส่ใจ


เพียงแต่ว่าตอนนั้นมีชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาส่งสายตามาให้ตน


เขาถึงได้เปิดปากเกลี้ยกล่อมจ้าวเหยา


และหลังจากที่จ้าวเหยาไปจากเกาะ เขากับบุรุษวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อที่พาจ้าวเหยามาส่งที่นี่ก็เคยสนทนากันครั้งหนึ่ง


เขาถามว่า “ในเมื่อเป็นห่วงขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่ปรากฏตัวมาพบเขา”


คนผู้นั้นตอบ “จ้าวเหยาอายุยังน้อย หากพบข้าก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกผิด ปมในใจบางอย่างจำเป็นต้องให้เขาคลายออกด้วยตัวเอง เมื่อได้เดินทางไกลยิ่งกว่าเดิม ไม่ช้าก็เร็วต้องคิดตก”


เขาถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าฉีจิ้งชุนไม่กลัวว่าต่อให้ตาย จ้าวเหยาก็ยังไม่รับรู้ความคิดของเจ้าหรอกหรือ? จ้าวเหยามีพรสวรรค์ไม่เลว คิดจะก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าดึงเอาโชคชะตาบุ๋นจากตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง เก็บซ่อนปราณยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมแห่งฟ้าดินที่บริสุทธิ์ที่สุดไว้ในที่ทับกระดาษไม้รูปมังกร รอให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวของจ้าวเหยาแตกหน่อเขียวขจีอีกครั้ง แต่เจ้าไม่กลัวว่าสุดท้ายแล้วจ้าวเหยาจะทุ่มเทแรงใจให้สายบุ๋นสายอื่น หรืออาจถึงขั้นไปสร้างประโยชน์ให้กับลัทธิเต๋าโดยที่ตัวเองไม่ได้อะไรหรอกหรือ?”


ฉีจิ้งชุนยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ขอแค่ลูกศิษย์ของข้าคนนี้มีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว จะสืบทอดสายบุ๋นของข้าหรือไม่ เมื่อเทียบกับการที่จ้าวเหยาสามารถศึกษาหาความรู้ได้อย่างสงบสุขปลอดภัยไปตลอดชีวิตแล้ว อันที่จริงมันก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”


เขากล่าวอย่างสะท้อนใจ “ฉีจิ้งชุน น่าเสียดายเจ้ายิ่งนัก”


ตอนนั้นฉีจิ้งชุนเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร


เวลานี้บัณฑิตแห่งแผ่นดินกลางที่เคยใช้หนึ่งกระบี่ผ่าถ้ำสวรรค์หวงเหอท่านนี้พลันรู้สึกว่าคนที่รู้ใจตน ขาดหายไปอีกคนหนึ่งแล้ว


ภูเขาเมฆาเรืองแจกันสมบัติทวีป


ไช่จินเจี่ยนที่ได้ยึดครองจวนแห่งหนึ่งบนยอดเขาเพียงลำพัง วันนี้ขณะที่นั่งฝึกตนอยู่บนเบาะ นางพลันลืมตาขึ้น ลุกยืนและเดินไปยังหอชมทัศนียภาพที่การมองเห็นเปิดกว้าง


เทพธิดาไช่ที่พัฒนารุดหน้าอย่างไม่มีหยุดยั้งตลอดเส้นทางการฝึกตน และนิสัยก็ยิ่งสงบเย็นชามากขึ้นทุกขณะคล้ายจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงคลี่ยิ้มออกมา


ปีนั้นมีบัณฑิตคนหนึ่งที่นางนับถือและเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด ขณะที่มอบภาพวาดแห่งแม่น้ำกาลเวลาภาพแรกให้กับนาง เขาได้ทำเรื่องหนึ่งที่ไช่จินเจี่ยนรู้สึกเหมือนฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ


อาจารย์ฉีที่มีความรู้ความสามารถดุจเทพยดา ไร้ซึ่งตำหนิข้อบกพร่องในใจของนาง ได้ถามนางด้วยความจริงใจราวกับว่าเขาเป็นลูกศิษย์ที่กำลังขอความรู้จากอาจารย์ท่านหนึ่ง ‘หากเจ้าสามารถมอบม้วนภาพนี้ไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะเป็นการวาดงูเติมขาหรือไม่? กลับจะทำให้เสียเรื่องหรือเปล่า?’


จนถึงตอนนี้ไช่จินเจี่ยนก็ยังจดจำอารมณ์ในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน เป็นความรู้สึกที่แทบไม่ต่างหากผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ต้องข้ามผ่านทัณฑ์ห้าอสนีที่ฟาดผ่าลงบนศีรษะ


อาจารย์ฉีเห็นนางเผยสีหน้าอึ้งตะลึงออกมาเช่นนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า ‘เรื่องราวระหว่างชายหญิงบนโลก ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว’


ไช่จินเจี่ยนตีหน้าเคร่ง พยายามทำหน้าให้ขึงตึง


ฉีจิ้งชุนกล่าวอย่างจนใจ “อยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะ”


สุดท้ายไช่จินเจี่ยนไม่ได้หัวเราะออกมา กลับกันนางยังรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ เอาแต่เหม่อมองอาจารย์ฉีผู้นั้น พอคืนสติ ไช่จินเจี่ยนจึงให้คำตอบไปว่า “หากไม่ชอบ ทำเรื่องพวกนี้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์ จะวาดงูเติมขาหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่หากเดิมทีก็ชอบอยู่แล้ว เห็นภาพเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะยิ่งชอบมากกว่าเดิม”


ตอนนั้นพอได้ยินคำพูดของไช่จินเจี่ยน ดูเหมือนน้ำหนักที่กดทับอยู่บนบ่าของอาจารย์ฉีจะเบาลงไปเยอะ เขาพลันคลี่ยิ้มออกมา


รอยยิ้มของอาจารย์ฉีในเวลานั้นทำให้ไช่จินเจี่ยนรู้สึกว่า ที่แท้ต่อให้จะมีความรู้สูงส่งแค่ไหน บุรุษผู้นี้ก็ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์


ไช่จินเจี่ยนฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนราวระเบียง ยิ้มตาหยี ทั้งที่กำลังมองไปไกล แต่แท้จริงแล้วทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่งดงามที่อยู่นอกหอชมวิวกลับไม่อยู่ในสายตานางเลย


แอบชอบบุรุษที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้รู้ดีว่าเขาไม่มีทางชอบตน แต่ไช่จินเจี่ยนก็ยังรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่งดงามที่สุด


บนเส้นทางของการฝึกตน วันหน้าไม่ว่าจะผ่านไปหนึ่งร้อยปีหรือหนึ่งพันปี ไช่จินเจี่ยนก็ยังยินดีที่จะคิดถึงเขาในช่วงเวลาที่รอบกายเงียบสงบไร้ผู้คน


……


ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีอาณาเขตเชื่อมต่อกับทิศใต้ของราชวงศ์จูอิ๋ง


หลิ่วชิงซานซื้อเหล้ากาใหญ่ นั่งอยู่ริมลำคลอง กระดกเหล้าดื่มอึกแล้วอึกเล่า


หลิ่วป๋อฉีรู้ว่าสักวันหนึ่งวันนี้ต้องมาถึง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วกว่าที่คิดไว้


ความขัดแย้งระหว่างผู้ฝึกลมปราณก่อนหน้านี้ยังเป็นเรื่องเล็ก เพราะฝันร้ายที่ใหญ่ยิ่งกว่าคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตลกในแคว้นชิงหลวนเรื่องนั้น


นางแย่งกาเหล้าในมือหลิ่วชิงซานมา พูดเสียงหนักว่า “ข้าแทบไม่เคยเล่าเรียนหนังสือ ไม่อาจพูดหลักการยิ่งใหญ่อะไรออกมาได้ ส่วนเจ้าก็เป็นบัณฑิต จึงไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมฟังข้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าอยากให้เจ้ารับรู้เรื่องหนึ่ง!”


นักพรตหญิงจากเรือนซือเตาอย่างหลิ่วป๋อฉี มือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งกดเทพเจ้าจิ้งดาบพกตรงเอว ยามที่พูดสีหน้านางฉายประกายของความเฉียบคม “ในใต้หล้านี้คนที่ทั้งโง่ทั้งชั่วร้ายมีมากมาย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับว่าพวกเขาเคยเรียนหนังสือมาก่อนหรือไม่ พบเจอกับคนหรือเรื่องราวที่ดีหน่อยก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเคียดแค้น หากไม่ครอบครองก็ทำลายทิ้ง นับจากวันนี้ไป หากเจ้ายินดีจะใช้เหตุผลพูดคุยกับคนจำพวกนี้ก็พูดไป เพียงแต่ว่าหากสุดท้ายแล้วยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ข้าจะเป็นคนคุยเอง”


หลิ่วชิงซานเอาแต่ส่ายหน้าอยู่ตลอดเวลา ส่ายหน้าอย่างแรง “เรื่องพวกนี้ข้าล้วนเข้าใจ ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงต้องทำเช่นนั้น หากข้าอยากพูดถึงหลักการของการเป็นบุตรกับพี่ใหญ่ที่ข้าเคารพรักที่สุดล่ะ ข้าควรจะทำอย่างไร? ข้ารู้ว่าไม่ว่าเรื่องไหนข้าก็สู้พี่ใหญ่ไม่ได้ ข้าแค่อยากกลับบ้านไปคุยกับเขาเรื่องนี้ ได้หรือไม่?”


หลิ่วป๋อฉีส่ายหน้าปฏิเสธอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน นางที่ตามใจหลิ่วชิงซานทุกเรื่อง มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่ยอมลงให้เขา “อย่าไปพูดเรื่องนี้เลย เจ้าอดทนเอาไว้เถอะ”


หลิ่วชิงซานพึมพำ “ทำไมล่ะ?”


หลิ่วป๋อฉีกล่าว “เรื่องนี้ ทั้งสาเหตุและเหตุผล ข้าล้วนไม่เข้าใจ แล้วข้าก็ไม่อยากพูดจาส่งเดชเพียงเพื่ออยากช่วยให้เจ้าคลายปมในใจ แต่ข้ารู้ว่าตอนนี้พี่ชายของเจ้าต้องเจ็บปวดมากกว่าเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าการกลับไปสาดเกลือลงบนบาดแผลของเขาทำให้เจ้าสบายใจ เจ้าก็กลับไปเถอะ ข้าจะไม่รั้งเอาไว้ แต่ข้าจะดูแคลนเจ้า ที่แท้เจ้าหลิ่วชิงซานก็เป็นคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ จิตใจคับแคบยิ่งกว่าสตรีเสียอีก!”


หลิ่วชิงซานมีสีหน้าทึ่มทื่อ


หลิ่วป๋อฉีกระวนกระวายเล็กน้อย เลือกถามไปตรงๆ ว่า “ข้าพูดแรงเกินไปหรือเปล่า?”


หลิ่วชิงซานมองนางอย่างอึ้งตะลึงอยู่นาน แล้วจู่ๆ ก็พลันหัวเราะ ปาดมือเช็ดน้ำตาน้ำมูกสะเปะสะปะ “ไม่หรอก”


หลิ่วป๋อฉีถึงได้คืนกาเหล้าให้กับหลิ่วชิงซาน “ทีนี้ก็ดื่มได้แล้ว”


หลิ่วชิงซานเองก็ไม่เกรงใจ รับกาเหล้ามายกกระดกเข้าปากอึกใหญ่


ดื่มจนกระทั่งเขาฟุบอยู่ริมลำคลอง อาเจียนไม่หยุด


หลิ่วป๋อฉีตบหลังของเขาเบาๆ “หากยังอยากดื่ม ข้าจะไปซื้อมาให้เจ้าเพิ่ม”


หลิ่วชิงซานส่ายหน้าเบาๆ


สุดท้ายภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คนมากมาย หลิ่วป๋อฉีก็แบกหลิ่วชิงซานเดินไปบนถนนใหญ่


……


บนถนนนอกอำเภอแห่งหนึ่งของแคว้นชิงหลวน หลังจากฝนใหญ่ตกไป พื้นดินก็เฉอะแฉะ น้ำท่วมขังเจิ่งนอง


รถม้าคันหนึ่งที่สารถีเป็นผู้เฒ่าชะลอความเร็วลง ครู่หนึ่งต่อมาก็เพิ่มความเร็วควบม้าตรงไปยังอำเภอ


หวังอี้ฝู่ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารเดียวกับนายอำเภอหลิ่วชำเลืองตามองหลิ่วชิงเฟิงที่กำลังหลับตาพักผ่อน


หวังอี้ฝู่คือหนึ่งในคนสองคนที่ถูกราชครูชุยฉานส่งตัวมายังแคว้นชิงหลวนอย่างลับๆ ตอนนี้ในนามเขาคือหัวหน้ามือปราบประจำอำเภอ แต่แท้จริงแล้วกลับทำหน้าที่เป็นเลขาธิการฝ่ายบู๊ของหลิ่วชิงเฟิง ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายถูกลอบฆ่า


ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า ชุยฉานให้ความสำคัญกับนายอำเภอเล็กๆ ของแคว้นเล็กๆ ผู้นี้มากแค่ไหน


