หมอดูยอดอัจฉริยะ 416-418
ตอนที่ 416 พบกับศัตรู (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
เยี่ยเทียนชี้ไปยังหม้อน้ำแกงเหมือนบุคคลที่ไม่ผิดแล้วพูดว่า “เหล่าหู ผมยังกินไม่เสร็จเลยนะ อีกครึ่งหนึ่งโยนลงในน้ำซุปไปแล้ว”
“นาย……นายนี่คือคนที่ทำลายสิ่งของให้เสียหายตามอำเภอใจ!”
หูหงเต๋อปลูกโสมนับสิบปี นอกจากรักษาชีวิตคนที่ได้รับอันตรายแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นใครกินโสม ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตัวเองจะสอบถามข่าวคราวของเยี่ยเทียน ตอนนี้เขามีความคิดที่จะอยากลงมือแล้ว
“เหล่าหู คุณไม่มีเงินเหรอ”เมื่อเห็นท่าทางที่โกรธของหูหงเต๋อ จู่ๆเยี่ยเทียนก็ถามขึ้น
“ครึ่งหนึ่งของผมจะลงโลงอยู่แล้ว จะเอาเงินไปทำอะไรล่ะ”หูหงเต๋อตอบอย่างไม่สบอารมณ์
เยี่ยเทียนก็ตบต้นขา แล้วพูดว่า “ใช่ คุณไม่ขาดเงินหรอก ทำไมต้องเหลือไม้นี้ไว้ด้วย ถ้าพูดอีก คุณคิดว่าของเล่นอันนี้จะช่วยต่อชีวิตประชาชนได้เหรอ
เยี่ยเทียนตบบ่าของหูหงเต๋อ ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็คือไม้นี้มีอายุห้าสิบปี ไม่กี่แสนคนที่อยากจะเห็นกับตา คนทั่วไปก็ซื้อไม่ได้ ไม่ต้องคิดแล้ว แทนที่จะให้คนร่ำรวยที่น่ารังเกียจเหล่านั้น เอามาบำรุงร่างกายให้พวกเราสองคนไม่ดีกว่าเหรอ……”
เยี่ยเทียนจำประสบการณ์การซื้อโสมนั้นได้ขึ้นใจ เงินหลายล้านในตลาดยานั้นแทบจะไม่มีค่า ร้านค้าบางแห่งเก็บโสมป่าเก่าบางอย่างไว้ ไม่ใช่ว่าแขกที่ศักยภาพจะซื้อได้ พวกเขาไม่เอาออกมาขายอย่างแน่นอน
และตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน โสมไม่เคยเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถเพลิดเพลินได้ แทนที่จะให้คนซื้อในราคาที่สูง เยี่ยเทียนคิดสู้กินเข้าไปในท้องเป็นการเอื้อผลประโยชน์ที่ดีกว่า
“แต่……แต่นี่คือของดีนะ!”หูหงเต๋อยังมึนงงกับคำพูดของเยี่ยเทียน ถึงแม้ว่าจะรู้สึกว่าเขาพูดไม่ถูกต้อง แต่ก็หาคำมาโต้แย้งไม่ได้
“ของดีเหรอ”
เยี่ยเทียนแบะปาก “ของที่กินเข้าไปในท้องถึงจะนับว่าเป็นของที่ดี ของเล่นนี้คุณเก็บไว้ในบ้านก็ไม่มีประโยชน์ ผมว่านะเหล่าหู คุณก็อายุหกสิบกว่าปีแล้ว ทำไมคุณถึงไม่เข้าใจของที่อยู่ภายนอกแบบนี้ด้วย”
“ฉัน……ฉันไม่ได้ไม่เข้าใจนะ!”หูหงเต๋อเมื่อถูกเยี่ยเทียนพูดอย่างนี้ จู่ๆก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา หรือว่าที่จริงตัวเองทำผิดกันแน่
เมื่อเห็นหูหงเต๋อเขินอายหมุนรอบขนาดนี้ เยี่ยเทียนยิ้มแล้วพูดว่า “พอแล้ว ผมอะไรกันนะ รีบเอาหนังกวางไซบีเรียยองตัวนี้ล้างแล้วก็ย่างกินซะ!”
ที่จริงเยี่ยเทียนก็กินโสมไปแล้ว แล้วก็ยังอยากที่จะทำให้ของนั่นเสียหายตามอำเภอใจอีกจริงๆ ถ้าโก่วซินเจียรู้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะถูกตำหนิไปยกใหญ่ก็ได้
ต้องรู้ว่า ยิ่งโสมเก่านานเท่าไรยาก็จะยิ่งมีผลดีขึ้นเท่านั้น ยาไม่กี่ชนิดที่หลี่ซั่นหยวนเหลือไว้ เป็นยาที่ทำจากโสมป่าเป็นยาหลักและกลั่นด้วยวัสดุยาอื่น ๆ มีประสิทธิภาพมากกว่าอาหารดิบหลายเท่า
หลักจากที่ล้างหนังกวางแล้ว ซุปอันเลอค่านั้นก็สุกแล้ว เยี่ยเทียนหยิบหมือเหล็กขึ้น ใช้ไม้ต้วนแทงเข้าไปในตัวกวาง จากนั้นเอามาย่างบนกองไฟต่อ
เมื่อดื่มซุปอันเลอค่าที่มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สี่ชนิดไปครึ่งหนึ่ง หลังจากที่เคี้ยวโสมครึ่งหนึ่งลงไปในท้องแล้ว เยี่ยเทียนพูดอย่างถึงอกถึงใจว่า “เหล่าหู สรรพคุณทางยาที่มีอายุห้าสิบปีนี้ไม่เพียงพอ ผมฝึกพลังไปหนึ่งสัปดาห์พลังด้านใจก็ถูกดูดซึมไปหมดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าโสมที่มีอายุร้อยปีขึ้นปีจะเป็นอย่างไงนะครับ”
“ไม่ นายอย่าแบบนั้น เยี่ยเทียน ถ้านายมีความคิดที่จะเอายาหกชนิดมาใส่ โสมนี้ฉันไม่ขุดให้แล้วนะ!”
หูหงเต๋อกลัวเยี่ยเทียน เหลือบตามองเขา พูดว่า “โสมเก่าแก่หกชนิดนั่น ฉันต้องการส่งให้ลุงโก่ว แต่นายก็กินไปหมดแล้ว!”
เยี่ยเทียนหัวเราะ พูดว่า “พูดอะไรกันน่ะ ผมเหมือนเป็นคนอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่เหมือน แต่นายเป็นเลยล่ะ!”หูหงเต๋อไม่ไว้หน้าเยี่ยเทียนเลยสักนิด พูดไปสีหน้าเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“พอแล้ว กินกันเถอะ!”
