หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 418-419
บทที่ 418 บุรุษผู้มากความสามารถ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่ส่งหลี่หว่านเอ๋อร์กลับ หวังเป่าเล่อก็ปวดศีรษะหนึบ ตัวต้นคิดของเรื่องทั้งหมดยังคงหลบซ่อนอยู่ทำให้เขารู้สึกว่าการควานหาตัวคนผู้นั้นให้พบเป็นเรื่องเร่งด่วน โชคยังดีที่หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตัวเขามีความได้เปรียบ เพราะอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นเพียงข้ารับใช้แห่งความมืด จากชื่อนั้นอาจกล่าวได้ว่าในมุมมองของแม่นางน้อย อีกฝ่ายเป็นเพียงข้ารับใช้ ในขณะที่ตัวเขาเป็นเจ้านาย
เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงค่อยโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง
ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลย ข้ายังมีแม่นางน้อยอยู่ หากเรื่องไม่เป็นไปตามแผน ข้าก็จะไปขอความช่วยเหลือจากนาง และกำราบเจ้าข้ารับใช้คนนั้นเสียให้อยู่หมัด!
แต่หากข้าจะขอความช่วยเหลือจากแม่นางน้อย ข้าคงต้องพยายามเกลี้ยกล่อมนางสักหน่อย หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างหนัก แล้วจึงรู้สึกว่าชีวิตของเขานั้นช่างยากลำบากเหลือเกิน ชายหนุ่มต้องทำทุกอย่างด้วยตนเองและก้าวข้ามอุปสรรคทุกสิ่งอันด้วยความอุตสาหะ
เมื่อรู้สึกเช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงเริ่มคิดหาทางเกลี้ยกล่อมแม่นางน้อย ในเวลานั้นเอง หลินเทียนหาวก็ส่งข้อความเสียงมาขอเข้าพบเพื่อรายงานความคืบหน้าในการสืบสวน พร้อมทั้งผลการสืบสวนจากเขตต่างๆ
เพราะช่วงนี้หวังเป่าเล่อถือสันโดษบ่อยมาก ที่พักของเขาจึงกลายเป็นห้องทำงานไปโดยปริยาย หลินเทียนหาวมาถึงในเวลาไม่นานนัก หลังจากติดอยู่กับหวังเป่าเล่อมาระยะหนึ่ง หลินเทียนหาวจึงมีนิสัยเปลี่ยนไปจากครั้งที่อยู่ในสำนักศึกษาเต๋ามากนัก ขณะนี้เขาไม่ใช่คนเย่อหยิ่งเงียบขรึมอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นผู้มากประสบการณ์ที่พึ่งพาได้
ทว่าภาพลักษณ์นี้เป็นสิ่งที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อเท่านั้น ในความเป็นจริง เมื่อเขาอยู่กับคนอื่นๆ หลินเทียนหาวไม่ได้พูดมากนัก ความเป็นคนเงียบขรึมไม่ได้จางหายไป ยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจของเขา สำหรับคนอื่นแล้วหลินเทียนหาวเป็นดั่งอสรพิษ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวังเป่าเล่อนั้นมีความหมายว่า หากเขาปกป้องผลประโยชน์ของหวังเป่าเล่อ ก็เท่ากับว่าปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเช่นกัน ดังนั้นเหล่าคนที่ไม่พอใจหวังเป่าเล่อจึงมักเรียกขานหลินเทียนหาวด้วยฉายา เช่น ‘เจ้าตูบเชื่อง’ ‘หมาบ้า’ หรือ ‘เจ้างูพิษ’ เป็นต้น
ทันทีที่มาถึง หลินเทียนหาวก็รินชาให้หวังเป่าเล่อก่อนจะนำไปวางตรงหน้าอีกฝ่าย จากนั้นจึงไปยืนตรงหน้าหวังเป่าเล่อตามปกติ โดยไม่ได้คิดว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะกับตำแหน่งตนหรือกำลังพยายามประจบเอาใจหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด แต่ชายหนุ่มรู้สึกว่า ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เขาควรตอบแทนสิ่งที่เจ้านายที่เคารพเคยทำให้ และการรินชาให้นั้นแสดงถึงความเคารพที่เขามีต่อผู้บังคับบัญชา
