หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 412-417
บทที่ 412 แหวกหญ้าให้งูตื่น!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทุกอย่างน่าจะจบด้วยดีหากจินตั้วหมิงไม่ได้พูดเช่นนั้นออกไป คำพูดของเขาทำให้หวังเป่าเล่อสงสัยทันที เมื่อเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อ จินตั้วหมิงก็รีบโบกมือขวาและหยิบอาวุธเวทออกมา
อาวุธชิ้นนั้นคือกระบี่เหาะเหิน!
มันมีสีแดงฉาน แถมยังแผ่รัศมีความร้อนออกมาทันทีที่หยิบออกมา พลังของมันอวลอยู่ในอากาศ ภายในคลื่นความร้อนนั้นมีภาพรางๆ ของวิหคเพลิงตัวหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังจินตั้วหมิง วิหคนั้นยืนอยู่บนทะเลเพลิงอันแรงกล้าที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสรรพสิ่ง
กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ด!
ตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายทันทีที่เห็นอาวุธเวทชิ้นนี้ เขารู้ดีว่าอาวุธเวทชิ้นหนึ่งมีค่ามากเพียงใด กระบี่เหาะเหินเล่มนี้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดเช่นเดียวกับกระบี่ของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าหลอมมาอย่างประณีตกว่า ความแตกต่างนี้เห็นได้จากรัศมีของอาวุธเวทที่แผ่ออกมา
เมื่อเห็นอาวุธเวทอยู่ตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจใคร่ครวญความนัยของจินตั้วหมิงอีกต่อไป ต่อให้ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นกับดักก็แล้วอย่างไรกัน หากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขา หวังเปาเล่อก็สามารถกลับมาขออาวุธเวทอีกชิ้นได้อยู่ดี นี่เป็นหนึ่งในข้อดีของการมีเพื่อนเป็นคนร่ำรวย
หวังเป่าเล่อพยักหน้าอย่างยินดี ชายหนุ่มเหมือนจะเออออกับสิ่งที่จินตั้วหมิงได้เสนอมาเป็นที่เรียบร้อย จินตั้วหมิงรู้ดีว่าการตกลงเพียงลมปากนั้นยังไม่เพียงพอ แต่มีการตกลงไว้บ้างก็ยังดีกว่าไม่มีเลย แม้จะรู้สึกเสียเปรียบเพียงใด จินตั้วหมิงก็ทำได้เพียงทอดถอนใจและเหวี่ยงกระบี่เหาะเหินไปทางหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงเคยทำกรรมกับหวังเป่าเล่อไว้แต่ชาติปางก่อนเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีเหตุผลอื่นใดมาอธิบายได้ว่าทำไมเขาจึงต้องเสียอาวุธเวทให้หวังเป่าเล่อครั้งแล้วครั้งเล่า
ข้าต้องมองความสูญเสียนี้เป็นการลงทุน! เมื่อคิดได้เช่นนั้นจินตั้วหมิงก็สบายใจขึ้นเป็นอันมาก
ทั้งสองนั่งอยู่บนเรือบินที่มุ่งหน้าไปยังนครใหม่ ระหว่างทางกลับนั้น หวังเป่าเล่อก็นำกระบี่เหาะเหินออกมาทดสอบอยู่ไปมา ชายหนุ่มทำกระทั่งวิเคราะห์และลองเชื่อมสัมผัสเข้ากับกระบี่ เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของอาวุธเวทชิ้นนี้ในทันที ประกอบกับความรู้ใหม่ที่ได้รับเมื่ตอนที่อยู่ในศูนย์วิจัย ทำให้หวังเป่าเล่อแทบรอไม่ไหวที่จะถือสันโดษและเริ่มศึกษากระบี่เหาะเหินเล่มนี้อย่างลึกซึ้งขึ้นไปอีก
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเขาจะต้องบรรลุขั้นการหลอมอาวุธเวทได้หลังการถือสันโดษครั้งนี้อย่างแน่นอน!
เรือบินนำทั้งตัวเขาและความทะเยอทะยานนั้นเหาะมุ่งไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และเข้าใกล้นครใหม่ขึ้นไปทุกที ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังศึกษาอาวุธเวทอยู่นั้น จินตั้วหมิงก็เริ่มทบทวนแผนการของตน เหตุหนึ่งที่เขามายังดาวอังคารแห่งนี้ก็เพราะประมุขของตระกูลไหว้วานให้เขาจับตาดูสุสานอาวุธเทพใต้ดินเอาไว้ และอีกเหตุหนึ่งคือชายหนุ่มต้องการต่อสู้เพื่อโอกาสในการได้เป็นประมุขตระกูลคนต่อไป
อย่างไรเสีย จินตั้วหมิงก็ไม่ใช่คนเดียวที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็นผู้สืบทอด ชายหนุ่มต้องตระเตรียมการเอาไว้เพื่อตัวเองเสียก่อน จินตั้วหมิงตั้งใจจะมารวบกิจการของตระกูลบนดาวอังคาร แต่บิดาของเขาก็เตือนให้ติดสอยห้อยตามหวังเป่าเล่อไปไหนมาไหน เป็นเหตุให้ชายหนุ่มต้องเดินทางไปพบหวังเป่าเล่อตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงดาวอังคาร
จากที่จินตั้วหมิงเห็น การลงทุนเพียงเท่านี้ถือว่าคุ้มค่ายิ่ง เพราะหวังเป่าเล่อถือเป็นกุญแจสำคัญที่เขาจะได้ทะลวงอุปสรรคของตระกูลบนดาวอังคาร
แต่บิดาทราบได้อย่างไรกันว่าหวังเป่าเล่อจะรุดหน้าไปไกลบนดาวอังคารแห่งนี้ จินตั้วหมิงเริ่มรู้สึกเอะใจ แต่ไม่อาจคิดหาคำตอบได้ เขารู้ดีว่าแม้บิดาจะยอมรับในความสามารถของเขาเพียงใด แต่หากเลือกที่จะเก็บความลับแล้ว ก็จะไม่มีวันยอมปริปากเป็นอันขาด ไม่ว่าชายหนุ่มจะเพียรถามสักเพียงใดก็ตาม
เจ้าหวังเป่าเล่อคนนี้เป็นคนน่าสนใจอยู่ไม่น้อย…จินตั้วหมิงคิดก่อนจะเหลือบไปมองหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการศึกษาอาวุธเวท ก่อนจะคิดไปถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่หวังเป่าเล่อมาถึงดาวอังคาร ชายหนุ่มเกิดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็เคารพหวังเป่าเล่ออยู่มากเช่นกัน
เวลาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หวังเป่าเล่อเฝ้าศึกษาอาวุธเวท ส่วนจินตั้วหมิงก็ศึกษาหวังเป่าเล่ออีกต่อหนึ่ง ในไม่ช้านครอาวุธเทพใหม่ก็ปรากฏขึ้นในคลองจักษุ
เรือบินเข้าใกล้เขตนครอย่างมั่นคงและค่อยๆ ลงจอดที่ลานท่าอากาศยานในเขตของจินตั้วหมิงอย่าง แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเดินทางไปอย่างไม่เอิกเกริก แต่กลับมีคนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าจำนวนหนึ่ง รวมถึงหลินเทียนหาว มาคอยต้อนรับ
ทันทีที่หวังเป่าเล่อก้าวพ้นประตูเรือบิน เขาก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของหลินเทียนหาวและใบหน้าที่คุ้นเคยของอีกหลายๆ คน ความรู้สึกเป็นที่ยอมรับและอุ่นใจเต็มตื้นขึ้นในใจ ชายหนุ่มแหงนหน้ามองไปยังสิ่งก่อสร้างที่รายล้อมอยู่ ที่แห่งนี้คือนครของเขา จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อพุ่งทะยานขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์อย่างเปี่ยมสุข
“ยินดีต้อนรับท่านเจ้าเมือง!” หลินเทียนหาวกล่าวด้วยเสียงอันดัง ผู้ติดตามด้านหลังพากันประสานมือคารวะและกล่าวทักทายตามๆ กันมา
หวังเป่าเล่อยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้ฝูงชน ชายหนุ่มกำลังจะประกาศผลของการพบปะครั้งนี้ และแจ้งแก่ทุกคนว่ากำลังจะมีการสร้างศูนย์วิจัยขึ้นในนครแห่งนี้ แต่ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดนั่นเอง ชายหนุ่มก็พลันขมวดคิ้ว สายตาของหวังเป่าเล่อจับจ้องไปที่ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นคนหนึ่งจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าที่อยู่ในหมู่คนซึ่งมารอรับเขา!