เยี่ยเทียนฉีกกินขาเนื้อกวางสีเหลืองทองย่างอย่างไม่สบอารมณ์ กินเข้าไปคำใหญ่ ด้านข้างมีหูหงเต๋อที่เตรียมเหล้าไว้ ทั้งสองดื่มอย่างยินดีปรีดามีความสุข
“เอ้อ เหล่าหู พวกเราก็ไม่ได้นำถึงเต็นท์อะไรมาด้วย วันนี้อากาศหนาวเย็นขนาดนี้จะไปอยู่ที่ไหน”หลังจากกินข้าวเสร็จ เยี่ยเทียนดับกองไฟด้วยหิมะ แล้วมองหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า ได้เห็นพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกลงจากภูเขาแล้ว
“ตามฉันมานายไม่หนาวหรอก ไปเถอะ ยังต้องเดินไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง!”
หูหงเต๋อดับกองไฟตอนกลางคืนอย่างระมัดระวังด้วยการกลบหิมะอีกหนึ่งชั้น ป่าฤดูหนาวมีแนวโน้มที่จะถูกไฟไหม้มากที่สุด ถ้าไม่ระวังป่าบนภูเขาอาจจะไหม้หมดได้
หลังจากที่เก็บของเสร็จ ทั้งสองก็เดินมุดเข้าไปกลางป่า ท้องฟ้าก็ค่อยๆมืดลง พระอาทิตย์ในยามอัสดงได้ส่องประกายบนหิมะสีขาว ส่องประกายสีระยิบระยับงดงามเป็นพิเศษ
“หืม นั่นคืออะไรเหรอ”
เมื่อกี้ตอนที่ลงทางลาดและเดินเข้าไปในป่าเก่าๆ เยี่ยเทียนก็เห็นสีเหลืองกระพริบบนต้นไม้อยู่บริเวณเจ็ดหรือแปดเมตรข้างหน้า
“หืม ใบไม้ใหญ่ หรือใบไม้สีม่วงนะ!”หูหงเต๋อมองไปยังทางด้านหน้า ใบหน้าเผยสีหน้าที่ประหลาดเล็กน้อย ยื่นมือและดึงออกมา
เยี่ยเทียนก็มองเห็นได้ชัด ว่าที่แท้เป็นเซเบิลที่มีขนสีเหลือง ตัวนี้ก็ไม่กลัวคนเลย นอนหมอบอยู่บนต้นไม้สูงเจ็ดหรือแปดเมตรจากพื้นดิน เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อมองดูอย่างสงสัย
“เหล่าหู ช้าก่อน ของนี้จับไม่ได้นะ!”เยี่ยเทียนก็ยั้งมือหูหงเต๋อที่เพ่งไปยังเซเบิลตัวนั้น
รู้สึกได้ถึงเจตนาร้ายของหูกงเต๋อ ทันใดนั้นปากของเสือตัวนั้นก็ส่งเสียง“จิ๊ดจิ๊ด” หายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
หูหงเต๋อวางมือลง มองเยี่ยเทียนอย่างหงุดหงิด รีบพูดว่า “เยี่ยเทียน เป็นอะไรไป ใบไม้สีม่วงนี้พบได้น้อยนี่ ขนนั้นชั้นยอดแล้วนะ!”
มีสามสมบัติล้ำค่าในภูเขาฉางไป๋ประกอบไปด้วย โสม เขากวางและมิงค์ จะเอาไปขายที่ข้างนอกที่นี่ส่วนใหญ่ทำไร่ไถนาหรือเพาะปลูก เซเบิลที่อยู่ในป่าเช่นนี้หายากมาก
“เหล่าหู ภูเขานี้อะไรก็สามารถกินได้ อะไรก็สามารถทำร้ายได้ นอกจากเซเบิลนี้ ไม่อนุญาตให้คุณทำร้ายมัน!”
ตอนที่เยี่ยเทียนพูดสีหน้าเต็มไปรอยยิ้มที่มีความสุข สาเหตุเกิดจากตัวเหมาโถว เยี่ยไม่อยากเห็นใครฆ่าพวกตัวขนเล็กๆ ต่อให้เซเบิลกับเฟร์ริตไม่ใช่ประเภทเดียวกัน
“เซียนสุนัขจิ้งจอกนี้ฉันไม่กลัว แค่ทำร้ายเซเบิลจะเป็นอะไรไป”
หูหงเต๋อรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ในสิบปีนี้เขาได้ทำร้ายตัวเซเบิลฉางไป๋อย่างน้อยร้อยแปดสิบตัว หน่วยงานคุ้มครองสัตว์ไม่สามารถควบคุมเขาได้ แล้วทำไมที่นี่เยี่ยเที่ยนถึงกลับไม่ให้เขาทำร้ายมันด้วย
“ผมเลี้ยงเฟร์ริตตัวหนึ่ง ของเล่นนี้สื่อสารกับคนได้ด้วยฃ บนตัวคุณเต็มไปด้วยพลังพิฆาต ระวังมันจะกัดคุณนะ……”
“ได้ ไม่ทำร้ายก็ไม่ทำร้าย ต่อไปกลับเมืองหลวงกับนาย ฉันจะไปดูตัวขนว่ามันมหัศจรรย์เหมือนที่นายพูดไหม”
เยี่ยเทียนพูดเรื่องเหมาโถวให้หูหงเต๋อฟัง เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วอย่างมหัศจรรย์ บนภูเขามีสัตว์ที่ไหวพริบดีที่หูหงเต๋อพบเจอไม่น้อย แต่ยังไม่เห็นสัตว์มหัศจรรย์อย่างนั้นแบบที่เยี่ยเทียนพูด
“ถึงแล้ว คืนนี้พวกเราก็พักที่นี่นะ!”
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินไปคุยกันไปหนึ่งชั่วโมงกว่า เดินผ่านไปยังป่าเก่าแก่ บนทางเนินที่ไม่ชัดด้านหน้า จู่ๆก็ปรากฎบ้านไม้เล็กหนึ่งหลัง บริเวณบ้านไม้ ยังมีรั้วกั้นรอบๆ
“เหล่าหู นี่ใครเป็นคนสร้าง”เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าในป่าลึกบนภูเขา อยู่ๆจะมีบ้านให้อยู่
“บ้านไม้หลังนี้ประมาณร้อยกว่าปี ให้คนที่เข้ามาเก็บยาบนภูเขาอยู่โดยเฉพาะ”
มาถึงที่นี่ หูหงเต๋อถึงกับถอนหายใจ อุณหภูมิในภูเขาฉางไป๋ตอนกลางคืนสามารถติดลบได้ถึงยี่สิบหรือสามสิบองศา ต่อให้เขาจะมีเลือดลมที่ดีการพักอยู่ในหิมะข้ามคืนอาจจะกลายเป็นไอติมที่แช่แข็งได้
“รอก่อน อย่าเพิ่งเข้าไปก่อน”เมื่อตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะผลักประตูรั้วเข้าไป ก็ถูกหูหงเต๋อที่อยู่ด้านหลังดึงไว้
“มีคนมาที่นี่ และก็ยังอยู่ที่นี่หลายวัน!”หูหงเต๋อนั่งยองๆ กวาดหิมะที่หน้าประตูด้วยมืออีกชั้นหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีไม่กี่รอยเท้าถูกเปิดออกมาเผยอย่างชัดเจน
เยี่ยเทียนพูดอย่างพอไม่พอใจว่า “เหล่าหู คุณไม่ใช้บอกว่า ที่นี่ให้กับคนที่มาเก็บยาบนภูเขาไม่ใช่เหรอ”
“เดือนนี้ คนที่กล้าเขามาบนภูเขาฉางไป๋มีไม่กี่คนหรอก ต่อให้หนาวจนไม่ทำให้ตายก็ช่าง ก็หลงทางในป่าภูเขานี้อยู่ดี ”
สีหน้าของหงหูเต๋อมีสีหน้าความเกลียดชังเผยออกมา “เป็นเมิ่งตาบอด ภูเขาฉางไป๋แห่งนี้นอกจากฉันแล้ว ในตอนนี้ก็มีเขาที่กล้าเข้ามาในภูเขา!”