หวังอี้ฝู่รู้ดีว่าบนเส้นทางด้านหลังรถม้ามีเด็กและสตรีกำลังเดินอย่างโซซัดโซเซ


หวังอี้ฝู่เองก็หลับตาลง


แม่ทัพใหญ่สิ้นชาติของราชวงศ์สกุลหลูอย่างเขา ในที่สุดก็เริ่มรอคอยอยากจะเห็นแล้วว่าในอนาคตขุนนางบุ๋นแห่งแคว้นชิงหลวนผู้นี้จะเดินไปได้สูงแค่ไหน


……


ชายแดนทางทิศเหนือของราชวงศ์จูอิ๋ง


เกิดความวุ่นวายโกลาหล


บนเส้นทางภูเขาสายหนึ่งมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากสำนักเล็กหลายท่านปิดบังตัวตน แสร้งแต่งกายเป็นผู้ฝึกตนอิสระ คอยแอบจับตามองขบวนรถของขุนนางกลุ่มหนึ่งที่หนีภัยพิบัติมาทางใต้


แล้วก็มาเจอกับหม่าขู่เสวียนเข้าพอดี ผู้ฝึกลมปราณหนึ่งในนั้นกำลังกระชากผมของสตรีแต่งงานแล้วที่แต่งกายหรูหรา ลากนางออกมาจากห้องโดยสารรถม้า บอกว่าอยากจะลองลิ้มรสชาติของฮูหยินเจ้าเมืองดูสักที


ตอนแรกหม่าขู่เสวียนไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรก เอาแต่เดินทางของตัวเองต่อไป ผลกลับกลายเป็นว่าถูกผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งมาขวางทาง หม่าขู่เสวียนจึงปล่อยไปสองหมัด สังหารคนตายไปครึ่งหนึ่ง คนสุดท้ายที่หนีรอดไปอย่างกระเซอะกระเซิง หม่าขู่เสวียนไม่ได้สนใจ


ผู้ฝึกลมปราณน่าสงสารที่เหลือเพียงครึ่งชีวิตคนนั้นถูกหม่าขู่เสวียนกระทืบหน้าอก เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนเลวเป็นกันอย่างนี้หรือ? เป็นคนเลวแล้ว จะดีจะชั่วดวงตาก็ควรมีแววบ้างกระมัง เรื่องนี้ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าอีกหรือ?”


หม่าขู่เสวียนกระทืบจนหน้าอกของคนผู้นั้นทะลุ


จากนั้นเขาก็ออกเดินทางต่อ


คาดไม่ถึงว่าในบรรดาญาติของสตรีที่อาภรณ์ถูกฉีกกระชากยุ่งเหยิงคนนั้นจะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รู้สึกว่าถูกหยามเกียรติอย่างรุนแรง หันมาซักไซ้กล่าวโทษหม่าขู่เสวียนอย่างขุ่นเคืองว่าเหตุใดถึงไม่ฆ่าเจ้าคนสุดท้ายผู้นั้น จะเลี้ยงเสือไว้เป็นภัยให้ตัวเองทำไม?


หม่าขู่เสวียนจึงปล่อยหนึ่งหมัดต่อยเด็กหนุ่มคนนั้นตาย แล้วถึงได้เดินผ่านขบวนรถที่กลุ่มคนเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “คนโง่ที่ทำเรื่องโง่ สมควรตายยิ่งกว่าคนชั่ว”


หลังจากเดินห่างไปไกลแล้ว ผู้ฝึกตนสำนักการทหารจากภูเขาเจินอู่ผู้นั้นถึงปรากฏตัว ขมวดคิ้วกล่าว “เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ความคนนั้นไม่ได้มีโทษทัณฑ์ร้ายแรงถึงตาย”


หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “เดิมทีทุกคนควรต้องตายทั้งหมด นี่ไม่ควรขอบคุณที่ข้ายอมออกหน้าผดุงคุณธรรมอย่างที่หาได้ยากหรอกหรือ?”


สตรีแต่งงานแล้วฟุบตัวอยู่บนศพของลูกชายร่ำไห้ปานจะขาดใจ สำหรับคนหนุ่มสติวิปลาสที่เห็นชีวิตคนเป็นดั่งต้นหญ้าผู้นั้น นางทั้งเคียดแค้นและหวาดเกรง

 

 

 


บทที่ 418.4 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้า...

 

สำนักตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงต้าหลีมากที่สุด ตำหนักฉางชุน


การป้องกันเป็นไปอย่างเข้มงวด


องค์ชายซ่งเหอกำลังยืนอยู่บนยอดเขากับมารดาของเขา ยิ้มถามว่า “เสด็จอาคิดจะชิงบัลลังก์อย่างนั้นหรือ?”


แต่ไม่นานตัวซ่งเหอเองก็ส่ายหน้า “แต่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ด้วยหรือ? แค่ลอบฆ่าก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือไง? นักรบเดนตายของต้าหลี กากเดนราชวงศ์ก่อนของราชวงศ์สกุลหลูต่างก็ทำได้ไม่ใช่หรือ? ท่านแม่ ข้าเดาว่าตอนนี้อย่าว่าแต่กองทัพชายแดนต้าหลีเลย ต่อให้เป็นในราชสำนักก็คงมีคนไม่น้อยที่สนับสนุนให้เสด็จอาขึ้นครองราชย์กระมัง คนที่เอนเอียงมาทางข้ากับท่านแม่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางบุ๋นที่ไม่มีประโยชน์”


สตรีแต่งงานแล้วของต้าหลีที่สูญเสียอำนาจทั้งหมดไปยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เหอเอ๋อร์ อย่าได้ดูแคลนเสด็จอาของเจ้าเช่นนี้ เขาเป็นคนจิตใจทะเยอทะยานนักล่ะ ไม่เห็นบัลลังก์มังกรตัวนั้นอยู่ในสายตาหรอก”


ซ่งเหอไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก


ไม่เห็นอยู่ในสายตาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ใครเล่ารังเกียจที่จะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรตัวนั้น?


สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยปลอบใจ “ในราชสำนักของต้าหลี จิตใจชาวบ้านนำมาใช้ประโยชน์ได้”


ซ่งเหอหันหน้ากลับมา “จิตใจชาวบ้าน? ท่านแม่ ท่านพูดมาโดยตลอดไม่ใช่หรือว่าคนพวกนั้นคือมดตัวน้อยที่โง่เง่าไม่รู้ความ?”


สตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะคิก “คำพูดพวกนี้ พวกเราแม่ลูกพูดคุยกันย่อมไม่เป็นอะไร แต่หากไปอยู่ที่อื่นต้องจำไว้ว่า รู้แล้วก็คือรู้แล้ว อย่าได้พูดมันออกมา วันหน้ารอให้เจ้าได้เป็นเจ้าเหนือหัวผู้ปกครองทั้งทวีปเมื่อไหร่ก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะแกล้งโง่ กับเสด็จอาเทพสงครามผู้องอาจเป็นเช่นนี้ กับขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักก็เป็นเช่นเดียวกัน”


ซ่งเหอเอ่ยถาม “แล้วกับคนบนภูเขาล่ะ?”


สตรีแต่งงานแล้วลังเลเล็กน้อย


ซ่งเหอกล่าว “อันที่จริงข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เหตุใดเสด็จพ่อถึงต้องคอยงัดข้อกับเทพเซียนพวกนั้นด้วย หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่เป็นผู้ฝึกลมปราณ โดยเฉพาะเมื่อขอบเขตสูงแล้ว ใครเล่าจะยินดีถูกกษัตริย์ของโลกมนุษย์คนหนึ่งคอยพันธนาการมือเท้า? หากวันหน้าข้าได้เป็นฮ่องเต้จริงๆ แล้วคิดจะเปลี่ยนแปลงนโยบายแคว้นที่กำหนดมาไว้แล้ว ท่านว่าจะมีขั้วอำนาจหรือตระกูลเซียนเข้ามาสวามิภักดิ์กับข้าเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่ละคนจะพากันมาโอบล้อมอยู่รอบบัลลังก์มังกรของข้าหรือไม่? ไม่แน่ว่าข้าอาจสามารถอาศัยสิ่งนี้ค่อยๆ ควบคุมราชครูและเสด็จอาก็ได้นะ?”


สตรีแต่งงานแล้วที่สวมชุดชาววังมีเรือนกายเล็กเตี้ยแต่กลับอวบอิ่มน่าหลงใหล ถอนหายใจกล่าวว่า “เหอเอ๋อร์ คำพูดโง่ๆ เช่นนี้วันหน้าอย่าได้พูดอีก ทางที่ดีที่สุดก็อย่าคิดเลยจะดีกว่า”


ซ่งเหอร้องอ้อหนึ่งที “ก็ได้ ข้าเชื่อฟังท่านแม่”


สตรีแต่งงานแล้วยิ้มหวาน


ในเรื่องนี้เหอเอ๋อร์ของนางน่ารักที่สุด เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย เป็นเหตุให้ไม่ว่าจะเรื่องใด แม่ลูกก็ล้วนสนิทสนมร่วมใจกันได้เสมอ


ส่วนบุตรอีกคนนั้น


นางจงใจไม่ให้ตัวเองไปคิดถึง


……


สำนักกระบี่หลงเฉวียน


หร่วนซิ่วยืนอยู่ในลานบ้านของตัวเอง กินขนมที่ซื้อมาจากตรอกฉีหลง


ในลานบ้าน ลูกเจี๊ยบเติบโตกลายเป็นแม่ไก่ แล้วก็ให้กำเนิดลูกฝูงใหม่อีกครั้ง แม่ไก่และลูกเจี๊ยบจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ


หมาพันธ์พื้นบ้านที่สติปัญญาเปิดโล่งมีแววว่าจะยึดครองภูเขาเป็นราชา ยามอยู่ในภูเขาใหญ่แถบตะวันตกมันทำตัวดุร้ายเอาแต่ใจไปทั่ว โชคดีที่เคยเจอกับความยากลำบากมาก่อนจึงไม่กล้ากำเริบเสิบสานเกินไปนัก เวลาเจอคนในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ยังทำตัวว่าง่ายแต่โดยดี


หร่วนซิ่วกินขนมหมดแล้วก็เก็บผ้าเช็ดหน้า ปัดมือ


พุ่งทะยานร่างขึ้นไปเบื้องบน


มาเยือนหน้าผาที่สลักตัวอักษรใหญ่สี่คำว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร นางมาหยุดอยู่บนยอดเขาของหน้าผาแล้วเดินลงไปเบื้องล่าง


จากนั้นก็เดินจากด้านล่างหน้าผาย้อนกลับมาทางเดิม


……


วันนี้เฉินผิงอันพาหลี่เป่าผิงและเผยเฉียนไปเดินเที่ยวเล่นในเมืองหลวงต้าสุย


ชุยตงซานยืนอยู่ในห้องหนังสือของตัวเอง ชำเลืองตามองม้วนภาพตระกูลเซียนที่วางกองกันไว้อย่างไม่ใส่ใจ แล้วค่อยมองไปยังตำราสองสามเล่มที่เฉินผิงอันยืมมาจากหอเก็บตำรา


บนโต๊ะยังมีแผ่นไม้ไผ่สองสามแผ่นและมีดแกะสลักของเฉินผิงอัน บนแผ่นไม้ไผ่ล้วนเป็นตัวอักษรที่เขาคัดลอกมาจากตำราเหล่านั้น ซึ่งถูกวางทิ้งไว้ยังไม่ได้เก็บเอาไป


ชุยตงซานรู้สึกอารมณ์ดีนิดๆ


หลี่เป่าผิง เผยเฉียนและหลี่ไหวต่างก็เห็นที่นี่เป็นถิ่นของตัวเอง


แล้วเฉินผิงอันจะไม่คิดแบบนี้เหมือนกันได้อย่างไร?


