กระบี่จงมา 414.3-415.3

 บทที่ 414.3 หล่อหลอม

 

เฉินผิงอันเปิดปากถาม “อาจารย์ที่สอนในโรงเรียนก็คือวิญญูชนและนักปราชญ์ที่คัดเลือกมาจากสำนักศึกษามาอย่างตั้งใจงั้นหรือ?”


เหมาเสี่ยวตงส่ายหน้า “ย่อมไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นก็ไร้ความหมายแล้ว เพราะต่อให้ประสบความสำเร็จ อย่างมากสุดประเพณีนิยมของหนึ่งแคว้นก็จะเปลี่ยนเป็นของหนึ่งทวีป ทว่ากลับจะทำให้อีกแปดทวีปที่เหลือหิวตาย ใช้โชคชะตาบุ๋นของแปดทวีปมาประคับประคองความสงบสุขของหนึ่งทวีป มีความหมายที่ใด? ดังนั้นภายใต้การจับตามองของแต่ละฝ่าย สกุลหลิวแห่งธวัลทวีปจึงเตรียมการลับๆ มาล่วงหน้าเกือบสี่สิบปี ไม่ว่าจะด้านใดก็ล้วนต้องให้ได้รับการยอมรับจากตัวแทนของเมธีร้อยสำนัก ขอแค่มีใครคนหนึ่งปฏิเสธก็จะนำมาปฏิบัติจริงไม่ได้ นี่ก็คือครั้งเดียวที่หลี่เซิ่งยอมเผยโฉมเพื่อเสนอข้อเสนอเพียงหนึ่งเดียว”


เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดไม่สมดังใจปรารถนา?”


เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางเกิดศึกตรีจตุตามมาในภายหลัง”


เฉินผิงอันจมอยู่ในภวังค์ความคิด ใคร่ครวญว่าเหตุใดถึงได้ล้มเหลว


ความคิดของเขายุ่งเหยิงพัวพันกันเป็นปม


เหมาเสี่ยวตงพูดเบาๆ “นับแต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ไปจนถึงหลี่เซิ่ง ท่านหนึ่งคือผู้บรรยายคุณธรรมเมตตาธรรม อีกท่านหนึ่งคือผู้สร้างกรอบของกฎเกณฑ์ เพราะอะไร?”


เหมาเสี่ยวตงถามเองตอบเอง “ก่อนจะตอบคำถามข้อนี้ ข้าเองก็เคยขอความรู้จากคนผู้นั้นมาก่อนว่า ทำไมหลังจากที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งได้สร้างระบบดั้งเดิมและได้รับการยกย่องให้เป็นระบบเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาลแล้ว ถึงยังยอมรับเมธีร้อยสำนักไว้ได้อีก? เหตุใดถึงไม่เหลือแค่ความรู้ของลัทธิขงจื๊อไว้อบรมสั่งสอนปวงประชาอย่างเดียว? คำตอบของคนผู้นั้นทำให้คนหัวทึบเหมือนตอไม้อย่างข้าพลันกระจ่างแจ้ง ถึงได้รู้ว่าที่แท้ฟ้าดินก็กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ คนผู้นั้นบอกว่าเพราะมรรคาจารย์เต๋าได้เห็นหนึ่งนั้น (หนึ่งนั้นในที่นี้มาจากภาษาจีนว่า 那个一 ‘น่าเก่ออี’ ซึ่งอีหรือหนึ่งสามารถตีความได้หลากหลาย ในเนื้อเรื่องยังไม่เฉลยว่าหนึ่งที่ว่านี้คืออะไร) จลาจลความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตอนนั้นถึงได้ย้ายไปอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ และใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็ไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ปีศาจจนสิ้น ศาสดาพุทธเองก็ทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยคที่เป็นการทำนายบอกว่าสักวันหนึ่งยุคแห่งความเสื่อมจะมาถึง ‘กาลต่อจากนี้ ผู้บวชเป็นพระ แม้จะโกนผมโกนเครา สวมห่มจีวร แต่พวกเขากลับทำลายกฎเกณฑ์ ไม่ดำรงอยู่ในหลักธรรม’”


เหมาเสี่ยวตงถามกลับ “เจ้าคิดว่าทั้งสามท่านนี้ต้องการอะไร?”


เฉินผิงอันส่ายหน้าไม่รู้


เหมาเสี่ยวตงจึงกล่าวว่า “คนผู้นั้นบอกข้าว่า เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน แต่บางทีอาจเป็นเพราะหวังให้สรรพชีวิตบนโลกใบนี้มีอิสระเสรีที่ใกล้เคียงกับความหมายที่แท้จริง ความอิสระเสรีที่เจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มเติมก็สามารถบรรลุถึงได้”


เหมาเสี่ยวตงถาม “เข้าใจหรือไม่?”


เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “ไม่เข้าใจ”


เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้ม “เฉินผิงอัน เจ้าไม่จำเป็นต้องซักไซ้หาคำตอบของคำถามประเภทนี้ในเวลานี้”


เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืน ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นห่างจากพื้นชุ่นกว่า จากนั้นก็ยกขึ้นสูงอีกสองครั้ง “ความรู้มากมายในทุกวันนี้ การรู้รากฐานและความหมายที่แท้จริงของพวกมันจำเป็นต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน เดินขึ้นสูงไปทีละก้าว ถ้าเช่นนั้นคนผู้หนึ่งไม่ว่าจะยืนอยู่สูงแค่ไหน จิตใจก็ล้วนมั่นคงได้เสมอ ไม่ต้องไปสนใจพวกวิชานอกรีตที่สะเปะสะปะยุ่งเหยิงเหล่านั้น อย่างน้อยบัณฑิตอย่างพวกเราก็ควรจะเป็นเช่นนี้”


เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องที่ตนพูดคุยกับเหยาจิ้นจือบนยอดเขาของราชวงศ์ต้าเฉวียน เกี่ยวกับวงกลมที่จากในไปนอก จากเล็กไปใหญ่ก็พลันคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ “เรื่องนี้ข้าเข้าใจ”


เหมาเสี่ยวตงกลับมานั่งที่เดิม ยิ้มถามว่า “เข้าใจจริงรึ?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจจริงๆ”


เหมาเสี่ยวตงยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี มีครบทั้งสามอย่างแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มหลอมวัตถุได้แล้ว”


เฉินผิงอันหลับตาลงก่อน ครั้นจึงสูดลมหายใจเบาๆ หนึ่งที


หัวใจบุ๋นสีทองดวงหนึ่งลอยนิ่งๆ อยู่เบื้องหน้าเขา


เฉินผิงอันยังคงไม่รีบร้อนใช้ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธที่บริสุทธิ์ไป ‘เปิดเตาจุดไฟ’ แต่เขากลับหวนนึกถึงเรื่องหนึ่งตอนที่ตนยังอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงสมัยยังเป็นเด็กหนุ่ม


วันที่สองเดือนสอง มังกรเงยหัว ส่องไฟตามเสาคาน กิ่งไม้ท้อตีผนัง งูและแมลงไร้ที่หลบซ่อนในโลกมนุษย์…


นั่นต่างหากจึงจะเป็นจุดเริ่มต้นแรกสุดที่เฉินผิงอันออกท่องยุทธภพ


เวลานั้นเขายังไม่พบเจอใครหลายๆ คน


แต่พอเดินไปทีละก้าวก็เริ่มพบไปทีละคน


ฝึกวิชาหมัดไม่เหน็ดเหนื่อย เรียนหนังสือก็คุ้มค่ามาก


ที่แท้การยืนหยัดที่จะใช้เหตุผลพูดคุยกับผู้อื่นก็ใช่ว่าจะสบายใจทุกครั้งไป แต่กลับไม่เคยทำให้เสียใจภายหลัง


ที่แท้ข้าเฉินผิงอันก็มีวันนี้ได้เหมือนกัน


ที่แท้แม่นางหนิงก็สายตาดีขนาดนี้เชียวหรือ?


เหมาเสี่ยวตงดุอย่างขุ่นเคือง “สภาพจิตใจลิงโลดเกินไปแล้ว รีบหยุดเดี๋ยวนี้!”


เหมาเสี่ยวตงเกือบจะยกไม้บรรทัดฟาดออกไป พูดสั่งสอนอย่างกรุ่นโกรธว่า “ต่อให้มีแม่นางที่ชื่นชอบก็ควรจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปนึกถึง! ถึงเวลานั้นใครจะไปสนว่าเจ้าจะคิดถึงนางสักกี่ชั่วยาม จะอารมณ์ดีจนมีบุปผาผลิบานอยู่ในใจเลยหรือไม่?! ไม่รู้จักหนักจักเบาเสียเลย!”


เฉินผิงอันรีบเช็ดใบหน้าอย่างขลาดๆ เก็บรอยยิ้มลงไปแล้วเริ่มทำจิตใจให้สงบนิ่งมั่นคงอีกครั้ง


มองดูเหมือนเหมาเสี่ยวตงโมโหอย่างมาก แต่อันที่จริงในใจกลับแอบหัวเราะ พูดกับตัวเองว่า อาจารย์ เรื่องนี้ศิษย์ทำได้ดีหรือไม่? จะขอคำชมจากอาจารย์สักคำคงไม่มากเกินไปกระมัง?


……


ขณะที่เฉินผิงอันกำลังนั่งตรงข้ามกับเหมาเสี่ยวตงอยู่บนยอดเขาภูเขาตงหัว


ในสำนักศึกษาก็มีคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน ต่งจิ้งผู้รอบรู้ที่เชี่ยวชาญวิชาอสนีและหลินโส่วอีที่ถือเป็นลูกศิษย์ของเขาครึ่งตัว


เวลานี้ฟ้าดินเงียบสงัดและหยุดนิ่ง เป็นลางว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลากำลังจะเผยตัว ต่งจิ้งขมวดคิ้ว มองเห็นว่าแสงสว่างทางจิตวิญญาณของหลินโส่วอีกำลังจะหยุดตามไปด้วย เขาจึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สลายฟ้าดินขนาดเล็กทิ้งไป เพียงแต่ว่าการทำเช่นนั้นค่อนข้างกินแรงผู้รอบรู้ท่านนี้อยู่มาก


ต่งจิ้งกล่าวเสียงทุ้มหนัก “อย่าวอกแวก ทำให้เหมือนการอ่านหนังสือ เมื่อพบเจอบทความอริยะปราชญ์ที่มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย จิตใจสามารถจมจ่อมไปกับมัน นั่นถือเป็นความสามารถ หากดึงออกมาได้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงฝีมือ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นได้แค่หนอนหนังสือไปชั่วชีวิต จะมีโอกาสขานรับกับความรู้ของอริยะปราชญ์ได้อย่างไร?!”


หลินโส่วอีพยักหน้ารับ


ต่งจิ้งพูดหัวข้อก่อนหน้านี้ต่ออีกครั้ง “ไม่ต้องรีบร้อน พยายามบุกเบิกช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตเพิ่มอีกสองแห่ง การฝ่าทะลุขอบเขตก็จะไม่สายไป การฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างพวกเรา พรสวรรค์ในการฝึกตนไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ลัทธิขงจื๊อได้กลายเป็นระบบหลักดั้งเดิมของใต้หล้าไพศาลแล้ว การฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือการฝึกฝนหาวิชาความรู้นั่นเอง หลินโส่วอี ข้าถามเจ้า เหตุใดทั้งๆ ที่คนมากมายบนโลกรู้จักหลักการเหตุผลในตำราหลายเล่ม แต่กลับยังคงเลอะเลือนมึนงง หรืออาจถึงขั้นไม่อาจหยัดยืนได้ตรง?”


