กระบี่จงมา 412.2-414.2

 บทที่ 412.2 ข้าขอคิดอีกหน่อย

 

เฉินผิงอันเดินกลับมาที่เรือนของชุยตงซาน


จูเหลี่ยนทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว นอกจากกลิ่นเลือดจางๆ ที่โชยออกมาจากร่างแล้ว ใบหน้าจูเหลี่ยนก็ยังคงมีรอยยิ้มแต้มบางๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เขานั่งอยู่บนขั้นบันได กำลังเล่าให้เด็กแก่นแก้วสองคนอย่างหลี่ไหวกับเผยเฉียนฟังว่าศึกใหญ่เมื่อครู่นี้น่าประหวั่นพรั่นพรึง และเขาต่อสู้อย่างห้าวเหิมแค่ไหน


หลินโส่วอีพยายามทำจิตวิญญาณและลมปราณให้สงบนิ่งมั่นคงอยู่ตลอดเวลา นี่ค่อนข้างเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขา เพียงแต่ว่าการเข้าออกแม่น้ำแห่งกาลเวลาสองสามครั้ง สำหรับผู้ฝึกตนทุกคนแล้ว ขอแค่ไม่ทิ้งต้นตอโรคร้ายเอาไว้ก็ล้วนถือว่าได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังช่วยในการฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองในอนาคตอีกด้วย


เซี่ยเซี่ยสีหน้าซีดขาว ได้รับบาดเจ็บไม่เบา ที่มากกว่านั้นคือจิตวิญญาณที่กระเด้งกระดอนขึ้นลงไปตามฟ้าดินขนาดเล็กและแม่น้ำแห่งกาลเวลา แต่นางกลับไม่ได้นั่งรักษาบาดแผลอยู่บนระเบียงไม้ไผ่มรกต แต่มานั่งอยู่ห่างจากเผยเฉียนไม่ไกล สายตาคอยเหลือบมองไปทางประตูของเรือนเล็กอยู่เป็นระยะ


สือโหรวถูกอวี๋ลู่แงะออกมาจากพื้นที่ปริแตก นอนราบอยู่บนระเบียง นางฟื้นคืนสติแล้ว เพียงแต่ว่าในท้องมีกระบี่บินหลีหว่อของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง ‘อาศัย’ อยู่ เวลานี้มันกำลังพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ทำให้หน้าท้องของนางเจ็บปวดเหมือนถูกบีบเค้น ได้แต่รอคอยให้ชุยตงานกลับมาช่วยนางออกไปจากห้วงมรรณพแห่งความทุกข์ทรมานนี้


หลี่เป่าผิงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกาย ‘ตู้เม่า’ ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “เผยเฉียนบอกว่าข้าควรเรียกเจ้าว่าพี่หญิงสือโหรว ทำไมล่ะ?”


สือโหรวกำลังจะพูด หลี่เป่าผิงกลับพูดขึ้นอย่างคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นดีเสียก่อน “รอให้กระบี่บินในท้องของเจ้าวิ่งออกมาก่อนแล้วพวกเราค่อยคุยกันดีกว่า”


สือโหรวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน


อวี๋ลู่กำลังถือไม้กวาดปัดกวาดลานบ้าน มือข้างที่ได้รับบาดเจ็บของเขาก็ทำแผลเรียบร้อยแล้วเช่นกัน


เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก


ตอนที่มาถึงก็เห็นว่ากวางขาวที่เป็นของจ้าวซื่ออาจารย์ผู้เฒ่าถูกคนที่อยู่เบื้องหลังร่ายเวทลับใส่จึงยังคงนอนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น


เฉินผิงอันไม่กล้าขยับมันส่งเดช ได้แต่รอให้ชุยตงซานมาจัดการ


เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายอวี๋ลู่ ยกมือขึ้น เป็นมือข้างที่เลือดเปรอะเลอะอาบมือเพราะก่อนหน้านี้จับด้ามกระบี่ของเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลัง เขาทายาสมุนไพรห้ามเลือดที่เก็บมาจากป่าเขาและยากำเนิดเนื้อของตระกูลเซียนบนภูเขา ทำแผลให้ตัวเองอย่างเคยชินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลานี้กำลังยกมือข้างนั้นโบกให้อวี๋ลู่ ยิ้มกล่าวว่า “พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก?”


อวี๋ลู่ยิ้มถาม “เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างไร?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “พูดออกไปแล้วก็น่าอาย อย่าให้ข้าเล่าดีกว่า”


เฉินผิงอันหันไปมองพวกหลี่เป่าผิงและเผยเฉียน “เล่นของพวกเจ้าต่อไปเถอะ น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แต่ตอนนี้พวกเจ้ายังต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราว อาศัยอยู่บ้านคนอื่น จำไว้ว่าอย่าทำตัวเป็นกันเองเกินไปนัก”


หลี่ไหวกล่าว “เฉินผิงอัน เจ้าพูดอะไรอย่างนั้น ชุยตงซานสนิทกับข้ามาก เพื่อนของข้าหลี่ไหวก็คือเพื่อนของเจ้าเฉินผิงอัน เพื่อนของเจ้าก็คือเพื่อนของเผยเฉียน ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนกัน ต้องทำตัวเป็นกันเองสิถึงจะถูก”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหตุผลบิดเบี้ยวของเจ้า เอาไปไว้พูดกับคนอื่นเถอะ”


หลี่ไหวหันขวับไปพูดกับเผยเฉียน “เผยเฉียน เจ้าคิดว่าเหตุผลของข้ามีเหตุผลหรือไม่?”


เผยเฉียนกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “อาจารย์พูดถูกแล้ว เหตุผลบิดเบี้ยว!”


หลี่ไหวเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก “เผยเฉียน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้ คุณธรรมในยุทธภพล่ะ พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะออกไปท่องยุทธภพ ขุดหาสมบัติไปทั่วสารทิศด้วยกัน? นี่พวกเรายังไม่ทันเริ่มท่องยุทธภพไปหาเงินก้อนใหญ่ใส่กระเป๋าก็จะวงแตกแล้วหรือ?”


เผยเฉียนหัวเราะร่า “กินข้าวแยกวงแล้ว หลังจากนั้นพวกเราค่อยมารวมกลุ่มกันใหม่”


หลี่ไหวลูบคลำปลายคาง “ฟังเหมือนจะมีเหตุผลอยู่มาก”


เฉินผิงอันเดินไปนั่งลงข้างกายหลินโส่วอี ถามเบาๆ ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”


หลินโส่วอีถอนหายใจ พูดเย้ยหยันตัวเอง “เทพเซียนตีกัน มดตัวน้อยก็เดือดร้อน”


เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก


หลินโส่วอียิ้มบางๆ “เดี๋ยวถ้าชุยตงซานกลับมา เจ้าช่วยบอกกับเขาทีว่า วันหน้าข้าจะมาที่นี่บ่อยๆ จำไว้ว่าเลือกใช้คำดีๆ หน่อย เอาให้ฟังดูเหมือนเป็นความต้องการของเจ้า ชุยตงซานไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของอาจารย์ ข้าจะได้มาที่นี่ได้”


เฉินผิงอันข่มกลั้นเอาไว้ ถึงอย่างไรเซี่ยเซี่ยก็ยังอยู่ตรงนี้ เขาจึงไม่ได้บอกความจริงว่าเป็นชุยตงซานที่เชื้อเชิญให้หลินโส่วอีมาฝึกตนที่นี่ เพียงพูดว่า “เจ้าพูดเองก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”


หลินโส่วอีกดเสียงให้เบาลง “ติดค้างน้ำใจของเขาชุยตงซาน ไม่ช้าก็เร็วต้องใช้คืน แถมต้องให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองด้วย ไม่สู้ติดค้างน้ำใจเจ้า ต้องใช้คืนเหมือนกัน แต่จะดีจะชั่วข้าก็ยังสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง”


เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “อย่างเจ้านี่เรียกว่ารังแกคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่งไหม?”


หลินโส่วอีส่ายหน้า “อย่างข้านี้เรียกว่ารังแกคนดี ไม่รังแกคนเลว”


เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอามาดื่มเหล้าข้าวหมักหวานหอมที่อยู่ข้างใน


หลินโส่วอีถาม “หอเก็บตำราของสำนักศึกษาไม่เลวเลย ข้าค่อนข้างคุ้นเคย หลังจากนี้ถ้าเจ้าอยากไปหาตำราที่นั่น ข้าช่วยนำทางให้ได้”


เฉินผิงอันกล่าว “คงไม่น่าจะไปหรอก รับเอาความรู้มากมายขนาดนั้นไม่ไหว”


หลินโส่วอีหัวเราะอย่างฉุนๆ “อย่างน้อยเจ้าก็ช่วยแสร้งทำเป็นพยักหน้าตอบรับ ให้ข้าได้คืนน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แก่เจ้าก่อนไม่ได้หรือไง เหตุใดถึงไม่เข้าใจหลักการใช้ชีวิตอยู่ในโลกบ้างเลย?”


เฉินผิงอันกระแอมไอ เช็ดมุมปากแล้วหันหน้ามาพูด “หลินโส่วอี เจ้าเข้ามาในสำนักศึกษาซานหยาปลอม แล้วก็เรียนตำราอริยะปราชญ์ปลอมมาหลายปีด้วยใช่ไหม?”


หลินโส่วอีหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง


เผยเฉียนใช้ศอกกระทุ้งหลี่ไหว ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ข้าสนิทกับหลินโส่วอีขนาดนี้เลยหรือ?”


หลี่ไหวไม่เงยหน้า เขากำลังง่วนอยู่กับการจัดท่าทางให้กับหุ่นไม้หลากสี ปากก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เปล่าสักหน่อย เฉินผิงอันสนิทกับข้าที่สุดอยู่คนเดียว กับคนอื่นๆ ล้วนไม่ค่อยสนิทสักเท่าไหร่”


หลี่เป่าผิงมาหยุดอยู่ด้านหลังหลี่ไหวเงียบๆ แล้วยกเท้าถีบหลี่ไหวหน้าคว่ำลงกับพื้น


หลี่ไหวลุกขึ้นนั่ง พูดหน้าตาบูดบึ้ง “หลี่เป่าผิง หากเจ้ายังทำแบบนี้อีก ข้าจะจับมือพาเผยเฉียนไปก่อตั้งพรรคเป็นของตัวเองแล้ว จะไม่ยอมรับผู้นำแห่งยุทธจักรอย่างเจ้าอีก!”


