ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 415-430
ตอนที่ 415 มีตะปู
การแสดงแรกแสดงเสร็จไปในไม่ช้า อู่เหมยอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ จนปวดท้องน้อย เจียงซินเหมยมีประสบการณ์ แค่มองดูก็รู้เลยว่าอู่เหมยตื่นเต้น พูดกลั้วหัวเราะว่า “ตื่นเต้นแล้วใช่ไหม? ไม่เป็นไร เธอก็คิดซะว่าคนข้างล่างเป็นท่อนไม้ทั้งหมดก็สิ้นเรื่อง ฉันก็คิดแบบนี้ทุกครั้งแหละ”
อู่เหมยส่ายหัวอย่างยากลำบาก “ไม่ได้ ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำ”
“เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่ทันแล้ว ฉันไปกับเธอก็แล้วกัน จะได้ช่วยเธอถอดเสื้อผ้า”
เจียงซินเหมยรีบรวบชุดเต้น อยู่ข้างหลังเหมือนเด็กถือดอกไม้ในงานแต่ง แบบนี้ชุดก็จะไม่เปื้อน อู่เหมยยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ ถอดรองเท้าเต้นออก เปลี่ยนเป็นรองเท้าตัวเอง ค่อยๆ วิ่งไปทางห้องน้ำ
สถานที่ที่พวกอู่เหมยอยู่นั้นอยู่ใกล้กับประตูใหญ่ด้านหนึ่ง อีกทั้งยังมีฉากกั้น หากไม่ตั้งใจจะไม่สามารถมองเห็นด้านในได้ สยงมู่มู่และอู่เชาพวกเขายังไม่กลับมา ในตอนนี้ไม่มีคนแม้แต่คนเดียว
อู่เยวี่ยมองไปทางนั้นอย่างว่างเปล่า มีความคิดบ้าบิ่นเกิดขึ้นมาในใจของเธอ สายตาก็ยิ่งสว่างวาววับ
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
อู่เยวี่ยพูดกับเพื่อนร่วมห้องเสียงเบา ถือโอกาสหยิบของบางอย่างจากโต๊ะข้างตัว ออกไปทางประตูใหญ่ ตอนที่ผ่านสถานที่ที่พวกอู่เหมยอยู่ อู่เยวี่ยก็ชนเข้ากับม้านั่ง ดูแล้วชนไปไม่เบาเลย ก้มตัวลงไปนวดคลึงอยู่สักพัก
สยงมู่มู่กับอู่เชาพูดคุยหัวเราะกลับมาถึงพอดี เห็นอู่เยวี่ยยังนั่งนวดคลึงเท้าเล็กๆ อยู่ สีหน้าดูลุกลี้ลุกลน อู่เชารีบถาม “พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไร แค่ดินชนม้านั่งเฉยๆ เสี่ยวเชาอีกเดี๋ยวตั้งใจแสดงให้ดีๆ นะ ฉันจะให้กำลังใจอยู่ด้านหลัง”
อู่เยวี่ยสงบอารมณ์ลงมาอย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างอ่อนหวานสวยงาม และยังหันไปผงกหัวให้สยงมู่มู่อีกด้วย แล้วเดินตรงไปทางห้องน้ำ
“นายจะสนใจเธอทำไม?”
สยงมู่มู่รู้สึกไม่ค่อยพอใจ เขาเป็นคนที่แบ่งรักหรือเกลียดไว้อย่างชัดเจน คนที่ชอบจะก่อเรื่องวุ่นวายแค่ไหนก็ได้ คนที่ไม่ชอบแม้กระทั่งมองก็ยังไม่ควรค่าแก่การมองแม้แต่นิดเดียว ไม่เหมือนคนบางพวก คนที่ไม่ชอบแค่ไหนก็ยังต้องเสแสร้งพูดคุยอยู่หลายประโยค
อู่เชาตอกกลับอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน เป็นลูกพี่ลูกน้องญาติสนิทตามสายเลือด หรือว่านายจะให้ฉันไม่ต้องมีความสัมพันธ์กับใครทั้งสิ้นไม่ต้องเห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น?”
สยงมู่มู่มองเขาอย่างเห็นใจ ยื่นมือออกไปตบหัวของเด็กอ้วนน้อยเบาๆ “มีลูกพี่ลูกน้องที่เป็นบ้าขนาดนี้ คงทำให้นายลำบากแล้วจริงๆ”
อู่เชาส่งเสียงเฮอะ ตบไปที่มือของเขา เริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า อาจารย์ประจำชั้นทั้งสองเข้ามาเร่งหลายรอบแล้ว บอกให้พวกเขารีบไปเตรียมตัว
อู่เหมยและเจียงซินเหมยรีบวิ่งกลับมาอย่างรีบร้อน อาจารย์แต่งหน้ายังคิดจะเข้ามาแต่งหน้าให้พวกเขา อู่เหมยชี้ไปที่หน้าของตัวเองที่แต่งเตรียมขึ้นเวทีไว้แล้ว อาจารย์แต่งหน้าพลันรู้สึกว่าตัวเองด้อยฝีมือในทันที เธอคงแต่งให้ได้แค่ก้นลิงเท่านั้น อย่าทำร้ายใบหน้าเล็กๆ ของเด็กน้อยเลยจะดีกว่า
“อู่เหมย อู่เชา สยงมู่มู่ พวกเธอรีบๆ หน่อย อีกสองนาทีก็จะต้องขึ้นเวทีแล้ว รีบๆ หน่อย!”
อาจารย์อู๋วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา หน้าหนาวแบบนี้แต่ดูเหมือนเธอวิ่งในหน้าร้อนยังไงอย่างนั้น ลำบากเธอแล้วจริงๆ
อู่เหมยรีบร้อนจัดชุดเต้นรำให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วก็ส่องกระจกสำรวจทรงผมและการแต่งหน้า สมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ!
สุดท้ายถึงจะเปลี่ยนเป็นรองเท้าเต้น รองเท้าเต้นเป็นรองเท้าที่เฮ่อเหวินจิ้งตั้งใจซื้อให้เธอ สีเดียวกันกับชุดเต้น สวยงามเป็นอย่างมาก
“โอ๊ย”
อู่เหมยที่เพิ่งจะสวมเข้าไป ก็เจ็บจนร้องออกมาเสียงดัง กระโดดขึ้นมาเหมือนสปริง ทำเอาทุกคนตกใจกันยกใหญ่
“เป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
อาจารย์อู๋ตึงเครียดกว่าใครทั้งนั้น เธอปรารถนาว่าอู่เหมยในการแสดงนี้จะนำมาซึ่งเกียรติยศให้เธอ ห้ามเกิดเรื่องผิดพลาดโดยเด็ดขาด!
“ในรองเท้ามีตะปู ฉันเจ็บส้นเท้า”
อู่เหมยถอดรองเท้าขาดซ้ายออกมาแล้ว ส้นเท้ามีตะปูตัวใหญ่แทงอยู่ มีเลือดไหลซึมออกมาไม่ขาดสาย
…………………………………………..
ตอนที่ 416 ใครเป็นคนใส่ตะปู
“นี่…นี่ทำไมถึงได้มีตะปูได้ล่ะ? อู่เหมยรีบถอดถุงเท้าออกมาให้ครูดูหน่อยว่าเป็นแผลรุนแรงหรือไม่?”
อาจารย์อู๋ถึงแม้ว่าจะหงุดหงิด แต่เธอเป็นห่วงเท้าของอู่เหมยมากกว่า มากเกินกว่าการแสดงที่จะนำเกียรติยศมาให้ เธอไม่อยากให้นักเรียนเกิดเรื่องขึ้นมากกว่า
เจียงซินเหมยประคองอู่เหมยนั่งลง แล้วดึงตะปูตัวใหญ่ออกมาก่อน แล้วก็ถอดถุงเท้าแทนเธอ โชคดีที่อู่เหมยมีปฏิกิริยาตอบโต้ไวเลยแทงไม่ลึกมาก เพียงแค่ทำให้เกิดแผลนิดหน่อย
“ไม่เป็นอะไร ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว ไม่มีผลต่อการเต้นหรอก” อู่เหมยพูดยิ้มๆ
เพียงแค่แผลเล็กๆ เธอน่าจะสามารถอดทนได้ ถึงอย่างไรการแสดงนี้ก็ทำพวกเขาเสียเวลาไปเดือนกว่า แถมยังเป็นการทุ่มแรงกายแรงใจของเฮ่อเหวินจิ้ง ถ้าหากยอมแพ้กลางคัน เธอจะสู้หน้าเฮ่อเหวินจิ้งได้ยังไงกัน?
ยังมีจ้าวอิงหนานสามีภรรยาด้านล่างเวทีนั้น คุณปู่คุณย่าของสยงมู่มู่ ไม่สามารถให้พวกเขาผิดหวังกลับไปได้!
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เธอไม่อยากให้อู่เยวี่ยหัวเราะเยาะได้ แล้วก็คิดอยากจะให้พวกคุณปู่ตั้งใจดูดีๆ ว่าเธอเต้นดีกว่าอู่เยวี่ยเป็นร้อยเท่า
อาจารย์อู๋เห็นว่าแผลไม่ลึกมากก็วางใจ เพียงแค่กำชับอู่เหมยว่าอย่าพยายามจนเกินไป ถ้าหากไม่ไหวก็ให้ยกเลิก ร้ายแรงที่สุดก็แค่การแสดงเป็นโมฆะไป ถึงอย่างไรก็เป็นแค่การแสดงของทางโรงเรียนเท่านั้น ยังไงก็พูดคุยกันได้
“ในรองเท้าทำไมถึงมีตะปูได้ล่ะ? เห็นชัดๆ ว่าก่อนที่พวกเราไปเข้าห้องน้ำยังไม่มีเลย!”
เจียงซินเหมยสงสัยอย่างถึงที่สุด ก่อนที่อู่เหมยจะไปเข้าห้องน้ำก็ใส่รองเท้าเต้นตั้งหลายรอบ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยสักนิด ตอนนี้ตะปูอันนี้กระโดดมาจากไหน?
“เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากัน พวกเธอรีบเตรียมตัวขึ้นเวที ผู้ประกาศเขาประกาศการแสดงของพวกเธอแล้ว มา หายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับครู หนึ่ง สอง สาม หายใจเข้า หายใจออก โอเค ไม่ต้องตื่นเต้น!”
ท่าทางและอารมณ์การแสดงออกของอาจารย์อู๋นั้นเว่อร์เป็นอย่างมาก อู่เหมยที่เดิมยังรู้สึกตื่นเต้น ก็อดไม่ไหวหัวเราะพรืดออกมา อารมณ์ตื่นเต้นก็ค่อยๆ หายไป
เจียงซินเหมยหยิบรองเท้าทั้งสองข้างมาเขย่าๆ กลับแล้วเทมีตะปูออกมาอยู่หลายชิ้น ส่องแสงวาววับ อาจารย์อู๋ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว แต่ไม่ได้แสดงออกบนใบหน้าของเธอ ซึ่งยังคงยิ้มอย่างมีความสุข
“น่าจะไม่มีตะปูแล้วล่ะ อู่เหมยรีบเปลี่ยนรองเท้าเร็ว”
เจียงซินเหมยช่วยอู่เหมยใส่รองเท้า ปากก็สบถด่าออกมา “ถ้าฉันจับได้ว่าสารเลวตัวไหนเป็นคนใส่ตะปูนะ จะตบหน้าสั่งสอนให้เข็ด ใจดำอำมหิตชะมัด!”
ในใจของอู่เหมยก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ตะปูอันนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนตั้งใจเอามาใส่ไว้ เป้าหมายชัดเจน คือทำร้ายให้เธอขึ้นไปเต้นไม่ได้ รอการแสดงจบก่อนค่อยไปสืบหาทีหลัง
ลากคอคนที่มีเจตนาชั่วร้ายออกมาถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำร้ายคนอีกตอนไหน!
“เสร็จแล้ว ควรขึ้นเวทีได้แล้ว!”
อาจารย์ประจำชั้นของสยงมู่มู่ก็เข้ามา อู่เหมยเดินไปข้างหน้า สยงมู่มู่และอู่เชาอยู่ข้างหลัง ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเวที
จ้าวอิงหนานสะกิดพ่อแม่ของสามีที่กำลังสัปหงกอยู่ พูดเสียงเบาว่า “พ่อคะแม่คะรีบตื่นเร็ว ถึงการแสดงของมู่มู่แล้ว”
ทันใดนั้นคุณปู่สยงและคุณย่าสยงก็เหมือนกับได้รับการบำรุงด้วยเลือดไก่ กระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที มองไปบนเวทีตาเป็นประกาย เห็นคนที่ใส่ชุดโบราณยุคฮั่นสีขาว หลานชายสุดที่รักเหมือนกับเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ก็ไม่ปาน ยิ้มจนปากหุบไม่ลงเลยทีเดียว
“สยงมู่มู่ของฉันแค่ยืนเฉยๆ ไม่ทำอะไรก็ดูดีมากแล้ว ยังมีเด็กน้อยคนนั้นก็ไม่เลว อิงหนานสายตาของเธอใช้ได้เลยทีเดียว พี่น้องสองคนนี้มองแล้วเหมือนคู่ที่เหมาะสมกันยังไงอย่างนั้น ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดสายตาจริงๆ!”
สองผู้เฒ่าของตระกูลสยงชมเชยไม่ขาดปาก เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นอู่เหมย แค่เห็นก็ชอบเลยทันที เป็นเด็กที่สวยมากเลยจริงๆ เหมือนเป็นคู่ที่สวรรค์สร้างมาให้กับหลานชายของพวกเขา
ลูกสะใภ้เป็นคนที่มองการณ์ไกล ยังเด็กขนาดนี้ก็สะกดทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ได้ขนาดนี้ เรื่องหลานสะใภ้ก็ไม่ต้องกลุ้มใจแล้ว!
สยงมู่มู่ยกมือขึ้นทั้งสองข้าง บรรเลงฉินอย่างสง่างาม ทำให้พวกอาจารย์นักเรียนที่กำลังง่วงเหงาหาวนอนกันอยู่ตื่นขึ้นในทันที ภาพตรงหน้าสว่างชัดเจน ดูอย่างตั้งอกตั้งใจขึ้นมา
อู่เหมยก็เริ่มเต้นช้าๆ แปลกมาก ตอนที่อยู่ข้างล่างเวทีเธอรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่พอขึ้นมาบนเวที ใจของเธอกลับสงบลงมาได้ เหมือนกับตอนซ้อมเต้น เต้นอย่างสง่างาม
…………………………………………..