หลินโส่วอีตอบเสียงทุ้ม “ไม่รู้รากฐานต้นตอของหลักการเหตุผลหรือความรู้ ก็ย่อมไม่รู้ว่าควรจะใช้หลักการเหตุผลมาอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลกอย่างไร เป็นเหตุให้เมื่อได้รับคำพูดล้ำค่าที่แต่ละคำหนักดุจทองพันชั่งมาอยู่ในมือ แต่กลับเป็นเหมือนปุยฝ้ายที่ไม่เกาะเป็นกลุ่มก้อน เมื่อลมพัดมาก็พร้อมที่จะปลิวปรายไปตามสายลม ไม่อาจป้องกันความหนาว ถึงเวลาก็ได้แต่บ่นว่าหลักการเหตุผลไม่ใช่หลักการเหตุผล เหลวไหลสิ้นดี”


“เจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่ผิดนั้นอยู่ที่ว่าหลักการความรู้มากมายของอริยะปราชญ์ เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่คนบนโลกใช้สองมือคว้าจับไว้ได้ แต่พวกมันจะไปพักพิงอยู่มุมหนึ่งในใจเงียบๆ”


ต่งจิ้งพยักหน้าอย่างชื่นชม “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าจะพูดประโยคของอริยะปราชญ์กับเจ้าแค่ประโยคเดียว พวกเรามาหาความรู้จากประโยคนี้กัน”


หลินโส่วอีนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “พร้อมฟังคำสั่งสอนของท่านอาจารย์”


ต่งจิ้งเอ่ยถาม “อริยะเคยกล่าวไว้ว่า วิญญูชนมิใช่ภาชนะสิ่งของ จะอธิบายอย่างไร? สถานศึกษาหลี่จี้อธิบายไว้อย่างไร? สกุลเฉินผู้มากความรู้อธิบายอย่างไร? สำนักศึกษาเอ๋อหูอธิบายไว้อย่างไร? แล้วพรรคถงเฉิงในอดีตของแคว้นชิงหลวนล่ะอธิบายอย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นตัวเจ้าเองจะอธิบายอย่างไร?”


หลินโส่วอีมั่นใจเต็มเปี่ยม เตรียมจะตอบคำถามที่มาเป็นชุดนี้


แต่เขากลับสังเกตเห็นว่าอาจารย์ต่งหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ไม่มีสมาธิยิ่งกว่าเขาหลินโส่วอีเสียอีก


หลินโส่วอีลังเลเล็กน้อย เห็นว่าอาจารย์ต่งไม่มีท่าทีจะถอนสายตากลับมาจึงหันหน้าตามไป


จึงได้เห็นว่ามีศีรษะหนึ่งห้อยพาดอยู่นอกหน้าต่าง


ต่งจิ้งกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ชุยตงซาน เจ้ากำลังทำอะไร?!”


ชุยตงซานทำสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าก็แค่กลัวว่าหากหลินโส่วอีถามหลักการเหตุผลที่เจ้าต่งจิ้งตอบไม่ได้ จะเกิดบรรยากาศกระอักกระอ่วน ก็เลยเตรียมมาช่วยเจ้าคลี่คลายสถานการณ์ไงเล่า”


ต่งจิ้งยื่นนิ้วชี้หน้า จ้องตาอีกฝ่ายอย่างเดือดดาล “เจ้ารีบไปเดี๋ยวนี้!”


การถ่ายทอดความรู้เป็นเรื่องที่เคร่งเครียดจริงจัง แต่กลับต้องมาถูกเจ้าขี้หนู (เป็นคำด่า เปรียบเปรยถึงพวกมือไม้พายเอาเท้าราน้ำ) ที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่เลื่องระบือไปทั้งสำนักศึกษาผู้นี้มาก่อกวนเสียได้


ชุยตงซานเอาสองมือเกาะทาบขอบหน้าต่างไว้ตลอดเวลา สองเท้าลอยพ้นจากพื้น กะพริบตาปริบๆ “หากข้าไม่ไป เจ้าจะลงไม้ลงมือกับข้าหรือ?”


ต่งจิ้งรีบสงบจิตใจ เตรียมจะใช้เหตุผลมาสยบอีกฝ่าย จากนั้นค่อยยกเอาบารมีอำนาจของเจ้าขุนเขาเหมามาข่มขู่คนผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าชุยตงซานจะคลายสองมือออก และในที่สุดศีรษะนั้นก็ผลุบหายไปแล้ว


ต่งจิ้งแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา


ผลกลับกลายเป็นว่าชุยตงซานกระโดดผลุงขึ้นมาหนึ่งที เอาแขนวางไว้บนขอบหน้าต่าง หัวเราะฮ่าๆ “ข้ามาอีกแล้ว”


ต่งจิ้งตวาดอย่างเดือดดาล “ชุยตงซาน เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกตนก่อกำเนิด กลับมาทำเรื่องแบบนี้ ว่างนักหรือไง?!”


ชุยตงซานพูดอย่างมีเหตุมีผล “ก็ข้าว่างจนใกล้จะเบื่อตายอยู่แล้วไงล่ะ ถึงได้มาหาเจ้าเพื่อชวนคุย ไม่อย่างนั้นข้าจะมาทำไมเล่า”


ต่งจิ้งลุกขึ้นยืน “ตีกันสักรอบไหม?!”


ชุยตงซานส่ายหน้า “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ”


ต่งจิ้งโมโหจนต้องก้าวยาวๆ ตรงไปหาอีกฝ่าย


พวกคนที่ฝึกวิชาสายฟ้า โดยเฉพาะเซียนดิน จะมีสักกี่คนที่นิสัยดี


ชุยตงซานใช้ปลายเท้าแตะบนผนังแล้วพลิ้วกายไปด้านหลัง โบกมือบอกลา


หลินโส่วอีได้แต่ยิ้มจืดชืด


ต่งจิ้งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เพื่อให้แน่ใจว่าชุยตงซานจากไปไกลแล้วจริงๆ เขาจึงยืนรออยู่นานมากกว่าจะย้อนกลับมานั่งที่เดิม


ชุยตงซานเองก็ไม่ได้ตอแยอีกฝ่ายต่อ เขาเดินอาดๆ ไปเยือนห้องเรียนและหอพักอีกหลายแห่ง เห็นหลี่ไหวที่กำลังงีบหลับในห้องเรียน ชุยตงซานจึงประทานมะเหงกให้เจ้าลูกกระต่ายผู้นี้เป็นรางวัลสองสามที เดินมานั่งบนโต๊ะเล็กตรงหน้าหญิงสาวที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงของต้าสุยซึ่งร่างหยุดนิ่งท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา แล้วช่วยจัดทรงผมที่เขาคิดว่าเหมาะกับบุคลิกของนางมากกว่าให้กับนาง จากนั้นก็ไปเยือนหอพักแห่งหนึ่ง เห็นเด็กสาวหน้าตางดงามที่กำลังแอบอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ จึงหยิบพู่กันมาแต้มหมึกแล้วปาดไปบนคำบรรยายน่าขัดเขินที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดหลายจุดในหนังสือให้ดำเป็นปื้น…


เห็นได้ชัดว่าชุยตงซานเบื่อมากจริงๆ


เดินเตร็ดเตร่ไปมา สุดท้ายชุยตงซานก็ชำเลืองตามองภาพเหตุการณ์บนยอดเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปที่เรือนหลังเล็กของตัวเอง ไปนอนหลับอยู่กลางระเบียงไม้ไผ่มรกต


สือโหรวที่ ‘สวม’ ชุดคราบร่างเซียนสามารถเดินได้ตามปกติแล้ว


เซี่ยเซี่ยที่ไม่มีตะปูกักมังกรตัวสุดท้ายคอยพันธนาการตบะ คิดจะเดินค่อนข้างยากลำบาก แต่แค่นั่งรับสัมผัสกับความลี้ลับของแม่น้ำแห่งกาลเวลากลับยังทำได้


อยู่ดีๆ ชุยตงซานก็ดีดตัวผลุงขึ้นมาในท่าปลากระโดดหงายท้อง เขาลุกขึ้นยืนกะทันหันทำเอาเซี่ยเซี่ยกับสือโหรวตกใจสะดุ้งโหยง


ชุยตงานพลันนึกถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลี่หลิ่วขึ้นมาได้ คราวนั้นตอนที่อยู่หน้าประตูสำนักศึกษา นางทำท่ามือที่น่ากลัวใส่ตน


มองดูเหมือนเด็กสาวที่ไม่เข้าใจเรื่องทางโลก ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ


ชุยตงซานทิ้งตัวหงายไปด้านหลังดังตุ้บ ปากก็ปล่อยเสียงหึๆ ฮ่าๆ พลางออกหมัดตามไปด้วย ก่อนจะจุ๊ปากพูดว่า “ผู้ร่วมครองยุทธภพนี่เอง มิน่าเล่าจิตใจถึงสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า”


แล้วชุยตงซานก็หลับตานอนต่อ


เซี่ยเซี่ยกับสือโหรวหันหน้ามองไปทางยอดเขาภูเขาตงหัวแทบจะเวลาเดียวกัน


ไม่รู้ว่าเหตุใดกระแสน้ำแห่งกาลเวลาของทางฝั่งนั้นคล้ายจะอาบย้อมไปด้วยสีทองอร่ามที่ยิ่งใหญ่ไพศาลชั้นหนึ่ง


เพียงแต่ว่าสือโหรวกลับต้องหันขวับมาชำเลืองตามองชุยตงซานอย่างรวดเร็ว


วันนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันพูดคำว่า ‘ขอคิดดูอีกหน่อย’ นางเห็นชัดเจนว่าชุยตงซานที่หันหลังให้เฉินผิงอันน้ำตานองเต็มใบหน้า


ทั้งๆ ที่ชุยตงซานกำลังหลับ แต่เสียงดีดนิ้วกลับดังขึ้น


ในท้องของสือโหรวพลันมีเสียงเหมือนฟ้าคำราม เป็นความรู้สึกที่นางไม่เคยได้พบพานมาหลายร้อยปีแล้ว


ชุยตงซานหันหน้ามายิ้มตาหยีพลางเอ่ยเตือน “อย่ามาปล่อยเรี่ยราดในเรือนข้า รีบไปหาห้องส้วมซะ ไม่อย่างนั้นหากข้าไม่รมควันเจ้าให้ตาย ก็จะซ้อมเจ้าให้ตาย!”


สือโหรวทั้งเจ็บแค้นและเศร้าใจ รีบวิ่งปรื๋อจากไป


ชุยตงซานกลิ้งตัวอยู่ในระเบียงไม่หยุด ปากก็พูดไปด้วยวา “เซี่ยเซี่ย เจ้าจะไปหาคุณชายที่ช่วยเจ้าเช็ดถูระเบียงแบบนี้ได้ที่ไหนอีก ว่าไหม?”


เซี่ยเซี่ยได้แต่เอ่ยคล้อยตาม “เซี่ยเซี่ยขอบคุณคุณชาย”


ชุยตงซานลุกขึ้นนั่งยองบนระเบียง แล้วก็ทำท่าว่ายน้ำ ว่ายจากฝั่งหนึ่งไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง แล้วก็หมุนตัวกลับ ว่ายวนกลับมาอีกหนึ่งรอบ ปากคลอเพลงซ้ำไปซ้ำมา “คางคกไม่กินน้ำ ปีแห่งความสงบสุขหนอปีแห่งความสงบสุข…”

 

 

 


บทที่ 415.1 ทุกข์และสุขจากการพบพรากที...