แต่ถึงอย่างไรวันนี้อารมณ์ของชุยตงซานก็ยังไม่เบิกบานเต็มที่ เพราะความรู้สึกที่มากกว่านั้นคือความจนใจ


สิ่งที่ทำได้ ไม่ว่าจะทางแจ้งหรือทางลับ เขาก็ล้วนทำไปหมดแล้ว


แต่ดูเหมือนว่าจะยังยากอยู่มาก


เขาจึงออกจากห้องหนังสือมานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงระเบียงไม้ไผ่มรกต เอาฝ่ามือยันพื้น ยิ้มบางๆ “เจ้าตัวน้อย ออกมาเถอะ”


จากนั้นชุยตงซานก็พลันยกชายแขนเสื้อสะบัด


เจ้าตัวน้อยตัวหนึ่งถูกกระชากออกมา ร่างของมันโอนเอน หัวสมองมึนงง


หลังจากคนจิ๋วดอกบัวสังเกตเห็นว่าเป็นชุยตงซานก็เตรียมจะหนีกลับลงไปใต้ดิน


ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ว่ามันจะกระโดดอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ จึงคิดจะวิ่งออกไปจากระเบียง ไปลองดูที่ลานบ้าน


เพียงแต่มันเหมือนพุ่งชนกำแพงจึงเซถอยกลับเข้ามาในระเบียงอีกครั้ง


ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าโง่น้อย”


คนจิ๋วดอกบัวนั่งลงบนพื้น ไหล่ลู่คอตก


ชุยตงซานมองมัน


แล้วก็ให้นึกถึงตัวเอง


ปีนั้นตอนไปขอเล่าเรียน อาศัยอยู่ในตรอกเก่าโทรมกับซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่ยังไม่ร่ำรวย แม้ว่าปีนั้นตนจะไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร แต่อันที่จริงก็เป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว หากไม่เป็นเพราะตอนแรกซิ่วไฉเฒ่าตั้งกฎเกณฑ์ยิบย่อยมากมายขนาดนั้น พวกเขาสองอาจารย์และศิษย์มีหรือจะต้องใช้ชีวิตอย่างอนาถยากเข็ญปานนั้น? แม้แต่ข้าวก็ยังกินไม่อิ่ม? ต่อมาในที่สุดก็มีวันหนึ่ง เขาคิดอยากจะหาเงินกลับมาให้ได้เยอะๆ ส่วนเรื่องที่ว่าจะถูกซิ่วไฉเฒ่าขับไล่จากสำนักเพราะไม่ทำตามกฎที่วางไว้หรือไม่ เขาก็ไม่สนใจแล้ว คนเป็นจะอั้นเยี่ยวจนตายไม่ได้! เพียงแต่เมื่อเขานำเงินถุงใหญ่กลับมา ซิ่วไฉเฒ่าที่สีหน้าไร้อารมณ์กลับเอ่ยแค่สองประโยค ประโยคแรกคือนับจากนี้ไปพวกเขาจะไม่ใช่อาจารย์และศิษย์กันอีก ประโยคที่สองก็คือไม่ว่าเงินเหล่านั้นจะได้มาจากไหนก็หวังว่าเขาจะส่งกลับคืนไปที่นั่น เพราะเงินพวกนี้เป็นทรัพย์สินที่ลูกศิษย์ของเขาได้มาอย่างไร้คุณธรรม ทว่านับแต่นี้ไป เจ้าชุยฉานจะชอบหลอกลวงหรือชอบปล้นชิงทรัพย์ผู้อื่น เขาซิ่วไฉเฒ่าที่แม้แต่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขายังสอนให้ดีไม่ได้ ยังคุมไม่อยู่ ย่อมไม่มีความสามารถมากพอจะห้ามปรามได้


ตอนนั้นชุยฉานที่ยังเด็กก็เหมือนคนจิ๋วดอกบัวในเวลานี้ที่ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาด้วยความอัดอั้น


สภาพจิตใจอาจจะไม่เหมือนกัน ทว่าท่าทางน่าสงสารนั้นกลับเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน


ชุยตงซานจำได้ว่าชุยฉานที่ยังเป็นเด็กหนุ่มไม่ได้ร้องไห้โวยวายขอร้องซิ่วไฉเฒ่าว่าอย่าขับไล่เขาออกจากสำนัก เพราะเขาก็พูดแค่สองประโยคเหมือนกัน เงินนี้ข้าเอากลับคืนไปได้ แต่หวังว่าท่านจะเก็บเอาไว้สองก้อน เดิมทีก็เป็นเงินค่าเรียนครึ่งปีที่ติดค้างเอาไว้ ถือซะว่าชดใช้คืนให้หมดแล้ว ประโยคที่สองเด็กหนุ่มชุยฉานบอกกับซิ่วไฉเฒ่าว่าให้เอาเงินก้อนนี้ไปซื้อพู่กันดีๆ มาสักสองสามเล่ม ขนาดพู่กันที่เหลือแต่ด้ามโล้นๆ ด้ามหนึ่งยังตัดใจทิ้งไม่ลง ต่อให้ในท้องพอจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ท่านจะเขียนบทความออกมาได้อย่างไร


วันนั้นซิ่วไฉเฒ่าบอกให้ชุยฉานรออยู่ในห้องที่มีแต่กำแพงสี่ด้าน


ซิ่วไฉเฒ่าเดินออกจากบ้านไปแล้วก็แอบไปทอดถอนใจอยู่ในตรอกคำรบหนึ่ง สุดท้ายตีหน้าประจบไปขอยืมเงินส่วนหนึ่งมาจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง ถูกสตรีปากร้ายที่เดิมทีก็ขัดหูขัดตากับความยากจนข้นแค้นของเขาด่าสาดเสียเทเสีย พูดประโยคหยาบคายบาดหูเป็นกระบุงโกย ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ไม่ตอบโต้ เพียงแค่ส่งยิ้มขออภัย ซิ่วไฉเฒ่าใช้เงินทั้งหมดไปซื้อไก่ย่างครึ่งตัวที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันแล้วเดินอาดๆ กลับเข้ามาในห้อง ไม่พูดเรื่องที่จะขับไล่ชุยฉานไปอีก เพียงแค่กวักมือเรียกให้ชุยฉานมานั่งลงกินไก่ย่าง


คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะที่ผุพัง ชุยฉานกินไปได้พักหนึ่งก็ถามว่าทำไมซิ่วไฉเฒ่าถึงไม่กิน


ซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าช่วงนี้ปวดฟัน กินของมันเลี่ยนไม่ได้


เด็กหนุ่มชุยฉานก้มหน้ากินต่อ ถามซิ่วไฉเฒ่าว่ายืมเงินมาแล้ว เอาไปซื้อพู่กันมาหรือยัง?


ซิ่วไฉเฒ่าตบท้อง บอกว่าทั้งหมดล้วนอยู่ในนี้ หนีไปไหนไม่ได้ เขียนช้าหน่อยจะเป็นไรไป แถมยังเขียนบทความได้เยอะๆ ในรวดเดียวด้วย


อันที่จริงชุยฉานรู้ดีว่าซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่กำลังพูดจาอย่างห้าวเหิมนั้นกำลังปกปิดเสียงท้องที่ร้องดังโครกครากของตัวเอง


สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเบาๆ ว่า เสี่ยวฉาน ไก่ย่างครึ่งตัวนี้ เจ้าก็ดี อาจารย์ก็ช่าง พวกเราล้วนได้แต่ใช้เงินไปซื้อมา แต่ความรู้ในท้องของอาจารย์ไม่ที่ถูกที่ถูกเวลาเหล่านี้ เจ้าเอาไปได้เลย เอาไปได้มากเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ต้องจ่ายเงิน แน่นอนว่าดูเหมือนจะไม่มีค่านัก แต่บัณฑิตอย่างพวกเรา ขอแค่หนึ่งวันที่ยังไม่หิวตายก็ยังต้องมีหลักการเหตุผลไปหนึ่งวัน


อันที่จริงวันนั้นต่างหากที่เป็นครั้งแรกที่ชุยฉานออกห่างไปจากสายบุ๋นของเหวินเซิ่ง แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ตาม


เพียงแต่ว่าภายหลังมีศิษย์น้องจั่วโย่วและฉีจิ้งชุนมาเพิ่ม ลูกศิษย์ในสำนักเหวินเซิ่ง ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อทุกคนต่างก็ไม่รู้เรื่องนี้


ชุยฉานไม่พูด ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ไม่พูด


……


วันนี้ ชุยตงซานใช้นิ้วเคาะศีรษะคนจิ๋วดอกบัว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จะพูดเรื่องเป็นการเป็นงานกับเจ้า เกี่ยวกับอาจารย์ของข้า เจ้าอยากฟังหรือไม่?”


เจ้าตัวน้อยลังเลอยู่นานมาก แต่สุดท้ายก็พยักหน้า


ชุยตงซานจึงเอ่ยขึ้นเนิบช้าว่า “อาจารย์ของข้ามีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว ที่นั่นมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในปลูกเมล็ดพันธ์ดอกบัวสีทอง มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นโอกาสในการบรรลุมรรคาของเจ้า ยกตัวอย่างเช่นกลายเป็นภูตตนแรกที่ฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีป เมื่อถึงเวลานั้นภูเขาลั่วพั่วก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาลเพราะเรื่องนี้ไปด้วย สามารถรวบรวมปราณวิญญาณและโชควาสนาในจำนวนมากและทำให้พวกมันมั่นคงขึ้นโดยอาศัยเจ้า เรื่องของการฝึกตน ด่านบางด่าน คนที่มาก่อนก็ได้ก่อน หากช้าไป แม้แต่โอกาสจะไปนั่งยองในห้องส้วมก็ยังไม่มี”


คนจิ๋วดอกบัวกะพริบตาปริบๆ จากนั้นชูแขนขึ้น กำหมัดแน่น น่าจะเป็นการให้กำลังใจตัวเองกระมัง?


แต่ชุยตงซานกลับส่ายหน้า “แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอร้องเจ้า วันใดวันหนึ่งในอนาคต ช่วงเวลาที่อาจารย์ของข้าไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า แล้วมีคนพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ส่วนเจ้าเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย รู้สึกว่าควรจะทำอะไรบางอย่างเพื่ออาจารย์ของข้าบ้าง…”


ชุยตงซานเพิ่มระดับเสียงให้หนักขึ้น “เจ้าห้ามทำเด็ดขาด!”


คนจิ๋วดอกบัวยิ่งสับสนไม่เข้าใจ


ชุยตงซานชี้ไปที่หัวใจตัวเอง จากนั้นค่อยชี้ไปที่เจ้าตัวจิ๋ว ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคือแดนสุขาวดีนอกโลกในใจอาจารย์ข้า”


เจ้าตัวน้อยเอียงศีรษะ แสดงให้รู้ว่าตัวเองฟังไม่เข้าใจ


ชุยตงซานหันหน้ากลับไป เงยหน้ามองทิศไกล “เขามองเห็นทัศนียภาพที่งดงามที่สุดของฟ้าดินที่อยู่ในใจของเขาจากตัวของเจ้า อืม อย่างน้อยเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น จะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนกับว่าเจ้าคือดอกไม้ดอกหนึ่งที่ผลิบานขึ้นมาบนความยากลำบากทั้งหมดที่อาจารย์ของข้าเคยประสบในวัยเยาว์ยามที่เขามองย้อนกลับไปดู เมื่อเห็นเจ้า จิตใจของอาจารย์ก็จะสงบ ที่แท้ใต้หล้านี้เขาก็ไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีเจ้าโง่ที่เหมือนเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยนอยู่อีกคน แล้วก็โชคดียิ่งนักที่พวกเจ้าได้มาพบเจอกัน ถึงขั้นที่ว่าวันใดวันหนึ่งด้วยความจนใจหน่ายใจกับความซับซ้อนวุ่นวายของวิถีทางโลก อาจารย์ของข้าอาจจะเปลี่ยนไป ถ้าเช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้นแล้วเจ้ายังไม่เปลี่ยน จิตใจของอาจารย์ก็จะค่อนข้างสงบ เปลี่ยนไปน้อยหน่อย ช้าหน่อย”


ชุยตงซานดึงสายตากลับคืนมา “แต่หากเจ้าทำตามที่ข้าบอก เจ้าก็จะสูญเสียโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าไป”


คนจิ๋วดอกบัวส่ายหน้าอย่างแรง


คล้ายกำลังบอกว่าไม่เป็นไร


ชุยตงซานยิ้มกว้างสดใส โน้มตัวไปด้านหน้า ยื่นนิ้วก้อยออกมา “งั้นพวกเรามาเกี่ยวก้อยกัน”


คนจิ๋วดอกบัวที่มีแขนเพียงข้างเดียวยกแขนข้างนั้นขึ้นมาเกี่ยวก้อยกับชุยตงซาน นิ้วมือของทั้งสองมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันมาก มองดูแล้วจึงน่าสนใจเป็นพิเศษ


ชุยตงซานค้อมตัวอยู่ตลอดเวลา เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “เกี่ยวก้อยร้อยปีไม่เปลี่ยน อืม หากเป็นไปได้ พันปีหมื่นปีก็ไม่เปลี่ยน”


เจ้าตัวน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง


ชุยตงซานพลันเผยสีหน้าอำมหิตดุดัน “หากวันใดเจ้าผิดคำพูด ข้าจะตีเจ้าให้ตาย จับตัวเจ้าวางไว้บนเขียงแล้วสับๆๆ เจ้าออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นเอาไปต้มน้ำแกง ใส่ต้นหอมโรยเกลือ…”


พูดมาได้แค่ครึ่งเดียวชุยตงซานก็หัวเราะตลกตัวเอง แล้วจึงทำหน้าผี แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่สาแก่ใจมากพอจึงเอานิ้วของมือสองข้างฉีกปากดันจมูก ทำหน้าเหมือนสัตว์ประหลาด


คนจิ๋วดอกบัวหัวเราะคิกคัก แล้วก็ทิ้งตัวนอนลงบนพื้น กางแขนขาอ้าแล้วปัดป่ายดีดดิ้นอย่างร่าเริง


ชุยตงซานเองก็หัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี


ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานหลังจากนั้น


ภูเขาลั่วพั่วก็มีภูติจิ๋วตัวนี้อาศัยอยู่ตลอดเวลา


มันไร้ทุกข์ไร้กังวล บริสุทธิ์ไร้เดียงสา


ไม่ว่าในอนาคตเฉินผิงอันจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ทุกครั้งที่ออกเดินทางไกลแล้วย้อนกลับคืนมายังบ้านเกิดก็จะต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่กับเจ้าตัวน้อยเพียงลำพังเพื่อพูดคุยเรื่องที่อยู่ในใจกับมัน