บนภูเขาฉางไป๋ในฤดูหนาว แทบจะขาวโพลนไปด้วยหิมะ ยากมากที่จะเห็นทางได้ชัด เขาเป็นแขกที่มาเก็บโสมที่มีประสบการณ์มากที่สุด ยกเว้นแต่เหตุสุดวิสัยก็คงไม่ขึ้นมาบนภูเขาหรอก แว๊บแรกหูหงเต๋อก็คิดถึงเมิ่งตาบอดทันที
“ถ้าเจอกันก็ดีนะสิ เหล่าหู คืนนี้พักผ่อนอย่างสบายใจเถอะ พรุ่งนี้ไปหาพวกเขากันเมื่อได้ยินชื่อของเมิ่งตาบอด ในสายตาของเยี่ยเทียนก็ปรากฎสายตาพิฆาตขึ้น ถูกจับได้โดยคนที่รู้เวทย์มนตร์เป็นอย่างดี นั่นเป็นสิ่งที่รับไม่ได้อย่างแน่นอน
หูหงเต๋อพยักหน้า พูดว่า “ในเมื่อพวกเขามาถึงที่นี่แล้ว ก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปอีก!”
ในปีนั้นเพื่อต้องการล่าสุนัขจิ้งจอกไฟ เขาต้องตามล่าสามวันสามคืน ถ้าพูดถึงความสามารถในการสะกดรอยตามในภูเขา หูหงเต๋อก็ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นคนหนึ่งในเขตภูเขาฉางไป๋
……
บนภูเขาสองลูกที่ห่างจากบ้านไม้หลังนั้นที่มีพวกเยี่ยเทียนอยู่กันสองคน ในขณะเดียวกันก็มีบ้านไม้อยู่หลังหนึ่ง ในนั้นมีกองไฟที่กำลังลุกโชกโชน ไม่กี่คนล้อมรอบพิจารณามองหนังเสือเลือดอย่างเลือดเย็น
ที่ตรงด้านข้างหนังเสือ กลับเป็นกองกระดูกเสือที่เป็นกองอยู่บนพื้น พวกนี้ต่างเป็นของที่ดีทั้งนั้น เมื่อนำออกมาก็ขายได้ในราคาสูง พอๆกับหนังเสือ กลับถูกพวกเขาทิ้งจนหมด กลิ่นของเนื้อเสือออกรสเปรี้ยวน้อยๆ ไม่มีใครที่จะอยากกิน
ตุนจื้อเซินซ่อนความโลภในสายตาของเขาไม่ได้เลย เขาเสี่ยงอันตรายเข้ามาในภูเขาฉางไป๋ขนาดนี้ แค่หนังเสือพวกนี้เท่านั้นเหรอ
เมื่อแอบมองที่สายตาเมิ่งตาบอด ตุนจื้อเซินก็ยกโป้ขึ้น แล้วพูดว่า “ปู่เมิ่ง เป็นวิธียิงที่ดี หนังเสือพวกนี้เอาออกไป อย่างน้อยน่าจะห้าแสน!”
เสือเป่ยตงพวกนี้ถูกเมิ่งตาบอดยิงจนราบคาบ และลูกกระสูนยิงเข้าไปในตาขวา ทำให้หนังเสือทั้งทั้หมดไม่มีรูของลูกกระสูนเลย แม้แต่ขนก็ไม่รอยแผลเลย ผลิตภัณฑ์หนังเสือนี้ ราคาในตลาดสูงมากๆ
สีหน้าของเมิ่งตาบอดดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ สายหัวแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ไปบนภูเขาต่อ ฉันคิดว่านี่มันทะแม่งๆ หูหงเต๋อไอ้แก่นั่นไม่แน่ว่าตามขึ้นไปบนภูเขาแล้ว!”
เหมือนเมิ่งตาบอดคนนี้ ถึงแม้วิทยายุทธจะไม่ถึงระดับของเยี่ยเทียน แต่การเดินทางตลอดปีบนภูเขาฉางไป๋ ก็เจออันตรายถึงชีวิตไม่น้อย ความรู้สึกว่องไวที่เผชิญกับอันตรายก็แตกต่างจากคนทั่วไป
“ปู่เมิ่ง พวกเราก็ฆ่าเสือไปแล้ว ยังจะเข้าไปภูเขาทำอะไร รีบเอาหนังเสือพวกนี้ไปขายถึงจะถูก!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเมิ่งตาบอด สีหน้าของตุนจื้อเซินถึงกลับเปลี่ยนสี พวกเขาเข้ามาบนภูเขาเพื่อหาเงิน ตอนนี้หนังเสือก็อยู่ที่ด้านหน้าแล้ว ทำไมจะต้องเต็มใจที่จะเข้าไปอยู่ในที่หิมะหนาวเย็นนั่นอีกล่ะ
ตอนที่ 417 พบกับศัตรู (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภูเขาฉางไป๋เป็นภูเขาใหญ่ มีเส้นทางเข้าออกได้หลายทาง พวกของตุนจื้อเซินที่จริงแล้วก็ไม่กลัวที่หูหงเต๋อจะตามหาพวกเขาเจอ
เมื่อตาบอดเมิ่งจะให้พวกเขาขึ้นไปในภูเขาต่อ พวกตุนจื้อเซินสองสามคนไม่เห็นด้วย ขายหนังเสือพวกนี้เสร็จไปหาความสุขบนเตียงกับพวกหญิงสาวดีกว่า ดีกว่าที่จะอยู่บนภูเขาแล้วกลายเป็นไอติมแข็งทื่อในภูเขาใหญ่
“มีเงินก็ ก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อใช้มันสิถึงจะถูก อยู่ในภูเขานี้ พวกแกคิดว่าจะหนีรอดจากการไล่ฆ่าของไอ้แก่นั่นได้เหรอ?”
เมิ่งตาบอดเหลือบตาขาวมอง แล้วก็หัวเราะเยาะพูดว่า “ออกไปต้องตายแน่นอน ไม่ดีกว่าเหรอที่จะที่รับมือมันอยู่ในภูเขาใหญ่นี่ ถึงวิชาการต่อสู้ของหูหงเต๋อจะแข็งแกร่ง ฉันเมิ่งตาบอดเองก็โตมาไม่ใช่เพราะกินผักกินหญ้า!”