 

สำนักศึกษากลายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กที่มีอริยะเฝ้าพิทักษ์ บนยอดเขาภูเขาตงหัวก็คล้ายจะเป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง


หลังจากที่เหมาเสี่ยวตงโคจรวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ภาพบรรยากาศบนยอดเขาก็กลายเป็นเหมือนอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นสีทองอร่าม


อากาศเย็นสบาย


เฉินผิงอันนั่งอยู่ทิศตะวันตก ด้านหน้าวางเตาตู้สีทองห้าสี ใช้ปราณวิญญาณที่กักเก็บไว้ในช่องโพรงน้ำมา ‘พัดลม’ ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ ‘จุดไฟ’ ผลักดันให้ในกระถางเกิดไฟที่แท้จริงซึ่งใช้ในการหลอมวัตถุลุกโชนเป็นลูกๆ


เตาหลอมโอสถพลันส่องประกายแสงเจิดจ้า ประหนึ่งดวงอาทิตย์ในโลกมนุษย์


หัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้นลอยตัวอยู่เหนือเตาหลอม แล้วค่อยๆ ลดระดับลงเบื้องล่างช้าๆ


เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เขาจึงทำไปตามลำดับขั้นตอน ใช้คาถาหลอมวัตถุของเซียนบทที่มีต้นกำเนิดมาจากศิลาขอฝนจากเซียนหน้าศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอมาขับเคลื่อนกรวดทองไหหนึ่งที่มีขนาดเท่าฝ่ามือให้สาดลงไปในเตาหลอมโอสถ เปลวพลิงยิ่งลุกโชติช่วง สาดสะท้อนให้ใบหน้าของเฉินผิงอันเป็นสีแดงสว่างจ้า โดยเฉพาะดวงตาใสกระจ่างที่เคยเห็นขุนเขาและสายน้ำมานับพันนับหมื่นคู่นั้นที่ยิ่งงดงามเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา มือคู่นั้นที่เคยขึ้นรูปเครื่องปั้นมานับครั้งไม่ถ้วนไม่มีอาการสั่นเทาแม้แต่น้อย ทะเลสาบหัวใจใสกระจ่างดุจกระจก แล้วก็เหมือนบ่อน้ำโบราณที่ไร้ริ้วน้ำ


หัวใจบุ๋นสีทองที่ถูก ‘ควัก’ ออกมาจากหัวใจของเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในเตาหลอมโอสถ เดี๋ยวก็หมุนคว้าง เดี๋ยวก็พลิกกลับ


ในหัวใจบุ๋นมีทั้งควันธูปที่ได้รับมาปีแล้วปีเล่าเป็นเวลาหลายร้อยปีจากชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาในแคว้นไฉ่อี แล้วก็มีปราณแห่งความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่ที่เสิ่นเวินมุ่งมั่นยึดถือเอาไว้หลังจากตายไป รวมไปถึงแสงแห่งจิตวิญญาณที่ฟูมฟักออกมาหลังจากได้อยู่กับตราประทับซึ่งแกะสลักจากฝีมือของเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์มานานวัน พวกมันอยู่ในรูปลักษณ์จุดๆ เป็นดวงๆ ประหนึ่งดวงดาราที่ลอยอยู่กลางท้องนภายามค่ำคืน


ในบรรดาวัตถุดิบวิเศษมากมาย ก็มีเพียงดาบประจำกายของอริยะบู๊ในศาลบู๊ประจำเมืองหลวงของแคว้นหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงเขาวัวพันปียาวครึ่งจั้งที่หลอมได้ยากที่สุด


จิตใจเฉินผิงอันสงบนิ่ง เขาแค่ต้องก้าวไปทีละก้าวอย่างมั่นคงไร้ข้อผิดพลาด ใช้คาถาเซียนที่สามารถ ‘หล่อหลอมหมื่นสรรพสิ่ง’ หลอมพวกมันไปอย่างเชื่องช้า


ดาบประจำกายที่เคยติดตามอริยะบู๊ท่านนั้นมาทั้งชีวิตลอยอยู่กลางอากาศเหนือเตาหลอม ค่อยๆ ละลายไปอย่างช้าๆ โดยเริ่มจากปลายดาบ กลั่นออกมาเป็นไข่มุกสีทองเม็ดหนึ่งที่ตกลงไปในเตาตู้ทองห้าสี ยิ่งเป็นช่วงท้ายๆ ความเร็วในการหยดลงของหยดน้ำก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ติดต่อกันจนกลายเป็นเส้นสาย หากมีคนสามารถใช้วิธีการมองสำรวจภายใน นำกายมาพักพิงอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กของเตาหลอมโอสถแล้วแหงนหน้ามองไป ไข่มุกเส้นนั้นก็จะเหมือนน้ำตกสีทองที่หล่นลงจากฟากฟ้ามาสู่โลกมนุษย์


ทองคือธาตุหลักของปอด


และหากคิดจะบำรุงปอด การที่ผู้ฝึกตนคลำหากฎเกณฑ์ข้อหนึ่งที่บอกว่าต้องบำรุงมหาสมุทรลมปราณ จุดตั้นจง (จุดฝังเข็มอยู่ตรงช่วงหน้าอก) และจุงเฟ่ยอวี๋ (จุดฝังเข็มตรงปอด) ไว้ได้แต่เนิ่นๆ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด


ตอนที่เฉินผิงอันหายใจก็จะใช้วิธีโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดไปด้วยคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา ส่งลมปราณผ่านช่องโพรงลมปราณสามแห่ง ด่านทั้งสามแห่งพลันมีปราณกระบี่เหมือนสายรุ้งพาดผ่าน จากนั้นกล้ามเนื้อภายนอกของเฉินผิงอันก็กระตุกขึ้นลงเล็กน้อยประหนึ่งรัวกลองบนสนามรบ แม้ว่าบนยอดเขาตงหัวจะไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วในร่างกายของเฉินผิงอันที่เป็นฟ้าดินขนาดเล็กกลับมีสมรภูมิรบสามแห่งที่เต็มไปด้วยปราณเข่นฆ่าสังหารซึ่งมีปราณกระบี่เป็นหลัก คล้ายซากปรักหักพังของสนามรบที่ยังคงมีจิตวิญญาณของวีรบุรุษเซียนกระบี่ที่ไม่เต็มใจจะอยู่นิ่งเฉยอย่างสงบ


การหลอมวัตถุดิบวิเศษทั้งสามสิบกว่าชิ้นล้วนจำเป็นต้องอิงตามลำดับก่อนหลัง จำเป็นต้องเอาใส่เตาตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ขนาดไฟเล็กใหญ่ในเตาหลอมก็ยิ่งไม่อาจมีข้อผิดพลาดได้


เวลานี้เหมาเสี่ยวตงมีฐานะเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อผู้เฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษา เขาสามารถใช้วิชาลับที่เป็นวิชาสืบทอดดั้งเดิมมาออกเสียงเอ่ยเตือน เพื่อที่ไม่ต้องคอยกังวลว่าเฉินผิงอันจะเสียสมาธิจนเป็นเหตุให้ธาตุไฟเข้าแทรก


เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ให้โอกาสนี้แก่เขาเลย


เฉินผิงอันรวบรวมสมาธิแน่วนิ่งได้ตลอดเวลา จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ใช้คาถาในการหลอมวัตถุของเซียนมาหล่อหลอมวัตถุดิบวิเศษแต่ละชิ้นจากของที่จับต้องได้จริงให้กลายเป็นภาพมายา ใช้ปราณวิญญาณในช่องโพรงน้ำกับปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่เกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่ามาบังคับเตาหลอมอย่างระมัดระวัง ใช้ปราณกระบี่สิบแปดหยุดมาสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ ‘สมรภูมิรบ’ ที่เป็นด่านช่องโพรงลมปราณใหญ่สามด่าน เนื่องจากการหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดวงนี้เกี่ยวพันกับการฝึกตนของลัทธิขงจื๊อ เมื่อเทียบกับการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว ยังต้องมีเรื่องยุ่งยากที่ใหญ่เทียมฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือต้องท่องบทคาถาที่เกี่ยวพันกับธาตุทองซึ่งเป็นหนึ่งในห้าธาตุ ยกตัวอย่างเช่นบทความอริยะปราชญ์หรือบทกวีที่มีตัวอักษรคำว่าซี ชิว หรานอยู่ภายใน เกินครึ่งเป็นตัวอักษรที่เฉินผิงอันเลือกมาจากแผ่นไม้ไผ่ของตัวเอง ส่วนอีกเกือบครึ่งถึงจะเป็นตัวอักษรที่เหมาเสี่ยวตงแนะนำให้ตอนอยู่ในห้องหนังสือ


ในการฝึกตนของลัทธิขงจื๊อ ด่านนี้ถูกเรียกขานว่า ‘ใช้ถ้อยคำที่มาจากปอด เยี่ยมเยือนขอคำแนะนำจากอริยะปราชญ์’ (ถ้อยคำที่มาจากปอดเป็นคำที่แปลตรงตัวจากประโยคว่า 肺腑之言 ซึ่งถ้าแปลโดยภาพรวมจะหมายถึงถ้อยคำที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ)


อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงค่อนข้างเป็นกังวลกับด่านนี้


ในความเป็นจริงแล้วครั้งแรกที่ไปเยือนศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงต้าสุย การที่ไม่เพียงแต่ต้องการเอาส่วนปันผลของสำนักศึกษาซานหยากลับมา ยังยืมเครื่องดนตรีและภาชนะที่ใช้ในการเซ่นไหว้เพิ่มขึ้นด้วย นั่นก็เพราะเหมาเสี่ยวตงกลัวว่าการหลอมวัตถุของเฉินผิงอันจะเกิดช่องโหว่ตรงจุดนี้ ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่เคยสัมผัสกับวิชาการฝึกตนของลูกศิษย์สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อมาก่อน อีกทั้งยังไม่มีทางลัดที่สามารถปิดฟ้าข้ามทะเลให้เดิน จึงได้แต่ใช้ภาชนะของศาลบุ๋นที่กักเก็บโชคชะตาบุ๋นไว้อย่างเข้มข้นมาเป็นตัวชดเชย พยายามฝืนฝ่าด่านไปให้ได้


แต่ยังดีที่เฉินผิงอันทำได้ดียิ่งกว่าที่ผู้เฒ่าจิตนาการเอาไว้


นี่หมายความว่าการอ่านหนังสือของเฉินผิงอันได้อ่านเข้าหัวไปจริงๆ ทั้งคนอ่านหนังสือและหลักการเหตุผลที่อยู่ในตำราต่างก็ยอมรับซึ่งกันและกัน ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นรากฐานในการหยัดยืนของตัวเฉินผิงอันเอง ก็เหมือนกับระหว่างทางที่เหมาเสี่ยวตงพาเฉินผิงอันเดินไปศาลบุ๋นแล้วพูดชวนคุยว่า ตัวอักษรในตำราไม่มีขาให้เดินเอง ไม่อาจวิ่งเข้ามาในท้อง บินเข้ามาในหัวใจของคนได้ ต้องให้ตัวเองไป ‘ขบให้แตก’ ขบให้แตกคำเดียวกับประโยคว่าอ่านหมื่นตำราให้แตกฉาน! หลักการเหตุผลของลัทธิขงจื๊อยิบย่อยมากมายก็จริง แต่ไม่เคยเป็นกรงขังที่พันธนาการผู้คน นั่นต่างหากจึงจะเป็นรากฐานของการทำตามใจปรารถนาได้โดยไม่ละเมิดกฎเกณฑ์


เหมาเสี่ยวตงสะทกสะท้อนใจ


ศาลบุ๋นอันเป็นศาลดั้งเดิมในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งนั้นมีห้องโถงความรู้แห่งหนึ่งที่ลึกลับไม่เปิดเผยแก่คนภายนอก ซึ่งภายในเต็มไปด้วยบทความและประโยคหลักการเหตุผลที่เหล่าอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน


ตัวอักษรมีเล็กใหญ่ แสงสีทองมีทั้งเข้มข้นและบางเบา


ตัวอักษรสีทองที่อยู่ใกล้พื้นมากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วหากตัวอักษรยิ่งใหญ่เท่าไหร่ แสงที่เปล่งออกมาก็จะยิ่งสว่างบริสุทธิ์มากเท่านั้น


บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาหรือไม่ก็ผู้มีความสามารถรุ่นหลังที่มีชื่อเสียงของเมธีร้อยสำนักจำนวนมากชื่นชมเลื่อมใสสถานที่แห่งนี้ พวกเขาสามารถร่ายใช้วิชาอภินิหารทำให้บทความในจุดสูงบางส่วนที่แต่ละตัวอักษรหนักนับหมื่นชั่ง แน่วนิ่งไม่ขยับดุจขุนเขาทั้งห้าในแผ่นดินกลาง มากพอจะทิ้งชื่อเสียงอันหอมหวนไว้ได้นานนับร้อยปีโยกคลอน หรือถึงขั้นย้ายตัวอักษรจำนวนมากในบทความไปไว้ที่อื่นได้ตามแต่ใจปรารถนา ทว่าจนถึงทุกวันนี้กลับยังไม่มีใครที่สามารถขยับเคลื่อนตัวอักษรสีทองที่เหมือนเมล็ดข้าวโพดขนาดใหญ่ยักษ์ที่อยู่บนพื้นเหล่านั้นได้เลย


เพราะนั่นคือความรู้อันเป็นรากฐานของปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง


ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สีทองของตัวอักษรบางตัวของปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งที่ลอยอยู่ในจุดสูงของโถงความรู้ก็ยังจืดจางและสลายหายไปด้วยตัวเอง ในประวัติศาสตร์ลับของศาลบุ๋น ครั้งแรกที่เหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏขึ้น ทำให้เหล่าอริยะในสถานศึกษาตื่นตะลึงพรึงเพริด แม้แต่รองเจ้าขุนเขาลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์ศาลบุ๋นในเวลานั้นก็จำต้องรีบไปอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า แล้วไปจุดธูปอัญเชิญปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง


เพียงแต่ว่าอริยะทั้งสองท่านกลับไม่เผยโฉมหน้า


และเวลานั้นเอง บัณฑิตที่ยังไม่ถูกสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อยกย่องเป็นหย่าเซิ่งก็ได้กล่าวประโยคหนึ่งว่า ‘ใต้หล้าไม่มีความรู้ใดไม่แปรเปลี่ยนนานนับหมื่นปี ใต้หล้าไม่มีบทความใดที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่จำเป็นต้องตื่นตะลึง ไม่อย่างนั้นคนรุ่นหลังอย่างพวกเราจะอ่านตำราสร้างวิชาความรู้กันไปทำไม?’


