กระบี่จงมา 416.1-418.1
บทที่ 416.1 ความภาคภูมิใจที่สุดในโลก
ฮ่องเต้สกุลเกาต้าสุยเสด็จมาร่วมงานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยน ทูตจากต้าหลีก็คือรองเจ้ากรมพิธีการที่ปีนั้นเคยไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียน หากเฉินผิงอันได้เห็นต้องจำเขาได้ในทันที
ในงานเลี้ยงที่มองไปทางใดก็เห็นแต่เส้นผมสีขาวโพลน ซ่งจี๋ซินและสวี่รั่วที่นั่งขนาบอยู่ฝั่งซ้ายขวาของรองเจ้ากรมต้าหลีต่างก็ใช้ชื่อปลอม ส่วนจื้อกุยนั้นไม่ได้มาร่วมงานด้วย
สวี่รั่วยังคงแต่งกายเป็นจอมยุทธพเนจรที่สะพายกระบี่ในแนวขวางไว้ด้านหลัง
คาดว่านอกจากซิ่วหู่ในวัยเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วก็คงไม่มีใครรู้ว่าสวี่รั่วทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน
ปะทะกับอาจารย์ฟ่านซึ่งๆ หน้า เป็นฝ่ายเอ่ยอนุญาตให้หนึ่งในสายการค้าสามารถบุกครึ่งทางเข้ามาเข่นฆ่าสังหารในงานเลี้ยงเถาเถี่ย (สัตว์ในตำนานชนิดหนึ่ง เป็นตัวแทนของความตะกละ) ที่หอบเอาอาณาเขตของหนึ่งทวีปเข้ามาเกี่ยวข้องครั้งนี้แทนต้าหลี ปล่อยให้พวกเขาได้พัฒนารุ่งเรืองไปตามใจปรารถนา ภายในเวลาสามสิบปี สกุลซ่งต้าหลีจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก
สวี่รั่วดื่มเหล้า สิ่งที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องใหญ่และสถานการณ์ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ แต่กำลังคิดว่าควรจะอบรมปลูกฝังต่งสุ่ยจิ่งที่ยังคงขายเกี้ยวน้ำผู้นั้นให้กลายเป็นคนเชื่อดาบที่แท้จริงได้อย่างไร
ซ่งจี๋ซินมองฮ่องเต้สกุลเกาต้าสุย แล้วก็กวาดตามองไปรอบด้าน รู้สึกเพียงว่าตลอดทั้งราชสำนักต้าสุยมีแต่กลิ่นอายของความท้อแท้โรยรา
จื้อกุย หรือควรจะเรียกว่าหวังจู อยู่ในจุดพักม้าที่เงียบสงัดเพียงลำพัง
นักพรตวัยกลางคนร่างสูงผอมคนหนึ่งร่ายใช้เวทอำพรางตา ปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริง นำพาผู้ฝึกตนของภูเขาเจินอู่สองคนมาเยือนจุดพักม้าอย่างเงียบเชียบ พวกเขาเดินตรงเข้ามาหาจื้อกุยที่กำลังยืนเอนตัวพิงราวระเบียงฟังเสียงลมพัดกระดิ่งลมใต้หลังคา
นักพรตวัยกลางคนถอนเวทคาถาออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง กลิ่นอายเซียนอบอวลไปทั่วร่างของเขา บนศีรษะสวมกวานหางปลา เพียงแค่ยืนอยู่ในลานบ้านก็มีกลิ่นอายของมหามรรคาอันไกลโพ้นที่อยู่ร่วมกับฟ้าดิน ร่างของเขาจึงเป็นเหมือนขุนเขายิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน
จื้อกุยเพียงแค่ชำเลืองตามองฉีเจิน เต้าจวิน (หรือเต๋าจวิน) ของสำนักโองการเทพ ผู้ปกครองระบบเต๋าแห่งแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนผู้ฝึกตนที่สะพายกระบี่ของภูเขาเจินอู่ นางกลับไม่แม้แต่จะปรายตามอง ความสนใจส่วนใหญ่ของนางอยู่ที่คนหนุ่มที่มีแมวดำนั่งอยู่บนไหล่ผู้นั้นมากกว่า ท่าทางของเขาสุภาพสงบนิ่ง ไม่ต่างจากเจ้าโง่ของตรอกซิ่งฮวาในความทรงจำสักเท่าไหร่ หน้าตาของเขาค่อนข้างหล่อเหลา แต่ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย เขากำลังมองนางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น และมีความปรารถนาอยากครอบครองที่เร่าร้อนซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของดวงตา
จื้อกุยไม่ค่อยชอบเจ้าหมอนี่สักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่ามีอคติอะไรกับเขา แต่เป็นเพราะย่าของหม่าขู่เสวียนผู้นี้ทำให้นางรังเกียจเดียดฉันท์มากจริงๆ นิสัยไม่ดีที่สตรีในหมู่ชาวบ้านของใต้หล้าควรมีหรือไม่ควรมี ดูเหมือนว่าหญิงชราผู้นั้นจะยึดครองไว้หมด ทุกครั้งที่ออกไปตักน้ำตรงบ่อโซ่เหล็ก ขอแค่เจอกับหญิงชราคนนั้น นางก็จะต้องทนฟังคำพูดแปลกแปร่งระคายหูอยู่หลายประโยค หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นจื้อกุยถูกกฎเกณฑ์ของถ้ำสวรรค์หลีจูกำราบไว้อย่างแน่นหนา นางก็มีวิธีการนับร้อยรูปแบบที่จะทำให้หญิงชราปากยืดปากยาวอยู่ไม่สู้ตาย ภายหลังหยางเหล่าโถวเสียสติ ถึงขั้นมอบโชควาสนาครั้งหนึ่งให้แก่หญิงชรา ทำให้นางกลายเป็นแม่ย่าลำคลองของลำคลองหลงซวีในเมืองเล็ก จื้อกุยก็ได้แต่รอคอยโอกาสต่อไป สักวันหนึ่งนางจะต้องทำให้หญิงชราที่มีชื่อเดิมว่าหม่าหลันฮวาผู้นั้นได้ลิ้มรสชาติของนรกบนดินดูให้ได้
ส่วนหม่าขู่เสวียนจะทำอย่างไรเมื่อถึงเวลานั้น นางสนใจหรือ? นางไม่สนเลยสักนิดเดียว
ฉีเจินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แม่นางจื้อกุย เรื่องที่เจ้าลัทธิลู่ไหว้วานให้ผินเต้า (คำเรียกแทนตัวอย่างถ่อมตัวของนักพรต) ทำ ผินเต้าทำเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สำนักโองการเทพเพิ่งจะได้พื้นที่มงคลที่ปริแตกใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งมาครอง ผินเต้าขอต้อนรับแม่นางจื้อกุยให้เข้าไปหาโชควาสนาข้างในนั้น และผินเต้าก็ยินดีจะช่วยคุ้มครองแม่นางตลอดการเดินทาง”
หากย้อนสืบสาวกันไปถึงต้นกำเนิดแล้ว แม้ว่าฉีเจินจะเป็นสายของเต๋าเหล่าเอ้อร์ แต่เดิมทีลู่เฉินก็เป็นหนึ่งในสามเจ้าลัทธิใหญ่ อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นผู้รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิง การที่ฉีเจินได้ทำงานให้กับลู่เฉิน เขาย่อมปลาบปลื้มยินดี การที่สามารถเข้าตาเจ้าลัทธิลู่ได้นั้น ฉีเจินมั่นใจไม่คลางแคลง แต่เขากลับไม่วาดหวังแล้วว่าในอนาคตตนจะไปสู่ขอบเขตบินทะยานได้ ตอนที่ฉีเจินยังเยาว์ก็เคยได้รับคำทำนายจากยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่ง ด้วยประโยคว่า ‘เซียนเองก็ต้องมองลูกบ๊วยดับกระหายเช่นกัน’ ก่อนที่จะมาถึงขอบเขตสิบสอง เขาคิดว่ามันเป็นคำอวยพรที่เป็นมงคล แต่รอจนฉีเจินเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวิน มันกลับกลายเป็นคำทำนายอัปมงคลที่ราวกับจะบอกว่าเขาได้เดินมาจนสุดปลายทางและกำลังรอความตายอย่างเชื่องช้า และเจ้าลัทธิลู่เฉินก็คือหนึ่งในบุคคลยิ่งใหญ่ของหลายใต้หล้าที่ชอบเปลี่ยนชะตาชีวิตให้กับคนที่ถูกชะตามากที่สุดพอดี เล่าลือกันว่างานอดิเรกสี่เรื่องใหญ่ที่เจ้าลัทธิลู่ชอบทำมากที่สุด หนึ่งในนั้นก็คือแกะสลักไม้ผุ
ในสายตาของหม่าขู่เสวียนมีแต่นาง เขามองแม่นางคนที่ตัวเองชื่นชอบมาเนิ่นนานแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องรบกวนเทียนจวิน ข้าจะทำหน้าที่นั้นให้เอง”
จื้อกุยเองก็ไม่ได้สนใจเทียนจวินลัทธิเต๋า ถึงขั้นไม่คิดจะนั่งตัวตรงให้เรียบร้อย ยังคงเอียงศีรษะอย่างเกียจคร้านมองหม่าขู่เสวียน “เจ้าก็คือโชควาสนาที่ลู่เฉินรับปากว่าจะมอบให้ข้า? วันหน้าเจ้าจะฟังคำสั่งจากข้าทุกอย่างหรือไม่?”
ปีนั้นลู่เฉินตั้งแผงดูดวง หลังจากได้พบฮ่องเต้ต้าหลีกับซ่งจี๋ซินแล้วก็ได้ไปเยือนตรอกหนีผิงเพียงลำพังเพื่อมาหานาง บอกว่าเขาอาศัยอุบายเล็กๆ น้อยๆ จนได้คำว่า ‘จะปล่อยไปสักครั้ง’ จากซ่งเจิ้งฉุนซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของเขาลู่เฉินพอดี ด้วยเหตุนี้จึงสามารถคล้อยตามสถานการณ์ เก็บเอาหม่าขู่เสวียนเข้าเป็นของในกระเป๋าได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และเขาลู่เฉินก็คิดจะมอบหม่าขู่เสวียนให้แก่จื้อกุย
จื้อกุยไม่สนใจความเป็นไปเป็นมาเหล่านั้น ตอนแรกนางเองก็ไม่ค่อยจะใส่ใจสักเท่าไหร่ เพราะไม่คิดว่าหม่าขู่เสวียนคนเดียวจะสร้างเรื่องก่อราวอะไรได้ ภายหลังหม่าขู่เสวียนมีชื่อเสียงโด่งดังในภูเขาเจินอู่ ฝ่าทะลุขอบเขตสองครั้งติดต่อกันราวกับผ่าลำไม้ไผ่ นางถึงได้รู้สึกว่าแม้หม่าขู่เสวียนจะไม่ใช่หนึ่งในห้าคน แต่ไม่แน่ว่าอาจจะมีความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างอื่น จื้อกุยคร้านจะคิดมาก มีมีดเพิ่มมาในมืออีกหนึ่งเล่ม ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องร้าย ตอนนี้นอกจากตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าแล้ว นางก็ไม่มีลูกสมุนคนอื่นที่เรียกใช้งานได้ตามใจปรารถนาอีก
หม่าขู่เสวียนพยักหน้ารับ “ทุกอย่างล้วนฟังเจ้า เจ้าอยากฆ่าใครก็แค่พูดมาคำเดียว ขอแค่ไม่ใช่ตะพาบเฒ่าห้าขอบเขตบน ข้ารับรองว่าจะต้องเอาหัวของเขากลับมาให้เจ้าให้จงได้ ส่วนห้าขอบเขตบนคงต้องรออีกหน่อย วันหน้าข้าย่อมทำได้ อีกทั้งยังไม่ต้องรอนานมากเกินไปด้วย”
เพราะชื่นชอบจื้อกุย ปีนั้นตอนที่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกซิ่งฮวา หม่าขู่เสวียนจึงต้องโดนท่านย่าบ่นและตำหนิใส่ไม่น้อย
มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ท่านย่าซึ่งรักและเอ็นดูเขาที่สุดจะตำหนิเขา
จื้อกุยถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าฆ่าเฉินผิงอันได้หรือไม่?”
หัวใจของผู้ปกป้องมรรคาจากภูเขาเจินอู่คนนั้นบีบรัดตัว กล่าวเสียงทุ้มหนัก “ไม่ได้”
จื้อกุยเอาแต่จับจ้องหม่าขู่เสวียน
หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “อยู่ในสำนักศึกษาซานหยา มีอริยะเฝ้าพิทักษ์ ข้าไม่สามารถสังหารเฉินผิงอันได้ แต่เจ้าสามารถกำหนดระยะเวลาแก่ข้าได้ ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งปีหรือสามปี แต่บอกตามตรง หากคำเล่าลือเป็นจริง เฉินผิงอันในเวลานี้ฆ่าได้ไม่ง่ายนัก เว้นเสียแต่ว่า…”
จื้อกุยร้องอ้อหนึ่งที ก่อนจะตัดบทคำพูดของหม่าขู่เสวียนตรงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด ดูท่าแล้วเจ้าก็ไม่ได้เก่งกาจสักเท่าไหร่ ลู่เฉินไม่ค่อยมีคุณธรรมเอาเสียเลย คนรุ่นหลังที่มอบให้เทียนจวินเซี่ยสือก็คือเจ้าคนคิ้วยาวทึ่มทื่อนั่น ลงมือทีหนึ่งก็เป็นเจดีย์จิ๋วที่เทียบเคียงได้กับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง แต่พอมาถึงคราวข้ากลับใจแคบเช่นนี้”
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของภูเขาเจินอู่ท่านนั้นกลัวว่าหม่าขู่เสวียนได้ยินประโยคนี้แล้วจะมีโทสะ นึกไม่ถึงว่าเขาลองใช้เวทลับลอบสังเกตทะเลสาบหัวใจของอีกฝ่าย กลับพบว่ามันสงบนิ่งดุจกระจก ถึงขั้นที่ว่าบนพื้นผิวกระจกนั้นยังมีประกายแสงแวววาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยินดีปรากฎขึ้นด้วย
หม่าขู่เสวียนคลี่ยิ้มเจิดจ้า “หวังจู เจ้ารอก่อนเถอะ สักวันหนึ่งเจ้าจะรู้ว่าข้านั้นดีที่สุด อาวุธเซียนที่มีมูลค่าควรเมือง หรือลูกรักแห่งสวรรค์อะไรทั้งหลายแหล่ ถึงเวลาเมื่อย้อนกลับมามองดูก็เป็นแค่สิ่งเละเทะและมดตัวน้อยเท่านั้น”
จื้อกุยกล่าวอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าชอบข้าที่ตรงไหน? ตอนอยู่ในเมืองเล็ก ข้าไม่เคยคบค้าสมาคมกับเจ้าสักหน่อย จำไม่ค่อยได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เคยคุยกันเลยสักคำด้วย”
ถูกมองข้ามและเย็นชาใส่ขนาดนี้ การแสดงออกของหม่าขู่เสวียนก็ยังคงมากพอจะทำให้บรรพบุรุษของภูเขาเจินอู่ทุกคนอ้าปากค้าง เห็นเพียงว่าเขามีท่าทางเขินอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่กลับไม่ได้ให้คำตอบ
จื้อกุยพลันหัวเราะ ยื่นนิ้วมาชี้หม่าขู่เสวียน “ตอนนี้เจ้าหม่าขู่เสวียนก็ไม่ใช่ลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปหรอกหรือ?”
มุมปากของหม่าขู่เสวียนตวัดขึ้น พริบตานั้นเขาก็กลับคืนมาเป็นผู้ฝึกตนจอมยโสโอหังมีพรสวรรค์เลิศล้ำที่คนบนโลกคุ้นเคย ผู้ฝึกตนที่ทำให้คนวัยเดียวกันเกิดความสิ้นหวัง ทำให้ผู้ฝึกตนวัยชรารู้สึกเพียงว่าเวลาหลายร้อยปีที่มีชีวิตมาล้วนเอาไปใช้บนร่างสุนัขเสียหมด ประเด็นสำคัญก็คือหลายครั้งที่หม่าขู่เสวียนลงจากภูเขาไปฝึกขัดเกลาประสบการณ์หรือไม่ก็ต่อสู้บนสนามประลองกับคนอื่นบนภูเขาเจินอู่ เขาเข่นฆ่าสังหารได้อย่างเด็ดขาด อำมหิตเลือดเย็น เพียงชั่วพริบตาก็ตัดสินเป็นตาย อีกทั้งยังชอบตัดรากถอนโคน ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล เขาก็ล้วนไม่ละเว้น
หม่าขู่เสวียนเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าไม่ใช่ลูกรักแห่งสวรรค์อะไรทั้งนั้น”
แมวดำที่นั่งอยู่บนไหล่ของเขางอตัว ยกกรงเล็บขึ้นมาเลีย ท่าทางอ่อนโยนว่าง่ายเป็นพิเศษ
จื้อกุยมองประเมินเขาแวบหนึ่งก็เบ้ปาก “ก็แล้วแต่”
หม่าขู่เสวียนเอ่ยถาม “หากวันใดข้าสังหารซ่งจี๋ซิน เจ้าจะโกรธหรือไม่?”
