ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 413-416
บทที่ 413 สมุนเทพโพไซดอน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพราะประมาทคู่ต่อสู้เกินไป ฉลามกบเจ็ดพี่น้องจึงกลายเป็นเจ็ดพี่น้องหน้าโง่ พากันทำอะไรโง่ๆ!
ศัตรูตัวฉกาจของกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีก็คือสัตว์จำพวกปลา ในระหว่างการต่อสู้พวกมันได้สะสมประสบการณ์การต่อสู้ไว้มากมาย ดังนั้นเมื่อฉลามกบเจ็ดพี่น้องปรากฏตัวขึ้น กั้งพวกนี้จึงไม่ได้รู้สึกกลัว แต่กลับยกกำลังออกตีโต้อย่างกล้าหาญ
กระแสน้ำที่ถูกจิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมกวาดเอาพวกกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีเข้ามารวมอยู่ด้วยกัน จนกั้งตัวเล็กๆ หลายร้อยตัวดูเหมือนกองกำลังทหารหนึ่งกอง แย่งชิงกันนำขึ้นหน้า บุกเข้ามาหาฉลามกบเจ็ดพี่น้อง
พี่ใหญ่มันเดย์เข้าเผชิญหน้า มันอ้าปากออกแล้วเริ่มงับเข้าไป แค่ครั้งเดียวก็กลืนกั้งลงไปได้ถึงสิบกว่าตัว
กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีมีความปรารถนาต่อการอยู่รอดที่รุนแรงมาก กั้งที่ถูกมันเดย์กลืนเข้าไปในปากไม่ได้ถูกเคี้ยวจนแตกเป็นชิ้นตั้งแต่แรก พวกมันจึงออกหมัดด้วยความรวดเร็ว โจมตีฟันและปากของมันเดย์อย่างรุนแรง
มันเดย์เหมือนกับถูกไฟฟ้าช็อต ตาของมันเบิกโพลงขึ้นมาทันที เคี้ยวอยู่แค่ครู่เดียวก็คายกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่กินเข้าไปออกมา
โคตรเจ็บเลย! มันเดย์เจ็บจนน้ำตาไหล!
ครั้งนี้เป็นถือว่าเป็นกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่เป็นฝ่ายพลาด ถึงอย่างไรฉลามกบก็มีซี่ฟันที่แหลมคมกับแรงกัดที่ทรงพลัง ถ้าหากเป็นปลาทูน่าทั่วไป หรือพวกปลาเเซลมอนแปซิฟิก โดยพื้นฐานแล้วพวกมันจะไม่สามารถกำจัดเปลือกของกั้งตั๊กแตนได้ จึงมักจะกลืนเข้าไปและหลังจากนั้นก็ทำได้แค่คายกั้งตั๊กแตนออกมาด้วยสภาพที่เหมือนเดิมทุกประการ
เป็นเหมือนเพลง ‘พาฉันมาก็เอาฉันกลับไป กินฉันเข้าไปก็คายฉันออกมา!’ ท่ามกลางมหาสมุทรอย่างแท้จริง
เจ็ดพี่น้องล้มลุกคลุกคลานจากการโจมตี หลังจากที่รู้แล้วว่าสัตว์น้ำตัวเล็กๆ พวกนี้รับมือได้ยาก พวกมันก็ไม่ลังเลเลยที่จะหันหัวว่ายหนีไป
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เมื่อสักครู่พวกมันบุกเร็วไปหน่อย จึงเบรกไม่อยู่ชั่วขณะ เพราะไม่ว่าอย่างไรน้ำทะเลก็มีแรงเสียดทานน้อยอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับบนบกที่อยากจะหยุดก็หยุดได้เลยทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้เจ็ดพี่น้องจึงมุดเข้าไปในฝูงกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีทันที พวกกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีผ่านการวิวัฒนาการมามากกว่าสิบล้านปี ก้ามด้านหน้าของพวกมันวิวัฒนาการจนกลายเป็น “กำปั้นสปริงเหล็ก” ที่ทรงพลังหนึ่งคู่ หลังจากปิดล้อมเจ็ดพี่น้องเอาไว้แล้ว พวกกั้งตั๊กแตนที่ฉลาดในการเอาตัวรอด ก็โบกหมัดด้านหน้าที่มีแรงยืดหยุ่นอย่างเต็มเปี่ยม ทุบลงไปบนตัวฉลามกบอย่างรุนแรงและรวดเร็ว…
ด้วยเหตุนี้เจ็ดพี่น้องจึงถูกช็อตไม่หยุด ผิวด้านนอกที่อ่อนนุ่มมีเลือดไหลออกมา เนื้อในหลายบริเวณก็ถูกเจาะออก เรียกได้ว่าน่าอนาถจนทนดูไม่ได้!
ชื่อนักฆ่าแห่งท้องทะเลของกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีนั้นไม่ได้มาอย่างเสียเปล่า พวกมันชำนาญการโจมตีอีกทั้งยังมีอุบายในการโจมตีที่หลากหลาย มีทั้งใช้หมัดแหลมชกออกไปด้วยความรวดเร็วครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกันกับนักมวย มีทั้งพวกที่ปิดก้ามเข้าหากันจนกลายเป็นค้อนเหล็ก ทุบฉลามกบ ‘ปังๆๆๆ’ เหมือนนายพลบนสนามรบโบราณ
ฉลามกบเจ็ดพี่น้องไม่มีความสามารถที่จะโต้ตอบกลับได้เลย พวกมันทำได้เพียงส่ายสะบัดอย่างบ้าคลั่งแล้วรีบพุ่งออกมา โชคดีที่พวกมันมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่ว่องไว ถ้าหากว่าติดอยู่ในฝูงกั้งตั๊กแตนนานกว่านี้อีกหน่อย คาดว่าพวกมันคงถูกทุบตีจนตาย…
แท้จริงแล้วกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีไม่ได้เก่งกาจขนาดนี้ พวกมันก็เหมือนกับเฉิงเหยาจิน ที่ใช้เป็นแค่ขวานเท่านั้น เป็นความจริงที่การโจมตีด้วยการโบกฉมวกของมันรุนแรงมาก แต่มันก็เป็นการสิ้นเปลืองกำลังกายอย่างมากเช่นกัน ในสถานการณ์ปกติการโจมตีติดต่อกันสี่ห้าครั้งก็นับว่าเกินขีดจำกัดแล้ว
นอกจากนี้กั้งตั๊กแตนเจ็ดสียังไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อยู่กันด้วยความสามัคคี ปกติแล้วพวกมันจะทำการสู้รบแบบเดี่ยว ดังนั้นเมื่อพบกับปลาใหญ่ถ้าไม่สามารถโจมตีติดต่อกันสี่ถึงห้าครั้งเพื่อขับไล่ศัตรูให้หนีไปได้ พวกมันก็จะเป็นฝ่ายที่ถูกกำจัดเสียเอง
ในครั้งนี้ฉลามกบเจ็ดพี่น้องโชคไม่ดี เพราะฉินสือโอวรวบรวมกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่อยู่กระจัดกระจายเข้ามารวมไว้ด้วยกันเสียก่อน เอาล่ะ ถือว่าเขารนหาที่เองจริงๆ กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีหนึ่งฝูงรวมกันเป็นกองทัพ ก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะเอาชนะพวกมันได้
ฉินสือโอวเป็นห่วงพวกเจ็ดพี่น้องหน้าโง่ พูดกันด้วยเหตุผล เขาจะปล่อยให้เจ้าพวกซื่อบื้อนี่ต้องพบกับผลของความผิดพลาดแทนเขาไม่ได้ เขาจึงถ่ายทอดพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้กับพวกมัน
ฉลามกบเจ็ดพี่น้องฉวยโอกาสนี้ ร้องไห้ขี้มูกโป่งเข้ามาหาเขาเพื่อขอพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเพิ่มอีก เมื่อฉินสือโอวเพิ่มพลังเข้าไปมากพอแล้วเขาก็หยุดการถ่ายทอดพลังลง คิดใคร่ครวญดูว่าจะรับมือกับกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีพวกนี้ยังไง
แต่ปรากฏว่าฉลามกบเจ็ดพี่น้องนี่เอาแต่ว่ายวนไปเวียนมาอยู่ตรงหน้าเขา จนเขารู้สึกรำคาญแทบทนไม่ไหว เขาจึงไหลเวียนกระแสน้ำออกไปด้วยความโมโห พาเจ็ดพี่น้องฉลามติ๊งต๊องลอยออกไปไกล
พอไล่ฉลามกบไปแล้ว กองกำลังทหารพันธมิตรกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่ดูเหมือนกับสายรุ้ง ก็เล็งเป้าหมายไปที่ไอซ์สเกตกับบอลหิมะต่อ
น่าสงสารจัง ไอซ์สเกตกับบอลหิมะยังเป็นเด็กอยู่เลยนะ…
ฉินสือโอวเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว เขาจึงต้องเรียกทหารองครักษ์ให้ออกปฏิบัติการ พอเขาออกคำสั่ง เฮยป้าหวังกับกองทัพงูเหลือมทะเลก็แยกกันบุกเข้ามาสมทบ จากบริเวณทะเลลึกและดงสาหร่ายสีน้ำตาลในฟาร์มปลาด้วยความกำแหง
มองเห็นคู่ต่อสู้ที่เมื่อเทียบกับตัวเองแล้วเรียกได้ว่ามีขนาดใหญ่มหึมากว่ามาก กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีกลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย พวกมันยกหมัดขึ้นสูง บุกสู้ต่ออย่างไม่กลัวตาย!