 

 

 


บทที่ 419.1 หลายคนในหลายใต้หล้า

 

คงเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความไม่คงที่ของสภาพจิตใจเฉินผิงอัน


เหมาเสี่ยวตงจึงไม่ได้เรียกเฉินผิงอันมาที่ห้องหนังสือ แต่เลือกช่วงเวลากลางดึกที่เงียบสงัดไร้ผู้คนพาเฉินผิงอันไปเดินเที่ยวทั่วสำนักศึกษา


เดินเล่นพลางพูดคุยกันไป เหมาเสี่ยวตงมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตัวยามอยู่ร่วมกับผู้อื่นหรือยามที่สอนหนังสืออบรมผู้คน เขาจะรักษากฎข้อหนึ่งเอาไว้ ข้าสอนความรู้ที่มีในตำราให้แก่เจ้า พูดถึงหลักการเหตุผลของตัวเอง จะเป็นลูกศิษย์ในสำนักศึกษาก็ดีหรือเฉินผิงอันศิษย์น้องเล็กก็ช่าง พวกเจ้าลองฟังดูก่อน ถือซะว่าเป็นคำแนะนำอย่างหนึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมาะสมกับเจ้า แต่อย่างน้อยพวกเจ้าก็สามารถอาศัยสิ่งนี้มาเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลมากขึ้น


เฉินผิงอันกับเหมาเสี่ยวตงเดินผ่านโถงนักปราชญ์ที่แขวนภาพอริยะทั้งสามท่านเอาไว้ เดินผ่านหอเก็บตำราที่มีแสงตะเกียงสว่างไสวราวแสงดาว เดินผ่านหอพักที่มีเสียงกรนหรือไม่ก็เสียงพึมพำของคนละเมอดังลอยมา


สุดท้ายคนทั้งสองก็เดินมาถึงบนยอดเขา ก้มหน้ามองทัศนียภาพยามค่ำคืนของเมืองหลวงต้าสุยไปพร้อมกัน


แถบของคนมีเงิน แสงไฟสว่างไสวเรืองรองติดกันเป็นแถบ แม้จะอยู่ห่างขนาดนี้ก็ราวกับว่ายังสามารถได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะเคล้าเสียงดนตรีบรรเลงของที่แห่งนั้นได้


แถบของคนอยากจนก็มีแสงจันทร์เคียงข้าง แล้วก็มีกลิ่นของอาหารลอยโชยมา


เฉินผิงอันพลันกล่าวว่า “เจ้าขุนเขาเหมา ข้าคิดได้แล้ว หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้น รวบรวมให้ครบห้าธาตุก็เพื่อสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ แต่ข้ายังอยากจะฝึกหมัดให้ดีมากกว่า ถึงอย่างไรการฝึกหมัดก็คือการฝึกกระบี่ ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถบ่มเพาะให้เกิดกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้หรือไม่ ข้ายังไม่ไปคิดถึงมัน ดังนั้นต่อไปนี้ นอกจากช่องโพรงสำคัญที่น่าจะเหมาะกับการวางวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุแล้ว ข้าก็ยังจะต้องหล่อเลี้ยงปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ที่บริสุทธิ์ในร่างขุมนั้นให้เต็มที่ที่สุด”


เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “วางแผนทำเช่นนี้ ข้าคิดว่าเป็นไปได้ ส่วนสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะดีหรือร้าย อย่าเพิ่งไปถามหาผลเก็บเกี่ยว แค่ลงมือเพาะปลูกไปก่อนจะดีกว่า”


เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที


อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงไม่ได้พูดอย่างแจ่มแจ้ง การที่เขายอมรับในการกระทำนี้ของเฉินผิงอันเป็นเพราะการที่เฉินผิงอันแค่บุกเบิกเปิดจวนห้าแห่ง แล้วประคองสองมือมอบอาณาเขตที่เหลือให้กับปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ อันที่จริงไม่ใช่เส้นทางสายขาด


เดิมทีในร่างของมนุษย์ก็คือฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งอยู่แล้ว แล้วก็มีคำเรียกว่าถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลด้วยเช่นกัน ต่ำกว่าโอสถทองลงไป ช่องโพรงลมปราณทั้งหมด ไม่ว่าเจ้าจะบุกเบิกขัดเกลาได้ดีแค่ไหนก็อยู่แค่ในขอบเขตของพื้นที่มงคลเท่านั้น เมื่อสร้างโอสถทองได้สำเร็จถึงจะสามารถสัมผัสกับความลี้ลับมหัศจรรย์ของถ้ำสวรรค์ได้ในชั้นต้น ตำราลัทธิเต๋าบางเล่มมีการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ไว้อย่างชัดเจนนานแล้วว่า ‘ถ้ำโพรงในภูเขา ทอดยาวสู่ฟากฟ้า เชื่อมโยงภูผามากมาย ขานรับกันอยู่ไกลๆ ฟ้าดินร่วมปราณ ผสานรวมเป็นหนึ่ง’


ผู้ที่สร้างโอสถทองจึงจะเป็นคนรุ่นเดียวกับข้า


การที่ประโยคนี้ได้รับความนิยมไปทั่วหล้า ถูกผู้ฝึกลมปราณทุกคนยกย่องให้เป็นประโยคมาตรฐาน แน่นอนว่าต้องมีต้นสายปลายเหตุของมัน


เหมาเสี่ยวตงไม่พูด เพราะขอแค่เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าทีละก้าว สักวันหนึ่งก็จะต้องเดินไปถึงก้าวนั้น พูดไว้แต่เนิ่นๆ ทำให้ความปรารถนาที่งดงามผุดออกมากะทันหัน กลับอาจจะสั่นคลอนสภาพจิตใจที่กว่าจะสงบนิ่งมั่นคงได้ไม่ใช่ง่ายๆ ของเฉินผิงอันในเวลานี้


การถ่ายทอดวิชาความรู้ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย จะไม่รอบคอบแล้วรอบคอบอีกได้อย่างไร การแกะสลักหยกงามก็ยิ่งต้องค่อยๆ ใช้มีดงัดแกะสิ่งเจือปนออก เก็บไว้เพียงแต่แก่นแท้ที่งดงาม ต้องห้ามทำลายเส้นเอ็น กระดูกและจิตวิญญาณของหยกก้อนนั้น เรื่องที่ยากถึงเพียงนี้จะกล้าไม่ขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไร?


ถอยไปพูดหนึ่งก้าว เฉินผิงอันเองก็ปฏิบัติกับแม่นางน้อยที่ชื่อว่าเผยเฉียนแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?


เพียงแต่ว่าตอนนี้ตัวเฉินผิงอันเองอาจจะยังไม่รู้ก็เท่านั้น


เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเบาๆ “เกี่ยวกับประโยคที่อาจารย์กล่าวว่ามนุษย์นั้นเดิมทีมีสันดานชั่วร้าย ลูกศิษย์ในสำนักอย่างพวกเราต่างคนต่างก็เข้าใจไปแตกต่างกันมาตั้งนานแล้ว บางคนเงียบหายไปพร้อมกับอาจารย์ ปฏิเสธตัวเอง เปลี่ยนแปลงความคิดและท่าที บางคนก็ล้มแล้วไม่อาจลุกขึ้นมาเดินได้อีก เกิดความสงสัยในตัวเอง บางคนใช้สิ่งนี้มาสร้างชื่อเสียง ยกยอว่าตนพิเศษไม่เหมือนใคร กล่าวว่าจะเดินทวนกระแสสถานการณ์ใหญ่ ไม่ยอมร่วมกระทำความชั่วเด็ดขาด จะสืบทอดสายบุ๋นของอาจารย์พวกเราต่อไป เรื่องราวมากมายหลากหลาย จิตใจคนแปรเปลี่ยนได้ง่าย ภายในของสายบุ๋นที่แทบจะขาดสะบั้นของพวกเราก็ยิ่งมีภาพความวุ่นวายที่เกิดจากต่างคนต่างความคิด สายบุ๋นของพวกหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วหล้าอย่างจริงแท้แน่นอน แล้วลองจินตนาการดูสิว่าภายในของพวกเขาจะซับซ้อนแค่ไหน”


เหมาเสี่ยวตงตบไหล่เฉินผิงอันเบาๆ “ภาระหนักหนาและหนทางก็ยิ่งยาวไกลนี่นะ”


เฉินผิงอันยิ้มขื่น “แต่ไหล่มีสองข้าง”


เหมาเสี่ยวตงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อย่างข้านี่เรียกว่ามองคนแบกหาบไม่เปลืองแรง มองคลื่นอยู่บนฝั่งรังเกียจว่าน้ำน้อยไป”


เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ ครึ่งประโยคแรกคือคำกล่าวโบร่ำโบราณของบ้านเกิดเขาเอง


……


คืนนี้เผยเฉียนกับหลี่ไหวสองคนหลบอยู่นอกเรือนหลังเล็ก คนทั้งสองนัดหมายกันไว้แล้วว่าจะโพกผ้าดำแสร้งทำเป็นนักฆ่า แอบไป ‘ลอบฆ่า’ ชุยตงซานที่ชอบนอนอยู่บนระเบียงไม้ไผ่มรกต


อ่านนิยายยุทธภพไปตั้งมากมายขนาดนั้น จะให้เสียเปล่าไม่ได้ ต้องเรียนแล้วนำมาใช้จริง!


เผยเฉียนเอากระบี่ไม้ไผ่ให้หลี่ไหวยืมอย่างใจกว้าง


คนทั้งสองปรึกษากันที่หอพักของหลี่ไหวมาแล้วหนึ่งรอบ รู้สึกว่าจะเดินเข้าไปทางประตูของเรือนพักไม่ได้ แต่ต้องปีนกำแพงเข้าไป ไม่ทำเช่นนั้นก็ไม่อาจแสดงให้เห็นถึงมาดของยอดฝีมือและความอันตรายในยุทธภพได้


หลิวกวานกับหม่าเหลียนสองคนอยากจะเข้าร่วมด้วย ทำหน้าที่เป็นทหารทัพหน้าให้แก่องค์หญิงอย่างเผยเฉียน แต่น่าเสียดายที่เผยเฉียนใช้คำพูดที่เต็มไปด้วยเหตุผลทรงพลังปฏิเสธอย่างเด็ดขาด บอกว่าพวกเขาเป็นแค่จอมยุทธเด็กน้อยที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกกว้าง ฝีมือไม่ยอดเยี่ยมมากพอ สังหารปีศาจใหญ่ไม่ได้ก็ได้แต่พาตัวไปตายเท่านั้น


คนทั้งสองมาหยุดอยู่บนทางสายเล็กที่เงียบสงบนอกเรือนหลังเล็ก ยังคงใช้วิธีค้ำถ่อเหมือนก่อนหน้านั้น เผยเฉียนกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงก่อน จากนั้นจึงโยนไม้เท้าเดินป่าที่สร้างคุณความชอบใหญ่หลวงในมือให้กับหลี่ไหวที่ยืนมองตาปริบๆ อยู่ด้านล่าง


หลี่ไหวกระโดดขึ้นบนกำแพงได้อย่างไม่มีผิดพลาด เผยเฉียนมองมาด้วยสายตาชื่นชม หลี่ไหวจึงยืดอดตั้ง ลูบเส้นผมเลียนแบบคนบางคน


เพียงแต่ว่าตอนที่คนทั้งสองพลิ้วกายลงบนพื้น เผยเฉียนประหนึ่งแมวตัวเบาไร้เสียง แต่หลี่ไหวกลับร่วงลงมาดังตุ้บเสียงไม่เบา


เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “หลี่ไหว เจ้าทำอะไรน่ะ เสียงดังขนาดนี้ คิดจะตีฆ้องลั่นกลองหรือไงกัน? แบบนั้นเขาเอาไว้ใช้ในสนามรบ ไม่ใช่เอามาลอบฆ่าปีศาจใหญ่อย่างลับๆ ในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ เอาใหม่!”


หลี่ไหวรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดจึงไม่ตอบโต้ เพียงถามเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะออกจากเรือนไปข้างนอกอย่างไร?”


เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เดินออกทางประตูใหญ่สิ ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็ล้มเหลวไปแล้ว”


คนทั้งสองเดินออกไปจากประตูเรือนที่เดิมทีก็ไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ ไปหยุดอยู่บนทางสายเล็กนอกกำแพงเรือนอีกครั้ง


ชุยตงซานที่นอนอยู่ในระเบียงเหลือกตามองบน


เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือ พูดท่องประโยคโหมโรงว่า “ข้าคือชาวยุทธที่อำมหิตเลือดเย็นคนหนึ่ง”


หลี่ไหวเลียนแบบทันที “ข้าคือนักฆ่าไร้ความเมตตา ข้าฆ่าคนตาไม่กะพริบ ข้าสร้างลมคาวฝนเลือดอยู่ในยุทธภพ…”


เผยเฉียนไม่พอใจเท่าไหร่ “พูดมากขนาดนี้ทำไม กลับจะทำให้ความน่าเกรงขามลดน้อยลง เจ้าเห็นจอมยุทธที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในหนังสือไหม ฉายาของพวกเขามากสุดก็แค่สี่ห้าคำ มากเกินไป มันเข้าท่างั้นรึ?”