ตอนที่ 417 เจ็บ
อาจารย์และนักเรียนด้านล่างเวทีต่างก็มองอย่างหลงใหลประหนึ่งคนเมา ดนตรีที่เลิศล้ำบวกกับการเต้นรำที่สง่างามและมีชีวิตชีวา ทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาได้เจอสิ่งแปลกใหม่ ผู้คนที่กำลังพูดคุยกันก็เงียบลง ตั้งใจชื่นชมเพลิดเพลินกับการแสดง
“ดีดกู่เจิงได้ดี ขลุ่ยก็เป่าได้ดี การเต้นรำยิ่งดี การแสดงนี้ไม่เลว ค่อนข้างดีเยี่ยม อาจารย์ใหญ่หยวน โรงเรียนของพวกคุณช่างมีแต่คนที่มีพรสวรรค์มีความสามารถเข้ามาเยอะแยะไม่ขาดสายเลยจริงๆ!”
เหยียนโฮ่วเต๋อชื่นชมไม่หยุด เขาจำพวกอู่เหมยไม่ได้ รู้สึกจากใจจริง ๆ ว่าการแสดงนี้ดี ดีกว่าพวกกลุ่มการแสดงร้องหมู่ก่อนหน้านี้ตั้งเยอะ การแสดงนี้มีแนวความคิดใหม่ ผู้นำที่อยู่เบื้องบนจะต้องชอบแน่ๆ
อาจารย์ใหญ่หยวนหัวเราะอย่างลำพองใจ ชี้ไปทางที่นั่งแขกผู้มีเกียรติด้านหน้าที่มีคุณปู่อู่และคุณปู่สยงพูดว่า “เด็กที่เต้นอยู่คือหลานสาวของผู้เฒ่าอู่แห่งจินต้า พ่อของเธออธิบดีเหยียนก็รู้จัก ก็คืออาจารย์อู่ที่ได้ตำแหน่งอาจารย์แบบอย่างติดกันเจ็ดปีไงล่ะ”
เหยียนโฮ่วเต๋อหันไปมองบนเวทีอีกครั้ง เริ่มคุ้นๆ จำอู่เหมยได้ขึ้นมาบ้างแล้ว พูดยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นลูกสาวของอาจารย์อู่ เสือไม่ออกลูกสาวเป็นสุนัขจริงๆ เอ๊ะ ผมจำได้ว่าอาจารย์อู่ยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคนก็มีความสามารถยอดเยี่ยม เพิ่งจะได้ที่สองจากการวาดภาพประจำเมืองไป!
“ก็คือเด็กคนนี้แหละ เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของอาจารย์อู่ ชื่ออู่เหมย มีพรสวรรค์ทั้งด้านศิลปะและดนตรี” ใบหน้าของอาจารย์ใหญ่หยวนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เอ่ยชื่นชมอู่เหมยเสียจนตัวลอย
เหยียนโฮ่วเต๋อมองอู่เหมยที่หมุนไม่หยุดอยู่บนเวทีอย่างชื่นชม เขาชอบเด็กที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครแบบนี้นี่แหละ เป็นหน้าเป็นตาให้กับผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างมาก!
“ยังมีเด็กอ้วนน้อยที่เป่าขลุ่ยนั่น เป็นลูกชายของพี่ชายคนโตของอาจารย์อู่ อายุยังน้อยก็สามารถเติมคำเข้าไปในกลอนได้ การเขียนรายงานนั้นแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังสู้ไม่ได้ ส่วนเด็กคนที่ดีดกู่เจิงนั้นเป็นหลานชายของคุณสยงอดีตหัวหน้าคณะระบำขององค์กรพวกเรา ชื่อสยงมู่มู่ ไม่เพียงแต่มีความสามารถทางด้านศิลปะด้านดนตรีสองอย่างนี้ คะแนนการเรียนก็ดียอดเยี่ยม อายุแค่สิบสองก็ข้ามชั้นไปมัธยมต้นแล้ว”
อาจารย์ใหญ่หยวนพูดจนหน้าบานเป็นกระด้ง ท่าทางภูมิใจและลำพองใจเป็นอย่างมาก อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่า โรงเรียนของเขาช่างมีแต่คนมีพรสวรรค์จริงๆ!
เหยียนโฮ่วเต๋อเคยได้ยินชื่อเสียงของสยงมู่มู่อยู่บ้าง ทำงานอยู่ในวงการข้าราชการสำคัญที่สุดก็คือการเข้าได้กับทุกฝ่าย ข่าวสารฉับไว บ้านฝั่งแม่ของสยงมู่มู่เด็กคนนี้ไม่ใช่ตระกูลธรรมดา นี่ถึงจะเป็นเหตุผลสำคัญที่เขาให้ความสนใจกับสยงมู่มู่
“ใช่แล้ว อธิบดีเหยียนยังไม่รู้ใช่หรือไม่? อาจารย์อู่และอาจารย์จ้าวดองเป็นญาติกันแล้ว อู่เหมยเป็นลูกบุญธรรมของจ้าวอิงหนาน เจิ้งซือรับเป็นญาติแล้ว”
อาจารย์ใหญ่หยวนพูดเสียงเบาที่ข้างหูของเหยียนโฮ่วเต๋อ พวกผู้นำที่มากันในวันนี้ตำแหน่งของเหยียนโฮ่วเต๋อนั้นใหญ่ที่สุด แน่นอนว่าเขาจะต้องปรนนิบัติรับใช้อย่างเต็มที่!
เหยียนโฮ่วเต๋อยิ้มเบาๆ พูดว่า “เรื่องนี้ผมรู้ ไม่มีอะไรที่อาจารย์ใหญ่หยวนสนใจแล้วไม่รู้จริงๆ แต่การดองญาติครั้งนี้คนกลางคือพ่อของผมเอง”
อาจารย์ใหญ่หยวนชะงักงันก่อนที่ต่อมาก็หัวเราะเสียงดัง “เป็นผมที่โง่เขลาไม่มีความรู้แล้ว ฮ่าๆ!”
เวลานี้อู่เหมยกลับรู้สึกไม่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว เพิ่งเต้นได้ไม่นาน เท้าขวาของเธอก็เจ็บแปลบๆ ยิ่งเต้นนานเท่าไรเท้าก็ยิ่งเจ็บ เธอรู้เลยว่าตะปูที่อยู่ในรองเท้าจะต้องเทออกไปไม่หมดแน่ๆ
ตะปูอันนั้นบังเอิญทิ่มอยู่ที่ฝ่าเท้าก่อนหน้านั้น ทุกครั้งที่เธอลงน้ำหนักที่เท้าเพื่อเต้นท่าหมุนตัว ก็เจ็บเหมือนกับใจโดนแทงยังไงอย่างนั้น อยากที่จะล้มลงไปที่พื้น ละทิ้งการแสดงในครั้งนี้ไป
แต่เธอไม่ยอม เตรียมตัวอย่างลำบากยากเย็นมาเนิ่นนานขนาดนี้ แล้วตอนนี้ก็จะล้มเหลวเพราะขาดความพยายามครั้งสุดท้าย เธอจะทำตัวกับอาจารย์เฮ่อยังไง?
ยังมีสยงมู่มู่และอู่เชา พวกเขาจะต้องผิดหวังเป็นอย่างมากแน่ๆ เธอจะต้องอดทนยืนหยัดต่อไป เจ็บแค่นี้สู้ความเจ็บปวดที่ตกลงมาจากชั้นสามสิบสามไม่ได้หรอก นับประสากับความเจ็บแค่นี้?
เธอจะต้องยืนหยัดต่อไป!
อู่เหมยกัดฟันเต้นต่อไป ความเจ็บทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยน หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ โชคดีที่เวทีอยู่ไกล คนที่อยู่ด้านล่างเวทีจะมองไม่ออก แต่พวกสยงมู่มู่กลับเห็นได้อย่างชัดเจน
…………………………………………..
ตอนที่ 418 ยืนหยัดจนถึงที่สุด
สยงมู่มู่และอู่เชาต่างก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของอู่เหมย แต่ตอนนี้ต่างคนต่างมีเรื่องต้องทำ การแสดงเริ่มไปแล้วเรียบร้อย ต่อให้ขาหักก็ต้องทำการแสดงให้จบ นี้เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของนักแสดง
พวกจ้าวอิงหนานที่นั่งอยู่แถวหน้าก็มองเห็นเหมือนกันว่ามีบางอย่างผิดปกติ จ้าวอิงหนานสะกิดพ่อสยง พูดอย่างกังวลว่า “เหมยเหมยเธอเป็นอะไร? หรือว่าเธอปวดท้อง?”
สายตาของพ่อสยงนั้นดีเป็นอย่างมาก ในชีวิตประจำวันก็ไม่ต้องใส่แว่นตา เขาหรี่สายตาสองข้างมองไปบนเวที แต่ก็มองไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้แต่ส่ายหัวอย่างงุนงง
จ้าวอิงหนานมองค้อนสามีที่ไม่เอาไหน พ่อแม่สามีต่างก็เป็นคนแก่สายตาไม่ดี ยิ่งไม่ต้องหวัง เธอมองหน้าของอู่เหมยที่ยิ่งนานยิ่งซีดขาว เหงื่อที่หน้าผากยิ่งนานก็ยิ่งเยอะ เห็นได้ชัดว่าร่างกายมีสภาพที่ไม่สบายเป็นอย่างมาก
“สามีคุณว่าเราจะทำยังไงถึงจะดี? หรือจะไม่ให้เหมยเหมยเต้นแล้ว!”
จ้าวอิงหนานพูดเสร็จก็คิดจะขึ้นไปบนเวที พ่อสยงรีบดึงเธอเอาไว้ พูดปลอบใจเสียงเบาว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน ในเมื่อเหมยเหมยเธอเลือกที่จะอดทนยืนหยัดต่อไปแล้ว พวกเราก็ควรจะต้องให้การสนับสนุนลูกสิ คุณวิ่งขึ้นไปแบบนี้ ไม่แน่ว่าลูกอาจจะโทษคุณก็เป็นได้นะ!”
คุณปู่สยงก็พูดปลอบใจเสียงเบา เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้อาวุโสแห่งศิลปะการขับร้องพื้นบ้านของจีนในจินซื่อ ให้ความสำคัญกับความรู้ความสามารถของนักแสดงเป็นอย่างมาก เขาเห็นด้วยกับการที่อู่เหมยแม้ร่างกายไม่สบายแต่กลับยังยืนหยัดอดทนเพื่อแสดงให้จบเป็นอย่างมาก
“เพียงแค่ขึ้นเวทีไป คุณก็จะเป็นนักแสดงคนหนึ่ง หน้าที่พื้นฐานที่นักแสดงจะต้องรับผิดชอบก็คือการมอบการแสดงที่งดงามให้กับผู้ชม ไม่สนว่าคุณจะเป็นไข้สูงหรือว่าแขนหักขาหัก อยู่บนเวทีก็ห้ามแสดงท่าทีใดออกมา ไม่อย่างนั้นจะเป็นการดูหมิ่นนักแสดง”
คุณปู่สยงพูดชี้แนะและสอนอย่างจริงใจ ครอบครัวของคนแก่อย่างเขาขยันขันแข็งและทุ่มเทมาตลอดชีวิต แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยให้สุขภาพร่างกายที่ไม่ดีมาส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการแสดง สามารถพูดได้ว่ามีความมุ่งมั่นและความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
จ้าวอิงหนานเข้าใจถึงเหตุผลดี เธอก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็สงบลงมามาก ภายใต้การพูดปลอบใจของพ่อสยงและพ่อแม่สามี จึงได้แต่ระงับความกังวลใจเอาไว้ นั่งมองอู่เหมยเต้นอย่างไม่สงบ
เวลาในการแสดงของพวกอู่เหมยรวมทั้งหมดแล้วก็หกถึงเจ็ดนาที แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนผ่านไปแล้วหกเจ็ดปียังไงอย่างนั้น เจ็บจนชาไปหมด ชุดเต้นก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ หัวเริ่มทื่อไปหมด ภาพตรงหน้าก็เริ่มพร่ามัว ตอนนี้เธอเต้นโดยอาศัยสัญชาตญาณขับเคลื่อน เหมือนกำลังฝันละเมออยู่ก็ไม่ปาน
ในที่สุด ——
เพลงถึงท่อนสุดท้ายแล้ว อู่เหมยหมุนอย่างรวดเร็ว ปลายเสื้อโดนเธอหมุนราวกับริบบิ้น สวยงามเป็นอย่างมาก
เสียงปรบมือของผู้ชมด้านล่างดังขึ้นมาราวกับฟ้าผ่าฟ้าร้อง อู่เหมยมีกำลังใจขึ้นมา ผู้ชมฮึกเหิมกันขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะการแสดงของพวกเขาใช่ไหม?
ก็พิสูจน์ได้ว่าเธอไม่ได้เต้นแย่ ไม่ได้ทำผิดต่อการลงแรงลงใจของเฮ่อเหวินจิ้งและพวกสยงมู่มู่อู่เชา!
ในตอนท้ายของเพลง ความเร็วในการหมุนของอู่เหมยก็ค่อยๆ ชะลอตัวลง และในที่สุดก็ฟุบลงกับพื้น ม่านบนเวทีก็ดึงลงมาช้าๆ อู่เหมยถึงได้ผ่อนลมหายใจ พร้อมกับดวงตาที่ค่อยมืดลงหมดสติไป
สยงมู่มู่และอู่เชาวิ่งเข้ามาหา ถามอย่างร้อนใจว่า “เหมยเหมยเธอเป็นอะไร?”
เพียงแต่อู่เหมยไม่ได้ตอบกลับพวกเขา ยังฟุบอยู่ที่พื้นไม่ขยับ อาจารย์อู๋อาจารย์ประจำชั้นสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ รีบวิ่งเข้ามา
”ไอหยา เป็นลมไปแล้ว”
อาจารย์อู๋ร้อนใจจนใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอและอาจารย์ประจำชั้นของสยงมู่มู่ช่วยกันอุ้มเธอไปด้านหลังเวที ครอบครัวจ้าวอิงหนานก็วิ่งเข้ามาแล้วเหมือนกัน พอเห็นหน้าของอู่เหมยที่ซีดขาว มีท่าทางไม่ได้สติ ก็ร้อนใจจนตาแดงไปหมด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เสียงตะโกนของจ้าวอิงหนานทำให้อาจารย์อู๋สะดุ้งตกใจ ในใจก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก กำลังคิดจะเปิดปากอธิบาย เจียงซินเหมยก็ร้องอย่างตกในว่า “ไอหยา รองเท้าของเหมยเหมยแดงไปหมดแล้ว!”
…………………………………………..
ตอนที่ 419 อู่เยวี่ยผู้ลำพองใจ
ชุดเต้นที่อู่เหมยใส่นั้นยาวมาก สามารถบังเท้าได้จนมิด ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจียงซินเหมยเห็นเข้า กลัวว่าเวลาผ่านไปนานพวกจ้าวอิงหนานก็ยังไม่ค้นหาสาเหตุที่อู่เหมยเป็นลมได้
“ไอหยา ทำไมเลือดถึงได้ไหลเยอะขนาดนี้?”