ครั้งนี้ที่เมิ่งตาบอดลงมือกับหูเสี่ยวเซียน ที่จริงไม่ใช่ว่าต้องการเงิน แต่หูหงเต๋อขัดขวางเขาไม่ให้เขาฆ่าคนและขายสินค้าหลายต่อหลายครั้ง เมิ่งตาบอดวางอุบายที่จะฆ่าเขามานานแล้ว ได้แต่เก็บความแค้นไว้ยังไม่ลงมือ
จริง ๆ แล้วเขาไม่เคยกลัวหูหงเต๋อเลย แต่กับคนที่มาทำลายคาถาของเขา กลับทำให้เมิ่งตาบอดตกใจกลัวจนขวัญผวา รีบเข้ามาหลบซ่อนในภูเขาฉางไป๋
เมิ่งตาบอดได้รับการถ่ายทอดวิชาทรงเจ้า ลัทธิชามันจากตระกูล หลายสิบปีมานี้ก็ไม่รู้ว่ามีคนที่เขาทำให้เสียชีวิตไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เขาไม่เพียงถูกทำลายวิชา แม้แต่คนก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะมีความสามารถขนาดไหน
ตุนจื้อเซินมองเมิ่งตาบอดที่สีหน้าเปลี่ยนสี แล้วก็พูดอย่างระมัดระวังว่า “ปู่เมิ่ง พวกเรามาหาเงิน ไม่จำเป็นต้องไปสู้ตายกับไอ้แก่หู นั้นหรอก”
เมิ่งตาบอดส่ายหัว แล้วพูดว่า “พวกแกอยากจะไปก็ไปเลย แต่ฉันจะอยู่ที่นี่ตลอดฤดูหนาวแล้วค่อยออกจากภูเขา!”
“นี่……ปู่เมิ่ง พวก……พวกเราจะออกไปกันได้ยังไง” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเมิ่งตาบอด ตุนจื้อเซินและพรรคพวกทันใดนั้นถึงกับตะลึง
พวกเขาอยากออกไป แต่ตอนนี้ได้เดินเข้ามาในป่าลึกของภูเขาฉางไป๋แล้ว ไม่มีเมิ่งตาบอดนำทาง อย่าหวังว่าพวกเขาจะออกไปจากภูเขานี้ได้เลย คงจะต้องหลงทางตายในป่าเก่าแก่แห่งนี้แน่!”
“น้องสอง เปิดหูเปิดตาหน่อย หนังเสือที่อยู่ในมือแกนี้ กลัวว่าวันหลังจะขายไม่ออกเหรอไง”
เมิ่งตาบอดตอนนี้ยังไม่อยากให้ทุกคนแตกคอกัน ใช้น้ำเสียงอ่อนลง พูดให้สถานการณ์คลี่คลายลงว่า
“พวกแกตามฉันมา แค่กำจัดไอ้แก่หูหงเต๋อได้ ต่อไปของที่อยู่ในภูเขาฉางไป๋นี้ ไม่ว่าพวกแกอยากได้อะไรก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
ตอนนี้เมิ่งตาบอดกำลังได้รับบาดเจ็บ เขายังแน่ใจว่าจะชนะถ้าหากต้องปะทะกับหูหงเต๋อด้วยปืน ยิ่งกว่านั้นยังมีคนมีฝีมือปริศนาที่ข้างกายหูหงเต๋ออีกคน ดังนั้นเขาถึงจะเอาพวกตุนจื้อเซินไว้เป็นพวกอยู่ข้างกาย
ก็เหมือนกับหลายๆ คนที่อยู่ในยุทธภพ เมิ่งตาบอดถึงแม้จะสามารถใช้คาถาอาคมได้เป็นอย่างดี แต่ในความคิดของเขาแล้วคิดว่าอานุภาพของอาวุธในปัจจุบันก็ยังอยู่เหนือกว่าคาถาอาคมอีก
มีพวกตุนจื้อเซินอยู่ข้างกาย ถ้าหูหงเต๋อตามมาทัน พอถึงเวลานั้นก็จะกราดยิงให้เรียบ หูหงเต๋อกับผู้ช่วยเขาคนนั้น ถึงแม้จะเป็นเทพเซียนก็คงไม่สามารถหลบหนีความตายได้
“เอาเถอะ ทำตามที่ปู่เมิ่งบอก!”
ตุนจื้อเซินกับลูกน้องสองสามคนจ้องมองซึ่งกันและกัน แต่ละคนก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เมื่อยังออกไปจากภูเขาใหญ่แห่งนี้ไม่ได้ ก็ได้แต่พยักหน้ารับปากเท่านั้น
ตุนจื้อเซินยังไม่ค่อยเต็มใจ หลังจากที่จ้องมองรอบๆ ก็ปริปากพูดว่า “ใช่ปู่เมิ่ง พวกเราก็ไม่ได้พกอะไรมาเยอะแยะ กลัวว่าจะรับมือตลอดฤดูหนาวไม่ได้นะสิ”
เมิ่งตาบอดได้ยินก็ยิ้มขึ้นมา โบกไม้โบกมือแล้วก็พูดว่า “เรื่องนี้พวกแกไม่ต้องเป็นห่วง ตามปู่เมิ่งอย่างฉันมา รับรองว่าที่พวกแกอยู่ในภูเขาแห่งนี้จะได้กินดีอยู่ดี!”
หลายสิบปีมานี้นักขุดโสมที่ตายในน้ำมือของเมิ่งตาบอด อย่างน้อยๆก็มีเป็นโหล เมิ่งตาบอดกลัวว่าทางรัฐบาลจะตามตัวเขาได้ ก็เลยเตรียมการหาที่หลบซ่อนให้ตัวเองอยู่กลางภูเขา และยังเก็บสะสมของไว้จำนวนมากเพียงพอตลอดเวลา
“พอแล้ว ดื่มเหล้านี้หมดก็ไปนอน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางแต่เช้า พอถึงที่นั่นก็ปลอดภัยแล้ว!”
ไม่รู้ทำไม ในใจของเมิ่งตาบอดถึงรู้สึกกระวนกระวาย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไม่สามารถเดินทางในตอนกลางคืนได้ละก็ เขาคงออกเดินทางแล้ว ไม่อยากะอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว
……
“บัดซบเอ๊ย พวกมันเอาบะหมี่ข้าวที่ฉันเก็บไว้เมื่อหลายเดือนก่อนไปหมดเลย!”
หูหงเต๋อจุดตะเกียงในบ้านไม้ หาทุกซอกทุกมุม ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เป็นดูไม่ได้อย่างมาก
วัตถุประสงค์ของบ้านหลังนี้ ไว้ให้คนเก็บยาได้ใช้พัก ตามกฎระเบียบในภูเขา ถ้ากินอะไรหรือใช้อะไรที่นี่ก็ต้องเอามาเติม เห็นได้ชัดเจนว่า พวกเมิ่งตาบอดกินแล้ว ยังหยิบของที่เหลือไปทั้งหมดอีก ไม่เหลืออะไรไว้ให้คนที่มาทีหลัง
“เหล่าหู อย่าบ่นไปเลย เอาเนื้อแห้งพวกนั้นออกมาสิ กินเสร็จแล้วก็รีบไปพักผ่อน!”