หลี่เป่าผิงเบ้ปาก ทำสีหน้าดูแคลน


ตอนนี้หลี่ไหวกับเผยเฉียนนั้น ฝ่ายแรกได้ตำแหน่งเจ้าประมุขน้อยแห่งหอพักสาขาย่อยภูเขาตงหัวภายใต้อำนาจการปกครองศูนย์บัญชาการเขตการปกครองหลงเฉวียน เพียงแต่ว่าเคยถูกไล่ออกจากตำแหน่งมาก่อน ภายหลังเฉินผิงอันมาเยือนสำนักศึกษา บวกกับที่หลี่ไหวดึงดันทำหน้าหนา รับประกันว่าคราวหน้าผลคะแนนการบ้านของตนจะไม่เป็นอันดับสุดท้ายอีกแล้ว หลี่เป่าผิงถึงได้แสดงความเมตตา ยอมคืนสถานะในยุทธจักรให้แก่หลี่ไหว


ส่วนเผยเฉียนนั้น หลี่เป่าผิงบอกว่าต้องแยกเรื่องส่วนตัวและส่วนรวมออกจากกันอย่างชัดเจน ประสบการณ์ของเผยเฉียนยังน้อยเกินไป ได้แต่เป็นลูกศิษย์ผู้ได้รับการบันทึกชื่อในนามของเจ้าประมุขน้อยแห่งหอพักในระดับล่างสุดเท่านั้น เผยเฉียนรู้สึกว่าแค่นี้ก็ดีมากแล้ว หลี่ไหวก็ยิ่งรู้สึกว่าดี มีตำแหน่งขุนนางสูงกว่าองค์หญิงที่ระหกระเหินอยู่ในหมู่ชาวบ้านอย่างเผยเฉียนหนึ่งระดับ เป็นเหตุให้หลิวกวานกับหม่าเหลียนสองคนต่างก็กลายเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อภายใต้การปกครองของหลี่เป่าผิงผู้นำแห่งยุทธจักรไปด้วย แต่เพื่อนร่วมห้องสองคนนี้ของหลี่ไหวคือปราชญ์ดื่มสุราที่ไม่ได้หวังเสพรสชาติของสุรา หลิวกวานจอมเจ้าเล่ห์มารวมกลุ่มเพราะสถานะเชื้อพระวงศ์อันสูงศักดิ์ขององค์หญิงอย่างเผยเฉียน ส่วนหม่าเหลียนที่มาจากตระกูลระดับชั้นสูงสุดของต้าสุยแค่เห็นหลี่เป่าผิงก็หน้าแดง แม้แต่จะพูดก็ยังพูดไม่เป็นคำ


ชุยตงซานเดินอาดๆ เข้ามาในลานบ้าน ในมือกระชากขาข้างหนึ่งของกวางขาวที่น่าสงสารตัวนั้นเอามาโยนลงกลางลานบ้านด้วย


ดูเหมือนว่าชุยตงซานจะช่วยคลายตราผนึกให้กับกวางขาวแล้ว มันจึงกลับคืนมาเป็นสัตว์เทพที่มีสติปัญญาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าจิงชี่เสินยังไม่ฟื้นกลับคืน ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงเล็กน้อย มันกลิ้งไถลอยู่ในลานบ้านช่วงระยะทางหนึ่ง ระหว่างนั้นก็ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดไปด้วย


ไม่มีภาพความงดงามของเสียงกวางร้องอันไพเราะอย่างที่บันทึกไว้ในตำราแม้แต่น้อย


หลี่ไหวเบิกตากว้าง สีหน้าเหลือเชื่อ “นี่ก็คือกวางขาวที่อยู่ข้างกายอาจารย์จ้าวท่านนั้น? ชุยตงซานเจ้าไปขโมยมาได้อย่างไร? ข้าวแยกวงของข้ากับเผยเฉียนคืนนี้จะให้กินเจ้านี่หรือ? ไม่ค่อยเหมาะกระมัง?”


เผยเฉียนเกือบจะน้ำลายไหล นางรีบยกมือเช็ดมุมปากแล้วหันไปขยิบตาให้หลี่ไหว


หลี่ไหวกระแอมอยู่สองสามที “กินเนื้อกวางย่างก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ข้ายังไม่เคยกินมาก่อนเลย”


หลี่ไหวหันไปตะโกนพูดกับเฉินผิงอันเสียงดัง “เฉินผิงอัน เจ้าพกน้ำมันกับเกลือมาด้วยใช่ไหม?!”


เฉินผิงอันด่ายิ้มๆ “กินเนื้อกวาง? เจ้าอยากกินไม้บรรทัดหรือไม้เรียวจากอาจารย์ของสำนักศึกษาทั้งปีบ้างหรือไม่?”


หลี่ไหวกะพริบตาปริบๆ “ชุยตงซานเป็นคนขโมย พ่อครัวผู้เฒ่าเป็นคนฆ่า เจ้าเฉินผิงอันเป็นคนย่าง ข้าก็แค่ห้ามความอยากกินไว้ไม่อยู่ แล้วยังถูกหลินโส่วอียุแยงอีก ก็เลยกินไปสองสามคำ นี่ก็ผิดด้วยหรือ?”


ชุยตงซานพลันร้องเอ๊ะขึ้นมา เขานั่งยองลงบนพื้น มองกวางขาวตัวนั้นถึงสังเกตเห็นว่ามันกำลังจ้องหลี่ไหวอยู่


หลี่ไหวก็สังเกตเห็นสถานการณ์นี้เช่นกัน เขารู้สึกว่าสายตาของกวางขาวเหมือนคนที่มีชีวิตเกินไปแล้ว จึงอดร้อนตัวขึ้นมาไม่ได้


กวางขาวโงนเงนลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเข้าหาหลี่ไหวช้าๆ


ทำเอาหลี่ไหวตกใจจนฉี่ราด เขาหันตัวกลับ ใช้ทั้งมือทั้งเท้าตะเกียกตะกายพุ่งไปที่ห้องหลักอย่างรวดเร็ว


กวางขาวกระโดดเบาๆ หนึ่งทีก็ไปอยู่บนระเบียงไม้ไผ่มรกต แล้วตามหลี่ไหวเข้าไปในห้อง


เฉินผิงอันมองชุยตงซานด้วยสายตาเคลือบแคลง


ชุยตงซานยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง นี่คือโชคดีขี้หมาที่เจ้าเด็กหลี่ไหวผู้นี้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด นั่งอยู่ในบ้านก็มีเรื่องดีๆ หล่นจากฟ้ามาใส่หัว กวางขาวที่มีสติปัญญาตัวนี้เกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับหลี่ไหว รอให้ต้าสุยเจอตัวจ้าวซื่อแล้ว ข้าค่อยพูดเรื่องนี้กับเจ้าหมอนั่นให้ชัดเจน เชื่อว่าหลังจากนี้สำนักศึกษาซานหยาต้องมีกวางขาวเพิ่มมาอีกตัวแน่นอน”


เฉินผิงอันคลึงขมับ


ไม่เสียแรงที่เป็นหลี่ไหว


ครู่หนึ่งต่อมาหลี่ไหวที่ขี่อยู่บนกวางขาวก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมาจากห้อง พูดโอ้อวดกับหลี่เป่าผิงและเผยเฉียนว่า “สง่างามน่าเกรงขามหรือไม่?”


หลี่เป่าผิงคร้านจะสนใจเขา เดินไปนั่งข้างกายอาจารย์อาน้อย


เผยเฉียนพยักหน้ารับ รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองเฉินผิงอัน พูดอย่างน่าสงสารว่า “อาจารย์ เมื่อไหร่ข้าถึงจะมีลาน้อยกับเขาสักตัวล่ะ?”


เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว ข้าจะช่วยดูให้เจ้าว่ามีลาตัวไหนที่เหมาะสมหรือไม่”


เผยเฉียนยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง


ชุยตงซานเดินมาหยุดอยู่ข้างกายสือโหรว สือโหรวลุกขึ้นมานั่งพิงผนังของระเบียงแล้ว เพียงแต่คิดจะลุกขึ้นยืนยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชุยตงซาน นางหวาดกลัวอย่างมาก ถึงขั้นไม่กล้าเงยหน้าสบตากับชุยตงซาน


ชุยตงซานนั่งยองลงแล้วขยับตัวหันแผ่นหลังเข้าหาเฉินผิงอันพอดี


ปากก็เอ่ยคำพูดปลอบใจ แต่กลับทำท่าทางบางอย่างที่ทำให้สือโหรวรู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย อีกทั้งยังเปิดปากบอกใครไม่ได้


สือโหรวค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าตัวเองขยับไม่ได้แล้ว นางได้แต่มองใบหน้าน่าสะพรึงกลัวที่ค่อยๆ ผุดรอยยิ้มเย็นชาของชุยตงซาน


โชคดีที่เฉินผิงอันพูดประโยคหนึ่งซึ่งเมื่อดังเข้าหูสือโหรวแล้วก็ไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ “เก็บกระบี่ก็เก็บกระบี่ อย่าเล่นตุกติกอะไร”


ชุยตงซานยู่หน้า ร้องเฮ้อหนึ่งที


เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ตรงนั้นดื่มเหล้าช้าๆ มองเรือนหลังเล็กที่ค่อนข้างแออัด เมื่อเทียบกับปีนั้นที่เดินทางมาขอศึกษาต่อในต้าสุย คราวนี้มีจูเหลี่ยนและเผยเฉียนเพิ่มขึ้นมา และยังมีสือโหรวอีกคน แต่ขาดมือกระบี่ที่สวมงอบห้อยดาบคนนั้น


เฉินผิงอันเก็บความคิดวุ่นวายทั้งหลายลง พลันหันไปมองแผ่นหลังของชุยตงซานแล้วเอ่ยว่า “ข้าขอคิดดูอีกสักหน่อย”


ชุยตงซานกำลังตั้งใจกำราบกระบี่บินหลีหว่อที่เริ่มหลบซ้ายหลบขวาอยู่ในคราบร่างเทพเซียน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินประโยคนี้

 

 

 


บทที่ 413 ออกจากเมืองและขึ้นเขา

 

เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นในสำนักศึกษาซานหยาย่อมไม่มีทางที่จะไม่ตรวจสอบอย่างละเอียด และต้นตอของหายนะก็คือจ้าวซื่อที่รองเจ้าขุนเขาบางท่านเชื้อเชิญให้มาสอนหนังสือ ดังนั้นพอเหมาเสี่ยวตงไปพูดคุยกับรองเจ้าขุนเขาซึ่งมีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนางของต้าสุยแล้ว สุดท้ายก็แยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ รองเจ้าขุนเขาท่านนั้นรู้สึกเหมาเสี่ยวตงกำลังกำจัดคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับตัวเอง จงใจสาดน้ำโคลนสกปรกมาใส่ตน จึงโยนภาระหน้าที่ทิ้ง บอกว่าจะไม่เป็นรองเจ้าขุนเขาแล้ว จะไปอยู่ในห้องหนังสือของตัวเอง ทางสำนักจะตั้งศาลเตี้ยลงโทษหรือเหมาเสี่ยวตงจะบอกให้ราชสำนักต้าสุยฆ่าล้างตระกูลของเขา เขาก็จะยอมรับ สุดท้ายโหวกเหวกเสียงดังว่าเจ้าเหมาเสี่ยวตงอย่าได้คิดจะใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น


เหมาเสี่ยวตงถูกตาแก่คร่ำครึผู้นั้นทำให้โมโหไม่น้อย ดังนั้นจึงปล่อยหมาออกไปกัดคน บอกให้ชุยตงซานจัดการ


ชุยตงซานอารมณ์ดีอย่างยิ่ง กระโดดโลดเต้นไปพูดคุยเปิดอกกับอีกฝ่าย ไม่ถึงครึ่งชั่วยามชุยตงซานก็เดินตุปัดตุเป๋มาขอความดีความชอบที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตง บอกว่ารองเจ้าขุนเขาคนนั้นไม่มีปัญหา จ้าวซื่อก็ไม่มีปัญหา นี่เป็นเพียงแค่หายนะที่มาเยือนโดยที่ใครไม่ทันตั้งตัวจริงๆ เหมาเสี่ยวตงไม่ค่อยวางใจนัก เขารู้สึกว่าสีหน้าของชุยตงซานเหมือนหนูที่แอบขโมยกินไก่น่องไก่ จำต้องเอ่ยเตือนไปคำหนึ่งว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของพวกหลี่เป่าผิง หากเจ้าชุยตงซานกล้าเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมไปเป็นของส่วนตัว ใช้อุบายต่ำช้าคิดทำร้ายคนอื่น…ไม่รอให้เหมาเสี่ยวตงพูดจบ ชุยตงซานก็ตบอกรับรองว่าเขาทำงานด้วยใจที่เที่ยงตรงเป็นกลางจริงๆ