ฉินสือโอวถึงกับเสียขวัญ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ความกระหายในการต่อสู้แบบนี้ หรือว่าพวกมันจะเป็นเผ่าพันธุ์แห่งการต่อสู้ในตำนาน?
อากาศหนาวเหน็บจนพื้นดินจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง กำลังสู้รบของกองทัพงูเหลือมทะเลก็ลดจากระดับแม็กซ์มาสู่ระดับพลังอันน้อยนิด เดิมทีพวกมันซ่อนตัวอยู่ในดงสาหร่ายสีน้ำตาล พอถูกฉินสือโอวเรียกมา พวกมันแต่ละตัวก็แทบจะหนาวจนแทบจะกลายเป็นท่อนไม้ในทะเลอยู่แล้ว
จนปัญญาจริงๆ ฉินสือโอวจึงทำได้แค่ปล่อยให้กองทัพงูเหลือมทะเลหนีกลับไป เห็นจิตใจที่แน่วแน่ต่อการสู้รบของกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่เยี่ยมยอดขนาดนี้ เขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที ถ้าหากเขาฝึกกั้งตั๊กแตนพวกนี้ให้ออกไปรุกรานที่อื่นๆ ได้ ก็ดูจะเป็นเรื่องน่าสนใจอยู่เหมือนกัน
จุดมุ่งหมายที่เขาต้องการจะรุกรานไม่ใช่พวกปลาชนิดอื่นที่อยู่ในทะเล แต่เป็นของบางอย่างที่อยู่บนพื้นดินต่างหาก อย่างเช่น ฟาร์มปลาแกธเธอริง…
ลองคิดๆ ดูแล้ว พอเริ่มการก่อสร้างในบริเวณวิลล่าของฟาร์มปลาแกธเธอริง ถ้าอยู่มาคืนหนึ่ง มีฝูงกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีขึ้นฝั่ง แล้วมุดเข้าไปในวิลล่าพวกนั้น จะน่าสนุกขนาดไหน!
ไม่ต้องพูดแล้ว ฉินสือโอวแผ่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปปกคลุม ควบคุมฝูงนักฆ่าให้ขยับออกก่อน ถ้ายังอยู่ที่นี่ก็คงจะทำลายล้างความเป็นอยู่ของหอยนางรมลอย
เมื่อพาพวกกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีออกห่างจากแนวปะการังแล้ว เขาก็พาพวกมันเข้าใกล้ชายฝั่งก่อนเป็นอันดับแรก ฉินสือโอวถ่ายทอดพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้แก่พวกมันไปบางส่วน จากนั้นค่อยให้พวกมันกินลูกกุ้งมังกร ยังไงก็มีลูกกุ้งมังกรอยู่ตั้งหลายล้านตัว ค่อยๆ กินไปเถอะ
กั้งตั๊กแตนไม่ได้กินแค่หอย แต่ยังกินกุ้งเป็นอาหารอีกด้วย ถ้ากันพูดจริงๆ ถึงแม้ว่าพวกมันจะมีคำว่า ‘กุ้ง’ อยู่ในชื่อ (ในภาษาจีน) และจัดอยู่ในสัตว์จำพวกกุ้ง แต่ความจริงแล้วพวกมันไม่ใช่กุ้ง แต่เป็นสัตว์ประเภทมาลาคอสตราคา
นี่สามารถดูได้จากโครงสร้างส่วนดวงตาของพวกมัน พวกมันเหมือนกับแมลงและสัตว์ประเภทครัสเตเชียน มีโครงสร้างดวงตาแบบประกอบ โครงสร้างดวงตาแบบนี้ต่างกันกับดวงตาของกุ้งโดยสิ้นเชิง
ทุบ ‘กร๊อบๆ’ แค่แป๊บเดียว เป็นกุ้งแดงที่ดวงซวยก่อนตัวอื่น พอถูกทุบจนตายแล้วก็ถูกกินเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม หลังจากนั้นกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่รวมตัวกันเป็นกองทัพนักฆ่าก็มุ่งหน้าไปหาลูกกุ้งมังกร
เมนล็อบสเตอร์ฉลาดเฉียบแหลม พอเห็นผู้ไม่ประสงค์ดี พวกมันก็ไม่ลังเลที่จะหนีเอาชีวิตรอด…
พาพวกกั้งตั๊กแตนไปส่งไว้บริเวณรอบๆ ท่าเรือแล้ว ฉินสือโอวก็กลับมาที่แนวปะการัง เพิ่มพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแล้วแผ่ขยายมันไปทางทิศเหนือ
ตอนแรกเขาวางแผนไว้ว่าจะควบคุมการเคลื่อนย้ายของหอยนางรมลอย แต่พวกหอยนางรมลอยกับกั้งตั๊กแตนมีการสู้รบที่ดุเดือดเกินไป กีบเท้าของหอยนางรมลอยจำนวนมากถูกตัดจนขาดออกจากตัว ตอนนี้จึงเคลื่อนย้ายไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงขยายทิศทางการเจริญเติบโตของแนวปะการัง
ฉินสือโอวแบ่งพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปเป็นส่วนๆ แบ่งให้แนวปะการังไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งก็ถ่ายทอดให้กับกองทัพกั้งตั๊กแตนนักฆ่าทั้งหมด
ช่วยไม่ได้ สติปัญญาของกั้งตั๊กแตนต่ำเกินไป ยกเว้นว่าจะใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนบังคับ นอกจากนั้นก็จะไม่สามารถออกคำสั่งได้แล้ว จึงทำได้แค่ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการของมัน ถึงจะทำให้มันสามารถรับคำสั่งของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้ในเร็ววัน
เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าตั้งแต่ต้นจนจบ ฉินสือโอวจัดการเรื่องกองทัพนักฆ่าจนเรียบร้อยแล้ว ถึงได้กลับไปนอน
พอนอนพลิกตัวอยู่บนเตียง ตัวของฉินสือโอวก็เข้ามาใกล้กันกับวินนี่ ปรากฏว่าเขายังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น หลัวปอที่กำลังฝันหวานอยู่ก็หูผึ่งขึ้นมาทันที ทันใดนั้นมันก็เงยหน้าขึ้นแล้วกัดฉินสือโอวอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
แม่เอ็งบึ้ม! ฉินสือโอวโมโหเจ้าตัวแสบจะตายอยู่แล้ว เขาสุดจะทนแล้ว พรุ่งนี้ต้องจัดการเจ้าเด็กแสบตัวนี้ให้ได้!