เขาเป็นชายวัยกลางคน สีหน้าท่าทางดูเปี่ยมไปด้วยความเคารพ นัยน์ตาก็ส่องประกายเปี่ยมล้นไปด้วยความกระตือรือร้น เขาไม่มีท่าทีแปลกไปจากในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ ผิดไปเพียงอย่างเดียว…คือมีรัศมีเบาบางแผ่ออกมาจากร่าง แต่หวังลู่เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันคือ… ปราณมืด!
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงในทันที ชายหนุ่มกำลังจะเข้าไปดูให้แน่ใจ แต่ก็รู้สึกถึงปราณมืดจากแหล่งอื่นอีก พวกนั้นมีถึงห้าคนด้วยกัน!
หวังเป่าเล่อถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำ หากมีเพียงคนเดียวเขายังพอคิดว่าเป็นอุบัติเหตุได้ แต่นี่ในกลุ่มที่มารอต้อนรับเขามีด้วยกันถึงห้าคน ช่างน่าพรั่นพรึงนัก แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่คิดทำเรื่องวู่วาม ชายหนุ่มละสายตาออกมาอย่างรวดเร็วและเริ่มยิ้มต่อ แต่ไม่มีอารมณ์จะประกาศสิ่งใดอีกแล้ว หวังเป่าเล่อรีบเดินทางออกจากท่าอากาศยานไปกับหลินเทียนหาว
ระหว่างการเดินทางกลับ หลินเทียนหาวอยู่เคียงข้างหวังเป่าเล่อไม่ห่าง พลางรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เขาไม่อยู่
หวังเป่าเล่ออาจดูปกติขณะที่รับฟังการรายงาน แต่เขาจับตามองหลินเทียนหาวอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าไม่มีร่องรอยของปราณมืดบนตัวหลินเทียนหาว ชายหนุ่มจึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะก้าวขึ้นเรือบินมุ่งหน้าไปยังสำนักงานเจ้าเมือง ในขณะที่กลุ่มผู้ติดตามนั้นเดินห่างออกไป หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงริมเรือบิน สีหน้าท่าทางปกติ แต่เขาแอบเชื่อมต่อตนเองเข้ากับวงแหวณปราณของเมืองและเริ่มจ้องมองสอดแนมไปทั่วทั้งเมือง
ทันทีที่เชื่อมต่อเข้ากับวงแหวนปราณ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่นั้นเต็มล้นไปด้วยปราณมืด ปราณมืดที่ไม่ได้มาจากสุสานใต้ดินแต่มาจากภายในนคร มาจากผู้ฝึกตนจำนวนมหาศาล…
ปราณมืดเหล่านี้มาจากเหล่าผู้ฝึกตนและถูกวงแหวนปราณดูดซับเข้าไป หวังเป่าเล่อแทบจะหน้ามืด ชายหนุ่มหันไปตรวจสอบอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารในทันที เพราะความไวต่อปราณมืดของเขา ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังแบบเดียวกันในอภิมาวงแหวนปราณเช่นกัน
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล! หวังเป่าเล่อหายใจรัวเร็ว ก่อนจะหันไปมองที่หลินเทียนหาวผู้ซึ่งกำลังจะรายงานเรื่องเคล็ดอายุวัฒนะ
ยังมีเรื่องเคล็ดเวทอายุวัฒนะอีก เป็นวิชาที่จู่ๆ ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จากการสืบสวนแล้วพวกเราไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ แต่ข้ากับรองเจ้าเมืองก็ตัดสินใจควบคุมการฝึกฝนเคล็ดเวทนี้แล้ว หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันทีที่หลินเทียนหาวเอ่ยประเด็นนี้ขึ้นมา ชายหนุ่มไม่ได้ขัดจังหวะ เขาปล่อยให้หลินเทียนหาวรายงานต่อไป พวกเขาไปถึงสำนักงานเจ้าเมืองในเวลาไม่ช้า หวังเป่าเล่อออกคำสั่งทันที พวกเขาจะไม่เข้าไปยังห้องทำงาน แต่จะกลับที่พักแทน
เมื่อเรือบินเดินทางมาถึงที่พัก หวังเป่าเล่อก็ก้าวออกมาตามปกติ เขารอให้หลินเทียนหาวและคนอื่นๆ กลับไปก่อนจะเข้าไปยังที่พัก สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างมากเมื่ออยู่คนเดียว ชายหนุ่มเปิดวงแหวนปราณก่อนจะเข้าไปยังห้องถือสันโดษ หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิก่อนจะเชื่อมตนเองเข้ากับวงแหวนปราณอีกครั้งหนึ่ง
และเป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกถึงกระแสของปราณมืดจากผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนภายในวงแหวนปราณของนครใหม่นี้ เขาดึงรายงานของหลินเทียนหาวเรื่องเคล็ดเวทอายุวัฒนะออกมาอ่านจนจบและพบสิ่งแปลกประหลาดเข้าสิ่งหนึ่ง
เคล็ดเวทนี้ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ…ไม่เป็นไรเลยหากจะฝึกฝนที่อื่น แต่เมื่อฝึกในนครใหม่เหนือสุสานใต้ดินที่อากาศปกคลุมไปด้วยปราณมืดนั้น อาจก่อให้เกิดความผิดพลาดอันใหญ่หลวงและน่าสะพรึงกลัวได้!
เคล็ดนี้ใช้ประโยชน์จากการที่อภิมหาวงแหวนปราณแห่งดาวอังคารใช้พลังปราณของประชากรในการหล่อเลี้ยงตัว และส่งปราณมืดไปปะปนอยู่ในวงแหวนปราณนั้น…สิ่งนี้ไม่ใช่ฝีมือคนของในสหพันธรัฐแน่นอน เป็นไปได้สูงว่าเป็นผลงานของสุสานอาวุธเทพใต้ดิน…แต่อสูรทั้งหลายในนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตไร้สติปัญญา พวกมันจะวางแผนแยบยลเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน ปัญหานี้คาใจหวังเป่าเล่อเป็นที่สุด ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะตัดสินใจว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการกำจัดปราณมืดออกจากผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะในนครใหม่เสียก่อน!