จื้อกุยถลึงตาใส่คล้ายมีโทสะ “หม่าขู่เสวียน ก่อนที่เจ้าจะมีความสามารถเช่นนั้นก็อย่าพูดจาวางโตนักเลย เพราะมันจะทำให้คนรังเกียจ”
หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “ข้าเชื่อเจ้า”
อารมณ์ของผู้ปกป้องมรรคาจากภูเขาเจินอู่ที่มองดูหม่าขู่เสวียนเติบโตมาทีละก้าวซับซ้อนยิ่ง
ส่วนเทียนจวินฉีเจินกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย
แต่เพราะความเคารพที่มีต่อเจ้าลัทธิลู่ที่ย้อนกลับป๋ายอวี้จิงไปแล้วผู้นั้น เขาถึงได้อดทนยืนอยู่ตรงนี้ มองดูพวกเด็กรุ่นหลังพูดคุยกันด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
ไม่ว่าจื้อกุยกับหม่าขู่เสวียนจะมีตัวตนเช่นไร ขอแค่ยังเป็นหนึ่งวันที่พวกเขายังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน พวกเขาก็เป็นแค่เครื่องกระเบื้องงดงามสองชิ้นที่คิดจะแตกก็แตกได้ทุกเมื่อ
หม่าขู่เสวียนกล่าวอย่างเสียดาย “เดี๋ยวข้าต้องไปเยือนราชวงศ์จูอิ๋งแล้ว ไปสังหารผู้ฝึกกระบี่เซียนดินสองสามคนเพื่อฝ่าทะลุขอบเขต”
จื้อกุยพูดอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ข้าไม่เห็นอยากรู้ว่าเจ้าจะไปไหน”
หม่าขู่เสวียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง หันหน้าไปพูดกับฉีเจิน “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เทียนจวินช่วยพาพวกเราออกจากเมืองทีเถอะ”
ฉีเจินพยักหน้ารับ พูดกับจื้อกุยว่าไว้พบกันใหม่ จากนั้นเงาร่างของคนทั้งสามก็หายไป
ค่ายกลใหญ่ของเมืองหลวงต้าสุยไม่มีความผิดปกติเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
เสมือนเข้าออกดินแดนที่ไร้ผู้คน
โลกมนุษย์ด้านล่างภูเขาตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีป คาดว่าคงมีแค่เมืองหลวงต้าหลีเท่านั้นที่พอจะทำให้เทียนจวินท่านนี้กริ่งเกรงได้บ้าง
จื้อกุยฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง รู้สึกง่วงงุนเล็กน้อย นางหลับตาลง เล็บบนนิ้วเรียวยาววาดไปตามราวระเบียงอย่างเรื่อยเปื่อย เกิดเสียงดังครืดๆ
นางพลิกตัวกลับ เอนหลังพิงรั้ว แหงนศีรษะไปด้านหลัง ส่วนเว้าส่วนโค้งของตลอดทั้งร่างปรากฎเด่นชัด
นางงอนิ้วแล้วดีดออกครั้งแล้วครั้งเล่า กระดิ่งที่แขวนไว้ใต้หลังคาพวงนั้นส่งเสียงกรุ้งกริ้งไปตามจังหวะ
ท่ามกลางแสงสนธยา
นางลืมดวงตาทั้งคู่ที่มีตาดำเป็นสีทองตั้งตรงคู่นั้นขึ้น
แต่ชั่วแวบเดียวภาพปรากฎการณ์ผิดปกติก็พลันหายไป
นางยืดเรือนกายสะโอดสะองขึ้นตรง ยิ้มมองไปทางประตูเรือน
ซ่งจี๋ซินที่บนร่างมีกลิ่นสุราจางๆ เดินเข้าเรือนมา
นางเอ่ยถาม “งานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยนสนุกไหม?”
ซ่งจี๋ซินสะบัดชายแขนเสื้อ ทอดถอนใจอย่างเศร้าสลด “ตาแก่ในงานเลี้ยงพวกนั้นคงนึกอยากจะเลาะหนังดึงเส้นเอ็นแล้วกินเนื้อดื่มเลือดของพวกเราทั้งสามคนเต็มที ข้าตกใจเกือบตายแน่ะ”
จื้อกุยถามอย่างใคร่รู้ “ไม่ใช่ว่าไปเพื่อลงนามพันธมิตรร้อยปีหรอกหรือ? พวกเขาไม่มีความแค้นอะไรกับคุณชาย กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีพวกเราก็ยังไม่เคยย่ำผ่านหน้าประตูบ้านของพวกเขา แต่ตรงดิ่งไปทางใต้เลย ทำไมพวกเขาต้องทำตัวไม่เป็นมิตรแบบนั้นด้วย?”
บทที่ 416.2 ความภาคภูมิใจที่สุดในโลก
ซ่งจี๋ซินเอนตัวพิงราวระเบียง ครุ่นคิดแล้วก็ตอบว่า “มีชีวิตดีๆ มาจนเคยชินแล้วน่ะสิ พอต้องเจอกับความอยุติธรรมนิดๆ หน่อยๆ เลยรับไม่ได้”
สีหน้าจื้อกุยกระจ่างแจ้ง “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นนิสัยของบ่าวก็ดีกว่าพวกเขามากเลย”
ซ่งจี๋ซินเข้าใจผิดนึกว่านางพูดถึงเรื่องหยุมหยิมไม่มีสาระในตรอกทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียงของปีนั้น จึงยิ้มกล่าวว่า “รอให้คุณชายได้ดิบได้ดีเมื่อไหร่ จะต้องช่วยระบายโทสะแทนเจ้าแน่”
จื้อกุยอืมรับหนึ่งที แล้วถามว่า “หนังสือสามเล่มนั้น คุณชายยังมองอะไรไม่ออกอีกหรือ?”
ซ่งจี๋ซินเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาหลับตาลง ยกสองมือนวดคลึงข้างแก้ม “ไม่แน่ว่าอาจเป็นแค่ตำราทั่วไป ทำให้ข้าสงสัยโน่นนี่อยู่เป็นนาน”
ซ่งจี๋ซินพลันสอดมือเข้าไปในชายแขนเสื้อ หยิบงูสี่ขาสีเหลืองดินที่ลักษณะเหมือนงูสี่ขาทั่วไปในป่าเขาออกมาโยนลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนอยู่ในงานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยน มันกระเหี้ยนกระหือรือเต็มที หากไม่เป็นเพราะสวี่รั่วใช้ปราณกระบี่กำราบเอาไว้ เกรงว่ามันคงพุ่งไปกัดหัวฮ่องเต้ต้าสุยเอามากินเป็นอาหารมื้อดึกแล้ว”
สาวใช้ย่อตัวลงนั่งยอง หยิบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาวางบนฝ่ามือ
งูสี่ขาตัวนั้นทำท่าขลาดกลัว ยังคงไม่กล้าเขมือบกลืนอาหารเลิศรสนั่น
ซ่งจี๋ซินก้มตัวลงมองเจ้าตัวน้อยที่บนหน้าผากมีเขางอกออกมาแล้วกล่าวอย่างระอาใจว่า “ดูท่าทางขี้ขลาดของเจ้านี่สิ แล้วก็ลองมองงูน้ำที่ทะเลสาบเจี่ยนหูตัวนั้น ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ”
ซ่งจี๋ซินไม่สนใจมันอีก เขาอ้าปากหาวหวอด เดินไปนอนในห้องที่อยู่ด้านใน
จื้อกุยแกว่งฝ่ามือ งูสี่ขายังคงไม่กล้าเดินขึ้นหน้ามา
“ถือว่าเจ้ายังรู้ความ”
จื้อกุยยิ้มตาหยีโยนเงินฝนธัญพืชใส่เข้าปากตัวเอง เจ้าตัวน้อยส่งเสียงฟ่อเบาๆ คล้ายน้อยเนื้อต่ำใจ
จื้อกุยกำหมัดต่อยลงบนหัวของมัน “สามปีไม่เปิดกิจการ เปิดกิจการทีกินได้สามปี แค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ?”
นางลุกขึ้นยืน เตะงูสี่ขาตัวนั้นกระเด็นเข้าไปในลานบ้าน “ไม่มีความสามารถสักนิด แต่ยังกล้าปรารถนาอยากครอบครองคราบร่างเซียนบรรพกาลของราชครู แอบน้ำลายไหลก็ยังพอว่า แต่นี่ยังทำให้คนเขาจับได้อีก ทำไมข้าถึงต้องมาเจอเจ้าตัวที่มือไม้พายเอาเท้าราน้ำอย่างเจ้าด้วยนะ”
จื้อกุยนั่งลงบนขั้นบันได ถอดรองเท้าปักออกมาข้างหนึ่ง กวักมือเรียกมันมา
เจ้าตัวน้อยวิ่งมาหยุดอยู่ข้างเท้านางแต่โดยดี นางที่ยังโมโหจึงยกรองเท้าปักลวดลายตบลงบนตัวเจ้าตัวเล็กครั้งแล้วครั้งเล่า
……
บนภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียน สำนักศึกษาหลินลู่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เกาเซวียนองค์ชายแห่งต้าสุยมาขอศึกษาต่อที่นี่ ทั้งต้าสุยและต้าหลีต่างก็ไม่ได้จงใจจะปิดบังเรื่องนี้
นี่เป็นครั้งที่สองที่เกาเซวียนได้เข้ามาในเขตการปกครองหลงเฉวียน แต่ครั้งแรกนั้นเขาต้องเดินผ่านบันไดทอดฟ้าขึ้นไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่บนท้องฟ้า ครั้งนี้กลับอยู่บนดิน อยู่บนอาณาเขตของต้าหลีอย่างแท้จริง
ตอนนี้ภูเขาพีอวิ๋นคือขุนเขาเหนือของต้าหลี ภูเขาคือลูกใหม่ สำนักศึกษาก็คือแห่งใหม่ ตั้งแต่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ไปจนถึงปัญญาชนหนุ่มสาวที่มาขอศึกษาต่อก็ล้วนถือว่าเป็นคนใหม่
สำนักศึกษาหลินลู่คือสำนักศึกษาที่ราชสำนักต้าหลีเป็นผู้สร้าง ไม่มียศหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา เจ้าขุนเขาและรองเจ้าขุนเขาไม่มีชื่อเสียงมากนัก หนึ่งในนั้นก็คือรองเจ้ากรมผู้เฒ่าจากแคว้นหวงถิงที่ในอดีตเคยเป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าสุย แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสำนักศึกษาหลินลู่ต้องพุ่งเข้าหา ‘เจ็ดสิบสอง’ อย่างแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่สกุลซ่งต้าหลีต้องครอบครองให้จงได้
ตอนแรกเริ่มเกาเซวียนยังนึกว่าตัวเองที่อยู่ในสำนักศึกษาจะต้องพบเจอกับความขัดแย้งมากมาย อย่างน้อยก็ต้องถูกคนดูแคลนหรือทำตัวเย็นชาใส่ ไม่ก็ลองหยั่งเชิงด้วยเจตนาร้าย เหมือนอย่างที่พวกหลี่เป่าผิงและอวี๋ลู่ที่ไปอยู่สำนักศึกษาซานหยาบนภูเขาตงหัวโดนกระทำ จะอย่างไรก็ต้องเจอกับความยากลำบากที่ถูกรังแกบ้าง แต่เกาเซวียนมาอยู่สำนักศึกษาหลินลู่ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่านับตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงลูกศิษย์ พวกเขาต่างก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับลูกศิษย์หรือเพื่อนร่วมชั้นอย่างองค์ชายจากแคว้นศัตรูเช่นเขาเท่าไหร่ แทบจะไม่มีใครเผยความเป็นศัตรูออกมาอย่างชัดเจน
เกาเซวียนยังเคยฉงนสนเท่ห์กับเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ ภายหลังถึงได้รับคำชี้แนะจากบรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางที่มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนภูเขาพีอวิ๋น
ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ร้อยปี ราชวงศ์ต้าหลีก็เปลี่ยนจากแคว้นที่พึ่งพาราชวงศ์สกุลหลู เปลี่ยนจากขันทีที่มีส่วนร่วมกับงานบริหารบ้านเมืองและพระญาติที่กุมอำนาจในช่วงยุคแรกซึ่งไม่ต่างจากบ่อโคลนเละๆ เติบโตกลายมาเป็นผู้พิชิตพื้นที่ทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปอย่างในทุกวันนี้ ในช่วงเวลานี้มีศึกสงครามเกิดขึ้นไม่หยุดย่อน พวกเขาคอยต่อสู้อยู่ตลอดเวลา มีคนตายอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งฮุบกลืนแคว้นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ต่อให้ชาวบ้านของเมืองหลวงต้าหลีจะเป็นคนที่มาจากสี่ด้านแปดทิศ ไม่มีฐานะและตัวตนอย่างคนมากมายในราชสำนักต้าสุย ตอนนี้เป็นเช่นไร เหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาเมื่อสองสามร้อยปีก่อนก็เป็นเช่นเดียวกัน
เกาเซวียนรู้เพียงแค่นี้ก็กระจ่างแจ้ง น้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่เน่า วงกบประตูที่ถูกเปิดตลอดเวลามอดย่อมไม่กิน (อุปมาว่าเมื่อฝึกปรือฝีมือตลอดเวลาก็ย่อมเกิดความคล่องชำนาญ)
แต่บรรพบุรุษสกุลเกาที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย ใช้ฐานะของนักเล่านิทานปะปนอยู่กับหมู่ชาวบ้านกลับเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “น้ำไหล? เลือดไหลน่ะสิไม่ว่า”
ยามที่เกาเซวียนมีเวลาว่างก็มักจะสะพายหีบหนังสือไปท่องเที่ยวตามภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนเพียงลำพัง บ้างก็ไปเดินเล่นตามตรอกซอกซอยของเมืองเล็ก หรือไม่ก็ไปเที่ยวในเมืองที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ทางทิศเหนือ อีกทั้งยังตั้งใจเดินอ้อมเล็กน้อยเพื่อไปจุดธูปที่ศาลภูเขาแห่งหนึ่งทางทิศเหนือ ระหว่างทางก็แวะกินเกี้ยวน้ำ เจ้าของร้านแซ่ต่ง เป็นคนหนุ่มร่างสูงใหญ่ มักจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความมีไมตรีปรองดอง ไปๆ มาๆ เกาเซวียนจึงกลายเป็นเพื่อนกับเขา หากต่งสุ่ยจิ่งไม่ยุ่งก็จะเข้าครัวทำกับข้าวธรรมดาสองจาน แล้วคนทั้งสองก็กินแกล้มเหล้าด้วยกัน
บางครั้งเกาเซวียนก็จะไปเยือนบ้านหลังหนึ่งที่ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้ว ว่ากันว่าเจ้าของบ้านคือบุรุษที่มีนามว่าหลี่เอ้อร์ ตอนนี้บ้านหลังนี้ถูกคนบ้านเดิมฝั่งภรรยาของเขายึดครองไปแล้ว กำลังคิดว่าจะเอามาขายในราคาสูง เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะติดขัดที่ฝ่ายอาคารบ้านเรือนของที่ว่าการอำเภอ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีโฉนดที่ดิน
ในหีบหนังสือของเกาเซวียนมีข้องราชามังกรอยู่ใบหนึ่ง
ทุกวันเขาจะต้องใช้เวทลับที่บรรพบุรุษสกุลเกาถ่ายทอดให้ นำเงินร้อนน้อยมาหลอมเล็กแล้วกรอกเทเข้าไปข้างใน เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณที่อยู่ในนั้นเข้มข้นราวกับน้ำ
ในข้องปลาที่สานด้วยไม้ไผ่มีปลาหลีสีทองตัวหนึ่งว่ายวนอยู่อย่างเชื่องช้า
นั่นเป็นครั้งแรกที่เกาเซวียนได้พบหลี่เอ้อร์ แน่นอนว่ายังมีเฉินผิงอันด้วย
อันที่จริงก่อนจะมาที่นี่ เกาเซวียนก็เตรียมใจมาก่อนแล้ว ไม่แน่ว่าวันใดเขาอาจจำเป็นต้องมอบข้องราชามังกรและปลาหลีสีทองให้กับบุคคลที่มีอำนาจบางคนของราชวงศ์ต้าหลี เพื่อเป็นค่าตอบแทนให้ตัวเองสามารถเรียนอยู่ในสำนักหลินลู่ได้อย่างปลอดภัย
แต่จนถึงทุกวันนี้ แม้แต่นายอำเภอหยวนและเจ้าเมืองอู๋ก็ยังไม่เคยมาพบเขา
วันนี้ขณะที่เกาเซวียนกำลังนั่งล้างหน้าอยู่ริมลำธาร เขาหันขวับกลับไปก็เห็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ หูข้างหนึ่งสวมต่างหูวงกลมสีทอง
เกาเซวียนรีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ “เกาเซวียนคารวะองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือ”
เว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลียิ้มกล่าว “ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ เห็นว่าเจ้าเดินเที่ยวไปหลายสถานที่ เอาแต่สะพายข้องราชามังกรไว้บนหลังแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง หากเจ้าเชื่อใจข้า ไม่สู้เปิดข้องราชามังกร ปล่อยปลาหลีสีทองตัวนั้นลงไปในลำธาร เลี้ยงมันไว้ในน้ำที่มีชีวิต ใช้ปราณวิญญาณต่างน้ำคือการเลี้ยงให้ตาย นานวันเข้ามันจะสูญเสียสติปัญญา แม้ว่าขอบเขตจะสามารถไต่ทะยานได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น แต่จะถูกสกัดขวางไว้บนคอขวดของขอบเขตก่อกำเนิด แม้ว่าการปล่อยมันลงน้ำ ปราณวิญญาณที่ดูดซับมาได้ในแต่ละวันจะด้อยกว่ามาก การพัฒนาของขอบเขตก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่หากมองในระยะยาวก็ยังถือว่ามีผลดีมากกว่าผลเสีย”
เว่ยป้อชี้ยังทิศไกล “จากลำคลองหลงซวีตรงนี้ไปจนถึงแม่น้ำเถี่ยฝู มันสามารถแหวกว่ายได้อย่างอิสระเสรี ข้าจะบอกกล่าวแก่แม่ย่าลำคลองและเทพแม่น้ำทั้งสองท่านไว้ก่อนว่าไม่ให้ขัดขวางการฝึกตนของมัน”
อันที่จริงเกาเซวียนรู้สึกลังเลเล็กน้อย
เขาไม่เคยไปมาหาสู่กับเทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีผู้นี้มาก่อน จะให้เขาวางใจได้อย่างไร?