อาจารย์อู๋เปิดชุดให้แยกออก กลับเห็นรองเท้าสีเขียวข้างเท้าซ้ายของอู่เหมยครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีแดงไปแล้วเรียบร้อย สยดสยองน่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“เท้าทำไมถึงได้มีเลือดไหล? เท้าของเหมยเหมยได้รับบาดเจ็บหรอ?”
จ้าวอิงหนานถึงแม้ว่าจะปวดใจที่อู่เหมยเลือดไหลเยอะขนาดนี้ แต่ก็ยังผ่อนลมหายใจ เลือดไหลแสดงว่าบาดเจ็บแค่ผิวหนัง ใส่ยาหน่อยก็ได้แล้ว ที่กลัวคือกลัวการบาดเจ็บภายใน ถ้าเป็นอย่างนั้นคงน่ากังวลมากจริงๆ
พวกสยงมู่มู่ความคิดแรกที่นึกถึงคือตะปูก่อนหน้านั้น อาจารย์อู๋รีบถอดรองเท้าของอู่เหมยออก ถุงเท้าสีขาวถูกย้อมกลายเป็นถุงเท้าสีแดง ฝ่าเท้าด้านหน้ามีตะปูตัวใหญ่แทงอยู่ แทงเข้าเนื้อไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“ผิดที่ฉันเอง ตอนนั้นฉันควรจะตรวจสอบให้รอบคอบกว่านี้”
เจียงซินเหมยโทษตัวเองเป็นอย่างมาก เป็นเพราะเธอประมาทเลินเล่อเกินไป ถึงได้ทำให้เพื่อนได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ เจียงซินเหมยที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ใจจนน้ำตาไหลออกมา อาจารย์อู๋จึงรีบปลอบใจเธอ
“เป็นความรับผิดชอบอาจารย์เอง ไม่เกี่ยวกับหนูหรอก อย่าร้องเลย!”
ในใจของอาจารย์อู๋ก็ทุกข์ใจเช่นกัน นักเรียนเกิดเรื่องขึ้น แน่นอนว่าเป็นเพราะอาจารย์อย่างเธอไม่ได้พยายามทำหน้าที่ให้ดีพอ อีกทั้งตอนนั้นถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอรีบร้อนเร่งพวกเขา เจียงซินเหมยก็คงจะไม่ตรวจสอบอย่างรีบร้อน อู่เหมยก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บแบบนี้แล้ว
สยงมู่มู่โมโหเป็นอย่างมาก “หากฉันรู้นะว่าใครเป็นคนวางตะปูไว้ จะไม่ปล่อยมันไว้แน่!”
จ้าวอิงหนานได้ยินก็งุนงงสงสัยเป็นอย่างมาก บอกให้สยงมู่มู่เล่าเรื่องนี้ให้ชัดเจน สยงมู่มู่เอาเรื่องที่ก่อนการแสดงจะเริ่มก็มีตะปูอยู่ในรองเท้าเล่าออกมาจนหมด เจียงซินเหมยหยิบตะปูที่อยู่บนพื้นขึ้นมา พูดว่า “คืออันนี้แหละ หนูเทออกมาก็มีอยู่หลายอัน แต่นึกไม่ถึงว่าจะยังมีเหลืออีกอันอยู่ในรองเท้า”
ทางด้านอู่เยวี่ยการแสดงของห้องเธอเริ่มไปแล้ว อู่เยวี่ยส่งเพื่อนนักเรียนที่จะแสดงขึ้นเวทีไป ใจเธอแย่เป็นอย่างมาก นึกไม่ถึงว่าอู่เหมยนังโง่นี่จะสามารถอดทนยืนหยัดจนเต้นจบ?
หรือว่าเธอไม่เจ็บ?
แต่ตอนนั้นเธอตั้งใจปักตะปูอันหนึ่งไว้ในรองเท้า เดิมยังคิดจะปักเอาไว้ทั้งสองข้าง แต่พวกสยงมู่มู่เข้ามาเสียก่อน เลยปักได้แค่ข้างเดียว แต่ข้างเดียวก็เกินพอแล้ว
สิบนิ้วเจ็บก็เจ็บไปถึงใจ เต้นโดยที่มีตะปูปักอยู่ที่ฝ่าเท้า ก็ไม่ต่างกับการกลิ้งขึ้นภูเขา อู่เยวี่ยมั่นใจว่าอู่เหมยจะต้องรับไม่ได้กับความเจ็บปวดแบบนี้ เต้นไปไม่ถึงครึ่งก็จะต้องปล่อยไก่หน้าแตกแน่นอน
แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม อู่เหมยไม่เพียงแต่อดทนยืนหยัดจนเต้นจบ แต่ยังเต้นได้ดีมากอีกด้วย ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้เห็น แต่เสียงปรบมือของผู้ชมก็อธิบายได้ทั้งหมด
ใจของอู่เยวี่ยหล่นไปถึงระดับต่ำสุดๆ ถ้าไม่เกินความคาดหมาย การแสดงของอู่เหมยจะต้องได้รับคัดเลือกแน่นอน การแสดงก่อนหน้ายกเว้นการแสดงชายคู่นั้นแล้ว การแสดงของเธอได้รับเสียงปรบมือมากขนาดนี้ ส่วนการแสดงอื่นๆ ก็ธรรมดาๆ
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้สนใจการเข้าร่วมการแสดง แต่เธอสนใจหากอู่เหมยจะได้รับเลือก
ช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้อู่เหมยได้รับชื่อเสียงเกียรติยศมากมายพอแล้ว เธอควรจะหาวิธีมาทำลายอำนาจของนังโง่นี่ซะ!
อู่เยวี่ยหน้าอึมครึมมองไปทางอู่เหมยที่โดนล้อมเอาไว้ สายตามีความลำพองใจ ถ้าหากว่าแกได้รับแล้วมันจะยังไง?
เท้าได้รับบาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่มีทางหายแน่นอน การเข้าร่วมการแสดงของทั้งเมืองในอีกสองวันให้หลังนั้นคงไม่มีปัญญาไปแน่นอน ตำแหน่งที่ได้มานั้นมีหรือไม่มีผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน
อู่เยวี่ยปรับเปลี่ยนอารมณ์เป็นรีบร้อนและใส่ใจอย่างรวดเร็ว วิ่งมาทางอู่เหมย ถามอย่างเป็นห่วงอย่างถึงที่สุดว่า “เหมยเหมยทำไมเธอถึงได้เป็นลมไปล่ะ? ไอหยา ทำไมเท้าของเธอถึงได้เลือดออกเยอะขนาดนี้?”
เท้าซ้ายที่น่าสงสารของอู่เหมยโดนอู่เยวี่ยจ้องมองอย่างชัดเจนถี่ถ้วน รุนแรงกว่าที่เธอคิดเอาไว้หลายเท่า อย่างน้อยก็ไม่มีทางรักษาให้หายภายในก็สิบวันหรือครึ่งเดือน อู่เยวี่ยพยายามเก็บกดความดีใจที่ถาโถมเข้ามา ใบหน้าแสดงออกถึงความเป็นห่วง แสดงภาพลักษณ์เป็นพี่สาวที่ห่วงน้องสาวได้อย่างยอดเยี่ยม
……………………………………………
ตอนที่ 420 จะต้องตรวจหาฆาตกร
อู่เหมยก็ฟื้นขึ้นมาในไม่ช้า เจ็บจนต้องตื่นขึ้นมา พ่อสยงกำลังแบกเธออยู่ เตรียมที่จะพาเธอไปส่งห้องพยาบาลของโรงเรียน ด้านหลังตามกันมาเป็นพรวน ยิ่งใหญ่ตระการตามาก
“เหมยเหมยฟื้นแล้วหรอ? ยังเจ็บอยู่หรือไม่?” จ้าวอิงหนานถามอย่างห่วงใย
อู่เหมยส่ายหัว เสียงอ่อนแรงเป็นอย่างมาก “ไม่เจ็บแล้วค่ะ หนูไม่ได้เต้นแย่ใช่ไหมคะ?”
“ไม่เลย ดูดีมากๆ ลูกนี่มันจริงๆ เลย เท้ามีตะปูแทงเข้าไปก็ไม่รู้จักเรียกให้คนช่วย ยังจะซื่อบื้อทนเต้นต่อไปอีก ลูกไม่เจ็บหรือไง!” จ้าวอิงหนานพูดอย่างโมโห ทั้งโมโหทั้งรักอู่เหมย ไม่เคยพบเห็นเด็กที่ซื่อสัตย์จริงใจแบบนี้มาก่อน
อู่เหมยยิ้มอย่างน่ารักไร้เดียงสา “หนูไม่อยากยอมแพ้กลางคัน อีกทั้งอาจารย์เฮ่อและสยงมู่มู่ลูกพี่ลูกน้องพวกเขาต่างก็ลำบากมาตั้งเดือนกว่าแล้ว ไม่อยากให้มันพังทลายลงเพราะหนูแค่คนเดียว”
สยงมู่มู่ร้องเสียงต่ำ “โง่!”
ท่าทางของเขาไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ลำคอตีบตันดวงตาแดง ในใจก็ทุกข์ใจอยู่เหมือนกัน รู้สึกไม่พอใจหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าที่จะดูหมิ่นดูแคลนผู้หญิงอีกแล้ว มิน่าล่ะแม่ของเขามักจะพูดอยู่เสมอว่า บนโลกใบนี้ผู้หญิงเป็นพวกที่เหนียวทนทานที่สุดแล้ว
เขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอู่เหมยจะยืนหยัดอดทนจนเต้นจบ เหยียบตะปูไปเต้นไป อีกทั้งยังมีท่ากระโจนหมุนรอบที่เป็นท่าที่ยากมากๆ อีกด้วย เขาไม่กล้าคิดเลยว่าตอนนั้นจะเจ็บขนาดไหน
หากเปลี่ยนเป็นเขา คงจะไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้!
อู่เหมยไม่มีแรงโต้เถียงกับสยงมู่มู่ ทำได้แค่เพียงส่งเสียงฮึหนึ่งที แล้วสลบไสลไปอีกครั้ง
ทางด้านการแสดงก็ยังดำเนินต่อไป รองอาจารย์ใหญ่เข้าไปพูดใกล้ๆ หูของอาจารย์ใหญ่หยวนอยู่ครู่หนึ่ง อาจารย์ใหญ่หยวนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย สั่งกำชับรองอาจารย์ใหญ่อยู่หลายประโยค รองอาจารย์ใหญ่รีบจากมา
“อาจารย์ใหญ่หยวนหากมีเรื่องอะไรก็ไปจัดการได้นะครับ” เหยียนโฮ่วเต๋อพูดยิ้มๆ
“รองอาจารย์ใหญ่ไปจัดการแล้ว แล้วก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร ก็แค่อู่เหมยได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย”
อาจารย์ใหญ่หยวนไม่ได้บอกว่าอู่เหมยโดนตะปูแทง พูดแค่ว่าส้นเท้าได้รับบาดเจ็บ เขาอยู่ในวงการข้าราชการมาช้านาน พอได้ยินรองอาจารย์ใหญ่พูดว่ารองเท้ามีตะปูอยู่ ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นการวางแผนร้าย ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า โรงเรียนทดลองที่อยู่ภายใต้การชี้แนะของคนฉลาดอย่างเขา แน่นอนว่าในแต่ละวันล้วนเต็มไปด้วยอนาคตอันสดใส เต็มไปด้วยความเจริญก้าวหน้าสดใส จะมีคนไม่ดีเอาตะปูไปใส่ในรองเท้าได้ยังไงกัน?
มันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
เหยียนโฮ่วเต๋อพูดทันทีว่า “มิน่าล่ะถึงได้เห็นเด็กน้อยนั่นเหงื่อแตกพลั่ก เหตุผลก็เพราะเท้าเคล็ดบนเวทีนี่เอง เด็กคนนี้อึดถึกไม่เบาเลย”
อาจารย์ใหญ่หยวนผงกหัวอย่างเห็นด้วย “ไม่ผิด ลูกสาวคนเล็กของอาจารย์อู่ดูมีอนาคตเป็นอย่างยิ่ง หน้าตาก็เรียกได้ว่างดงาม เต้นรำวาดภาพทำได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งยังไม่กลัวเจ็บไม่กลัวความลำบาก และยังมีแม่บุญธรรมอย่างจ้าวอิงหนานอีก จุ๊ๆ วันหลังอนาคตจะต้องรุ่งโรจน์อย่างหยุดไม่อยู่!”
เหยียนโฮ่วเต๋อกับอาจารย์ใหญ่หยวนนั้นมีความคิดเหมือนกัน ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนกันอย่างมีความเข้าใจชัดเจน ยิ้มอย่างมีเลศนัย
เท้าของอู่เหมยบาดเจ็บรุนแรงมาก อันที่จริงก็เป็นแผลแค่รูที่โดนตะปูตำ อาจารย์ห้องพยาบาลของโรงเรียนได้จัดการทำแผลให้กับเธอ พันด้วยผ้าพันแผล แนะนำด้วยความหวังดี “เพราะว่าโดนโลหะทิ่ม เพื่อความปลอดภัยไปโรงพยาบาลฉีดยาทำแผลจะดีกว่า”
อันที่จริงอู่เหมยรู้สึกว่าไม่จำเป็นอะไร ตะปูอันนั้นไม่ได้ขึ้นสนิม น่าจะไม่เป็นอะไร แต่จ้าวอิงหนานไม่วางใจ ให้พ่อสยงแบกไปโรงพยาบาลประชาชนที่อยู่ใกล้ ๆ นี้ ฉีดวัคซีนกันบาดทะยักให้กับอู่เหมย นี่ถึงจะยกพรรคพวกพาเธอกลับบ้านอย่างคึกคัก
แต่ว่าจ้าวอิงหนานไม่ได้เป็นคนพูดง่ายขนาดนั้น จึงพูดกับอาจารย์อู๋เพื่อเรียกชำระบัญชีเอาความว่า
“อาจารย์อู๋ ตะปูคงไม่สามารถโผล่ขึ้นมาได้เองหรอกนะ อีกทั้งโผล่ขึ้นมาเยอะแยะขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนตั้งใจคิดอยากจะทำร้ายเหมยเหมยของฉันแน่นอน เรื่องนี้ฉันอยากจะขอให้อาจารย์อู๋สืบหาให้แน่ชัด ไม่สามารถให้เหมยเหมยของฉันต้องมาเคราะห์ร้ายขนาดที่ว่าคนร้ายเป็นใครมาจากไหนก็ยังไม่รู้ไม่ได้หรอกนะ!”