เยี่ยเทียนปรับตัวได้ดี เขาสามารถกินอาหารอันโอชะในภูเขาหรือทะเลได้เหมือนของว่าง ในขณะเดียวกันเขาก็สามารถใช้ชีวิตทั้งวันได้ด้วยการกินน้ำชากินกับข้าวแห้ง โดยเฉพาะพรุ่งนี้ไม่แน่ว่าอาจจะปะปับพวกเมิ่งตาบอดก็ได้ เยี่ยเทียนจึงไม่อยากสิ้นเปลืองพลังงานในการออกไปหาของมากิน
“ถ้าพรุ่งนี้จับพวกมันได้ ฉันจะถลกหนังของพวกมันเอง!”
คนในภูเขาเห็นความสำคัญของกฎเป็นอย่างดี พฤติกรรมของเมิ่งตาบอดถึงกับทำให้หูหงเต๋อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมากกว่าที่เขาทำร้ายหลานของตัวเองเสียอีก การที่พวกเขาหยิบของไปโดยไม่เหลือไว้ อาจจะทำให้คนที่มาทีหลังอดตายได้
ความโหดเหี้ยมของหูหงเต๋อนั่นทำให้เยี่ยเทียนต้องตกใจ ถามว่า “ผมว่านะเหล่าหู ทำอะไรต้องมีทางหนีทีไล่ อย่าทำเกินไป คุณคงไม่ทำจริงหรอกใช่ไหม”
หูหงเต๋อส่ายหน้า พูดว่า “ฉันไม่เคยทำ แต่ฉันเคยเห็น และยังเคยช่วยชีวิตคนมาแล้ว!”
เรื่องจริงหรือเรื่องล้อเล่น เหล่าหู เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็ได้เห็นธาตุแท้ของเขา ชายชราเคยอยู่ในรังโจร เรื่องที่เกิดกับตัวเขาต้องไม่น้อยอย่างแน่นอน
หูหงเต๋อไตร่ตรองสักพัก ค่อยๆรื้อฟื้นเรื่องในอดีต หลังจากที่คิดสักพักก็ปริปากพูดว่า “ตอนนั้นฉันอายุแปดขวบ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่หนีออกจากวงล้อมของทหารญี่ปุ่น หิมะในปีนั้น ตกหนักมากกว่าปีนี้……”
คนที่ทรยศหูอวิ๋นเป้า เป็นหนึ่งในหกหัวหน้าหมู่บ้านบนภูเขา เขาถูกทหารญี่ปุ่นจับตอนที่ลงจากเขามาเผาศพลูกชาย เพื่อชีวิตของตัวเองก็เลยต้องกลายมาเป็นผู้ทรยศตลอดชีวิต
ทหารญี่ปุ่นจับลูกและเมียเขาเป็นตัวประกัน แล้วส่งตัวเขากลับขึ้นภูเขา เพื่อป้องกันไม่ให้หูอวิ๋นเป้าจะสงสัย การติดต่อกับทหารญี่ปุ่นก็ติดต่อผ่านน้องชายของเขาแทน
ในวันนั้นคนที่นำทางทหารญี่ปุ่นขึ้นไปบนภูเขา ก็คือน้องชายของเขาเอง แต่เรื่องนี้กลับถูกโก่วซินเจียรู้เสียก่อนเขาจึงถูกจับมัดไว้
ตอนที่ตีฝ่าวงล้อมออกมา ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่มีคนตายเยอะมาก ตอนหลังก็มีพาคนพาเขามาโดยไม่มีอาการบาดเจ็บใด ๆ เลย แต่สิ่งที่จะเกิดตามมาจากนี้เป็นเหตุที่จะทำให้เขาต้องเสียใจต่อวงศ์ตระกูลของเขาเอง
หลังจากหลุดออกมาจากวงล้อมของทหารญี่ปุ่น หูอวิ๋นเป้าก็ให้คนถอดเสื้อผ้าของคนทรยศออกหมด ขุดหลุมในหิมะ แล้วก็ฝังเขาไว้ด้านใน ให้เหลือแค่หัว
หูอวิ๋นเป้าโกนหัวของคนทรยศด้วยตัวเอง หลังจากนั้นใช้มีดเล็กๆ แหลมคมกรีดรอบๆ หัวของเขาออกมา แล้วให้คนเทปรอทที่ถูกเผาจนร้อนลงไปที่หนังศีรษะของเขา
เนื่องจากปรอทมีน้ำหนักและความหนาแน่นมาก จึงทำให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อของเขาแยกออกจากกัน
ความเจ็บปวดทรมานนี้เขากรีดร้องเสียงดังและก็มุดออกมาจากหลุมหิมะ ผิวหนังของเขายังติดอยู่ในหลุม ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด หลังจากวิ่งออกไปประมาณสิบเมตรเขาล้มลงกองกับพื้น ร้องโหยหวนนานกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนตาย
ภาพที่น่ากลัวนี้ ทำให้หูหงเต๋อที่ตอนนั้นอายุแปดขวบลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต แต่สำหรับวีรบุรุษอย่างอินทรีย์เนตรทองหูหงเต๋อกลับไม่เคยกลัวเลย
“บัดซบ! พวก……พวกคุณยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า!”หลังจากที่ฟังหูหงเต๋อเล่าแล้ว คนที่กล้าหาญไม่กลัวฟ้ากลัวดินอย่างเยี่ยเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกขนพอง
การลงโทษให้ตายโดยวิธีนี้ จะทำให้มีแรงกระตุ้นที่รุนแรงทั้งผู้ถูกลงโทษและคนดู โดยเฉพาะกับคนดูนั้น เกรงว่าทั้งชีวิตจะทำให้ไม่มีวันลืม
เยี่ยเทียนถามตัวเองว่าเขาเองก็เป็นคนโหดร้าย เคยฆ่าคนตายไปหลายสิบคน แต่ให้เขาใช้วิธีนี้ฆ่าคน เยี่ยเทียนก็คงทำไม่ได้อย่างแน่นอน
“เยี่ยเทียน เปลี่ยนเป็นนายหรือฉัน ตอนนั้นก็คงทำแบบนี้!”
หูหงเต๋อไม่เห็นด้วยกับเยี่ยเทียน ส่ายหน้าแล้วก็พูดว่า “ผู้คนที่แย่งกันปีนขึ้นยอดเขา ใครเก่งที่สุดหละ ใครบ้างที่ไม่อยากเป็นที่หนึ่ง หากไม่ลงโทษคนทรยศอย่างนี้ เหล่าพี่น้องก็จะดูถูกและไม่เชื่อฟัง!”