ปลาหลีสีทองในข้องปลาตัวนั้นคือสิ่งมีชีวิตที่ท่านบรรพบุรุษยกย่องว่าในอนาคตมีหวังจะกระโดดข้ามประตูมังกรของแผ่นดินกลาง กลายเป็นมังกรที่แท้จริงตัวหนึ่งเชียวนะ
บนเส้นทางของการฝึกตน ความมืดดำของจิตใจคน กลอุบายและแผนการมีหลากหลายสารพัดรูปแบบ
หากถูกคนช่วงชิงโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ไป ในเมื่อเกาเซวียนต้องมาอยู่ภายใต้ชายคาผู้อื่น เขาก็คงต้องยอมรับ ยอมรับในสถานการณ์ใหญ่ ทว่าจิตแห่งเต๋าของตนกลับยิ่งยึดมั่นหนักแน่น บุกรุดหน้าทวนกระแสไปอย่างห้าวเหิม สามารถขัดเกลาจิตใจได้ดีที่สุด
แต่หากถูกคนวางแผนเล่นงาน ทำให้ต้องสูญเสียโชควาสนาที่อยู่ในมือของตัวเองแล้วไป ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่เขาสูญเสียจะไม่ใช่แค่ปลาหลีสีทองหนึ่งตัว แต่ยิ่งเป็นการทำให้มหามรรคาของเขาเกาเซวียนเกิดรูรั่วและช่องโหว่ขึ้น
เว่ยป้อยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร รอวันใดที่เจ้าคิดตกแล้วค่อยเลี้ยงมันแบบปล่อยก็ยังไม่สาย”
เว่ยป้อพูดจบก็เตรียมจะหมุนตัวจากไป
บรรพบุรุษสกุลเกาพลันพุ่งตัวจากยอดเขาพีอวิ๋นมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเกาเซวียน พูดกับเกาเซวียนว่า “เชื่อท่านเว่ยย่อมต้องมีแต่เรื่องดีไม่มีเรื่องร้ายแน่นอน”
เกาเซวียนเห็นว่าบรรพบุรุษของตนปรากฏตัวก็ไม่มัวลังเลอีก เขาเปิดหีบหนังสือ หยิบเอาข้องราชามังกรออกมา ปล่อยปลาหลีสีทองตัวนั้นลงลำธาร
ปลาหลีสีทองส่ายสะบัดหางอย่างลิงโลด พริบตาเดียวก็ว่ายพรวดไปตามกระแสน้ำตอนล่าง
เกาเซวียนนั่งยองอยู่ริมน้ำ ในมือถือข้องปลาที่ว่างเปล่า พึมพำเบาๆ ว่า “ถูกขังอยู่ในกรงมานาน ได้หวนกลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้งแล้ว”
……
ปีนั้นจ้าวเหยานั่งรถเทียมวัวเดินทางออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูตามแผนการของท่านปู่ เพื่อที่จะเดินทางไปฝึกตนในสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของภาคกลางแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ติดกับมหาสมุทรใหญ่ทิศตะวันตก
เพียงแต่ว่าระหว่างทางเขาเจอกับเด็กหนุ่มที่มีใฝแดงกลางหน้าผาก อีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าซิ่วหู่
สุดท้ายจ้าวเหยามอบตราประทับตัวอักษรชุนที่อาจารย์ฉีมอบให้ออกไป เพราะอีกฝ่ายคือราชครูชุยฉานแห่งต้าหลี
ในบรรดาคนรุ่นนี้ของโรงเรียนประจำเมืองเล็ก เป็นเขาจ้าวเหยาที่อยู่เคียงข้างอาจารย์บ่อยที่สุด เด็กๆ อย่างพวกหลี่เป่าผิง และซ่งจี๋ซินคนวัยเดียวกันที่จ้าวเหยารู้สึกเลื่อมใสนั้น ล้วนเทียบเขาไม่ได้ในเรื่องนี้
การเดินทางของจ้าวเหยาอาศัยวิชาลับในการฝึกตนหนึ่งวิชาและอาวุธตระกูลเซียนสองชิ้นที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนกับชุยฉาน จึงเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้ตลอดทาง
เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วขณะที่จ้าวเหยาใกล้จะไปถึงตระกูลเซียนแห่งนั้น รถเทียมวัวเดินทางไปถึงตีนเขาแล้ว จ้าวเหยาที่อ่อนระโหยโรยแรงกลับเปลี่ยนความคิดกะทันหัน เขาสละรถเทียมวัวทิ้ง คลายพันธนาการให้กับวัวตัวนั้น ส่วนตัวเองมุ่งหน้าไปยังทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตกเพียงลำพัง สุดท้ายก็พบท่าเรือตระกูลเซียนในตำนานแห่งหนึ่ง เขาโดยสารเรือข้ามฟากไปเยือนเกาะเทพเซียนที่อยู่โดดเดี่ยวนอกโพ้นทะเล จากนั้นก็เปลี่ยนเรือข้ามฟากอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ถึงอย่างไรตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีป เรือข้ามทวีปก็มีแค่ที่นครมังกรเฒ่าเท่านั้น อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นเรือพานิชย์ของภูเขาห้อยหัว ด้วยเหตุนี้หากผู้ฝึกลมปราณของแจกันสมบัติทวีปต้องการเดินทางไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ได้แต่ใช้วิธีการเดียวกับจ้าวเหยา นั่นคือโดยสารเรือข้ามฟากของตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่บนทะเลในระยะทางสั้นๆ ต่อไปเป็นทอดๆ
เพียงแต่ว่าหลังจากเดินทางมาได้เกินครึ่งทาง เรือตระกูลเซียนลำที่จ้าวเหยาโดยสารมาก็เจอกับหายนะ ถูกปลาบินชนิดหนึ่งที่บินกันมามืดฟ้ามัวดินราวกับฝูงตั๊กแตนพุ่งมาชนเรือจนแตก จ้าวเหยากับคนส่วนใหญ่ล้วนจมลงสู่มหาสมุทร บางคนก็ตายคาที่ จ้าวเหยาอาศัยสมบัติอาคมป้องกันกายชิ้นหนึ่งหนีพ้นหายนะมาได้ แต่มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล มองไปทางใดก็มีแต่ทางตาย ไม่ช้าก็เร็วคงต้องทิ้งร่างไว้ในท้องปลา
ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองสองคนที่อยู่บนเรือคิดจะทะยานลมหนีไป คนหนึ่งพยายามจะพุ่งฝ่าขบวนปลาบินไปให้ได้ ผลกลับต้องร่างแหลกเหลวอยู่ท่ามกลางฝูงปลาที่มากมหาศาลจนมองไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุดอย่างสิ้นหวัง คนหนึ่งเห็นท่าไม่ดี อีกทั้งยังใช้พละกำลังจนหมดสิ้นแล้ว จึงได้แต่รีบดิ่งลงเบื้องล่าง หลบหนีเข้าไปในทะเล
จ้าวเหยานั่งอยู่บนไม้ยักษ์ที่เป็นเศษซากของเรือข้ามฟาก รัดห่อสัมภาระห่อนั้นเอาไว้บนร่างแน่น ไม่รู้ว่าล่องลอยอยู่นานเท่าไหร่ เรือนกายของเขาผ่ายผอมลงทุกขณะ มีชีวิตแต่ก็เหมือนอยู่ไม่สู้ตาย
บทที่ 416.3 ความภาคภูมิใจที่สุดในโลก
สุดท้ายประคองตัวเองต่อไปไม่ไหว จ้าวเหยาจึงหมดสติไป เขาพลัดตกจากไม้ยักษ์ลงไปในน้ำทะเล อาศัยแสงแห่งสติปัญญาเสี้ยวสุดท้ายของสมบัติอาคมที่คุ้มครองตนพาร่างลอยไปตามกระแสคลื่น
เมื่อจ้าวเหยาสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา เขาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงหลังหนึ่ง เขาพลันสะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่ง จึงเห็นว่าที่นี่คือกระท่อมที่ค่อนข้างกว้างขวางแต่กลับเรียบง่าย รอบด้านนอกจากผนังโล่งก็เต็มไปด้วยตำราสีเหลืองเก่าคร่ำคร่าจนแทบจะไม่มีทางให้เดิน
จ้าวเหยาที่ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกลุกขึ้นแล้วก็พบว่าห่อสัมภาระใบนั้นวางอยู่บนหัวเตียง เปิดออกแล้วเห็นว่าสิ่งของด้านในไม่หายไปสักชิ้น เขาก็พลันโล่งอก
เดินตามทางเล็กๆ ของ ‘ภูเขาหนังสือ’ ที่สูงครึ่งตัวคนไป พอจ้าวเหยาผลักประตูห้องให้เปิดออก การมองเห็นก็พลันเปิดโล่ง เขาพบว่ากระท่อมสร้างอยู่บนบนยอดเขาแห่งหนึ่ง แค่เปิดประตูก็สามารถชมทะเลเมฆ
จ้าวเหยายังมองเห็นกระบี่ไร้ฝักเล่มหนึ่งที่ปักเอียงอยู่บนยอดเขา ตัวกระบี่เกรอะไปด้วยสนิม สีสันหม่นหมองไร้ประกาย
จ้าวเหยาเดินมาถึงริมหน้าผา เหม่อมองเบื้องล่างที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง
ในขณะที่จ้าวเหยากำลังจะก้าวเท้าออกไปนั้นเอง ด้านข้างก็พลันมีเสียงอบอุ่นอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น “สวรรค์ไม่ไร้ทางให้คนเดิน เจ้าผิดหวังในตัวเองขนาดนี้เชียวหรือ?”
น้ำตาเอ่อคลอกลบดวงตาจ้าวเหยา เขาหันหน้าไปมองก็เห็นบุรุษเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดสีเขียว อีกฝ่ายกำลังทอดสายตามองไปทางมหาสมุทรใหญ่
ตอนนั้นจ้าวเหยาที่ยังเป็นเด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาทิ้ง พลันถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์คงเป็นยอดฝีมือนอกโลก ช่วยรับข้าเป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่? ข้าอยากเรียนวิชาตระกูลเซียน!”
บุรุษผู้นั้นส่ายหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าคนนี้ไม่เคยกราบไหว้อาจารย์ แล้วก็ไม่เคยรับลูกศิษย์ด้วยกลัวความวุ่นวาย เจ้าอยู่ที่นี่รักษาตัวให้ดี เมื่อหายดีแล้วข้าจะส่งเจ้าออกไป”
จ้าวเหยาถาม “ที่นี่คือที่ไหน?”
บุรุษยิ้มตอบ “โลกมนุษย์ ยังจะเป็นที่ไหนได้อีก”
จ้าวเหยาคงคิดว่าในเมื่อไหแตกแล้วก็ทุ่มให้แหลกไปเสียเลย อีกทั้งยังอยู่ในช่วงเวลาที่สภาพจิตใจสิ้นหวังและเปราะบางมากที่สุดจึงซักไซ้ไล่เรียงอย่างไม่เกรงใจ “ข้าอยากรู้ว่าที่นี่คือที่ไหนของโลกมนุษย์?!”
บุรุษเองก็ไม่โกรธ ยังคงคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่ใช่ว่าข้าจงใจเล่นลิ้นกับเจ้า ที่นี่คือสถานที่ธรรมดาไร้ชื่อไร้นาม ไม่ใช่จวนเทพเซียนอะไรทั้งนั้น ปราณวิญญาณบางเบา ห่างจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ไกล หากโชคดีอาจยังได้พบกับชาวประมงหรือไม่ก็คนที่มาเก็บไข่มุก”
จากนั้นจ้าวเหยาก็พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ อยู่ด้วยกันนานวันเข้าจึงค้นพบว่าบุรุษผู้นั้น นอกจากฝีเท้าที่ไม่ธรรมดาแล้ว อันที่จริงทุกอย่างล้วนธรรมดาอย่างยิ่ง
ต่อให้ในกระท่อมหลายหลังที่อยู่บนยอดเขาของเขาจะมีตำราเก็บสะสมไว้มาก ทว่าเวลาปกติบุรุษก็ไม่เคยเอ่ยถ้อยคำที่แฝงความหมายลึกล้ำอะไร แล้วก็ต้องกินข้าวทุกวัน นอกจากนี้ยังมักจะลงจากเขาไปเดินเล่นที่ชายหาดเป็นประจำ
ชีวิตในแต่ละวันจ้าวเหยาจะใช้ไปกับการเปิดตำราอ่านหนังสือ หรือไม่ก็นั่งเหม่ออยู่ริมหน้าผา
มีเพียงบางวันที่จ้าวเหยารู้สึกอุดอู้เต็มที นึกอยากจะชักกระบี่ที่ปักอยู่ในดินขึ้นมา บุรุษถึงจะมายืนอยู่ที่กระท่อมของตน ยิ้มเตือนจ้าวเหยาว่าอย่าไปแตะต้องมัน
จ้าวเหยาถามอย่างใคร่รู้ “กระบี่เล่มนี้มีชื่อหรือไม่?”
บุรุษชุดเขียวส่ายหน้า “ไม่เคยมี”
จ้าวเหยาถามอีก “ท่านอาจารย์คือคนที่ผิดหวังจากการสอบเคอจวี่งั้นหรือ? หรือว่าต้องการหลบหนีศัตรูคู่แค้น จึงออกจากผืนแผ่นดินมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่?”
บุรุษยังคงส่ายหน้า “ล้วนไม่ใช่ ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิด ข้าก็แค่เห็นด้วยกับประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า ชีวิตคนนั้นยากลำบาก มหามรรคามีทางแยกมากมาย ในเมื่อเส้นทางเดินได้ยากก็ควรหยุดเดิน แอบเกียจคร้านเสียบ้าง จะได้ใช้เวลาไตร่ตรองให้ดี”
จ้าวเหยาถามหยั่งเชิง “ท่านอาจารย์ไม่ใช่ยอดฝีมือนอกโลกอย่างเช่นพวกเทพเซียนพสุธาโอสถทองหรือก่อกำเนิดอะไรจริงๆ หรือ?”
บุรุษถามกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมไม่ใช่เซียนดินอะไรทั้งนั้น อีกอย่าง ข้าจะใช่หรือไม่ใช่แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าจ้าวเหยาด้วย?”
จ้าวเหยาอาศัยอยู่ที่นี่เกือบสองปี เกาะแห่งนี้ไม่ถือว่าใหญ่นัก จ้าวเหยาเดินเที่ยวเล่นเพียงลำพังจนทั่วเกาะ แล้วก็เป็นอย่างที่บุรุษพูดจริงๆ หากโชคดีก็จะเจอกับชาวประมงที่ออกทะเลมาจับปลา รวมไปถึงคนเก็บไข่มุกที่ต้องเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวง แต่กลับสามารถร่ำรวยได้ภายในค่ำคืนเดียว
สภาพจิตใจของจ้าวเหยาเริ่มมั่นคงขึ้นแล้ว จึงเป็นฝ่ายเปิดปากพูดกับบุรุษว่าจะไปท่องเที่ยวที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
บุรุษพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตอนเดินทางก็ระวังด้วย จำไว้ว่าอย่าผิดหวังกับตัวเองเกินไปนัก บางทีนี่ต่างหากจึงจะทำให้คนผิดหวังได้มากที่สุด”
จ้าวเหยารู้สึกเขินอายเล็กน้อย สุดท้ายหยิบที่ทับกระดาษไม้แกะสลักเป็นรูปชือหลงชิ้นนั้นออกมา “เพื่อตอบแทนพระคุณช่วยชีวิต ข้าอยากจะมอบมันให้ท่านอาจารย์”
บุรุษโบกมือปฏิเสธ พูดเหมือนระอาใจเล็กน้อย “การช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวยกลายเป็นเรื่องเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมสำหรับใต้หล้าด้านนอกตั้งแต่เมื่อไหร่?”
จ้าวเหยากล่าวอย่างดึงดัน “ท่านอาจารย์ช่วยข้าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่ข้าที่เป็นคนถูกช่วยจะไม่สนใจใยดีไม่ได้! นี่คือของที่สำคัญมากที่สุดบนร่างข้า เอามาตอบแทนท่านอาจารย์ได้พอดี”
บุรุษคลี่ยิ้ม “นั่นก็หมายความว่าใต้หล้ายังไม่ย่ำแย่เกินไปนัก”
เพียงแต่สุดท้ายแล้วบุรุษก็ยังไม่ยอมรับที่ทับกระดาษชิ้นนั้นไป
จ้าวเหยานั่งโดยสารแพไม้ที่ต่อขึ้นเองมุ่งหน้าไปยังผืนแผ่นดิน จ้าวเหยาที่ยืนอยู่บนแพไม้ประสานมือโค้งตัวบอกลาบุรุษ
หลังจากนั้นบุรุษก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายเฉกเช่นเดิม
มีอยู่วันหนึ่ง กระบี่ยาวเล่มที่ปักอยู่บนยอดเขาพลันสั่นไหวพลางส่งเสียงครวญเบาๆ
บุรุษยืนอยู่ข้างกระบี่ยาว มองไปยังทิศทางของแจกันสมบัติทวีปแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อย่าไปเปิดปฏิทินเหลืองเก่าแก่พวกนั้นอีกเลย”
กระบี่บินที่สั่นสะท้านและส่งเสียงครวญครางค่อยๆ หยุดนิ่ง
ต่อมาก็มีเงาร่างของคนสองคนปรากฏขึ้นบนเกาะ คนผู้หนึ่งคือผู้เฒ่าที่กลิ่นเหล้าคลุ้งโชย อีกคนหนึ่งคือนักพรตหนุ่ม ฝ่ายหลังรีบทรุดตัวลงกับพื้นแล้วอาเจียนอย่างแรง
นับจากในตรอกของหมู่บ้านทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป มาจนถึงชายหาดทางทิศตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป แล้วก็มาถึงเกาะแห่งหนึ่งบนทะเลของตระกูลเซียนที่มีอักษรคำว่าสำนักอยู่ในชื่อ สุดท้ายมาถึงที่นี่ นักพรตหนุ่มก็อาเจียนมาครั้งแล้วครั้งเล่า
นักพรตเฒ่ารีบทรุดตัวลงนั่งยอง ตบแผ่นหลังของลูกศิษย์ตัวเองเบาๆ กล่าวอย่างอ่อนใจว่า “ไม่เป็นไรๆ อ้วกเสร็จครั้งนี้…แค่อ้วกอีกครั้ง เอ่อ หรืออาจจะอีกสองครั้ง เดี๋ยวก็ผ่านมันไปได้แล้ว”
นักพรตหนุ่มเกือบจะขย้อนเอาน้ำดีออกมา เขาถามด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “อาจารย์ ทุกครั้งท่านก็พูดแบบนี้ เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดสักที ท่านช่วยให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ข้าได้ไหม?”