เหมาเสี่ยวตงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


และเพียงไม่นานชุยตงซานก็เดินอาดๆ ออกมาจากสำนักศึกษา ใช้หนังหน้ากากที่เพิ่งปลดมาจากใบหน้าของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด บวกกับเวทอำพรางตาที่ไม่ธรรมดาอีกเล็กน้อยเดินเข้าไปในจุดพักม้าที่ต้าหลีสร้างขึ้นใหม่ในเมืองหลวงอย่างเปิดเผย ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ทูตของต้าหลีมาพักแรม


เหมาเสี่ยวตงลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังลงจากภูเขา แต่ไม่ได้แอบติดตามชุยตงซานไป


วัตถุดิบวิเศษที่เฉินผิงอันจะใช้ในการหล่อหลอมหัวใจบุ๋นสีทอง สองชิ้นสุดท้ายที่ขาดไปยังจำเป็นต้องอาศัยมิตรภาพส่วนตัวในการไปหามา


ทางศาลบุ๋นของเมืองหลวงต้าสุยก็ยังต้องไปเยือน


แต่ตอนนี้ต้องดูท่าทีของฮ่องเต้ต้าสุยเสียก่อนว่าจะจับกลุ่มคนที่เข้าร่วมการลอบสังหารอย่างไช่เฟิง เหมียวเริ่นขังคุกด้วยวิธีการที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เพื่อมอบคำอธิบายให้แก่สำนักศึกษาซานหยา หรือจะทำตัวเลอะเลือน คิดทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นไม่มีเรื่องเลย สำหรับเรื่องนี้เหมาเสี่ยวตงคิดอย่างเรียบง่าย หากราชสำนักต้าสุยจัดการอย่างคลุมเครือ ถ้าเช่นนั้นในเมื่อสำนักศึกษาสร้างอยู่บนภูเขาตงหัว สำนักศึกษาซานหยาจะยังคงทำการเปิดสอนดังเดิม เหมาเสี่ยวตงจะไม่มีทางใช้คำกล่าวว่าสำนักศึกษาดำรงอยู่รุ่งเรือง สำนักศึกษาทอดทิ้งตกต่ำไปข่มขู่สกุลเกาเกอหยางเด็ดขาด แต่เขาเหมาเสี่ยวตงก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่ไม่มีโทสะ ภายใต้เปลือกตาของฮ่องเต้อย่างเจ้า ข้าเหมาเสี่ยวตงถูกนักฆ่าห้าคนล้อมสังหาร แล้วยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดบุกเข้าไปฆ่าคนถึงในสำนักศึกษา เมืองหลวงแห่งนี้เป็นห้องส้วมผุพังที่ลมพัดเข้าได้จากแปดทิศหรืออย่างไร?


ขโมยขโจรนึกอยากจะเข้าก็เข้า นึกอยากจะออกก็ออกงั้นรึ?


ถ้าอย่างนั้นเหมาเสี่ยวตงก็ไม่ถือสาหากจะไปเยือนศาลบุ๋นและสถานที่อื่นๆ ที่มีโชคชะตาบุ๋นรวมตัวกัน แล้วกวาดเอาโชคชะตาบุ๋นของสถานที่เหล่านั้นมาโดยไม่เลือกวิธีการ ส่วนข้อที่ว่าเหมาเสี่ยวตงที่ขนย้ายสิ่งของไปแล้วจะยังทิ้งประโยคว่า ‘เหมาเสี่ยวตงเคยมาเยือนที่นี่’ ไว้บนผนังหรือไม่ ก็ต้องดูที่อารมณ์ของเขา ถึงอย่างไรสกุลเกาเกอหยางก็ทำตัวหน้าไม่อายก่อน


ชุยตงซานไม่ได้รั้งรออยู่ที่จุดพักม้านานนัก เพียงไม่นานเขาก็กลับมาถึงสำนักศึกษา


เฉินผิงอันกำลังศึกษาพิจารณาเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการ ‘ขอยืม’ ชะตาบุ๋นมาจากต้าสุยที่จำเป็นต้องวางแผนกันใหม่ หลินโส่วอีไปขอคำตอบไขปัญหายากในการฝึกตนจากต่งจิ้งผู้รอบรู้ เด็กๆ อย่างพวกหลี่เป่าผิงหลี่ไหวเริ่มเข้าเรียนกันต่อ เผยเฉียนถูกหลี่เป่าผิงลากให้ไปเรียนด้วยกัน บอกว่าอาจารย์ยอมอนุญาตให้เผยเฉียนไปนั่งเรียนด้วย ปากเผยเฉียนพูดขอบคุณพี่หญิงเป่าผิง แต่อันที่จริงในใจกลับทุกข์ระทม


จูเหลี่ยนไปเดินเล่นอยู่ในสำนักศึกษาเพียงลำพังต่ออีกครั้ง


ดังนั้นในเรือนพักตอนนี้จึงเหลือแค่เซี่ยเซี่ยกับสือโหรว


ตอนที่ชุยตงซานเดินยิ้มตาหยีกลับเข้ามาในเรือน เซี่ยเซี่ยกับสือโหรวต่างก็รู้ว่าท่าไม่ดี มีความรู้สึกว่าจะต้องเจอกับหายนะ


กระบี่บินหลีหว่อเล่มที่อยู่ในหน้าท้องของสือโหรวถูกชุยตงซานใช้เวทลับดึงออกไปจากคราบร่างเซียนแล้ว ตอนนั้นสือโหรวรู้สึกไม่ต่างจากสตรีให้กำเนิดบุตร เจ็บปวดทรมานอย่างยิ่ง นึกสงสัยว่าชุยตงซานจงใจทำเช่นนั้น เพียงแต่สือโหรวกลับไม่กล้าแสดงออก


ชุยตงซานสลัดรองเท้าหุ้มแข้งทิ้ง เดินขึ้นบันไดไปนอนอยู่บนระเบียง ปากก็พูดบ่นว่า “คนมีความสามารถต้องเหนื่อยยาก ลำบากคุณชายของเจ้าแล้วจริงๆ”


เซี่ยเซี่ยกับสือโหรวนั่งอยู่บนระเบียงห่างไปไม่ไกล ไม่กล้าหายใจเสียงดัง


ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง “พวกเจ้าไปเอาโถเก็บเม็ดหมากเมฆหลากสีสองใบและกระดานหมากมาสิ”


หัวใจเซี่ยเซี่ยหดรัดตัว สีหน้าซีดขาว ได้แต่ไปยกกระดานหมากและโถเครื่องเคลือบลายครามสองใบมาพร้อมกับสือโหรว


ชุยตงซานเปิดฝาโถแล้วคีบเม็ดหมากออกมาหนึ่งเม็ด เป่าลมใส่หนึ่งที เช็ดถูอย่างระมัดระวังแล้วพลันเบิกตากว้าง สองนิ้วคีบเม็ดหมากเมฆหลากสีที่ได้มาจากวิธีการหลอมใหญ่ ‘กลั่นเป็นหยด’ ของหอแก้วหลากสีนครจักรพรรดิขาวชูขึ้นสูง ภายใต้แสงแดดสาดส่อง มันสะท้อนประกายแสงเรืองรอง เขาใช้สองนิ้วบิดหมุนเบาๆ ไม่รู้ว่าทำไม บริเวณโดยรอบของเม็ดหมากเมฆหลากสีที่อยู่บนปลายนิ้วของชุยตงซานถึงมีไอหมอกแผ่อบอวล ไอน้ำลอยกรุ่น คล้ายก้อนเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาวที่สมชื่ออย่างแท้จริง


ชุยตงซานหันหน้ามาจ้องเซี่ยเซี่ย


ในใจเซี่ยเซี่ยประหวั่นพรั่นพรึง หรือว่าเม็ดหมากเมฆหลากสีนี้ถูกพวกหลี่ไหวเผยเฉียนกระทบกระแทกจนเกิดตำหนิ?


ชุยตงซานพลันหัวเราะร่าเสียงดัง “เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีนัก ช่วยเพิ่มหน้าตาให้แก่คุณชายไม่น้อย ไม่อย่างนั้นอาศัยฝีมือในการควบคุมใจกลางค่ายกลที่ห่วยแตกของเจ้าเซี่ยเซี่ยครั้งนี้ ข้าคงทนไม่ไหวขับไล่เจ้าออกจากบ้านไปแล้ว เลี้ยงดูมานานขนาดนี้ ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่ร้อยปียากจะพานพบของราชวงศ์สกุลหลู ผู้มีคุณสมบัติที่จะเป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอนอะไรนั่น จะดีกว่าหลินโส่วอีได้แค่ไหนกันเชียว? ข้าว่าเป็นแค่คนมีพรสวรรค์ธรรมดาสามัญนี่แหละ”


เซี่ยเซี่ยกล่าวอย่างขลาดๆ “คุณชายไม่โทษที่ข้าปล่อยให้พวกเผยเฉียนหลี่ไหวย่ำยีเม็ดหมากเมฆหลากสีหรอกหรือ?”


ชุยตงซานตบหน้าผากตัวเอง “เจ้านี่มันโง่จริงๆ แต่คนโง่ก็มีโชคของคนโง่”


หากเซี่ยเซี่ยแสดงออกถึงความตระหนี่ถี่เหนียว นั่นก็ไม่เท่ากับว่าเขาชุยตงซานอบรมสั่งสอนไม่เข้มงวด ชักนำนางไปในทางที่ดีไม่ได้หรอกหรือ? ถึงสุดท้ายแล้วอาจารย์ของตนจะตำหนิใคร?


สำหรับในใจของอาจารย์แล้ว เม็ดหมากเมฆหลากสีสองโถมีค่าสำคัญเท่ากับขนเส้นหนึ่งของหลี่เป่าผิง เผยเฉียนและหลี่ไหวหรือไม่?


ชุยตงซานอารมณ์ดีอย่างยิ่ง โยนเม็ดหมากเมฆหลากสีกลับเข้าไปในโถ เสียงกริ้งดังกังวานคล้ายจะไปสัมผัสโดนตราผนึกของเวทลับบางอย่าง โถใบนั้นจึงปรากฏภาพอันมหัศจรรย์ มีเมฆหลากสีลอยขึ้นมาเหนือโถเก็บเม็ดหมาก ในกลุ่มเมฆพอจะมองเห็นเค้าโครงร่างของนครจักรพรรดิขาวขนาดจิ๋วได้อย่างเลือนราง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสายรุ้งพาดผ่านท้องนภา กระเรียนเซียนสีขาวหิมะขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหลายตัวพากันส่งเสียงร้องแหลมยาวดังสะท้อนไปทั่วนภากาศ


สือโหรวที่มองอยู่ถึงกับจิตใจแกว่งส่าย ชุยตงซานผู้นี้ซุกซ่อนความลับไว้มากมายเพียงใดกันแน่?


ชุยตงซานคลี่ยิ้มจริงใจให้เซี่ยเซี่ยได้เห็นเป็นครั้งแรก เขากล่าวว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องนี้เจ้าทำได้ดี แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายอย่างข้าก็แบ่งแยกการลงโทษและการให้รางวัลอย่างชัดเจน ว่ามาเถอะ อยากได้อะไรเป็นรางวัล ขอแค่เจ้าพูดมาก็พอ”


เซี่ยเซี่ยมองพญามารชุดขาวที่เหมือนคนแปลกหน้าสำหรับนาง ความคิดนับร้อยตีกันให้วุ่น


ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที ลุกขึ้นยืน ยื่นนิ้วมาชี้เซี่ยเซี่ยแล้วเอ่ยสั่งสอนว่า “บุคคลยิ่งใหญ่พูดจาโอภาปราศรัยอย่างอ่อนโยนแค่ไม่กี่คำก็ทำให้คนมากมายซาบซึ้งในพระคุณ จดจำไว้ขึ้นใจ แบบนี้ดีจริงๆ หรือ?”