หวังเป่าเล่อเคยชินกับการปฏิบัติเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงนั่งลงจิบชาก่อนจะเริ่มฟังรายงาน
“ท่านเจ้าเมือง จากการตรวจสอบเมื่อคืน ไม่พบความผิดปกติในบริเวณดังกล่าวแต่อย่างใด…”
“นอกจากนั้นแล้ว การตรวจเขตต่างๆ ก็สำเร็จเรียบร้อย ข้อมูลที่เก็บมาได้ รวมถึงการบทวิเคราะห์ทั้งหมดอยู่ในนี้ขอรับ…” ขณะที่รายงาน หลินเทียนหาวก็ยื่นส่งแผ่นหยกให้หวังเป่าเล่อ
“ในเขตทั้งหกของนครใหม่ คนที่ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะกระจัดกระจายกันอยู่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตปกครองตนเองของเฉินมู่ ตามมาด้วยเขตของฟางจิ้ง เขตของข้า เขตของนายกเทศมนตรีกงเต๋า และตบท้ายด้วยเขตของนายกเทศมนตรีจิน…ส่วนเขตของนายกเทศมนตรีเวินไหวนั้นไม่มีผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะเลยสักคนเดียว ซึ่งดูแปลกอยู่เหมือนกัน…” หลินเทียนหาวมีสีหน้าประหลาดใจ ราวกับว่าผลของการสำรวจนั้นช่างแปลกประหลาดไม่น่าเชื่อเสียเต็มประดา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อเองก็สับสนเช่นกัน หลังจากที่จ้องมองข้อมูลบนแผ่นหยก ชายหนุ่มจึงเห็นตามที่หลินเทียนหาวรายงาน มีผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะหลักหมื่นถึงหลักแสนในทุกๆ เขต เว้นเพียงเขตของเวินไหวเท่านั้น
อาจจะเป็นการพูดเกินจริงหากกล่าวว่าไม่มีผู้ฝึกเคล็ดเวทอยู่ในเขตนั้นสักคน แต่เพราะไม่มีรายงาน จึงหมายความว่าในความเป็นจริงแล้วจำนวนผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะในเขตดังกล่าวนั้นต่ำมาก หากแม้ข้อมูลนี้เป็นเท็จ ก็ไม่น่าทำให้ดูออกง่ายถึงเพียงนี้
“เกิดอะไรขึ้นกัน เวินไหวเป็นคนมีความสามารถเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อสงสัย พลางคิดว่าเขาอาจจะดูถูกเวินไหวมากเกินไป จากนั้นจึงกวาดสายตาไปมองหลินเทียนหาว
หลินเทียนหาวเองก็มีสีหน้าแปลกแปร่ง เขาชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าได้ลองสืบหารายละเอียดเพิ่มเติมแล้วแต่ว่า…รองนายกเทศมนตรีหลิวต้าวปินอยากเชิญท่านไปดูสถานการณ์ด้วยตนเอง…” หลินเทียนหาวรู้สาเหตุเบื้องหลังเรื่องนี้ดี เพราะอย่างไรเสียชายหนุ่มก็เป็นผู้ควบคุมดูแลเหล่าสายลับทั้งหมด หากว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นตามนี้ เขาคงไม่นำข้อความของหลิวตาวปินมาแจ้งแก่หวังเป่าเล่อแน่นอน
ทว่าในตอนนี้ หลินเทียนหาวรู้สึกว่าน่าจะเป็นการดีกว่าหากเขาระมัดระวังตัวกับคนเช่นหลิวต้าวปิน ไม่มีประโยชน์ที่จะขัดใจหรือใช้อุบายกับอีกฝ่าย เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้หลินเทียนหาวรู้สึกว่าหลิวต้าวปินไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