ด้วยเหตุนี้จิตใจของคนในศาลบุ๋นจึงสงบนิ่งลงได้


เหมาเสี่ยวตงเก็บความคิดทั้งหลายลงไปแล้วมองคนหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตัวเอง


ว่ากันด้วยรูปลักษณ์ เขาสูงสง่าโดดเด่น ประดุจป่าแก้วต้นไม้หยก ฝุ่นธุลีมิอาจแปดเปื้อน


ว่ากันด้วยจิตใจ เขาประหนึ่งไข่มุกทอแสงยามค่ำคืน ราวกับดวงจันทร์ขนาดจิ๋วที่หล่นลงในโลกมนุษย์ ยังไม่ถูกเทพแห่งตำหนักดวงจันทร์เอากลืบคืนสู่สรวงสวรรค์ ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนทอประกายพร่างพราวก็เพื่อห้อมล้อมดวงเดือนดวงนี้


มีศิษย์น้องเล็กแบบนี้


ในฐานะศิษย์พี่ จะไม่รู้สึกเป็นเกียรติได้อย่างไร?


นี่ไม่เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดว่าสูงส่งหรือต่ำต้อย ไม่เกี่ยวกับตบะว่าสูงหรือต่ำ


อาจารย์ของเขาเหมาเสี่ยวตงคือเหวินเซิ่ง ศิษย์พี่มีทั้งพวกฉีจิ้งชุน จั่วโย่ว แล้วก็ได้รู้จักกับอาเหลียงตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากสถานศึกษาหลี่จี้ ถึงขั้นเคยขอวิชาความรู้จากบัณฑิตแห่งแผ่นดินกลางที่ใช้หนึ่งกระบี่เปิดถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กหวงเหอผู้นั้น


และเขาเองก็เคยได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่มากมาย เคยเดินทางไปขอศึกษาต่อในหลายๆ สถานที่ เคยรู้จักกับยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วยังถึงขั้นเคยดื่มเหล้า เคยเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำร่วมกับบรรพบุรุษสำนักกสิกรรมหลายครั้งหลายคราเกินคณานับ


ทว่าเหมาเสี่ยวตงกลับยังรู้สึกว่าตัวเองสู้เฉินผิงอันไม่ได้


เพราะเขาเหมาเสี่ยวตงพลาดอะไรไปหลายอย่าง ไม่อาจคว้าจับพวกมันไว้ได้อยู่มือ


ชุยตงซานเคยพูดถึงการเดินทางบนเส้นทางจิตใจที่อันตรายที่สุดครั้งหนึ่งหลังจากเฉินผิงอันเดินทางออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูโดยไม่ได้ตั้งใจ


ไม่ใช่การเข่นฆ่าแย่งชิงอะไร แต่เป็นการที่อาเหลียงไปเจอเขา


การทดสอบที่มองดูเหมือนมีเพียงโชควาสนาไม่มีอันตรายแม้แต่น้อยครั้งนั้น หากจิตใจของเฉินผิงอันเอนเอียงเพียงเล็กน้อยก็จะกลายเป็นอย่างจ้าวเหยา และในอนาคตก็อาจจะมีโชควาสนาเป็นของตัวเองเฉกเช่นจ้าวเหยา แต่เฉินผิงอันจะต้องพลาดอาเหลียง พลาดฉีจิ้งชุน พลาดโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดซึ่งฉีจิ้งชุนช่วยช่วงชิงมาให้เขาอย่างยากลำบากครั้งนั้น พลาดซิ่วไฉเฒ่า สุดท้ายก็พลาดหญิงสาวที่ตนเองรักไป พลาดหนึ่งก้าวก็พลาดไปทุกก้าว แพ้ทั้งกระดาน


ตอนนั้นเหมาเสี่ยวตงจำต้องถามว่า ‘แล้วเฉินผิงอันอาศัยอะไรถึงข้ามผ่านอันตรายนั้นมาได้?’


ชุยตงซานให้คำตอบที่ไม่จริงจังนัก ‘ก็อาจารย์ของข้ารู้ว่าตัวเองโง่ไงล่ะ แน่นอนว่าโชคดีก็พอจะมีอยู่บ้าง’


เหมาเสี่ยวตงอยากจะซักถามให้ละเอียด แต่ชุยตงซานกลับไม่เต็มใจจะพูดถึงอีก


ถึงท้ายที่สุดการที่เหมาเสี่ยวตงไปขนเครื่องดนตรีและภาชนะทั้งหลายมาจากศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงก็ไม่ใช่การส่งถ่านท่ามกลางหิมะ แต่เป็นแค่การปักบุปผาบนผ้าแพรเท่านั้น


แต่ก็แน่นอนว่าตอนนี้เหมาเสี่ยวตงดีใจยิ่งกว่าอะไร


นี่หมายความว่าระดับขั้นของวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่หลอมมาจากหัวใจบุ๋นสีทองดวงนี้จะต้องสูงขึ้น


แน่นอนว่าอาจด้อยกว่าเมื่อเทียบกับตราประทับตัวอักษรน้ำ แต่ใต้หล้านี้จะไปหาตราประทับที่ฉีจิ้งชุนใช้จิงชี่เสินของตัวเองมาสลักเป็นตัวอักษรได้จากที่ไหนอีกเล่า?


ต่อให้เป็นเหมาเสี่ยวตงก็ยังรู้สึกเสียดายแทนเฉินผิงอันที่ต้องเสียตราประทับตัวอักษรภูเขาไปในร่องเจียวหลง ไม่อย่างนั้นหากสร้างสถานการณ์ที่ ‘ภูเขาและแม่น้ำแอบอิง’ ขึ้นมาได้ หลังจากหลอมตราประทับแห่งชะตาชีวิตสองชิ้นเสร็จก็ไม่ได้ง่ายดายแค่ฝ่าทะลุคอขวดของสองขอบเขต เลื่อนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสองขั้นสูงสุดเท่านั้น แต่ต้องกลายเป็นขอบเขตสามขั้นสูงสุดอย่างแน่นอน! ต่อให้วัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกสามชิ้นที่เหลือจะระดับแย่แค่ไหน ขอแค่รวบรวมให้ได้ครบห้าธาตุก็ต้องสามารถฝ่าธรณีประตูใหญ่ขั้นที่หนึ่งของผู้ฝึกลมปราณ ตรงดิ่งไปยังห้าขอบเขตกลางได้แน่นอน!


แต่เหมาเสี่ยวตงเองก็รู้ดีว่า การที่พกเอาตราประทับตัวอักษรภูเขาของฉีจิ้งชุนไปที่ภูเขาห้อยหัว มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกิดอุปสรรคใหญ่หลวงขึ้น


นี่มองดูเหมือนการได้และเสีย การเลือกและการสละที่เหมือนจะไม่มีร่องรอยให้สืบสาว แต่นี่กลับเป็น ‘ความรู้อันเป็นรากฐาน’ ที่อยู่ลึกลงไปข้างในยิ่งกว่าการฝึกวิชาหมัด วิชากระบี่ การอ่านหนังสือ หรือแม้แต่หลักการความรู้บางส่วนที่เฉินผิงอันบรรลุมาได้เสียอีก


เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงชุยตงซานมีการศึกษาค้นคว้ามากที่สุด การแบ่งแยกระหว่างคนและเทพเจ้า ส่วนลึกของจิตวิญญาณ เป็นคนควรปฏิบัติตัวอย่างไร บนเส้นทางสายเล็กที่ดำมืดสายนี้ ชุยตงซานและชุยฉานเดินไปได้ไกลอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนที่เดินไปได้ไกลที่สุดในโลก


เล่าลือกันว่าปีนั้นก่อนหน้าที่ชุยฉานจะตัดสินใจทรยศต่อสายบุ๋นเหวินเซิ่ง เขาได้ไปเยือนที่โถงความรู้ของศาลบุ๋นประจำแผ่นดินกลางแห่งนั้น เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เอาแต่มองตัวอักษรบนพื้นที่ดุจดั่งเมล็ดข้าวโพดสีทองอยู่นานถึงสามวันสามคืน มองแค่ส่วนที่อยู่ต่ำสุด ไม่มองตัวอักษรที่อยู่สูงขึ้นไปแม้แต่ตัวเดียว


เหมาเสี่ยวตงถอนหายใจเบาๆ


ไม่ว่าอย่างไร การที่สามารถหลอมหัวใจบุ๋นสีทองดวงนี้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้อย่างราบรื่นก็ถือเป็นโชควาสนาที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งครั้งหนึ่งแล้ว


อย่าแสวงหาความสมบูรณ์แบบ จิตใจอย่าทะเยอทะยานมากเกินไป

 

 

 


บทที่ 415.2 ทุกข์และสุขจากการพบพรากที...

 

เหมาเสี่ยวตงไม่มัวเหม่อลอยอีก เขาทยอยเอาชะตาบุ๋นที่บรรจุอยู่ในเครื่องดนตรีและภาชนะแต่ละชิ้นกรอกเทเข้าไปในเตาหลอมโอสถตามลำดับด้วยฝีมือที่ประณีตอัศจรรย์ถึงขีดสุด


นี่จึงเป็นเหตุให้สือโหรวและเซี่ยเซี่ยได้เห็นภาพทิวทัศน์งดงามเลิศล้ำที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาบนยอดเขาถูกอาบย้อมไปด้วยประกายแสงสีทองหนึ่งชั้น


เตาหลอมโอสถที่มีปราณห้าสีลอยตลบอบอวลพลันหยุดชะงัก จากนั้นไอเมฆหมอกก็สลายหายไปจนสิ้น


หัวใจบุ๋นสีทองที่ลอยอยู่นิ่งๆ ตรงก้นของเตาตู้สีทองห้าสีกลายเป็นของเหลวสีทอง จากนั้นก็ค่อยๆ มีบัณฑิตสวมชุดขงจื๊อสะพายกระบี่สูงหนึ่งนิ้วมือ ‘เติบโต’ ขึ้นมา เพียงแต่ว่าร่างทั้งร่างเป็นสีทอง มันกระโดดผลุงทีเดียวก็มาอยู่ตรงขอบบนสุดของเตาหลอมโอสถ แหงนหน้ามองเฉินผิงอัน ใบหน้ายังคงพร่าเลือน ไม่เห็นองคาพยัพทั้งห้าอย่างชัดเจน แต่มองดูแล้วมีลักษณะเหมือนเฉินผิงอัน นอกจากจะสะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้ด้านหลังแล้ว ตรงเอวยังห้อยตำราเล่มเล็กสีทองหลายเล่มที่ใช้ด้ายสีทองเส้นเล็กบางร้อยเข้าไว้ด้วยกัน คนจิ๋วสีทองที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อพูดเหมือนคนแก่ว่า “ต้องอ่านหนังสือให้มาก! อีกอย่าง เจ้าก็พูดเองว่า รู้ผิดแล้วแก้ไขจึงนับว่าประเสริฐ!”


เฉินผิงอันที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะยกมือเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากแล้วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ร่วมแรงร่วมใจไปด้วยกัน”


ศิษย์ลัทธิขงจื๊อสีทองตัวจิ๋วกลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งพรวดผลุบหายเข้าไปในช่องโพรงปอดของเฉินผิงอัน มันนั่งขัดสมาธิ หยิบเอาตำราเล่มหนึ่งที่ห้อยไว้ตรงเอวขึ้นมาเปิดอ่าน


นอกจากนี้ยังมีหัวใจบุ๋นอีกดวงลอยอยู่ในถ้ำสถิต อันที่จริงหัวใจดวงนี้ก็ถือเป็นร่างเดียวกับคนจิ๋วที่สวมชุดขงจื๊อสะพายกระบี่และห้อยตำราผู้นี้


เหมาเสี่ยวตงอึ้งตะลึง จากนั้นก็เริ่มขมวดคิ้ว


เฉินผิงอันกล่าวอย่างสนเท่ห์ “มีอะไรไม่เหมาะหรือ?”