เซี่ยเซี่ยรู้สึกเหมือนตกสู่หลุมน้ำแข็ง


ชุยตงซานเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเซี่ยเซี่ย ฝ่ายหลังแขนขาแข็งทื่อ ชุยตงซานยื่นมือมาตบข้างแก้มของนาง แต่ไม่ได้ออกแรงมากนัก “ไม่เป็นไร เมื่อเทียบกับช่วงแรกแล้ว ถือว่าเจ้ามีพัฒนาการไปมาก แค่นี้ก็พอแล้ว”


ชุยตงซานยกมือขึ้น แบฝ่ามือออกมา กระบี่บินหลีหว่อที่ระดับขั้นไม่ธรรมดาเล่มนั้นหมุนคว้างอยู่บนฝ่ามือของเขาช้าๆ กระบี่บินทั้งเล่มเป็นสีแดงสด มีประกายไฟอันเป็นแก่นแท้บริสุทธิ์แวววาวล้อมวน


ชุยตงซานยิ้มกล่าว “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไม่มีเจ้าของเล่มนี้ ข้ามอบให้เจ้า จงตั้งใจฝึกตนให้ดี ไม่คาดหวังว่าจะหลอมมันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ยากเกินไป เจ้าแค่ต้องเก็บซ่อนมันไว้ในช่องโพรงลมปราณบางแห่ง สามารถเอามาใช้เป็นท่าไม้ตายที่เก็บไว้ก้นกรุ ถึงเวลานั้นแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่เวลารับมือกับศัตรู โอกาสชนะก็จะมีมากขึ้น อย่าทำให้คุณชายของเจ้าต้องขายหน้า อย่าเห็นว่าตอนนี้ขอบเขตของหลินโส่วอีไม่สูง นั่นเป็นเพราะต่งจิ้งจงใจกดขอบเขตของหลินโส่วอีเอาไว้ หากเจ้าไม่ตั้งใจให้มากหน่อย สักวันย่อมต้องถูกหลินโส่วอีไล่ตามมาทัน”


เซี่ยเซี่ยเห็นว่าชุยตงซานไม่เหมือนกำลังล้อเล่น จึงปรับปราณวิญญาณบังคับกระบี่บินหลีหว่อให้พุ่งมาที่มือของตัวเองอย่างระมัดระวัง


กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง


นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าทรัพย์สมบัติแทบทั้งหมดและแรงกายแรงใจเกือบทั้งชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดท่านหนึ่งล้วนมารวมอยู่ในวัตถุเล็กๆ ชิ้นนี้เกือบหมดแล้ว


หากเอามาหักเป็นเงินเทพเซียน อย่างน้อยก็มีค่าถึงหนึ่งร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืชหรือมากกว่านั้น!


ตอนที่ราชวงศ์สกุลหลูเจริญรุ่งเรืองสุดขีดและยังไม่ล่มสลาย ภาษีของแคว้นในหนึ่งปีได้สักกี่มากน้อยกันเชียว?


ชุยตงซานมองเซี่ยเซี่ยที่น้ำตานองหน้า เป็นเพราะบนใบหน้าสวมหน้ากากหนัง ใบหน้าของนางจึงเป็นใบหน้าดำเกรียมอัปลักษณ์


ชุยตงซานหุบสองขาเข้าด้วยกัน กระโดดเหยงถอยไปด้านหลัง สถบด่าเสียงดัง “หน้าตาทุเรศทุรังแบบนี้ยังจะร้องไห้อีก เจ้าคิดจะทำให้คุณชายของเจ้าอย่างข้าตกใจตายหรือไร?!”


เซี่ยเซี่ยอับอายสุดขีด รีบหันหน้าไปเช็ดน้ำตาทางอื่น


ชุยตงซานโน้มตัวลง งอนิ้วกระดิกเรียกสือโหรว “น้องสาว มานี่ พวกเรามาพูดคุยกันหน่อย ตลอดทางมานี้เจ้าปกป้องอาจารย์ของข้า ไม่มีคุณความชอบก็ถือว่าพอจะมีคุณความเหนื่อยยาก ครั้งนี้ยังช่วยข้าจับกระบี่บินหลีหว่อมาได้เล่มหนึ่ง ข้าต้องตอบแทนเจ้าดีๆ ซะแล้ว”


สือโหรวขนลุกขนชัน ส่ายหน้าอย่างแรง


ลางสังหรณ์บอกกับนางว่า หากเดินเข้าไปหาเขาจะเจอกับสถานการณ์ที่อยู่ไม่สู้ตาย


ชุยตงซานแสยะยิ้ม พลันบิดหมุนข้อมือ เห็นเพียงว่าตรงหน้าท้องของเซี่ยเซี่ยระเบิดบุปผาเลือด ตะปูกักมังกรตัวหนึ่งถูกชุยตงซานใช้วิธีการที่ป่าเถื่อนดึงออกมาจากช่องโพรงลมปราณ จากนั้นเขาก็คว้าจับความว่างเปล่า กระชากสือโหรวมาด้านหน้า แล้วตบเข้าที่หน้าผากของนาง ตอกตะปูกักมังกรตัวนั้นผลุบเข้าไปในหว่างคิ้วของตู้เม่า เข้าไปในแสงมืดมนท่ามกลางจิตวิญญาณของสือโหรว


เซี่ยเซี่ยนอนพังพาบอยู่กับพื้น เอามือกุมหน้าท้อง แม้ว่าจะเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า สีหน้าท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง แต่ในใจกลับปิติยินดี


ชุยตงซานงอห้านิ้วจับศีรษะสือโหรว ก้มหน้าลงมองสือโหรวที่จิตวิญญาณคร่ำครวญหวนไห้ไม่หยุด ทว่ากลับไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รสชาติเป็นอย่างไร?”


จิตวิญญาณของสือโหรวถูกชักดึง แม้แต่คราบร่างเซียนเหรินของตู้เม่าก็ยังเริ่มชักกระตุกอย่างรุนแรง


ชุยตงซานจ้องนิ่งไปที่ดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยแวววิงวอนร้องขอของสือโหรว ถามเบาๆ ว่า “ต้องให้ข้าบอกเจ้าหรือไม่ว่าควรทำอย่างไร?”


สติสัมปชัญญะของสือโหรวเริ่มเลือนราง หากชุยตงซานยังทำต่อ ไม่แน่วาจิตวิญญาณของนางอาจแหลกลาญ และบนโลกนี้ก็ไม่มีสือโหรวอยู่อีกต่อไป เมล็ดพันธ์สีทองแห่งสติปัญญาเสี้ยวสุดท้ายของสายเต๋าเมล็ดนั้น เกรงว่าคงแห้งเหี่ยวไปตาม ‘ผืนนาในหัวใจ’ ของสือโหรวและย่อยสลายอย่างสิ้นเชิงตามไปด้วย


ชุยตงซานแค่นเสียงหยันเบาๆ หนึ่งที ยื่นมือมากลางอากาศแล้วกดเบาๆ ร่างของสือโหรวก็กระแทกลงบนระเบียงไผ่มรกต “หากกล้าพูดออกไป จุดจบของเจ้าในวันหน้าจะอเนจอนาถกว่าตอนนี้เป็นพันเป็นหมื่นเท่า”


ร่างของสือโหรวที่อยู่ในระเบียงกระตุกเยือกๆ อยู่เป็นระยะ


เซี่ยเซี่ยที่อยู่ด้านข้างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามแม้แต่น้อย


ชุยตงซานเตะสือโหรวจนร่างของนางวาดวงโค้งร่วงเข้าไปในห้องหลัก จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับเซี่ยเซี่ย “เตรียมตัวรับแขก”


ไม่นานต่อมา หลี่ไหวและอาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งก็มาปรากฎตัวที่หน้าประตูเรือน ด้านหลังคือกวางขาวตัวนั้น


เขาก็คือจ้าวซื่อผู้รอบรู้ แต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้คือเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาส่วนตัว ลูกศิษย์ในสายของอริยะใหญ่ลู่แห่งสำนักศึกษาเอ๋อหูทักษินาตยทวีปตัวจริง


ชุยตงซานยืนเท้าเปล่าอยู่บนขั้นบันได กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “จ้าวซื่อ ครั้งนี้เจ้าออกจากบ้านคงไม่ได้ดูปฏิทินเหลืองสินะ? ไม่เพียงแต่ถูกคนตีสลบเอาถุงผ้าป่านคลุมหัว แม้แต่สมบัติประจำตัวที่มีชื่อเสียงในหมู่ปัญญาชนก็ยังทำหายไปด้วย”


จ้าวซื่อที่บนหน้าผากยังมีรอยบวมแดงยิ้มบางๆ “ได้มาครองคือความโชคดีของข้า สูญเสียไปคือโชคชะตาของข้า”


ชุยตงซานแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ทำไม แม้แต่กวางขาวตัวนี้ก็ยังตัดใจมอบให้หลี่ไหวได้จริงๆ หรือ?”


จ้าวซื่อพยักหน้ารับ “ไม่ว่าจะอย่างไร ครั้งนี้มีคนเอาข้ามาเป็นจุดเชื่อมโยงของการลอบฆ่า ก็เป็นเพราะข้าจ้าวซื่อบกพร่องต่อหน้าที่ เดิมทีก็ควรมอบของขวัญแสดงการขออภัย ในเมื่อกวางขาวถูกชะตากับหลี่ไหว ด้วยเหตุด้วยผล ข้าก็ย่อมไม่มีทางรั้งกวางขาวเอาไว้”


ชุยตงซานลากเสียงอ้อยาวๆ หนึ่งทีแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าใคร่รู้อย่างยิ่งว่า เจ้าถูกคนตีสลบแล้วเอาไปโยนทิ้งที่ไหน? แล้วทางการต้าสุยหาตัวเจ้าเจอได้อย่างไร?”


ตีคนไม่ตบหน้า ด่าคนไม่เปิดโปงข้อเสีย


แม้ว่าจ้าวซื่อจะอบรมบ่มเพาะตัวเองมาอย่างดีเยี่ยม ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้เป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาส่วนตัวที่ราชวงศ์จูอิ๋งให้ความเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด แต่ชุยตงซานพูดเรื่องไหนไม่พูด ดันมาพูดเอาเรื่องนี้ สีหน้าของเขาจึงไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าใดนัก


ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “หากผ่านหายนะครั้งใหญ่มาได้แล้วไม่ตายย่อมต้องมีโชคดีในภายหลัง จ้าวซื่อไม่เสียแรงที่เจ้าเป็นคนมีโชควาสนา”


หลี่ไหวรู้สึกทนฟังต่อไปไม่ไหว ถลึงตากล่าวว่า “ชุยตงซาน เจ้าพูดกับเจ้าขุนเขาผู้เฒ่าจ้าวแบบนี้ได้อย่างไร?! เรียกชื่อของเขาออกมาตรงๆ เช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะกลับไปฟ้องเฉินผิงอัน?”


ชุยตงซานหัวเราะอย่างฉุนๆ “หลี่ไหว มโนธรรมในใจเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือไร ใครเป็นคนช่วยให้เจ้าได้โชควาสนาครั้งนี้มาครอง? อีกอย่างเจ้าสนิทกับใครมากกว่ากันแน่ เข้าข้างคนอื่นมากกว่าคนกันเองงั้นหรือ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะบอกให้หลี่เป่าผิงถอดชื่อเจ้าออก?”