“งั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหัวเราะ ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้หลิวต้าวปินเป็นผู้ช่วยของเวินไหว หลิวต้าวปินไม่ได้ส่งข้อความเสียงมาถึงเขาโดยตรง แต่กลับใช้ผลของเหตุการณ์นี้เชิญเขาไปดูสถานการณ์ตามกระบวนการที่ถูกต้อง หวังเป่าเล่อไม่ได้ทัดทานเรื่องนี้ เพราะเขาเองก็ต้องการจะดูให้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้นในเขตของเวินไหวกันแน่
ดังนั้นเมื่อเป็นการไปเยือนอย่างเป็นทางการ จึงต้องมีการจัดแจงกันเล็กน้อย คนจำนวนมากถูกส่งไปดูลาดเลา มีเอกสารส่งไปหาเวินไหวล่วงหน้า เพื่อเตือนให้เขาเตรียมการต้อนรับหวังเป่าเล่อ
หนึ่งชั่วโมงถัดมา หวังเป่าเล่อและคณะรวมถึงหลินเทียนหาว ก็เดินทางถึงเขตปกครองตนเองของเวินไหวอย่างเอิกเกริก เมื่อพวกเขามาถึง เวินไหวและหลิวต้าวปินได้มายืนรออยู่แล้ว เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจากไกลๆ ก่อนที่เวินไหวจะได้เอ่ยปากพูด หลิวต้าวปินก็วิ่งนำไปก่อนและแสดงความเคารพหวังเป่าเล่อตั้งแต่ในระยะไกล ชายหนุ่มตื่นเต้นสุดขีดและพูดด้วยเสียงอันดัง
“ข้าน้อยต้าวปินคารวะท่านเจ้าเมือง! ท่านเจ้าเมือง ได้โปรดอนุญาตให้ต้าวปินผู้นี้ได้พูดตามใจด้วยเถิด นับเป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน ข้ามีความในใจมากมายอยากจะพูด จึงพึงขออนุญาตจากท่านให้ข้าได้พูดความในใจด้วยเถิดขอรับ!” เสียงของหลิวต้าวปินฟังชัดไปทั่วทุกสารทิศ เวินไหวก่นด่าหลิวต้าวปินที่ทำอะไรตัดหน้าอยู่เบาๆ เขาวางแผนจะทักทายหวังเป่าเล่อเช่นกัน แต่หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่หลิวต้าวปินพูดเขาก็ถึงกับผงะ ก่อนจะเริ่มคิดว่าหลิวต้าวปินล่วงรู้ความลับสกปรกเกี่ยวกับเขาแล้วกำลังหาโอกาสรายงานผู้บังคับบัญชาอยู่หรือไม่
หวังเป่าเล่อที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า พลันมีประกายวูบขึ้นมาในดวงตาเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวต้าวปิน แม้แต่หลินเทียนหาวกับคนอื่นๆ ที่เดินตามมาข้างหลังก็ยังตกตะลึงไป
“ต้าวปิน โปรดพูดตามใจเถิด จะเป็นเรื่องใดก็ตามแต่!” หวังเป่าเล่อก้าวอาดๆ เข้าไปหาพลางพยุงหลิวต้าวปินขึ้นยืน
หลิวต้าวปินนั้นตื่นเต้นจนตัวสั่นเล็กน้อย ชายหนุ่มจ้องมองหวังเป่าเล่อ เสียงที่เจือความตื่นเต้นก็สั่นเครือ
“ท่านเจ้าเมือง ต้าวปินผู้นี้อยากขออภัยท่าน ตอนที่ข้าเห็นท่านไกลๆ ข้ามัวแต่ตกตะลึงจนเข้ามาทักทายท่านช้าเกินไป ข้าไม่ได้พบท่านมานานเสียจนเมื่อเห็นท่านอีกครั้งก็ทำอะไรไม่ถูก ราวกับว่าข้าได้เห็นเทพยดาที่หล่อเหลาเกินกว่ามนุษย์คนใดในสหพันธรัฐแห่งนี้ ความคิดที่ว่าบุรุษที่หล่อเหลาเช่นนี้เป็นเจ้าเมืองของข้า ทำให้ข้าตื่นเต้นจนเสียอาการ ข้าจึงจะขอรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างตามแต่ท่านเจ้าเมืองจะเห็นสมควร!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวต้าวปิน เวินไหวก็ถึงกับตาเบิกโพลงพลางอ้าปากค้าง ราวกับได้เห็นอีกด้านหนึ่งของหลิวต้าวปิน ไม่ใช่เพียงเวินไหวเท่านั้น กระทั่งผู้ติดตามของเขาเองหรือหลินเทียนหาวและพวก เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวต้าวปินก็ต่างพากันตกตะลึง ทุกคนต่างพากันจ้องมองหลิวต้าวปินอย่างมหัศจรรย์ใจ หลายคนก่นด่าความประจบประแจงของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ
กระทั่งหวังเป่าเล่อเองยังตะลึง แม้เขาจะเป็นคนหน้าหนาแต่ก็ยังรู้สึกเขินอายเมื่อได้ยินสิ่งที่หลิวต้าวปินพูด แม้กระนั้นความพึงพอใจก็เอ่อท้นขึ้นในใจ ชายหนุ่มมีความสุขอย่างยิ่ง แต่ก็ต้องเก็บอาการและทำเป็นดุด่าหลิวต้าวปินออกไป
หลิวต้าวปินรับการดุด่าจากหวังเป่าเล่อโดยดุษฎี ทั้งยังมีสีหน้าโล่งใจอีกด้วย ชายหนุ่มรู้สึกว่าการที่หวังเป่าเล่อสละเวลามาด่าทอตนเองนั้นถือเป็นเกียรติยิ่ง ทั้งยังไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณหลังจากที่หวังเป่าเล่อดุด่าเขาเสร็จอีกด้วย
“ท่านเจ้าเมืองพูดถูกต้องแล้วขอรับ ท่านเจ้าเมือง ท่านแบกรับภาระหนักหนาเอาไว้บนบ่า ท่านเป็นตัวอย่างให้กับพวกเราทุกคนทั้งในอดีตและปัจจุบัน อนาคตของท่านนั้นทั้งยิ่งใหญ่และเปี่ยมไปด้วยความหวัง! หลิวต้าวปินคนนี้เป็นคนตรงไปตรงมา ข้าไม่อาจเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจได้ เป็นเหตุให้ข้าต้องพูดทุกสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาในวันนี้”
หลินเทียนหาวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับผงะ ชายหนุ่มรู้สึกว่าการคุกคามของหลิวต้าวปินต่อหน้าที่การงานของตนยิ่งรุนแรงขึ้น ส่วนเวินไหวนั้นหันไปมองค้อนหลิวต้าวปินอยู่หลายหน ขณะที่กำลังก่นด่าหลิวต้าวปินอยู่ในใจ ชายหนุ่มก็พลันนึกอิจฉา พลางคิดว่าตนนั้นเป็นถึงผู้บัญชาการโดยตรงของหลิวต้าวปิน แต่กลับถูกเมินทันทีที่อีกฝ่ายพบหวังเป่าเล่อ ทั้งยังไม่เคยได้ยินหลิวต้าวปินพูดคำสรรเสริญเช่นนี้เกี่ยวกับตัวเขาเลยด้วยซ้ำ…
ยิ่งไปกว่านั้น เวินไหวยิ่งรู้สึกสิ้นหวังเมื่อคิดถึงสถานการณ์ในเขตปกครองตนเองของตน เขารู้สึกอับอายที่ไม่ได้รับหน้าที่พาหวังเป่าเล่อตรวจชมเขตด้วยตนเอง ฝ่ายหลิวต้าวปินนั้นดูเหมือนไม่ได้อยากเชิญเวินไหวมาด้วยกันสักเท่าใดนัก อีกฝ่ายกุลีกุจอขอรับหน้าที่นำทางหวังเป่าเล่อด้วยตนเอง
เช่นนั้นเอง พวกเขาจึงเริ่มเดินเข้าสู่เขตปกครองตนเองกันเสียทีหลังจากการสรรเสริญเยินยออันยาวนานของหลิวต้าวปินจบลง เมื่อเหล่าผู้มาเยือนย่างเท้าเข้าสู่เขตปกครองตนเอง ก็ถึงกับต้องอ้าปากค้างตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ
สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจถึงเพียงนั้นคือรูปปั้นขนาดยักษ์สองอันที่ตั้งตระหง่านอยู่สองฝั่งของทางเดินหลักมี รูปปั้นทั้งคู่เป็นรูปเหมือนของหวังเป่าเล่อ!
หวังเป่าเล่อถึงกับผงะไปอีกครั้ง ชายหนุ่มหันไปมองหลิวต้าวปิน ผู้ซึ่งแสดงความเคารพต่อเขาอย่างเต็มเปี่ยม แล้วจึงหันไปมองสิ่งก่อสร้างรอบข้าง ชายหนุ่มดูสับสนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเริ่มก้าวเท้าต่อไปตามทาง และในตอนนั้นเองจิตใจของหวังเป่าเล่อและผู้ติดตามก็ล้วนสับสนงุนงงไปหมด
ในเขตปกครองตนเองแห่งนี้ มีรูปปั้นของหวังเป่าเล่ออยู่มากมายจนแทบนับไม่ถ้วน ทุกอันต่างขนาดกันไป…มีรูปปั้นหวังเป่าเล่ออยู่แทบทุกหนึ่งร้อยเมตร แต่ละอันต่างอากัปกิริยา ทุกอันล้วนพยายามแสดงถึงความเป็นวีรบุรุษของหวังเป่าเล่อ!