ถ้าเทียบกับการหาต้นตอของปัญหาแล้ว ประเด็นนี้ถือว่าเร่งด่วนกว่า เพราะตราบใดที่วงแหวนปราณยังคงอยู่ นครก็จะยังปลอดภัย ข้อนั้นเป็นหลักการที่อย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง
จริงๆ ข้าอาจจะสามารถยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว และล่อให้ตัวการเรื่องนี้เปิดเผยตัวตนออกมาเองก็ได้! หวังเป่าเล่อคิดก่อนจะตัดสินใจ เขาจะทำการอย่างฉับพลันเพื่อล่อให้ศัตรูปรากฏตัว!
แต่ก่อนหน้านั้น หวังเป่าเล่อต้องเตรียมตัวและหลอมวัตถุเวทพิเศษอีกสองสามชิ้น โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่นครแห่งนี้ทั้งหมดคือปราการนิรันดร์ของเขา ภายในใจกลางนครที่หวังเป่าเล่อมีสิทธิ์เข้าไปได้เพียงคนเดียว มีหุ่นเชิดก่อสร้างอยู่มากมาย ทำให้เขาสะดวกในการหลอมวัตถุเวทเป็นอย่างยิ่ง!
บทที่ 413 เอาชนะอย่างฉับพลัน!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สามวันต่อมา หวังเป่าเล่อก็เตรียมการเสร็จเรียบร้อย ด้วยกองกำลังหุ่นเชิดและทรัพยากรพรั่งพร้อม ชายหนุ่มได้หลอมวัตถุเวทแผ่นกลมขึ้นมากว่าหมื่นชิ้น!
วัตถุเวทพิเศษเหล่านี้เชื่อมต่อกับวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่ขนาดย่อม หน้าที่ของพวกมันมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือการตอบโต้ปราณมืดและดูดซับปราณมืดออกจากผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะทุกคน!
วัตถุเวทเหล่านี้ยังมีคุณสมบัติการเสาะหา ที่ช่วยให้พบผู้ฝึกตนซึ่งมีปราณมืดอยู่ในร่างได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ฝึกตนที่ฝึกเคล็ดเวทนี้มาเป็นเวลานานอาจจะรู้สึกเหนื่อยอ่อนหรือกระทั่งบาดเจ็บเมื่อปราณมืดถูกดึงออกจากร่าง ถึงกระนั้น ความเสี่ยงนี้ก็จำกัดอยู่เฉพาะกับผู้ที่ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะไปจนถึงระดับสูงแล้วเท่านั้น หาไม่แล้วก็จะไม่ได้รับผลกระทบเท่าใดนัก อาจเพียงรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น
หวังเป่าเล่อวางแผนจะใช้วัตถุเวททั้งหมื่นชิ้นนี้ในการสำรวจทั้งนครและสลายปราณมืดออกไปให้สิ้น ชายหนุ่มเลือกใช้วัตถุเวทเหล่านี้มากกว่าจะใช้วงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่ เขาชั่งน้ำหนักแล้วว่าไม่ควรใช้วงแหวนปราณพร่ำเพรื่อ หากปล่อยเอาไว้ ปราณมืดในวงแหวนปราณจะกระจายตัวกันอยู่ แต่หากหวังเป่าเล่อเริ่มใช้งานมันเมื่อใด…อาจเป็นการเพิ่มความเร็วให้วงแหวนปราณถูกปราณมืดครอบงำและเกิดความเสียหายได้
เพื่อเป็นการแก้ปัญหาชนิดถอนรากถอนโคน หวังเป่าเล่อเลือกที่จะใช้งานวงแหวนปราณหลังจากกำจัดปราณมืดทั้งหมดออกไปจากประชากรแล้วเท่านั้น เมื่อแน่ใจว่าแหล่งพลังที่ส่งปราณมืดเข้าไปยังวงแหวนปราณได้รับการจัดการแล้ว เมื่อนั้นเขาจึมั่นใจที่จะลงมือกำจัดปัญหาโดยสมบูรณ์
หลังจากที่เตรียมการเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ออกคำสั่งแรกในฐานะเจ้าเมืองหลังจากกลับมา เขาไม่ได้ปรึกษาหลี่หว่านเอ๋อร์หรือนายกเทศมนตรีคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ ชายหนุ่มมีสิทธิขาดในการตัดสินใจยามฉุกเฉิน!
“เคล็ดเวทอายุวัฒนะเป็นวิชามาร การฝึกเคล็ดเวทดังกล่าวจะมีผลทางลบต่อร่างกายของผู้ฝึก พลังชั่วร้ายนั้นจะดูดกลืนพลังชีวิตไปราวกับเป็นยาพิษ หากไม่ได้รับการรักษา มันจะทำให้ป่วยไข้และเป็นอันตรายต่อร่างกาย!”
“ทุกๆ เขตจะได้รับวัตถุเวทชุดแรกที่จะช่วยดึงพลังลบจากเคล็ดเวทอายุวัฒนะออกมาจากกาย ผู้ฝึกตนจงเข้ามารับการรักษาโดยทั่วกัน!”
“โปรดฟังอีกครั้ง เคล็ดเวทนี้เป็นวิชามาร ผู้ที่ยังดึงดันจะฝึกฝนต่อไปจะตกอยู่ในอันตรายและถือเป็นการทำผิดกฎหมาย ผู้ที่สอนเคล็ดเวทนี้จะมีโทษหนักขึ้นไปอีก!”
หลังจากที่คำสั่งนั้นแพร่ออกไป ก็มีหมายจับผู้ฝึกตนสามคนแรกที่ริเริ่มการฝึกเคล็ดเวทนี้ออกไปพร้อมๆ กัน หลี่หว่านเอ๋อร์และคนอื่นๆ ต่างก็พากันตกตะลึง หวังเป่าเล่อส่งคำสั่งที่สองออกไปแทบจะในคราวเดียวกัน
“กงเต๋า หลินเทียนหาว จินตั้วหมิง เวินไหว ฟางจิ้ง เฉินมู่!
“พวกเจ้าทั้งหกจงมารับวัตถุเวทไปในทันที พวกเจ้าทุกคนรับผิดชอบเขตของตนเอง ตามตัวผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะและกำจัดสัญญาณของวิชามารจากร่างพวกเขาเสีย ให้เวลาหนึ่งวันในการจัดการสะสางเรื่องนี้ นี่เป็นคำสั่ง! วิชานี้เป็นวิชามารชั่วช้า มันทำลายอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร พวกเจ้ารู้ดีว่าหากเราหยุดมันไม่ได้ผลจะเป็นเช่นไร!
“หลี่หว่านเอ๋อร์ เจ้ามีหน้าที่ควบคุมดูแลภารกิจนี้รวมไปถึงการสอบสวน ข้าต้องการให้กำจัดเคล็ดเวทนี้ออกจากนครให้ได้ภายในวันพรุ่งนี้! หากว่าเกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเจ้าไม่มีสิทธิมากล่าวโทษข้าหากข้าจะทำการใดๆ ต่อไป ปัญหานี้เกิดขึ้นในขณะที่ข้าไม่อยู่!”