…………………………………………………
บทที่ 414 เริ่มใช้กฎในบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฟ้าสางยามเช้า ฉินสือโอวพาหู่เป้าฉงกับปอหลัวไปส่งวินนี่ด้วยกัน
หลัวปอหัวเดียวกระเทียมลีบ วิ่งเข้าไปอ้อนวินนี่อยู่ข้างๆ รถคาดิลแลควันก่อนแล้ว พอวินนี่จะไป มันก็ร้องอ๋าวๆ ออกมา ใช้อุ้งเท้าเล็กๆ ดึงรั้งเธอไม่หยุด ทั้งยังประจบประแสดงความรักความซื่อสัตย์อยู่เรื่อยๆ ฉินสือโอวเห็นแล้วก็แอบชังอยู่ในใจเงียบๆ
วินนี่ส่งหลัวปอที่ไม่ค่อยเต็มใจนักกลับมา หลังจากนั้นเธอก็กอดฉินสือโอวเพื่อบอกลาเขา “ฉันไปทำงานแล้วนะคะ ที่รัก คุณต้องดีกับลูกๆ ให้มากๆ นะคะ แล้วก็จำไว้ว่าต้องรีบไปซื้อรถกระบะด้วย พระเจ้า ฉันทนรับสายตาที่เพื่อนร่วมงานมองมาที่ฉันไม่ไหวแล้ว เหมือนฉันมาเล่นละครเลย”
ฉินสือโอวแย้มรอยยิ้มอย่างมีความสุข “วางใจเถอะครับ วินนี่ คุณไปเถอะ เดี๋ยวผมจะดูแลที่บ้านเอง กำลังเรื่องดีๆ จะเกิดขึ้นแล้ว”
หลัวปอกอดข้อเท้าของวินนี่เอาไว้อย่างน่าสงสาร วินนี่นั่งยองลงมาแล้วจูบหัวเล็กๆ ของมัน เธอพูดกับมันอย่างอ่อนโยนว่า “อยู่บ้านต้องเป็นเด็กดีนะเข้าใจไหม? คุณแม่จะไปทำงานแล้ว ถ้ากลับมาแล้วจะเอานมวัวที่หนูชอบมาฝาก”
รถคาดิลแลควันค่อยๆ ติดเครื่องแล้วขับออกไป วินนี่ลดกระจกลงโบกมือให้เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็เหยียบคันเร่งและขับออกไป
รอจนเงาของรถคาดิลแลควันลับตา รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของฉินสือโอวก็ค่อยๆ หายไป แล้วแทนที่ด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นที่ดูดุร้าย
หลัวปอตัวน้อยยังไม่รู้ถึงชะตากรรมที่กำลังรอมันอยู่ พอมันเห็นว่าแม่จากไปแล้ว ก็สะบัดหัวไปมาแล้วเดินเข้าไปนั่งหน้าโซฟาในห้องรับแขก
ด้วยความเคยชิน หลัวปอก็หมุนตัวกลับไปมองฉินสือโอวแล้วเห่าใส่เขาอย่างไม่พอใจ คล้ายกับว่ามันกำลังตำหนิเขาที่ไม่ได้อุ้มมันขึ้นไปนั่งบนโซฟาได้ทันเวลา
แต่ปรากฏว่า หลังจากที่มันหมุนตัวกลับไป ก็เห็นฉินสือโอวที่กำลังยิ้มอย่างชั่วร้ายกับพี่ใหญ่ทั้งสามตัวที่มีแต่ความเหี้ยมเกรียม…
กะพริบตาปริบๆ หลัวปอคล้ายกับจะรู้แล้วว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ ไม่ว่ายังไงมันก็ได้รับสัมผัสที่หกและความว่องไวเฉียบแหลมมาจากเผ่าพันธุ์หมาป่าขาว มองดูฉินสือโอวแค่ปราดเดียว มันก็เตรียมตัวหนีไปอยู่ใต้โซฟา
ฉินสือโอวดีดนิ้วหนึ่งครั้ง พวกหู่เป้าฉงทั้งสามตัวก็แยกเขี้ยวยิงฟันล้อมเข้ามาจากทั้งสามด้าน ปิดล้อมหลัวปอเอาไว้ได้ในเวลาอันสั้น
หลัวปอตัวน้อยใช้แรงทั้งหมดพยายามจะเบียดฉงต้าออกไป ฉงต้าก็จัดการตะปบมันหนึ่งครั้งทันที ยืนนิ่งๆ ดีๆ ซะ!
จับหนังที่หลังคอของหลัวปอไว้ ฉินสือโอวยกมันขึ้นมาไว้ตรงหน้า เขาแสยะยิ้มออกมา ปรากฏให้เห็นฟันขาวทั่วทุกซี่ ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจ
หลัวปอแลบลิ้นนุ่มๆ สีชมพูของมันออกมาคิดจะเลียหน้าเอาใจฉินสือโอว เพิ่งจะนึกขึ้นได้เหรอว่าต้องทำตัวดีๆ? มันสายไปแล้วล่ะ!
ฉินสือโอวลากมันออก เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดกับมันว่า “เจ้าเปี๊ยก ถ้าฉันไม่เอาแกไปปลูกในกระถาง แกก็คงไม่รู้ใช่ไหมว่าแบบไหนที่เรียกว่านิ่งเป็นผัก? จองหอง ทำตัวจองหองใส่ฉันอีกสิ ฉันจะรอดูว่าแกจะแน่สักแค่ไหน!”