นักพรตเฒ่าที่บนร่างสวมชุดนักพรตเต๋าลักษณะประหลาดเพราะเหมือนมีมังกรเพลิงว่ายวนอยู่บนชุดได้แต่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
นักพรตหนุ่มลุกขึ้นยืน ถามว่า “อาจารย์ ท่านบอกว่าจะพาข้าไปพบคนที่ท่านเลื่อมใสที่สุด แต่ท่านกลับไม่ยอมบอกประวัติความเป็นมาของเขา เพราะอะไรกัน?”
นักพรตเฒ่าเพียงคลี่ยิ้มบางๆ ไม่ตอบคำถาม ก่อนจะเงยหน้าถามว่า “เปิดประตู พวกเราสองอาจารย์และศิษย์จะขอน้ำชาจากเจ้ามาดื่มสักถ้วย จะได้ไหม?”
บุรุษถอนหายใจ มาปรากฏตัวที่ริมชายหาด ยืนห่างจากสองอาจารย์และศิษย์มาหนึ่งจั้ง “ข้าเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เจ้าเป็นถึงเซียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ แต่กลับจะให้ข้าแข่งวิชาอสนีและการเขียนยันต์กับเจ้างั้นหรือ?”
นักพรตเฒ่าร่ายวิชาอภินิหารมาตั้งแต่แรก เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ของเขาไม่ได้ยินคำพูดของคนผู้นี้
เรื่องบางเรื่องก็ยังจำเป็นต้องปิดบังลูกศิษย์โง่ผู้นี้เอาไว้ก่อน
นักพรตเฒ่าร่างเล็กเตี้ยถามด้วยรอยยิ้ม “แม้แต่ประตูก็ไม่ให้ผ่านเข้าไป? ทำไม นี่ถือเป็นการตอบรับว่าจะแข่งมรรคกถากับข้าแล้วใช่ไหม? หากข้าเข้าไปได้ก็ถือว่าข้าชนะ จากนั้นเจ้าก็ให้ข้ายืมกระบี่เล่มนั้น?”
บุรุษส่ายหน้า “เจ้าจะตอแยข้าไม่เลิกจริงๆ หรือ?”
นักพรตหนุ่มจางซานเฟิงไม่ได้ยินแม้แต่น้อยว่าอาจารย์และบุรุษชุดเขียวพูดอะไรกัน
ในความเป็นจริงแล้ว จางซานเฟิงค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ตนมองใบหน้าของบุรุษชุดเขียวแวบหนึ่งก็จะลืมไปว่าก่อนหน้านั้นใบหน้าของเขาเป็นแบบใด
นักพรตเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “โอ้ะโอ โกรธซะแล้ว แน่จริงเจ้าก็ออกมาตีข้าสิ?”
บุรุษกระตุกมุมปาก
จางซานเฟิงพลันได้ยินคำพูดหน้าไม่อายประโยคนี้ของอาจารย์ก็อดไม่ไหวเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “อาจารย์ แม้ว่าท่านจะภาคภูมิใจมาโดยตลอดว่าตัวเองคือคนที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จ แต่ในฐานะผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา มาเยี่ยมเยือนคนอื่นถึงบ้าน คำพูดคำจาก็น่าจะยึดหลักมารยาทและมีความเกรงใจหน่อยกระมัง”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับรัวๆ ปากก็บอกว่าใช่ จากนั้นก็หันไปถลึงตาใส่บุรุษ “ใช้ลูกไม้ประเภทนี้ จะนับว่าเป็นชายชาตรีวีรบุรุษได้อย่างไร!”
บุรุษกล่าว “กระบี่เล่มนั้นเจ้ายังดึงออกมาไม่ได้ จะยืมไปได้ยังไง?”
สีหน้าของนักพรตเฒ่าเคร่งเครียด “ด้วยขอบเขตของผินเต้า (คำเรียกแทนตัวของนักพรตเต๋าอย่างนอบน้อม) ตอนนี้ก็ยังดึงไม่ออกอย่างนั้นหรือ?”
บุรุษพยักหน้ารับ “ต่อให้ขอบเขตของเจ้าจะสูงกว่านี้อีกขั้นก็ยังไม่อาจบังคับควบคุมมันได้อยู่ดี”
นักพรตเฒ่าทอดถอนใจ
ปีนั้นภูเขามังกรพยัคฆ์เคยมีความลับอยู่เรื่องหนึ่ง
นักพรตเฒ่าเคยรับปากเทียนซือใหญ่ของรุ่นก่อนว่า มีเพียงสังหารปีศาจขอบเขตบินทะยานตัวนั้นได้ถึงจะยอมหวนกลับภูเขามังกรพยัคฆ์อย่างถูกต้องเหมาะสม
ตอนนี้โอกาสแพ้ชนะคือแปดต่อสอง เขามีโอกาสคว้าชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง แต่หากจะให้ตัดสินเป็นตาย กลับมีโอกาสแค่ห้าต่อห้าเท่านั้น
นักพรตเฒ่ามองลูกศิษย์ข้างกายที่ตัวเองฝากความหวังไว้มากที่สุดแล้วก็ตัดสินใจว่าต้องลองดูสักตั้ง!
บุรุษพลันมองไปทางนักพรตหนุ่ม “ปณิธานหมัดนี้ของเจ้า?”
ตอนนี้จางซานเฟิงสะพายกระบี่ไม้ท้อธรรมดาของภูเขามังกรพยัคฆ์และกระบี่โบราณที่ได้รับความเสียหายซึ่งสลักสองคำว่า ‘เจินอู่’ พอได้ยินคำถามของบุรุษชุดเขียว จางซานเฟิงก็รู้สึกมึนงงไปหมด
นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เป็นยังไง ร้ายกาจมากเลยใช่ไหมล่ะ? ลูกศิษย์ของข้าเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง!”
บุรุษชุดเขียวเผยสีหน้าชื่นชมอย่างที่หาได้ยาก “ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถบุกเบิกเส้นทางใหญ่ของการเรียนวรยุทธ์ให้กับใต้หล้า และยังสามารถสร้างให้เกิดเป็นบุญกุศลได้อีกมากมาย อืม ที่ยิ่งหาได้ยากก็คือความจริงใจของเขา เจ้ามีลูกศิษย์ที่ดี”
นักพรตเฒ่าหัวเราะปากกว้าง แล้วก็เริ่มพูดเหลวไหล “ที่ไหนกันๆ ปกติๆ ลูกศิษย์ของข้าที่เป็นแบบนี้ อันที่จริงหากไม่มีหนึ่งโหลก็มีเจ็ดแปดคน”
จางซานเฟิงไม่ได้รู้สึกว่าอาจารย์กำลังคุยโว ยิ่งไม่รู้สึกผิดหวังเพราะเรื่องนี้ ปีนั้นตอนที่ฝึกตนอยู่บนภูเขา เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ธรรมดาที่สุดจริงๆ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงได้ติด ถึงขั้นสู้นักพรตน้อยบางคนที่มีศักดิ์เป็นศิษย์หลานของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ…
บุรุษยิ้มกล่าว “เรื่องของภูเขามังกรพยัคฆ์ในปีนั้น ข้าเคยได้ยินมาบ้าง เจ้าคิดจะพาลูกศิษย์คนนี้ขึ้นเขาไปกราบไหว้อาจารย์ปู่ เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ และปีศาจตนนั้นก็ล้ำเส้นเกินไปพอดี”
บุรุษครุ่นคิดแล้วก็กล่าวว่า “รอข้าหนึ่งก้านธูป”
พูดจบก็หมุนตัวเดินขึ้นไปบนยอดเขา
บุรุษเอื้อมมือคว้าหนึ่งที กระบี่ยาวเล่มที่ปักอยู่บนยอดเขาก็ถูกเขากุมเอาไว้ในมือ
คนนอกโลกที่แค่ยอมรับว่าตัวเองเป็นบัณฑิตไม่มีสีหน้าฮึกเหิมห้าวหาญใดๆ ถึงขั้นที่ว่าพอดึงกระบี่ยาวเล่มที่แม้แต่เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ก็ยังดึงไม่ออกมาได้แล้ว ฟ้าดินก็ยังไม่มีภาพปรากฎการณ์ประหลาดใดๆ เกิดขึ้น
เหมือนปัญญาชนยากจนคนหนึ่งที่ตรากตรำเล่าเรียนนั่งอยู่ในห้องหนังสือแล้วหยิบพู่กันด้ามหนึ่งขึ้นมา เพราะคิดจะเขียนบทความวรรคที่ใหญ่เท่าก้อนเต้าหู้เท่านั้น
จากนั้นเขาก็ไปเยือนหุบเหวลึกหมื่นจั้งที่ไม่มีใครในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกล้าเข้าไป ใช้หนึ่งกระบี่สังหารปีศาจขอบเขตสิบสามที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หุบเหวลึกจนร่างของมันแหลกสลาย มรรคาวูบดับ
ครั้นจึงย้อนกลับมาที่ยอดเขา เสียบกระบี่เล่มยาวที่เกรอะไปด้วยสนิมกลับลงไปบนพื้นดินอีกครั้ง เดินลงจากภูเขา พูดกับนักพรตเฒ่าว่า “ตอนนี้พวกเจ้าสามารถขึ้นเขากลับไปยังภูเขามังกรพยัคฆ์ได้แล้ว”
นักพรตเฒ่ายิ้มตาหยี “ลำบากเจ้าแล้ว พระคุณยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย พวกเราไปก่อนล่ะนะ วันหน้าจะมาหาใหม่”
พูดจบก็ลากแขนของจางซานเฟิงที่ยังมีสีหน้ามึนงง ใช้ปลายเท้าวาดเป็นยันต์ หดพื้นที่พันหมื่นลี้ให้สั้นลง ไปเยือนภูเขาสูงลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ในผืนแผ่นดินของภูเขามังกรพยัคฆ์
บุรุษชุดเขียวไม่ถือสา เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม มองมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลต่ออีกครั้ง
ปีนั้นจ้าวเหยาที่ยังเป็นเด็กหนุ่มไม่รู้ประสาเคยถามเขาว่า เขาใช่คนที่ผิดหวังคือไม่
คำถามนี้น่าสนใจจริงๆ
เพราะบัณฑิตผู้นี้ถูกขนานนามมาโดยตลอดว่าคือ ความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์
บทที่ 417.1 หากชีวิตไม่มีความสุข
บนท้องนภามีดวงจันทร์ลอยอยู่สามดวง
นี่คือทัศนียภาพที่จะไม่มีทางได้เห็นในใต้หล้าไพศาล
แสงจันทร์กระจ่างบริสุทธิ์สาดส่องลงบนฟ้าดิน สาดสะท้อนลงบนหิมะหนาที่ทับถมกันจนเหมือนห่มคลุมอยู่บนเทือกเขาใหญ่แสนลี้
เพียงแต่ว่าระหว่างภูเขาลูกใหญ่ที่ทอดยาวต่อเนื่องกันไปนั้นมีเสียงครืดคราดดังอยู่ตลอดเวลา เสียงนั้นสะท้อนก้องไกลไปหลายร้อยลี้
หากมีเซียนที่สามารถทะยานลมอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆก้มหน้ามองลงมาก็จะเห็นหุ่นเชิดเกราะทองแต่ละคนที่สูงใหญ่ดุจขุนเขากำลังขับเคลื่อนภูเขาใหญ่แต่ละลูกไปอย่างเชื่องช้า
แล้วก็มีสัตว์ดุร้ายในยุคบรรพกาลที่ลำตัวยาวนับพันจั้งอีกหลายตัวที่บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผล พวกมันทุกตัวล้วนถูกหุ่นเชิดเกราะทองที่ในมือถือแส้ยาวควบคุมให้ทำงานหนัก คอยลากภูเขาลูกใหญ่ไปโดยไม่อาจปริปากบ่น
บางครั้งเผ่าพันธุ์บรรพกาลที่จำเป็นต้องพักผ่อนชั่วครู่เหล่านี้ก็จะใช้เรือนกายที่เหนื่อยล้าหมดแรงพิงภูเขาต่างหมอนนอนงีบหลับ บนร่างของพวกมันไม่เหลือความดุร้ายที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดอยู่อีกแล้ว ทั้งหมดล้วนถูกกาลเวลาของความยากลำบากไร้ที่สิ้นสุดขัดเกลาเผาผลาญไปจนหมดสิ้น
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เมื่ออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ก็มีแค่การเล่าต่อกันไปปากต่อปาก กระพือข่าวลือที่มีอยู่แล้วให้แพร่กว้างออกไป ยังอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงมากนัก
เพราะไม่มีใครกล้าทะยานผ่านท้องฟ้าเหนือขุนเขาแสนลี้แถบนี้โดยพลการ
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานเคยมีพวกปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนบางส่วนไม่เชื่อในข้อห้ามนี้ แล้วก็ถูกหุ่นเชิดเกราะทองจำนวนนับไม่ถ้วนกระชากลงมาจากฟ้า สุดท้ายกลายเป็นหนึ่งในปีศาจใหญ่ที่ต้องใช้แรงงาน กลายมาเป็นโครงกระดูกใหญ่ยักษ์ที่ต้องนอนหลับพักตลอดกาลอยู่ท่ามกลางขุนเขาใหญ่ หรือถึงขั้นไม่ได้ไปเกิดใหม่
บนยอดเขาของกลุ่มเทือกเขามีกระท่อมเก่าโทรมอยู่หลังหนึ่ง ด้านหลังของกระท่อมคือแปลงผักสีเขียวขจีที่นับว่าหาได้ยากในพื้นที่แถบนี้ รอบกระท่อมล้อมด้วยรั้วไม้บิดๆ เบี้ยวๆ มีหมาร่างผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูกคอยนอนหมอบเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูด้วยลมหายใจแผ่วอ่อน
ผู้เฒ่าเรือนกายผอมบางคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศนอกประตู เผชิญหน้ากับภูเขาลูกใหญ่ เขายกมือเกาแก้ม ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หมาผอมแห้งตัวนั้นพลันลุกพรวดขึ้นแล้ววิ่งออกไป แผดเสียงเห่าใส่ทิศทางหนึ่ง
ลมพายุลูกใหญ่ลักษณะคล้ายมังกรม้วนตัว (หรือพายุทอร์นาโด) ลูกหนึ่งม้วนตลบออกไปด้วยพลังอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาล ระเบิดทะเลเมฆสีดำทะมึนที่บดบังดวงจันทร์ลูกหนึ่งให้แตกกระจาย
ผู้เฒ่ายังคงไม่สะทกสะท้าน
เมื่อทะเลเมฆถูกแหวกออกแล้ว บนพื้นดินบริเวณโดยรอบที่ห้อมล้อมภูเขาใหญ่ลูกนี้ก็มีหุ่นเชิดเกราะทองหลายตนลุกขึ้นยืน แต่ละตนถืออาวุธประจำกายลักษณะใหญ่โตเกินจริงพอๆ กับเรือนร่างของพวกมัน ในบรรดานั้นก็มีอาวุธจำนวนมากที่เป็นทวนยาวซึ่งทำมาจากโครงกระดูกสีขาวหิมะของสัตว์ร้ายยุคบรรพกาล
หุ่นเชิดเกราะทองหนึ่งในนั้นขว้างทวนยาวกระดูกขาวในมือออกไป เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่นราวกับว่ามันมีอานุภาพพอที่จะเปิดฟ้าแหวกดิน
ทวนยาวพุ่งดิ่งเข้าหาเงาร่างที่มีขนาดใหญ่เท่าเมล็ดข้าวสารสองจุดที่อยู่ห่างไปไกลแสนไกล
แขกที่มาเยือนจากทิศไกลสองคนนั้นล้วนเผยกายในร่างของมนุษย์
หนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงสด บนพื้นผิวของเสื้อคลุมคือทะเลเลือดที่เกิดริ้วกระเพื่อมเป็นระลอก ยังพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าบนเสื้อคลุมมีใบหน้าดุดันลอยขึ้นมาเป็นจำนวนมาก พวกมันพยายามจะยื่นมือออกมาจากน้ำทะเล เพียงแต่ว่าชั่วแวบเดียวก็ถูกเลือดสดกลบทับ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนนี้รัดเข็มขัดสีดำสนิทที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร บนเข็มขัดฝังเลื่อมเศษชิ้นส่วนของกระบี่ยาวไว้เป็นจำนวนมาก
ข้างกายผู้เฒ่าคือเด็กรุ่นหลังที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ ตรงเอวสองข้างของเขาต่างก็ห้อยกระบี่ยาวไว้ข้างละหนึ่งเล่ม ด้านหลังยังสะพายกล่องกระบี่สีขาวหิมะไว้หนึ่งใบ เผยให้เห็นด้ามของกระบี่ยาวเล่มที่สาม
เห็นทวนยาวเล่มนั้นแหวกอากาศมาถึง สายตาคนหนุ่มฉายประกายร้อนแรง แต่กลับไม่ใช่เพราะทวนยาว แต่เพราะมองเห็นผู้เฒ่าบนยอดเขาที่ยืนหันหลังให้พวกเขา
ทวนยาวที่มีพลังอำนาจน่ากริ่งเกรงถูกผู้เฒ่าชุดแดงมองแค่แวบเดียวก็แตกสลายเป็นผุยผง เศษฝุ่นปลิวกระจายไปรอบด้าน
อาวุธชิ้นที่เหลือที่บินพุ่งเข้ามาล้วนเป็นเหมือนกันหมด ยังไม่ทันขยับเข้ามาใกล้ก็ระเบิดแตกจนสิ้น
ผู้เฒ่าชุดแดงมีโทสะเล็กน้อย สาเหตุไม่ใช่เพราะถูกการจู่โจมนี้ขัดขวาง แต่โมโหว่าวิธีที่ตาแก่นั่นใช้รับแขกช่างดูแคลนผู้อื่นยิ่งนัก แค่ให้พวกหุ่นเชิดเกราะทองเหล่านี้ลงมือ จะดีจะชั่วก็ควรจะปล่อยพวกตาแก่ที่อยู่ในกรงขังใต้ดินออกมาสิ ถึงจะถือว่าให้เกียรติกันบ้าง
ผู้เฒ่าชุดแดงแค่นเสียงเย็น “เจ้าเฒ่าตาบอด คงไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่ในถิ่นของคนอื่นมานานเกินไปเลยลืมว่าเจ้านายที่แท้จริงของตัวเองเป็นใครหรอกนะ? เอาเจ้าพวกนี้มาทำให้ข้าเจ็บๆ คันๆ เนี่ยนะ?!”