…………………………………………..
ตอนที่ 421 ความสังสัยของสยงมู่มู่
ในใจของอาจารย์อู๋ก็โมโหมากเช่นกัน ไม่ต้องให้จ้าวอิงหนานบอก เธอก็จะต้องสืบหาเรื่องนี้ออกมาให้ชัดเจนอย่างแน่นอน โรยตะปูใส่รองเท้าของคนอื่น คนที่ทำเรื่องพวกนี้ได้ช่างเป็นคนที่ใจดำอำมหิตจริงๆ
“แม่อู่เหมยไม่ต้องห่วงนะคะ เรื่องนี้ฉันจะต้องสืบหาความจริงออกมาให้ได้ เพื่อจบเรื่องนี้ให้คุณ”
จ้าวอิงหนานยิ้ม ไม่ได้แก้ไขการเข้าใจผิดของอาจารย์อู๋ แม่บุญธรรมก็คือแม่เหมือนกัน!
อู่เยวี่ยที่ติดตามดูอยู่หน้าถอดสี ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะร้ายกาจแค่ไหน แต่ตอนนี้อายุแค่เพียงสิบสี่ปี เป็นการทำร้ายคนอื่นอย่างไร้ยางอายเป็นครั้งแรก ประสบการณ์ความรู้ยังไม่เพียงพอ จึงเกิดอาการลุกลี้ลุกลนหวาดกลัวอยู่ชั่วขณะ
แต่ว่าเธอก็สงบลงมาอย่างรวดเร็ว ตอนที่วางตะปูนั้นไม่มีใครเห็นแม้แต่คนเดียว อาจารย์อู๋สาวเรื่องไม่มาถึงเธอแน่นอน
“คนที่ใส่ตะปูคนนี้ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ทำไมถึงได้ทำร้ายน้องสาวของฉันแบบนี้!” อู่เยวี่ยพูดอย่างโกรธแค้น
อู่เชายิ่งโมโห สาดคำด่าทอว่า “คนร้ายคนนี้จะต้องจิตใจวิปริตแน่นอน คนปกติทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ไม่ได้หรอก”
สีหน้าของอู่เยวี่ยเปลี่ยนเล็กน้อย คำพูดของอู่เชาแทงเข้ากลางจุดอ่อนของอู่เยวี่ยอย่างจัง ใจเหมือนโดนคลื่นซัดสาด ใจก็เต้นเร็วและฟุ้งซ่านขึ้นมาชั่วขณะ
สยงมู่มู่มองไปทางเธอแวบหนึ่ง รู้สึกอยู่ตลอดว่าท่าทางที่แสดงออกมาของเธอผิดปกติ ตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อกี้ตอนที่อู่เชาพูดว่าจิตใจวิปริต ปฏิกิริยาตอบสนองของอู่เยวี่ยนั้นทำให้เขาอดคิดมากไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทางของวัวสันหลังหวะ!
เขาย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่อู่เยวี่ยนั่งยองบนพื้นอย่างรวดเร็ว ใจก็เต้นครึกโครม สายตาดุดันขึ้น
แต่ไหนแต่ไรมาความสัมพันธ์อู่เยวี่ยกับอู่เหมยไม่ดีนัก อีกทั้งนิสัยใจคอของอู่เยวี่ยก็ไม่ดี จิตใจคับแคบ เรื่องใส่ตะปูลงไปในรองเท้าก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
เพียงแค่เสียดายที่ตอนนี้เขาไม่มีหลักฐาน ไม่มีปัญญาไปกล่าวหาอู่เยวี่ย สยงมู่มู่รู้สึกขัดเคืองใจอยู่บ้าง เขาคว้าคอของอู่เชาพาเขาไปที่เงียบสงบ เล่าการคาดเดาของเขาให้ฟังเสียงเบา
“เป็นไปไม่ได้มั้ง? อู่เยวี่ยคงไม่ได้ร้ายขนาดนั้น” อู่เชาไม่ค่อยเชื่อ
“ทำไมจะไม่ได้ เมื่อก่อนเธอยังเคยบีบคอเหมยเหมยเลย นายลืมไปแล้ว?” สยบมู่มู่ยิ้มเยาะ
อู่เชาตัวสั่น หลังเย็นวาบ เปลี่ยนเป็นเชื่อโดยไม่รู้ตัว
เรื่องบีบคอยังทำออกมาได้ ใส่ตะปูลงในรองเท้าก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ พระเจ้าช่วย ทำไมเขาถึงได้ลืมเรื่องที่อู่เยวี่ยจิตไม่ปกติไปได้กันนะ?
“ฉันจะต้องสืบหาเรื่องนี้ให้ชัดเจน ทำร้ายจนพวกเราไม่สามารเข้าร่วมการแสดงของเมืองได้ แค้นนี้ฉันต้องชำระ!” สยงมู่มู่กัดฟันพูด
สยงมู่มู่และอู่เชาต่างก็กลับโรงเรียนแล้ว อู่เหมยก็โดยจ้าวอิงหนานพากลับบ้านไปแต่โดยดี เท้าที่บาดเจ็บขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องกลับบ้านไปพักรักษาอาการ ถึงอย่างไรตอนบ่ายก็ไม่มีเรียนอยู่แล้ว
ไม่ต่างจากที่คาดการณ์เอาไว้ การแสดงของพวกอู่เหมยที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลามก็ได้ที่หนึ่งไปอย่างไม่ต้องสงสัย เหยียนโฮ่วเต๋อมองสยงมู่มู่และอู่เชาที่ขึ้นไปรับรางวัลบนเวที สายตาเปล่งประกายระยิบระยับอย่างปลื้มปริ่ม
ปีหน้าเมืองจินต้องเปลี่ยนสมัยผู้ดำรงตำแหน่งแล้ว ผู้นำคนอื่นๆ หลายคนยังไม่เคลื่อนไหวอะไร แต่ผู้นำของเมืองจินกลับต้องเปลี่ยนแล้ว ตามที่เขาได้ข่าวมาล่าสุด มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นแซ่จ้าว ตระกูลจ้าวที่มาจากเมืองหลวง แล้วก็เป็นพี่น้องของจ้าวอิงหนาน
จ้าวอิงหนานคงยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ กล่าวได้ว่าคนในเมืองจินที่รู้เรื่องนี้มีไม่เยอะ เขาบังเอิญเป็นหนึ่งในนั้น โอกาสดีๆ แบบนี้เขาควรจะคว้าเอาไว้ให้มั่น
ตอนแรกเขากำลังกลุ้มใจที่จะไม่มีโอกาสคว้าไว้ได้ การแสดงของพวกสยงมู่มู่คือโอกาสอันดี!
อาจารย์ใหญ่หยวนที่อยู่ด้านข้างรู้สึกเสียดาย “เสียดายที่เท้าของอู่เหมยได้รับบาดเจ็บ คงเข้าร่วมการแสดงวันปีใหม่ของเมืองไม่ได้แล้ว น่าเสียดาย!”
เขาชอบดูการแสดงนี้มาก เดิมทียังหวังว่าพวกอู่เหมยจะนำชื่อเสียงกลับมาให้ทางโรงเรียน แต่ตอนนี้ความปลื้มใจทั้งหมดพังทลายลงเหมือนกับความฮึกเหิมที่เดือดพล่านตกลงไปในน้ำแข็ง จนเหน็บหนาวไปหมด
คนชั่วที่วางตะปูเขาจะต้องจับออกมาให้ได้ จะต้องถลกหนังมันออกมาให้ได้ บังอาจมาทำลายเรื่องดีๆ ของเขา!
…………………………………………..
ตอนที่ 422 ไม่เอาไปพูดข้างนอกว่าโดนตะปูแทง
บ้านอู่ไม่มีคนอยู่ จ้าวอิงหนานก็เลยพาอู่เหมยมาไว้ที่บ้านของตัวเอง เธอคงจะเจ็บมากจริงๆ เพิ่งจะล้มตัวนอนลงก็หลับไปอีก ใบหน้าเล็กขาวเหมือนหิมะ ทำให้รู้สึกน่าเอ็นดู
จ้าวอิงหนานห่มผ้าขนแกะให้อู่เหมย ลูบหน้าผากของเธอ เพราะว่าเหงื่อออกดูเหมือนว่าจะหนาวแต่กลับไม่ได้มีไข้ จ้าวอิงหนานก็ถอนหายใจไม่หยุด
“เด็กคนนี้ช่างซื่อบื่อจริงๆ เลย เจ็บก็ไม่รู้จักร้องออกมา”
ถึงแม้ว่าปากของจ้าวอิงหนานจะพูดตำหนิ แต่ในใจกลับชื่นชมและปวดใจ แค่แวบเดียวพ่อสยงก็มองความคิดของเธอออกพูดยิ้มๆ ว่า “หากให้ผมพูดนะอันที่จริงแล้วนิสัยของเหมยเหมยเหมือนคุณมาก ปีนั้นตอนที่คุณอยู่เป่ยต้าฮว่างก็เหมือนกัน รู้สึกไม่สบายก็ไม่เคยส่งเสียงร้องสักแอะ ขึ้นเขาแบกท่อนไม้กับผู้ชายอย่างพวกเราด้วย เจ็บจนเจียนตายก็แอบไปร้องไห้คนเดียว”
นึกถึงเรื่องในอดีต ในใจของพ่อสยงถ่ายทอดความอ่อนโยนพรั่งพรูออกมา ดึงตัวภรรยาเข้ามากอด เมื่อสมัยนั้นเขาได้เห็นหญิงสาวที่สวยที่สุดในกลุ่มอย่างไม่คาดฝัน สู้งานมากกว่าผู้ชายอีก แต่ตอนที่ไร้ผู้คนกลับร้องไห้เสียใจยิ่งกว่าใคร ตอนนั้นเขาก็ใจเต้น คิดอยากแต่จะเฝ้าปกป้องหญิงสาวคนนี้ไม่ทำให้เธอต้องร้องไห้อีก
จ้าวอิงหนานก็นึกถึงเมื่อก่อน มองสามีอย่างลึกซึ้ง สองสามีภรรยาต่างก็จ้องมองซึ่งกันและกันฉันคุณคุณฉันกันอยู่เช่นนั่น ลืมอู่เหมยที่นอนอยู่บนโซฟาไปเสียสนิท
พอเลิกคาบเรียนอู่เจิ้งซือก็กลับห้องทำงานก็ได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์ใหญ่หยวน อาจารย์ใหญ่หยวนได้ฟังรายงานจากอาจารย์อู๋แล้ว ได้รู้ว่าจ้าวอิงหนานต้องการให้ทางโรงเรียนชี้แจงให้รู้เรื่อง ก็พลันร้อนใจขึ้นมาทันที
จ้าวอิงหนานเป็นคนแบบไหนมีหรือที่เขาจะไม่รู้?
ถ้าเธอกัดไม่ปล่อย เขาต้องมีผลร้ายตามมาแน่ เขายังคิดที่จะอยู่อีกหลายปีเพื่อจะได้มีผลงานทางราชการให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป!
ดังนั้นอาจารย์ใหญ่หยวนเลยคิดโทรหาอู่เจิ้งซือ ถึงอย่างไรจ้าวอิงหนานก็เป็นแค่แม่บุญธรรมแต่อู่เจิ้งซือเป็นพ่อแท้ๆ ขอเพียงแค่พ่อแท้ๆ ไม่สอบสวนไต่ถามมากความ แม่บุญธรรมก็คงไม่รั้นที่จะยื้อต่อไป!
”อาจารย์อู่ ยินดีด้วยครับ การแสดงนักเรียนอู่เหมยได้ที่หนึ่งของโรงเรียนเรา แม้กระทั่งอธิบดีเหยียนก็ชมไม่ขาดปากเลย!”
อาจารย์ใหญ่หยวนเป็นคนเข้าใจศิลปะในการพูด ทำเอาอู่เจิ้งซือจิตเบิกบานขึ้นมาทันที หน้าบานราวกับดอกไม้ อาจารย์คนอื่นๆ ในห้องทำงานต่างก็เงี่ยหูฟัง อยากจะรู้ว่าอู่เจิ้งซือมีเรื่องดีอะไรอีกแล้ว!
“อาจารย์อู่ ผมต้องขอโทษคุณจริงๆ ที่ไม่ได้ดูแลลูกของคุณให้ดี จนเกิดเรื่องแบบนี้……”
อาจารย์ใหญ่หยวนเล่าเรื่องตะปูอย่างคร่าวๆ ย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เอาแต่พูดว่าอาจารย์ยังไม่ทำหน้าที่ให้ดีพอ นี่ถึงทำให้อู่เหมยได้รับบาดเจ็บ
อู่เจิ้งซือไม่ใช่คนโง่ ได้ยินได้ฟังอะไรมาเยอะ พอได้ฟังก็เข้าใจความหมายของอาจารย์ใหญ่หยวนทันที ถึงแม้ว่าจะเสียใจแทนอู่เหมยที่ไม่สามารถเข้าร่วมการแสดงในวันปีใหม่ของเมืองได้ แต่ก็ยังต้องเห็นแก่หน้าของอาจารย์ใหญ่หยวนด้วย
อาจารย์ใหญ่หยวนได้ยินเสียงตอบรับที่น่าพอใจก็วางใจได้สักที เรื่องแบบนี้ขอเพียงแค่ผู้ปกครองไม่เอาความ ก็เป็นแค่เรื่องไร้สาระเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะต้องให้อาจารย์ใหญ่อย่างเขาต้องมาเหนื่อยใจ!
แต่ว่าคนเลวที่แอบลงมือทำร้ายคนอื่นอย่างลับๆ ยังต้องสืบหาต่อไป เหอะ…นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้ามาก่อความวุ่นวายในอาณาเขตของเขา สงสัยมันจะเบื่อการใช้ชีวิตซะแล้ว!
อู่เจิ้งซือเล่าเรื่องที่อู่เหมยได้ที่หนึ่งให้ฟัง เพื่อนร่วมงานพวกนี้ไม่มีใครเลยที่จะไม่อิจฉาริษยา ในใจเต็มไปด้วยไฟริษยา แต่พอได้ยินว่าอู่เหมยเท้าพลิก ความอิจฉาในใจก็หายไปในอากาศทันที เปลี่ยนจากความอิจฉาเป็นความดีใจ
ไม่สามารถเข้าร่วมการแสดงของเมืองได้ ต่อให้ได้ที่หนึ่งสิบอันก็ไม่มีประโยชน์!
ดวงชะตาของลูกสาวคนเล็กของครอบครัวอู่นี่ เฮ้อ…ช่างโชคร้ายเสียจริงๆ!