“หงิง หงิง” หลัวปอร้องครวญครางขึ้นมาอย่างอ่อนแอ
ฉินสือโอวเปิดคลิปวิดีโอของคนเลี้ยงสัตว์ที่กำลังฆ่าหมาป่าที่เขาหาไว้จากอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ตอนเช้า แล้วพาหลัวปอมานั่งอยู่ด้านหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้มันได้ดูอย่างเต็มๆ ตา
มองดูจอภาพที่แดงฉานไปด้วยเลือด หลัวปอก็ตกใจจนขาสั้นๆ ทั้งสี่ข้างของมันสั่นเทิ้มไม่หยุด หางที่มักจะตั้งตรงเหมือนเสาธงก็ห้อยต่ำลงมา มันหลับตาไว้แล้วปีนไปข้างหลัง
ฉินสือโอวแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย เขากดปิดวิดีโอ แล้วขับรถพอร์ช 918 พาหลัวปอเข้าไปในเมือง หลัวปอนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับพร้อมกับดวงตาที่หลุกหลิกไปมา ท่าทางเหมือนกำลังคิดจะหนี
รถขับออกไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ฉินสือโอวจับมันไว้ เขาเปิดหน้าต่างรถแล้วยื่นมันออกไป หลังจากนั้นก็วางมันลงบนที่นั่งข้างคนขับอีกครั้ง เจ้าตัวเล็กก็ทำตัวดีอย่างถึงที่สุด ทำตัวสงบเสงี่ยมท่าทางเหมือนคนที่ถูกโขกสับ
เมื่อขับรถมาถึงหน้าประตูร้านขายของชำของฮิวจ์คนน้อง ฉินสือโอวก็พาหลัวปอเข้าไปในร้าน ให้มันได้เห็นหนังของหมาป่าน้อยใหญ่
หนังของมาป่าก็ย่อมต้องมีกลิ่นของหมาป่า หลัวปอตัวสั่นอยู่บนหนังหมาป่าสักพัก ท้ายที่สุดก็ร้องอ๋าวๆ ส่งเสียงเล็กๆ ออกมา ใบหน้าเล็กๆ ของมันไม่มีสีหน้าของความหยิ่งยโสหลงเหลืออยู่แล้ว คราวนี้มันตกใจกลัวอย่างถึงที่สุด
ฮิวจ์คนน้องเดินออกมาจากห้องที่อยู่ด้านใน ขณะที่กำลังจะกล่าวคำทักทาย พอมองเห็นรถพอร์ช 918 ที่จอดอยู่เขาก็ตะโกนแล้วพุ่งออกไปทันที หลังจากพุ่งตัวมาถึงหน้ารถแล้วเขาก็หมอบลงไปด้านบน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหลงใหล
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวขับรถพอร์ชเข้ามาในเมือง ฮิวจ์คนน้องจึงไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน
“เป็นรถที่ดีจริงๆ พระเจ้า รถคันนี้มันสุดยอดเกินไปแล้ว เซ็กซี่ยิ่งกว่าสการ์เลตต์ โจแฮนสันซะอีก! ฉิน นี่คือรถของนายเหรอ? นายมีรถที่ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?” ฮิวจ์คนน้องวิ่งตะบึงกลับมาด้วยความรวดเร็ว ปากก็พูดรัวติดๆ กันจนเหมือนร้อยลูกปัด
สีหน้าท่าทางที่บ้าคลั่งกับเสียงแปลกๆ ของฮิวจ์คนน้องทำให้หลัวปอถึงกับตกใจกลัว วันนี้ลูกหมาป่าขาวถูกขู่ให้กลัวมาไม่น้อยเลย ในที่สุดคราวนี้มันก็ถึงกับหมดอาลัยตายอยาก สอดหางมุดเข้าไปอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของฉินสือโอว หัวของมันก็มุดดันเข้าไปอยู่ในขากางเกงของเขา
แบบนี้ฮิวจ์คนน้องถึงได้เพิ่งจะสังเกตเห็นลูกหมาป่าขาว เขาก้มหน้ามองดู จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้นมาว่า “เป็นหมาสีขาวที่ไม่เลวเลยนี่ นี่คือหมาพันธุ์อะไรเหรอ?”
เขามองไม่เห็นหัวของหลัวปอ แต่ถึงแม้จะมองเห็นเขาก็คงคิดไม่ถึงอยู่ดี ว่านี่จะเป็นหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ที่ถูกคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว!
ฉินสือโอวไม่สนใจหลัวปอ เขาตอบฮิวจ์คนน้องกลับไปว่า “เพื่อนให้ฉันมาน่ะ มันมีอะไรดีอย่างนั้นเหรอ? ก็แค่รถซูเปอร์คาร์คันเดียว”
“รถซูเปอร์คาร์คันเดียว?!” ฮิวจ์คนน้องตะโกนขึ้นมาอย่างเวอร์ๆ “นี่คือรถพอร์ช 918! รถซูเปอร์คาร์รุ่นลิมิเต็ดใหม่ล่าสุดของพอร์ช! ตอนนี้ทั่วทั้งโลกมีอยู่กี่คันกัน? ห้าสิบคัน? หกสิบคัน? สวรรค์ คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ฉันได้จับรถซูเปอร์คาร์คันนี้ เหลือเชื่อจริงๆ !”
พูดพึมๆ พำๆ อยู่พักหนึ่ง สุดท้ายฮิวจ์คนน้องก็ถอนหายใจด้วยความรู้สึกเสียดาย “ฉันอิจฉานายจะตายอยู่แล้ว ฉิน ไอ้คนโชคดี ทำไมฉันไม่มีเพื่อนรวยๆ แบบนี้บ้างนะ? ถ้าใครให้รถพอร์ชกับฉันสักคัน ฉันจะยอมมอบตัวเองเป็นของขวัญเพื่อขอบคุณเขาเลย!”
พอพูดจบแล้ว ฮิวจ์คนน้องก็ส่งสายตาให้ฉินสือโอวไม่หยุด ทำเอาเขากลัวจนตัวสั่น ฉินสือโอวจึงตอบกลับไปว่า “ไสหัวไปเลย ให้นายเป็นของขวัญ? มีใครน่ายี้ขนาดนายไหมเนี่ย? แต่จะว่าไป นายยังติดค้างสาวสวยฉันอยู่หนึ่งคนนะ จำได้ไหม?”
นี่เป็นการตกปากรับคำที่มีมาตั้งนานแล้ว ในตอนนั้นฮิวจ์คนน้องพนันกันกับเขา ถ้าหากโรงงานเคมีถูกย้ายไปก็ต้องแนะนำผู้หญิงที่สวยมากๆ ให้เขารู้จักหนึ่งคน หลังจากนั้นฮิวจ์คนน้องก็ทำร้านขายของชำขึ้น ยุ่งกับการทำธุรกิจ การพนันไร้สาระในครั้งนั้นจึงถูกโยนทิ้งไว้ให้ไกลจากสมอง
ฮิวจ์คนน้องยักไหล่น้อยๆ เขาพูดอย่างจนปัญญาว่า “ฉันรู้จักผู้หญิงที่สวยสุดยอดแบบนั้นจริงๆ แต่ฉันกลัวว่าถ้าฉันแนะนำให้นายรู้จักแล้วจะโดนวินนี่ยิงเป้าเอาน่ะสิ เพราะอย่างนั้นนะพี่ชาย อย่าโทษฉัน ถ้าจะโทษก็โทษตัวนายเองนั่นแหละที่รีบพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสุสานของความรักเร็วขนาดนี้”
พอล้อกันเล่นจบแล้ว ฉินสือโอวชนหมัดกับฮิวจ์คนน้องเสร็จก็พาหลัวปอออกจากร้านไป
ระหว่างทางกลับบ้าน หลัวปอก็กลายมาเป็นเด็กดีอย่างถึงที่สุด พอฉินสือโอวจับตัวมันก็แลบลิ้นออกมาเลียอย่างเอาอกเอาใจทันที พอฉินสือโอวเรียกมันก็รีบเงยหน้าแลบลิ้นออกมาออกมาเช่นกัน
โหวจื่อเซวียนมาหาเขาเพราะอยากจะเข้าไปเที่ยวที่ร้านปืน วันนี้ฉินสือโอวต้องฝึกหลัวปอก็เลยไม่มีเวลา เขาจึงให้ปืนเอดับเบิลยูพีให้โหวจื่อเซวียนเอาไปเล่นเอง แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีกระสุน
วินนี่กลับมาถึงตอนพลบค่ำ เห็นฉินสือโอวนอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟา ส่วนหลัวปอก็ใช้ย่ำเท้าไปมาอยู่บนหลังของเขา
“ไม่อนุญาตให้รังแกป๊ะป๋า!” วินนี่เข้ามาอุ้มหลัวปอขึ้นแล้วแกล้งพูดกับมันด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง แต่ที่จริงแล้วน้ำเสียงของเธอมีเพียงการเอาอกเอาใจ ไม่เหมือนกับการตำหนิเลยแม้แต่น้อย
ฉินสือโอวที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟาก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา เหมือนกับว่าไม่โกรธเลยสักนิด ความจริงแล้วเขาจะโกรธอะไรกันล่ะ เมื่อสักครู่หลัวปอกำลังเหยียบหลังให้เขาอยู่ อีกทั้งยังเหยียบมาตลอดครึ่งบ่าย จนลูกหมาป่าขาวเหนื่อยจนแทบจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว!