หลี่ไหวรู้สึกว่ามีเหตุผล แสร้งทำเป็นว่าตัวเองสวมงอบอยู่บนศีรษะ จึงยื่นมือไปจับประคองงอบเลียนแบบคนบางคน มือหนึ่งประคองจับกระบี่ไม้ไผ่ที่รัดไว้ตรงเอว “ข้าคือนักฆ่าและมือกระบี่ที่ไร้เมตตาปราณี”


คนทั้งสองทยอยกันกระโดดขึ้นไปบนหลังคา คราวนี้ตอนที่พลิ้วกายลงพื้น ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้ทำพลาด


จากนั้นเผยเฉียนและหลี่ไหวก็ม้วนตัวตีหลังกาอยู่ในลานบ้านตามหลังกันไป


นี่เป็นขั้นตอนที่คนทั้งสอง ‘วางแผนกันมานานแล้ว’ ไม่อย่างนั้นหากอยู่ดีๆ วิ่งพรวดไปบนบันได จ้วงดาบแทงกระบี่ใส่ชุยตงซาน ทั้งสองคนก็รู้สึกว่าจืดชืดไร้รสชาติเกินไปหน่อย


หลังจากยืดตัวขึ้นแล้ว คนทั้งสองก็เดินย่องไปที่บันได ต่างคนต่างยื่นมือมากุมกระบี่ไม้ไผ่และดาบไม้ไผ่ เผยเฉียนกำลังจะชักดาบฟัน ‘ปีศาจใหญ่’ ที่ชื่อเสียงชั่วช้ากระฉ่อนไปทั่วยุทธภพ หลี่ไหวดันโพล่งขึ้นมาเสียก่อนว่า “เจ้าปีศาจตายซะเถอะ!”


เผยเฉียนหยุดเท้ากึก หันหน้ามาถลึงตาใส่หลี่ไหวอย่างโกรธเคือง หลี่ไหวอึ้งงันอยู่กับที่ทันที “อะไร?”


เผยเฉียนถาม “เจ้าเป็นนักฆ่าที่ไปมาไม่ทิ้งร่องรอยไม่ใช่หรือ ก่อนฆ่าคนนักฆ่าจะต้องตะโกนโหวกเหวกทำไม?”


หลี่ไหวพลันกระจ่างแจ้ง


เผยเฉียนกระทืบเท้าหนึ่งที “ต้องเอาใหม่อีกรอบแล้ว!”


หลี่ไหวพูดขอโทษไม่หยุด


คนทั้งสองไม่เห็น ‘ปีศาจ’ ตนนั้นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย


คนทั้งสองวิ่งไปที่หน้าประตูเรือนอีกครั้ง


ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างระอาใจว่า “ปีศาจใหญ่ที่รอความตายอย่างข้าเหนื่อยกว่าพวกเจ้าแล้วนะ”


ออกจากเรือนมา เผยเฉียนก็เอ่ยสั่งสอนทันที “หลี่ไหว หากเจ้ายังทำตัวเหลวไหลอีก วันหน้าข้าจะไม่พาเจ้าออกไปท่องยุทธภพด้วยกันแล้ว”


หลี่ไหวพูดรับรอง “จะไม่ทำพลาดอีกแล้ว!”


เผยเฉียนพลันถามว่า “ตอนนี้ข้าเพิ่งจะเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ตำแหน่งในพรรคสู้เจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ หลังจากสร้างคุณความชอบที่โด่งดังไปทั้งยุทธภพครั้งนี้แล้ว เจ้าว่าพี่หญิงเป่าผิงจะเลื่อนขั้นให้ข้าเป็นหัวหน้าสาขาน้อยหรือไม่?”


หลี่ไหวพยักหน้ารับ “ต้องได้แน่นอน! หากหลี่เป่าผิงให้รางวัลและลงโทษไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถยกตำแหน่งหัวหน้าสาขาให้เจ้าได้ ข้าเป็นรองหัวหน้าก็พอแล้ว”


เผยเฉียนพูดเหมือนคนแก่ “คิดไม่ถึงว่าหลี่ไหวเจ้าฝีมือธรรมดา แต่กลับเป็นจอมยุทธผู้มีคุณธรรมอย่างแท้จริง”


หลี่ไหวโต้กลับ “นักฆ่า มือกระบี่!”


ผลคือศีรษะของทั้งสองคนต้องกินมะเหงกกันไปคนละลูก “ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีก มาทำอะไรกันอยู่ที่นี่?”


พอเผยเฉียนเห็นเฉินผิงอันก็กระทืบเท้าหลี่ไหวทันที หลี่ไหวพูดอย่างห้าวเหิมว่า “ข้าเป็นคนชวนเผยเฉียนให้มาขจัดภัยร้ายเพื่อปวงประชา สังหารพญามารชุยตงซานร่วมกับข้าเองล่ะ”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาล่ะ ยกพญามารให้จอมยุทธใหญ่ผู้มีวิชายุทธล้ำเลิศจัดการเถอะ ตอนนี้ความสามารถของพวกเจ้าสองคนยังไม่มากพอ ไว้ค่อยว่ากัน”


เผยเฉียนเอากระบี่ไม้ไผ่คืนมาจากหลี่ไหวแล้วไปนอนในห้องด้านข้าง ก่อนหน้านี้นางล้วนนอนอยู่ในหอพักของหลี่เป่าผิง เพียงแต่วันนี้เป็นข้อยกเว้น


เฉินผิงอันพาหลี่ไหวกลับไปที่หอพัก


เจอกับอาจารย์ของสำนักศึกษาคนหนึ่งที่ลาดตระเวนยามดึก บังเอิญเป็นคนคุ้นเคยพอดี เขาก็คือคนเฝ้าประตูแซ่เหลียงผู้นั้น ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดไร้แซ่ไร้นาม เฉินผิงอันจึงหาข้ออ้างที่จะช่วยหลบเลี่ยงการถูกลงโทษให้แทนหลี่ไหว


อาจารย์ผู้เฒ่าพูดง่าย ไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังรั้งตัวเฉินผิงอันไว้พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง


หลี่ไหวรู้สึกมีหน้ามีตาอย่างมาก ใจนึกอยากจะให้คนทั้งสำนักศึกษาได้มาเห็นภาพนี้ แล้วก็อิจฉาที่เขามีเพื่อนเช่นนี้


เฉินผิงอันบอกลากับอาจารย์ผู้เฒ่าแล้วก็ลูบศีรษะหลี่ไหว พูดประโยคหนึ่งที่ตอนนั้นหลี่ไหวฟังไม่เข้าใจ “เรื่องแบบนี้ข้าทำได้ แต่เจ้าต้องห้ามคิดว่าสามารถทำได้บ่อยๆ”


หลี่ไหวกล่าว “วางใจเถอะ วันหน้าข้าจะต้องตั้งใจเรียนแน่”


เฉินผิงอันพูดต่อว่า “เรียนหนังสือได้ดีหรือไม่ ฉลาดหรือไม่ นี่คือเรื่องหนึ่ง ท่าทีที่มีต่อการเรียน โดยภาพรวมแล้วสำคัญกว่าผลสำเร็จของการเรียนหนังสือเสียอีก นี่ก็คืออีกเรื่องหนึ่ง บนเส้นทางของชีวิตคน เห็นได้ชัดว่าผลกระทบที่มีต่อคนนั้นยาวไกลมากกว่า ดังนั้นตอนที่อายุยังน้อยจึงต้องตั้งใจเรียนหนังสือ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย วันหน้าต่อให้ไม่เรียนแล้ว ไม่คบค้าสมาคมกับตำราของอริยะปราชญ์แล้ว รอให้เจ้าไปทำเรื่องอื่นที่เจ้าชื่นชอบ เจ้าก็ยังจะตั้งใจทำเพราะความเคยชินอยู่ดี”


หลี่ไหวคล้ายจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ


เฉินผิงอันเดินพลางวาดเส้นเส้นหนึ่งเบื้องหน้าตัวเองอย่างง่ายๆ “ยกตัวอย่างเช่น นี่คือเส้นหนึ่งบนเส้นทางชีวิตของพวกเราทุกคน ความเป็นไปเป็นมา สภาพจิตใจ นิสัย หลักการเหตุผล ความรู้ทั้งหมดของพวกเรา ล้วนจะขยับเข้ามาใกล้เส้นนี้โดยที่เราไม่อาจบังคับได้ นอกจากอาจารย์ของสำนักศึกษาแล้ว คนส่วนใหญ่ย่อมต้องมีวันหนึ่งที่หากมองภายนอกจะเห็นว่ายิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลไปจากการเรียนหนังสือ ไกลจากตำราและหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์มากขึ้นทุกที แต่สำหรับท่าทีหรือขั้นตอนต่างๆ ที่พวกเรามีต่อการใช้ชีวิตกลับดำรงอยู่บนเส้นนี้มานานแล้ว ชีวิตในภายภาคหน้าก็จะยังเดินหน้าไปตามเส้นทางนี้ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่อิทธิพลที่เส้นนี้มีต่อพวกเราจะติดตามพวกเราไปตลอดชีวิต”


จากนั้นเฉินผิงอันก็วาดวงกลมวงหนึ่งล้อมปลายด้านหน้าของเส้นนั้น “ทางที่ข้าเดินผ่านมาค่อนข้างไกล ได้รู้จักกับคนมากมาย แล้วก็เข้าใจนิสัยเจ้าดี ดังนั้นข้าจึงสามารถพูดขอร้องอาจารย์ผู้เฒ่าให้ไม่ลงโทษเจ้ากับการที่เจ้าไม่รักษากฎห้ามเข้าออกยามวิกาลในคืนนี้ แต่ตัวเจ้าเองกลับพูดไม่ได้ เพราะอิสระของเจ้าในเวลานี้…มีน้อยกว่าข้ามาก เจ้ายังไม่สามารถไปงัดข้อกับ ‘กฎเกณฑ์’ ได้ เพราะเจ้ายังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์อย่างแท้จริง”


หลี่ไหวจ้องเฉินผิงอันตาค้าง แล้วจู่ๆ ก็หน้าม่อยหม่นหมอง “ข้าฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะจดจำไว้ได้แล้ว เฉินผิงอัน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าจะไปจากสำนักศึกษาแล้วล่ะ? ฟังแล้วเหมือนคำสั่งเสียก่อนตายเลยนะ?”


คนทั้งสองเดินมาใกล้ถึงหอพักของหลี่ไหวแล้ว เฉินผิงอันถีบเข้าที่ก้นหลี่ไหวหนึ่งที พูดกลั้วหัวเราะอย่างฉุนๆ ว่า “ไสหัวไปเลย”


หลี่ไหวลูบก้นเดินตรงไปยังประตูหอพัก แล้วจึงหันหน้ากลับมามอง


เฉินผิงอันยังคงยืนอยู่ที่เดิม โบกมือให้เขา


มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ

 

 

 


บทที่ 419.2 หลายคนในหลายใต้หล้า

 

เฉินผิงอันกลับมาที่เรือนของชุยตงซาน หลินโส่วอีและเซี่ยเซี่ยต่างก็กำลังฝึกตน


หากผู้ฝึกลมปราณเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนแล้วละก็ ก่อนที่จะเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทอง การฝึกตนมักจะไม่เลือกช่วงเวลากลางวันกลางคืน


ไม่อาจไม่ตัดขาดต่อเรื่องราวทางโลก เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้กิเลสปรารถนาได้


เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที


แล้วเริ่มฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านด้วยท่าเดินกลับหัว


ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งมาหล่อเลี้ยงบำรุงอวัยวะภายใน เส้นชีพจรและโครงกระดูกด้วยความอบอุ่น


ว่ากันว่าหลังจากเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดร่างทองแล้ว จะเรียกว่าใช้ลมปราณเป็นเก้า นั่นก็คือสามารถเลื่อนไปสู่ขอบเขตอันเลิศล้ำที่ไม่ต้องมีลมปราณออกหรือเข้าจากจมูก


เมื่อไปถึงขอบเขตสิบ หรือก็คือขอบเขตสุดท้ายของผู้เฒ่าแซ่ชุย หลี่เอ้อร์และซ่งจ่างจิ้ง ก็จะสามารถเรียกตัวเองได้ว่าฟ้าดินขนาดเล็ก ประหนึ่งทวยเทพบรรพกาลองค์หนึ่งที่เยื้องกรายมาเยือนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง


ผู้ที่ใช้ลมปราณได้อย่างเชี่ยวชาญจะสามารถควบคุมน้ำทำให้น้ำในแม่น้ำไหลทวนกระแส ควบคุมน้ำให้ทะเลสาบมหาสมุทรเดือดพล่าน ต่อให้อยู่ท่ามกลางโรคระบาดใหญ่ เชื้อโรคทั้งหลายก็ไม่อาจกล้ำกราย หมื่นเสนียดจัญไรมิอาจรุกราน


ก็คือหลักการนี้


เฉินผิงอันพลันนึกถึงสตรีร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่พบเจอโดยบังเอิญบนถนนในช่วงที่เดินทางไปภูเขาห้อยหัว


ตอนนั้นสายตาของเฉินผิงอันยังตื้นเขิน มองความลี้ลับอะไรมากมายไม่ออก ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง!