หลังจากที่อู่เจิ้งซือเลิกงานก็รีบไปที่บ้านสยง เห็นอู่เหมยที่นอนไร้สติบนโซฟา ก็เกิดอาการปวดใจอยู่บ้าง เขาถามอู่เหมยอย่างเป็นห่วงอยู่หลายประโยค แล้วก็พูดถึงความหมายของอาจารย์ใหญ่หยวนที่ต้องการจะสื่อ ก็เพียงแค่หวังว่าหลังจากนี้อู่เหมยจะไปพูดกับคนข้างนอกว่าข้อเท้าพลิก ไม่ใช่เพราะได้รับบาดเจ็บจากตะปูแทง
………………………………….
ตอนที่ 423 อู่เจิ้งซือผู้ต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม
อู่เหมยคิดออดอ้อนอู่เจิ้งซือ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกผิดหวังกับอู่เจิ้งซือเมื่อชาติที่แล้วเหลือเกิน แต่ระยะนี้การแสดงออกของอู่เจิ้งซือก็ค่อยๆ ทำให้เธอใจอ่อนลงทีละนิดแล้ว
อันที่จริงสิ่งที่สำคัญก็คือเธอปรารถนาความรัก ก็เหมือนพืชกลางทะเลทรายที่ขาดน้ำมาเป็นเวลานาน ต่อให้มีแค่ละอองน้ำกระเซ็นมา ก็สามารถแตกกิ่งก้านให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ พยายามดูดน้ำอันน้อยนิดนั้นอย่างน่าเวทนา
อู่เหมยขาดความรักจึงปรารถนาที่จะได้ความรัก แค่การเปลี่ยนแปลงท่าทีของอู่เจิ้งซือทำให้ใจที่ตายไปแล้วของเธอฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ เพียงแค่อยากเหมือนลูกสาวบ้านอื่นที่ออดอ้อนพ่อเวลาล้มเจ็บหรือไม่สบายก็เท่านั้น
สายตาที่ห่วงใยของคนเป็นพ่อและคำพูดที่ใช้ปกป้องจะทำให้ลูกสาวที่รู้สึกน้อยใจเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมกลับมามีเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง
อู่เหมยก็คิดแบบนี้ ความเมตตาและความรักของแม่เธอไม่มีทางได้มันมาแน่นอน จึงหวังจะได้รับความรักจากพ่อที่ยิ่งใหญ่ราวกับภูเขามาช่วยเติมเต็มหัวใจที่กระหายความรักของเธอ
แต่ว่า——
พออู่เหมยได้ยินคำพูดของอู่เจิ้งซือด้วยสายตาเย็นชา ใจที่กำลังจะอ่อนลงก็กลับมาแข็งขึ้นอีกครั้งในชั่วพริบตา เธอจะดูแลกิ่งก้านด้วยตัวเธอเอง จะไม่ไปร้องขอความรักขอพ่อให้รำคาญใจอีก!
เธอยิ้มเยาะให้ตัวเอง คนอื่นเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด แต่เธอกลับยิ่งโง่ ตายไปแล้วรอบหนึ่งก็ยังมองไม่ออก โง่จนไม่รู้สรรหาคำไหนมาด่าแล้ว
“พ่อคะ ดูก็รู้ว่าเท้าของหนูโดนตะปูแทงจนเป็นแผล ทำไมถึงได้บอกว่าเท้าเคล็ดล่ะ? พ่อไม่ใช่เคยบอกว่าห้ามโกหกหรอ?” อู่เหมยแสร้งพูดอย่างไร้เดียงสา แต่ในใจกลับท้อแท้และเหน็บหนาว
อู่เจิ้งซือทำสีหน้าไม่ถูก ทำสายตา ใส่อู่เหมย ความหมายก็คือบอกให้เธอกลับบ้านค่อยว่ากัน อู่เหมยก้มหน้าลงไม่สนใจสายตาที่บ่งบอกความนัยของอู่เจิ้งซือ
อยู่กับแม่บุญธรรมอย่างจ้าวอิงหนานดีกว่า ให้แม่บุญธรรมออกหน้าแทนเธอ
“พ่อคะ หนูอยากที่จะจับคนที่ทำร้ายหนูคนนั้นออกมา เธอทำร้ายหนูจนเสียโอกาสที่จะได้เจ้าร่วมการแสดงของเมือง หนูจะไม่ให้อภัยเธอเด็ดขาด” อู่เหมยแสดงออกถึงความต้องการของเธออย่างเด็ดเดี่ยว
อู่เจิ้งซือขมวดคิ้วแน่น รู้สึกไม่พอใจที่อู่เหมยไม่เชื่อฟัง แต่ก็ต้องทนยิ้มพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้กลับบ้านไปค่อยว่ากัน เหมยเหมย มา…เดี๋ยวพ่อแบกลูกกลับบ้าน”
จ้าวอิงหนานเดินเข้ามา ใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้มเหน็บแนม คำพูดที่อู่เหมยพูดเมื่อกี้เธอได้ยินทั้งหมด เดิมทีคิดว่าจะไว้หน้าอู่เจิ้งซือสักหน่อย แต่พอเห็นเขาจะพาอู่เหมยกลับให้ได้ ไหนเลยที่จ้าวอิงหนานจะทนไหว
“อาจารย์อู่ เหมยเหมยบาดเจ็บครั้งนี้ฉันจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน อาจารย์ใหญ่หยวนเขาจะต้องหาเรื่องนี้มาให้ฉันก่อน ไม่อย่างนั้นฉันจะโทรหาอธิบดีหู ให้สำนักงานตำรวจเข้ามาสืบหาคนที่ใส่ตะปูในรองเท้า สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ต้องเป็นคนที่จิตผิดปกติแน่ ต้องหาตัวมาให้ได้!”
จ้าวอิงหนานด่าทอคนร้ายไปยกใหญ่ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาถามอีกว่า “อาจารย์อู่คุณก็ต้องปวดใจมากเหมือนกันใช่ไหม? ฉันเป็นแม่บุญธรรมยังเจ็บเหมือนโดนมีดขนาดนี้ คุณเป็นพ่อแท้ๆ แน่นอนว่าจะต้องเจ็บปวดกว่าอยู่แล้ว”
อู่เจิ้งซือยิ้มเจื่อน เจ็บใจแน่นอนอยู่แล้วล่ะแต่ไม่เจ็บขนาดเหมือนโดนมีดแทง แค่เจ็บนิดหน่อยเท่านั้น แต่ไม่คุ้มที่จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้อาจารย์ใหญ่หยวนไม่พอใจ!
แต่คำพูดพวกนี้เขาก็ไม่สามารถพูดได้ เขาเป็นพ่อที่ดีของลูกสาวอันเป็นที่รัก อย่าให้จ้าวอิงหนานพูดได้ว่าเขาไม่เป็นห่วงลูกสาว
จ้าวอิงหนานมองอู่เจิ้งซือที่ลำบากใจหน้านิ่ง ในดวงตามีความเหยียดหยามส่งผ่านออกมา เห็นคนโง่อย่างเหอปี้อวิ๋นยังสบายตากว่าเห็นคนเสแสร้งทำดีเสียอีก
ภายใต้ความเด็ดขาดของจ้าวอิงหนาน อู่เจิ้งซือพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ทำได้แค่เพียงแบกอู่เหมยกลับไปอย่างกล้ำกลืนฝืนทน ในใจรู้สึกแย่มาก ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะอธิบายกับอาจารย์ใหญ่หยวนยังไง
ตอนบ่ายเขารับปากอาจารย์ใหญ่หยวนไว้แล้วว่าจะไม่ไต่สวนเรื่องนี้ต่ออีก เดิมทียังคิดจะให้อู่เหมยพูดเกลี้ยกล่อมจ้าวอิงหนาน แต่คาดไม่ถึงว่าอู่เหมยกลับไม่เชื่อฟังด้วยอีกคน
เฮ้อ แค่หวังว่าอาจารย์ใหญ่หยวนอย่าต่อว่าแล้วกัน!
…………………………………………..
ตอนที่ 424 คนกำลังทำสวรรค์กำลังมอง
อู่เยวี่ยที่กลับมาถึงบ้าน เห็นอู่เหมยเลยเข้ามาถามไถ่อย่างห่วงใย เอาใจใส่เป็นอย่างดี ทำให้อารมณ์ของอู่เจิ้งซือดีขึ้นมาหน่อย บนใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมา
“เหมยเหมยอย่าทุกข์ใจไปเลย เธอเต้นได้ดีขนาดนี้ ปีหน้าจะต้องมีโอกาสเข้าร่วมงานการแสดงของเมืองอย่างแน่นอน” อู่เยวี่ยปลอบใจเสียงอ่อนเสียงหวาน มองๆ ไปแล้วดูจะทุกข์ใจกว่าอู่เหมยเสียอีก
อู่เหมยมองอู่เยวี่ยที่ทำท่าทีเสแสร้ง ต่อให้ผู้หญิงคนนี้จะแสดงละครได้ดีแค่ไหน แต่ในใจลึกๆ ของเธอที่กลับรู้สึกยินดีบนความโชคร้ายของคนอื่นนั้นปิดบังอู่เหมยไม่ได้หรอก ฉับพลันนั้นเธอก็ใจเต้นนึกขึ้นมาได้
คนที่จงใจวางตะปูไว้มีจุดประสงค์ก็เพื่อทำร้ายไม่ให้เธอเต้นจนจบ และพลาดโอกาสที่จะไปทำการแสดงในงานแสดงของเมือง ตอนนี้จุดประสงค์ของคนๆ นั้นเป็นไปอย่างลุล่วงแล้ว ต่อให้เธอได้รางวัลมาก็หมดหนทางที่จะเข้าร่วมงานการแสดงของเมืองรางวัลนี้จะได้มาหรือไม่ก็มีประโยชน์เท่ากัน
ถึงแม้ว่าเพื่อนนักเรียนที่โรงเรียนจะไม่ค่อยสนิทกับเธอเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกัน ตัวเธอเองก็ไม่เคยไปล่วงเกินใคร คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครที่จะใช้แผนร้ายแบบนี้ทำร้ายเธอ!
ยกเว้นแค่เพียง ——อู่เยวี่ย
ทั้งโรงเรียนมีแค่เพียงอู่เยวี่ยที่ไม่ลงรอยกับเธอ แล้วก็มีแค่เพียงอู่เยวี่ยที่อยากจะเห็นตัวเธอโชคร้าย
ยิ่งไปกว่านั้นอู่เยวี่ยน่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่มีความกล้าทำเรื่องชั่วร้ายแบบนี้ได้ นักเรียนคนอื่นๆ จะกล้าลงมือทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมแบบนี้ไม่ได้หรอก!
โง่ อู่เหมยนึกด่าตัวเองในใจ น่าจะนึกได้ตั้งนานแล้วว่าอู่เยวี่ยเป็นคนทำ ต้องโทษที่เธอประมาทเลินเล่อเกินไป รู้ทั้งรู้ว่าอู่เยวี่ยมันเป็นงูพิษ ต่อให้อายุยังน้อย แต่ก็เป็นงูพิษตัวหนึ่งอยู่ดี งูพิษที่จะแว้งกัดได้ทุกเวลา
ระยะนี้คิดแค่เพียงจะกำราบอู่เยวี่ย เลยประมาทธาตุแท้ของนังงูพิษอย่างอู่เยวี่ยไป ที่ต้องมาซวยขนาดนี้เพราะนังสารเลวนี่ ทั้งยังทำให้สยงมู่มู่อู่เชาเสียโอกาสที่ได้เข้าร่วงงานการแสดงของเมืองไปอีก
“ขอบคุณความห่วงใยของพี่สาว พี่พูดถูก ปีหน้ายังมีโอกาสอีกแน่นอน อีกอย่างเท้าเจ็บก็ดี ฉันจะได้มีเวลาสงบจิตสงบใจเตรียมตัวแข่งวาดรูปในปีหน้า”
อู่เหมยพูดไปก็สังเกตหน้าของอู่เยวี่ยอย่างละเอียดไปด้วย ถึงแม้ว่าความอิจฉาริษยาและความโกรธแค้นในสายตาจะมีแค่เพียงประเดี๋ยวประด๋าว แต่เธอก็ยังจับได้ ยิ่งทำให้มั่นใจเข้าไปใหญ่ว่าอู่เยวี่ยเป็นคนร้าย
นังสารเลว รอเท้าของฉันดีขึ้นมาก่อนเถอะ จะตอบแทนกลับไปร้อยเท่าเลย!
อู่เยวี่ยฝืนยิ้ม “เหมยเหมยพูดไม่ผิด การแข่งขันวาดภาพนั้นก็สำคัญ เหมยเหมยจะต้องตั้งใจเตรียมตัวดีๆ นะ!”
เหอปี้อวิ๋นถือน้ำซุปเข้ามาในห้อง หัวเราะเยาะกับสิ่งที่ได้ยิน “ต่อให้วาดได้ดีแค่ไหนแล้วมีประโยชน์อะไร? กินไม่ได้ใส่ไม่ได้ เยวี่ยเยวี่ยอย่าไปสนใจมัน รีบมากินซุปไก่ แม่ใส่สมุนไพรแก้เวียนหัวด้วย ลูกกินเข้าไปรับรองว่านอนสบาย”
อู่เหมยมองอู่เยวี่ยอย่างไม่สนใจ ยกมุมปากพูดว่า “คนกำลังทำสวรรค์กำลังมอง คนที่วางตะปูจะต้องได้รับกรรมตามสนองแน่นอน เรื่องหลายวันที่ผ่านมานี้ พี่รอดูแล้วกันนะ!”
อู่เยวี่ยตัวสั่นระริก เป็นวัวสันหลังหวะ สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ ฝืนยิ้ม “ใช่แล้ว ทำเรื่องไม่ดีจะต้องโดนกรรมตามสนองแน่นอน เหมยเหมยอย่าคิดมาก มากินซุปไก่ดีกว่า พี่ตักให้นะ!”
เหอปี้อวิ๋นไหนเลยจะเข้าใจความหมายที่มีลับลมคมในของสองพี่น้องนี้ ยังนึกว่าอู่เหมยตีวัวกระทบคราด พูดตำหนิเธอ พูดอย่างโมโหด้วยสีหน้าดูไม่ได้ว่า “คนดีอายุไม่ยืน คนเลวอยู่เป็นหมื่นปี ทำเรื่องไม่ดีก็ไม่ใช่ว่าจะต้องโดนกรรมตามสนองเสมอไป เยวี่ยเยวี่ยกินซุปเยอะๆ หน่อย ตอนเย็นจะได้หลับสบาย พรุ่งนี้ไปเรียนจะได้มีชีวิตชีวา”
อู่เหมยยิ้มเยาะในใจ ไม่ได้พูดอะไรอีก รับชามซุปไก่มาจากอู่เยวี่ย ค่อยๆ กิน
สยงมู่มู่พอกลับถึงบ้านก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงความสงสัยของเขากับพ่อแม่ จ้าวอิงหนานสีหน้าเปลี่ยน มองอู่เยวี่ยในมุมมองใหม่อีกครั้ง
เด็กน้อยคนนี้อายุยังน้อย กลับทำเรื่องได้เหี้ยมโหดขนาดนี้ ดูไม่ออกเลยจริงๆ!