…………………………………………………..
บทที่ 415 สำรวจร้านปืน
โดย
Ink Stone_Fantasy
กลางคืนกลับมาในห้อง ฉินสือโอวเอนตัวอยู่บนเตียงอย่างเรื่อยๆ เฉื่อยๆ หลังจากอาบน้ำใส่เสื้อผ้าแล้ววินนี่ก็เป่าขนให้หลัวปอแล้วกอดกันอยู่บนเตียง พอเห็นแบบนี้ ฉินสือโอวก็กระแอมไอออกมาหนึ่งครั้ง เขาเหล่ตามองหลัวปอแล้วส่งรอยยิ้มชั่วร้ายไปให้มัน
หลัวปอที่กำลังรับอ้อมกอดอุ่นๆ ของวินนี่ก็ถอยออกไปทันที มันใช้สายตาอ่อนโยนมองไปที่แม่ของมันด้วยท่าทางน่าสงสาร แล้วกระโดดลงจากเตียงไปอย่างเงียบๆ นอนนิ่งๆ อยู่ตรงปลายเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก
วินนี่มองดูมันด้วยความประหลาดใจ เธอโบกมือแล้วพูดกับมันว่า “มานี่ ลูกรัก ทำไมหนูไม่เข้ามาให้แม่กอดล่ะ? เดี๋ยวแม่กอดหนูนอนดีไหม?”
หลัวปอกำลังเงยหน้าขึ้นด้วยความดีใจ ฉินสือโอวก็กระโดดลงมาจากเตียง เขาใช้กำลังและความรวดเร็วยกมันขึ้นอย่างฉับพลันแล้วส่งมันไปไว้ข้างในเบาะนอนของหู่จือกับเป้าจือ หลังจากนั้นก็หันกลับมายิ้มให้วินนี่พร้อมทั้งพูดกับเธอว่า “ที่รัก ลูกเราโตแล้ว ตอนนี้เธอต้องนอนกับพวกพี่ชายแล้วล่ะ”
วินนี่ฉลาดทันคน แค่ครู่เดียวก็เดาออกแล้วว่าฉินสือโอวคงจะอาศัยช่วงเวลาที่เธอไม่อยู่ในตอนกลางวันฝึกหลัวปอไปแล้วแน่ๆ เธอจึงกลอกตาใส่เขาหนึ่งครั้ง ให้เขาพูดความจริงออกมา
ฉินสือโอวขึ้นมาบนเตียงพร้อมกับรอยยิ้มร้าย แล้วพูดกับเธอว่า “มาดาม คุณต้องการให้ผมบริการคุณยังไงดีครับ? ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่ หรือว่าคุณจะลงโทษผมแทนล่ะครับ? ผมเคยดูหนังเรื่องกองพันเชือดนิ่มพวกตำรวจหญิงในหนังชอบใช้หน้าอกใหญ่ๆ ลงโทษคนร้ายให้หายใจไม่ออกที่สุดเลย”
วินนี่คิกคักพร้อมทั้งผลักเขาออกไป แต่ปรากฏว่าผลักอยู่สองสามครั้งก็ผลักจนเขาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
มองดูอ้อมกอดอบอุ่นที่เคยเป็นของตัวเองโดนคนชั่วแย่งไปใบหน้าของเด็กน้อยหลัวปอก็เต็มไปด้วยความปวดร้าว มันร้องอ๋าวๆ อยู่ครั้งสองครั้ง วินนี่พยายามดิ้นให้หลุดจากฉินสือโอวที่กำลังก่อกวนไม่หยุด แต่ปรากฏว่าวงแขนแข็งแรงคู่หนึ่งก็โอบล้อมอ้อมอกขาวๆ นุ่มๆ ของเธอเอาไว้ ดึงเธอกลับเข้าไปในเกลียวคลื่นสีแดงอีกครั้ง
หลัวปอยังอยากจะร้องต่อ หู่จือกับเป้าจือยกเอาอุ้งเท้าลงไปวางบนลำตัวทั้งสองด้านของมัน จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเสแสร้งแล้วยัดหัวเข้าไปไว้ตรงด้านหน้าของมัน…
ตั้งแต่พบว่าหมูในฟาร์มหายไปหนึ่งตัว ฉินสือโอวก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากับวินนี่เลย โดยเฉพาะหลังจากรับหลัวปอมาเลี้ยงก็ยิ่งสาหัส แม้แต่มือของวินนี่ ฉินสือโอวก็ไม่ได้จับ
ดังนั้น คืนนี้ฉินสือโอวจึงทำมันครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างบ้าคลั่งจนฉงต้าก็ยังนอนไม่หลับ ต้องดันประตูห้องแล้ววิ่งหนีลงไปห้องรับแขก
วันต่อมาวินนี่ตื่นสายกว่าปกติ เธอจึงไม่ได้ไปวิ่งตอนเช้ากับฉินสือโอวอย่างที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก
ดังนั้นฉินสือโอวจึงต้องรับหน้าที่ทำอาหารเช้า หลังจากนั้นเขาก็ไม่ปล่อยให้เธอขับรถเอง แต่ขับรถเข้าไปส่งเธอในเมืองแล้วรับโหวจื่อเซวียนติดรถมาด้วยกันเพื่อพาอีกฝ่ายไปเที่ยวเล่นที่ร้านปืน
พอขึ้นรถคาดิลแลควันมาแล้ว โหวจื่อเซวียนก็ค่อนข้างตื่นเต้น ฉินสือโอวพูดกับเขาว่าก็แค่ไปดูปืนเองไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนี้? เขาลืมไปแล้วว่าสภาพของตัวเขาเองตอนที่ซื้อปืนช่วงที่เพิ่งมาถึงเกาะแฟร์เวลเป็นยังไง ถึงโหวจื่อเซวียนจะตื่นเต้น แต่ก็ไม่ถึงกับนอนกอดปืนก็แล้วกัน
โหวจื่อเซวียนบอกว่าที่จริงเขาไม่ได้ตื่นเต้นแค่เพราะว่าจะได้ไปร้านปืน แต่รถคาดิลแลควันคันนี้ก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน ของที่เขาชอบที่สุดมีอยู่สองอย่าง นั่นก็คือปืนกับรถ มาเกาะแฟร์เวลครั้งนี้นับว่าได้เติมเต็มความปรารถนาของเขาแล้ว
ฉินสือโอวยิ้มออกมา เขาแอบคิดในใจว่าโชคดีที่วันนี้ไม่ได้ขับพอร์ช ไม่อย่างนั้นเจ้าหมอนี่ต้องตื่นเต้นจนสติแตกแน่นอน
ร้านปืนตั้งอยู่บนบริเวณเหนือสุดของเมือง เมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นร้านวอลมาร์ต แต่ปรากฏว่าคนในเมืองก็ยิ่งน้อยลงไปทุกวัน ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้จึงต้องเลิกกิจการไป ตึกนี้จึงว่างมาตลอด จนกระทั่งซาโกรมาเช่าเพื่อปรับเปลี่ยนเป็นร้านปืน
ตึกหลังนี้เป็นอาคารสองชั้น ชั้นสองทำเป็นห้องนอนกับห้องครัวของซาโกร ส่วนชั้นหนึ่งก็เป็นร้านปืน ครอบคลุมพื้นที่ขนาดประมาณสามพันตารางเมตร เรียกได้ว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่
ซาโกรใช้การปรับปรุงการก่อสร้างแบบพิเศษ หน้าต่างของชั้นหนึ่งใช้โครงเหล็กเชื่อมปิดไว้ทั้งหมดเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนแอบเข้ามาในร้านปืน ประตูของร้านปืนก็เป็นประตูเหล็กหนาขนาดใหญ่สองบาน มีบรรยากาศแบบสงครามเย็น ที่จับประตูทำมาจากปืนฟรินท์ล็อกรุ่น 1547 บนบานประตูแกะสลักเป็นรูปปืนดังสิบรุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเอาไว้ ดูแล้วเต็มไปด้วยความรู้สึกป่าเถื่อน
ฉินสือโอวก็เข้ามาในร้าน ซาโกรกำลังแนะนำปืนพกยูเอสพีให้ลูกค้าทั้งสองคนฟัง พอมองเห็นฉินสือโอวใบหน้าของเขาก็ปรากฏความตื่นเต้นดีใจออกมา เขาโบกมือไปมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “บอสใหญ่ ทำไมวันนี้นายถึงมีเวลามาที่นี่ล่ะ?”