หลินเทียนหาวและคนอื่นๆ ต่างพากันตกใจเมื่อได้รับข้อความเสียงอย่างต่อเนื่อง มีเพียงจินตั้วหมิงเท่านั้นที่รับมือด้วยความเยือกเย็น ทุกคนที่เหลือมีท่าทีเคร่งเครียด โดยเฉพาะหลี่หว่านเอ๋อร์ นัยน์ตาของนางหรี่ลง นางไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย รีบรุดนำคนของตัวเองออกตรวจงานทันที
เขตต่างๆ รีบมารับวัตถุเวทที่หวังเป่าเล่อหลอมขึ้นอย่างว่องไว ปฏิบัติการนี้เป็นการกวาดล้างปราณมืดขนานใหญ่ ในขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็นั่งทำสมาธิอยู่ในที่พัก เขาหลับตาก่อนจะจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิด ชายหนุ่มส่งข้อความขอร้องอย่างสุภาพไปยังผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าที่ถูกส่งมาคุ้มกันเขา ท่ามกลางความโกลาหลนี้ ภารกิจของพวกเขาคือตามหาผู้เริ่มฝึกเคล็ดเวททั้งสามโดยใช้หมายจับ… และพยายามหาตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไปด้วย!
กิจกรรมค้นหาและทำลายเกิดขึ้นทั่วทั้งนคร รวดเร็วราวกับฟ้าผ่า การตอบโต้ของหวังเป่าเล่อครั้งนี้รุนแรงอย่างยิ่ง เริ่มแรกเขาประกาศว่าเคล็ดเวทอายุวัฒนะเป็นวิชามาร ข้อนี้ทำให้ผู้ฝึกตนแทบทั้งหมดตกใจ เพราะพวกเขารู้ดีว่าการฝึกวิชามารในสหพันธรัฐนั้นมีโทษร้ายแรง!
หวังเป่าเล่อยังบอกอีกว่าการฝึกวิชานี้ส่งผลร้ายรุนแรงต่อร่างกายผู้ฝึก วิชามารจะดูดกลืนเอาชีวิตไป ราวกับพิษร้ายที่แพร่กระจายไปทั่วร่าง ยากยิ่งที่จะขจัด ข้อนี้จะช่วยเพิ่มความตื่นกลัวให้ผู้ฝึก พวกเขาไม่เพียงหยุดฝึกเท่านั้น แต่ยังจะรู้สึกกลัวและกระวนกระวายใจด้วย
ตอนที่พวกเขากำลังรู้สึกกังวลอยู่นั่นเอง หวังเป่าเล่อก็จะมอบแสงแห่งความหวัง ได้แก่วัตถุเวทที่แจกจ่ายไปให้แต่ละเขตเพื่อรักษาอาการ ความหวังในช่วงเวลาอับจนนี้ เพียงพอที่จะผลักดันให้ผู้ฝึกตนที่เฉยเมยอออกมารับช่วยเหลือ ทำให้ง่ายต่อการตามตัวเหล่าผู้ฝึกตนมากยิ่งขึ้น
ด้วยคำสั่งที่แยบยลเหล่านี้ หากยังมีผู้ฝึกตนที่ไม่ยอมปฏิบัติตาม หวังเป่าเล่อก็ยังได้ส่งคำเตือนอันหนักแน่นไปในคำสั่งอีกด้วย ซึ่งได้แก่หมายจับผู้ฝึกตนทั้งสามนั่นเอง!
การปฏิบัติการสายฟ้าแลบเกิดขึ้นทั่วทั้งนคร การห้ามฝึกเคล็ดวิชาและการค้นหาผู้ฝึกตนดำเนินไปในทุกเขต มีผู้ฝึกตนมากมายเลือกเข้ามาหาเจ้าหน้าที่ด้วยตนเอง
การค้นหาดำเนินต่อไป เหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็จดบันทึกเบาะแสต่างๆ ที่พบเจอเอาไว้ พวกเขาเริ่มตามรอยและไล่ล่าผู้อยู่เบื้องหลังเหตุครั้งนี้
ท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหมดนี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้ปรากฏกายออกมามีส่วนร่วมแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในที่พัก เขารวมกายเข้ากับวงแหวนปราณและกำลังเฝ้ารอเวลาที่ต้นตอของปัญหาจะถูกกำจัด แล้วจึงค่อยแก้ไขปัญหาที่ฝังตัวอยู่ในวงแหวนปราณ
หวังเป่าเล่อได้เตรียมการเรื่องอื่นเอาไว้ด้วย ชายหนุ่มมอบหมายให้กงเต๋าและจินตั้วหมิงส่งผู้คุ้มกันและผู้ติดตามของทั้งสองมายืนรักษาความปลอดภัยรอบที่พัก เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้บงการลอบโจมตีเขา ผู้ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการดำเนินการในครั้งนี้
เวลาผ่านไป คำสั่งของหวังเป่าเล่อแพร่กระจายไปจนทั่ว หลี่หว่านเอ๋อร์เองก็เข้าใจสถานการณ์ดี นางจึงสั่งให้มีการค้นหาและสืบสวนต่อไป ในที่สุดกลางดึกคืนนั้นเอง การค้นหาทั่วนครก็เป็นอันเสร็จสิ้น ผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะแทบทุกคนได้รับการขจัดปราณมืดออกจากร่างจนหมด
หลี่หว่านเอ๋อร์ยังนำกลุ่มผู้ฝึกตนเข้าไปยังเขตปกครองตนเองและออกค้นหาเหล่าผู้ฝึกตนด้วยตัวเอง เฉินมู่ ผู้ซึ่งไม่ได้พากเพียรทำตามคำสั่งนัก ก็ค้นหาภายในเขตปกครองตนเองเสร็จเรียบร้อยในที่สุด
กงเต๋ากับหลินเทียนหาวเป็นคู่ที่ทำงานได้อย่างประณีตที่สุด การค้นหาในเขตของพวกเขานั้นละเอียดยิ่งกว่าละเอียด กระทั่งจินตั้วหมิงก็ยังเทียบไม่ติด โดยเฉพาะกงเต๋านั้นถึงกับส่งข้อความเสียงไปหาหวังเป่าเล่อตอนกลางดึก เพื่อรายงานว่าไม่มีผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะหลงเหลืออยู่ในเขตของตนแล้ว ผู้ฝึกตนทุกคนปราศจากปราณมืดในกายโดยสมบูรณ์!
หวังเป่าเล่อได้รับรายงานจากกงเต๋าก่อนใคร รายงานจากหลินเทียนหาวและคนอื่นๆ ตามมาติดๆ และพอหลี่หว่านเอ๋อร์รายงานสถานะของสามเขตปกครองตนเอง หวังเป่าเล่อจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ เขาต้องรอคอยต่อไป
สองชั่วโมงผ่านไป เขาได้รับข้อความเสียงจากเหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า
“พวกเราจับกุมคนร้ายทั้งสามไว้ได้แล้วขอรับ แต่ยังหาตัวคนต้นคิดไม่พบ หลังจากการสอบสวน เราพบว่าทั้งสามคนนั้น…เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น!”
หวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้ากลัดกลุ้ม ทั้งที่เขาทำการใหญ่แถมยังทำลายแผนของอีกฝ่ายลงได้ภายในวันเดียว คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ควรจะต้องตอบโต้แท้ๆ ไม่ว่าจะด้วยการลอบโจมตีเขาหรือด้วยวิธีการอื่นๆ ฝ่ายนั้นควรจะทิ้งร่องรอยเอาไว้บ้าง และด้วยจำนวนผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่ตามหาอยู่ในขณะนี้ การตามรอยนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก พวกเขาควรตามรอยและจับคนผู้นั้นได้แล้วแท้ๆ
ใครจะไปคาดคิดว่าเรื่องจะลงเอยเช่นนี้…
หากไม่ใช่เพราะคนวางแผนนั้นซ่อนตัวตั้งแต่เริ่มเกิดความวุ่นวาย ก็แปลว่าเขาไม่ได้สนใจหากแผนนี้จะถูกทำลาย…หรือว่าเขาบรรลุจุดประสงค์ไปแล้วกันแน่ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งแต่ก็ยังไม่มีคำตอบ เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะครุ่นคิด หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกและเปิดวงแหวนปราณที่ห่อหุ้มนครทั้งหมดเอาไว้ วงแหวนปราณตื่นขึ้นและเริ่มชะล้างปราณมืดที่ซ่อนอยู่ในตัวให้หมดไป!
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าคนวางแผนแล้ว มาลองดูกันซิว่าเขาจะยังควบคุมตัวเองได้อีกไหม! หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเมื่อวงแหวนปราณชำระตนเองเสร็จ มันก็จะกลับไปอยู่ในสภาพปลอดภัยเช่นเดิม แม้จะเกิดความเสียหายอยู่บ้าง แต่รากฐานของวงแหวนนี้ก็แข็งแกร่งนัก หมายความว่าความพยายามของอีกฝ่ายที่จะทำลายมันจะสูญเปล่าไปโดยปริยาย
นี่เป็นเหตุผลที่หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องเคลื่อนไหวในเวลานี้แน่ และได้เตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว และเป็นเช่นที่ชายหนุ่มได้ทำนายไว้จริงๆ แต่ผิดแผกไปเล็กน้อย..ชายชุดดำไม่ได้ขัดขวางความพยายามของหวังเป่าเล่อที่จะชำระวงแหวนปราณ แต่ตอนนั้นเอง อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศเหนือที่พักของหวังเป่าเล่อ!
บุรุษผู้นั้นยืนอยู่กลางอากาศ สวมชุดคลุมสีดำ ร่างของเขามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่กลับไม่มีใครรับรู้ได้ ราวกับว่าชายผู้นี้ไม่มีตัวตนกระนั้น
ดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าสีดำนั้นส่องประกายอย่างน่าสะพรึงกลัว ราวกับว่าสามารถมองทะลุผ่านกำแพง เข้าไปถึงห้องลับภายในที่พักของหวังเป่าเล่อ และจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มที่นั่งสมาธิอยู่ได้!
“คนผู้นี้คือบุตรแห่งความมืดจริงๆ หรือ” ชายในชุดคลุมสีดำพึมพำ ดูลังเลใจ แต่ผ่านไปพักหนึ่งก็ดูเหมือนตัดสินใจได้ เขายกมือขวาขึ้นและชี้นิ้วตรงไปยังหวังเป่าเล่อ
“คงต้องลองดูจึงจะรู้!”
บทที่ 414 คุยโวต่อไปเถิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
การใช้เพียงลางสังหรณ์อย่างเดียวคงไม่เพียงพอต่อการยืนยันว่าหวังเป่าเล่อใช่บุตรแห่งความมืดหรือไม่ ชายในชุดคลุมสีดำต้องสละพลังชีวิตส่วนหนึ่งจากแก่นวิญญาณเพื่อไปกวนแก่นแท้ของอีกฝ่ายจึงจะรู้ได้ หากแก่นแท้นั้นไม่สะทกสะท้าน ก็จะยืนยันได้แน่นอนว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่บุตรแห่งความมืด!
ชายในชุดคลุมสีดำไม่ได้วางแผนจะใช้พลังชีวิตของตนเข้าแลก เพราะเขาไม่เชื่อว่าหวังเป่าเล่อคือบุตรแห่งความมืดมาตั้งแต่ต้น สำนักแห่งความมืดนั้นล่มสลายไปนานแสนนาน จนกลายเป็นเพียงเรื่องเล่า และหลงเหลือสัญลักษณ์เพียงไม่กี่อย่างที่บ่งบอกว่าสำนักนั้นเคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้มาก่อน
การปรากฏตัวของใครบางคนที่อาจเป็นบุตรแห่งความมืดทำให้ ชายในชุดคลุมสีดำรู้สึกกังขา นั่นเพราะ…กระทั่งในยุครุ่งเรืองของสำนักแห่งความมืด ก็มีผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่มีความสามารถพอจะเป็นบุตรแห่งความมืดได้
ชายในชุดคลุมสีดำไม่ได้มียศสูงพอที่จะรู้เงื่อนไขสำหรับผู้ที่จะมาเป็นบุตรแห่งความมืด แต่ลึกๆ ในความทรงจำของเขายังคงหลงเหลือความกลัวและความสยดสยองที่สำนักแห่งความมืดได้ก่อเอาไว้ในอดีต เขาไม่สามารถลืมวันเวลาที่ตนไม่อาจบรรลุเป็นวิญญาณวุธ จนต้องตัวสั่นงันงกอยู่ตรงหน้าผู้ที่เป็นเพียงศิษย์ธรรมดาของสำนักแห่งความมืด
นับถึงตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยมานานแล้ว ชายในชุดคลุมสีดำจำศีลและตื่นขึ้นมา วนเวียนอยู่อย่างนั้นกระทั่งความทรงจำของเขาพร่าเลือนในเวลาที่พยายามนึกถึงอดีต ทว่าความหวาดเกรงที่เขามีต่อสำนักแห่งความมืดไม่ได้จางหายไปด้วยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใดก็ตาม
ในความเป็นจริงแล้ว อาจกล่าวได้ว่า…สำนักแห่งความมืดเป็นดังที่คุมขังกายเขา ส่วนบุตรแห่งความมืดนั้นคือเจ้านายของเขานั่นเอง!
บุตรแห่งความมืดไม่ว่าจะคนใดสามารถควบคุมเขาได้อย่างง่ายดาย ชายในชุดคลุมสีดำไม่มีวิธีจะตอบโต้ เขาไม่สามารถทัดทานเจ้านายตนได้ ข้อจำกัดนี้คือบาดแผลจากอดีต เป็นกฎที่หยั่งรากลึกอยู่ภายในแก่นชีวิตของเขามาแต่ครั้งอดีตกาล
เขาไม่สามารถตอบโต้ ไม่สามารถแตะต้องได้เสียด้วยซ้ำ นี่คือโชคชะตาที่เขาต้องเผชิญ!
ด้วยเหตุนี้ ชายในชุดคลุมสีดำจึงไม่อยากเชื่อและไม่ต้องการเชื่อว่ายังมีบุตรแห่งความมืดหลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้อีก!
แต่การชำระล้างวงแหวนปราณดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ชายในชุดคลุมสีดำยังรู้สึกได้ถึงการสร้างวัตถุเวทจำนวนมากด้วยเช่นกัน แม้จะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็ยังรู้สึกชั่งใจกับเหตุการณ์นี้ ชายในชุดคลุมสีดำรู้ดีว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นหากบุตรแห่งความมืดปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ เป็นเหตุให้ต้องมาที่นี่ มาเพื่อสละส่วนหนึ่งของชีวิตเพื่อหาความจริงและสงบจิตใจอันว้าวุ่นนี้
เขาจึงมายืนชี้นิ้วใส่หวังเป่าเล่ออยู่นี่เอง!