เหมยเหมยเด็กคนนี้ช่างน่าสงสาร พ่อก็เสแสร้งจอมปลอมเห็นแก่ตัว แม่ก็ลำเอียงอำมหิต พี่สาวก็เป็นหมาป่าคอยจะขย้ำ เมื่อก่อนเธอใช้ชีวิตผ่านมันมาได้ยังไง!
………………………………………….
ตอนที่ 425 หนุ่มน้อยบนต้นไม้
จ้าวอิงหนานสงสารชีวิตอันขมขื่นที่อู่เหมยต้องพบเจอ และยิ่งรังเกียจอู่เยวี่ยมากขึ้น จึงด่าทอออกมาว่า “เมื่อก่อนยังคิดว่าเป็นแค่หญิงสาวที่เสแสร้งจอมปลอม จิตใจเอาแต่คิดเรื่องไม่ดีบ้าง ไหนเลยจะคิดว่าอู่เยวี่ยจะอำมหิตได้เช่นนี้ คนแบบนี้วันหลังโตขึ้นไปจะเลยเถิดไปถึงไหนกัน?”
พ่อสยงเองก็ยังตกตะลึงอยู่ ขนาดเขาอยู่มามากกว่าสี่สิบปี นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นเด็กผู้หญิงอายุสิบสี่สามารถทำร้ายคนได้หน้าตาเฉย อีกทั้งคนที่ทำร้ายก็คือน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองอีก ร้ายยิ่งกว่านางในแห่งวังหลวงเสียอีก!
“พ่อแม่ เรื่องนี้ไม่น่าให้จบไปง่ายๆ แบบนี้ ผมจะลงไปเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของอู่เยวี่ย” สยงมู่มู่กัดฟันกรอด พูดเสร็จก็ทำท่าจะลงไป
จ้าวอิงหนานดึงลูกชายเอาไว้ “ลูกลงไปจะมีประโยชน์อะไร? ลูกมีหลักฐานหรอ? ตอนนี้ทั้งหมดมีแต่ความสงสัยของพวกเราเท่านั้น ลูกไม่มีพยานไม่มีหลักฐานจะทำให้คนเชื่อลูกได้ยังไงกัน?”
“ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงดี? หรือว่าจะให้อู่เยวี่ยลอยหน้าลอยตาลอยนวลอยู่แบบนี้?” สยงมู่มู่พูดอย่างร้อนใจ
แน่นอนว่าจ้าวอิงหนานก็ไม่อยากจะปล่อยอู่เยวี่ยไปง่ายๆ แต่เด็กผู้หญิงคนนี้วางแผนไว้ระวังมากๆ ไม่มีเหลือร่องรอยหรือเบาะแสไว้แม้แต่นิดเดียว ดูอาจารย์อู๋สิยังไม่สามารถสืบหาอะไรออกมาได้เลย
“พวกเรารอก่อน ดูว่าทางโรงเรียนทางนั้นจะสามารถสืบหาอะไรออกมาได้บ้าง ไม่แน่อาจจะมีคนเห็นก็ได้!” พ่อสยงพูดปลอบใจ
จ้าวอิงหนานและพ่อสยงทำได้แค่เพียงสงบสติอารมณ์โมโหอย่างรุนแรงไว้ก่อน รอการสืบสวนตรวจสอบจากทางโรงเรียน ถ้าไม่ได้จริงๆ ค่อยคิดหาทางใหม่
เหยีนโฮ่วเต๋อกลับบ้านมาตอนเย็น มีแค่เขาคนเดียวที่กลับมา ถานซูฟางต้องอยู่เวรตอนดึก เขากลับมากินข้าวแล้วก็พูดคุยปรึกษาเรื่องสำคัญกับพ่อ
เหยียนหมิงซุ่นเห็นเหยียนโฮ่วเต๋อและคุณตาเหยียนเข้าไปในห้องหนังสือ แววตาครุ่นคิด เขาจึงพุ่งตัวมาอยู่ใต้หน้าต่างหลังห้องสมุดของคุณตาเหยียนอย่างรวดเร็ว ตรงนั้นเป็นหลังสวนดอกไม้ ไม่มีใครสนใจเท่าไร เขาแอบฟังพ่อพูดคุยเรื่องต่างๆ กับคุณตาเป็นประจำ เรื่องอื่นๆ ก็แอบฟังแบบนี้แหละ
ด้วยข่าวสารของเหยียนโฮ่วเต๋อที่ฉับไว รู้เรื่องส่วนใหญ่ที่คนปกติธรรมดาเขาไม่รู้กัน
เหยียนหมิงซุ่นประสาทหูตาว่องไว เหยียนโฮ่วเต๋อและคุณตาเหยียนถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ดัง แต่เขาก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน ว่าปีหน้าจินซื่อจะเปลี่ยนผู้นำ ที่ทำให้เขาสนใจก็คือ คาดไม่ถึงว่าพี่น้องของจ้าวอิงหนานจะมาเป็นผู้นำของจินซื่อ!
ดูแล้วพ่อสยงคงอยู่ที่อีจงอีกไม่นานแล้วล่ะสิ!
เดิมเหยียนหมิงซุ่นกำลังจะไปแล้ว แต่กลับได้ยินชื่อที่ทำให้ใจสั่นขึ้นมา จึงชะงักลงอีกครั้ง สีหน้าท่าทางจริงจัง คิ้วขมวดแน่น
เด็กซื่อบื่อคนนั้นได้รับบาดเจ็บ?
ช่างซื่อบื่อจริงๆ แค่เต้นก็ยังทำให้ตัวเองข้อเท้าเคล็ดได้!
อู่เหมยกินข้าวเสร็จกำลังจะกลับห้องไปนอน ฝ่าเท้าระบมไปหมด เลยนอนไม่หลับ จะอ่านหนังสือก็ไม่เข้าหัว ฉิวฉิวก็ไม่อยู่ ในตอนนั้นอู่เหมยก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย
เวลานี้เธอหวังเป็นอย่างมากว่าจะมีคนคอยอยู่ข้างๆ เธอ คอยพูดคุยกัน แม้ว่าจะทะเลาะกันก็ได้ สยงมู่มู่เธอก็ไม่รังเกียจ แต่ตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว
อู่เหมยถอนหายใจอีกครั้ง หยิบกระดาษเซวียนจื่อออกมาหนึ่งแผ่นเตรียมวาดรูป ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนก็มีความสุขกับตัวเองแล้วกัน!
“แกร๊กๆ”
มีเสียงดังขึ้นมาจากทางหน้าต่าง เสียงเหมือนมีก้อนหินกระทบกับหน้าต่าง อู่เหมยอดดีใจไม่ได้ นึกว่าฉิวฉิวกลับมาแล้ว รีบกระโดดเอื้อมตัวไปเปิดหน้าต่าง กลับไม่พบอะไร แม้แต่เงาของฉิวฉิวก็ไม่มี
มีก้อนหินอีกก้อนปาเข้ามา บังเอิญหล่นอยู่ขอบหน้าต่าง อู่เหมยมองตามทิศทางของก้อนหินไป ก็เห็นต้นการบูรต้นใหญ่ข้างๆ หน้าต่างมีหนุ่มรูปงามนั่งอยู่บนกิ่งไม้โผล่ออกมากะทันหัน หันมายิ้มน้อยๆ ให้เธอ
“เฮ้ย พี่หมิงซุ่น!”
อู่เหมยเรียกอย่างดีใจ พลันเกิดความกังวลขึ้นมา ด้วยกลัวเหยียนหมิงซุ่นจะตกลงไปจากต้นไม้ โบกไม้โบกมือไม่หยุด บอกให้เหยียนหมิงซุ่นรีบลงจากต้นไม้
ต้นการบูรต้นใหญ่ต้นนี้สูงราวกับตึกสามสี่ชั้นเลยนะ หากตกลงไปคงไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน!
………………………………………….
ตอนที่ 426 ปีนกำแพง
เหยียนหมิงซุ่นกลับทำตัวเหมือนปกติ ดูสบายผ่อนคลายมากกว่าตอนอยู่บนพื้น เขาหันมายิ้มให้อู่เหมย ริมฝีปากขยับ พูดออกมาประโยคหนึ่งแบบไม่มีเสียง แต่อู่เหมยฟังเข้าใจว่า
“ยังเจ็บอยู่ไหม?”
อยู่ดีๆ ขอบตาร้อนผ่าว กำลังอยู่ในภาวะที่ได้รับความไม่เป็นธรรม เหยียนหมิงซุ่นถามแบบนี้คง ไม่ใช่ว่าแหย่ให้เธอร้องไห้หรอกนะ!
อู่เหมยพยักหน้าอย่างแรง เปลี่ยนการสงวนท่าทีก่อนหน้านั้น จู่ๆ ก็คิดอยากจะระบายความกลัดกลุ้มความน้อยเนื้อต่ำใจของตัวเองต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่น มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างน่าสงสาร ขอบตาแดงเหมือนกระต่ายก็ไม่ปาน
ใจของเหยียนหมิงซุ่นก็เริ่มรู้สึกลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง ดูท่าเด็กน้อยซื่อบื่อคนนี้คงจะเจ็บไม่เบา เขาก็แทบนั่งไม่ติดที่ แกว่งเท้าไปมาและเตรียมตัวกระโดดเข้าไป ทำเอาอู่เหมยตกใจยกใหญ่ ต้นการบูรห่างจากห้องของเธออย่างต่ำก็เมตรสองเมตรได้ ถ้าหากว่าตกลงไปล่ะก็บอกเลยว่าไม่ตลก
อู่เหมยไม่กล้าเรียกออกเสียง กลัวว่าอู่เจิ้งซือที่อยู่ห้องรับแขกจะได้ยิน ทำได้แค่เพียงโบกไม้โบกมือ บอกให้เหยียนหมิงซุ่นอย่ากระโดด
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มอย่างซุกซน ขยับตัวกระโดดเบาๆ ก็เหมือนกับลิงก็ไม่ปาน กระโดดมาบนท่อน้ำอย่างคล่องแคล่ว แม้กระทั่งเสียงนิดเดียวก็ไม่มี ดูผ่อนคลายสบายกว่าสไปเดอร์แมนเสียอีก
อู่เหมยปิดปากแน่น เห็นเหยียนหมิงซุ่นมั่นคงแล้วถึงได้วางใจลงมา ปล่อยมือลง ถอนใจออกมายาวๆ
อากาศยิ่งนานก็ยิ่งเย็น หลังสนามเด็กเล่นมีคนเดินเล่นอยู่ไม่มากแล้ว อีกทั้งห้องของอู่เหมยก็ห่างกับไฟบนถนนไกลอยู่ แถมยังมีต้นการบูรบังอีก แสงเลยมืดมาก ไม่มีทางที่จะมีคนพบว่าบนท่อน้ำมีคนอยู่
เหยียนหมิงซุ่นผ่อนลมหายใจ ค่อยๆ ขยับตัวลงไป ไม่นานก็มาถึงข้างหน้าต่างห้องอู่เหมย ก้าวขายาวๆ ก้าวเข้ามาอย่างสบาย ภายใต้ความตกตะลึงตาค้างพูดอะไรไม่ออกของอู่เหมย เขากระโดดลงบนพื้น หันมายิ้งให้เธอเบาๆ
“เท้าข้างไหนที่พลิก? พี่ดูหน่อย” เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงเบา
อู่เหมยกระพริบตาปริบๆ ส่ายหัวพร้อมบอกว่า “ฉันไม่ได้ข้อเท้าพลิก โดนตะปูแทงต่างหาก”
เหยียนหมิงซุ่นเปลี่ยนสีหน้า ขมวดคิ้วแน่น ก้มลงไปมองขาข้างซ้ายของอู่เหมย เพราะว่าพันผ้าพันแผลเอาไว้หนามาก แม้กระทั่งถุงเท้าก็ไม่ได้ใส่ แค่มองก็รู้แล้ว
จัดการแบบนี้แสดงว่าเป็นแผลภายนอกที่ได้รับบาดเจ็บ ข้อเท้าพลิกไม่ต้องพันผ้าพันแผลหนาๆ แบบนี้ เรื่องแค่นี้ทำไมเหยียนโฮ่วเต๋อถึงได้ข้อมูลมาผิด มิน่าล่ะหลายปีที่ผ่านมานี้ ยังเป็นแค่เพียงรองอธิบดี ไม่มีความก้าวหน้าเลย
“ทำไมถึงได้โดนตะปูแทงได้? เธอไม่ได้เข้าร่วมการแสดงของทางโรงเรียนหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
เต้นอยู่ดีๆ ทำไมถึงได้ไปเหยียบตะปูได้?
ขอบตาของอู่เหมยแดงอีกครั้ง จมูกแสบร้อน เธอสูดจมูก เบะปากพูดว่า “มีคนตั้งใจโปรยตะปูลงไปในรองเท้าของฉัน ฉันเทออกไม่หมด ยังมีเหลืออีกอันที่ไม่ได้พบ ผลลัพธ์ก็คือโดนแทงตอนที่เต้นอยู่”
เหยียนหมิงซุ่นยิ่งขมวดคิ้วแน่น ความโมโหสุดจะบรรยายได้พุ่งขึ้นมาในใจ ถามเสียงต่ำว่า “เธอเต้นจนจบ?”
อู่เหมยสูดจมูกอีกครั้ง พยักหน้า
“เธอเป็นคนโง่หรือยังไง? เท้าโดนตะปูตำแล้วยังจะเต้นต่อ? ดูสิว่าเธอทำร้ายเท้าจนแผลเหวอะหวะไปถึงไหนแล้ว?” เหยียนหมิงซุ่นยกเท้าซ้ายที่พันเหมือนมัมมี่ก็ไม่ปานขึ้นมา จิ้มแผลลงไปอย่างไม่เกรงใจ อู่เหมยเจ็บจนน้ำตาไหลพรากลงมา จ้องเขม็งคนร้ายด้วยสายตาตำหนิ
“รู้จักเจ็บแล้ว? ตอนที่เต้นอยู่ทำไมไม่รู้จักเจ็บ?”
เหยียนหมิงซุ่นก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้โมโหขนาดนี้ โมโหที่อู่เหมยที่ไม่รู้จักถนอมร่างกายตัวเอง ยิ่งโมโหคนร้ายที่วางตะปูคนนั้น แล้วก็โมโหตัวเองด้วย
สรุปแล้ว เขาก็แค่โมโหสุดขีด อันที่จริงเขาเองก็รู้แหละ ว่าเพราะเขารักและปวดใจ!