“ฉันมาตรวจดูการทำงานของนายน่ะ” ฉินสือโอวพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาแสดงสีหน้าท่าทางเพื่อบอกให้ซาโกรทำงานต่อก่อน เดี๋ยวเขาจะเดินดูรอบๆ เอง
ซาโกรจัดวางร้านปืนได้ไม่เลวเลย เหมือนกับซูเปอร์มาร์เก็ต ปืนคนละรุ่นก็วางไว้คนละที่แยกกันตามประเภท บนผนังก็แขวนปืนลูกซองกับปืนไรเฟิลเอาไว้ข้างบน ส่วนปืนพกก็วางไว้ในเคาน์เตอร์กระจกใส เคาน์เตอร์วางของทำมาจากกระจกนิรภัยเทมเปอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุสุดวิสัยอย่างเช่น มีคนมาขโมยปืน
ทางด้านขวาของประตูร้านมีปืนกลแม็กซิมอยู่หนึ่งกระบอก นี่เป็นปืนที่เก่ามากๆ โครงตั้งสามขาถูกเชื่อมติดกับพื้น กระบอกปืนถูกขัดจนเป็นประกายเงาวับ สามารถมองเห็นเกียรติยศและความยิ่งใหญ่ในอดีตของมันได้รางๆ
ด้านข้างปืนกลคือสายพานกระสุน ทว่าด้านในจะมีแต่ปลอกกระสุนเท่านั้น ไม่มีหัวกระสุน หลังจากฉินสือโอวนั่งลงข้างหลังปืน เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเทพผู้ควบคุมความตาย ต่อจากนั้นเขาก็สละที่นั่งให้โหวจื่อเซวียน พร้อมทั้งช่วยเขาถ่ายรูปติดต่อกันหลายใบ
ด้านหลังตู้เคาน์เตอร์ที่อยู่ตรงประตูทางเข้าแขวนปืนเอเคไว้หนึ่งชุด มีปืน AK-47 AK-74 AK-74U AKM เป็นต้น ราชาปืนตระกูลคาลาชนิคอฟแสดงความยิ่งใหญ่ของมันให้แขกที่มาเยี่ยมชมทุกคนได้เห็น
เดินวนดูรอบหนึ่ง เพื่อนนักเรียนเจี้ยนผานโฮ่วก็เริ่มขยิบตาให้ฉินสือโอวอย่างกระวนกระวายใจ ฉินสือโอวก็เข้าใจได้ในทันที เขาพูดกับซาโกรว่า “นายเอาปืนมาให้ฉันหน่อยสักสองสามกระบอก ฉันจะไปเอายิงเล่นที่สนามยิงปืน แล้วก็ช่วยเอามาให้น้องชายคนนี้อีกสองกระบอกนะ”
ซาโกรมองเจี้ยนผานโฮ่วแล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า “โอเค เพื่อน นับว่านายมีความสามารถนะ ที่พูดให้บอสใหญ่ของเราช่วยออกหน้าได้ ดูท่าว่านายน่าจะเป็นพวกชอบลองเสี่ยงสินะ”
ดูจากสีหน้าของซาโกร ความทรงจำของเขาที่มีต่อเจี้ยนผานโฮ่วคงจะฝังลึกน่าดู ก่อนหน้านี้เจี้ยนผานโฮ่วคงจะรบกวนเขามาไม่น้อย
ฉินสือโอวให้เจี้ยนผานโฮ่วเลือกปืน มาคราวนี้เจี้ยนผานโฮ่วอยากจะสัมผัสกับเสน่ห์ของปืนกล จึงเลือกปืน AKM กับปืน AR-15 ซึ่งนับว่าเขารู้ข้อบกพร่องของตัวเองดี แรงสะท้อนกลับของปืน AKM น้อยกว่าปืน AK-47 อยู่มาก ถ้าเขาเลือกปืน AK-47 อย่าว่าแต่ซาโกรเลย แม้แต่ฉินสือโอวก็ไม่ยอมให้เขาจับเหมือนกัน
ซาโกรหยิบเอาสัญญาปฏิเสธความรับผิดชอบที่เตรียมไว้สำหรับนักท่องเที่ยวมาให้โหวจื่อเซวียนเซ็น หลังจากนั้นหยิบปืนยาวมาให้พวกเขาทั้งคู่ พร้อมกับส่งซองกระสุนให้ฉินสือโอวอีกหลายอัน แล้วบอกให้เขาระวังเรื่องความปลอดภัย
สนามยิงปืนอยู่บริเวณด้านหลังร้านปืน พื้นที่ว่างเปล่าขนาดสิบกว่าเฮกตาร์ถูกล้อมเอาไว้ บนสนามปักเป้ายิงปืนไว้หลายอัน นอกจากนี้ยังยังมีเป้าปืนรอกไฟฟ้า แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมถึงจะใช้ได้
ฉินสือโอวเลือกใช้ปืนเรมิงตันสำหรับซุ่มยิงรุ่น M700-ADL ก่อนเป็นอันดับแรก ปืนไรเฟิลรุ่นนี้เป็นที่บริษัทเรมิงตันอาศัยความยอดเยี่ยมของปืน M700 พัฒนาจนได้ปืนสำหรับซุ่มยิงหนึ่งชุด ระดับความแม่นยำสูงมาก สูงจนกองทัพอเมริกายังชื่นชอบมัน เจาะจงใช้พื้นฐานของมันมาพัฒนาเป็นปืนซุ่มยิงสำหรับทหาร อย่างเช่นปืน M40A1 ของกองนาวิกโยธินกับปืน M24SWS ของกองทัพบก
ADL เป็นรุ่นที่ใช้ในหมู่พลเรือน อีกทั้งยังเป็นรุ่นที่ถูกที่สุดของปืนชุดนี้ ฉินสือโอวหมอบอยู่กับกระสอบสำหรับยิงปืนแล้วเล็งไปที่เป้า หลังจากนั้นก็เสียบซองกระสุนเข้าไปพร้อมกับปลดล็อกเซฟตี้ของปืน เขาลากไกปืนแล้วลั่นไกด้วยความสุขุม…
‘ปัง’ เสียงดังกังวานดังขึ้นอย่างรุนแรง ฉินสือโอวรู้สึกว่าหูของเขาครึ่งหนึ่งมีเสียงดังหึ่งๆ จนฟังอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว…
พ่อเอ็ง ลืมใส่ที่ปิดหูซะงั้น ฉินสือโอวรู้สึกว่าตัวเองอยู่กับเพื่อนนักเรียนเจี้ยนผานโฮ่วจนเหมือนจะติดโรคทางสมองแบบคนติ๊งต๊องแล้ว
เพื่อนนักเรียนเจี้ยนผานโฮ่วก็ไม่เสียแรงกับที่ฉินสือโอววิจารณ์ เขาทำเรื่องตลกๆ ออกมาอีกแล้ว