“เนี่ย เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูเหรอ” เยี่ยเทียนถึงค่อยเข้าใจ
ความจริงก็ต้องเป็นแบบนี้ หลังจากที่หูอวิ๋นเป้าถลกหนังคนทรยศ ไม่มีใครกล้าทรยศเขาอีกเลย ทุกคนจงรักภักดีและเชื่อฟังหูอวิ๋นเป้าตลอดชีวิตของเขา
หลังจากการปลดแอก มีคนเสนอให้จับหูอวิ๋นเป้าในข้อหาว่าเป็นโจร แต่ก็ถูกยับยั้งโดยผู้อยู่เบื้องหลังในระดับสูง หลังจากนั้นเขตภูเขาฉางไป๋ก็ถูกกำหนดให้เป็นเขตหวงห้ามของทหาร
หูหงเต๋อพยักหน้า พูดว่า “ใช่ นั่นเป็นความจริง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันก็จะถลกหัวของเมิ่งตาบอด ให้รู้ว่าผลของการทำลายกฎของภูเขานั้นเป็นอย่างไร!”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ คำพูดของชายชราแม้จะโหดร้าย แต่เขาคงไม่กล้าทำแบบนั้น ชายชราคนนี้ยังคงกลัวเหตุการณ์นั้นอยู่
“เหล่าหู เมื่อเทียบกับพ่อของคุณแล้ว ถือว่าคุณยังเป็นคนดีอยู่!”
ความจริงแล้ว เยี่ยเทียนชอบชีวิตที่เรียบง่ายไม่ผูกมัดกับโลกภายนอก ชีวิตนี้ขอให้มีเหล้า มีเนื้อกินอย่างสบายอกสบายใจ แต่พอเกิดมาชีวิตของเขาก็ต้องเข้ามาแปดเปื้อนกับเลือดมาตลอด
“เฮ้ เธอเลวร้ายยิ่งกว่าพ่อของฉันเสียอีก!”เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเปรียบเทียบตัวเองเขาเองกับพ่อของเขา หูหงเต๋อเหมือนโดนดูถูก
ตามความคิดของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนที่พึ่งเป็นเด็กอายุยี่สิบกว่าที่มีวิทยายุทธอันร้ายกาจติดตัวก็จริง เกรงว่าเมื่อเห็นเลือดคนคงจะทำอะไรไม่ถูกไปเลย
“เหล่าหู ถ้าผมเกิดในตอนนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะแย่งตำแหน่งพ่อของคุณก็ได้นะ!”เยี่ยเทียนยังไม่ยอมรับ ศิษย์พี่ใหญ่มีชื่อเสียงที่โด่งดังขนาดนี้ เยี่ยเทียนจะให้ดูด้อยกว่าได้อย่างไร
“พอแล้ว กินอะไรสักหน่อยก็รีบพักผ่อนเถอะ”
หลังจากเดินขึ้นเขาและบุกป่ามาทั้งวัน หูหงเต๋อก็หมดแรงทนไม่ไหวแล้ว มองไปเยี่ยเทียนที่ยังมีท่าทางฮึกเหิมอยู่ รีบโบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่าเมิ่งตาบอดอยู่ที่ไหนในในภูเขา พรุ่งนี้พวกเราจะไปทางลัด ไปดักเขาไว้!”
ตอนที่ 418 พบกับศัตรู (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนกลางคืนในภูเขาฉางไป๋นั้นเงียบผิดปกติ ราวกับอยู่ในโลกหนึ่งที่ไร้เสียง ในบ้านไม้มีแค่เสียงฟืนที่แตก“พึบๆ” ออกมา ถึงทำให้รู้สึกตัวได้ว่านี่อยู่ในโลกของความจริง
สภาพแวดล้อมนี้เหมาะมากสำหรับการเดินลมปราณ หลังจากที่หูหงเต๋อทานข้าวอิ่มแล้วก็นอนหลับไป เยี่ยเทียนลุกไปนั่งเงียบๆ ที่มุมของบ้าน ใช้ความรู้สึกสัมผัสถึงผืนดินอันบริสุทธิ์ที่ไม่มีใครมาแตะต้อง
แตกต่างจากพลังงานจากค่ายกลในเรือนสี่ประสานที่ปักกิ่ง พลังงานที่นี่ไม่เข้มข้นเท่า แต่กลับเป็นพลังงานที่สะอาดและบริสุทธิ์ เหมือนกับพลังงานจากหยกที่เยี่ยเทียนได้มา
“เมื่อเห็นพลังงานที่เกิดจากความศรัทธาของศาสนาพุทธและสาสนาทางตะวันตก ที่สามารถคงอยู่ได้นาน และมีผู้ที่เลื่อมใสศรัทธามากมาย ต้องมีสิ่งที่พิเศษเฉพาะตัว!”
เมื่อคิดถึงพลังงานชนิดนั้นในตอนที่พบกับเมิ่งตาบอดระหว่างที่ต่อสู้กันเมื่อหลายวันก่อน ความคิดของเยี่ยเทียนก็อดคิดถึงพระพุทธศาสนาและนิกายทางตะวันตกไม่ได้ ตอนนี้ในหัวของเขาว่างเปล่า เปลี่ยนความคิดของเขาไปยังสิ่งที่เขาศรัทธา
เยี่ยเทียนค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ เข้าไปอยู่ในสมาธิขั้นสูง ลมหายใจก็เปลี่ยนไป ทุก ๆ สองสามนาที ถึงจะเห็นการขึ้นลงของหน้าอก
“ซาซา……ซาซา……”ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้ากระทบกับหิมะไปถึงหูของเยี่ยเทียน ปลุกเขาออกจากการทำสมาธิ
“เหล่าหู ตื่นๆ!”เยี่ยเทียนเริ่มปริปากพูด หูหงเต๋อที่เดิมทีกำลังหลับใหลอยู่ก็ลืมตาขึ้น คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในภูเขา ระแวดระวังไม่น้อยกว่าเยี่ยเทียนเลย
“ตุ๊บๆ!”เสียงดังก้องกังวาน บ้านไม้ทั้งหลังสั่นไปหมด ประตูที่ไม่แข็งแรงบานนั้นถูกกระแทกจากด้านนอก เงาดำที่มาพร้อมกับลมหนาวจนเข้ากระดูกได้เข้ามาที่ในบ้าน
“เฮ้ย หมีดำเหรอ !”สายตาของเยี่ยเทียนดีมาก สายตาก็เห็นเป็นหมีดำที่มีความสูงประมาณหนึ่งเมตรห้าสิบเซนติเมตร
หลังจากที่เข้ามาในบ้าน หมีดำตัวนั้นก็เหมือนจะกลัวกองไฟ แต่ก็ไม่อยากออกไป ใช้จมูกดมไปที่พวกเยี่ยเทียนทั้งสองคน แล้วมุดเข้าไปที่มุมหนึ่งของกระท่อมล้มตัวลงนอนหลับไปโดยไม่สนใจอะไร
“หมี……หมีดำตัวนี้ใครเป็นคนเลี้ยง”
เมื่อเห็นภาพนี้ เยี่ยเทียนก็เบิกตาโต ในความคิดของเขา หมีดำเป็นสัตว์ที่ทำร้ายมนุษย์ แต่จากที่เห็นข้างหน้ากลับเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขารู้มา
ที่จริงก็เยี่ยเทียนเตรียมรับมือแล้ว ไม่ต้องออกแรงเหยื่อก็เข้ามาอยู่ในอุ้งมือ คิดว่าพรุ่งนี้จะได้กินอุ้งเท้าของหมี แต่ด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสาของหมีตัวนี้ ทำให้เยี่ยเทียนไม่สามารถลงมือได้
“ฮึม!” เหมือนกำลังจะตอบคำถามของเยี่ยเทียน หมีดำตัวนั้นพลิกตัวขึ้นมา พร้อมกับส่งเสียงออกมา
“ให้มันนอนที่นี่เถอะ เจ้าหมีดำตาบอดนี่ คงไม่ทำร้ายใครหรอก!”