เพียงแต่ว่าเขาไม่ยอมรับก็เท่านั้นเอง!
………………………………………….
ตอนที่ 427 ความรู้สึกที่ได้ป้อนก็ไม่เลวเลย
เดิมทีอู่เหมยยังคิดจะฟ้องและระบายถึงความไม่เป็นธรรมที่เธอได้เจอ แต่ใครจะคิดว่าตาคนนี้จะไม่มีแม้แต่คำปลอบใจเลยสักคำ กลับโดนพูดจาแดกดันกลับมาอีกต่างหาก เหมือนกับเอามีดมาแทงเข้ากลางใจเธอเลยจริงๆ!
แถมยังตั้งใจปีนต้นไม้ กระโดดขึ้นมาชั้นสองเพื่อพูดแทงใจดำ โหดเหี้ยมกว่าอู่เจิ้งซือเสียอีก อู่เหมยยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ น้ำตาก็ยิ่งไหลพราก หยุดก็หยุดไม่อยู่
“เต้นทำไมจะไม่เจ็บ ฉันเจ็บจะตายอยู่แล้ว แต่ฉันขึ้นเวทีไปแล้ว ถ้าหากถอนตัวกลางคันล่ะก็อู่เยวี่ยจะต้องมองแล้วก็หัวเราะเยาะฉันแน่นอน อีกทั้งฉันก็ไม่อยากให้อาจารย์เฮ่อแล้วก็พวกสยงมู่มู่เสียแรงกำลังทั้งใจและกายที่ทำไปโดยไร้ประโยชน์ พี่พูดสิว่าทำไมฉันถึงโง่ไปได้? ฉันโง่ตรงไหน?”
อู่เหมยร้องไห้สะอื้นไปพูดไป อย่าให้พูดเลยว่าน้อยใจมากแค่ไหน แม้กระทั่งคุณปู่ของสยงมู่มู่ยังชื่นชมเธอเลย บอกว่าเธอมีจิตวิญญาณมีความเป็นมืออาชีพของนักแสดง แต่เหยียนหมิงซุ่นกลับยังว่าเธอ!
เหยียนหมิงซุ่นที่มองเด็กน้อยร้องไห้จนดูไม่ได้ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอีกครั้งแถมยังรู้สึกขำอีกด้วย แต่ความรู้สึกที่มีมากที่สุดนั่นคือความปลื้มใจ
อันที่จริงที่เขาพูดไปแบบนั้นก็ไม่ถูก ทุกๆ คนต่างก็ต้องมีจิตวิญญาณในการทำงานของตัวเอง ก็เหมือนกับทหารที่ยืนยาม ต่อให้มีมีดตกลงมาจากฟากฟ้า ป้อมที่ควรจะยืนก็ต้องยืนให้จบ
ทหารก็มีหน้าที่ของทหารที่ต้องรับผิดชอบ อาจารย์ก็มีหน้าที่ของอาจารย์ที่ต้องรับผิดชอบ นักแสดงก็มีหน้าที่ของนักแสดงที่ต้องรับผิดชอบ ทุกๆ คนต่างก็มีหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องรับผิดชอบ เมื่อคุณอยู่ในตำแหน่งบางตำแหน่ง ตำแหน่งงานนั้นก็เป็นหน้าที่ที่คุณต้องรับผิดชอบ
อู่เหมยเธอเหยียบโดนตะปูก็ยังอยากจะเต้นให้จบ ความเข้มแข็งและทรหดพวกนี้เขาขื่นชมมากจริงๆ แต่ก็ปวดใจไม่น้อย
“หยุดร้องได้แล้ว พี่พูดผิดเอง เหมยเหมยทำได้ดีมาก พี่ชื่นชมเธอนะ!”
เหยียนหมิงซุ่นหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ซับน้ำตาบนใบหน้าให้อู่เหมยอย่างเสียไม่ได้ ทั้งตาทั้งจมูกร้องจนแดงไปหมดแล้ว ช่างเป็นเด็กน้อยขี้แยเสียจริง
อู่เหมยหัวเราะทั้งน้ำตา แย่งเอาผ้าเช็ดหน้าของเหยียนหมิงซุ่นมา สั่งน้ำมูกอย่างแรงราวกับระบายความอัดอั้นในใจออกมา เพื่อให้เขาตำหนิตัวเองว่าโง่เขลานัก!
หลังจากสั่งน้ำมูกเสร็จก็กลับมาเสียใจอีกครั้ง คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นถึงผู้นำระดับสูงในอนาคต ทำไมเธอถึงกล้าสั่งน้ำมูกใส่ผ้าเช็ดหน้าต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ได้นะ?
“ฉัน…ฉัน…เดี๋ยวฉันจะซักผ้าเช็ดหน้าให้สะอาดนะ ไม่ใช่สิ พรุ่งนี้ฉันจะไปซื้อผืนใหม่ให้เลย!”
อู่เหมยพูดตะกุกตะกัก ก้มหน้างุดลงต่ำ ไม่กล้าเงยหน้ามองเหยียนหมิงซุ่น ผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มก็โดนเธอบีบไว้ในมือแน่น ใบหน้าแดงก่ำไปหมด
เหยียหมิงซุ่นขำโดยไม่รู้ตัว มีความกล้าทำเรื่องไม่ดี แต่กลับไม่มีความกล้าที่จะมองเขา ช่างเป็นเด็กซื่อบื่อที่ย้อนแย้งจริงๆ
“ผ้าเช็ดหน้าก็ให้เธอไปนี่แหละ เอาไว้ค่อยๆ สั่งน้ำมูกเถอะ!”
เหยียนหมิงซุ่นตั้งใจเน้นน้ำเสียงหนักไปที่คำว่า ‘สั่งน้ำมูก’ สามคำนี้ อู่เหมยก็ยิ่งเขินอายกว่าเดิม หัวก็ยิ่งก้มต่ำลงไปอีก
“เงยหน้าอ้าปาก อา!”
อู่เหมยทำตามคำพูดของเหยียนหมิงซุ่น เพิ่งจะอ้าปาก ก็มีลูกอมนมถั่วที่ทั้งหวานทั้งหอมหนึ่งเม็ดป้อนเข้าปากมา อู่เหมยปิดปากอย่างไม่รู้ตัว อมไว้ในปากค่อยๆ ลิ้มรส หันไปยิ้มเอาใจให้เหยียนหมิงซุ่น
“ลูกอมอร่อยมากเลย”
เหยียนหมิงซุ่นมองเด็กน้อยที่หรี่ตากินลูกอมอย่างพอใจ ถ้าหากไม่กังวลว่าจะทำให้ฟันเล็กๆ ของใครบ้างคนผุ เขาก็อยากจะมาป้อนตอนเย็นทุกๆ วันเลยทีเดียว
ความรู้สึกที่ได้ป้อนก็ไม่เลวเลยจริงๆ ทำเอาใจของเขามีความสุขมากๆ
“คนที่โปรยตะปูคนนั้นหาตัวได้หรือยัง?” เหยียนหมิงซุ่นถาม
อู่เหมยส่ายหัว พูดอย่างไม่พอใจว่า “ฉันสงสัยอู่เยวี่ย นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครอยากจะทำร้ายฉัน อีกทั้งเมื่อครู่ฉันลองหยั่งเชิงเธอแล้ว ดูหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัด”
เหยียนหมิงซุ่นคิ้วกระตุก เขารู้สึกว่าอู่เยวี่ยมีความเป็นไปได้สูงมาก ใจที่อิจฉาริษยาของผู้หญิงคนนี้นั้นแรงกล้ามาก ทั้งโรงเรียนคนที่ไม่หวังจะให้อู่เหมยได้ดีที่สุด แน่นอนว่าจะต้องมีอู่เยวี่ยรวมอยู่ด้วย
“เรื่องพวกนี้อย่าพูดต่อหน้าพ่อของเธอนะ อาจารย์อู่ได้ยินเข้าจะต้องไม่ชอบใจแน่นอน” เหยียนหมิงซุ่นพูดปลอบใจเสียงเบา
อู่เหมยพยักหน้า “ฉันไม่ได้พูด ตอนนี้ฉันก็ไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้มาพิสูจน์ พูดไปคนอื่นก็ไม่เชื่อหรอก ถึงอย่างไรฉันก็จะคิดหาวิธีแก้แค้นกลับไปอยู่แล้ว”
………………………………………….
ตอนที่ 428 มาอีกแล้ว น่ารำคาญจริงๆ
อู่เหมยพูดจบก็มองไปทางเหยียนหมิงซุ่น เธออยากเห็นปฏิกิริยาของเหยียนหมิงซุ่นว่าจะเหมือนกับสยงมู่มู่หรือไม่ ที่คอยพยายามชี้นำเธอไม่ให้ใช้วิธีการชั่วร้าย และยังหาเหตุผลมาหว่านล้อมให้เธอใช้ความสามารถที่แท้จริงเอาชนะอู่เยวี่ยจะดีกว่า
สยงมู่มู่พูดแบบนี้ได้ แต่เหยียนหมิงซุ่นห้ามพูดเช่นนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเธอคงรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร?
ถึงอย่างไรเหยียนหมิงซุ่นก็ห้ามพูดแบบนี้!
โชคดีที่เหยียนหมิงซุ่นไม่ทำให้อู่เหมยผิดหวัง ทำแค่เพียงส่งยิ้ม แต่ไม่ได้มีท่าทีเหมือนสยงมู่มู่ ที่ทำท่าทางโบกไม้โบกมือสั่งสอน อู่เหมยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
เหยียนหมิงซุ่นไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าคำพูดของอู่เหมยมันจะผิดตรงไหน ยามลำบากน้ำหยดเดียวก็นับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง แต่ความแค้นถึงแม้แค่ทิ่มแทงด้วยปลายเข็ม ก็ต้องแทงกลับด้วยมีดดาบ หนามยอกเอาหนามบ่งถึงจะถูก
คนอื่นตบคุณ คุณก็หันหน้าอีกข้างให้เขาตบ นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มีแต่พวกคนโง่นั่นแหละที่จะยอม!
เขาทั้งไม่ใช่พระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ใช่ทั้งคนโง่ แน่นอนว่าจะไม่ยืนโง่ให้ถูกเอาเปรียบแน่นอน จะพูดอย่างไรก็ต้องแก้แค้นคืน อู่เหมยพูดแบบนี้ก็ตรงใจเขาพอดี!
“ไม่เป็นไร ปีหน้าก็ยังมีโอกาส รักษาแผลให้หายก่อน” เหยียนหมิงซุ่นพูดปลอบใจ
สำหรับงานการแสดงกลางคืนวันตรุษจีนนั้น ความคิดของเขาก็เหมือนกับของอู่เหมย ความเป็นไปได้มีเพียงน้อยนิด ไม่ต้องไปเพ้อฝันหวังมากไปจะดีกว่า
“อืม ปีหน้าฉันจะต้องเอาที่หนึ่งมาอีกให้ได้ ให้อู่เยวี่ยโมโหจนตายไปเลย” อู่เหมยพูดอย่างโมโห เดิมทีเธอคิดว่าหลังจากที่จบการแสดงในปีนี้แล้วก็จะตั้งใจมุ่งมั่นเรียนวาดรูปอย่างเดียวเลย
แต่โดนอู่เยวี่ยแกล้งครั้งนี้ ใจที่มุ่งมั่นของอู่เหมยก็เหมือนโดนแทงไปด้วย อะไรที่อู่เยวี่ยไม่อยากเห็นที่สุด เธอก็จะทำให้ได้ ให้นังสารเลวนั้นโมโหจนกระอักเลือดตาย
เหยียนหมิงซุ่นแกะเปลือกลูกอมป้อนให้อู่เหมยหนึ่งเม็ด พูดให้กำลังใจเธออยู่หลายประโยค อู่เหมยก็มีความเชื่อมั่นว่าจะต้องทำได้ในทันที
“เหมยเหมย นี่พี่เหมยซูหาน เปิดประตูหน่อย”
มีคนเคาะประตู อู่เหมยตัวสั่น เหมยซูหานทำไมถึงมาได้ล่ะ?
เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้วแน่น เจ้านี่มาทำไม ช่างเป็นคนที่น่ารำคาญเสียจริงๆ เขาหันไปพูดกับอู่เหมยอย่างไม่มีเสียงว่า “พี่กลับก่อนนะ ลูกอมนี้พี่เหลือไว้ให้ หนึ่งวันกินได้แค่สามเม็ดนะ”
พูดจบเขาก็หันหลังกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง ทำเอาอู่เหมยตกใจยกใหญ่ รีบพุ่งตัวไปตรงหน้าต่างทอดมองลงไปก็เห็นเหยียนหมิงซุ่นลงไปถึงพื้นเรียบร้อยแล้ว หันมาโบกไม้โบกมือให้เธอแล้วรีบสาวเท้าเดินออกไป
อู่เหมยหัวเราะอย่างอดไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าผู้นำระดับสูงในอนาคตจะปีนกำแพงเป็นตั้งแต่เด็ก!
ไม่สิ คำพูดประโยคนี้ทำไมฟังดูแล้วถึงรู้สึกว่ามันคลุมเครือแบบนี้ล่ะ?
อู่เหมยหน้าร้อนผ่าวอย่างไม่ตั้งใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอับอายขายหน้า ด่าตัวเองที่ไม่รู้จักยางอาย ทำไมถึงได้คิดมโนในเชิงชู้สาวกับผู้นำระดับสูงในอนาคตได้!
ท่องคาถาอยู่ในใจเพื่อสงบสติไปสามรอบ อู่เหมยถึงค่อยๆ ดึงสงบสติกลับมาได้ เพียงแต่ว่าในหัวสมองกลับมีรูปลูกกระเดือกอันเซ็กซี่วนเวียนไปมา ขยับขึ้นลงอย่างยั่วยวน ภาพนั้นจะทำให้หลงใหลเกินไปแล้ว!
อู่เหมยโมโหจนตบตัวเองอย่างแรง ไปทีหนึ่ง ในที่สุดก็เอาความหลงใหลที่มีอยู่เต็มหัวออกไปจนหมด
“เหมยเหมยเปิดประตูลูก เหมยซูหานเขามาเยี่ยมลูกน่ะ” อู่เจิ้งซือก็เคาะประตูแล้ว
อู่เหมยขมวดคิ้ว เดิมทีเธอจะแสร้งทำเป็นหลับไปแล้ว แต่อู่เจิ้งซือดันมาเคาะประตูด้วยตนเอง เธอก็เลยไม่สามารถแกล้งหลับต่อไปได้ จึงได้แต่แสร้งทำเป็นเพิ่งตื่นแล้วตอบกลับไปว่า “รอสักครู่ค่ะ”
………………………………………….