บทที่ 419 น้ำตาลโรยหน้าเค้ก!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อมองเห็นใบหน้าที่ตื่นตะลึงของแขกผู้มาเยือน และแม้แต่หวังเป่าเล่อเองก็ยังยืนตาค้าง หลิวต้าวปินก็ภาคภูมิใจอยู่เงียบๆ ชายหนุ่มลอบมองไปทางหลินเทียนหาวพลางหัวเราะอยู่ในใจ เขาคิดไปว่าหลินเทียนหาวนั้นมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะความสามารถก็จริง แต่หากเทียบกันแล้วก็ยังห่างชั้นกับตัวเขาหลายขุมนัก
เพราะหลิวต้าวปินนอกจากจะเก่งกาจแล้ว ความสามารถในการเอาอกเอาใจหวังเป่าเล่อของเขาก็ไม่เป็นรองใคร สำหรับเขาแล้ว ความสามารถข้อหลังสำคัญพอๆ กับข้อแรก มันเป็นความสามารถที่บิดาของเขาได้แสดงให้เห็นแถมยังสอนถึงความสำคัญให้ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ บิดาเตือนเขาเรื่องนี้อยู่ตลอด และหลิวต้าวปินก็ไม่เคยลืมคำบิดาที่พูดขณะยกมือตบขาอย่างอารมณ์ดีตอนกำลังร่ำสุรา
“มนุษย์น่ะชอบถ้อยคำหวานหู ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หน้าไหนก็ชอบทั้งนั้น มีเพียงม้าและวัวเท่านั้นละที่จะไม่ชอบ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าน้ำตาลโรยหน้าเค้กคือสิ่งใด หากเจ้ามีเค้กแล้ว มีน้ำตาลโรยหน้าแล้ว ข้าก็คงไม่ต้องเป็นห่วงอนาคตของเจ้าอีกต่อไป ต้าวปินเอ๋ย หากวันใดเจ้าสามารถฝึกทักษะนี้จนสมบูรณ์ได้ เจ้าก็ก้าวนำทุกๆ คนไปก่อนแล้วก้าวหนึ่ง!”
ตอนแรกหลิวต้าวปินไม่ได้ใส่ใจคำพูดของบิดามากนัก เมื่อเขาได้เข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แผนชีวิตของเขาคือการได้เป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธเวท ทว่าราวกับโชคชะตาเล่นตลก แผนชีวิตของเขาต้องพับไปก่อนเมื่อได้มาพบหวังเป่าเล่อ…
เช่นนั้นเอง หลิวต้าวปินจึงเดินตามรอยเท้าบิดา บนเส้นทางนี้ ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าชีวิตของบิดาตนไม่ได้ง่ายดาย ขณะเดียวกัน จากความรู้ของเขาเรื่องการประจบสอพลอ หลิวต้าวปินก็ได้พัฒนาทฤษฎีการประจบสอพลอในแบบของตนเองขึ้นมา
หลายๆ ครั้งการประจบไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด การกระทำอันเงียบเชียบนั้นได้เปรียบการโอ้อวดอย่างเปิดเผย แถมยังเป็นการแสดงถึงทักษะการประจบระดับสูงอีกด้วย! หลิวต้าวปินกระหยิ่มยิ้มย่องและไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับรูปปั้นเหล่านั้นแม้แต่น้อย ชายหนุ่มกลับนำทางหวังเป่าเล่อและคณะที่ยังคงตกใจไม่หายให้เดินชมเขตต่อ ขณะที่พวกเขาก้าวเดินไป รูปปั้นของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏให้เห็นตัวแล้วตัวเล่า เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงค่อยๆ จางหายไป หลินเทียนหาวผู้ยังคงตกใจอยู่ก็ทำใจยอมแพ้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว
พวกเขาคิดว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องเดินชมอีกต่อไป เป็นที่เข้าใจได้ว่าภายในเขตปกครองตนเองของเวินไหวนี้ มีหวังเป่าเล่ออยู่ในทุกตรอกซอกซอย…ทุกคนจึงหันไปมองเวินไหวด้วยสายตาสงสาร
เวินไหวมีสีหน้าไร้อารมณ์ เขาในตอนนี้รู้สึกชินชากับทุกสิ่ง ตั้งแต่วันที่หลิวต้าวปินได้ตั้งรูปปั้นตัวแรกในเขตปกครองตนเองจนกระทั่งบัดนี้ รูปสลักของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มจำนวนขึ้นจนเกินจะนับ เวินไหวค่อยๆ ชินกับวิธีการที่หลิวต้าวปินใช้เพื่อล้างสมองลูกน้องของเขา…
ผลก็คือเวินไหวสูญเสียผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ไปมากอยู่ เขาเริ่มรู้สึกว่าแม้ศิษย์จากสำนักรุ่งสางจักรพิภพจะรู้จักเพียงการฆ่าฟัน แต่หากเทียบกับหลิวต้าวปินแล้ว พวกเขาก็บริสุทธิ์ผุดผ่องและไร้เดียงสากว่ามากนัก
ไม่ใช่ว่าไม่มีใครมองเห็นเล่ห์เหลี่ยมของหลิวต้าวปิน แต่เพียงแค่ในแง่หนึ่งนั้น หวังเป่าเล่อก็มีอำนาจ และในอีกแง่หนึ่งก็คือหลิวต้าวปินเองไม่เคยซ่อนเจตนาที่แท้จริงของตน ชายหนุ่มกำลังบอกทุกคนว่าเขากำลังประจบสอพลอเจ้าเมืองอยู่และจะไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้
เช่นนั้นเอง คนอื่นๆ ก็พากันจนปัญญาที่จะหยุดเขา นอกจากไม่มีทางใดที่พวกเขาจะหยุดหลิวต้าวปินจากการประจบเอาใจหวังเป่าเล่อได้แล้ว ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ไม่อยากทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจตนเองผิด…ด้วยเหตุนี้ จำนวนรูปปั้นจึงเพิ่มมากขึ้นทุกที
ขณะที่เวินไหวรู้สึกไม่มีความสุขและสับสนในอารมณ์ หลินเทียนหาวและคณะกลับเงียบกริบ ส่วนหวังเป่าเล่อแม้จะตกใจแต่ก็ยังอยากดูต่อ เมื่อมองไปยังหมู่รูปปั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าพวกมันทั้งหมดช่างหล่อเหลา ยิ่งนัก เขาจึงมองไปยังหลิวต้าวปินด้วยสายตาพึงพอใจกว่าเดิม
เมื่อเห็นสายตาของหวังเป่าเล่อ หลิวต้าวปินก็รู้สึกเปี่ยมพลัง พลางคิดไปว่าความพยายามของเขาในคราวนี้นั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็รู้ถึงขีดจำกัดของตนเองดีและรู้ว่าการประจบสอพลออย่างเดียวนั้นไม่พอ คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มชวนหวังเป่าเล่อคุยอย่างร่าเริง
“ท่านเจ้าเมือง ท่านมาที่นี่เพื่อจะสืบว่าทำไมจึงไม่มีใครในเขตนี้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะใช่หรือไม่ขอรับ”
เมื่อได้ยินหลิวต้าวปินเกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมา หวังเป่าเล่อก็ยิ่งพอใจ รอยยิ้มบนใบหน้าฉีกกว้างกว่าเคย ชายหนุ่มชี้ไปที่หลิวต้าวปินแล้วยิ้ม พลางหันไปมองหลินเทียนหาวและคณะที่อยู่ข้างกาย
“พวกเจ้าดูเสียสิ พวกเรายังไม่ได้ปริปากถาม แต่เขาก็เลือกที่จะตอบคำถามของเราก่อน”
หลินเทียนหาวยิ้ม เหล่าผู้ติดตามจึงต้องหันไปยิ้มให้หลิวต้าวปินกันทุกคน
“ท่านเจ้าเมือง เหตุที่ไม่มีใครในเขตนี้ฝึกวิชามารนั่นเลย เป็นเพราะข้าได้อธิบายให้ทุกคนฟังอย่างชัดแจ้งแล้ว ชัดเสียจนทุกคนรู้ดีว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้คิดค้นระบบการตบรางวัลและการลงโทษ ที่ทำให้ทั้งเขตนี้เปี่ยมไปด้วยผู้คนที่ขยันขันแข็ง!” หลิวต้าวปินละล่ำละลักรายงาน คำพูดของเขาทุกคำช่างไพเราะน่าฟัง ทว่าทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อต่างก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดไป
หลินเทียนหาวกระแอมกระไอก่อนจะส่งข้อความเสียงไปหาหวังเป่าเล่อเพื่อเล่าถึงผลการสืบสวน เมื่อหวังเป่าเล่อได้ฟัง สีหน้าของเขาก็เริ่มไม่สู้ดี หลังจากที่รวมข้อมูลที่ได้ฟังเข้ากับข้อมูลของหลิวต้าวปิน ชายหนุ่มก็เข้าใจทันทีว่าสถานการณ์แปลกประหลาดนี้คืออะไร
อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่หลิวต้าวปินมาถึงเขตปกครองตนเองของเวินไหว เขาก็เข้าควบคุมฝ่ายวินัยของเขต และเริ่มใช้ระบบการร้องเรียนที่ง่ายดายมากๆ ทุกคดีที่มีการร้องเรียนเข้ามาถูกจัดการอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีการลงโทษหลากหลายระดับกับผู้กระทำความผิดและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนผู้ที่แจ้งเบาะแสจะได้รับรางวัล!