หูหงเต๋อก็คิดไม่ถึงว่ากลางดึกจะมีหมีดำตาบอดเข้าในบ้าน ลุกขึ้นส่ายหัว แล้วยกแผงประตูไปปิดทางที่ลมเย็นเข้ามาในห้อง
“เหล่าหู ถ้ามันเอาก้นนั่งบนตัวคุณทั้งคืนจะทำยังไง ”
เยี่ยเทียนเคยได้ยินคนพูดว่า สำหรับหมีดำสิ่งที่ทรงพลังมากที่สุดไม่ใช่ฝ่ามือที่ตบออกมา แต่เป็นก้นของมัน คนที่แข็งแกร่งเมื่อถูกก้นมันนั่งทับ ก็อาจกลายเป็นเนื้อบดได้
หูหงเต๋อยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร นี่เพิ่งเข้าฤดูหนาว ในท้องของมันมีน้ำมันเต็มไปหมด คาดว่าเจ้านี้จะหาโพรงไม้ไม่เจอ ก็เลยเข้ามาที่นี่……”
หมีดำที่ใช้ชีวิตอยู่ในทางเหนือ จะเคยชินกับการจำศีล ทุกปีตอนที่หิมะตก พวกมันจะขดในโพรงไม้ไม่กินไม่ดื่มอะไร อาศัยไขมันที่สะสมก่อนหน้านี้ในช่วงฤดูหนาว
แต่ถ้าหมีดำเข้าสู่การจำศีล แล้วถูกคนปลุกให้ตื่น ก็จะไม่เชื่องขนาดนี้ จะดุร้ายเหมือนเสือในป่า ต้องพยายามถอยให้มันเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ
คืนนั้นทั้งคืน คนสองคนกับหมีหนึ่งตัวก็อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ในวันที่สองตอนเช้า ขณะที่เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อจะออกบ้าน หมีตัวใหญ่นี้ก็ยังส่งเสียงคำรามดังสนั่นมองดูทั้งสองคนที่กำลังจะเดินทางจากไป
“เหล่าหู จะทำอะไรต่อ จะไปตามหาพวกเมิ่งตาบอด หรือไปขุดโสม” หลังจากที่ออกมาจากบ้านไม้ เยี่ยเทียนก็มองไปที่หูหงเต๋อ เขาไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์บนภูเขาแบบนี้
หูหงเต๋อคิดสักพัก พูดว่า “ไปตามหาเมิ่งตาบอดดีกว่า โสมขุดช้าไปสองสามวันก็ไม่เป็นไรหรอก!”
หูหงเต๋อไม่อยากเสียเปรียบฝ่ายตรงข้าม หลังจากอยู่บนบนภูเขาฉางไป๋เป็นเวลาหลายปี คนแก่จวนเข้าโลงอย่างเขากลับถูกเมิ่งตาบอดคิดร้ายเอา แม้กระทั่งหลานสาวของเขาก็เกือบจะถูกฆ่าตาย ทำให้เขาหายใจไม่เต็มปอด
“ดี ผมเองก็อยากเห็นวิชาลัทธิชามันกับตา!”เยี่ยเทียนกลับไม่สนใจ เขาสนใจในความสามารถของเมิ่งตาบอดที่มีวิชาเรียกวิญญาณโดยไม่ต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง
“ลืมเอาสมุนไพรต้าฮวงมาด้วย ไปเถอะ ทางขึ้นภูเขามีแค่เส้นทางเดียว น่าจะเห็นร่องรอยที่พวกเขาทิ้งไว้!”
ตอนที่พวกเมิ่งตาบอดขึ้นไปบนภูเขา หิมะยังตกอยู่ หิมะตกที่หนักจึงกลบร่องรอยหลายอย่าง แต่หูหงเต๋อที่อยู่บนภูเขามาหลายปี ขอแค่ให้มีเบาะแสเล็กๆ ใดก็ได้ เขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายเดินไปทางไหน
หลังจากปีนขึ้นไปภูเขาสูงกว่า 2,000 เมตร ก็พบกองไฟถูกฝังอยู่ใต้หิมะ
หลังจากที่หูหงเต๋อมองไปรอบๆ ก็พูดว่า “ถูกต้อง เมิ่งตาบอดไปทางหมู่บ้านบนภูเขา!”
“หมู่บ้านภูเขาที่ปีนั้นพ่อของคุณเคยอยู่ใช่ไหม”เยี่ยเทียนถามด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง ที่นั่นภูมิประเทศสูงชัน และยังเป็นที่ลับมาก นอกจากตัวฉันเองแล้ว ก็หาเจอได้ยาก”
พอพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของหูหงเต๋อเผยสีหน้าที่โกรธแค้นขึ้น “ที่จริงเมิ่งตาบอดก็ไม่รู้จักที่นั่นหรอก แต่ปีนั้นพ่อของฉันพามันมาเอง มันกลับทรยศเนรคุณ!”
ในตอนที่พ่อของเมิ่งตาบอดถูกยิงตาย หูอวิ๋นเป้าที่เมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆ ก็จะพาเมิ่งตาบอดไปอาศัยอยู่บนภูเขาสองสามเดือน และยังสอนวิชาเล็กน้อยให้กับเขา
แต่ต่อมาการตามจับหูอวิ๋นเป้าเริ่มเข้มข้นขึ้น เขากลัวเมิ่งตาบอดลำบาก ก็เลยส่งกลับบ้านไป ทำให้เมิ่งตาบอดเกลียดแค้นหูอวิ๋นเป้า
เยี่ยเทียนส่ายหน้า พูดว่า “เหล่าหู ไม่ถูกต้อง เมิ่งตาบอดก็น่าจะรู้ว่าคุณก็รู้ทางไปหมู่บ้านบนภูเขานั่น เขาไม่กลัวคุณตามไปทันเหรอ”
“ไอ้คนนี่มันมีจิตใจอำมหิต ที่เข้ามาที่ภูเขานี่คาดว่ามีเจตนาอะไรที่ไม่ดีแน่ คงอยากจะลองดีกับฉัน”
ถ้าพูดว่าบนโลกนี้คนที่เข้าใจตัวเราเองมากที่สุด ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัว ก็ต้องเป็นคนที่เกลียดคุณจนเข้ากระดูก ก็เหมือนกับเมิ่งตาบอดที่รู้ว่าหูหงเต๋อจะตามเข้าไปในภูเขาเหมือนกัน หูหงเต๋อก็รู้จิตใจของเมิ่งตาบอดเป็นอย่างดี
“งั้นถ้าพวกเราบุกเข้าไป ก็เป็นไปตามความต้องการของเขา” ถึงแม้กลยุทธของเมิ่งตาบอดจะไม่ซับซ้อน แต่ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่า เยี่ยเทียนไม่อยากตกลงไปในหลุมพรางนี้
“ไม่เป็นไร ผมรู้เส้นลัด พวกเราสามารถไปถึงหมู่บ้านในภูเขา ก่อนพวกมัน”
ใบหน้าของหูหงเต๋อยิ้มอย่างโหดเหี้ยม “พ่อของฉันเป็นถึงหัวหน้าภูเขาฉางไป๋ ลูกของเขาก็ต้องไม่ใช่คนขี้ขลาด อยากจะประลองกับฉัน ฝีมือของเมิ่งตาบอดยังอ่อนหัด!”