ตอนที่ 429 วันเกิดช้าไปแค่หนึ่งวัน
เหมยซูหานได้ยินเสียงงัวเงียของอู่เหมย ถ้าหากว่าเป็นตอนปกติ เขาจะไม่รบกวนต่ออีกแน่นอน แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน วันนี้เป็นวันเกิดของเขา เขาอยากจะร่วมแบ่งปันวันพิเศษกับอู่เหมย ไหนเลยจะกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท
อู่เหมยทำได้แค่เพียงทำผมให้ยุ่งเหยิง บนเตียงก็ทำให้ยุ่งๆ เหมือนกัน หาวอีกหลายครั้ง แล้วก็กระโดดไปเปิดประตู ส่งเสียงว่า “พ่อ พี่ซูหาน มีเรื่องอะไรหรอคะ?”
อู่เจิ้งซือถามอย่างเป็นห่วงว่า “เท้ายังเจ็บอยู่ไหม?”
“ยังเจ็บอยู่นิดหน่อยค่ะ แต่ดีกว่าตอนบ่ายเยอะแล้ว” อู่เหมยตอบ
เหมยซูหานสีหน้าเปลี่ยน ถามอย่างร้อนใจว่า “เท้าของเหมยเหมยเกิดอะไรขึ้น? หกล้มหรอ?”
อู่เจิ้งซืออธิบายว่า “ก็แค่ตอนเต้นไม่ทันระวังทำให้ได้รับบาดเจ็บน่ะ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ซูหานคุยกับเหมยเหมยไปเถอะ ใช่แล้ว วันเกิดของนายใกล้จะถึงแล้วใช่ไหม?”
เหมยซูหานตอบกลับอย่างเคารพนบน้อมว่า “วันเกิดของผมคือวันนี้ครับ ฉลองกับแม่ที่บ้านไปแล้วครับ นี่เป็นขนมที่แม่ผมทำด้วยตัวเอง แม่ให้ผมแบ่งมาบางส่วนให้อาจารย์และภรรยาของอาจารย์ครับ”
อู่เหมยในใจบีบขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้ถึงนึกขึ้นมาได้ว่าวันเกิดของเหมยซูหานคือวันนี้จริงๆ เพราะว่าเกิดตอนที่หนาวที่สุดของปี ดังนั้นถึงได้ตั้งชื่อว่าซูหาน
ที่ทำให้เธอตกใจก็คือ เวลาที่เหมยซูหานเกิดคือช้ากว่าเหยียนหมิงซุ่นแค่วันเดียว แบบนี้คิดขึ้นมาแล้ว พวกเขาเกิดปีเดียวกันเดือนเดียวกันเลย เพียงแค่ไม่ใช่วันเดียวกันเท่านั้นเอง
อู่เจิ้งซือตบหัวตัวเองอย่างขัดเคือง “ไอหยา ช่วงนี้มีเรื่องเยอะเกิน ทำให้ลืมวันเกิดของนายไปเลย ซูหานพรุ่งนี้หลังเลิกเรียนก็มากินข้าวที่บ้านอาจารย์นะ!”
ปีที่แล้วๆ มาวันเกิดเหมยซูหานนั้น อู่เจิ้งซือจะให้เหอปี้อวิ๋นทำกับข้าวมาโต๊ะใหญ่ เรียกเหมยซูหานมาที่บ้านเพื่อกินข้าว ก็นับไปว่าเป็นการฉลองวันเกิดให้กับเขาแล้ว แต่ปีนี้บ้านตระกูลอู่ไม่ค่อยสงบร่มเย็นมากเท่าไร อู่เจิ้งซือก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย
เหมยซูหานเห็นชอบอย่างยินดี “ได้ครับ ต้องรบกวนภรรยาของอาจารย์แล้ว”
เหอปี้อวิ๋นที่อยู่ห้องรับแขก ได้ยินก็ยิ้มพลางพูดว่า “เหมยซูหานเธอก็เกรงใจแบบนี้ตลอด แค่ข้าวมื้อเดียวเอง พรุ่งนี้ฉันจะทำหมูผัดผักดองที่เธอชอบให้กิน”
“งั้นก็ลาภปากผมแล้ว” เหมยซูหานตอบอย่างเคารพนบน้อม เพียงแต่ในตากลับไม่มีความเคารพนับถือเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
อู่เหมยยืนขาเดียวจนเมื่อยจะตายอยู่แล้ว เห็นคนพวกนี้พูดคุยกันไม่จบไม่สิ้น ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ เลยกระโดดกลับไปนั่งเสียเลย
ในใจของเธออดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบระหว่างเหยียนหมิงซุ่นกับเหมยซูหาน คนหนึ่งก็เย็นชาเฉยเมยตลอด มองแล้วไม่ค่อยน่าคบหาสมาคมด้วยเท่าไร อีกคนกลับมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าทั้งวัน อบอุ่นเหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน
แต่เธอกลับชอบที่จะอยู่กับเหยียนหมิงซุ่นมากกว่า ความจริงเหมยซูหานดูแล้วน่าคบหาด้วยและคงสนิทสนมด้วยได้อย่างง่ายดาย แต่อู่เหมยกลับรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไม่น่าคบหาด้วยมากที่สุด เหมือนบนตัวเขามีบางอย่างกั้นขวางไว้อยู่ คงไม่เผยความจริงใจให้คนอื่นได้เห็น
ชาติที่แล้วก็เช่นกัน เธอและเหมยซูหานใช้ชีวิตร่วมกันมาสิบกว่าปี จนถึงตอนนี้เธอยังก็ไม่เข้าใจคนนี้เลยจริงๆ
ไม่เหมือนเหยียนหมิงซุ่น ถึงแม้ว่าจะดูเย็นชา แต่เขาก็จริงใจ อีกทั้งพอได้คบหากันมานานแล้ว เธอก็ค้นพบว่าเหยียนหมิงซุ่นไม่ได้เย็นชาเลยสักนิด แต่กลับมีน้ำใจเสียด้วยซ้ำ เขาน่าจะเป็นพวกจริงใจกับเพื่อน ถึงแม้ว่าเขาจะมีเพื่อนไม่เยอะ แต่ถ้าหากสามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้ จะเป็นเรื่องที่มีความสุขมากๆ เรื่องหนึ่งแน่นอน
อู่เหมยนึกถึงการกระทำเมื่อกี้ที่เหยียนหมิงซุ่นปีนต้นไม้ข้ามกำแพง อันที่จริงในใจก็ชอบที่เหยียนหมิงซุ่นทำแบบนี้ มันแปลได้ว่าเขานับเธอเป็นเพื่อนแล้วใช่ไหมนะ?
“เหมยเหมย เท้ายังเจ็บมากอยู่ใช่ไหม?”
เสียงของเหมยซูหานดังขึ้นข้างหูของอู่เหมย อู่เหมยรีบเงยหน้า ถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เพราะไม่อยากจะอยู่ใกล้เหมยซูหานมากนัก
………………………………………….
ตอนที่ 430 ข้าวเหนียวปั้นที่สวยงาม
อู่เหมยพูดเสียงเบา “ไม่เจ็บแล้ว”
สายตาของเหมยซูหานเต็มไปด้วยความปวดใจ เขาหยิบถุงกระดาษออกมาจากกระเป๋าส่งให้อู่เหมย “นี่เป็นของเยี่ยมที่แม่ทำไว้ให้ ข้าวเหนียวปั้นที่เธอชอบกินที่สุด”
เขาพูดไปก็เปิดถุงกระดาษไปด้วย ก็ปรากฏภาพข้าวเหนียวปั้นสองลูกที่เหมือนไข่มุกขาวราวกับหิมะและมีสีเขียวโรยอยู่ ไข่มุกก็คือข้าวเหนียวสุกร้อนๆ ใสแวววาว ตกแต่งด้วยขนมอี๋สีเขียวเข้ม สวยงามมากจริงๆ
ถึงแม้ว่าจินซื่อจะมีประเพณีห่อขนม แต่วิธีทำข้าวเหนียวปั้นแบบนี้กลับไม่ใช่ประเพณีของจินซื่อ แต่เป็นขนมชนิดหนึ่งของเมืองไคว่จี ทุกๆ วันเชงเม้งคนพื้นที่จะทำผลไม้ดองเค็มและผลไม้หวานสองแบบกิน และนำมาใช้เซ่นไหว้บรรพบุรุษ
แต่ตอนนี้ผลไม้ไม่ใช่แค่นำมาเซ่นไหว้อย่างเดียวแล้ว แต่วิวัฒนาการเปลี่ยนเป็นพวกของว่าง ไว้ฉลองปีใหม่และฉลองตามเทศกาลต่างๆ ทั้งแต่งงานหรือทำบุญวันเกิดต่างก็จะห่อเป็นขนมเพื่อเฉลิมฉลอง มีร้านอาหารบางร้านก็จัดทำมาขายโดยเฉพาะ และมีคนมากมายไปซื้อ
แต่สิ่งที่ทำให้อู่เหมยสงสัยก็คือ ในพื้นที่ยังไม่มีวิธีทำข้าวเหนียวปั้น ธรรมดาทั่วไปหน้าตาจะเหมือนกับเกี๊ยวหรือขนมอี้ มีน้อยคนมากที่จะทำข้าวเหนียวปั้น ตระกูลเหอและตระกูลอู่ต่างก็เป็นคนพื้นที่ เพราะฉะนั้นอู่เหมยก็เลยกินแบบที่คนในพื้นที่ทำมาโดยตลอด
จนกระทั่งหลังจากที่แต่งงานกับเหมยซูหาน เธอถึงได้รู้ว่าผลไม้ยังสามารถทำให้มีหน้าตาสวยงามขนาดนี้ได้อีกด้วย แถมยังมีชื่อที่ไม่ธรรมดาอีกต่างหาก ครั้งแรกที่ได้กินข้าวเหนียวปั้นที่แม่เหมยทำ อู่เหมยก็ตกหลุมรักมันทันที หลังจากนั้นเธอก็ไปศึกษาวิธีทำด้วยตัวเองเหมือนกัน
แต่ปัญหาสำคัญก็คือ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว เวลานี้ตอนนี้แม้กระทั่งข้าวเหนียวปั้นคืออะไรเธอยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน แม้กระทั่งได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน เหมยซูหานทำไมถึงรู้ว่าเธอชอบกินข้าวเหนียวปั้น?
ยังมีก่อนหน้านั้นเรื่องลูกอมนมถั่วและบัวลอยเหล้าหมัก เหมยซูหานทำไมถึงได้รู้เรื่องพวกนี้อีก?
อู่เหมยเงยหน้ามองไปทางเหมยซูหาน ตั้งใจพูดขึ้นมาว่า “ของสิ่งนี้เรียกว่าข้าวเหนียวปั้นหรอ? พี่ซูหานพี่จำผิดหรือเปล่า? ฉันยังไม่เคยเห็นข้าวเหนียวปั้นมาก่อนเลย”
เหมยซูหานมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เวลานี้เขาถึงคิดขึ้นมาได้ เมื่อก่อนเพราะว่าสุขภาพร่างกายของแม่ไม่ดี แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยทำข้าวเหนียวปั้นมาก่อน ครั้งแรกที่อู่เหมยกินข้าวเหนียวปั้นก็เป็นเรื่องหลังจากที่แต่งงานกับเขาไปแล้ว อู่เหมยในตอนนี้จะชอบกินข้าวเหนียวปั้นได้ยังไง?
เขาทำพลาดไปแล้ว!
เหมยซูหานยิ้มน้อยๆ พูดว่า “แต่ไหนแต่ไรมาเหมยเหมยชอบกินของหวาน พี่ก็แค่รู้สึกว่าเธอจะต้องชอบกินข้าวเหนียวปั้นแน่ๆ เหมยเหมยลองชิมดูสิ ข้างในเป็นไส้ถั่วแดงนึ่ง เธอชอบกินซาลาเปาไส้ถั่วแดงมากที่สุดเลยไม่ใช่หรอ?”
อู่เหมยไม่ได้มองข้ามท่าทางการแสดงออกที่เปลี่ยนไปเมื่อกี้ของเหมยซูหาน เกิดความงงงวยภายในใจอย่างมาก ยิ่งนึกถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปในชาตินี้ของเหมยซูหาน เธอก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ
“เหมยเหมยรีบชิมเร็วว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง?” เหมยซูหานมองอย่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย
“ขอบคุณค่ะพี่ซูหาน แต่ฉันกินอิ่มแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันเก็บไว้กินเป็นข้าวเช้าก็แล้วกัน”
อันที่จริงอู่เหมยก็อยากกินข้าวเหนียวปั้นมาก ฝีมือของแม่เหมยอร่อยสุดยอด เธอทำแป้งถั่วแดงนึ่งก็อร่อย ข้าวเหนียวปั้นสองลูกนี้จะต้องอร่อยร้อยเปอร์เซ็นต์ เสียดายที่ข้าวเหนียวปั้นเป็นเหมยซูหานที่เป็นคนเอามา!
ต่อให้เป็นตับมังกรหรือสมองของหงส์ เธอก็ไม่ชิมแน่นอน
เหมยซูหานถอนหายใจอย่างผิดหวังเบาๆ ท่าทางดูหงอยเหงาลง เขาฝืนยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเหมยเหมยก็เอาไว้กินเป็นข้าวเช้าแล้วกัน แค่อุ่นหน่อยก็กินได้แล้ว”
อู่เหมยพยักหน้า “รู้แล้วค่ะ พี่ซูหานฝากขอบคุณคุณป้าแทนฉันด้วย”
เหมยซูหานดีใจขึ้นมาอีกครั้ง เหมยเหมยน่าจะกินอิ่มแล้วจริงๆ เด็กผู้หญิงความอยากอาหารค่อนข้างต่ำ แม่ทำขนมหิมะอันหนึ่งก็ใหญ่จะตาย เหมยเหมยกินไม่ลงก็เป็นเรื่องธรรมดา
”ได้ พี่จะบอกให้แน่ เหมยเหมยรีบไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ประคองไปที่เตียงนะ”
เหมยซูหานพูดเสร็จก็จะเข้ามาประคอง อู่เหมยรีบเบี่ยงตัวหลบเขา กระโดดไปที่เตียงด้วยตัวเอง มือของเหมยซูหานก็ลอยค้างกลางอากาศไปแบบนั้น ดูแล้วท่าทางเก้อเขินมากทีเดียว
“พี่ซูหานพี่มาแล้ว? เอ๊ะ นี่คืออะไร? สวยจังเลย กินได้ไหม?”
อู่เยวี่ยที่มีรอยยิ้มทั่วหน้าเดินเข้ามา เพียงครู่เดียวก็โดนข้าวเหนียวปั้นดึงดูดเข้าให้แล้ว
………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น