ผู้ฝึกยุทธผสานมรรคา ฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง


ชุยตงซานไม่ได้อยู่ในเรือน


เขามาปรากฎตัวบนยอดเขาตงหัว


ยืนอยู่กับเหมาเสี่ยวตง


ชุยตงซานเอ่ยประโยคที่ไม่ค่อยจะเกรงใจนัก “หากพูดถึงเรื่องของการสอนหนังสือถ่ายทอดความรู้ เจ้าด้อยกว่าฉีจิ้งชุนมากนัก เจ้าได้แต่ซ่อมแซมแก้ไขบ้านเรือน ผนังสี่ด้านหรือหน้าต่าง แต่ฉีจิ้งชุนกลับสามารถช่วยสร้างบ้านให้กับลูกศิษย์ของตัวเองได้”


เหมาเสี่ยวตงไม่ได้ตอบโต้ชุยตงซานอย่างที่หาได้ยาก


ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “จ้าวเหยาไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่มาตั้งแต่เด็ก เกิดมาก็มีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียว นิสัยอ่อนโยน จึงต้องสอนให้เขารู้จักสละสิ่งของบางอย่าง เข้าใจถึงความยากลำบากทุกข์ทนบนโลกใบนี้ เขาถึงจะได้รู้จักทะนุถนอมเห็นค่าของสิ่งที่ได้เรียนรู้มาและสิ่งของทุกอย่างที่อยู่ในมืออย่างแท้จริง ซ่งจี๋ซินมองดูเหมือนยโสโอหัง เฉียบคม ทว่าในใจกลับมีความน้อยเนื้อต่ำใจ ขี้ขลาด จำเป็นต้องใช้ความรู้บางอย่างของสำนักนิติธรรมที่ใกล้เคียงกับลัทธิขงจื๊อมาสร้างความแข็งแกร่งให้กับจิตใจของเขา แยกแยะกฎเกณฑ์ให้ได้อย่างชัดเจน การที่จะปกครองบ้านเมือง จำเป็นต้องละทิ้งความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ และช่วงชิงเอาสติปัญญาขั้นสูงมาใช้ แต่ก็ต้องไม่ห่างเหินจากลัทธิขงจื๊อมากเกินไป อีกทั้งสุดท้ายยังต้องเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องด้วย ส่วนอาจารย์ของข้าเคยชินกับการที่ไม่มีอะไรแล้ว ในใจของเขาแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่ก็เพราะไม่มีที่พึ่งพา ดังนั้นจึงควรต้องให้เขาเรียนรู้ที่จะหยิบบางอย่างขึ้นมา จากนั้นก็เล่าเรียนศึกษาความรู้ให้กับตัวเองอย่างต่อเนื่อง แล้วค่อยนำหลักการเหตุผลที่ตัวเองวิเคราะห์ใคร่ครวญออกมาได้มาทำเป็นหินทับท้องเรือยามที่เรือลำน้อยล่องอยู่กลางนาวาแห่งความขมขื่น นี่เรียกว่าสอนตามความสามารถของผู้เรียน การศึกษาไม่แบ่งชนชั้น”


ในที่สุดเหมาเสี่ยวตงก็เปิดปากพูด “ข้าสู้ฉีจิ้งชุนไม่ได้ ข้าไม่ปฏิเสธ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าสู้เจ้าชุยฉานไม่ได้”


ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เอาตัวมาเปรียบเทียบกับคนอย่างข้า เจ้าขุนเขาใหญ่เหมาไม่รังเกียจว่าจะเสียหน้าบ้างรึ?”


เหมาเสี่ยวตงกระตุกมุมปาก รังเกียจที่จะพูดต่อปากต่อคำ


ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “จะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่? ถึงเวลานั้นข้าจะเตรียมของขวัญแสดงความยินดีมาให้เจ้า”


เหมาเสี่ยวตงไม่ยินดีจะตอบคำถามข้อนี้ อารมณ์ของเขาเวลานี้ค่อนข้างหนักอึ้ง “ทางฝ่ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะเกิดปัญหาใหญ่หรือไม่? ตอนนี้เมธีร้อยสำนักลิงโลดกันขนาดนี้ ต่างพากันวางเดิมพันกับราชวงศ์โลกมนุษย์แห่งต่างๆ ในเก้าทวีปใหญ่ เป็นการละเมิดกฎเกณฑ์อย่างมาก ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่า…”


เหมาเสี่ยวตงไม่พูดต่ออีก


ชุยตงซานกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ใต้หล้าไพศาลต่างก็รู้สึกว่าใช้นักโทษกลุ่มนั้นไปต้านทานเผ่าปีศาจ คือเรื่องที่พวกเราเก้าทวีปใหญ่เคยชินคิดว่าสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินและต้องเป็นหน้าที่ของพวกผู้ฝึกกระบี่ ส่วนความจริงและผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร คงต้องรอดูกันไป”


เหมาเสี่ยวตงหันหน้ามามองเขา


ชุยตงซานทอดสายตามองไปไกล “ลองเอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ หากเจ้าคือกากเดนเผ่าปีศาจที่หลงเหลืออยู่ในใต้หล้าไพศาล เจ้าอยากจะเป็นใบไม้ร่วงที่กลับคืนสู่รากหรือไม่? หากเจ้าคือชาวบ้านพลัดถิ่นหรือนักโทษที่ถูกกักขังอยู่ในกรงขังแห่งหนึ่ง จะอยากหันกลับมาพูด…ความในใจที่เก็บกลั้นมานานปีกับใต้หล้าไพศาลหรือไม่?”


เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว “กำแพงเมืองปราณกระบี่มีอริยะสามลัทธิเฝ้าพิทักษ์มาโดยตลอด”


ชุยตงซานคลี่ยิ้ม “ไม่พูดถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งแห่ง เอาแค่ครึ่งเดียว ขอแค่เต็มใจร่วมมือกัน และยินดีจ่ายค่าตอบแทนอย่างไม่เสียดาย การที่จะบุกมาโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วค่อยกลืนกินทวีปทั้งหลายในใต้หล้าไพศาล เป็นเรื่องยากนักหรือ?”


เหมาเสี่ยวตงกล่าว “ข้าคิดว่าไม่ง่าย”


ชุยตงซานไม่ได้ปฏิเสธ เขาเอ่ยเพียงว่า “ลองเปิดตำราประวัติศาสตร์อ่านให้มากๆ ก็จะรู้คำตอบเอง”


เหมาเสี่ยวตงลังเลเล็กน้อย “ทักษิณาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดมีเฉินฉุนอันที่บนไหล่แบกดวงตะวันและดวงจันทรา!”


ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “ในตำราประวัติศาสตร์ก็มีคนบางส่วนที่ตายเร็ว ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามหอมขจรพันปี ตายช้า ทิ้งชื่อเสียงเน่าเหม็นฉาวโฉ่หมื่นปี”


เหมาเสี่ยวตงกำลังจะขยับปากพูดอะไรบางอย่าง ชุยตงซานกลับหันหน้ามายิ้มให้เขาเสียก่อน “ข้าก็พูดไปส่งเดช นี่เจ้าคิดจริงจังด้วยหรือ?”


เหมาเสี่ยวตงกล่าว “หากความเป็นจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าพูดเหลวไหล ถึงเวลานั้นข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้าเอง”


ชุยตงซานยกยิ้ม “ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิตซึ่งกำลังจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ตบะสูงแล้ว ความใจกว้างก็เพิ่มมากตามไปด้วย”


เหมาเสี่ยวตงทอดสายตามองออกไป


ใต้หล้าไพศาลมีอาณาบริเวณกว้างขวาง แต่ละแคว้นแต่ละสถานที่ก็ย่อมมีไฟสงครามและความวุ่นวายเกิดขึ้น ทว่าโดยภาพรวมแล้วยังถือว่าสงบสุขสันติเหมือนอย่างเมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ พวกเด็กได้เห็นภาพเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ภาพคนอดยากหิวโหยยาวไกลเป็นพันลี้จากแค่ในตำราเท่านั้น ทุกๆ วันพวกผู้ใหญ่ก็แค่ต้องคิดเรื่องกินเรื่องอยู่ บัณฑิตยากจนที่ตรากตรำเล่าเรียนต่างก็อยากเป็นชาวนาในยามเช้า เป็นขุนนางในยามเย็น ปัญญาชนส่วนใหญ่ที่ได้เป็นขุนนางแล้ว ต่อให้ต้องตกอยู่ในอ่างย้อมสีขนาดใหญ่ (เปรียบเปรยถึงว่าถูกสิ่งไม่ดีแพร่มาสู่ตัว) ที่คนเปลี่ยนสิ่งของคงเดิมอย่างวงการขุนนาง ทว่าบางครั้งยามพลิกอ่านตำราช่วงดึกที่เงียบสงัดก็อาจจะยังรู้สึกละอายใจต่อคำสอนของอริยะปราชญ์ วาดฝันถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ยาวไกล


ชุยตงซานมองลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสายบุ๋นซึ่งเขาเคยดูแคลนมาโดยตลอดผู้นี้ แล้วจู่ๆ ก็พลันเขย่งปลายเท้า ตบไหล่เหมาเสี่ยวตง “วางใจเถอะ ถึงอย่างไรใต้หล้าไพศาลก็ยังมีคนอย่างอาจารย์ของข้า ศิษย์น้องเล็กของเจ้า อีกอย่างก็ยังมีเวลาให้พวกเป่าผิงน้อย หลี่ไหว หลินโส่วอีเติบโต ใช่แล้ว มีประโยคหนึ่งพูดไว้ว่าอย่างไรแล้วนะ?”


เหมาเสี่ยวตงพูดประโยคมีชื่อเสียงที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นของอาจารย์ตน “สีครามเกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าคราม”


ชุยตงซานกระแอมหนึ่งที “บอกตามตรง ปีนั้นที่ซิ่วไฉเฒ่าสามารถพูดประโยคนี้ออกมาได้ เป็นข้าที่มีคุณความชอบใหญ่หลวง งั้นเดี๋ยวข้าเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ให้เจ้าฟังดีกว่า ตอนนั้นข้ากับซิ่วไฉเฒ่าเดินผ่านโรงย้อมผ้าแห่งหนึ่ง เจอกับแม่นางน้อยหน้าตางดงามทรวดทรงอ้อนแอ้น…”


เหมาเสี่ยวตงคว้าไหล่ของชุยตงซานแล้วเหวี่ยงออกไปอย่างแรงจนร่างของชุยตงซานลอยหวือตกลงไปจากยอดเขาภูเขาตงหัว เขาผรุสวาทอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าตะพาบน้อย พูดจาเหลวไหลจนติดลมเลยรึ?”


……


ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ดวงจันทร์สามดวงลอยอยู่กลางนภา


หุบเหวขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่งที่ลักษณะคล้ายบ่อโบราณ


ถูกใต้หล้าแห่งนี้เรียกขานว่าตำหนักอิงหลิง (วิญญาณวีรบุรุษ)


เล่าลือกันว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นซากสมรภูมิรบหลังจากที่บรรพบุรุษของปีศาจใหญ่ที่มีพลังการต่อสู้เทียมฟ้าท่านหนึ่งต่อสู้กับนักพรตน้อยขี่วัวซึ่งเดินทางมาไกลเหลือทิ้งไว้หลังจากเปิดศึกใหญ่ต่อกัน


ในใต้หล้าแห่งนี้ศึกครั้งนั้นถูกนำมาบรรยายอย่างยิ่งใหญ่ดุเดือด มีเพียงปีศาจใหญ่เพียงหยิบมือที่รู้ความจริงว่า ในความเป็นจริงแล้วศึกใหญ่นั้นคือเรื่องจริง แต่กลับไม่ใช่ศึกระหว่างปีศาจใหญ่กับนักพรตที่ขี่วัวดำเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ แต่คือศึกอันน่าอนาถที่เกิดขึ้นมานานยิ่งกว่านั้น ก็แค่ว่าตอนนั้นมีปีศาจใหญ่ที่วัยวุฒิสูงมากคนหนึ่งปีนป่ายมาหลายพันปี กว่าจะหลุดพ้นจากพันธนาการมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากผ่านความยากลำบากนานัปการจนปีนจากก้นบ่อมาถึงปากบ่อได้ แต่กลับต้องมาถูกนักพรตที่ยืนอยู่บนปากบ่อ ใช้นิ้วข้างหนึ่งกดลงเบาๆ ดีดมันให้ร่วงกลับลงไปในก้นบ่ออีกครั้ง


ตอนนี้บนอากาศเหนือผนังสี่ด้านของ ‘บ่อน้ำ’ แห่งนี้มีเก้าอี้นั่งขนาดมหึมาเรียงกันล้อมเป็นวง


มีทั้งหมดสิบสี่ตัว แต่ละตัวสูงต่ำไม่เท่ากัน


มีทั้งขุนเขากลับหัวปริแตกลักษณะคล้ายแท่นสูง มีทั้งหอแก้วเรือนหยกที่เล่าลือกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์ ยิ่งมีทั้งโครงกระดูกขนาดใหญ่ยักษ์ที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด


มีบัลลังก์แห่งหนึ่งที่เกิดจากกระดูกขาวโพลนจำนวนมากทับถมกันเป็นกระดูกใหญ่มโหฬาร มีปีศาจใหญ่กระดูกขาวที่กระดูกโปร่งใสราวกับหยกตนหนึ่งนั่งอยู่ ในมือของปีศาจถือจอกเหล้า ใต้ฝ่าเท้าเหยียบอยู่บนหัวกะโหลกหัวหนึ่ง ขยับเท้าหมุนมันเบาๆ


มีเสากลมสูงพันจั้งสลักอักขระโบราณเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า งูยาวสีแดงสดขดตัวล้อมวนรอบเสา พร้อมกับไข่มุกเจียวหลงที่หม่นหมองไร้ประกายหลายเม็ดบินวนเวียนอย่างเชื่องช้า


ชุดคลุมยาวสีเทาที่ขาดวิ่น ด้านในว่างเปล่าไร้สิ่งใด พลิ้วโบกสะบัดไปตามสายลม


เรือนกายล่ำสันกำยำสวมเกาะสีทอง บนใบหน้าสวมหน้ากากมีแสงสีทองเหมือนสายน้ำไหลหลั่งรินออกมาจากตามร่องของเสื้อเกราะ คล้ายดวงอาทิตย์ร้อนแรงดวงหนึ่งที่ถูกพันธนาการอยู่ในบ่อลึก


มีสตรีสวมมงกุฎราชันย์ สวมชุดคลุมมังกรสีทอง หัวเป็นคนร่างเป็นเจียว หางยาวตรงดิ่งทิ้งตัวลงไปในหุบเหวลึก มีสตรีร่างเล็กบางจำนวนนับไม่ถ้วนที่เมื่อเทียบกับร่างใหญ่โตมโหฬารของปีศาจสาวแล้วก็เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารกอดผีผาไว้ในอ้อมอก แถบผ้าหลากสีที่ล้อมวนอยู่รอบเรือนกายอรชรของพวกนางมีมากนับร้อยเส้น ปีศาจสาวเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด มือหนึ่งเท้าคาง อีกมือหนึ่งยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาบดบี้สตรีอุ้มผีผาแต่ละตน นักพรตสวมชุดคลุมนักพรตสีขาวหิมะ มองเห็นหน้าตาไม่ชัด เรือนกายสูงสามร้อยจั้ง แต่เมื่อเทียบกับ ‘เพื่อนบ้าน’ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตำแหน่งอื่นๆ แล้ว ร่างก็ยังคงเล็กจ้อย เพียงแต่ว่าด้านหลังของเขามีจันทร์เสี้ยวดวงหนึ่งลอยขึ้นมา


มียักษ์สามเศียรหกกร ร่างกำยำ เปิดเปลือยหน้าอก นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะใบหนึ่งที่เกิดจากตำราสีทองวางซ้อนทับกันเป็นชั้น ตรงหน้าอกของเขามีบาดแผลที่น่าพรั่นพรึง เกิดจากโดนกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ฟัน


ปีศาจใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทุกคน ไม่มีคนใดเคยเข้าร่วมการเข่นฆ่าสังหารสะท้านฟ้าสะเทือนดินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน


คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเก็บซ่อนอำพรางตัวที่เวลานี้ต่างก็ถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลจำศีลอันยาวนาน


มีเพียงส่วนน้อยที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไกลพันหมื่นปี แต่กลับไม่เคยสนใจศึกสงครามที่เกิดขึ้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เลือกที่จะมองดูดายอยู่เฉยๆ มาตลอดเวลา


ปีศาจใหญ่สองตนที่ตอนนั้นไปเยี่ยมเยือนผู้เฒ่าตาบอดที่ขุนเขาใหญ่สิบหมื่นไม่มีคุณสมบัติจะมาปรากฏตัวที่นี่


ตำแหน่งที่นั่งทั้งสิบสี่ที่นั่งโอบล้อมก้อนหินก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ


เมื่อเงาร่างของผู้เฒ่าคนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นกลางหินก็มีปีศาจบรรพกาลสองตนรีบเผยกายทันที ราวกับว่าไม่กล้าจะเผยตัวทีหลังผู้เฒ่า


ผู้เฒ่ากวาดตามองไปรอบด้าน


ยังเหลืออีกตำแหน่งหนึ่งที่ว่างอยู่ มีเพียงดาบหนึ่งเล่มวางอยู่ตรงนั้น


ตำแหน่งนั้นคือบัลลังก์ที่สูงเป็นอันดับสามนอกเหนือจากของผู้เฒ่า ซึ่งเพิ่งปรากฎขึ้นใหม่ในตำหนักอิงหลิงหุบเหวลึกแห่งนี้


ผู้เฒ่าไม่ได้พูดอะไร


ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ให้ความเคารพผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงยิ่งกว่าสถานที่ใดๆ


เจ้าของดาบเล่มนั้นเคยแอบต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับอาเหลียงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่สองครั้ง แต่กลับเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องแล้วไปดื่มเหล้าด้วยกัน และยามใดที่มีเวลาว่างรู้สึกเบื่อหน่ายก็จะแล่นไปเยือนภูเขาใหญ่สิบหมื่นเพื่อช่วยผู้เฒ่าตาบอดเคลื่อนย้ายภูเขา


ตำแหน่งที่เป็นรองแค่ผู้เฒ่าคือ ‘ชายวัยกลางคน’ สวมชุดลัทธิขงจื๊อที่กำลังนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ไม่ได้เผยร่างจริงของเผ่าปีศาจ ร่างของเขาจึงเล็กดุจเมล็ดงา


ตำแหน่งของคนผู้นี้สูงกว่าดาบเล่มนั้นเสียอีก


ปีศาจใหญ่ทุกคนที่นั่งประจำที่ รวมไปถึงปีศาจใหญ่ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อท่านนั้นต่างก็พากันลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้เฒ่า


ผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องรอเขา เริ่มคุยกันได้เลย”


เหล่าปีศาจถึงได้พากันนั่งลง


ผู้เฒ่ามองไปยังปีศาจใหญ่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนนั้น “อันดับต่อไปเจ้าพูดอะไร ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็จะทำอย่างนั้น ใครไม่ทำตาม ข้าจะพูดเกลี้ยกล่อมเอง ใครที่รับปากว่าจะทำ หลังจบเรื่อง…”


ปีศาจใหญ่ชุดลัทธิขงจื๊อยิ้มบางๆ พูดเสริมว่า “ภายนอกเชื่อฟัง ลับหลังขัดขืน”


ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง”


……


ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ด้านหลังบุรุษร่างกำยำคนหนึ่งมีเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ลักษณะคล้ายเด็กรับใช้ติดตามมา


ชายฉกรรจ์สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน หน้าตาเกลี้ยงเกลา ส่วนเด็กหนุ่มที่เดินกะเผลกอยู่ด้านหลังกลับสวมเสื้อผ้าสกปรกขาดวิ่น ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มมีสีสันต่างออกไป เมื่ออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ย่อมต้องถูกดูแคลนว่าเป็นเศษสวะ


ฟ้าดินกว้างใหญ่ที่แร้นแค้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสกปรกขุ่นมัวแห่งนี้ การที่เดินทางท่องไปทั่วด้วยร่างของมนุษย์ได้นั้น เดิมทีก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง


บุรุษผู้นี้เคยต่อสู้กับอาเหลียง แล้วก็เคยดื่มเหล้าด้วยกัน บนร่างของเด็กหนุ่มรัดกลไกของสำนักโม่ที่มีชื่อเรียกว่าชั้นวางกระบี่เอาไว้ มองปราดๆ หากใส่กระบี่ยาวไว้จนเต็ม ด้านหลังของเด็กหนุ่มก็จะคล้ายนกยูงรำแพนหาง


ในใต้หล้าไพศาล เฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางถูกหลิวโยวโจวผู้เป็นสหายลากตัวไปเที่ยวด้วยกันทั่วสารทิศ เฉาสือไม่เคยไปเยือนศาลบู๊ ไปแค่ศาลบุ๋นเท่านั้น


ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว ยามที่ต้องใช้มือเปล่ากำจัดปีศาจปราบมาร สังหารผู้ฝึกตนชั่วช้าโอสถทอง หลิวโยวโจวแค่ยืนชมงิ้วอยู่ข้างๆ ปรบมือร้องไห้กำลังใจก็พอ


ปีนั้นตอนที่เดินผ่านประตูใหญ่ระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัว เฉาสือก็เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตห้า ตอนที่เดินทางผ่านเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของแผ่นดินกลาง เขาก็แค่ฝึกหมัดเหมือนเวลาปกติ แต่กลับเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตหกได้อย่างเงียบเชียบ


ชะตาบู๊มากไพศาลที่ท่วมท้นไปทั่วร่างของเขาแผ่กระจายออกไปสี่ทิศ ถึงขนาดทำให้ศาลบู๊แห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงสั่นโยกจะพังถล่ม ชะตาบู๊ของเขายังคงไหลหลากเหมือนน้ำท่วม ถึงขนาดเพิ่มความยิ่งใหญ่ให้กับชะตาบู๊ของแคว้นนี้ให้มากขึ้นไปอีกเป็นเท่าทวี


ใต้หล้ามืดสลัว เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าใจ เดินขึ้นเขาไปตีกลองสวรรค์


ฟ้าดินเงียบสงัดอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวก็ยิ้มตาหยีมาปรากฏกายข้างกายเด็กหนุ่ม ทำหน้าที่รับลูกศิษย์แทนอาจารย์


ห้านครสิบสองชั้นของป๋ายอวี้จิง ตั้งแต่บนจรดล่างล้วนสั่นสะเทือนไม่หยุด


นับจากนี้ไป มรรคาจารย์เต๋าจะมีลูกศิษย์คนสุดท้ายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน


แจกันสมบัติทวีป สำนักศึกษาซานหยาของราชวงศ์ต้าสุย


เผยเฉียนกับหลี่เป่าผิง แม่นางน้อยสองคนนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูงของยอดเขา มองไปเบื้องล่างต้นไม้ด้วยกัน


เฉินผิงอันกำลังฝึกหมัด

 

 

 


บทที่ 420.1 เซียนกระบี่บนทะเลสาบ ดอกไ...

 

เช้าตรู่ในอีกสามวันให้หลัง เฉินผิงอันกำลังจะไปจากสำนักศึกษาซานหยา


หลี่เป่าผิงสังเกตเห็นว่าช่วงนี้พวกหลี่ไหวเผยเฉียนมักจะแอบมารวมตัวกัน แม้แต่อาจารย์อาน้อยก็ยังหายตัวไปเป็นพักๆ นี่ทำให้หลี่เป่าผิงผิดหวังเล็กน้อย


วันนี้หลี่เป่าผิงมาที่เรือนชุยตงซานตั้งแต่เช้าตรู่ คิดจะมาส่งอาจารย์อาน้อย


เมื่อวานเผยเฉียนก็ไม่ได้มานอนกับนาง แต่ขอยืมดาบยันต์มงคลและน้ำเต้าลูกเล็กสีเงินไปจากนาง


หลี่เป่าผิงค้นพบว่าในเรือนเล็กว่างเปล่าไร้ผู้คน


หรือว่าอาจารย์อาน้อยแอบจากไปอีกแล้ว?


หลี่เป่าผิงหมุนตัวกลับ เตรียมจะวิ่งไปที่ตีนเขา


กลับพบว่าชุยตงซานเดินอ้าปากหาวมาบนทางเล็กแต่ไกล หลี่เป่าผิงย่ำเท้ารัวๆ อยู่ที่เดิม พร้อมจะบินออกไปเหมือนลูกธนูพุ่งออกจากแล่งได้ทุกเวลา นางรีบถามอย่างร้อนใจ “อาจารย์อาน้อยล่ะ จากไปนานเท่าไหร่แล้ว?”


ชุยตงซานทำหน้าเหรอหรา “ไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เมื่อครึ่งคืนหลังของเมื่อวานแล้ว เจ้าไม่รู้หรือ?”


หลี่เป่าผิงหยุดย่ำเท้า ยู่ใบหน้าเล็กๆ ที่มองโดยรวมยังคงกลมดิก มีเพียงช่วงคางที่เริ่มแหลมขึ้น


ชุยตงซานทอดถอนใจ เห็นว่าน้ำตาของแม่นางน้อยใกล้จะเป็นทำนบน้ำที่พังทลายก็รีบปลอบใจ “อย่าคิดมาก ต้องเป็นเพราะอาจารย์ของข้ากลัวว่าจะเห็นเจ้าเป็นอย่างตอนนี้ คราวก่อนเขาก็ทำแบบนี้ไม่ใช่หรือ ทั้งๆ ที่อาจารย์อาน้อยของเจ้าเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าและรองเท้าใหม่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เข้ามาที่สำนักศึกษา ตอนนั้นมีเพียงข้าที่อยู่ข้างกายเขา เห็นอยู่ว่าอาจารย์เดินหนึ่งก้าวหันกลับมามองสามรอบ”


หลี่เป่าผิงสูดจมูก


ชุยตงซานถามหยั่งเชิง “ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปเดินเล่นริมทะเลสาบเป็นเพื่อนเจ้า พูดคุยถึงเรื่องอาจารย์ของข้าดีไหม?”


หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็พยักหน้ารับ


คนทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบ


ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาง รอบกายไร้ผู้คน หากเป็นเวลาปกติจะต้องมีลูกศิษย์สำนักศึกษาออกมาท่องตำราและบทกวีของอริยะปราชญ์ให้เห็นบางตาแล้ว แต่วันนี้กลับเงียบสงัดมากเป็นพิเศษ


ชุยตงซานพาหลี่เป่าผิงเดินขึ้นไปบนหอสูงริมทะเลสาบ แล้วจู่ๆ เขาก็เอ่ยถามว่า “เป่าผิงน้อย ข้ารู้สึกว่าอาจารย์อาน้อยของเจ้าจากไปโดยไม่ลา ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่นัก วางใจเถอะ ขอแค่เจ้าไม่ยอมรับเขาเป็นอาจารย์อาน้อยอีก ข้าจะไม่รับเขาเป็นอาจารย์เป็นเพื่อนเจ้าเอง เจ้าว่าข้ามีน้ำใจมากเลยใช่ไหม?”


หลี่เป่าผิงถลึงตาใส่ “เจ้าพูดอะไรน่ะ ใต้หล้านี้มีเพียงอาจารย์อาน้อยที่ไม่ต้องการหลี่เป่าผิง ไม่มีหลี่เป่าผิงที่ไม่ต้องการอาจารย์อาน้อย!”


ชุยตงซานแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง ร้องอ้อหนึ่งทีแล้วพูดลากเสียงยาวว่า “แบบนี้เองหรือ”


แล้วชุยตงซานก็ดีดนิ้วหนึ่งที


ทางสายเล็กรอบทะเลสาบพลันมีวงแสงสีทองอร่ามเจิดจ้าปรากฏวูบขึ้นมา


ครั้นจึงกลายเป็นบ่อสายฟ้าที่วาดด้วยจินสุ้ยกระบี่บินของเซียนเล่มนั้น เวลานี้ชุยตงซานได้สลายเวทอำพรางตาออกไปส่วนหนึ่งแล้ว


เห็นเพียงว่าหลี่ไหวพลันปรากฏกายอยู่บนทางเล็กริมทะเลสาบที่ห่างไปไกล


เจ้าหมอนั่นจูงกวางขาวไว้ในมือ สวมงอบใบหนึ่งเลียนแบบคนบางคน และยังพกดาบแคบยันต์มงคล ตรงเอวก็ห้อยน้ำเต้าลูกเล็กสีเงินเอาไว้ด้วย


หลี่เป่าผิงอึ้งตะลึง


หลังจากเดินมาได้ช่วงระยะทางหนึ่ง หลี่ไหวก็พูดด้วยเสียงดังกังวาน “ข้าหลี่ไหวปิดด่านสามปี ในที่สุดก็เรียนวิชายุทธอันยอดเยี่ยมได้สำเร็จผล ครั้งนี้ลงจากเขามาท่องยุทธภพ จะต้องขอความรู้จากเหล่าวีรบุรุษของสี่สมุทรห้าทะเลสาบสักหน่อย”


ชุยตงซานดีดนิ้วอีกที


เห็นเพียงว่าห่างจากหอสูงไปไม่ไกลมีเงาร่างสองร่างปรากฏขึ้น จูเหลี่ยนและสือโหรวที่น่าสงสารแสดงเป็นโจรที่ดักปล้นกลางทาง พวกเขากำลังรุมทุบตี ‘บัณฑิตอ่อนแอสองคน’ อย่างอวี๋ลู่และหลินโส่วอี


หลี่ไหวพูดขึ้นเสียงดังว่า “หยุดนะ!”


จูเหลี่ยนเดินมาขวางหน้าหลี่ไหว ตวาดเสียงกร้าว “เจ้าเองก็ต้องจ่ายค่าผ่านทาง มอบสมบัติซื้อชีวิตตัวเองซะ!”


หลี่ไหวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เจ้าโจรกระจอกตาไร้แวว กล้าบังอาจมาดักปล้นจอมยุทธใหญ่อย่างข้าหลี่ไหว วันนี้ขอแค่ข้าเห็นความอยุติธรรมก็จะช่วยทวงคืน หากพวกเจ้ามีความสามารถก็มาเอาไปได้เลย”


จูเหลี่ยนวิ่งสับเท้าเข้าหาเร็วรี่ มองเหมือนใช้ฝีเท้าทะยานคลื่น มีมาดของปรมาจารย์อย่างที่หาได้ยากยิ่ง ปล่อยหมัดแล้วหมัดเล่าให้พลิ้วกระแทกลงบนหน้าอกหลี่ไหวเบาๆ หลี่ไหวยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน แหงนหน้าหัวเราะร่า


จูเหลี่ยนเหมือนถูกฟ้าผ่า ตัวสั่นสะท้านเหมือนร่อนตะแกรง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ท่าน ท่าน ท่าน…จอมยุทธน้อยท่านนี้…ช่างมีพลังภายในลึกล้ำยิ่งนัก!”


จากนั้นร่างของเขาก็ปลิวหวือออกไป ชักกระตุกสองที นั่นน่าจะถือว่าตายแล้ว ไม่ต่างจากพวกลูกสมุนในนิยายจอมยุทธสักเท่าไหร่ ได้พูดประโยคหนึ่งต่อหน้าจอมยุทธใหญ่ก็ถือว่ามีบทบาทมากแล้ว


สือโหรวทำตามอย่างขัดๆ เขินๆ นางเองก็ปล่อยฝ่ามือตบใส่หลี่ไหวเบาๆ เช่นกัน


หลี่ไหวโบกมือปัดทิ้งแต่ไกล พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ไสหัวไป!”


สือโหรวเหมือนถูกพายุลมกรดทำร้ายให้บาดเจ็บ หมุนคว้างอยู่กลางอากาศหลายตลบ ก่อนที่ร่างจะกระแทกลงพื้น นอนคว่ำหน้าห่างไปไกล ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ชี้ไปยังหลี่ไหว ฝืนความอายและรันทดในใจพูดว่า “เจ้าเป็นเทพเซียนจากที่ใดกันแน่ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าในยุทธภพจะมียอดฝีมือที่ฝีมือลึกล้ำเกินจะหยั่งอย่างเจ้าอยู่ด้วย!”


หลี่ไหวยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาตั้งวางอยู่ตรงหน้าอก พูดเลียนแบบพระภิกษุ “ผิดไปแล้วๆ เป็นเพราะวรยุทธของข้าสูงส่งเกินไป ไม่ทันยั้งมือจริงๆ”


หลี่ไหวหดมือลง เดินมาใกล้กับหอสูง กวาดตามองรอบด้าน “จำเอาไว้ว่า ข้าก็คือหลี่ไหว เจ้าประมุขน้อยแห่งหอพักสาขาย่อยภูเขาตงหัวภายใต้อำนาจการปกครองศูนย์บัญชาการเขตการปกครองใหญ่หลงเฉวียน! คนในยุทธภพเรียกข้าว่าจอมยุทธใหญ่หลี่ผู้มี ‘หมัดเท้าล้ำเลิศ’ สองหมัดไร้พ่าย สองเท้าทลายขุนเขา เจ้าประมุขใหญ่ของพวกเราก็ยิ่งมีบารมีสะท้านไปทั่วใต้หล้า คือผู้นำแห่งยุทธจักรคนปัจจุบันที่ครองตำแหน่งมานานนับพันปี…หลี่! เป่า! ผิง!”


หลี่เป่าผิงยกสองแขนกอดอก พยักหน้าเบาๆ


ชุยตงซานดีดนิ้วหนึ่งครั้ง หลี่ไหว กวางขาว จูเหลี่ยน สือโหรวและอวี๋ลู่ หลินโส่วอีต่างก็หายตัวไป


ขณะเดียวกันภาพต่อมาก็คืออวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยที่มาปรากฏตัวอยู่ริมฝั่งซ้ายขวาของทะเลสาบ คนหนึ่งยืนเป่าขลุ่ย อีกคนนั่งดีดพิณ คล้ายคู่รักเทพเซียนในยุทธภพ


เสียงขลุ่ยแผ่วพลิ้ว เสียงพิณทอดยาว


ยิ่งนานก็ยิ่งกระตุ้นอารมณ์คนฟังให้ฮึกเหิม


ริมฝั่งของทะเลสาบที่อยู่ตรงข้ามกับหอสูงที่หลี่เป่าผิงยืนอยู่ หลังจากชุยตงซานคลี่ยิ้มบางๆ ก็มีเงาร่างผอมแห้งดำเกรียมโผล่พรวดออกมาแล้ววิ่งเต็มเหยียด ใช้ไม้เท้าเดินป่ายันพื้นกระโดดลอยตัวขึ้นสูง กระโจนไปกลางทะเลสาบ เมื่อร่างลอยอยู่กลางอากาศก็ใช้สองมือชักดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่ตรงเอวออกมา พลิกหมุนเรือนกายพลิ้วตัวลงพื้นอย่างเข้าท่าเข้าที เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเผด็จการ


ทุกครั้งที่เผยเฉียนพลิ้วกายลงบนพื้นผิวทะเลสาบ ใต้ฝ่าเท้าจะต้องมีดอกบัวสีทองดอกหนึ่งผุดขึ้นมา เป็นเหตุให้ไม่ต้องกังวลว่าจะตกน้ำ


เผยเฉียนใช้ดาบไม้ไผ่แสดงกระบวนท่าวานรขาวลากดาบไปหนึ่งคำรบรวดเดียวจบด้วยพลังอำนาจดุจพยัคฆ์ดุร้าย วิ่งตะบึงออกไปสิบกว่าจั้งลากยาวเป็นเส้นตรง ตวาดใส่หอสูงที่ชุยตงซานยืนอยู่ แล้วจึงเงื้อดาบฟันลงมาเต็มแรง


จากนั้นเขย่งปลายเท้าเหยียบลงบนดอกบัวสีทองที่ชุยตงซานช่วยบังคับให้ผุดออกมา ร่างของนางพลันบิดหมุน สอดดาบไม้ไผ่กลับเข้าฝัก พอพลิ้วกายลงพื้นก็ใช้กระบวนท่ากระบี่มารคลั่งที่นางคิดค้นขึ้นเองวิ่งห้อไปเบื้องหน้า


เพื่อที่ในอนาคตจะสามารถกำราบหมาที่ดุร้ายที่สุดได้ เผยเฉียนรู้สึกว่าตัวเองตั้งใจฝึกวรยุทธอย่างมาก


วิชาเลิศล้ำนี้ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของนางในใต้หล้านี้


เผยเฉียนฟาดฟันวิชากระบี่กระบวนท่านี้อย่างสาแก่ใจรวดเดียวจบ


พอยืนนิ่งแล้วก็สอดกระบี่ไม้ไผ่กลับเข้าฝัก


เผยเฉียนยืนอยู่บนผิวทะเลสาบที่ห่างจากหอสูงไปแค่เจ็ดแปดจั้ง นางหมุนข้อมือหนึ่งที น้ำเต้าจิ๋วลูกเล็กก็โผล่ขึ้นมา ชูมันขึ้นสูงพลางพูดเสียงดังว่า “ยุทธภพไม่มีอะไรดี มีเพียงสุราที่พอใช้ได้ เหล้าล่ะ มาๆๆ! ใครจะมาดื่มเหล้าแห่งยุทธภพนี้ร่วมกับข้า?”


ชุยตงซานหัวเราะเสียงดังก้อง ชายแขนเสื้อพลิ้วสะบัด พุ่งตัวไปหาเผยเฉียน ยื่นมือสองข้างออกมา ข้างหนึ่งดีดนิ้ว ด้านหนึ่งคว้าน้ำเต้าลูกเล็กสีเงินมาอยู่ในมือ อีกด้านหนึ่งสกัดดึงเอาแก่นน้ำในทะเลสาบสองขุมมาทำเป็นเหล้า น้ำขุมหนึ่งล้อมวนรอบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงิน อีกขุมหนึ่งลอยล่องอยู่รอบน้ำเต้าจิ๋วบนมือเผยเฉียน


คนทั้งสองยืนเคียงบ่ากัน หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ต่างก็ทำท่าแหงนหน้าร่ำสุราเหมือนกัน


จากนั้นชุยตงซานกับเผยเฉียนที่คล้ายจะฝึกฝนกันมานับครั้งไม่ถ้วนก็เริ่มเมามาย ร่างโงนเงนเดินโซซัดโซเซเป็นแนวขวางเหมือนปู พวกเขากางสองแขนออกกว้าง ชายแขนเสื้อใหญ่พลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่น สุดท้ายคนทั้งสองก็ยื่นย่ำเท้ากระโดดโลดเต้นอยู่กับที่เลียนแบบแม่นางน้อยชุดแดงคนนั้น


พอเห็นภาพนี้ หลี่เป่าผิงที่ยืนอยู่บนหอสูงเพียงลำพังก็หัวเราะจนหุบปากไม่ลง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)