เหมาเสี่ยวตงถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หัวใจบุ๋นสีทองที่ถูกนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตก่อตัวกลายมาเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อ ข้าไม่รู้สึกว่าน่าตกตะลึงอะไร แต่ทำไมมันถึงได้พูดประโยคนั้น?”


เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งถึงตอบว่า “หลังจากที่ข้าได้รู้จักตัวอักษรและอ่านหนังสือออกก็กลัวมาโดยตลอดว่าหลักการเหตุผลที่ตัวเองสรุปออกมาจะผิดพลาด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นปีนั้นที่เจอกับเด็กชายชุดเขียวหรือภายหลังที่ได้เจอกับเผยเฉียน แล้วก็ตามมาด้วยชุยตงซานที่ถามคำถามสองข้อนั้นกับข้า ข้าก็กลัวมาโดยตลอดว่าความรู้ของตัวเองจะเป็นความรู้ที่ข้าคิดไปเองว่ามีเหตุผล แต่แท้จริงแล้วกลับผิดเมื่อนำไปใช้กับคนอื่น อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ครอบคลุมมากพอ ไม่สูงส่งมากพอ ก็เลยเป็นกังวลว่าจะชักนำลูกศิษย์ไปในทางที่ผิดพลาด”


เหมาเสี่ยวตงพลันกระจ่างแจ้ง เขาคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม “แบบนี้แหละ…ถูกต้องมากๆ แล้ว!”


เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืน โบกมือสลายวิชาอภินิหารของอริยะบนยอดเขาทิ้งไป แต่ฟ้าดินขนาดเล็กของสำนักศึกษายังคงอยู่ เขาเอ่ยกำชับว่า “ให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูป หลังจากนี้สามารถหยิบเอาป้ายหยกสีทอง ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ แผ่นนั้นออกมาดึงเอาโชคชะตาบุ๋นที่ยังเหลืออยู่ในเครื่องดนตรีและภาชนะเซ่นไหว้ ไม่ต้องกังวลว่าหากตัวเองล้ำเส้นแล้วจะไปขโมยโชคชะตาบุ๋นและปราณวิญญาณของภูเขาตงหัวมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะเป็นคนชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียเอง และหลังจากนี้เจ้าก็จะกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสองที่แท้จริงแล้ว”


เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืนเอ่ยขอบคุณ


เหมาเสี่ยวตงโบกมือ บ่นว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าไอ้นิสัยขี้เกรงใจของศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้านี่ไปเรียนรู้มาจากใคร”


เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ไม่แน่ว่าอาจจะเรียนรู้มาจากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็ได้นะ?”


เหมาเสี่ยวตงรีบตีหน้าเคร่งพูดจริงจัง “ความหวังดีและตั้งใจจริงของท่านอาจารย์ เจ้าต้องหัดเรียนรู้มาให้ดี!”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าล้อเล่นนะ”


เหมาเสี่ยวตงเอ่ยสั่งสอน “การถ่ายทอดความรู้ของอาจารย์อยู่ที่คำพูด อยู่ที่การทำตัวเป็นแบบอย่าง อยู่ที่สิ่งละอันพันละน้อย ในฐานะเด็กรุ่นหลัง จะทำเป็นเล่น จะทำอย่างขอไปทีได้อย่างไร!”


เฉินผิงอันได้แต่พยักหน้ารับ


เหมาเสี่ยวตงหมุนตัวกลับ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไหนเลยจะมีท่าทางขุ่นเคืองเช่นเมื่อครู่ ศิษย์น้องเล็ก เจ้ายังอ่อนด้อยนัก


แม่น้ำแห่งกาลเวลาบนยอดเขาไหลย้อนกลับอย่างเชื่องช้า ฤดูใบไม้ร่วงสีทองอร่ามกลับคืนสู่บรรยากาศของฤดูร้อน ใบไม้ที่ร่วงหล่นย้อนกลับไปเกาะกิ่งก้าน เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีเขียวขจี


พอเหมาเสี่ยวตงจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็หยิบแผ่นหยกสีทองมากำไว้ในมือ เริ่มดูดดึงโชคชะตาบุ๋นที่เหลืออยู่จากการหล่อหลอมของเตาโอสถ


ลำธารสีทองเส้นเล็กๆ หนาเท่านิ้วหัวแม่มือเส้นหนึ่งล้อมวนอยู่รอบป้ายหยก จากนั้นก็ไหลรินเข้าไปในแผ่นป้ายอย่างเชื่องช้า


แล้วค่อยไหลจากป้ายหยกไปยังฝ่ามือของเฉินผิงอัน มุ่งหน้าไปยังช่องโพรงลมปราณที่คนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อและหัวใจบุ๋นสีทองอาศัยอยู่


เมื่อเคลื่อนผ่านตำแหน่งหนึ่งในนั้นก็ได้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผืนนาหัวใจของเฉินผิงอัน


เมื่อลำธารโชคชะตาบุ๋นสีทองไหลหลั่งเข้าสู่ช่องโพรงลมปราณ คนจิ๋วที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อก็ไม่อ่านหนังสืออีกต่อไป มันหัวเราะปากกว้าง กระโดดโลดเต้นโบกไม้โบกมืออย่างลิงโลด


นี่คงเป็นนิสัยเด็กๆ ที่น้อยครั้งนักจะเปิดเผยออกมาท่ามกลางช่วงเวลาการเติบโตของเฉินผิงอัน


หลังจากลำธารมาหยุดอยู่ในถ้ำสถิตแล้ว คนจิ๋วสีทองก็เดินลุยน้ำมาถึงหน้าประตูใหญ่ของจวน ตะโกนเสียงดังหนึ่งครั้งก็เห็นว่ามังกรเพลิงตัวที่จำแลงมาจากปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์พุ่งพรวดมาถึง


มันกระโดดผลุงหนึ่งทีก็ไปนั่งอยู่บนหัวมังกร ร้องตวาดออกคำสั่งแล้วควบขาสองข้างอย่างแรง ขี่มังกรลาดตระเวนไปในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างคนนี้


เฉินผิงอันใช้วิธีสำรวจภายในมองไปเห็นภาพนี้ก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย


เหตุใด ‘ตน’ ถึงได้ซุกซนขนาดนี้?


ดูเหมือนจะไม่ได้ดีไปกว่ากู้ช่านและเด็กชายชุดเขียวสักเท่าไหร่เลย?


……


อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงลอบมองเหตุการณ์ทางฝั่งนี้อยู่เงียบๆ ตลอดเวลา


สุดท้ายเฉินผิงอันก็ใช้ป้ายหยกสีทองดูดดึงเอาโชคชะตาบุ๋นของศาลบุ๋นต้าสุยมาจนหมดไม่มีเหลือ


และถึงแม้การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตจะเผาผลาญปราณวิญญาณที่สั่งสมในจวนน้ำแห่งนั้นไปจนสิ้น อีกทั้งตอนนี้ยังได้เป็นผู้ฝึกลมปราณตัวจริงเสียจริงแล้ว ทว่าอย่าว่าแต่โชคชะตาบุ๋นของภูเขาตงหัวเลย ต่อให้เป็นปราณวิญญาณที่เมื่อเทียบกันแล้วไม่ค่อยมีค่า แม้ว่าศิษย์พี่อย่างเขาจะเปิดปากอนุญาตแล้ว แต่เฉินผิงอันกลับไม่ยอมดึงเอาไปแม้แต่หยดเดียว


จนกระทั่งบัดนี้เหมาเสี่ยวตงถึงได้คิดว่าตัวเองน่าจะรู้แล้วว่าเฉินผิงอันข้ามผ่านเส้นทางแห่งจิตใจที่อันตรายช่วงนั้นมาได้อย่างไร


ควบคุมตน


ง่ายดายเพียงเท่านี้


คนที่รักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัดจนแทบจะเรียกได้ว่าคร่ำครึ เป็นผู้ฝึกตนแต่กลับไม่รู้จักแสวงหาโชควาสนาและผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับตัวเอง มักจะทำให้คนฉลาดบนโลกมีเหตุผลให้พูดจาเย้ยหยันเหน็บแนมใส่เสมอ


เป็นเหตุให้หลักการและเหตุผลที่พัฒนามาจากความเข้าใจของเฉินผิงอันเป็นสิ่งที่คนไร้เหตุผลรังเกียจมากเป็นพิเศษ


ในใจเหมาเสี่ยวตงพลันสั่นสะท้าน


ก้อนหินใหญ่ยักษ์บางก้อนที่กดทับอยู่บนหัวใจมานาน ก้อนหินขวางทางที่แทบจะตัดขาดการเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนของเขา เวลานี้คล้ายจะเริ่มขยับเคลื่อนคลายตัวบ้างแล้ว


หลักการเหตุผลไม่แบ่งแยกสายบุ๋น


เขาเหมาเสี่ยวตงเคารพอาจารย์ ตั้งปณิธานไว้ว่าชีวิตนี้จะติดตามอาจารย์เพียงคนเดียว แต่กลับไม่ยึดติดอยู่เฉพาะความคิดเห็นของฝ่ายตัวเอง ไม่ได้จงใจผลักไสความรู้ของสายบุ๋นหลี่เซิ่งเพียงเพื่อควันธูปชะตาบุ๋นของสำนักศึกษาสายตัวเอง


หลักการและเหตุผลบางอย่างในโลกนั้นเชื่อมโยงถึงกันและส่งเสริมกันและกัน


เหมาเสี่ยวตงนั่งอยู่ในห้องหนังสือ ปลดไม้บรรทัดลงมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วเริ่มหลับตาเข้าฌาน


สั่งสมมากใช้ทีละน้อย เมื่อวันหนึ่งพลันตื่นรู้ ฟ้าดินเคลื่อนโคจร ลมโชยพลิ้วแสงจันทร์กระจ่าง


……


ชุยตงซานที่อยู่ในระเบียงเรือนเล็กพลันลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างตกตะลึง “เจ้าตอไม้ทึ่มทื่ออย่างเหมาเสี่ยวตงก็จะผสานรวมกับมรรคาแล้วรึ?”


แล้วชุยตงซานก็ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ปัดป่ายมือเท้าสะเปะสะปะเหมือนเต่าสีขาวหิมะที่ถูกคนจับพลิกหงายท้อง…เขาแหกปากตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ทำไมข้าถึงยังเป็นก่อกำเนิดผายลมสุนัขนี่อยู่อีกเล่า วันหน้าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ข้าไม่มีหน้าไปพบอาจารย์แล้ว ใครก็ได้มาตีให้ข้าตายทีเถอะ…”


……


ท่าเรือหางผึ้ง


ผู้เฒ่าสามคนเดินเรียงเคียงบ่าไปด้วยกัน


มองดูเหมือนอายุต่างกันไม่มาก แต่แท้จริงแล้วกลับต่างกันอย่างยิ่ง


ผู้เฒ่าคนที่เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่ ในอดีตไม่เคยเต็มใจจะเผยกาย นั่นก็เพราะเบื่อหน่ายความวุ่นวายในโลกมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น


เพียงแต่ว่าคราวนี้มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยว่า เจ้าไม่ใช่หนูที่วิ่งผ่านถนนเสียหน่อย จะต้องคอยเก็บหัวเก็บหางซ่อนตัวไปไย?