การชี้นั้นดูเป็นกริยาธรรมดา และไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากบรรดาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน ทว่าการกระทำนี้เป็นการเชื่อมต่อสวรรค์และพื้นดิน สื่อสารกับดวงดาวและสร้างคลื่นพลังประหลาดขึ้นมา นิ้วที่ชี้อยู่ของชายในชุดคลุมสีดำดูราวกับว่าได้ทะลุผ่านอากาศ กำแพง และทุกสิ่งที่ขวางหน้าเพื่อมุ่งตรงไปยังห้องลับที่หวังเป่าเล่อนั่งอยู่!
คลื่นพลังดังกล่าวพลันท่วมท้นอยู่ภายในห้องลับ มันหนาแน่นไปด้วยปราณมืด ผสมปนเปด้วยพลังชีวิตของชายในชุดคลุมสีดำ คลื่นพลังนั้นมาปรากฏอยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ก่อนจะแปรสภาพไปเป็นรอยฉีกรูปร่างคล้ายปากขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครมองเห็น ปากนี้เป็นภาพมายา มันกำลังจะกลืนหวังเป่าเล่อผู้ที่หลับตาทำสมาธิและชำระล้างวงแหวนปราณลงไปทั้งตัว!
ตอนที่ปากนั้นกำลังจะเขมือบชายหนุ่มลงไปนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เขาจึงลืมตาขึ้นอย่างปุบปับ แม้คนอื่นๆ จะมองไม่เห็นปากนั้น แต่หวังเป่าเล่อเห็นมันได้อย่างชัดแจ้ง ม่านตาของชายหนุ่มหดเล็ก หัวใจเต้นกระตุก ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้ทำอะไร เปลวไฟสีดำในร่างของเขาก็หลุดจากพันธนาการและปะทุขึ้นมาภายในกาย!
ราวกับว่าเปลวไฟสีดำสัมผัสได้ถึงความกระด้างกระเดื่องของผู้ใต้บังคับบัญชา มันจึงแผดเผาเพื่อแสดงพลังและแสนยานุภาพออกมา!
ประกายแสงน่าสะพรึงกลัวฉายสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ลูกตาดำของเขาในตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยเปลวไฟสีดำไปหมดสิ้น ความเยือกเย็นอันยากจะอธิบายพุ่งทะยานขึ้นมาในบัดดล ทำให้ทั้งห้องลับบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เปลวไฟสีดำปะทุออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อพร้อมกับความเยือกเย็นนั้น มันประสานเข้าด้วยกันและขยายตัวออกไปเป็นวงกว้าง!
ภายในห้องลับห่างไกลสายตาของผู้คน เปลวไฟสีดำสูงทะมึนขณะนี้ปกคลุมร่างของหวังเป่าเล่อเอาไว้จนหมด รัศมีความทรงอำนาจแผ่ออกมาจากกายของเขา ชายหนุ่มในตอนนี้ดูราวกับเป็นกำแพงที่ไม่มีวันพังทลาย ปากขนาดเขื่องนั้นบิดเบี้ยวอยู่ข้างๆ เปลวไฟสีดำ ก่อนจะส่งเสียงร้องด้วยความทรมาน
ปากนั้นดูราวกับเป็นคนธรรมดาที่กลืนกินเปลวไฟเข้าไป ไม่ช้ามันก็ละลายหายไป ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ปากขนาดเขื่องที่สร้างขึ้นจากพลังชีวิตของชายในชุดคลุมสีดำถูกเผาเป็นตอตะโก มันพยายามถอยหนี แต่เปลวไฟสีดำก็ไล่ตามอย่างไม่ลดละ ราวกับว่าต้องการลงโทษให้สมกับความผิดที่มันได้กระทำ!
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง ปากยักษ์ที่หมดหนทางหนีก็สลายตัวไปเองด้วยความหวาดกลัว ทำให้รอดเงื้อมมืดของเปลวไฟสีดำไปได้อย่างหวุดหวิด!
ที่มันทำเช่นนี้ได้เพราะชายในชุดคลุมสีดำนั้นทรงพลังมาก อีกทั้งเปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อก็อยู่เพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ไม่เช่นนั้น ต่อให้ชายในชุดคลุมสีดำยอมให้พลังชีวิตของเขากระจายตัวและสลายไป เขาก็คงหลบไม่พ้นการโจมตีของเปลวไฟสีดำอยู่ดี
ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมาก ตั้งแต่การปรากฏตัวของชายในชุดคลุมสีดำไปจนถึงการทดสอบ และท้ายที่สุดคือการตอบโต้ของเปลวไฟสีดำ บนท้องฟ้าภายนอก ไม่มีใครมองเห็นชายในชุดคลุมสีดำ ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำลายพลังชีวิตส่วนหนึ่งของตนเองลงไป สีหน้าของเขาขึ้นสีด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบถอยหนีไปไกลร่วมสามสิบเมตรอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าขณะนี้แสดงความตื่นกลัวและตกตะลึงเป็นที่สุด
“เปลวไฟสีดำ…นี่มัน…เป็นไปไม่ได้!” ชายในชุดคลุมสีดำตะโกนสุดเสียง เปลวไฟที่ไม่มีใครเห็นพวยพุ่งจากที่พักของหวังเป่าเล่อขึ้นไปบนฟ้า ทว่าเขาเห็นมันเต็มสองตา มันคือเปลวไฟสีดำ ที่ปลดปล่อยทั้งความร้อนและความเย็นเยียบอันหาที่ใดเปรียบไม่ได้ออกมา มันทรงพลัราวกับว่าสามารถสลายวิญญาณและขับเคลื่อนกงล้อของวัฏสงสารให้หมุนวนไปได้ เปลวไฟนี้มีความหมายกับชายในชุดคลุมสีดำอย่างยิ่ง มันมีอำนาจควบคุมที่เขาไม่อาจต่อกรด้วยได้!
เมื่อมองเห็นเปลวไฟสีดำ ชายในชุดคลุมสีดำที่จิตใจสั่นไหวอยู่แล้วก็ตัวสั่นงันงก ลมหายใจหอบถี่อย่างหนักเสียจนตัวโยน เขาแทบจะคุมสติสัมปชัญญะเอาไว้ไม่อยู่
เปลวไฟสีดำ ยังมีเปลวไฟสีดำอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร เขา…เขาเป็นบุตรแห่งความมืดจริงๆ! ชายชุดดำตัวสั่นยิ่งกว่าเก่า เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองแม้แต่น้อย
สำนักแห่งความมืดล่มสลายไปแล้ว จะยังมีบุตรแห่งความมืดหลงเหลืออยู่ได้อย่างไรกัน
“บัดซบ!” ชายในชุดคลุมสีดำตะโกนลั่นด้วยความกราดเกรี้ยว เขาไม่อาจควบคุมความกลัวที่กำลังครอบงำร่างกายไว้ได้ เขาไม่ได้คาดคิดว่าเจ้านายคนใหม่จะปรากฏตัวขึ้นเร็วเพียงนี้ เขาเพิ่งจะได้รับอิสรภาพมาหมาดๆ ชายในชุดคลุมสีดำไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ ความบ้าคลั่งและจิตสังหารแรงกล้าปรากฏขึ้นในดวงตาของคนผู้นี้
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ชายในชุดคลุมสีดำก็เริ่มใจเย็นลง เขาจ้องมองไปยังที่พักของหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบ เขายืนมองเงียบๆ อยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ ก่อนจะหายตัวไปอย่างช้าๆ
เขาเป็นบุตรแห่งความมืดแล้วอย่างไรกัน…ข้าเข้าใกล้เขาไม่ได้ ข้าทำร้ายเขาไม่ได้เพราะจะเสี่ยงต่อการถูกโต้กลับ…แต่ข้าสามารถโจมตีทางอ้อมและทำให้เขาถึงตายได้!