เห็นเพียงว่าเขายกฝ่ามือข้างหนึ่งตบออกไป หุ่นเชิดเกราะทองตนหนึ่งที่อยู่บนพื้นก็พลันกระแทกจมลงในพื้นดิน ฝุ่นคลุ้งกระจัดกระจาย
หลังจากนั้นก็ลงมือไม่หยุด บนพื้นดินปรากฏเสียงประทัดแตกดังขึ้นเป็นระลอก หุ่นเชิดเกราะทองแต่ละตนที่ร่างสูงใหญ่ดุจขุนเขาล้วนถูกตบจนไม่เหลือร่องรอย
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยบนยอดเขาหันหน้ามา ‘มอง’ ปีศาจใหญ่สองตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของใต้หล้าแห่งนี้
กรอบตาของเขากลวงโบ๋ ประหนึ่งเหวลึกที่ดำมืดมองไม่เห็นก้นบึ้ง
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ถูกเรียกว่าตาเฒ่าตาบอดคนนี้ยังคงยืนเกาแก้มอยู่อย่างนั้น
ตามหลักแล้ว หากเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสามเหมือนกัน หรือเป็นขอบเขตสิบสี่ที่อำพรางตัวลึกลับซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ต่อสู้อยู่ในถิ่นของตัวเอง เว้นเสียแต่ว่าคนนอกพกพาอาวุธที่เผด็จการมาด้วย แน่นอนว่าของเล่นประเภทนี้ ต่อให้เอาหลายๆ ใต้หล้ามารวมกันก็ยังนับได้หมด เพราะนอกเหนือจากกระบี่สี่เล่มแล้ว ก็มีพวกป๋ายอวี้จิง ลูกประคำพุทธหรือหนังสือหนึ่งเล่ม นอกจากสิ่งของพวกนี้แล้ว โดยทั่วไปหากอยู่ในใต้หล้าของตัวเองก็ล้วนหยัดยืนอยู่ในสถานะมิพ่าย แม้แต่จะฆ่าอีกฝ่ายก็ยังเป็นไปได้
โดยเฉพาะเมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตแรกของขอบเขตสองสาบสูญ หากกินอิ่มว่างงานจนมีเวลาว่างไปเที่ยวเล่นในใต้หล้าแห่งอื่น การที่จะถูกกฎเกณฑ์ของมหามรรคาในฟ้าดินแห่งนั้นสยบกำราบก็ถือเป็นเรื่องที่ ‘สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน’ มากที่สุด
เพียงแต่ว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ย่อมต้องมีข้อยกเว้นอยู่สักสองสามข้อ จะแปลกตรงไหน?
ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าคนนี้ เขาคือคนต่างถิ่นที่มาอาศัยอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่กลับใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรียิ่งกว่าเจ้าของบ้านเสียอีก
หรือยกตัวอย่างเช่นนักพรตจมูกโคหน้าเหม็นของใต้หล้าไพศาลคนนั้น
ผู้เฒ่าเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “หากเปลี่ยนเป็นคนผู้นั้นที่มาเยือนก็ยังพอทำเนา ส่วนพวกเจ้าสองคน หากยังยืนอยู่สูงขนาดนั้นอีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
‘คนหนุ่ม’ ที่บนร่างพกกระบี่ห้าเล่มคลี่ยิ้ม
ในฐานะปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่อายุน้อยที่สุด เขาเคยเข้าร่วมศึกใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งนั้น ถึงขั้นเอาชนะเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้ ทำให้อีกฝ่ายจำต้องกลายเป็นหนึ่งในคนเฝ้าประตูของภูเขาห้อยหัว
เขารู้สึกว่าผู้เฒ่าตาบอดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าคนนี้ร้ายกาจมากจริงๆ แต่กลับไม่ได้ร้ายกาจจนถึงขั้นที่ไร้ขื่อไร้แป
สีหน้าของผู้เฒ่าชุดแดงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง กลิ่นอายดุร้ายอำมหิตทั่วร่างของเขาแทบจะทำให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลรินอยู่โดยรอบหยุดชะงัก
แต่สุดท้ายเขาก็ทำเพียงแค่แค่นเสียงดังหึหนึ่งทีแล้วหมุนตัวจากไป
ปีศาจใหญ่เซียนกระบี่หนุ่มที่มีผลงานการต่อสู้เกรียงไกรลังเลเล็กน้อย แล้วทันใดนั้นในทะเลสาบหัวใจของเขาก็มีเสียงที่ค่อนข้างร้อนรนดังขึ้นมา “รีบไป!”
ทว่าเพียงชั่วพริบตา แรงกระชากมหาศาลขุมหนึ่งก็ตรงเข้ามาม้วนหอบร่างของปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่คนนี้
ปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่เตรียมจะอาศัยโอกาสนี้ออกกระบี่ลองดูฝีมือของผู้เฒ่าตาบอดคนนั้นสักหน่อย แต่กลับค้นพบว่าผู้เฒ่าชุดแดงคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล คว้าไหล่ของเขาแล้วกระชากเหวี่ยงออกไปให้พ้นจากม่านฟ้า
จากนั้นผู้เฒ่าชุดแดงก็สะบัดชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ปล่อยแม่น้ำเลือดที่คลื่นโถมซัดสาดออกไป พยายามจะตัดขาดลมปราณที่หมายหัวผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นให้ได้
ฟ้าดินพลิกกลับ ลมปราณซัดปั่นป่วนวุ่นวาย
ผู้เฒ่าชุดแดงที่สัมผัสได้ว่าถูกมหามรรคากดทับไหล่จนหายใจไม่ออกหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พยายามสะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง แม่น้ำเลือดสดหลายสายแทบจะรวมตัวกันกลายมาเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ยักษ์ เขาตวาดกร้าวเสียงเฉียบ “เจ้าเฒ่าตาบอด เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทำลายภูเขาสิบหมื่นของเจ้าให้พังพินาศไปพร้อมกันซะเดี๋ยวนี้เลย?!”
ผู้เฒ่าตาบอดหยุดเกาแก้ม
และเวลานี้เอง น้ำเสียงที่มากบารมีก็ดังลอดเข้ามาใน ‘ฟ้าดินขนาดเล็ก’ ที่ใหญ่มากแห่งนี้ “พอได้แล้ว”
ผู้เฒ่าชุดแดงหยุดมืออย่างขุ่นเคือง เก็บวิชาอภินิหารลงไป แม่น้ำเลือดสดสายยาวย้อนกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อกว้างใหญ่
ผู้เฒ่าตาบอดเอื้อมมือคว้าหนึ่งครั้ง ปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นก็ถูกกระชากมาที่ข้างเท้าของเขา เขาย่อตัวลงนั่งยอง ปีศาจหนุ่มที่ใบหน้ามีแต่ความตะลึงพรึงเพริดค้นพบว่าตัวเองกระดุกกระดิกไม่ได้ ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยยื่นมือมาควักดวงตาข้างหนึ่งของเขาโยนใส่ปากเคี้ยวหยับๆ ก่อนจะหันหน้าไปถ่มทิ้งบนพื้น ผลกลับลายเป็นว่าหมาแก่ที่ผอมแห้งตัวนั้นเกิดน้ำลายสอ วิ่งพรวดมาขย้ำกลืนลงท้องไป
ผู้เฒ่าตาบอดยืดตัวขึ้นตรง ดีดปลายเท้าเตะปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ที่เหลือดวงตาแค่ข้างเดียวกระเด็นไปกลางอากาศ “นี่เพราะเห็นแก่หน้าของเจ้าหรอกนะ”
ฟ้าดินกลับคืนมาเงียบสงัดอีกครั้ง
ผู้เฒ่าตาบอดเอาสองมือไพล่หลัง เดินไปทางประตูเรือน มองหมาแก่ตัวนั้นแล้วหลุดหัวเราะพรืด “หมาเปลี่ยนสันดานชอบกินขี้ไม่ได้จริงๆ”
แล้วก็เริ่มเกาแก้มต่ออีกครั้ง เขาหมุนตัวเดินไปที่ยอดเขา รู้สึกอยู่ตลอดว่าบนม้วนภาพวาดนี้มีบางจุดที่ยังต้องลดหรือไม่ก็ต้องเพิ่ม ‘น้ำหมึก’
เขาจึงยืนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ผู้เฒ่าตาบอดพลันขมวดคิ้ว ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ขยับนิ้วเบาๆ หุ่นเชิดเกราะทองทั้งหลายกลับเข้าตำแหน่งกันอีกครั้ง
คราวนี้แขกที่มาเยือนคือหนึ่งผู้เฒ่ากับหนึ่งเด็กสาว พวกเขามาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
ผู้เฒ่าเผยรอยยิ้มที่แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกแปลกแปร่งให้กับเด็กสาวที่มีท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทางคนนั้น เกรงว่าไม่ว่าใครที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาก็มีแต่จะรู้สึกขนลุกด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองผู้เฒ่าคนนั้น พูดอย่างกรุ่นโกรธว่า “เฉินชิงตู อย่ามากวนใจข้า! ครั้งนี้ไม่ว่าใครข้าก็ไม่ช่วยทั้งนั้น!”
ผู้ฝึกกระบี่ใหญ่วัยชราจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินชิงตู
เฉินชิงตูถาม “เจ้ายังเป็นคนอยู่ไหม?”
ผู้เฒ่าตาบอดตอบ “เจ้าลองถามใจตัวเองดูสิ พวกเรายังเป็นคนอยู่ไหม?”
เฉินชิงตูพยักหน้า “ข้ายังเป็น”
ผู้เฒ่าตาบอดเงียบงันไปชั่วขณะก็ถามว่า “ต่อให้ใต้หล้าทั้งสองจะสู้รบกันดุเดือดแค่ไหน แต่จะดุเดือดเท่าปีนั้นได้หรือ? อย่างมากก็แค่ทำให้หนึ่งนั้นแหลกสลายลง ปีนั้นเป็นเช่นนี้ หนึ่งพันหนึ่งหมื่นปีให้หลังจะเปลี่ยนไปเป็นอะไรได้อีก? โลกก็ยังห่วยแตกอยู่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ? มีความหมายตรงไหน? ไม่แน่ว่าทำลายให้พังพินาศไปทั้งหมดเลยถึงจะดี จะได้ย้อนกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง”
เฉินชิงตูกล่าว “เจ้าสมควรตาบอดแล้ว”
ผู้เฒ่าตาบอดพลันหัวเราะ “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าหมาเฝ้าบ้านที่ขายชีวิตให้คนอื่นอย่างเจ้ากระมัง ได้กระต่ายแล้วก็เอาหมาล่าเนื้อมาฆ่ากิน ครั้งเดียวไม่พอ ยังจะลองลิ้มรสชาติดูอีกครั้งงั้นหรือ? ข้าว่าการที่ปีนั้นพวกชาวบ้านที่มีโทษทัณฑ์ติดตัวอย่างพวกเจ้าตกอยู่ในสภาพเช่นทุกวันนี้ก็เพราะถูกคนอย่างพวกเจ้าเฉินชิงตูทำให้เดือดร้อน รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ แต่กลับไม่ยินดีจะเดินทางขึ้นเหนือไปดู เพราะข้ากลัวว่าไปดูแล้วจะได้เห็นเรื่องตลกที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าอย่างพวกเจ้า แล้วข้าก็จะหัวเราะจนตาย”
ผู้เฒ่าตาบอดชี้ไปยังหมาแก่หน้าประตูที่ตัวสั่นสะท้าน “เจ้าดูสิว่าเจ้าเฉินชิงตูดีกว่ามันตรงไหน?”
ผู้เฒ่าตาบอดย้ายเส้นสายตามองไปยังเด็กสาวคนนั้น พูดกลั้วหัวเราะเสียงแหบแห้งกับนาง “นังหนูหนิง เจ้าอย่าได้รำคาญไปเลย นี่ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้ายังถือว่าไม่เลว”
หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไร
เพียงไม่นานเฉินชิงตูก็พาหนิงเหยาจากไป
ผู้เฒ่าตาบอดถอนหายใจเบาๆ ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมภาพวาดแห่งภูเขาแม่น้ำที่ยังวาดไม่เสร็จอีกแล้ว เขาเดินออกจากประตูเรือน มองไปเห็นหมาแก่ที่เงยหน้าแลบลิ้นอย่างประจบ ผู้เฒ่าตาบอดพลันยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นกระทืบลงบนสันหลังของหมาแก่อย่างแรง มันส่งเสียงร้องคร่ำครวญทันใด ผู้เฒ่าตาบอดกระทืบกระดูกสันหลังทั้งแถบของปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลที่พลังชีวิตแข็งแกร่งอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ตัวนี้เต็มแรง ถึงอย่างไรเมื่ออาศัยดวงตาข้างนั้นของปีศาจหนุ่ม เพียงไม่นานมันก็สามารถฟื้นตัวได้อยู่แล้ว
ผู้เฒ่าตาบอดพึมพำพลางเดินกลับเข้าบ้าน
บนกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ผู้ฝึกกระบี่ใหญ่วัยชรานั่งขัดสมาธิ หนิงเหยานั่งดื่มเหล้า
เฉินชิงตูเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ไม่ต้องรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนข้า เจ้าเฒ่าตาบอดต่างหากที่เป็นคนเจ็บปวดที่สุด ไม่ใช่อย่างที่โลกภายนอกเล่าลือกันว่า เขาสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างเพราะศึกใหญ่กับบรรพบุรุษเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่เป็นเพราะเขาลงมือควักลูกตาตัวเองเมื่อนานมากแล้ว ตาข้างหนึ่งโยนทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล อีกข้างหนึ่งขว้างไปใต้หล้ามืดสลัว ครั้งนี้ที่ข้าไปหาเขาก็เพราะต้องการได้ยินประโยค ‘ไม่ช่วยใครทั้งนั้น’ ของเขากับหูตัวเอง แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ
หนิงเหยาดื่มเหล้าไปได้ครึ่งกาก็หันหน้ามามองผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่
เฉินชิงตูหัวเราะอย่างฉุนๆ “นังหนูหนิง ข้าไม่ได้จะว่าเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าอยากดูก็กลับไปดูที่บ้านเจ้าสิ ที่นี่มันถิ่นของท่านปู่เฉินอย่างข้า มีอย่างที่ไหนที่เจ้าจะมาไล่ให้ข้าไป?”
แม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ผู้เฒ่าก็ยังกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินกลับกระท่อมของตัวเองไป
อันที่จริงเขาเองก็รู้เหตุผล เพราะเจ้าเด็กนั่นเคยฝึกหมัดอยู่บนหัวกำแพงแถบนี้นี่นะ
หนิงเหยาหยิบม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ วางกาเหล้าไว้อีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็ฟุบตัวนอนคว่ำบนหัวกำแพง คลี่ภาพม้าวิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาม้วนนั้นออก นี่เป็นภาพที่สามหรือภาพที่สี่แล้วนะ?
บนภาพวาด ทัศนียภาพคือสุสานเทพเซียนที่นางเองก็เคยไปเยือนมาก่อน เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นว่าวกัน มีเด็กชายตัวดำผอมแห้งนั่งอยู่เพียงลำพังไกลๆ เห็นได้ชัดว่าโดดเดี่ยวเดียวดาย ระหว่างที่คนวัยเดียวกันวิ่งห้อปล่อยว่าวอย่างสนุกสนาน หากวิ่งผ่านเด็กคนนั้นก็จะกระตุกว่าวเลี้ยงเอาไว้ จากนั้นจึงย่อตัวลงหยิบก้อนดินขึ้นมากำหนึ่งแล้วขว้างออกไปอย่างแรง เมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นหมุนกายวิ่งจากไป เด็กร่างสูงใหญ่ที่ในมือถือว่าวก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
หนิงเหยายื่นนิ้วเคาะลงบนภาพวาด จิ้มไปโดนหน้าผากของเด็กร่างสูงใหญ่คนนั้นพอดี พึมพำบางอย่างไปด้วย
จากนั้นนางก็ดึงมือกลับแล้วจ้องมองภาพในม้วนภาพวาดเงียบๆ จนจบ
อันที่จริงในวัตถุจื่อชื่อยังมีม้วนภาพอีกไม่น้อย ทว่าทุกครั้งนางจะดูแค่ภาพนี้
นางพลิกตัวกลับ สองมือสอดทับกันวางไว้ใต้ท้ายทอย กระดิกขาข้างหนึ่งเบาๆ
ชอบเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับม้วนภาพ
ได้ดูม้วนภาพม้วนแล้วม้วนเล่าก็มีแต่จะเปลี่ยนจากชอบไปเป็นชอบมากกว่าเดิม
นางหนิงเหยาจะชอบใคร ไม่เกี่ยวอะไรกับฟ้าดิน
เฉินผิงอันสามารถฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้งอย่างโง่งมเพื่อนาง
นี่ก็สุดยอดมากแล้วไม่ใช่หรือ?