หลี่ไหวแอบขยิบตาให้ชุยตงซาน บอกเป็นนัยให้รู้ว่าตัวเองกลัวว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจะเปลี่ยนใจเอากวางขาวกลับไป เจ้าชุยตงซานรีบให้ความร่วมมือหน่อย


“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเจ้าขุนเขาจ้าวดื่มชา” ชุยตงซานเดินลงมาจากขั้นบันได เซี่ยเซี่ยรีบยกอุปกรณ์ชงชามาวางบนโต๊ะหิน


ชุยตงซานเงยหน้ามองสีท้องฟ้า


สวี่รั่วคงจะได้พบกับคนเบื้องหลังแล้วกระมัง


พูดคุยกันดี ทุกเรื่องก็ล้วนพูดง่าย พูดคุยกันไม่ดี รักษาเมืองหลวงต้าสุยไว้ได้ครึ่งหนึ่งก็ถือว่าบรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางสั่งสมบุญกุศลไว้มากแล้ว


เพียงแต่ว่าคุยกันดีหรือไม่ดีก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักศึกษาซานหยาสักเท่าไหร่


ตอนนี้ชุยตงซานไม่ใช่ชุยฉานอีกแล้ว


เขาต้องการดินแดนที่สงบ ต้องการให้ในใจมีดินแดนสุขาวดีอยู่แห่งหนึ่ง


……


ในขณะที่ชุยตงซานกับอาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวซื่อดื่มชากัน


ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งคุยกับคนผู้หนึ่งเสร็จแล้วก็ไปหาอาจารย์ฟ่านท่านนั้นเพื่อออกจากเมืองไปด้วยกัน


อาจารย์ฟ่านที่มองดูแล้วอายุยังน้อยถามด้วยรอยยิ้มว่า “คุยกันรู้เรื่องแล้วหรือ?”


ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “คุยกันได้พอสมควรแล้ว แค่ความสะดวกส่วนตัว ก็เลยไม่ค่อยจะสะใจเท่าไหร่”


อาจารย์ฟ่านถามอย่างประหลาดใจ “หมายความว่ายังไง?”


ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “บัญชีเลอะเลือนเก่าเก็บมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ไม่กล้าเอามาพูดให้ระคายหูอาจารย์ฟ่าน”


อาจารย์ฟ่านยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร


คำพูดสกปรก?


ต้องรู้ว่าเขาถูกด่ามานานหลายปีขนาดนี้ อีกทั้งคนที่ด่าเขาหากไม่ใช่อริยะลัทธิขงจื๊อ ก็ต้องเป็นบรรพบุรุษของสำนักอื่นในเมธีร้อยสำนัก หากเปลี่ยนมาเป็นคนปกติ ป่านนี้ก็คงถูกด่าจนตายไปแล้ว


ผู้เฒ่าเองก็คงตระหนักได้ถึงข้อนี้ จึงไม่ปิดบังอะไรอีก ยิ้มเล่าว่า “อาจารย์ฟ่านคงจะรู้กระมังว่าเจ้าเด็กสวี่รั่วมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนผู้นั้นมาโดยตลอด?”


อาจารย์ฟ่านพยักหน้ารับ “เคยได้ยินมาก่อน สวี่รั่วเลื่อมใสคนผู้นั้นมาก”


ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “แต่ข้าจะพูดต่อหน้าสวี่รั่วผู้นั้นว่าอาเหลียงไม่เห็นจะมีอะไรร้ายกาจตรงไหน ไม่ได้เก่งกาจเกินจริงอย่างที่โลกภายนอกเล่าลือกันเลยสักนิด!”


อาจารย์ฟ่านถามอย่างสงสัย “เหตุใดเจ้าถึงจะพูดอย่างนั้น?”


ดูเหมือนผู้เฒ่าจะนึกถึงวีรกรรมครั้งหนึ่งที่มีค่าในการนำมาคุยโวกับคนอื่นมากที่สุดในชีวิต เขาจึงพูดกลั้วหัวเราะอย่างฮึกเหิมและภาคภูมิใจ “ปีนั้นพวกเราสิบคนวางแผนล้อมสังหารเขา แต่ข้าก็ยังรอดมาได้ไม่ใช่หรือ?!”


อาจารย์ฟ่านอึ้งตะลึง ก่อนกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าจนคำพูดแล้ว”


……


นอกประตูตรงตีนภูเขาของสำนักศึกษาซานหยา


ชายหญิงสองคนที่ลักษณะเหมือนนายกับบ่าวมีท่าทางลังเลใจว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่


เขาอยากจะเข้าไปดู ไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นบ้านเกิดของตนแล้วจะดีกว่าหรือไม่ ส่วนนางไม่ค่อยอยากจะเข้าไปเท่าไหร่ บอกว่าสถานที่อย่างสำนักศึกษานี้ นางไม่ชอบยิ่งกว่าโรงเรียนเสียอีก


สุดท้ายจึงมีเพียงเขาคนเดียวที่ขึ้นเขาเข้าไปในสำนักศึกษา


ส่วนนางรออยู่ตรงหน้าประตูเพียงลำพัง


คนเฝ้าประตูแซ่เหลียงแสร้งทำเป็นหรี่ตางีบหลับ จงใจทำเป็นมองไม่เห็นคนทั้งสอง


ช่างเป็นปราณมังกรที่เข้มข้นยิ่งนัก


แต่บนร่างของหญิงสาวกลับมีปราณมังกรที่เข้มข้นยิ่งกว่า

 

 

 


บทที่ 414.1 หล่อหลอม

 

คนหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างทะเลสาบ มองออกว่าสกุลเกาเกอหยางทุ่มเทแรงกายแรงใจและทรัพย์สินไปเพื่อสำนักศึกษาแห่งนี้ไม่น้อย และสถานที่ตั้งแห่งเดิมของสำนักศึกษาซานหยาในต้าหลีก็กำลังจะกลายเป็นที่ตั้งศาลบุ๋นแห่งใหม่ประจำเมืองหลวงต้าหลี


คนหนุ่มหันหน้ากลับมาก็เห็นเงาร่างที่ทั้งคุ้นเคยและทั้งแปลกหน้า แปลกหน้าก็เพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ส่วนสูงหรือการแต่งกายของคนผู้นั้นล้วนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก และที่ยังรู้สึกคุ้นเคยก็เพราะดวงตาคู่นั้นของเขา ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ นับตั้งแต่ที่คนทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกัน คนหนึ่งคือบุตรนอกสมรสของขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาที่ตกเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ของคนทั้งเมือง อีกคนหนึ่งคือเด็กบ้านนอกโดดเดี่ยวยากจน ต่างคนต่างกลายมาเป็นซ่งมู่องค์ชายของต้าหลี ส่วนอีกคนหนึ่งก็กลายมาเป็นบัณฑิตที่เดินทางผ่านภูเขาและแม่น้ำนับพันนับหมื่นลี้ของสองทวีป? กลายมาเป็นจอมยุทธพเนจร? กลายมาเป็นมือกระบี่?


พบหน้ากันเฉินผิงอันก็พูดเข้าประเด็นทันที “ได้ยินเจ้าขุนเขาเหมาบอกว่าพวกเจ้ามาที่สำนักศึกษา ข้าก็เลยมาพบเจ้า”


ซ่งจี๋ซินมองประเมินเฉินผิงอันตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งรอบ ว่ากันว่าเจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนที่สะพายไว้ด้านหลังคือของขวัญที่ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าชดใช้ให้ ส่วนน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ห้อยอยู่ตรงเอวก็คือของรางวัลที่ได้มาจากการซื้อภูเขาใหญ่หลายลูกในปีนั้น คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เว่ยป้อทวยเทพขุนเขาเหนือตั้งใจเลือกสรรมาให้เฉินผิงอันโดยเฉพาะ ซ่งจี๋ซินหัวเราะร่า “ตอนที่พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกัน มักจะรู้สึกว่าพวกคนที่อยู่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่มีเงินมีอำนาจ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้มาย้อนนึกดู ยังคงเป็นคนจากตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาอย่างพวกเราต่างหากที่ได้ดิบได้ดีมากกว่า ตรอกซิ่งฮวาอาศัยหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่เป็นผู้ประคับประคอง ย้อนมามองตรอกหนีผิงของพวกเรา เจ้า ข้า จื้อกุย และยังมีเจ้าเด็กขี้มูกยืด ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกสิบกว่าปี คนนอกจะมองตรอกหนีผิงที่ตอนนั้นแม้แต่หมาก็ยังไม่อยากมาขี้ของพวกเราเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์หรือไม่?”


เฉินผิงอันกำลังจะขยับปากพูด


ซ่งจี๋ซินกลับโบกมือ “จะดีจะชั่วก็ฟังข้าพูดให้จบก่อน ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยไม่รู้จักพูดของเจ้าเฉินผิงอัน ข้ากลัวว่าการพบกันในต่างถิ่นที่หาได้ยากระหว่างพวกเราจะต้องแยกย้ายกันไปด้วยความไม่สบอารมณ์”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็เดินพลางคุยกันไปด้วย”


คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไปบนเส้นทางเล็กๆ ที่เงียบสงบริมทะเลสาบซึ่งสองข้างทางคือต้นหลิ่วและต้นหยาง


ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “เจ้าออกจากบ้านมาคราวนี้ เดินทางมาไกลมากจริงๆ แล้วก็นานมากด้วย เจ้าคงไม่รู้ว่าเวลานี้เมืองเล็กมีสภาพเป็นอย่างไรกระมัง? นับตั้งแต่ที่ชาวบ้านพอจะรู้ประวัติความเป็นมาของถ้ำสวรรค์หลีจูคร่าวๆ อีกทั้งยังเปิดประตูรับคนนอก ไม่ว่าจะเป็นคนมีเงินที่อยู่อาศัยบนถนนฝูลวี่ ตรอกเถาเย่ หรือพื้นที่ยากจนเต็มไปด้วยขี้ไก่ขี้หมาอย่างตรอกฉีหลง ตรอกซิ่งฮวา แต่ละบ้านล้วนพากันคว่ำกล่องเทตู้ ค้นหาสมบัติของบรรพบุรุษแล้วก็วัตถุทั้งหมดที่พอจะมีอายุออกมาอย่างระมัดระวัง ชามกระเบื้องที่เอาไว้กินข้าว รางหินที่เอาไว้ใส่อาหารเลี้ยงหมู อ่างใบใหญ่ที่ไว้ดองผัก กระจกทองแดงที่ปลดลงมาจากผนัง ล้วนให้ความสำคัญทั้งหมด แต่นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เพราะยังมีคนมากมายเริ่มขึ้นเขาลงห้วย โดยเฉพาะลำคลองหลงซวีที่มีคนแออัดอยู่เกือบครึ่งปีก็เพื่อไปเก็บก้อนหิน แม้แต่สุสานเทพเซียนและภูเขาเครื่องกระเบื้องก็ไม่เว้น ล้วนเต็มไปด้วยคนที่มาตามหาสมบัติ จากนั้นก็ไปขอให้คนที่ร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยวช่วยดูให้ แล้วก็มีคนไม่น้อยที่กลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืนจริงๆ เงินทองที่เมื่อก่อนเป็นของมีค่าจะนับเป็นอะไรได้ ตอนนี้หากคิดจะแข่งกันเรื่องทรัพย์สินก็ต้องนับกันแล้วว่าในกระเป๋ามีเงินเทพเซียนอยู่มากน้อยเท่าไหร่”


เฉินผิงอันถาม “ไร่นาล้วนรกร้างหมดแล้วกระมัง? เตาเผามังกรที่เผาเครื่องปั้นก็คงหยุดกิจการกันไปไม่น้อย?”


ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ “ก็ใช่น่ะสิ ใครจะยังสนใจรายได้น้อยนิดพวกนี้อีก”


เฉินผิงอันถอนหายใจ นี่ก็คือความรู้สึกของคนทั่วไป หากเปลี่ยนมาเป็นเขาเฉินผิงอันที่ไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ และตอนนี้ยังอยู่ในตรอกหนีผิงถ้ำสวรรค์หลีจู เป็นช่างปั้นธรรมดาคนหนึ่ง ยามขึ้นเขาลงห้วยก็มีแต่จะขยันหมั่นเพียรมากกว่าใคร สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คงจะเป็นข้อที่ว่าเขาไม่มีทางลืมสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ หากเป็นเจ้าของไร่นาก็คงตัดใจทิ้งไม่ใยดีพวกมันไม่ลง หากเป็นช่างปั้นจริงๆ ก็คงไม่มีทางทิ้งฝีมือของตัวเอง


ปีนั้นเพราะได้ลู่เฉินเอ่ยเตือน เฉินผิงอันฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเอามาแลกเป็นเงิน คืนนั้นจึงไปที่ลำคลองหลงซวี แบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ ค้นหาหินดีงูที่ปราณวิญญาณยังไม่สลายหายไปสิ้น นั่นเรียกว่าวิ่งวุ่นหัวหมุนและลืมกินลืมนอนอย่างแท้จริง


เพียงแต่ว่าครั้งนั้นเฉินผิงอันเก็บๆ พลิกๆ อยู่นาน แทบอยากจะค้นหาให้ทั่วลำคลองหลงซวี แน่นอนว่าได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาล แต่ในความเป็นจริงแล้วหม่าขู่เสวียนลงน้ำแค่ครั้งเดียวก็เจอหินดีงูที่มีค่ามากที่สุด ตอนที่หยิบออกมาจากน้ำ หินก้อนนั้นก็ปานประหนึ่งดวงจันทร์ที่ลอยขึ้นบนนภา


ซ่งจี๋ซินหยุดเดิน “เจ้าเกลียดข้าหรือไม่?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ถึงขั้นเกลียด ก็แค่อยากจะอยู่ห่างๆ เจ้าเท่านั้น”


ซ่งจี๋ซินกล่าวอย่างสงสัย “เหนียงเนียงท่านนั้นถึงขั้นส่งคนไปสังหารเจ้า เจ้าก็ยังไม่เกลียดข้าหรือ?”


เฉินผิงอันถาม “เจ้าเป็นคนโน้มน้าวให้นางส่งคนมาสังหารข้าหรือ?”


ซ่งจี๋ซินเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก คำว่าความผูกพันแม่ลูกนั้น หลังจากที่ข้าเปลี่ยนชื่อบนเอกสารของฝ่ายพลเรือนในพระองค์เป็นซ่งมู่ ความผูกพันที่ว่านี้ย่อมมีอยู่ แต่ความใกล้ชิดห่างเหินนั้นมีความต่าง ไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจ ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งจะรู้ว่าเรื่องราวในบ้านของกษัตริย์นั้น แม้จะค่อนข้างใหญ่ แต่ในด้านคุณลักษณะกลับไม่ได้แตกต่างจากของพวกเพื่อนบ้านเรือนเคียงในอดีตสักเท่าไหร่ ครอบครัวหนึ่งขอแค่มีบุตรชายบุตรสาวมากหน่อย พ่อแม่ก็มักจะต้องลำเอียงเสมอ”


เฉินผิงอันกล่าว “แค่นี้ก็หมดเรื่องแล้ว วันหน้าหากมีโอกาส ข้าค่อยไปหานาง ไม่จำเป็นต้องเกลียดแค้นเจ้าซ่งจี๋ซิน”


ซ่งจี๋ซินหักกิ่งหลิ่วมาถักทอ เฉินผิงอันพูดขึ้นเบาๆ ว่า “นางเองก็เหมือนกับราชครูชุยฉาน คือหนึ่งในคนไม่กี่คนที่มีอำนาจมากที่สุดของต้าหลี แต่ข้าไม่รู้สึกว่านี่คือทั้งหมดของต้าหลี ต้าหลีมีสำนักศึกษาซานหยาในอดีต มีความเจริญรุ่งเรืองคึกคักของเมืองหงจู๋ มีกองทหารลาดตระเวนประจำชายแดนที่เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้ข้าไปหลบหิมะและลมหนาวที่ปล่องส่งสัญญาณ มีสำมะโนครัวที่แค่ข้าส่งยื่นตอนอยู่แคว้นชิงหลวนก็ทำให้เถ้าแก่ยิ้มแย้มต้อนรับ หรือถึงขั้นยังมีสายลับนอกสถานการณ์ของศาลาคลื่นมรกตที่นางสร้างขึ้นเองกับมือซึ่งเต็มใจเสี่ยงอันตรายนำข่าวมาส่งให้ข้าเพื่อต้าหลี ข้ารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ก็คือราชวงศ์ต้าหลี”


เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับซ่งจี๋ซินต่อว่า “สิ่งเหล่านี้ข้าล้วนรับรู้ วันหน้าหากยังต้องตัดสินใจปล่อยหมัดสังหารนาง ข้าสามารถทำอย่างว่องไว บุญคุณความแค้นของคนสองคน ปมที่ผูกติดระหว่างคนสองคน พยายามอย่าให้เกี่ยวพันไปถึงชาวบ้านคนอื่นๆ ของต้าหลีจะดีกว่า”


ซ่งจี๋ซินยิ้ม “นางไม่คิดแบบนี้แน่”


เฉินผิงอันเองก็คลี่ยิ้ม ถามกลับว่า “ข้ามีเหตุผลแล้ว แม้แต่กฎเกณฑ์ของลัทธิขงจื๊อก็ไม่สามารถหาข้อตำหนิของข้าได้ ข้ายังต้องสนด้วยหรือว่านางจะคิดอย่างไร?”


ซ่งจี๋ซินมองประเมินเฉินผิงอันอีกครั้ง “เจ้าอ่านตำราของสำนักนิติธรรมบางเล่มมาใช่ไหม?”


เฉินผิงอันยังคงถามกลับ “หนังสือที่อาจารย์ฉีทิ้งไว้ให้เจ้า มีบางส่วนที่เจ้าทิ้งไว้ในบ้านที่เมืองเล็ก บางส่วนก็นำไปด้วย หนังสือที่นำไปด้วย เจ้าได้อ่านหรือไม่?”


ซ่งจี๋ซินถักกำไลกิ่งหลิ่วเล็กๆ เอามาคล้องไว้ที่ข้อมือแล้วแกว่งเบาๆ “เจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วย?”


เฉินผิงอันเองก็ไม่อยากจะคุยเรื่องพวกนี้ต่อ จึงหันมาถามคำถามที่ไม่เกี่ยวกับบุญคุณความแค้นส่วนตัวส่วนรวมแทน “เจ้ามาทำอะไรที่ต้าสุย?”


ซ่งจี๋ซินสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “ปีนั้นเกาเซวียนวิ่งไปหาโชควาสนาในถิ่นของพวกเรา เคยมีคนพูดว่าข้าสู้เขาไม่ได้ ข้าก็เลยจะมาเที่ยวเล่นที่นี่ดูสักหน่อย”


เฉินผิงอันหัวเราะ “จะเหมือนกันได้ยังไง? เจ้ามาต้าสุยก็เพื่อโอ้อวดบารมี อย่างเกาเซวียนต่างหากที่ถึงจะเรียกว่าเขาไปในถิ่นของแคว้นศัตรูอย่างแท้จริง อีกอย่างตอนนี้เกาเซวียนก็ไปเป็นตัวประกันอยู่ที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นแล้ว เจ้าก็จะเลียนแบบเขาด้วยหรือไง?”


ซ่งจี๋ซินหลุดหัวเราะพรืด “เฉินผิงอัน ตอนนี้เจ้าเก่งกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย รู้จักพูดจาประหลาดๆ แบบนี้แล้ว หรือว่าเจ้าเรียนรู้มาจากข้า?”


เฉินผิงอันกล่าว “เอาทองแปะหน้าตัวเองให้น้อยๆ หน่อยเถอะ”


ซ่งจี๋ซินทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วโยนไปในทะเลสาบ “มีเรื่องหนึ่งจะขอร้องเจ้า ได้ไหม?”


เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่รับปาก”


ซ่งจี๋ซินเงยหน้าขึ้นพูดด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “ทำไมล่ะ? เฉินผิงอัน เจ้าลองถามใจตัวเองดูเถอะ นอกจากครั้งที่ข้าหลอกให้เจ้าไปเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรแล้ว เรื่องอื่นๆ เคยมีครั้งไหนที่ข้าทำผิดต่อเจ้าไหม?”


เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้า แล้วข้าต้องชอบขี้หน้าเจ้าด้วยหรือ? ไยต้องแสร้งทำเป็นเพื่อนกันเล่า?”


ซ่งจี๋ซินนึกไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ เขากุมท้องหัวเราะก๊าก “เฉินผิงอันเอ๋ยเฉินผิงอัน เจ้าในเวลานี้เมื่อเทียบกับตอไม้นิสัยคร่ำครึในสมัยก่อน มองแล้วสบายตากว่ากันเยอะเลย หากเจ้ามีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่แรก ปีนั้นข้าย่อมต้องยอมเป็นเพื่อนเจ้าด้วยความจริงใจแน่นอน”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ซ่งจี๋ซิน อันที่จริงเจ้าเองก็รู้ดีว่าพวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันไม่ได้ แค่ไม่กลายมาเป็นศัตรูกัน เจ้าและข้าก็ควรจะพอใจได้แล้ว”


ซ่งจี๋ซินปลดกำไลกิ่งหลิ่วออกมา ขว้างไปยังทะเลสาบ จากนั้นก็หยิบก้อนหินขึ้นมา พยายามจะโยนมันลงตรงกลางกำไลกิ่งหลิ่ว “ตอนนี้สภาพการณ์ของศาลเทพภูเขาบนภูเขาลั่วพั่วไม่ใคร่จะดี เว่ยป้อค่อนข้างจะ…อคติต่อองค์เทพภูเขาที่อยู่บนภูเขาของเจ้ามาก ก่อนหน้านี้ข้าก็อยากจะขอให้เจ้าช่วยพูดกับเว่ยป้อสักหน่อย ไม่คาดหวังให้เว่ยป้อช่วยยกระดับให้กับศาลเทพภูเขาแห่งนั้น ขอแค่ว่าวันใดวันหนึ่งจะไม่เปลี่ยนเทวรูปที่อยู่ในศาลเทพภูเขาอย่างกะทันหันก็พอ”


เฉินผิงอันขยับปากจะพูด แต่ไม่ได้พูด


เทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ก็คือซ่งอวี้จางอดีตผู้ตรวจการงานเตาเผา


ซ่งจี๋ซินมองกำไลกิ่งหลิ่วที่เริ่มลอยห่างไปไกล พูดเสียงเบาว่า “อันที่จริงข้ารู้ดีว่าเจ้าอยากพูดอะไร การที่เขาถูกรื้อสะพานหลังข้ามแม่นำ ถูกหวังอี้ฝู่แม่ทัพสกุลหลูผู้ปราชัยบั่นหัว นอกจากเพื่อปกปิดเรื่องวงในน่าอับอายของเชื้อพระวงศ์ที่เกี่ยวกับสะพานแบบคานแห่งนั้นแล้ว อันที่จริงยังมีใจเห็นแก่ตัวของเสด็จพ่อด้วย เพราะคงไม่มีใครยินดีให้ในใจลูกชายแท้ๆ ของตนมี ‘บิดาที่ได้มาเปล่า’ หรอกกระมัง? หวังอี้ฝู่มาพูดคุยกับข้าเป็นการส่วนตัว บอกว่าก่อนเขาจะตายได้ขอร้องให้หวังอี้ฝู่นำประโยคหนึ่งมาบอกแก่ข้า เขาบอกว่าผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ อยากได้กลอนคู่ที่ข้าเขียนให้เขามาโดยตลอด เจ้าว่าขุนนางที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเช่นนี้ เขาไม่ตาย แล้วใครจะตาย?”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่า “เดิมทีข้าก็ต้องกลับไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนอยู่แล้ว เรื่องนี้ข้าจะพูดกับเว่ยป้อเอง แต่ข้าไม่มีทางขอร้องให้เว่ยป้อทำอะไร แล้วก็ไม่มีความสามารถที่จะไปชี้ไม้ชี้มือสั่งองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือด้วย ข้อนี้ข้าสามารถบอกเจ้าได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้เลย และข้าก็ยังบอกเจ้าได้อีกว่า ในอนาคตมีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่ซ่งอวี้จางจะยืนอยู่ข้างเดียวกับแม่ของเจ้า มีฐานะเป็นเทพภูเขาแห่งภูเขาลั่วพั่ว แต่กลับคิดจะเล่นงานข้า ถึงเวลานั้นขอแค่ข้าทำได้ย่อมต้องทุบร่างทองของซ่งอวี้จางให้แหลกจนไม่มีโอกาสจะนำกลับมาประกอบเป็นเทวรูปใหม่อีกครั้ง และจะลงมืออย่างไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย”


ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “ทำไมถึงได้รู้สึกว่าบัญชีสองครั้งนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณเจ้าแล้ว?”


เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “ข้าก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้เจ้าซ่งจี๋ซินจะขอบคุณข้า”


ซ่งจี๋ซินร้องโอ้โหหนึ่งทีแล้วจุ๊ปากรัวๆ ลุกขึ้นยืนตบมือ “เฉินผิงอัน คำพูดและการกระทำของเจ้าในเวลานี้เหมือนผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้วจริงๆ มีจิตใจเหมือนกับเทพเซียนอย่างมาก”


เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดของอีกฝ่าย


—–

 

 

 


บทที่ 414.2 หล่อหลอม

 

ซ่งจี๋ซินถามด้วยรอยยิ้ม “ได้พบเจ้าและได้ขอร้องตามที่ต้องการไปแล้ว ข้าก็กลับไปได้ด้วยความสบายใจแล้ว ใช่แล้ว จื้อกุยรอข้าอยู่ที่หน้าประตูสำนักตรงตีนเขา เจ้าจะไปพบนางพร้อมกับข้าหรือไม่?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ล่ะ”


ซ่งจี๋ซินกล่าวอีก “ตอนนี้หม่าขู่เสวียนที่อยู่ในภูเขาเจินอู่ฝ่าทะลุด่านได้หลังจากปิดด่าน เรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตนี้ สำหรับเขาแล้วไม่ต่างจากการที่มนุษย์ธรรมดากินของผิดสำแดงแล้วต้องถ่ายท้อง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงถูกเรียกขานว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะคนที่สองแล้ว เจ้าว่าตรอกซิ่งฮวาอาศัยเขาคนเดียว ในด้านชื่อเสียงก็สามารถงัดข้อกับคนทั้งตรอกหนีผิงอย่างพวกเราได้แล้ว มันน่าโมโหหรือไม่?”


เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบ


ซ่งจี๋ซินยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว งอนิ้วหนึ่งลงไปแล้วก็กล่าวว่า “เดิมทีข้าอยากจะบอกเจ้าสองเรื่องเพื่อเป็นการตอบแทนเจ้าเรื่องของศาลเทพภูเขาลั่วพั่วแห่งนั้น แต่ตอนนี้ข้าพบว่าเห็นหน้าเจ้าแล้วก็ยังไม่ถูกชะตาอยู่ดี งั้นก็พูดแค่เรื่องเดียวแล้วกัน ตอนนี้เมื่อสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ดูเหมือนว่าสกุลซ่งต้าหลีของพวกเรามีแววว่าจะถูกคว่ำเรือ กองกำลังของแคว้นอื่นที่มาซื้อภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนไว้ แล้วสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นบนภูเขาเป็นจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยเห็นดีในตัวพวกเราสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะสำนักที่อยู่ใกล้เคียงกับภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่ต่างก็มีความคิดว่าจะขายภูเขาออกไปในราคาถูก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ในอนาคตถูกใครกุมจุดอ่อน มีการค้าอยู่ครั้งสองครั้งที่ทำกันสำเร็จอย่างลับๆ ไปแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือหร่วนฉงที่ซื้อภูเขารวดเดียวสามลูก ซึ่งภูเขาหนึ่งในนั้นก็คือภูเขาหนิวเจี่ยวที่ร้านผ้าห่อบุญเป็นคนลงมือสร้าง หากเจ้ารีบกลับไปให้เร็วขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะแย่งชิงมาได้สักลูกสองลูก เพราะการซื้อภูเขาในตอนนี้ขอแค่มีเงินฝนธัญพืชก็พอแล้ว”


เฉินผิงอันถาม “นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”


ซ่งจี๋ซินเหลือกตาใส่ “ระหว่างที่เดินทางมาข้าเพิ่งได้ยินสวี่รั่วพูดถึง เกิดขึ้นเมื่อประมาณสิบวันก่อน ก่อนหน้านั้นมีใครบ้างที่ตัดใจปล่อยให้ภูเขาเปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนอื่นได้ลง? แต่ละคนแทบอยากจะย้ายทั้งสำนักมาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยซ้ำ ว่ากันว่าหลายปีมานี้ภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้อครึกครื้นจนหาความสงบไม่ได้ มีแต่พวกประจบสอพลอทั้งนั้น ดีที่เว่ยป้อไม่เคยปฏิเสธคนที่มาเยือน เต็มใจต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ป่านนี้คงสะอิดสะเอียนจนอาเจียนออกมาแล้ว”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะลองดู”


ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “ไม่ต้องไปส่งข้า”


เฉินผิงอันตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ไปส่ง”


ซ่งจี๋ซินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เรื่องนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังน่าเบื่ออยู่เหมือนเดิม”


ซ่งจี๋ซินเดินห่างมาจากทะเลสาบ มุ่งหน้าตรงไปยังตีนเขา


เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม มองส่งคนผู้นี้เดินจากไป


ซ่งจี๋ซินมาถึงหน้าประตูสำนักศึกษาแล้วก็ยิ้มพูดกับจื้อกุย “กลับกันเถอะ”


จื้อกุยถาม “คุณชายอารมณ์ไม่เลวเลย?”


ซ่งจี๋ซินหัวเราะร่า “ได้พบเฉินผิงอัน เห็นว่าเขาได้ดิบได้ดีไม่น้อย คุณชายก็ดีใจเป็นพิเศษ”


จื้อกุยร้องอ้อหนึ่งที


ซ่งจี๋ซินหันกลับไปมองสำนักศึกษาแวบหนึ่งแล้วถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ไม่อยากไปเดินเล่นบ้างจริงๆ หรือ? หากอยากไป คุณชายสามารถไปเป็นเพื่อนเจ้าได้”


จื้อกุยส่ายหน้า “ไม่อยาก”


ซ่งจี๋ซินทอดถอนใจ “เจ้าว่าราชครูทั้งสองจะพากันไปยืนอยู่ข้างน้องชายของข้าหรือไม่?”


จื้อกุยปิดปากหัวเราะ “คุณชาย ท่านถามข้ามาหลายรอบแล้วนะ”


ซ่งจี๋ซินกล่าวอย่างจนใจ “ก็คุณชายไม่มั่นใจนี่นา ท่านอาก็ไม่ยอมมอบความมั่นใจนี้ให้ข้า ใต้เท้าราชครูทั้งสองท่านก็ทำตัวลึกลับยากจะหยั่งขนาดนั้น คุณชายอยู่ในเมืองไม่มีรากฐานอะไรเลย เทียบกับปีนั้นตอนที่เฉินผิงอันยังอยู่ในตรอกหนีผิงก็เรียกว่าตัวเปล่าเล่าเปลือยกว่าด้วยซ้ำ จะดีจะชั่วเขาก็ยังมีบ้านบรรพบุรุษอยู่หนึ่งหลัง แต่คุณชายไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ บนภูเขาล่างภูเขา นอกจากพวกคนที่เชื่อมั่นในการเดิมพันครั้งใหญ่แล้ว มีใครบ้างที่เห็นดีในตัวของคุณชายเจ้าจริงๆ?”


จื้อกุยเอ่ยปลอบใจ “ก็ยังมีบ่าวอยู่ข้างกายคุณชายไงล่ะ”


ซ่งจี๋ซินหัวเราะ ชูแขนขึ้นสูง แบฝ่ามือออก หันหลังมือให้กับแผ่นฟ้า หันฝ่ามือเข้าหาตัวเอง “ถึงอย่างไรคุณชายก็เป็นแค่หุ่นเชิด พวกเขาอยากจะจับวางอย่างไรก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ขนาดเฉินผิงอันยังมีวันนี้ได้ ทำไมข้าถึงจะมีพรุ่งนี้บ้างไม่ได้?”


จื้อกุยยังคงแต่งกายเป็นสาวใช้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่อยู่ตรอกหนีผิง เครื่องประดับที่สวมใส่แค่เพิ่มความหรูหรามากขึ้นเท่านั้น เรือนกายของนางยิ่งสะโอดสะอง นางยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเขา ดูเหมือนว่าจะค่อนข้าง…น่าขายหน้า?”


ซ่งจี๋ซินหุบมือกลับมา กำหมัดทุบฝ่ามือ หันหน้ามาเอ่ยชื่นชมว่า “คำปลอบใจประโยคนี้ ข้าชอบฟัง!”


……


เมืองหลวงต้าสุย ในขณะที่งานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยนกำลังจะจัดขึ้น บรรยากาศในช่วงที่ผ่านมานี้ค่อนข้างแปลกประหลาด


ไช่เฟิงขอลาหยุดกับกองโหราศาสตร์ เพียงแต่ว่าที่จวนตระกูลไช่กลับไม่มีเงาร่างของไช่เฟิง


จางไต้จ้วงหยวนคนใหม่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มาปรากฏตัวในสำนักฮั่นหลินที่สูงสง่าที่สุด และเป็นสถานที่ที่ปลูกฝังอบรมเหล่าผู้มีความรู้มากมายมานานมากแล้ว


ว่ากันว่าซ่งซ่านรองผู้บัญชาการกองทหารราบยังแวะไปเยี่ยมเยือนที่ว่าการกรมอาญามารอบหนึ่ง


ข่าวลือเล็กๆ มากมายแพร่สะพัดไปทั่ววงการขุนนางและหมู่ชาวบ้านของเมืองหลวง


เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาในนามอย่างเจ้ากรมพิธีการแห่งต้าสุยผู้นั้น มีวันหนึ่งมาเยือนสำนักศึกษากลางดึก ขอเข้าพบรองเจ้าขุนเขาเหมาเสี่ยวตงเพียงลำพัง สถานที่ที่พบปะไม่ใช่ห้องหนังสือ แต่เป็นโถงนักปราชญ์ที่ตั้งบูชาอริยะลัทธิขงจื๊อสามท่าน


ครึ่งคืนหลังของคืนนั้น เหมาเสี่ยวตงไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด แค่เรียกให้เฉินผิงอันออกจากสำนักศึกษาไปเยือนศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงต้าสุย เมื่อเทียบกับการเป็นสิงโตอ้าปากเขมือบในครั้งแรกแล้ว คราวนี้เหมาเสี่ยวตงนำเครื่องดนตรีและภาชนะที่ใช้ในพิธีเซ่นไหว้ซึ่งสามารถบรรจุชะตาบุ๋นมามากกว่าที่ขอไว้ในคราวแรกเสียอีก