ดังนั้นคนทั้งสามจึงมาเดินอาดๆ กันอยู่บนถนนของท่าเรือหางผึ้งเช่นนี้


ผู้เฒ่ามีนามว่าหลิวเหล่าเฉิง เขาสัมผัสได้ถึงสายตาตื่นตะลึงบางส่วน เพียงแค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พาคนข้างกายทั้งสองเดินไปยังบ้านบรรพบุรุษในตรอกเล็กเงียบๆ กระนั้นในใจก็ยังอดยิ้มฝาดเฝื่อนไม่ได้


ในใจของหลิวเหล่าเฉิงคิดว่า หากให้พวกเจ้าได้รู้ตัวตนของคนทั้งสองที่อยู่ข้างกายข้า พวกเจ้าคงตกใจจนขวัญกระเจิงเลยกระมัง


นอกจากเขาหลิวเหล่าเฉิงที่มีชาติกำเนิดอยู่ในท่าเรือหางผึ้งอันเป็นจุดเชื่อมต่อของสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว สุดท้ายกลายเป็นคนเพียงคนเดียวที่ใช้สถานะของผู้ฝึกตนอิสระเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนที่ทุกวันนี้ยังใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ของแจกันสมบัติทวีปแล้ว


คนที่เหลืออีกสองคน คนหนึ่งคือเจ้าประมุขผู้เฒ่าของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน เกาเหมี่ยน คือผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแจกันสมบัติทวีปด้วยเรื่องที่ว่าเพื่อผดุงความยุติธรรมในยุทธภพแล้ว ถึงกับยอมให้ระดับถดถอยจากขอบเขตหยกดิบมาสู่ขอบเขตก่อกำเนิดถึงสองครั้ง


เป็นเพื่อนรักที่สนิทกับหลิวเหล่าเฉิงมาก ดังนั้นครั้งนี้ที่หลิวเหล่าเฉิงต้องการไปช่วงชิงเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสหลังจากที่ตู้เม่าบินทะยานล้มเหลว ถึงได้ตั้งใจเรียกเกาเหมี่ยนไปด้วยกัน


เกาเหมี่ยนเรือนกายเล็กเตี้ย สวมชุดผ้าป่าน ทว่าบุคลิกท่าทางกลับป่าเถื่อนดุดัน เมื่อเทียบกับหลิวเหล่าเฉิงแล้ว เขากลับดูเหมือนผู้ฝึกตนอิสระที่ถนัดการปล้นฆ่ามากกว่าเสียอีก


ส่วนผู้เฒ่าจากทวีปอื่นที่สวมชุดคลุมยาวคนนั้น หากไม่ได้รับการยืนยันจากหลิวเหล่าเฉิงและเกาเหมี่ยนแล้วล่ะก็ เกรงว่าต่อให้เขาตะโกนบอกชื่อแซ่ของตัวเองจนคอแตกก็คงไม่มีใครยอมเชื่ออย่างแน่นอน


แซ่สวิน นามยวน


เจ้าประมุขผู้เฒ่าของสำนักกุยหยก บุคคลอันดับหนึ่งขอบเขตเซียนเหรินของใบถงทวีป


เจียงซ่างเจินเจ้าประมุขสกุลเจียงที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ที่กำเริบเสิบสานถึงเพียงนั้น แต่พอเจอกับเจ้าประมุขสวินยวนก็ยังต้องทำตัวให้เป็นคนสงบเสงี่ยมสำรวม…หรือควรจะพูดว่าเป็นเทพเซียนขอบเขตหยกดิบ


มาถึงสุดปลายทางตรอกเล็กอันเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแห่งนั้น เกาเหมี่ยนก็โหวกเหวกถามขึ้นเสียงดังว่า “หลิวเหล่าเอ๋อร์ เจ้าเด็กเจียงอวิ้นจะมาทำหน้าที่เป็นผู้ถวายงานของพรรคข้าเมื่อไหร่? หน้าตาหล่อเหลาปานนั้น คงหลอกเทพธิดามาเป็นแขกที่ภูเขาของข้าได้ไม่น้อยเลย”


หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างระอาใจ “ให้ลูกศิษย์ของข้าไปอยู่ที่พรรคหมัดเทพเพื่อให้เจ้าได้เห็นเทพธิดาหน้าตางดงามจากฝ่ายต่างๆ ให้เจริญหูเจริญตา? เรื่องเละเทะจำพวกนี้ ทำไมเจ้าไม่เปิดปากพูดกับเจียงอวิ้นเองเล่า? ไม่อย่างนั้นเจ้าก็เอาหน้าหนาๆ ของเจ้ามาให้ข้ายืมหน่อยเป็นไง?”


เกาเหมี่ยนก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูไป “อย่ามาทำตัวเสแสร้งให้ข้าดูเลย ปีนั้นที่พวกเราออกท่องยุทธภพไปด้วยกัน เจ้าเล่าเรียนวิชาลับนอกรีตวิชานั้นมาเพื่ออะไร? นอกจากขโมยสมบัติอาคมแล้วยังขโมย…ของเทพธิดามากมายด้วย”


หลิวเหล่าเฉิงเอามืออุดปากเกาเหมี่ยน อับอายจนพานเป็นความโกรธ “ใครบ้างที่ไม่เคยทำตัวเหลวใหลในวัยหนุ่ม เจ้าเอามาเล่าไม่รู้จักจบสิ้นสักที ไม่กลัวว่าจะทำให้ผู้อาวุโสสวินรังเกียจบ้างหรือไง?”


สวินยวนยิ้มตาหยี “ไม่หรอกๆ”


เกาเหมี่ยนนั่งอยู่ในลานบ้าน โบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “หลิวเหล่าเอ๋อร์ ไปซื้อเหล้าเซียนบ่อน้ำที่รสชาติดั้งเดิมที่สุดมาสักสองสามไหสิ เหล้าที่อยู่ในบ้านต้องถูกเจียงอวิ้นดื่มไปหมดแล้วแน่ๆ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว”


หลิวเหล่าเฉิงบอกลาสวินยวนคำหนึ่ง ก่อนจะออกไปซื้อเหล้า


ตอนที่กลับมาเขาก็ได้เห็นว่าตาแก่สองคนกำลังชื่นชมบุปผาในสายน้ำจันทราในคันฉ่องที่เป็น ‘วิธีการหาเงิน’ ของภูเขาเล็กๆ จำนวนมากในแจกันสมบัติทวีปผ่านภาพวาดม้วนหนึ่งกันอีกครั้ง เกาเหมี่ยนเตรียมเงินเทพเซียนไว้กองใหญ่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเซียนผู้เฒ่าสวินยวนก็ยิ่งมีเงินวางกองไว้บนโต๊ะเบื้องหน้ามากยิ่งกว่า


หลิวเหล่าเฉิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้จริงๆ แต่ตอนที่ส่งเหล้าเซียนบ่อน้ำกาหนึ่งไปให้สวินยวนก็ยังเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ผู้อาวุโสช่างมีอารมณ์สุนทรีจริงๆ”


สวินยวนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


บนม้วนภาพคือ ‘เทพธิดา’ คนหนึ่งที่กำลังจุดธูปหอมวาดภาพ เรือนกายของนางอรชรอ้อนแอ้น จงใจเลือกชุดกระโปรงที่รัดรึงมาสวมใส่ เนื่องจากผู้ชมสามารถปรับทิศทางของทิวทัศน์ที่ปรากฎบนม้วนภาพวาดได้ตามใจชอบ เป็นเหตุให้ท่านั่ง หรือแม้แต่ขนาดของม้านั่งที่เทพธิดาผู้นั้นเลือกใช้ล้วนพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ เรือนกายที่อวบอิ่มของนางจึงเปิดเผยส่วนเว้าส่วนโค้งให้เห็นเด่นชัด


เกาเหมี่ยนชำเลืองตามองสวินยวนที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวมแล้วก็หลุดหัวเราะพรืด ยื่นนิ้วไปหมุนม้วนภาพเล็กน้อยก็เห็นเป็นภาพยอดเขาด้านข้างที่น่าประทับใจทันที จากนั้นก็ใช้สองนิ้วแตะบนม้วนภาพแล้วถ่างออก ร่างของสตรีในม้วนภาพจึงขยายใหญ่ขึ้นอีกหลายส่วน ทัศนียภาพที่อยู่รอบกายนางจึงหลุดพ้นออกไปจากม้วนภาพไปด้วย


เกาเหมี่ยนไม่ลืมหัวเราะเย้ยหยัน “จะแสร้งวางท่าภูมิฐานไปไย?”


สวินยวนยิ้มอายๆ ดูเหมือนจะไม่กล้าเถียงกลับ


หลิวเหล่าเฉิงดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองด้วยความระอาใจ


ว่ากันว่าคนบนเส้นทางเดียวกันที่มาจากต่างทวีปสองคนนี้ แรกเริ่มสุดถือเป็นคนประเภทที่หากไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน ในยุทธภพของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของแจกันสมบัติทวีปนี้ เกาเหมี่ยนที่ใช้ฉายาว่าหนุ่มน้อยหน้าหยกและอีกฉายาหนึ่งคืออู่สือจิ้ง (วรยุทธ์ขอบเขตสิบ) นั้น การกระทำและคำพูดเหมือนกับตัวตนแท้จริงที่เป็นเจ้าประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานทุกประการ นิสัยฉุนเฉียวขี้โมโห มักจะด่าคนอื่นเป็นประจำ ชอบด่าพวกเทพธิดาที่คอยทำตัวเสแสร้ง อีกทั้งในสายตายังมีแต่เรื่องของผลประโยชน์ ทนเห็นท่าทางประจบยกยอสุดฤทธิ์สุดเดชยามที่พวกนางคว้าตัวเจ้าบุญทุ่มสองคนเอาไว้ไม่ได้มากที่สุด เขาจะต้องเปิดปากด่าอย่างเปิดเผย ไม่เห็นหัวผู้ชมคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ส่วนสวินยวนที่มีฉายาว่าทวนหนึ่งฉื่อกลับทำเพียงแค่ทุ่มเงินเทพเซียนอยู่เงียบๆ หากเจอคนที่ไม่ชอบก็ไม่พูดอะไร


เพียงแต่เมื่อคนทั้งสองทุ่มเงินมากขึ้นเรื่อยๆ ชื่อเสียงจึงโด่งดังมากขึ้นทุกที สุดท้ายมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีการโต้เถียงกันว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพกับซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยง ใครกันที่เป็นเทพธิดาอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป คนทั้งสองได้ ‘ลงไม้ลงมือตีกันอย่างหนัก’ หนึ่งคนหนึ่งประโยค ทุกครั้งต้องจ่ายเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ทุ่มเงินไปกองใหญ่ ทำให้ผู้คนทอดถอนใจด้วยความตื่นตะลึง ชั่วเวลานั้นผู้คนต่างก็พากันคาดเดาว่าทั้งสองท่านนี้เป็นบรรพบุรุษจากสำนักใดกันแน่ ถึงได้จ่ายเงินมือเติบขนาดนี้ ใช้เงินร้อนน้อยราวกับเป็นแค่เงินเกล็ดหิมะที่ละลายไปพร้อมกับสายน้ำ แต่กลับไม่เคยมีเรื่องซุบซิบนินทาเกี่ยวกับเหล่าเทพธิดาแพร่งพรายออกมาแม้แต่น้อย


ผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขาเล็กๆ จำนวนมาก เพื่อช่วยหาเงินให้แก่สำนัก ถึงขั้นยินยอมหรือไม่ก็ถูกบังคับให้ไปหาผู้ฝึกลมปราณนอกรีตที่เชี่ยวชาญวิชาคลำกระดูกเพื่อเปลี่ยนแปลงหน้าตาและรูปร่างที่มีมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนเรื่องที่ว่าจะเกี่ยวพันกับชะตาชีวิต จะทำลายตบะบนมหามรรคาหรือไม่ ล้วนไม่สนใจ เพราะหมดหนทางแล้วจริงๆ จึงได้แต่ปล่อยให้ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ลงมีดกับใบหน้าของตนเอง มีครั้งหนึ่งหนุ่มน้อยหน้าหยกมาพบเจอกับทวนหนึ่งฉื่อโดยบังเอิญอีกครั้ง ตอนนั้นผู้ชมหลายคนตาดี มองปราดเดียวก็สังเกตเห็นว่าเทพธิดาของสำนักตระกูลเซียนลำดับสามบางคนโฉมหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาก จึงพากันพูดจาเย้ยหยันทำร้ายจิตใจ คำพูดแปลกแปร่งระคายหูสาดมาให้ได้ยินไม่หยุด


เทพธิดาผู้นั้นอับอายเจ็บแค้นเหลือประมาณ แต่กลับไม่กล้าตอบโต้แม้เพียงครึ่งคำ นางได้แต่เอ่ยขอโทษและขอโทษอยู่ตลอดเวลา


เมื่อเป็นเช่นนี้คำเสียดสีคำด่าทอจึงมากยิ่งกว่าเดิม กำเริบเสิบสานไร้ยำเกรงขึ้นทุกที


คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ หนุ่มน้อยหน้าหยกจะทุ่มเงินเปิดปากพูดเพื่อทวงความเป็นธรรม ด่ากราดพวกผู้ชมเหล่านั้นไปรอบหนึ่ง ทวนหนึ่งฉื่อก็ตามมาติดๆ เพราะมีศัตรูร่วมกัน คู่กัดสองคนจึงปรองดองสามัคคีกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

 

 


บทที่ 415.3 ทุกข์และสุขจากการพบพรากที...