หนิงเหยาลืมตาขึ้น นางรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองตายไปหนึ่งล้านครั้งก็ยังคงชอบเขาอยู่เสมอ
บทที่ 417.2 หากชีวิตไม่มีความสุข
เหมาเสี่ยวตงบอกกับเฉินผิงอันว่าคลื่นใต้น้ำของเมืองหลวงต้าสุยไม่ส่งผลกระทบต่อสำนักศึกษาซานหยาอีกต่อไป คนที่ดีใจที่สุดย่อมต้องเป็นหลี่เป่าผิง นางลากเอาเฉินผิงอันเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองหลวงด้วยกัน เลี้ยงข้าวเขาในร้านเล็กสองแห่งในตรอกที่นางมักไปกินเป็นประจำ ไปเที่ยวชมซากโบราณสถานที่มีชื่อเสียงแห่งต่างๆ ของต้าสุย ใช้เวลาหมดไปเกินครึ่งเดือน ขนาดหลี่เป่าผิงบอกว่ายังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกเกือบครึ่งที่ยังไม่เคยไป แต่จากการพูดคุยกับชุยตงซานทำให้รู้ว่าตอนนี้อาจารย์อาน้อยเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสอง เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จำเป็นต้องดูดซับเอาปราณวิญญาณจากฟ้าดินมาทั้งวันทั้งคืน หลี่เป่าผิงจึงคิดจะทำตามกฎของบ้านเกิดที่บอกว่า ‘เหลือไว้ก่อน’
เฉินผิงอันจึงได้เริ่มฝึกตนอย่างจริงจัง
ตอนกลางวันใช้ปราณหยางที่บริสุทธิ์ตามช่วงเวลาที่กำหนดมาหล่อเลี้ยงบำรุงความอบอุ่นให้กับอวัยวะภายในและโครงกระดูก ต้านทานการรุกรานจากปราณชั่วร้าย ปราณขุ่นมัวที่มีต่อช่องโพรงลมปราณ
ตอนกลางคืนใช้ปราณหยินที่สะอาดไร้มลทินซึ่งดูดซับได้เฉพาะบางเวลามาหล่อเลี้ยงช่องโพรงสองแห่งที่ถูกบุกเบิกและเก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตเอาไว้
เนื่องจากการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองเกี่ยวพันกับการฝึกตนของลัทธิขงจื๊อในระดับสูง เหมาเสี่ยวตงจึงเอาบทรวบรวมกวีเล่มหนึ่งออกมาด้วยตัวเอง แล้วชี้แนะเฉินผิงอันว่าให้อ่านกวีนอกด่านร้อยกว่าบทที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์
พอรู้ว่าเฉินผิงอันเดินทางมาตั้งไกล ท่องผ่านอาณาบริเวณของสองทวีป แต่กลับไม่เคยเข้าไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังของสมรภูมิรบยุคบรรพกาลเลยแม้แต่ครั้งเดียว แค่เคยเห็นภาพที่กลุ่มภิกษุสวดมนต์อยู่บนสนามรบจากในพื้นที่มงคลดอกบัวเล็กๆ เท่านั้น เหมาเสี่ยวตงก็อบรมเฉินผิงอันไปอีกหนึ่งคำรบ
ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีได้ถูกเหมาเสี่ยวตง ‘ปิดประตู’ ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้ระดับขั้นของยันต์จะสูงแค่ไหน การไหลหายไปของปราณวิญญาณจะช้าแค่ไหน แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดี
ส่วนวิธีเปิดประตูนั้นก็ได้มาจากชุยตงซาน หลังจากเฉินผิงอันอธิบายประวัติความเป็นมาของยันต์ร่างจริงให้ชุยตงซานฟังอย่างละเอียดแล้ว เขาก็เอากลับไปศึกษาพิจารณามารอบหนึ่ง สุดท้ายก็ใช้การได้จริงๆ
ชุยตงซานตีหน้าประจบพูดว่าอยากลองเปิด ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ อ่านบ้าง เขายินดีจะจ่ายเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญให้กับอาจารย์สำหรับทุกหน้าที่เปิดอ่าน
เฉินผิงอันไม่ได้รับปาก
เผยเฉียนออกไปเที่ยวเล่นกับเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงอยู่สองสามครั้ง แต่กลับรู้สึกว่าอยู่ในสำนักศึกษาสบายมากกว่า ทุกวันต้องเดินไปเดินมา ออกแต่เช้าตรู่ กลับเย็นย่ำค่ำมืด เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไหนเลยจะสุขสบายเท่าคุยโม้ให้พวกหลี่ไหวฟังหรือเล่นหมากห้าเม็ดกับพวกเขา ภายหลังจึงหาข้ออ้างอยู่ในสำนักศึกษา เฉินผิงอันเองก็รู้สึกว่าเผยเฉียนเดินทางมาตั้งไกล ไม่ได้น้อยไปกว่าพวกเขาแม้แต่ก้าวเดียว
เลยปล่อยให้เผยเฉียนเล่นสนุกอยู่ในสำนักศึกษา แต่ทุกวันก็ยังตรวจตัวอักษรของเผยเฉียน แล้วก็บอกให้จูเหลี่ยนคอยดูเผยเฉียนฝึกเดินนิ่ง ฝึกดาบและกระบี่ เกี่ยวกับเรื่องของการฝึกตนนี้ เผยเฉียนจะตั้งใจหรือไม่ ไม่สำคัญ เฉินผิงอันไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้นัก แต่ต้องห้ามขาดการฝึกแม้แต่ก้านธูปเดียว
เหมาเสี่ยวตงมักจะมาพูดคุยกับเฉินผิงอันอยู่เป็นประจำ ประโยคหนึ่งในนั้นที่เขาเอ่ยก็คือ ‘คำสั่งก็คือเครื่องมือในการปกครองบ้านเมือง หาใช่ต้นตอของการสร้างความแจ่มชัดหรือขุ่นมัวให้แก่สังคมไม่’
คงเป็นเพราะเหมาเสี่ยวตงกังวลว่าศิษย์น้องเล็กอย่างเฉินผิงอันจะไม่ทันระวังเดินออกห่างไปไกลบนเส้นทางของสำนักนิติธรรมมากขึ้นทุกที จึงจำเป็นต้องเอ่ยเตือน
ตอนนั้นเหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าวว่า “ประโยคนี้ไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของพวกเราเป็นผู้กล่าวไว้ หาใช่จงใจจะกดสำนักนิติธรรมให้ต่ำลงแล้วยกย่องลัทธิขงจื๊อให้สูงส่งไม่ แต่เป็นขุนนางอำมหิตของสำนักนิติธรรมในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ผู้หนึ่งกล่าวไว้เอง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
ในเรือนพักของชุยตงซาน เผยเฉียนกับหลี่ไหวมักจะจับคู่อยู่ด้วยกัน สุมหัวกันอ่านนิยายของจอมยุทธในยุทธภพ บ้างก็อ่านเร็ว บ้างก็อ่านช้า ดังนั้นจึงมักจะทะเลาะกันด้วยเรื่องที่ว่าควรเปิดหน้าต่อไปดีหรือไม่เป็นประจำ บางครั้งหลี่เป่าผิงก็มาอ่านด้วยพักหนึ่ง แต่เผยเฉียนกับหลี่ไหวชอบอ่านฉากที่มีแสงดาบเงากระบี่ เศษเลือดเศษเนื้อปลิวว่อน ต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดมากกว่า
หลี่เป่าผิงก็อ่านเรื่องพวกนี้ได้ เพียงแต่นางจะชอบตัวละครที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มีมากกว่า จากนั้นก็มาคาดเดาเอาเองส่งเดชว่าทำไมคนผู้นี้ถึงพูดจาเช่นนี้ กระทำการเช่นนี้ในสถานที่นี้
วันหนึ่งจูเหลี่ยนหยิบบทร่างที่ตัวเองเขียนออกมาปึกหนึ่ง เป็นนิยายน้ำเน่าที่มีเนื้อหากล่าวถึงจอมยุทธหญิงหลายคนที่ต่างก็ตกทุกข์ได้ยาก แล้วถูกพวกคนต่ำช้าไร้ที่พึ่งไร้แซ่ไร้นามในยุทธภพรังแกย่ำยี อวี๋ลู่แอบขโมยอ่านแล้วก็ให้ตกตะลึงนัก
จูเหลี่ยนรู้สึกว่าไม่เสียแรงที่อวี๋ลู่คือคนรู้ใจของตน นิสัยจึงเข้ากันได้ดีอย่างถึงที่สุด
ในห้องหนังสือของชุยตงซานก็กองเต็มไปด้วยภาพโบราณที่มีกลิ่นอายแห่งเซียนล้อมเวียนวน ในม้วนภาพแต่ละม้วนมีทั้งเสียงนกร้องกลิ่นบุปผาหอมโชย มีทั้งอากาศสดชื่นบนภูเขาหลังฝนตก แล้วก็มีทั้งภาพผู้เฒ่านั่งตกปลาในแม่น้ำช่วงฤดูหนาว
ผลกลับกลายเป็นว่าคืนนั้นถูกหลี่ไหวกับเผยเฉียน ‘วาดงูเติมหาง’ พวกเขาพากันขีดๆ เขียนๆ ลงบนภาพวาดที่มีชื่อเสียงสืบทอดกันมาหลายรุ่น ทำลายบรรยากาศงดงามเสียจนสิ้น
ยกตัวอย่างเช่นเผยเฉียนช่วยวาดกรงนกบิดๆ เบี้ยวๆ ให้กับนกกระจอกที่อยู่บนภาพวาด เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากกรงหลวนในห้องคุณหนูสกุลหลิ่วแห่งแคว้นชิงหลวน
ในภาพคนพายเรือสวมงอบยืนอยู่บนเรือเล็ก หลี่ไหวก็วาดปลาประหลาดที่ตัวใหญ่ยิ่งกว่าเรือไว้ข้างตัวเรือ
ชุยตงซานเห็นแล้วกลับไม่โกรธ
วันหนึ่งชุยตงซานหยิบภาพวาดวังหลวงที่แปลกประหลาดม้วนหนึ่งออกมา เป็นภาพโครงกระดูกภูตผีคลายร้อน ภาพนี้วาดได้อย่างมีชีวิตชีวาและรื่นเริง บอกว่าจะให้เผยเฉียนได้เปิดหูเปิดตา
เผยเฉียนมองอย่างละเอียด ผลกลับกลายเป็นว่าโครงกระดูกตนหนึ่งในภาพพลันขยายร่างใหญ่จนแทบจะทะลุออกมาจากภาพวาด นางตกใจจนเกือบขวัญกระเจิง ถึงขนาดไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน ได้แต่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม หลั่งน้ำตาเงียบๆ
จนกระทั่งเห็นเฉินผิงอันก็ยังทำแค่เม้มปาก
ชุยตงซานจึงถูกเฉินผิงอันไล่ตี เขาสาวหมัดต่อยยกเท้าถีบ สบถด่าหยาบคายเสียงดัง แม้แต่ภาษาถิ่นของบ้านเกิดที่เขตการปกครองหลงเฉวียนก็ยังหลุดปากออกมา คว้าไม้กวาดด้ามหนึ่งขึ้นมาได้ก็ฟาดเข้าที่ท้ายทอยของชุยตงซาน ร่างชุยตงซานปลิวหวือออกไปกระแทกพื้น ต้องแกล้งตายถึงจะผ่านพ้นหายนะมาได้อย่างหวุดหวิด
บางครั้งชุยตงซานก็พูดเรื่องเป็นการเป็นงาน
วันนี้ในขณะที่ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงพูดเรื่องอายุขัยของคน ชุยตงซานก็ยิ้มกล่าวว่า “คงจะรู้จักการลอกคราบของงูกระมัง? อาจารย์เกิดและเติบโตมาจากบ้านป่า น่าจะเคยเห็นมาไม่น้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หลี่เป่าผิง เผยเฉียนและหลี่ไหวก็พยักหน้าหงึกๆ
ชุยตงซานยิ้มตาหยี “หากจะบอกว่าจิตวิญญาณของคนเป็นรากฐาน กล้ามเนื้อ กระดูกและเนื้อหนังคืออาภรณ์ ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าลองเดาดูสิว่า คนธรรมดาคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ถึงหกสิบปี ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเขาต้องเปลี่ยน ‘เสื้อผ้าหนังคน’ กี่ตัว?”
เผยเฉียนรู้สึกว่าคำกล่าวเช่นนี้ทำให้นางขนลุกขนพอง
ชุยตงซานยิ้มตาหยียื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว
เผยเฉียนเบิกตากว้าง “สิบตัว?”
หลี่เป่าผิงขมวดคิ้ว “หนึ่งร้อย?”
หลี่ไหวคิดแต่จะขัดขาคนอื่นท่าเดียว เขาชอบเถียงหลี่เป่าผิงกับเผยเฉียนที่สุด จึงพูดขึ้นเสียงดังว่า “หนึ่งพัน!”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ชั่วชีวิตนี้ของคนเราต้องเปลี่ยนอาภรณ์หนังคนโดยที่ไม่รู้ตัวหนึ่งพันชุด”
ชุยตงซานกล่าวต่อว่า “บวกกับช่องโพรงลมปราณที่สอดคล้องกับฟ้าดินโดยที่มองไม่เห็นเหล่านั้นอีก ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทั้งหมดบนโลก หลังจากกลายเป็นภูตแล้วก็ล้วนยินดีที่จะจำแลงกายกลายเป็นคน”
“เครื่องกระเบื้องสำหรับเชื้อพระวงศ์ที่สร้างขึ้นจากเตามังกรบ้านเกิดของพวกเจ้า ทั้งๆ ที่เปราะบาง ไม่อาจต้านทานการโจมตี กลัวการกระทบกระแทกขนาดนั้น แต่ทำไมฮ่องเต้ถึงยังต้องสั่งให้คนสร้างขึ้น? ทำไมถึงไม่เอาดินบนภูเขาไปใช้โดยตรง หรือไม่ก็ใช้ไหดินที่ ‘ร่างกาย’ แข็งแกร่งกว่า?”
หลี่ไหวหัวเราะร่า “ก็เพราะว่าสวยน่ะสิ แล้วก็มีค่าด้วย ชุยตงซานทำไมเจ้าต้องถามคำถามไร้สมองแบบนี้ด้วย?”