หลังกลับมาถึงภูเขาตงหัว เหมาเสี่ยวตงก็พาเฉินผิงอันมาที่ยอดเขา หยิบแผ่นหยกแผ่นนั้นออกมา ใช้ท่วงท่าของอริยะนั่งพิทักษ์สำนักศึกษา


เฉินผิงอันหยิบวัตถุดิบวิเศษสามสิบกว่าชิ้นที่เหมาเสี่ยวตงช่วยเตรียมให้ออกมา สองชิ้นสุดท้ายที่เนิ่นนานกว่าจะมาถึง ชิ้นหนึ่งคือเขาควายพันปี ชิ้นหนึ่งคือดาบประจำกายตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ของอริยะบู๊ท่านหนึ่งในศาลบู๋ประจำเมืองหลวงของแคว้นหนึ่งในภาคกลางแจกันสมบัติทวีป ด้านในมีปราณสังหารที่เข้มข้น เกี่ยวกับเรื่องการหลอมวัตถุดิบเหล่านี้ เหมาเสี่ยวตงไม่เคยแสร้งทำตัวสูงส่ง แต่เลือกที่จะบอกประวัติความเป็นมา ราคาและความพิเศษของวัตถุดิบวิเศษแต่ละชิ้นให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียดมาตั้งแต่แรก


เนื่องจากการหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำครั้งแรกที่นครมังกรเฒ่ามีฟ่านจวิ้นเม่าช่วยจัดเตรียมให้ ดังนั้นครั้งนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกลมปราณถึงต้องเผาผลาญเงินทองและเวลามากขนาดนั้น หากเป็นผู้ฝึกลมปราณทั่วไปที่คิดจะทำให้สำเร็จ นอกจากต้องอาศัยเงินทองแล้ว ยังต้องมีโชคอีกด้วย หากโชคไม่ดี ขาดวัตถุที่เป็นกุญแจสำคัญไป ก็จะเป็นเหตุให้การหล่อหลอมหยุดชะงักไม่เดินหน้า และบนเส้นทางของการฝึกตน ช้าหนึ่งก้าวก็ช้าไปทุกก้าว ความเสียหายที่มองไม่เห็นนี้ แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณก็ยังร้อนใจจนแทบบ้า


หากโชคดีหน่อยก็แค่ต้องเจ็บตัว ยกตัวอย่างเช่นได้วัตถุที่เหมาะสมกับการหล่อหลอมมาหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นก็พอจะประมาณการราคาของวัตถุที่ช่วยในการหล่อหลอมคร่าวๆ เดิมทีวางแผนไว้ว่าต้องใช้เงินหนึ่งเหรียญฝนธัญพืช นี่คือราคาแท้จริงของวัตถุดิบวิเศษที่จำเป็นต้องจ่าย ทว่าต่อให้ได้เจอกับวัตถุดิบวิเศษทุกชิ้นแล้ว แต่จะทำให้มันกลายเป็นของในมือของตนได้อย่างไร? ผู้ฝึกตนอิสระตามแม่น้ำและขุนเขามีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะแย่งชิงมา เพราะเลื่อมใสในคำว่าฆ่าคนชิงทรัพย์สวมเข็มขัดทอง (เปรียบเปรยว่าคนทำชั่วได้ดี) แล้วค่อยพูดให้ตัวเองดูดีว่าหากไม่รับของที่สวรรค์ประทานมา กลับกลายเป็นว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษ เซียนซือในเทียบวงศ์ตระกูลมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะอาศัยการซื้อ อาศัยควันธูป ใช้เงินเทพเซียนมาซื้อขายกับคนอื่น หรือไม่ก็ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ หากไม่มีเส้นสายความสัมพันธ์ก็สามารถทุ่มเงินก้อนใหญ่หาซื้อจากร้านเทพเซียนขนาดใหญ่อย่างหอหลิงจือภูเขาห้อยหัว ร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวเขตการปกครองหลงเฉวียน หอชิงฝู เป็นต้น นี่ยังไม่นับเป็นอะไร สถานการณ์ที่สิ้นเปลืองเงินที่สุดก็คือวัตถุดิบวิเศษที่ต้องการเป็นผลผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในร้านเทพเซียนต่างก็มีหออภินิหารเป็นของตัวเอง พวกเขาจะบอกให้คนที่ยินดีทุ่มเงินซื้อเสนอราคามา จากนั้นก็เอาวิธีขูดเลือดขูดเนื้อของสำนักการค้ามาใช้ หากเดินมาถึงก้าวนี้ ราคาสุดท้ายในการซื้อขาย หากมากกว่าราคาประเมินการแรกเริ่มสุดของผู้ฝึกลมปราณหนึ่งเท่าตัวก็ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่ายังมีคนที่ชอบปั่นราคา หากเล็งเห็นแล้วว่าคนผู้นั้นต้องการอย่างแท้จริงก็จะจงใจทำเรื่องชั่วร้ายให้คนสะอิดสะเอียน วัตถุที่เดิมทีมีราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยก็อาจถูกปั่นราคาไปถึงสามสี่เงินร้อนน้อย คนซื้อที่น่าสงสารจะซื้อหรือไม่? ไม่ซื้อ ของดีหลายอย่างมักจะไม่ได้มีมาให้พบบ่อยๆ หากถ่วงเวลาในการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตนให้ล่าช้า ต้องทำอย่างไรจึงจะดี?


แล้วนับประสาอะไรกับที่ระหว่างตระกูลเซียนบนภูเขาด้วยกัน โดยทั่วไปแล้วยิ่งเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงก็ยิ่งปัดแข้งปัดขากันรุนแรงมากขึ้น ใครเล่าจะยินดีเห็นภูเขาแห่งอื่นมีห้าขอบเขตกลางเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนเซียนดินที่เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน? อาจไม่ถึงขั้นต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่การลอบกัดกันอย่างลับๆ ย่อมเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน


ดังนั้นหลังจากที่เหมาเสี่ยวตงรวบรวมวัตถุดิบวิเศษทั้งหมดมาได้ครบ เฉินผิงอันที่รู้สึกโล่งใจก็กลัดกลุ้มไปในเวลาเดียวกันด้วย


วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามควรจะหลอมอย่างไร?


ตามแผนการที่วางไว้แต่เดิม เวลานั้นตนน่าจะอยู่ในอุตรกุรุทวีปแล้ว


หรือว่าจะต้องเปลี่ยนความคิด นำรายได้ส่วนที่เหลือจากศึกนครมังกรเฒ่าที่ต้าหลีต้องชดใช้ให้มาทุบหม้อขายเหล็ก รอหลอมวัตถุชิ้นที่สามบนภูเขาลั่วพั่วให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากดุจก้อนเมฆ?


เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ ได้แต่บอกตัวเองว่าเรื่องของวันพรุ่งนี้ก็ไว้ค่อยกลัดกลุ้มวันพรุ่งนี้


ยังไม่ทันหลอมหัวใจบุ๋นสีทองได้สำเร็จก็เริ่มคิดถึงวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามแล้ว แบบนี้ไม่เหมาะ เรื่องในวันนี้ทำให้เสร็จในวันนี้ ทำเรื่องในวันนี้ให้เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบเสียก่อน นี่จึงจะเป็นการก้าวเดินบนมหามรรคาที่แท้จริง


เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหลายลงไป กลั้นหายใจทำสมาธิ สุดท้ายหยิบเตาตู้ทองห้าสีภาชนะหลอมวัตถุที่ได้มาจากตำหนักพยัคฆ์เขียวใบถงทวีปออกมา


จากนั้นก็เริ่มท่องบทการหล่อหลอมวัตถุที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมอบให้อยู่ในใจหนึ่งรอบ


เหมาเสี่ยวตงไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ


พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์


เรื่องของการฝึกตนเป็นเรื่องของใครของมัน


ต่อให้เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาก็ทำแค่ไขข้อข้องใจให้ไม่กี่คำ ชี้แนะไม่กี่ประโยคก็ถือว่าพอสมควรแล้ว


ยิ่งผู้ปกป้องมรรคาก็ยิ่งไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ อย่างมากสุดก็แค่พยายามรักษารากฐานมหามรรคาของคนผู้นั้นเอาไว้ หากเขาโชคร้ายล้มเหลวในการหล่อหลอม ก็แค่รักษาคำว่า ‘ขุนเขาเขียวยังคงอยู่’ ที่ผู้ปกป้องมรรคาแสวงหาไว้เท่านั้น


ด้านหน้าเฉินผิงอันวางวัตถุดิบวิเศษหลากหลายชนิดไว้จนเต็ม เขาพลันเงยหน้าขึ้น มองไปทางเหมาเสี่ยวตงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ถามว่า “เจ้าขุนเขาเหมา อันที่จริงข้ามีข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจมาโดยตลอด”


เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ถามมาสิ”


เฉินผิงอันถามว่า “ในเมื่อใต้หล้าไพศาลของพวกเรามีเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาเฝ้าพิทักษ์เก้าทวีป แล้วทำไมถึงไม่ใช่เจ็ดร้อยยี่สิบแห่ง? เป็นเพราะศาลบุ๋นในแผ่นดินกลางทำไม่ได้ หรือเป็นเพราะปรมาจารย์มหาปราชญ์ไม่เต็มใจทำเช่นนี้?”


ก่อนจะตอบคำถามข้อนี้ เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าได้แต่พูดถึงความเข้าใจของตัวข้าเอง เจ้าเอาไปพิจารณาดู ไม่แน่เสมอไปว่าจะถูกต้อง แต่สามารถมองเป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ที่จะทำให้เจ้าเข้าใจวิถีของโลกใบนี้มากขึ้น ตกลงไหม?”


เฉินผิงอันพยักหน้า “ตกลง!”


เหมาเสี่ยวตงถึงได้เอ่ยว่า “เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าเคยขอความรู้จากคนอื่นมาก่อน ตอนนี้คนทั่วไปอาจจะจำได้ไม่มากแล้ว เมื่อนานมากมาแล้ว อืม ก่อนจะเกิดศึกตรีจตุขึ้น ภายใต้คำแนะนำของบรรพบุรุษท่านหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ผู้สร้างหลักความรู้ที่มีชื่อเสียงใหญ่ในอดีต ภายใต้การสนับสนุนของสกุลหลิว รวมไปถึงภายใต้การพยักหน้าตอบรับของหย่าเซิ่ง ธวัลทวีปทางทิศเหนือจึงเคยมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งตอนนั้นถูกเรียกขานว่า ‘แคว้นไร้ทุกข์’ ปรากฏขึ้น ประชากรมีประมาณสิบล้านกว่าคน ไม่มีผู้ฝึกลมปราณ ไม่มีเมธีร้อยสำนัก ไม่มีแม้แต่สามลัทธิ ผู้คนไม่ต้องกังวลกับการกินอยู่ ทุกคนเล่าเรียนหนังสือ ความรู้และหลักการทั้งหมดที่เหล่าอาจารย์ถ่ายทอดให้ล้วนเป็นแก่นของสี่ความรู้ที่ยิ่งใหญ่และของเมธีร้อยสำนัก แต่พยายามให้ไม่เกี่ยวพันกับวัตถุประสงค์พื้นฐานของความรู้แต่ละสาย หลักๆ แล้วใช้ตำราของลัทธิขงจื๊อ ส่วนตำราของร้อยสำนักที่เหลือก็เป็นตัวช่วยเสริม”


กล่าวมาถึงตรงนี้ เหมาเสี่ยวตงก็ชะลอการพูดลง


เขาพูดช้ามากและจริงจังอย่างยิ่ง


เป็นเหตุให้แม้ในเวลานี้เหมาเสี่ยวตงจะมีฐานะเป็นอริยะสำนักศึกษาก็ยังดูเปลืองแรงอย่างเห็นได้ชัด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)