…………………………………………
บทที่ 416 พนักงานร้านปืน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่ฉินสือโอวกำลังยิงปืน ทางด้านเพื่อนนักเรียนเจี้ยนผานโฮ่วก็กำลังรื้อปืนอยู่ ฝีมือไม่เลวเลย ข้างๆ ตัวก็วางชุดอุปกรณ์มีดสวิสเอาไว้หนึ่งชุด ค่อยๆ ศึกษา รื้อส่วนประกอบของปืนเอเอ็มเคสีเงินสวยกระบอกนั้นออกมา
หลังจากนั้นเจี้ยนผานโฮ่วก็ควักโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูป ขนาดถ่ายชิ้นส่วนปืนก็ยังถ่ายแบบเซลฟี่ ยกยิ้มกริ่ม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข
ฉินสือโอวหันหน้ากลับไปถามเขาว่า “นายไม่ยิงปืนเหรอ มัวเล่นอะไรอยู่ ถ่ายรูปไว้ทำไม? เอากลับไปให้คลังสรรพาวุธของประเทศเราศึกษาเหรอ? ฮ่าๆ ปืน 95 ของพวกเราก้าวหน้ามากแล้ว ไม่จำเป็นต้องศึกษาจากปืนพวกนี้หรอก”
ได้ยินฉินสือโอวหยอกล้อ เจี้ยนผานโฮ่วก็หัวเราะแหะๆ อย่างเก้อเขินแล้วอธิบายว่า “เมื่อก่อนผมเคยแต่ดูคนอื่นในอินเทอร์เน็ตเขารื้อปืนกัน วันนี้เลยลองบ้าง พอกลับไปแล้วจะได้เอาไปอวดให้คนอื่นๆ ในเว็บบอร์ดดู”
ฉินสือโอวเลิกสนใจอีกฝ่ายแล้วนอนหมอบอยู่กับพื้น เขาใส่ที่ครอบหูแล้วเล็งไปที่เป้าพร้อมทั้งเริ่มทำการคำนวณ
เป้านิ่ง ระยะห่างสองร้อยกว่าเมตร ปืน M700 ของฉินสือโอวติดตั้งกล้องส่องทางไกลกำลังขยายสี่เท่า ในระยะห่างเท่านี้ถ้าเขาจะยิงกลางเป้าก็ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากอะไร
ถึงแม้ว่าตอนนี้ความคุ้นชินในการยิงปืนของเขาจะยังอยู่ในระดับทั่วไป ทว่าเขามีพละกำลังสูง สามารถควบคุมปืนไรเฟิลซุ่มยิงได้อย่างง่ายดาย หลังจากเล็งแล้วก็ลั่นไกออกไป ถึงจะยิงไม่โดนวงสิบแต้ม แต่ถ้าเป็นกลางเป้าก็ไม่มีปัญหาแน่นอน
หลังจากนั้นซาโกรก็เดินเข้ามา ในมือถือถือของชิ้นใหญ่เอาไว้ อาวุธระดับเทพในกลุ่มผู้เล่นเกมซีเอฟของจีน ทรราชแห่งสนามรบ ปืนบาร์เรตต์ M82A1!
มองเห็นเงาร่างของซาโกร เจี้ยนผานโฮ่วก็รีบลงมือด้วยความร้อนรนทันที เขาใช้ท่าทางมือแบบที่เรียกได้ว่าน่าพิศวงงงงวยประกอบปืนเอเอ็มเคเข้าด้วยกัน
ซาโกรรีบเดินเข้ามา ยืนอยู่ด้านหน้าเจี้ยนผานโฮ่วพร้อมทั้งจับจ้องไปที่เขา ฉินสือโอวนึกว่าเขาไม่พอใจที่เจี้ยนผานโฮ่วรื้อปืนออกตามใจชอบ จึงเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย “ช่างมันเถอะ พอล วัยรุ่นก็อยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา ฉันผิดเองแหละที่ไม่ได้คอยดูเขาให้ดี”
ซาโกรส่ายหัว แล้วพูดอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าเด็กนี่เคยบอกกับฉันว่าเขาไม่เคยจับปืนยาวมาก่อน แต่ดูจากระดับความชำนาญของเขาในตอนนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย! เขาโกหกฉันหรือเปล่า?”
เนื่องจากเขาต้องเจอกับนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหลังจากที่ซาโกรเข้ามารับช่วงทำร้านปืน เขาก็พยายามเรียนภาษาจีนอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ท่าทางมือไปจนถึงภาษาจีนพื้นฐาน รวมถึงการประกอบคำภาษาอังกฤษอย่างง่าย การสื่อสารของเขากับนักท่องเที่ยวชาวจีนไม่ได้มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้
โหวจื่อเซวียนได้ยินซาโกรพูดขึ้นมาแบบนี้ เขาก็รีบอธิบายว่า “ใช่ๆ เมื่อก่อนผมไม่เคยจับมาก่อน แต่ผมดูวิดีโอมาเยอะมาก ผมเลยทำเป็น”
ฉินสือโอวเห็นทั้งสองคนสื่อสารกันอย่างตะกุกตะกักจึงรีบเข้ามาช่วยแปล ซาโกรไตร่ตรองอยู่สักพักกับถามคำถามเขาอีกนิดหน่อย ล้วนแต่เป็นคำถามเกี่ยวกับการจำแนกประเภทปืนและการดูแลรักษาทั้งสิ้น โหวจื่อเซวียนก็สมแล้วกับชื่อเจี้ยนผานโฮ่วบนเว็บไซต์เถียเสี่ย เขาตอบทุกๆ คำถามได้อย่างถูกต้อง
ตอนสุดท้ายเป็นคำถามเกี่ยวกับความช้าเร็วของการประกอบชุดปืนเก่า หลังจากโหวจื่อเซวียนตอบกลับมาซาโกรก็นั่งยองๆ ลงมาพร้อมทั้งถามกับเขาว่า “นายสนใจ มาทำงานที่นิวฟันด์แลนด์ไหม? มาทำงานที่ร้านปืนของพวกเราน่ะ?”
พอได้ยินอย่างนี้ โหวจื่อเซวียนก็ชะงักงันไปทันที จากนั้นจึงจับซาโกรไว้แล้วถามขึ้นมาอย่างดีใจจนแทบบ้าว่า “ได้เหรอครับ?”