ทันทีที่ชายในชุดคลุมสีดำจากไป ภายในห้องลับในที่พักของหวังเป่าเล่อ เปลวไฟสีดำที่ควบคุมไม่ได้ก็ค่อยๆ เลือนลางและกลับเข้าไปในกายชายหนุ่มดังเดิม หวังเป่าเล่อตกตะลึง สีหน้าบูดเบี้ยว ชายหนุ่มรู้ว่าตัวการเบื้องหลังเคล็ดเวทอายุวัฒนะได้ลอบโจมตีเขาเข้าแล้ว
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่นานแล้วจึงเริ่มชำระวงแหวนปราณต่อไป ในที่สุดเขาก็ชำระวงแหวนปราณสำเร็จในตอนกลางดึกวันเดียวกัน เมื่อจ้องมองไปยังวงแหวนปราณที่กลับสู่สภาวะปกติ หัวใจของหวังเป่าเล่อก็ค่อยสงบลง
เปลวไฟสีดำของข้าโจมตีโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ดูเหมือนว่ามันสามารถรับมือกับผู้บุกรุกได้…หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างหนัก ชายหนุ่มก้มศีรษะลงมองพื้น ลึกลงไปใต้บริเวณที่เขายืนอยู่คือสุสานอาวุธเทพใต้ดิน
สำนักแห่งความมืดและวัตถุเวทแห่งความมืด…หวังเป่าเล่อเงียบงันไปชั่วครู่ ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่นานก่อนจะหยิบหน้ากากนิลออกมาและก้าวเข้าไปสู่มิติมายาเพื่อตามหาแม่นางน้อย
ครั้งนี้นางปรากฏตัวออกมา ยังคงสวยงามเช่นเก่า หญิงสาวหันหลังให้หวังเป่าเล่อ ดูเหมือนว่านางกำลังจ้องมองไปยังที่ๆ ไกลออกไป พลางครุ่นคิด
ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้เอ่ยปากพูด น้ำเสียงเยียบเย็นของนางก็ดังขึ้นมาก่อน
“ศูนย์วิจัยที่เจ้าไปดูมาก่อนหน้านี้น่ะ มีชิ้นส่วน…ของหน้ากากนิลอยู่ในนั้น ชิ้นส่วนนั้นมีตัวตนดั้งเดิมส่วนหนึ่งของข้าอยู่…”
“อ้อ” หวังเป่าเล่อเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีที่ได้ยิน ชายหนุ่มเปรียบเทียบทั้งสองเข้าด้วยกันและได้ข้อสรุปคล้ายๆ กัน แต่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุยเรื่องนี้ จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แม่นางน้อย ผู้ที่ลอบโจมตีข้าก่อนหน้านี้เป็นผู้ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดใช่หรือไม่ และปรมาจารย์เจ้าพูดว่าอาวุธเทพชิ้นนี้เป็นวัตถุเวทแห่งความมืด…แถมเมื่อครู่นี้ เปลวไฟสีดำของข้าจู่ๆ ก็พุ่งออกมาโจมตีราวกับมีชีวิตจิตใจเป็นของตนเอง เจ้าเคยบอกข้าไม่ใช่หรือว่าเราไม่ควรสำแดงเปลวไฟสีดำให้ใครดูง่ายๆ แต่นี่มันกลับพุ่งออกมาเอง ช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจทีเถิด” ทั้งหมดคือสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการจะรู้ในตอนนี้
“…” แม่นางน้อย ผู้ซึ่งยังคงหันหลังให้หวังเป่าเล่อตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แววตาของนางฉาบเคลือบไปด้วยความสงสัยและชั่งใจ นางไม่ได้รับรู้ถึงการจู่โจมใดๆ เลย นางสัมผัสไม่ได้ว่าเปลวไฟสีดำในกายหวังเป่าเล่อปะทุออกมาเอง อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่คนของสำนักแห่งความมืด!
แต่กระนั้นแม่นางน้อยก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว นางพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้คร่าวๆ จากสิ่งที่หวังเป่าเล่อเล่า หญิงสาวรู้สึกขมปร่าด้วยความอิจฉาและฉงนใจพร้อมๆ กัน ก่อนจะคิดกับตนเองว่า เจ้ามาถามข้า แล้วข้าจะไปถามใคร…แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ แม่นางน้อยนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง นางคิดว่าควรจะมอบหมายงานยากๆ ให้หวังเป่าเล่อ เพื่อให้เขาเลิกมากวนใจนางเรื่องสำนักแห่งความมืด หาไม่แล้วหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ความโป้ปดของนางคงจะถูกเปิดเผยในไม่ช้านี้เป็นแน่…
หญิงสาวเชิดคางขึ้นก่อนจะพูดอย่างเนิบๆ ยังคงรักษาท่าทีลึกลับเอาไว้เป็นอย่างดี
“ดีแล้ว ไหนๆ เจ้าก็รู้แล้ว ข้าจะเลิกปิดเจ้าก็ได้ มีวัตถุเวทแห่งความมืดอยู่ที่นี่จริง ข้าทิ้งมันไว้เองเมื่อนานมาแล้ว มันไม่ได้ดีเด่นเท่าใดหรอกนะ แต่ก็คงเหมาะที่จะให้เจ้าใช้ หากโชคชะตาฟ้าลิขิตไว้ เจ้าก็สามารถไปเอามันออกมาได้เลย!”
“ข้าไม่อยากลดตัวลงไปยุ่งกับคนที่ลอบโจมตีเจ้าเมื่อครู่ มันเป็นเพียงข้ารับใช้แห่งความมืดชั้นปลายแถวเท่านั้น”
“คราวหน้าก็อย่าตื่นตูมให้มากไปนัก จำไว้ เราเหล่าผู้ฝึกตนของสำนักแห่งความมืดเดินทางท่องไปทั่วจักรวาล ดวงดาวอาจแตกดับ แต่ห้วงอวกาศคงอยู่ตลอดไป เจ้าควรจะเยือกเย็นและมั่นคงในทุกๆ สิ่งที่เจ้าทำ!”
“เอาละ ข้าเหนื่อยแล้ว ออกไปเสียที”
บทที่ 415 รับผิดชอบการกระทำของตนเอง!