หลิวต้าวปินเริ่มสะสมผู้ติดตามส่วนตัวของเขา และจากความพยายามของหลิวต้าวปิน การร้องเรียนก็ค่อยๆ กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปในเขตปกครองตนเองของเวินไหว…
แม้จะไม่ค่อยมีผู้ร้องเรียนมากนักในตอนแรก แต่เมื่อจำนวนผู้ร้องเรียนเพิ่มขึ้น ประชาชนทุกคนก็เริ่มหวาดระแวงและกลายมาเป็นผู้ร้องเรียนบ้าง พวกเขาจะแจ้งทุกอย่างที่รู้สึกไม่ชอบใจ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กน้อยหรือรุนแรงเพียงใดก็ตาม
ในขณะเดียวกัน คนที่ได้รับผลประโยชน์ก็กลายเป็นนักร้องเรียนมืออาชีพ พวกเขาร้องเรียนจนกระทั่งได้ทรัพยากรและศิลาวิญญาณจำนวนมากเพื่อการฝึกตน
เวินไหวเองก็จนปัญญา ทีแรกเขาตั้งใจสะสางเรื่องนี้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลิวต้าวปินเป็นตัวแทนของหวังเป่าเล่อ เขาก็ล้มเลิกความตั้งใจไปเสีย
ขณะที่ทุกคนเริ่มเคยชินกับการร้องเรียน ผู้ฝึกตนคนแรกที่มาเผยแพร่เคล็ดเวทอายุวัฒนะก็ถูกร้องเรียนโดยคนนับร้อยว่ามีท่าทีน่าสงสัย เขามาอยู่ในเขตได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำก่อนจะถูกลากตัวออกไป
ตอนนั้นหวังเป่าเล่อยังไม่ได้ตั้งกฎห้ามฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะ ทว่าการปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันของทักษะการฝึกตนนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องผิดปกติในเขตอื่นๆ แต่กลับเป็นความผิดร้ายแรงในเขตนี้ที่ทุกคนติดนิสัยการร้องเรียน ไม่ว่ามันจะเป็นปัญหาหรือไม่ ทุกคนก็เลือกที่จะร้องเรียนไปก่อน เพราะพวกเขาจะได้รับรางวัลหากเรื่องที่ร้องเรียนเกิดเป็นปัญหาขึ้นมาจริงๆ
และถึงแม้จะไม่เป็นปัญหา การร้องเรียนก็เป็นโอกาสในการพิสูจน์ว่าพวกเขาเอาจริงเอาจังกับหน้าที่พลเมือง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่รู้ว่าต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายหลิวต้าวปินกำลังรู้สึกสุขใจ พลางคิดไปว่าตนได้จัดการปัญหาอย่างไร้ที่ติ แต่เขาก็รู้สึกว่ายังสามารถแสดงความพยายามออกมาได้มากกว่านี้ ดังนั้นหลิวต้าวปินผู้พยายามจะดูเป็นลูกน้องที่มีความรับผิดชอบและซื่อสัตย์ จึงได้ประกาศกับหวังเป่าเล่อด้วยเสียงอันดังว่า
“ท่านเจ้าเมือง ตอนที่เคล็ดเวทอายุวัฒนะปรากฏขึ้นที่นี่เป็นครั้งแรก แม้ว่าจะยังไม่มีกฎเกณฑ์ควบคุม แต่ต้าวปินผู้นี้ก็จำคำสั่งสอนของท่านเจ้าเมืองได้ขึ้นใจและไม่มีนิ่งนอนใจแม้แต่น้อย ในเวลาเดียวกัน ข้าก็ไม่อยากทำให้ท่านผิดหวังและไม่อาจปล่อยให้เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นที่นี่ได้ ดังนั้นข้าจึงสั่งห้ามมิให้ผู้ฝึกตนทั้งหลายฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะ ข้าคิดจะตัดสินใจให้เด็ดขาดยิ่งขึ้นหลังจากสังเกตการณ์ไปสักระยะ แต่กลับเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน”