 

สุดท้ายหลังจากหนุ่มน้อยหน้าหยกทุ่มเงินหมดแล้วก็ด่าต่อว่า “หาเงินไม่ง่าย ฝึกตนก็ไม่ง่าย แม่นางน้อยผู้นี้ไปช่วงชิงกับพวกเจ้าบนมหามรรคา หรือไปฆ่าล้างโคตรพวกเจ้ากันแน่? พวกเจ้าถึงต้องเอาคำพูดมาย่ำยีนางอย่างไม่จบไม่สิ้นเช่นนี้? ตะพาบน้อยอย่างพวกเจ้าไม่ควรเกิดมาเลยจริงๆ หากข้าผู้อาวุโสมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่จะต้องย้อนทวนกลับขึ้นไปบนแม่น้ำแห่งกาลเวลา ตอนที่พ่อแม่ของพวกเจ้าทำสงครามกันบนเตียง ข้าจะตบให้เตียงพังเลย”


สุดท้ายหนุ่มน้อยทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้ทวนหนึ่งฉื่อว่า “เจ้าถือว่าจะพอมีความกล้าหาญอยู่บ้าง เพียงแต่สายตาแย่ไปสักหน่อย ถึงได้ชอบเฮ้อเสี่ยวเหลียงมากกว่าซูเจี้ย แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกไม่ได้ดิบไม่ได้ดีด้านการฝึกตน”


หลังจากนั้นมาทวนหนึ่งฉื่อก็กลายมาเป็น ‘ลูกสมุน’ ของหนุ่มน้อยหน้าหยก ขอแค่ได้เจอกัน ทวนหนึ่งฉื่อก็จะทำตัวไม่ต่างจากสุนัขรับใช้อีกฝ่าย


ก่อนที่เกาเหมี่ยนกับสวินยวนจะทุ่มเงินก็มีคนเริ่มใช้คำพูดสัพยอกเทพธิดาผู้นั้นแล้ว ถึงอย่างไรการชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนี้ พวกผู้ชมก็ไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นใคร ส่วนใหญ่จึงมักจะทำตัวโอหังไร้ยำเกรง เคยชินที่จะใช้หัวล่างมากกว่าหัวบน เวลาที่ชมภาพวาดหรือดูผ่านน้ำในถ้วย หลายคนก็มักจะวางนิยายรักหวือหวาซึ่งเป็นที่นิยมในโลกมนุษย์หลายเล่มไว้ข้างมือ


คงเป็นเพราะติดอยู่ในร่างแหเดียวกัน สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างเทพธิดาที่กำลังแสดงความสามารถจึงเดือดร้อนไปด้วย


สาวใช้มีนามว่าสือชิว คือลูกศิษย์ที่เพิ่งได้รับการบันทึกชื่อของสำนักเมื่อไม่นานมานี้ ทุกครั้งที่เจ้านายเผยตัว นางก็จะมาปรากฎตัวในภาพวาดบ้างเป็นบางครั้ง หากไม่ยกน้ำส่งชาก็ทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างหยิบของส่งให้


อันที่จริงเรือนกายของนางโดดเด่นงดงามยิ่งกว่าเทพธิดาท่านนั้น ทว่าการฝึกตนบนภูเขามักจะอาศัยพรสวรรค์และขอบเขตมากำหนดสถานะเสมอ


สำหรับเรื่องพวกนี้เกาเหมี่ยนและสวินยวนเป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพจึงเคยชินกับมันแล้ว โดยทั่วไปขอแค่ไม่มากเกินพอดีก็จะไม่พูดอะไร


ทว่าสาวใช้นามว่าสือชิวคนนั้นคงยังไม่ชินกับการถูกหลู่เกียรติที่เกินจะทนเหล่านั้น ดวงตาของนางจึงแดงน้อยๆ กัดริมฝีปากแน่น


แล้วก็ผีซ้ำด้ำพลอยเข้าไปอีก เพราะพอมองจากมุมนี้ของภาพวาด เกาเหมี่ยนก็เห็นพอดีว่า เทพธิดาที่บางทีอาจเป็นเพราะกรุ่นโกรธที่สาวใช้ทำลายบรรยากาศจึงแอบเหยียบเท้าของสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็วอยู่ใต้โต๊ะ


เดิมทีเกาเหมี่ยนอยากจะเริ่มโยนเงินเทพเซียนลงไปในม้วนภาพแล้ว แต่พอเห็นภาพนี้ก็โยนเงินเกล็ดหิมะกำใหญ่ที่อยู่ในมือกลับเข้าไปบนกองเงิน


หยิบกาเหล้ามาดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วเกาเหมี่ยนก็แค่นเสียงหยันว่า “สตรีประเภทนี้อีกแล้ว เสียดายกลิ่นอายตำราน้อยนิดที่พวกนางพกพาจากตระกูลใหญ่ในโลกมนุษย์ไปอยู่บนภูเขาจริงๆ”


สวินยวนยิ้มบางๆ


เกาเหมี่ยนรู้สึกหมดสนุกจึงเอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว


หลิวเหล่าเฉิงเอ่ยเตือนว่า “เหล่าเกา เจ้าเพลาๆ ลงน้อย หากไม่ดื่มเหล้า เจ้าก็คือแจกันสมบัติทวีป แต่หากลงได้ดื่มเหล้าขึ้นมา ตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปก็ล้วนเป็นของเจ้า แต่ที่นี่คือบ้านบรรพบุรุษของข้า ไม่อาจทนรับการอาละวาดเวลาเจ้าเมาได้หรอกนะ!”


เกาเหมี่ยนแค่นเสียงเย็นชา พลันถามขึ้นว่า “เสี่ยวเฟยเซิง (บินทะยานน้อย) เจ้าคิดว่าชื่อพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานนี้เป็นเช่นไร?”


สายตาของสวินยวนจับจ้องไปที่ม้วนภาพวาดตลอดเวลา ปากก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่า “แข็งแกร่ง ไร้เทียมทาน เผด็จการ ดุจดั่งนกกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่ โดดเด่นไม่เหมือนใครในแจกันสมบัติทวีป!”


เกาเหมี่ยนพยักหน้ารับ “ถือว่าเจ้าดูทิศทางลมเป็น รู้จักพูดกับข้าด้วยคำพูดที่ออกมาจากใจจริง”


หลิวเหล่าเฉิงทนมานาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พูดกับสวินยวนว่า “ผู้อาวุโสสวิน ท่านคิดอะไรอยู่ หากเป็นเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อยไปตามใจตาแก่เกานี่เถอะ แต่เขาตั้งชื่อพรรคเหมือนผายลมสุนัขเช่นนี้ ทำร้ายให้ลูกศิษย์ในสำนักแต่ละคนเงยหน้าไม่ขึ้น ผู้อาวุโสสวินยังจะชื่นชมเขาอย่างหน้ามืดตามัวเช่นนี้ ข้าหลิวเหล่าเฉิง…ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!”


หลิวเหล่าเฉิงแห่งท่าเรือหางผึ้ง บุคคลอันดับหนึ่งในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระของแจกันสมบัติทวีป ในฐานะผู้ฝึกตนใหญ่ที่อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวเข่นฆ่าสังหารฝ่าเส้นทางเลือดจนขึ้นสู่ขอบเขตหยกดิบจึงได้เห็นเรื่องราวและคนประหลาดมามากมาย


ทว่าคนอย่างสวินยวนและเกาเหมี่ยน คนหนึ่งคือผู้นำเซียนซือแห่งใบถงทวีปที่มีขอบเขตเซียนเหริน อีกคนหนึ่งคือบรรพบุรุษของสำนักในแจกันสมบัติทวีปที่ขอบเขตถดถอยมาสู่ก่อกำเนิด หากจะบอกว่าแค่พบหน้าก็รู้สึกเหมือนสนิทสนมกันมานาน นิสัยประหลาดเข้ากันได้ดี อันที่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากแล้ว การที่พวกเขาไม่สนใจความต่างของสองขอบเขต ไม่ถือสาความต่างของรากฐานของทั้งสองสำนัก หลิวเหล่าเฉิงก็ยังพอจะเข้าใจได้ แต่สวินยวนเจ้าจำเป็นต้องยกย่องชมเชยบุรุษหยาบกระด้างที่ไร้อารยธรรมอย่างเกาเหมี่ยนผู้นี้ไปทุกเรื่องด้วยหรือ?


แรกเริ่มเดิมทีหลิวเหล่าเฉิงยังกลัวว่าสวินยวนจะมีจุดประสงค์อย่างอื่น แต่สวินยวนถึงขนาดกล้าคุมเชิงกับฉีเจินเทียนจวินลัทธิเต๋า อีกทั้งยัง ‘บินทะยานน้อย’ ไปยังม่านฟ้า เพื่อปรึกษาหารือกับอริยะที่เฝ้าพิทักษ์ว่าเศษซากถ้ำสวรรค์แห่งนั้นควรจะตกเป็นของใคร บวกกับหลังจากนั้นคนทั้งสามไม่มีอะไรทำจึงจับมือกันออกท่องเที่ยว ต่อให้เป็นหลิวเหล่าเฉิงที่รอบคอบขี้ระแวงก็ยังจำต้องยอมรับการประจบสอพลอที่สวินยวนมีต่อเกาเหมี่ยน และการวางอำนาจที่เกาเหมี่ยนมีต่อสวินยวน


คนทั้งสองถึงขนาดปฏิบัติต่อกันด้วย…ความจริงใจ


สวินยวนยิ้มบางๆ ให้กับหลิวเหล่าเฉิง “ข้ารู้สึกว่าตั้งชื่อพรรคว่าพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานนั้นดีมากจริงๆ”


หลิวเหล่าเฉิงถอนหายใจหนึ่งที กุมหมัดยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “นับถือๆ”


เกาเหมี่ยนพูดขึ้น “หลิวเหล่าเฉิง เรื่องอื่นๆ เจ้าดีว่าเสี่ยวเฟยเซิงทุกอย่าง มีเพียงเรื่องความสามารถในการประเมินความงามนี่แหละที่เจ้าสู้เสี่ยวเฟยเซิงไม่ได้เลย”


สวินยวนตบเข่าหนึ่งที “ใช่ๆๆ ประโยคนี้ของหนุ่มน้อยทำให้สติปัญญาของข้าเปิดโล่ง เดิมทีข้ายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดบนเส้นทางการฝึกตน ข้าถึงต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังมาโดยตลอด คำกล่าวของหนุ่มน้อยในวันนี้เป็นการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ ก็เพราะความสนใจและความสามารถในการประเมินความงามของข้าเป็นเหตุ ถึงทำให้ข้ายิ่งอยู่สูงก็ยิ่งหนาว! หากไม่เป็นเพราะได้พบเจอกับหนุ่มน้อย…”


เกาเหมี่ยนตบโต๊ะดังปัง “ใครต้องการคำพูดประจบยกยอของเจ้า? อยู่ในพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน ข้าผู้อาวุโสได้ฟังมานานจนหูด้านชาแล้ว!”


สวินยวนจึงได้แต่ปิดปากให้สนิท


วันนี้ไม่มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่น่าชมอีก เกาเหมี่ยนจึงตั้งใจถอนวิชาอภินิหารของผู้ฝึกลมปราณออก ดื่มเหล้าจนตัวเองเมามาย แล้วจึงไปนอน


สวินยวนถึงได้กล้าโยนเงินร้อนน้อยสองสามเหรียญเข้าไปในม้วนภาพวาดแล้วเปิดปากพูด บอกว่าหากวันหน้าแม่นางสือชิวสามารถมาปรากฎตัวอยู่ในม้วนภาพวาดได้เพียงลำพัง เขาทวนยาวหนึ่งฉื่อยินดีจะให้การสนับสนุน


จากนั้นสวินยวนก็เก็บม้วนภาพวาด


ความสุขความทุกข์บนโลกมนุษย์มีมากมายดุจขนวัว สวินยวนไม่ยินดีจะเดินไปจมบ่อโคลนของโลกมนุษย์ใบนี้ ทุกเรื่องจึงหยุดแค่พอสมควร


หลิวเหล่าเฉิงลังเลอยู่นานมากกว่าจะพูดว่า “ผู้อาวุโสสวิน ในฐานะเพื่อนของเกาเหมี่ยน ข้าหลิวเหล่าเฉิงอยากจะขอละลาบละล้วงถามสักคำ ท่านผู้อาวุโสเป็นเจ้าประมุขพรรคกุยหยก ไม่มีแผนการอะไรต่อเกาเหมี่ยนจริงๆ หรือ?”