ชุยตงซานสบถ “ใช่ๆๆ มีแต่เจ้าที่มีสมอง หัวพยัคฆ์สมองเสือ (มาจากประโยค虎了吧唧 เป็นภาษาถิ่นของตงเป่ย ใช้บรรยายถึงคนโง่ หัวทึ่มทึบ) ฉลาดสุดๆ”
หลี่ไหวแลบลิ้นปลิ้นตาหัวเราะหน้าเป็น “ไม่ฟังๆ ตะพาบท่องคัมภีร์”
เฉินผิงอันยิ้มขำ
มีวันหนึ่งเฉินผิงอันนั่งอยู่ในระเบียงเรือนชุยตงซาน ปลดน้ำเต้าลงมา แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า เขาใช้ฝ่ามือดันปากน้ำเต้าแล้วแกว่งกาเหล้าเบาๆ
ตอนนี้ในเรือนเล็กไม่มีคนอยู่ เป็นความเงียบสงบที่หาได้ยาก
หลังจากที่หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตอย่างธาตุน้ำและทองได้สองชิ้น การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามที่เป็นหนึ่งในห้าธาตุจึงกลายมาเป็นหลุมใหญ่ที่อ้อมผ่านไปไม่ได้
แต่ตามคำบอกของจางซานเฟิง ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตแค่สามชิ้นก็พอแล้ว หนึ่งโจมตีหนึ่งป้องกัน ส่วนชิ้นสุดท้ายก็คือช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณดูดดึงปราณวิญญาณมาได้เร็วขึ้น แค่นี้ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่นับว่าไม่ธรรมดาสำหรับผู้ฝึกตนที่ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องที่ว่ากระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีและสืออู่จะเอามาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันเองได้หรือไม่นั้น ชุยตงซานก็เคยพูดถึงแต่ไม่ละเอียดนัก บอกแค่ว่าหลังจากเขามอบกระบี่บินหลีหว่อของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเล่มนั้นให้เซี่ยเซี่ยไป ต่อให้นางสามารถนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้สำเร็จ แต่เมื่อเทียบกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่แล้ว แม้จะมองดูเหมือนว่าความต่างมีไม่มาก แต่แท้จริงกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว ค่อนข้างจะเป็นซี่โครงไก่ แต่คำว่าซี่โครงไก่นี้ใช้เปรียบเทียบกับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเท่านั้น เซียนดินทั่วไปหากได้พบวาสนาเช่นนี้ สามารถช่วงชิงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่งเอามาให้ตัวเองใช้ได้ ก็ต้องจุดธูปกราบไหว้บรรพบุรุษกันแล้ว
ไฟ ดิน ไม้
วัตถุแห่งชะตาชีวิตสามชิ้นที่เหลืออยู่
ความคิดที่จะนำดินห้าสีของผืนแผ่นดินราชวงศ์ต้าหลีมาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต เฉินผิงอันล้มเลิกไปนานแล้ว
เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าเคยบอกให้นักพรตน้อยที่สะพายน้ำเต้าลูกใหญ่ยักษ์นำความมาบอก เรื่องหนึ่งในนั้นคือพูดถึงว่ามังกรเพลิงของแม่นางหร่วนซิ่วสามารถนำมาหลอมได้ แต่เฉินผิงอันไม่ได้เสียสติ อย่าว่าแต่การกระทำที่เหมือนคนสติวิปลาสเช่นนี้เลย ลำพังแค่คิดถึงแววตาระแวดระวังของหร่วนฉง เฉินผิงอันก็จนใจมากแล้ว เกรงว่าหากปล่อยให้หร่วนฉงรับรู้ว่าเขามีความคิดเช่นนี้ ตนคงต้องถูกอริยะสำนักการทหารท่านนี้เอาค้อนตีเหล็กที่ใช้หลอมกระบี่มาทุบเขาจนเละเป็นเนื้อบดแน่นอน
ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งไปคิดถึงไฟของห้าธาตุ
เพราะฉะนั้นก็เหลืออย่างสุดท้าย นั่นก็คือไม้
อันที่จริงเฉินผิงอันพอจะมีความคิดบางอย่าง ก็คือต้นไหวโบราณที่ถูกโค่นล้มต้นนั้น แต่ว่าตอนนั้นพวกชาวบ้านก็แบ่งกันไปจนหมดแล้ว กระบี่ไม้ไหวที่ทิ้งไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือหนึ่งในกิ่งไหวที่ปีนั้นเขาบอกให้เป่าผิงน้อยไปแบกกลับมา
ซ่งจี๋ซินเคยพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของบ้านเกิด เห็นได้ชัดว่าทุกวันนี้ชาวบ้านแต่ละคนฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสายตาของร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวก็ไม่แย่ ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหลือโอกาสให้เฉินผิงอันได้ไปเก็บของดี
เฉินผิงอันกลัดกลุ้มจนต้องยกมือเกาหัว
เขาทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง
ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตห้าขั้นสูงสุด
ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสอง ทุกเรื่องล้วนยากลำบากในตอนเริ่มต้น ตัวเฉินผิงอันเองก็รู้ดีว่าผู้ฝึกตนขอบเขตสองนี้ได้มาไม่ง่าย
กระบี่เจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลัง หากไม่ใช่ศึกตัดสินเป็นตาย คิดจะชักออกจากฝักก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มีกระบี่บินอยู่สองเล่ม สืออู่ที่มีชื่อเดิมว่าเสี่ยวเฟิงตูนั้นยังนับว่าดี แต่ชูอีกลับใกล้จะก่อกบฏเต็มที เนื่องด้วยจิตใจเชื่อมโยงอยู่กับเฉินผิงอัน แทบทุกวันมันจะต้องโวยวายว่าจะกินแท่นสังหารมังกรก้อนยาวก้อนสุดท้าย ซึ่งก็คือก้อนที่ใหญ่ที่สุดนั่น
สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ ยังดีที่ก่อนจะถึงขอบเขตเจ็ด หากสวมไว้จะไม่เป็นอะไร กลับกันยังสามารถช่วยให้ดูดดึงปราณวิญญาณฟ้าดินได้เร็วขึ้น เท่ากับว่าช่วยชดเชยช่องโหว่ร้ายแรงด้านพรสวรรค์ในการฝึกตนหลังจากที่สะพานแห่งความเป็นอมตะของเฉินผิงอันหักขาดไปได้ในระดับใหญ่ แต่ทุกครั้งที่ใช้วิธีมองภายในตรวจตราช่องโพรงลมปราณ เหล่าคนจิ๋วสวมชุดสีเขียวที่ก่อตัวจากโชคชะตาน้ำทั้งหลายก็ยังคงมีสายตาตำหนิติเตียนให้เห็น เห็นได้ชัดว่าการที่ปราณวิญญาณในจวนน้ำเกิดชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำให้พวกมันตกอยู่ในสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนประหนึ่งสตรีผู้มีฝีมือ แต่ไร้วัตถุดิบให้ปรุงอาหาร ดังนั้นพวกมันจึงน้อยเนื้อต่ำใจมากเป็นพิเศษ
กลับเป็นคนจิ๋วชุดขงจื๊อที่จำแลงมาจากหัวใจบุ๋นสีทองที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกดีใจอย่างคาดไม่ถึง มันขี่มังกรเพลิงที่ก่อตัวขึ้นจากปราณแท้จริงบริสุทธิ์โอ้อวดบารมีอยู่ทุกวัน มีชีวิตอย่างอิสระเสรีมีความสุข ช่วยเฉินผิงอันตรวจสอบฟ้าดินขนาดเล็กในร่างของตน การกระทำนี้สามารถบำรุงจิตวิญญาณ ช่วยให้เฉินผิงอันขยับขยายเส้นเอ็นและชีพจร อีกทั้งปราณสกปรกขุ่นมัวที่เป็นซากตะกอนของโรคซึ่งเหลือทิ้งไว้หลังจากผ่านศึกใหญ่เป็นตายครั้งแล้วครั้งเล่าที่มักจะซ่อนตัวอยู่ตามจุดลึกของจิตวิญญาณ พอเจ้าตัวจิ๋วขี่มังกรเพลิงผ่านไปก็เหมือนแม่ทัพใหญ่ที่ถืออาวุธบุกเข้าจู่โจมเมืองหน้าด่านเพียงลำพังแล้วทำการกวาดล้างพวกกบฏที่ซ่อนตัวอยู่ตามภูเขาป่าลึกจนสิ้นซากอย่างขยันขันแข็ง
แต่เห็นได้ชัดว่ามันกับมังกรเพลิงไม่ถูกกับเด็กจิ๋วชุดเขียวที่อุตสาหะดูแลงานในบ้านของตัวเองเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายวางท่าไว้แล้วว่าต่อให้ตายก็จะไม่ยอมคบค้าสมาคมกันเด็ดขาด
หลังจากล้มลุกคลุกคลานกว่าจะกลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันรู้สึกเคว้งคว้าง
เขาต้องตัดสินใจว่าจะเลือกและสละอะไร
เพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่ต่อ ฝึกหมัดเดินนิ่งอย่างยากลำบาก เฉินผิงอันไม่เคยลังเลใจ
แต่ตอนนี้ชีวิตไม่มีอันตรายใดให้ต้องกังวล ขอแค่ยินดี หากเขาจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นขอบเขตหกในทันทีก็ไม่ยาก อารมณ์เหมือนคนรวยที่ยังต้องหงุดหงิดว่าจะเลือกหาทองหรือหาเงินดี นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
ลึกลงไปถึงกระดูกเขาเคยชินที่จะเป็นคนยากจนเสียแล้ว มักจะรู้สึกว่าเหรียญทองแดงหนึ่งถุงที่กำแน่นไว้ในมือ หรือไม่ก็ข้าวสารชั้นบางๆ ที่เหลืออยู่ในถังข้าว นั่นต่างหากถึงจะเป็นของของตนอย่างแท้จริง
ต่อให้ข้างกายมีภูเขาเงินภูเขาทอง แต่ก็ยังรู้สึกว่าต่อให้วันนี้พวกมันเป็นของตน พอตื่นขึ้นมา พรุ่งนี้ก็จะเป็นของคนอื่นแล้ว
เฉินผิงอันรู้ดีว่าคิดแบบนี้ไม่ถูก ทว่าสันดอนขุดง่ายสันดานขุดยาก สำหรับในเรื่องนี้จะพูดว่าไม่ขยับเดินหน้าเลยสักนิดไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรการพัฒนาก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า
อันที่จริงในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันรู้ดีว่าตัวเองได้เปลี่ยนไปในหลายๆ เรื่อง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ว่าหากไม่สวมรองเท้าสาน เปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มข้อจะรู้สึกแปลกๆ จนแทบจะเดินไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ ปักปิ่นหยกบนศีรษะ มักจะรู้สึกว่าตัวเองก็คือลิงสวมมงกุฎที่กล่าวถึงในตำรา หรือยกตัวอย่างเช่นเพื่อความฝันที่เคยเล่าให้ลู่ไถฟัง จึงได้ซื้อของไม่มีประโยชน์ที่สิ้นเปลืองเงินทองมาไว้มากมาย หวังว่าสักวันหนึ่งจะมีบ้านหลังใหม่ที่กิจการรุ่งเรืองในเขตการปกครองหลงเฉวียน
เฉินผิงอันยกขาขึ้นไขว่ห้าง แกว่งขาเบาๆ
คนจิ๋วดอกบัวผุดศีรษะออกมาจากใต้ดินด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ แล้ววิ่งปรู๊ดขึ้นบันไดมา สุดท้ายปีนขึ้นมานั่งบนหลังเท้าเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยื่นนิ้วมาตั้งที่ปากของตน เป็นการบอกมันว่าห้ามพูด
นับตั้งแต่ชุยตงซานปรากฏตัวในหมู่บ้านแคว้นชิงหลวนเป็นครั้งแรก คนจิ๋วดอกบัวก็แทบไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น นี่เป็นสิ่งที่เฉินผิงอันบอกให้มันทำ แม้มันจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังยอมทำตาม
คนจิ๋วดอกบัวที่เหลือแขนเพียงข้างเดียวยื่นมือมาอุดปาก ยิ้มพลางพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันแกว่งเท้า เจ้าตัวน้อยจึงเหมือนได้โล้ชิงช้า หากไม่เป็นเพราะปิดปากเอาไว้ตลอดเวลา ป่านนี้คงได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ ของมันแล้ว
มองคนจิ๋วดอกบัวที่มีความสุข จิตใจของเฉินผิงอันพลันสงบขึ้นเยอะมาก ความคิดวุ่นวายและความกลัดกลุ้มกังวลทั้งหลายล้วนหายไปเกลี้ยง
เฉินผิงอันหลับตาลง ผ่านไปไม่นานนักก็รู้สึกว่าหลังเท้าเบาลง หันหน้าไปมองจึงเห็นว่าเจ้าตัวน้อยลงมานอนไขว้ขาเลียนแบบเขา
พอถูกเฉินผิงอันจับได้ มันก็ยิ้มตาหยี
เฉินผิงอันพลิกตัวนอนตะแคง มันก็เลียนแบบตาม
เฉินผิงอันเริ่มส่ายศีรษะ มองดูเหมือนกำลังบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่ได้ส่งเสียง
เจ้าตัวน้อยก็ทำท่าทำทางตามเฉินผิงอันไปด้วย
หนึ่งคนตัวโตหนึ่งคนตัวจิ๋ว อันที่จริงต่างก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังบ่นอะไรอยู่
เฉินผิงอันไม่รู้ว่า
ชุยตงซานอยู่นอกกำแพงของเรือนหลังเล็กนั่นเอง เขาเอียงศีรษะแนบติดกำแพง ร่างกายจึงมองดูคล้าย…เนินลาดเอียง
ชุยตงซานรู้ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงจงใจบอกให้คนจิ๋วดอกบัวหลบเลี่ยงตน
เพราะในสายตาของเฉินผิงอัน คนจิ๋วดอกบัวที่ตอนนี้ไร้ทุกข์ไร้กังวลถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
เขาถึงขั้นไม่อยากรับรู้ แล้วก็ไม่ยินดีจะรับรู้ว่าคนจิ๋วดอกบัวใช่ภูตที่หาได้ยากมากหรือไม่ มีมูลค่าควรเมืองหรือไม่ มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงหรือไม่
ดังนั้นชุยตงซานที่ต้องเก็บปากเก็บคำจึงค่อนข้างจะอึดอัดเล็กน้อย
เพราะเขาอยากบอกเฉินผิงอันมากๆ ว่า เจ้าตัวเล็กนั่น ไม่ธรรมดามากๆๆ จริงๆ
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ชุยตงซานคิดไปคิดมา แม้จะรู้ดีว่าบอกหรือไม่บอก สุดท้ายเรื่องนี้เมื่อเกิดกับเฉินผิงอันก็ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน แต่ชุยตงซานคิดแล้วก็พลันรู้สึกว่าในเมื่อไม่ให้เขาพูด เขาก็ไม่พูด อันที่จริงไม่พูดก็ดีเหมือนกัน
พอชุยตงซานคิดตกในข้อดี ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม อารมณ์กลับคืนมาเป็นปกติ ศีรษะเอนไปด้านหลังเบาๆ ลำตัวเหยียดตรง พลิ้วกายจากไปเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ
หากชีวิตไม่มีความสุข ก็เพียงแค่เพราะยังไม่ได้รู้จักอาจารย์ของข้า (มาจากประโยคว่าหากชีวิตไม่มีความสุขก็เพราะยังไม่เคยอ่านเรื่องราวของซูที่อยู่บนเนินตะวันออก ซูซื่อคือคนที่มีชีวิตผกผัน ชะตาชีวิตรันทด แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เขาก็สามารถเผชิญหน้าได้อย่างเยือกเย็น เป็นประโยคเปรียบเปรยว่าชีวิตคนมีขึ้นมีลง ไม่อาจราบรื่นไปได้ตลอด แต่เมื่อเข้าใจเรื่องราวในชีวิตซูซื่อแล้ว เราจะยังมีเหตุผลอะไรให้ไม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกเล่า?)
ตอนนี้ชุยตงซานมีความสุขมาก เพราะขอแค่เอาประโยคนี้ไปขอความดีความชอบกับเป่าผิงน้อย ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจถูกตบด้วยตราประทับน้อยลง
ดังนั้นชุยตงซานจึงบินทะยานไปหยุดอยู่นอกหน้าต่างของห้องเรียน ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับแม่นางน้อยที่สวมชุดกระโปรงสีแดงสด
ผลคือถูกอาจารย์ที่กำลังสอนหนังสือตวาดใส่อย่างเดือดดาล
บทที่ 418.1 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้า...
โดยไม่ทันรู้ตัว อากาศร้อนก็เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง
การบำรุงด้วยความอบอุ่นในช่วงที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันใช้ความขยันหมั่นเพียรชดเชยความโง่เขลา ช่องโพรงสองแห่งที่เก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตจึงเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ
เกี่ยวกับเรื่องของการฝึกหมัดและฝึกลมปราณ เฉินผิงอันพยายามจะไม่เลือกที่รักมักที่ชังให้มากเกินไป แต่เมื่อกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้อย่างแท้จริง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ชั่วยามในทุกๆ วันไปนั่งสมาธิเข้าฌาน สำหรับการมาถึงของคอขวดในอนาคต เฉินผิงอันเริ่มเข้าใจชัดเจนมากขึ้นทุกที สักวันหนึ่งเมื่อกลายเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเจ็ดแล้ว ค่อยเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง ซึ่งเขาจำเป็นต้องเลือกอีกครั้ง
มีวันหนึ่งเหมาเสี่ยวตงเคยเอ่ยล้อเขาว่า “ตอนที่เจ้าฝึกตนอยู่ในเรือนของชุยตงซาน ไม่เห็นเจ้าจะเสียดายปราณวิญญาณของสำนักศึกษาเลย แต่เหตุใดตอนอยู่บนยอดเขาตงหัว ถึงไม่ยอมดึงปราณวิญญาณไปแม้แต่เสี้ยวเดียว เป็นเพราะอยากจะทำตัวให้เหนือกว่าคนทั่วไปหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “หลังจากรักษากฎเกณฑ์ใหญ่ไว้ได้แล้ว ก็สามารถเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามและทำตามความรู้สึกของคนทั่วไปได้แล้ว ชุยตงซาน เซี่ยเซี่ย หลินโส่วอีต่างก็สามารถอาศัยขอบเขตของตัวเองมาดูดดึงปราณวิญญาณจากในเรือนแห่งนี้ อีกทั้งทางสำนักศึกษายังยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีความผิดโดยปริยาย ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ทำได้เหมือนกัน นี่ก็คงจะคล้ายๆ กับว่า…ภูเขาตงหัวที่อยู่นอกเรือนเล็กก็คือใต้หล้าไพศาล ส่วนเรือนหลังนี้ก็กลายมาเป็นหนึ่งแคว้นหนึ่งสถานที่ คือฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่ขัดต่อเจตจำนงเดิม หรือผิดต่อหลักมารยาทของลัทธิขงจื๊อ ข้าก็จะ…มีอสิระเต็มที่”
เฉินผิงอันเดี๋ยวพูดเดี๋ยวหยุด เพราะมักจะต้องใช้เวลาครู่หนึ่งในการครุ่นคิดจึงต้องหยุดชะงักก่อนแล้วค่อยเปิดปากพูดใหม่
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ
ดูท่าแล้วคำพูดที่ตนกล่าวไปด้วยความปรารถนาดีตอนที่หลอมวัตถุอยู่บนยอดเขาตงหัวจะไม่เสียเปล่า
เหมาเสี่ยวตงถามอีกว่า “ไม้ที่สูงเด่นเกินไพร ลมต้องพัดให้มันหักโค่นลง คนที่มีคุณธรรมสูงส่งเหนือผู้อื่น ย่อมต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ เจ้าคิดว่าเหตุผลอยู่ที่ตรงไหน?”