“โชคยังดี ที่ท่านเจ้าเมืองทั้งเก่งกาจและสามารถ จึงจัดการล้มแผนชั่วช้าที่อาจสั่นคลอนถึงความมั่นคงของดาวอังคารและนครใหม่ของเราได้ ต้าวปินผู้นี้ขอเป็นตัวแทนของผู้ฝึกตนนับพันในเขตนี้ ขอบพระคุณท่านเจ้าเมืองที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้!” ขณะที่หลิวต้าวปินพูด เขาก็ก้มศีรษะต่ำพลางยกมือคำนับหวังเป่าเล่อ
เมื่อเห็นหลิวต้าวปินทำเช่นนี้ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในเขตที่ยืนล้อมเขาอยู่ก็ชะงักกันชั่วครู่ ก่อนจะพากันกุลีกุจอก้มหน้าคำนับหวังเป่าเล่อกันทั้งหมด แม้แต่เวินไหวและพวกก็จนปัญญา เมื่อเห็นว่าทุกคนทำกันหมด พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกต้องก้มคำนับไปด้วย ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
หลินเทียนหาวถึงกับหมดสิ้นถ้อยคำเมื่อได้เห็น ความระแวดระวังหลิวต้าวปินเพิ่มมากขึ้นในใจ เขาเองก็รีบโค้งคำนับหวังเป่าเล่อเช่นกัน หวังเป่าเล่อถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินถ้อยคำขอบคุณที่ดังกระหึ่มอยู่รอบกาย เขาพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มหันไปปรามหลิวต้าวปินสั้นๆ ทว่าความพึงพอใจที่มีในตัวอีกฝ่ายกลับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนเดินชมเขตกันต่ออีกระยะหนึ่ง หลังจากที่ได้เห็นว่าหลิวต้าวปินสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างในเขตได้ หวังเป่าเล่อและหลินเทียนหาวจึงเดินทางกลับหลังจากกล่าวชมเวินไหว
ในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางกลับ ในห้องทำงานหนึ่งภายในเขตปกครองตนเองของเฉินมู่ เฉินมู่กำลังจ้องมองผู้ฝึกตนวัยกลางคนตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เจ้าเป็นใคร” เฉินมู่กล่าวอย่างแช่มช้า
ผู้ฝึกตนคนนั้นใส่เสื้อคลุมเต๋าของตระกูลนภาห้าสมัย เขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ช่วยของเฉินมู่และเป็นคนที่นอบน้อมกับเฉินมู่อยู่เสมอ มาวันนี้ จู่ๆ ชายผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยต่อหน้าเฉินมู่ อากัปกิริยาและสีหน้าท่าทางต่างจากที่เคยเป็น ดูราวกับว่าเป็นคนละคน เฉินมู่สัมผัสได้ถึงอันตรายจากบุคคลผู้นี้
“สหายเต๋าเฉิน ไม่สำคัญหรอกว่าข้าเป็นใคร สิ่งที่สำคัญก็คือข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเคล็ดเวทอายุวัฒนะ เจ้าจะให้คนของเจ้าจับข้าไปส่งหวังเป่าเล่อก็ได้ หาไม่แล้ว ก็จงมอบโอกาสให้ข้าและตัวเจ้าเอง ขอให้ข้าได้เป็นตัวแทนของเจ้านายข้าและอธิบายแผนของเราให้เจ้าฟัง…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น