สวินยวนส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เคยมีจริงๆ แค่เพราะชีวิตหยุดนิ่งมานานเลยอยากจะหาจุดเปลี่ยนบ้างเท่านั้น นึกอยากลองมาเดินเที่ยวในแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าดู แล้วก็บังเอิญว่าที่นี่มีเกาเหมี่ยนเป็นสหายแค่คนเดียว หากไม่มาหาเขาจะไปหาใคร?”


หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ


สวินยวนจึงกล่าวต่อว่า “แต่ว่าความคิดที่เห็นแก่ตัวก็ยังพอมีอยู่บ้าง ผู้ฝึกลมปราณอยากเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนย่อมแสวงหาคำว่าผสานมรรคา อาศัยสิ่งนี้มาทลายจิตมารซึ่งเป็นดั่งธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง จะว่าอย่างไรดีล่ะ นี่ก็เหมือนกับการยืมของบางอย่างมาจากสวรรค์ที่ต้องคืนระหว่างที่อยู่ในขอบเขตเซียนเหริน และหากขอบเขตเซียนเหรินคิดอยากจะพัฒนาไปอีกขั้น ก็หนีไม่พ้นการฝึกตนเพื่อแสวงหาความจริง ซึ่งเน้นที่คำว่าจริงคำนี้คำเดียว”


หลิวเหล่าเฉิงลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างนอบน้อม “ได้รับคำชี้แนะแล้ว”


สวินยวนส่ายหน้ายิ้ม “คำพูดเก่าแก่ล้าสมัยพวกนี้ เจ้าหลิวเหล่าเฉิงมีพรสวรรค์โดดเด่นเลิศล้ำ จะได้รับคำชี้แนะอะไร? แล้วข้าจะชี้แนะอะไรเจ้าได้?”


หลิวเหล่าเฉิงยิ้มกลับไปนั่งที่เดิม “หากไม่มีเกาเหมี่ยน เชื่อว่าชั่วชีวิตนี้ข้าก็คงไม่มีโอกาสได้มานั่งดื่มเหล้ากับผู้อาวุโสสวินหรอกกระมัง?”


สวินยวนพยักหน้ารับ “เพราะพวกเราไม่มีทางเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำความรู้จักกัน ข้ายอมรับในตัวเจ้าหลิวเหล่าเฉิง”


หลิวเหล่าเฉิงกล่าว “ถือเป็นความโชคดีของผู้น้อย!”


สวินยวนพลันเอ่ยขึ้นว่า “ในอนาคตอีกร้อยปีข้างหน้า ข้าคิดว่าจะสร้างสำนักภายใต้การปกครองของสำนักกุยหยกขึ้นในแจกันสมบัติทวีป โดยให้เจียงซ่างเจินเป็นเจ้าสำนักรุ่นแรก เจ้ายินดีจะรับผิดชอบเป็นหัวหน้าผู้ถวายงานหรือไม่?”


หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างตกตะลึง “เกาเหมี่ยนรู้เรื่องนี้หรือไม่?”


สวินยวนส่ายหน้า “ไม่ได้บอกเขา เพราะข้าเห็นเขาเป็นเพื่อนจริงๆ แต่เจ้าหลิวเหล่าเฉิงนั้นไม่ใช่ ดังนั้นพวกเราสามารถคุยเรื่องพวกนี้กันได้”


หลิวเหล่าเฉิงเริ่มชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย


สวินยวนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนที่ข้าจะไปจากท่าเรือหางผึ้ง เจ้าค่อยให้คำตอบที่แน่ชัดกับข้าก็แล้วกัน วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางบังคับให้เจ้าลำบากใจ อีกอย่างความสามารถของเจ้าหลิวเหล่าเฉิงก็นับว่าไม่น้อยจริงๆ”


หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “ขอให้ข้าได้พิจารณาอีกสักหน่อย”


ต่อให้สวินยวนจะเป็นเซียนที่มีเวทคาถาค้ำฟ้าก็ไม่มีทางรู้เลยว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครู่นี้ของเขา


จะทำให้สาวใช้นามว่าสือชิวผู้นั้นยืนนิ่งไม่ขยับหลังจากทางสำนักแจ้งแก่นางว่านางสามารถ ‘เปิดภาพ’ ได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินเทพเซียนก้อนหนึ่ง จากนั้นนางก็ถูกเทพธิดาผู้นั้นตบหน้าไปสิบกว่าที ด่านางว่าแพศยานับครั้งไม่ถ้วน สือชิวไม่เอ่ยอะไรสักคำ จนกระทั่งเทพธิดาผู้นั้นระบายโทสะเสร็จแล้วหมุนกายเดินจากไปไกลมากแล้ว นางถึงได้กล้ายกมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก กลับเข้าไปในห้องที่เล็กแคบของตัวเอง นางปิดประตูลง ทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบถุงผ้าแพรใบหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง กำไว้ในมือแน่น นางใช้อีกมือหนึ่งอุดปากตัวเอง มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ดังลอดร่องนิ้วออกมา


……


ที่แคว้นชิงหลวน รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วจิ้งถิงจากที่เป็นผู้นำของปัญญาชน เป็นเจ้าประมุขด้านวัฒนธรรม จู่ๆ กลับเปลี่ยนไปมีชื่อเสียงเน่าเหม็น กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งราชสำนัก


ต่อให้เป็นพวกพ่อค้าหาบเร่ก็ยังเริ่มพูดคุยเรื่องรักใคร่ของเหล่าปัญญาชนอย่างคะนองปาก


สวนสิงโตปิดประตูไม่ต้อนรับแขก หลิ่วจิ้งถิงไม่เคยอะไรกับคนภายนอกแม้แต่คำเดียว


หลี่เป่าเจินทำงานใหญ่ประสบความสำเร็จ เป็นเหตุให้เหล่าปัญญาชนที่เดินทางลงใต้สูญเสีย ‘พันธมิตรวงการวรรณกรรม’ ในนามไป จำต้องหันไปหาคนอื่น หางูเจ้าถิ่นแห่งวงการวรรณกรรมของแคว้นชิงหลวนที่สามารถสยบผู้คนและรวบรวมใจคนให้เป็นหนึ่งเดียวได้ เพียงแต่ว่าเคราะห์ภัยที่หลิ่วจิ้งถิงต้องเผชิญทำให้พวกผู้รอบรู้ทั้งหลายที่เดิมทีหมายมั่นปั้นมืออยากเล่นงานอีกฝ่ายเกิดความกังวลใจ ตระกูลใหญ่ชนชนสูงที่ย้ายมาอยู่แคว้นชิงหลวนก็ได้แต่ต้องถอยไปก้าวหนึ่ง หวังจะหาผู้นำจากภายในกันเอง เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์จะซับซ้อนยิ่งขึ้น อันที่จริงเจ้าประมุขของตระกูลใหญ่หลายแห่งก็มีชื่อเสียงไม่เป็นรองหลิ่วจิ้งถิง แต่ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นคนต่างถิ่น ล้วนเป็นมังกรที่ข้ามแม่น้ำมาเหมือนกัน แล้วใครเล่าจะยินดียอมอยู่ต่ำกว่าคนอื่นระดับหนึ่ง? ใครบ้างที่ไม่เป็นกังวลว่าคนผู้นั้นที่ถูกแนะนำมาจะไม่แอบเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมไปใช้ส่วนตนลับหลังทุกคน?


กลุ่มปัญญาชนในท้องถิ่นของแคว้นชิงหลวนจึงเกิดความโกลาหลวุ่นวาย พวกคนเบื้องหลังที่เดิมทียังคิดจะควบคุมหลิ่วจิ้งถิงให้เป็นหุ่นเชิด เพื่อใช้เขาคานอำนาจกับตระกูลต่างถิ่นของฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนก็ไม่ได้อยู่อย่างสงบเช่นกัน


วันนี้หลี่เป่าเจินไปเยี่ยมเยือนหลิ่วชิงเฟิงที่ที่ว่าการอำเภอ คนทั้งสองเดินเล่นอยู่ด้วยกันท่ามกลางแสงสนธยา หลี่เป่าเจินคลี่ยิ้มให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่พวกปัญญาชนที่เดินทางลงใต้ซึ่งเป็นดั่งฝูงมังกรไร้หัวว่า “ซิ่วไฉก่อกบฏ สามปีก็ไม่สำเร็จ”


หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เป่าเจินกว้างขวางเบิกบาน


ทว่าในใจกลับเยียบเย็น


คืนนั้นหลังจากที่หลิ่วชิงเฟิงจากไป เพียงไม่นานหลี่เป่าเจินก็ทำการตรวจสอบและชดเชยช่องโหว่ใน ‘ขวานสามกระบวน’ (เปรียบเปรยถึงวิธีการแก้ปัญหาที่มีไม่เยอะ แต่กลับได้ผลดี หรือสร้างอานุภาพข่มขวัญคนอื่นก่อน แต่กลับไม่มีวิธีรับมือในภายหลัง) ของหลิ่วชิงเฟิง เพื่อทำให้แผนการครั้งนี้สมบูรณ์แบบไร้ข้อผิดพลาด


ตอนนั้นเจ้าพวกสมองหมูและพวกห่อหญ้าใบใหญ่ (เปรียบเปรยถึงคนหรือสิ่งของที่ไร้ค่า) ที่อยู่ในห้องโถงต่างก็เลื่อมใสหลี่เป่าเจินอย่างถึงที่สุด พูดชื่นชมกันไม่หยุดปาก มองดูแล้วก็เหมือนจะมีความจริงใจอยู่หลายส่วน


ทว่าหลี่เป่าเจินกลับยิ่งรู้สึกหนาวเยือกไปทั้งกาย


เพราะหลี่เป่าเจินฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าช่องโหว่เล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นเป็นเศษน้ำแกงที่หลิ่วชิงเฟิงจงใจเหลือไว้ให้เขา


เป็นพื้นที่ว่างที่ให้เขายืมมาสร้างบารมีของตัวเอง


นี่ก็คือการเหลือพื้นที่ (มาจากประโยค 做人留一线,日后好相见แปลตรงตัวเป็นคนควรเหลือที่ว่าง วันหน้าจึงจะเจอกันได้ใหม่ ความหมายก็คือคนเราไม่ควรพูดจาแล้งน้ำใจ หรือทำอะไรที่เด็ดขาดใจดำเกินไป ควรจะเหลือหนทางให้กับผู้อื่นบ้าง วันหน้าเมื่อพบเจอกันจะได้เข้าหน้ากันติด) อย่างไร้เสียงของหลิ่วชิงเฟิง


ตอนที่หลี่เป่าเจินเดินออกมาจากที่ว่าการ เขาอดหันหน้ากลับไปมองซุ้มป้ายของที่ว่าการอีกครั้งแล้วพึมพำกลั้วเสียงหัวเราะไม่ได้ว่า “ยังดีที่ทำงานในที่ว่าการไม่อาจฝึกฝนให้เกิดมหามรรคาอมตะอะไรได้”


พอนึกถึงพวกเสมียนนักการที่เดิมทีชื่นชมเลื่อมใสและนับถือนายอำเภอหลิ่วจากใจจริง ทว่าตอนนี้สายตาของแต่ละคนกลับเปลี่ยนมาเป็นซับซ้อน ในใจเกิดความห่างเหิน หรือบางคนถึงขั้นไม่ปกปิดความเวทนาเอาไว้


หลี่เป่าเจินก็เริ่มอารมณ์ดี เดินเร็วๆ ออกไปจากที่ว่าการด้วยฝีเท้าที่เบาและไวขึ้นอีกหลายส่วน


หลิ่วชิงเฟิงกลับไปยังที่พักของตัวเอง ตรวจสอบเอกสารคดีความที่เหลืออยู่ จู่ๆ ก็นึกถึงเลขานุการฝ่ายบู๊ของต้าหลีที่มีชื่อจริงว่าหวังอี้ฝู่ผู้นั้นขึ้นมา ในอดีตเขาเคยเป็นขุนพลผู้แกล้วกล้าอันดับหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลูที่อยู่ทางเหนือสุด ซึ่งอีกไม่นานกำลังจะกลายมาเป็นหัวหน้ามือปราบประจำอำเภอที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัย จับโจรผู้ร้ายในอำเภอ นึกถึงว่าคนที่มีความสามารถมากพอจะดำรงตำแหน่งเสาคานค้ำยันราชสำนักต้าหลี กลับต้องกลายมาเป็นหัวหน้ามือปราบประจำอำเภอในแคว้นชิงหลวน?


นายอำเภอหลิ่วผู้นี้ก็หัวเราะออกมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)