เฉินผิงอันตอบ “เดิมทีควรเป็นการตักเตือนวิญญูชนว่าให้รู้จักถ่อมตน เพื่อปรับตัวให้เข้ากับวิถีทางโลกที่ไม่ดี ส่วนตรงไหนที่ไม่ดี ข้าก็บอกไม่ถูก เพียงแค่รู้สึกว่ายังห่างจากวิถีทางโลกที่ลัทธิขงจื๊อวาดไว้ในใจไกลโขนัก ส่วนทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจ อีกอย่างข้ารู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้มีปัญหา ง่ายที่จะชักนำให้คนเดินทางผิด หากเอาแต่กลัวว่าจะเป็นไม้เด่นเกินไพรจึงไม่กล้าทำตัวมีคุณธรรมสูงส่งกว่าคนอื่น กลับจะทำให้คนหลายคนรู้สึกว่าต้องหักโค่นไม้เด่น ต้องไม่เป็นคนมีคุณธรรมสูงส่งคือเรื่องที่ทุกคนล้วนทำกัน ในเมื่อทุกคนก็ทำ งั้นข้าก็ทำบ้าง เพราะใช้หลักการเหมือนกับทุกคน ถึงอย่างไรกฎหมายก็ไม่ลงโทษคนหมู่มาก แต่หากสืบสาวเรื่องนี้ให้ถึงแก่นก็ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกับคำกล่าวที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามของข้า แม้จะบอกว่าแท้จริงแล้วยังสามารถแบ่งแยกย่อยอย่างละเอียดไปได้อีก แตกต่างกันไปตามเวลา สถานที่และบุคคล จากนั้นค่อยขีดเส้นให้ชัดเจน แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่ามันเปลืองแรงมากอยู่ดี น่าจะเป็นเพราะข้ายังหาวิธีอันเป็นรากลฐานไม่ได้”
คราวนี้เฉินผิงอันก็ยังพูดติดๆ ขัดๆ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอดถามอย่างใคร่รู้ไม่ได้ว่า “หลักการล้ำค่าที่ถูกคนทั้งโลกยกย่องประเภทนี้ ข้าไม่ปฏิเสธ เพราะมันสามารถลดความยากลำบากมากมายไปได้จริงๆ ก็เหมือนอย่างที่ข้ามักจะนำมาทบทวนตัวเองอยู่บ่อยๆ แต่พวกมันสมควรถูกอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อยอมรับว่าเป็น ‘กฎเกณฑ์’ จริงๆ หรือ?”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แต่กลับไม่ได้ให้คำตอบ
จากนั้นเหมาเสี่ยวตงก็เปลี่ยนเรื่อง “ม้าขาวไม่ใช่ม้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?” (คือปัญหาเชิงตรรกะที่กงซุนหลงนักตรรกวิทยาสมัยโบราณเป็นผู้เสนอขึ้น เขาให้คำนิยามว่าม้าขาวไม่เท่ากับม้า เพราะ ‘ม้า’ คือการจำกัดความด้าน ‘รูปร่าง’ ให้กับสัตว์ชนิดหนึ่ง ส่วน ‘ขาว’ คือการจำกัดความด้าน ‘สี’ ให้กับม้า กฎเกณฑ์ในการจำกัดความด้าน ‘รูปร่าง’ กับกฎเกณฑ์การจำกัดความด้าน ‘สี’ นั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นทั้งคำจำกัดความและกฎเกณฑ์ด้านการจำกัดความต่างก็ไม่เหมือนกัน ม้าขาวกับม้าจึงไม่เหมือนกัน)
เฉินผิงอันตอบ “ชุยตงซานเคยพูดถึงเรื่องนี้ บอกว่านั่นเป็นเพราะช่วงแรกเริ่มสุดที่อริยะสร้างตัวอักษร มันยังไม่สมบูรณ์แบบมากพอ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ครบถ้วน ถือเป็น ‘อุปสรรคทางภาษา’ ที่มองไม่เห็นซึ่งทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง เมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่าน คนรุ่นหลังสร้างตัวอักษรได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในอดีตเคยเป็นปัญหายาก แต่ตอนนี้กลับแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ม้าขาวย่อมต้องเป็นม้าชนิดหนึ่ง แต่ม้าขาวไม่เท่ากับม้า น่าสงสารคนโบราณที่ได้แต่วนเวียน อ้อมไปอ้อมมาอยู่บนคำว่า ‘ไม่ใช่’ นั่น ตามคำบอกของชุยตงซาน นี่เรียกว่า ‘อุปสรรคด้านขั้นตอน’ หากไม่เข้าใจความรู้เรื่องนี้ ต่อให้ตัวอักษรจะมากมายแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่นคนอื่นพูดเรื่องที่ถูกต้องเรื่องหนึ่ง คนนอกใช้เรื่องที่ถูกต้องอีกเรื่องหนึ่งไปปฏิเสธเรื่องที่ถูกต้องก่อนหน้านี้ คนนอกแค่ฟังปราดๆ แล้วก็ไม่ยินดีจะซักถามให้ละเอียดจนถึงที่สุด แล้วก็จะรู้สึกไปเองว่าฝ่ายแรกผิด นี่ถือว่าเป็นอุปสรรคด้านขั้นตอน และยังมีอีกมากที่ใช้ความเห็นบางส่วนมาสรุปรวมทั้งหมด ขั้นตอนปนกันสับสน ล้วนไม่รู้ความเป็นมาเป็นไป สำหรับเรื่องนี้ชุยตงซานค่อนข้างจะเดือดดาล บอกว่าบัณฑิตหรือแม้แต่นักปราชญ์ วิญญูชนและอริยะก็ยากที่จะข้ามผ่านหายนะนี้ไปได้ ยังบอกอีกว่าทุกคนที่อยู่ใต้หล้า ความรู้ประถมวัยที่ควรเรียนรู้มากที่สุดตอนยังเยาว์ก็คือความรู้เรื่องนี้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืน ใช้ได้ผลยิ่งกว่าหลักการเหตุผลสูงๆ ต่ำๆ ทั้งหลายเสียอีก ชุยตงซานยังบอกอีกว่าบทความของอริยะปราชญ์ร้อยสำนัก อย่างน้อยก็มีถึงครึ่งหนึ่งที่ ‘แยกแยะได้ไม่ชัดเจน’ ผู้ที่มีความรู้เรื่องนี้จึงจะมีคุณสมบัติไปทำความเข้าใจกับความรู้อันเป็นรากฐานของปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง ไม่อย่างนั้นบัณฑิตทั่วไป มองดูเหมือนตรากตรำเล่าเรียนตำราอริยะปราชญ์ แต่สุดท้ายแล้วก็ได้แค่สร้างหอเรือนกลางอากาศ อย่างมากสุดก็เป็นแค่นครจักรพรรดิขาวที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางเมฆหลากสีซึ่งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเท่านั้น”
เหมาเสี่ยวตงขบคิดอย่างละเอียดแล้วจึงยิ้มกล่าวว่า “ไม่ใช่คำพูดที่มาจากความขุ่นเคืองของเจ้าตะพาบน้อยผู้นั้นทั้งหมด ยังมีบางส่วนที่คู่ควรให้ขบคิดอย่างจริงจัง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ชุยตงซานเต็มใจจะพูด ข้าก็แค่รับฟัง ถึงอย่างไรอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็เคยบอกข้าว่าคิดเยอะๆ ในทุกเรื่องย่อมเป็นการดี ต่อให้ผลสรุปที่ได้มาในท้ายที่สุดยังคงเป็นตรงกันข้าม ทว่าเส้นทางในหัวใจที่มองดูเหมือนเดินอ้อมไปรอบหนึ่ง แท้จริงแล้วกลับไม่ได้เสียเวลาเปล่า”
เหมาเสี่ยวตงปรบมือหัวเราะ “ท่านอาจารย์ช่างปราดเปรื่อง!”
จากนั้นเหมาเสี่ยวตงก็มองเฉินผิงอันด้วยสายตาคาดหวัง หวังว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้จะพอตระหนักรู้ได้บ้าง
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม เขาเข้าใจแล้ว จึงกล่าวว่า “คราวหน้าหากได้พบกับท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ข้าจะพูดถึงเจ้าขุนเขาเหมาให้มากๆ”
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเบาๆ “จำไว้เลยนะว่าอย่าพูดอย่างคลุมเครือ อาจารย์ของข้าไม่ชอบลูกไม้แบบนี้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นข้าพูดประโยคว่า ‘อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง’ ถึงเวลานั้นเจ้าต้องพูดให้เหมือนเดิมทุกประการ จะเสริมเติมแต่งให้ไพเราะขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ห้ามพูดแบบวกไปวนมาเด็ดขาด”
เฉินผิงอันบอกว่าตนจำไว้แล้ว
สุดท้ายเหมาเสี่ยวตงหยิบจดหมายกระบี่บินฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลียื่นส่งให้เฉินผิงอัน
แล้วเหมาเสี่ยวตงก็จากไป
คนกลุ่มนั้นที่ดูแลเรื่องราวต่างๆ ในสำนักศึกษาซานหยาทุกวันนี้ มีบางคนจิตใจไหวเอียง จึงจำเป็นต้องให้เขาไปปลอบใจ
การที่เขาคอยมาพูดคุยกับเฉินผิงอัน ต่อให้วางมาดเป็นศิษย์พี่ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายจิตใจในขณะที่แอบอู้จากงานที่มีสุมหัว แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เป็นการทำหน้าที่ของศิษย์พี่ที่สมควรช่วยตรวจสอบซ่อมแซมช่องโหว่ให้กับสภาพจิตใจของเฉินผิงอันด้วย
หลังจากเปิดจดหมายออก เฉินผิงอันก็เห็นลายมือที่คุ้นเคยของทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือ เว่ยป้อ
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เว่ยป้อ สอบถามเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนมือขายภูเขาใหญ่ทางแถบตะวันตกในราคาถูก
สำหรับเว่ยป้อที่เป็นองค์เทพแห่งขุนเขาคนแรกสุด และเป็นเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นเสินสุ่ย เฉินผิงอันมีความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ในจดหมายเว่ยป้อบอกกับเฉินผิงอันว่า ก่อนหน้านี้ภูเขาทั้งหมดเก้าลูกซึ่งรวมถึงของสกุลสวี่แห่งนครลมเย็นกำลังตามหาคนมารับช่วงต่อ หร่วนฉงและตระกูลใหญ่ๆ อย่างสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ต่างก็รับเอาไปครอง ตอนนี้ยังเหลืออีกสองลูก หากเฉินผิงอันต้องการ เขาสามารถออกหน้าช่วยต่อรองราคาให้ได้ อีกทั้งเว่ยป้อยังแนะนำว่าแม้ภูเขาสองลูกนี้จะเป็นของที่คนอื่นเหลือทิ้งไว้ แต่อันที่จริงเฉินผิงอันซื้อมาแล้วก็ยังไม่ขาดทุน ยังบ่นอีกว่าทำไมเฉินผิงอันไม่ส่งจดหมายมาให้เร็วกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็สามารถฮุบเอาภูเขาหนิวเจี่ยวมาได้เลย ต่อให้ในกระเป๋าเฉินผิงอันมีเงินเทพเซียนไม่พอ เขาเว่ยป้อก็สามารถออกให้ก่อนได้ พวกเขาสองคนแบ่งภูเขาหนิวเจี่ยวกันคนละครึ่ง ภูเขาหนิวเจี่ยวก็จะได้กลายเป็นท่าเรือตระกูลเซียนที่เท่ากับว่าร้านผ้าห่อบุญกึ่งขายกึ่งให้เปล่า!
เฉินผิงอันอ่านจดหมายซ้ำอีกรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้พลาดความนัยที่ซ่อนแฝงอะไรไปจึงเก็บมันเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่น
ภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นไม่เป็นรองจวนตระกูลเซียนชั้นยอดของแจกันสมบัติทวีปก็จริง แต่โชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำกลับถูกแบ่งสรรกันไปแล้วอย่างดุเดือด อีกอย่างอาณาบริเวณก็เล็กเกินไป สำหรับตระกูลเซียนหรือสำนักที่มีคำว่าจง (สำนัก) ในชื่อซึ่งครอบครองพื้นที่ร้อยลี้หรืออาจถึงขั้นพันลี้แล้ว ภูเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่มีอาณาบริเวณแค่สิบกว่าลี้ก็ยากเกินกว่าจะนำมาทำให้ประสบผลสำเร็จได้จริงๆ แน่นอนว่าหากมีเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือย่อมเพียงพอเหลือแหล่
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเรื่องการซื้อภูเขานั้นทำได้
จึงไปที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตง หยิบพู่กันมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ขอให้เว่ยป้อช่วยพูดคุยเรื่องราคาให้ก่อน
แล้วบอกให้เผยเฉียนวิ่งเอาไปมอบให้กับอาจารย์ผู้เฒ่าของสำนักศึกษาที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ
นั่งอยู่ในห้องหนังสือที่ตกแต่งอย่างโบราณเรียบง่าย เฉินผิงอันนึกถึงการพูดคุยกันครั้งสุดท้าย ชุยตงซานหลุดปากพูดถึงงานโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวน ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดว่าอันที่จริงตำรา ‘ดั้งเดิม’ ของเมธีร้อยสำนักไม่ได้มีมากนัก ดังนั้นจึงถือโอกาสบอกให้เฉินผิงอันลองไปหาคัมภีร์ของพุทธและเต๋าในหอเก็บตำราของสำนักศึกษามาอ่านหลายๆ เล่ม
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ครั้นจึงออกจากห้องหนังสือ ไปรอให้การฝึกหลอมลมปราณช่วงหนึ่งของหลินโส่วอียุติลง แล้วจึงลากเขาไปที่หอเก็บตำราด้วยกัน
ระหว่างทาง หลินโส่วอียิ้มถามว่า “เรื่องนั้น ยังคิดคำตอบไม่ได้อีกหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ แล้วก็นึกถึงครั้งแรกตอนที่มาถึงสำนักศึกษาแล้วไปพบหลินโส่วอี ฝ่ายหลังเคยพูดถึงเรื่องที่ตัวเองซาบซึ้งใจ
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ข้าเดาไม่ออกจริงๆ แล้วก็ใคร่รู้อย่างมาก เจ้าอย่าเล่นทายคำปริศนากับข้าอยู่อีกเลย หากเจ้ายังไม่ยอมพูด ก่อนจะไปจากสำนักศึกษาข้าก็ต้องมาเค้นถามเอาจากเจ้าตรงๆ แน่”
หลินโส่วอียิ้มบางๆ “ยังจำครั้งนั้นที่บนทางภูเขาเฉอะแฉะไปด้วยดินโคลน แล้วหลี่ไหวงอแงจนทุกคนพากันรำคาญได้ไหม?”
เฉินผิงอันย้อนนึก “พอจะจำได้รางๆ ว่าตอนหลังข้ารับปากหลี่ไหวว่าจะทำหีบหนังสือให้เขาใบหนึ่งเหมือนกัน เขาถึงได้ยิ้มทั้งน้ำตา ไม่อาละวาดอีก ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่ต้องหวังว่าจะได้เดินทางกันต่อเลย แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ หลี่ไหวรู้ความขึ้นเยอะเลย”
หลินโส่วอีถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ายังจำได้ไหมว่าตอนนั้นเจ้าพูดกับข้าว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย
หลินโส่วอียิ้มบางๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องจำได้”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เรื่องเล็กแค่นั้น เจ้าเก็บเอาไปใส่ใจจริงๆ หรือ?”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “ตอนนั้นข้าไม่เข้าพวกที่สุด หลี่เป่าผิงเรียกเจ้าว่าอาจารย์อาน้อย หลี่ไหวสนิทสนมกับเจ้าที่สุด ต่อให้เป็นอาเหลียงก็ยังชอบคุยเล่นกับพวกเขาสองคนไปเรื่อยเปื่อย จูลู่กับจูเหอก็ยิ่งเป็นพ่อลูกกัน มีเพียงข้าหลินโส่วอีที่ดูเหมือนอยู่ไม่ถูกที่ถูกทางมากที่สุด แม้ว่าภายนอกข้าจะแสดงออกว่าไม่ใส่ใจ แต่หากจะบอกว่าในใจไม่มีความผิดหวังเลย จะเป็นไปได้อย่างไร? ดังนั้นจึงมีระยะเวลานานมากช่วงหนึ่งที่ข้าถึงกับสงสัยว่าตัวเองควรจะติดตามพวกเจ้าไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุยดีหรือไม่?”
ในขณะที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ หยกงามด้านการฝึกตนของสำนักศึกษาที่ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิ้มไม่ชอบพูดคุยอย่างหลินโส่วอีกลับคลี่ยิ้มอบอุ่น “จากนั้นเจ้าที่นั่งยองอยู่บนทางดินก็หันหน้ามาพูดกับข้าสองประโยคว่า ‘ทำให้เจ้าด้วยใบหนึ่งดีไหม?’ ‘ถึงอย่างไรก็ต้องทำอยู่แล้ว’”
หลินโส่วอีก้าวเดินอย่างเชื่องช้า “ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงตอบรับ”
เฉินผิงอันหัวเราะ “ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่าหากไม่พูดแบบนี้ เจ้าก็ต้องไม่ยอมรับไปแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าทำหีบหนังสือให้หลี่ไหวแล้ว มีเพียงเจ้าคนเดียวที่ไม่มี ข้ากังวลว่าเจ้าจะห่างเหินกับเป่าผิงน้อยและหลี่ไหวด้วยเหตุนี้ บอกตามตรง ตอนนั้นข้าเคยคิดพิจารณาถึงนิสัยใจคอของเจ้าก็จริง แต่ที่คิดมากกว่านั้นก็คือ ในบรรดาคนทั้งสาม เจ้าหลินโส่วอีมีอายุมากที่สุด แถมนิสัยยังสุขุมมั่นคง วันหน้าเมื่อมาถึงสำนักศึกษาแล้วข้าต้องจากไป ข้าก็อยากให้เจ้าช่วยดูแลพวกเขาให้มากหน่อย”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “เรื่องพวกนี้ อันที่จริงข้าเข้าใจมาตั้งแต่ตอนที่ยังเดินทางแล้ว แต่ข้าคนนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นับว่าไม่เลว นั่นคือหากคนอื่นดีต่อข้า ข้าจะไม่มีทางเกิดความไม่พอใจเพียงเพราะว่าเขาดีต่อคนอื่นมากกว่า”
รอยยิ้มของหลินโส่วอียิ่งฉีกกว้าง “ภายหลังตอนที่อยู่บนเรือข้ามแม่น้ำ เจ้าทำหีบหนังสือใบเล็กให้หลี่ไหวก่อน ส่วนของข้าเป็นใบสุดท้าย และแน่นอนว่าหีบหนังสือใบนั้นเจ้าเฉินผิงอันย่อมทำได้คล่องมือมากที่สุด ซึ่งความเป็นจริงก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันเป็นหีบหนังสือใบที่ดีที่สุด เวลานั้นข้าถึงเพิ่งรู้ว่า เจ้าเฉินผิงอันพูดไม่มาก แต่อันที่จริงกลับนิสัยไม่เลว ดังนั้นพอมาถึงสำนักศึกษา หลี่ไหวถูกคนรังแก แม้ว่าข้าจะออกแรงไม่มาก แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วข้าก็ไม่ได้เอาแต่หลบเลี่ยง เจ้ารู้ไหม เวลานั้นข้าได้เห็นเส้นทางการฝึกตนของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นข้าจึงวางเดิมพันลงบนอนาคตทั้งหมด คิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดว่าอย่างมากก็ถูกคนทำให้พิการ ตัดขาดเส้นทางการฝึกตน จากนั้นก็เป็นบุตรนอกสมรสที่พ่อแม่ดูแคลนไปตลอดชีวิตอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นคนที่เจ้าเฉินผิงอันไม่ดูแคลนให้ได้เสียก่อน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรื่องพวกนี้ข้าจดจำไว้ในใจแล้ว”
หลินโส่วอียกยิ้ม “ดังนั้นคราวก่อนหลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดลอบสังหารในเรือนเล็กไปแล้ว พอเจ้าเฉินผิงอันกลับมาถึงเรือนก็จงใจมานั่งอยู่ข้างกายข้าหลินโส่วอี ข้ารู้ดี เจ้าเฉินผิงอันเองก็รู้ อันที่จริงนอกจากเจ้าคนที่ไม่แยแสสิ่งใดอย่างหลี่ไหวแล้ว ต่อให้เป็นเผยเฉียน ทุกคนในเรือนก็ล้วนต้องรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงเลือกมานั่งอยู่ข้างกายข้าแค่คนเดียว เป็นเพราะเจ้ากลัวว่าข้าที่เดินบนเส้นทางการฝึกตนมาแต่เนิ่นๆ จะมีจิตใจหยิ่งทระนง ทว่าในศึกครั้งนั้นกลับทำได้เพียงแค่มองดูอยู่ข้างๆ ดังนั้นข้าต้องรู้สึกผิดหวังอย่างมาก กลัวว่าข้าหลินโส่วอีจะยิ่งห่างเหินกับพวกเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ”
เฉินผิงอันหยุดเดิน เขาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องพวกนี้ เพียงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าซาบซึ้งใจในตัวเจ้าที่สุดด้วยเรื่องอะไร? ตอนนี้ถึงตาเจ้าต้องเดาบ้างแล้ว”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น