ชื่อเสียงเรียงนามของหูหงเต๋อที่ภูเขาฉางไป๋ไม่ใช่ว่าอยู่ๆก็ได้มา ปีที่ทหารญี่ปุ่นบุกเข้ามา หูหงเต๋ออายุราวๆสิบสี่ปี ยังฆ่าพวกสารเลวญี่ปุ่นได้ตั้งหกคนโดยที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพ่อของเขา นี่คือเหตุผลที่เขาได้รับการยอมรับจากคนทั่วไป
เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อ ต่างก็เป็นคนที่มีฝีมือยอดเยี่ยม ภูเขาที่คนธรรมดาดูเหมือนจะผ่านไม่ได้ สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีอะไรมาก ภายในหนึ่งวัน พวกเขาก็ข้ามภูเขาสองลูกได้แล้ว
คืนนั้นพวกเขาพักในบ้านไม้อีกหลังในภูเขา ทั้งสองผลัดกันเฝ้ายาม เพราะตามคาดการณ์ของหูหงเต๋อพวกเขาเข้าใกล้เมิ่งตาบอดแล้ว ถึงแม้พวกมันจะเดินทางล่วงหน้ามาแล้วสามวันก็ตาม
เช้าวันต่อมา หูหงเต๋อยังคงพาเยี่ยเทียนบุกเข้าไปในป่าทึบ พอถึงตอนเที่ยง ทั้งสองคนก็มาถึงตีนเขาแห่งหนึ่ง
ชี้ไปยังหมอกที่ปกคลุมอยู่บนภูเขา หูหงเต๋อพูดว่า “เยี่ยเทียน นั่นคือบ้านที่พ่อฉันเคยหลบอยู่ แต่ก่อนที่ตีนเขาจะมีบ้านอยู่หลายหลัง แต่ถูกพวกทหารญี่ปุ่นเผาจนหมด!”
“เป็นสถานที่ที่ดี ง่ายต่อการป้องกันและยากในการโจมตี”
เยี่ยเทียนดูอย่างละเอียดสักพักหนึ่ง ยอดเขานี้แตกต่างยอดเขาอื่นของภูเขาฉางไป่ ทางขึ้นที่มีระยะยาวไกลมีความลาดชัด มีแค่ทางขึ้นเล็กๆ ทางหนึ่งที่สูงและชันมาก ในปีนั้นทหารญี่ปุ่นคงจะสูญเสียกำลังพลเป็นอย่างมาก
“เหล่าหู เป็นอะไรไป”เมื่อเห็นสายของหูหงเต๋อที่จ้องมองไปยังภูเขาที่คดโค้งลูกนั้น เยี่ยเทียนถึงกลับไปตบที่ไหล่ของเขา
“เฮ้อ ไม่เป็นไร เยี่ยเทียน พวกเราขี้นภูเขาก่อนเถอะ ไปรอพวกมันบนภูเขากัน!”
หูหงเต๋อไม่ได้มาที่นี่หลายปี ยืนอยู่ที่ตรงตีนภูเขาสักพักหนึ่ง เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ก็ตกอยู่ในภวังค์
เยี่ยเทียนใช้มือในการคำนวณทำนายสักพัก คิ้วขมวดขึ้น ยืนมือไปจับหูหงเต๋อ พูดว่า
“เดี๋ยวก่อน ผมเพิ่งคำนวณเมื่อกี้ พวกมันน่าจะอยู่ที่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 30 ไมล์ ยังไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขา!”
คนรู้วิชาพยากรณ์ส่วนใหญ่จะรู้ถึงวิธีได้รับโชคดีและการหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้าย เมื่อเยี่ยเทียนมาอยู่ในจุดที่พวกเมิ่งตาบอดเคยมา ก็สามารถทำนายได้ว่าตอนนี้พวกมันตอนนี้อยู่กลางภูเขาและไม่ห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่ การพยากรณ์ของเยี่ยเทียนถือว่าแม่นยำสูงมาก
“อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ 30 ไมล์เหรอ ตรงนั้นมันที่ตั้งของบึงน้ำมังกรดำ”
หูหงเต๋อได้ยินถึงกับตะลึง ที่ตรงนั่นมีบึงน้ำที่ลึกมาก ตลอดทั้งปีถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันพิษ น้อยคนที่จะกล้าเข้าใกล้บริเวณนั้น
เมื่อหูหงเต๋ออธิบายเกี่ยวกับบึงน้ำมังกรดำ เยี่ยเทียนยิ้มพูดว่า “เหล่าหู ก็เป็นแค่ถ้ำเสือ ผมและคุณจะกลัวอะไรอีก!”
“ดี เมื่อพบกับศัตรู คนที่กล้าเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ชนะ พวกเราไปกัน!”
หูหงเต๋อพูดกับเยี่ยเทียนอย่างโกรธแค้น โยนของหลายอย่างลงบนพื้น แค่ถือคันหน้าไม้ไว้ ที่ระหว่างเอวก็ยังพกมีดภูเขาที่แหลมคมเล่มหนึ่ง
เนื่องจากในภูเขาเป็นป่าทึบ เมื่อประจันหน้ากันในป่า พวกอาวุธปืนจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด ในการต่อสู้แบบประชิดตัวอาวุธพวกนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“รีบหน่อย เดินเร็วอีกหน่วย เดินไปอีกเจ็ดแปดไมล์ถึงจะพักผ่อนได้!”
ห่างออกไปจากที่พวกเยี่ยเทียนสองคนอยู่อีกมากกว่าสามสิบไมล์ เมิ่งตาบอดกำลังเร่งตุนจื้อเซินและพรรคพวก เขารู้ตัวว่าการที่พาพวกนี้มาด้วยเป็นความผิดพลาดอย่างมาก มันทำให้เขาไปถึงที่รังเก่าช้าไปอีกหนึ่งวันจากที่คาดการณ์ไว้
ทำให้เมิ่งตาบอดร้อนใจเป็นอย่างมาก บางครั้งในใจของเขาก้รู้สึกสั่นระรัว เหมือนเมื่อตอนอายุสิบแปดที่ถูกเสือโคร่งไซบีเรียจ้องหน้า แล้วเขาก็รู้สึกได้ด้วยตัวเองว่า หูหงเต๋อห่างจากเขาไม่ไกลแล้ว
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น