ซาโกรพูดกับฉินสือโอวว่า “พวกเราต้องมีพนักงานคนหนึ่ง ต้องเป็นคนจีนที่สามารถสื่อสารกับนักท่องเที่ยวได้อย่างไม่มีอุปสรรค ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปติดประกาศรับสมัครที่บริษัทจัดหางาน แต่พวกเขาเรียกเงินเดือนแพงเกินไป ดังนั้น ฉันเลยเห็นว่าเจ้าเด็กนี่ก็ดูเหมือนจะไม่เลวเลย”
ฉินสือโอวไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ เขารู้สึกลังเลนิดหน่อย เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รู้จักโหวจื่อเซวียน ทำงานที่ร้านปืนไม่เหมือนทำงานที่ร้านอาหาร นี่เป็นงานดูแลอาวุธปืน ถ้าหากว่าโหวจื่อเซวียนมีปัญหาเกี่ยวกับนิสัยและอารมณ์ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะยุ่งแน่ๆ
ในสายตาที่แสดงออกถึงความตื่นเต้นและหวั่นวิตกของโหวจื่อเซวียน ฉินสือโอวลากซาโกรมาอีกฝั่งแล้วพูดเรื่องที่เขากังวลให้เขาฟัง ซาโกรที่เป็นผู้ชายแมนๆ ลุยๆ อยู่แล้วก็พูดกับเขาว่า “ไม่หรอก เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอกน่า ฉันอ่านแววตาของเขาออก เขาก็เหมือนกับฉัน ที่รักของพวกนี้จริงๆ”
ในเมื่อซาโกรพูดขนาดนี้แล้ว แถมดูท่าทางโหวจื่อเซวียนก็ชอบมันมากๆ ฉินสือโอวจึงยักไหล่น้อยๆ เพื่อบอกเป็นนัยว่าเขาเคารพความคิดเห็นของทั้งสองคน
แต่เขาก็ยังพูดกับโหวจื่อเซวียนอีกว่าอย่าเพิ่งรับตอบรับเรื่องนี้ ที่เมืองแฟร์เวลเขาอาจจะต้องพบกับความยากลำบากหลายอย่าง การสื่อสารที่ไม่ราบรื่น ต้องอยู่ไกลจากเพื่อนสนิท อาหารการกินที่ไม่คุ้นชิน และปัญหาอื่นๆ อีก ให้เขากลับจีนไปก่อนแล้วค่อยๆ คิดให้ดีๆ
โหวจื่อเซวียนจริงจังกับเรื่องนี้ เขาตอบกลับไปว่า “พี่ใหญ่ ผมรู้ว่าพี่หวังดีกับผม แต่ถ้าหากว่าผมได้อยู่กับปืนพวกนี้ไปตลอดชีวิต ผมก็คิดว่าคงจะไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วล่ะครับ แล้วผมก็มีเงินแปดล้านกว่าๆ พี่ว่าผมจะขออพยพได้ไหม?”
ฉินสือโอวบอกให้เขาใจเย็นๆ ก่อน เขาสนับสนุนเรื่องการย้ายถิ่นฐานแต่ไม่ควรรีบร้อน ถ้าแค่มาทำงาน ก็ทำแค่พาสปอร์ตผ่านช่องทางการส่งออกแรงงานก็พอแล้ว แถมยังมีรายรับทางภาษีที่ต่ำกว่า
โหวจื่อเซวียนลองคิดๆ ดูแล้วก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ จะหุนหันพลันแล่นไม่ได้ มาทำงานเป็นแรงงานส่งออกอยู่ที่แคนาดาเพื่อลองดูสถานการณ์ก่อนสักปีครึ่ง นี่ดูจะมีเหตุผลมากกว่า
แคนาดาใช่แดนสวรรค์ไหมน่ะเหรอ? ในสายตาของฉินสือโอวแล้วก็ใช่ เพราะเขามีเงิน มีอำนาจวิเศษ สำหรับคนที่มีเงินร้อยล้านดอลลาร์แคนาดานอกจากขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ ทะเลทรายซาฮารากับป่าอเมซอนแล้ว ทุกๆ ที่ก็เป็นเหมือนกับสวรรค์ทั้งนั้นแหละ
แต่สำหรับคนทั่วไปล่ะ? ไม่ใช่ แน่นอนว่าไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้คงไม่เกิดเหตุการณ์ผู้อพยพย้ายกลับถิ่นฐานเดิมหรอกใช่ไหม?
ตอนที่ฉินสือโอวคุยกับเพื่อนสมัยเรียนเขาก็พบว่า พวกเพื่อนๆ สมัยเรียนของเขามองเห็นแต่สวัสดิการสังคมที่ดี ระบบประกันชีวิตที่ดีพร้อม กับสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัยของแคนาดาที่มีคุณภาพสูงและมีมลภาวะต่ำ
แต่เพราะพวกเขาไม่ได้มาที่แคนาดาจึงยังไม่เห็นอะไรอีกหลายอย่าง อย่างเช่นการเหยียดชาติพันธุ์ รายได้ทางภาษีที่สูง สภาพแวดล้อมที่หางานได้ยาก ความเดียวดายในต่างแดน ความสิ้นหวังจากการไร้ญาติขาดมิตร โรงพยาบาลกับระบบตุลาการที่มีความซับซ้อนเป็นต้น
เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับเข้าทำงานของร้านปืน ฉินสือโอวจึงต้องคุยกับโหวจื่อเซวียนอย่างละเอียดรอบคอบ เขาพูดเล่าปัญหาบางส่วนของแคนาดาให้โหวจื่อเซวียนฟัง พระจันทร์ในต่างประเทศไม่ได้กลมไปกว่าพระจันทร์ที่จีนเลยแม้แต่น้อย
เขาลองยกตัวอย่างให้ฟัง “นายคิดว่าที่แคนาดามีเทคโนโลยีการแพทย์สูง มียาดี ค่าใช้จ่ายน้อยใช่ไหม? แต่นายต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าการรักษาของที่นี่จะต้องนัดหมอไว้ก่อนล่วงหน้า ถ้านายนัดหมอไม่ได้ กระทั่งเก้าอี้ผ่าตัดก็ไม่ได้แตะ!”
“นายดูข้อมูลเกี่ยวกับอเมริกาเหนือ คนส่วนมากจะมีหมอส่วนตัว ทนายส่วนตัวกันทั้งนั้น เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าโรงพยาบาลรัฐกับสำนักทนายมันพึ่งพาไม่ได้ยังไงล่ะ! ฉันเคยเห็นสถิติอันหนึ่ง จำนวนการผ่าตัดในหนึ่งสัปดาห์ของศัลยแพทย์หลายคนในแคนาดาเทียบไม่ได้กับหมอในโรงพยาบาลระดับสามของจีนทำงานวันเดียวเลยด้วยซ้ำ!”
โหวจื่อเซวียนเริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว เขาถามเสียงสั่นว่า “หนักหนาขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ฉินสือโอวตบไหล่ของเขา แล้วบอกกับเขาว่า “นายไม่ต้องรีบร้อน ไปทำบัตรเพื่อมาทำงานที่นี่ก่อน นอกจากนี้ฉันก็ไม่ได้พูดจนเกินจริง แต่ไม่ว่ายังไงนายก็มีเงินอยู่หลายล้านดอลลาร์ มาถึงที่นี่แล้วก็นับว่าเป็นคนมีฐานะ ที่ฉันพูดน่ะหมายถึงคนธรรมดาทั่วไปกับคนด้อยโอกาสต่างหาก”
ถ้าพูดโดยรวมแล้ว โหวจื่อเซวียนก็ยังรู้สึกตื่นเต้นดีใจและรอคอยด้วยความคาดหวังอย่างมาก เขามาเที่ยวกับบริษัททัวร์เป็นระยะเวลายี่สิบวัน กว่าจะถึงวันกลับก็ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ วันที่เหลืออยู่เขาตัดสินใจไม่ไปกับกรุปทัวร์ แต่มาฝึกงานที่ร้านปืน เพื่อลองปรับตัวดูก่อน
เรื่องนี้ฉินสือโอวไม่ได้ยุ่งด้วย เขารับเอาปืนบาร์เรตต์มาดู นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับปืนไรเฟิลซุ่มยิงที่ดูดุดันขนาดนี้ ปืนเอดับเบิลยูพีของเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าปืนบาร์เรตต์ก็เป็นแค่น้องชายตัวเล็กๆ เท่านั้น กระสุนของปืนรุ่นนี้คือกระสุนขนาด .50 เท่ากับแคร์รอตหนึ่งหัวเลย!
…………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น