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม่นางน้อยยกมือขึ้นโบกหลังจากพูดจบ มิติมายาเริ่มพร่าเลือนขึ้นมาในทันที พร้อมคลื่นพลังวิญญาณที่หลั่งไหลออกมาด้านนอก พัดพาเอาหวังเป่าเล่อหลุดออกมาด้วย
เมื่อมิติมายากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง แม่นางน้อย หญิงสาวผู้งดงามชดช้อยในสายตาของหวังเป่าเล่อ ก็รีบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางยกมือทุบหน้าอก คิ้วคู่งามขมวดเป็นปม หญิงสาวมีสีหน้ายุ่งเหยิงและหงุดหงิด ความวุ่นวายใจนั้นทำให้นางถึงกับต้องกระทืบเท้าแรงๆ
ใครบางคนลอบโจมตีเขาอย่างนั้นหรือ ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกอะไรเลยเล่า…ไหนจะการปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันของเปลวไฟสีดำอีก ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน เจ้าบ้านี่ ไม่มีอย่างอื่นทำแล้วหรืออย่างไร ทำไมจึงต้องมาถามคำถามข้ามากมายเช่นนี้ด้วย
โชคยังดีที่บุรุษแซ่เจ้านั่นเล่าให้เขาฟังเพียงนิดหน่อย หาไม่แล้ว ข้าคงต้องถูกเปิดโปงในวันนี้อย่างแน่นอน…แม่นางน้อยกลัดกลุ้มใจ แถมยังปวดศีรษะตุบ นางเริ่มสำนึกเสียใจที่ได้คุยโวและพูดเกินจริงไว้มากมายเมื่อครั้งอดีต
ไม่ใช่ความผิดของข้าสักหน่อย ใครจะไปคิดกันว่าเขาจะบรรลุเคล็ดเวทได้จริงๆ เจ้าตัวประหลาดนั่น
แต่ถึงกระนั้น ข้าก็ฉลาดกว่าและได้มอบหมายภารกิจที่ไม่มีวันทำสำเร็จให้เขาไปแล้ว! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไปเอาวัตถุเวทแห่งความมืดออกมาจากสุสานใต้ดินได้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หัวใจของแม่นางน้อยก็สงบลงอีกครั้ง แต่ไม่นานนางก็เริ่มไม่มั่นใจในตนเองอีก ทุกๆ ครั้งที่นางคิดว่าภารกิจใดหนักหนาสาหัสเกินจะทำได้สำเร็จ เจ้าหวังเป่าเล่อคนนี้ก็ทำได้เสียทั้งหมดไป…
เป็นไปไม่ได้…แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าสิ่งที่หลับใหลอยู่ใต้ดินนั้นเป็นวัตถุเวทแห่งความมืดจริงหรือไม่ แต่ข้าก็รู้สึกได้ถึงรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวของมัน…ใช่แล้ว มันต้องไม่เป็นไรแน่ เขาไม่มีทางทำสำเร็จแน่นอน! แม่นางน้อยรีบปลอบใจตนเองเป็นการใหญ่ ก่อนจะแค่นหัวเราะ นางคงจะนอนหลับไปนานเกินไป สมองนางจึงไม่อยู่กับร่องกับรอย หาไม่แล้ว เหตุใดนางจึงคิดว่าหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น จะมีโอกาสได้ครอบครองสมบัติหายากชิ้นนั้นกันเล่า
ข้ากำลังสอนเขาให้รู้ว่าควรจะค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำและทำตามคำสั่งเสียบ้าง ใช่ ใช่แล้ว ทั้งหมดก็เพื่อตัวเขาเองทั้งสิ้น! แม่นางน้อยรู้สึกภูมิใจในตนเอง นางเริ่มฮัมเพลงออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว แต่แล้วนางก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ จึงนึกขึ้นได้ว่าทำนองนี้เจ้าบ้าหวังเป่าเล่อเคยฮัมให้ได้ยินมาก่อน นางรู้สึกขยะแขยงอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเปลี่ยนไปฮัมเพลงอื่นแทน
ในขณะที่แม่นางน้อยกำลังปลาบปลื้มกับไหวพริบของตนอยู่นั้น หวังเป่าเล่อที่เพิ่งถูกส่งออกมาจากมิติมายากำลังนั่งอยู่ในห้องลับของเขา ชายหนุ่มทบทวนสิ่งที่แม่นางน้อยพูด และรู้สึกว่ามันฟังสมเหตุสมผลดี แต่ขณะเดียวกันก็แคลงใจอยู่ไม่น้อย
นางบอกว่าอาวุธเทพใต้ดินนั้นเป็นสิ่งที่นางทิ้งเอาไว้ในอดีต ออกจะมากไปหน่อยกระมัง ความขี้คุยของนางนี่ช่างเหลือล้นเสียจริง…ความรู้สึกแรกของหวังเป่าเล่อคือความไม่เชื่อ แต่ไม่นานเขาก็เริ่มแคลงใจกับตนเอง ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงการพบแม่นางน้อยครั้งแรกๆ แล้วก็นึกได้ว่านางไม่เคยหลอกลวงหรือโป้ปดเขาเลยแม้สักครั้ง หากนางบอกว่าทำได้ เขาก็ทำได้อยู่เสมอ
ความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่านี้ทำให้หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจในตนเอง ชายหนุ่มเริ่มชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ที่แม่นางน้อยได้ทิ้งวัตถุเวทเอาไว้
หากเป็นความจริง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใดหากข้าจะเอาอาวุธเทพมาไว้ในครอบครอง บางทีอาจเป็นความจริงก็ได้ แม่นางน้อยพูดถูกมาโดยตลอด ชาติกำเนิดของนางก็เป็นปริศนา นางอาจจะเป็นบุคคลสำคัญที่มาจากกระบี่สำริดเขียวโบราณก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นขึ้นมา ชายหนุ่มนึกถึงข้ารับใช้แห่งความมืดที่แม่นางน้อยพูดถึง แล้วก็รู้สึกว่าชายที่ลอบจู่โจมเขาไม่ได้ดีเด่นหรือแข็งแกร่งเท่าใดนัก
ข้านึกว่าเขาอาจเป็นคนสำคัญ แต่กลับเป็นเพียงข้ารับใช้ไปเสียได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความเหนือกว่าขึ้นมาทันที ก่อนจะตบพุงอย่างเปี่ยมสุข ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกว่าแม่นางน้อยช่างเป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน
แต่ข้ามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะความพยายามของตัวเอง ข้าสร้างทุกสิ่งขึ้นมาด้วยเลือด เหงื่อ และน้ำตาของข้า! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มเตือนตนเองไม่ให้ลำพองเกินไปนัก เขาไม่ควรผลักความรับผิดชอบและภาระที่มาพร้อมความสำเร็จไปให้แม่นางน้อยเสียหมด อย่างไรเสีย ตัวเขาเองก็เป็นบุรุษทรงคุณธรรมที่สามารถจะแบกรับภาระและรับผิดชอบผลการกระทำของตนเองได้
ข้าทำงานมาหนักมาก ข้าจะไม่เสแสร้งแกล้งทำว่าข้ามีทุกวันนี้ได้เพราะแม่นางน้อย หวังเป่าเล่อเชื่อว่าระบบความเชื่อและคุณธรรมของตนนั้นอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ณ ตอนนี้ เขามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มจำตอนที่ได้เรียนรู้ทฤษฎีระเบิดต้านทานวิญญาณที่ศูนย์วิจัยขึ้นมาได้
การปะทะกันระหว่างปฏิสสารกับสสาร…
หวังเป่าเล่อนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจจะลองหลอมรวมพลังปราณเข้ากับปราณมืดดู และทดสอบความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการหลอมรวมนั้น แต่ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้ง เขาก็ไม่ได้ข้อสรุปอย่างจะแจ้งเสียที พลังปราณทั้งสองหักล้างกันเองตามธรรมชาติ ทันทีที่กระทบกัน ทั้งคู่ก็สลายหายไป
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าช่างน่าเสียดายและมาถึงทางตัน อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มยังคงเชื่อว่าทฤษฎีนั้นถูกต้อง เหตุผลที่เขาไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังอาจเป็นเพราะความรู้ของตนไม่เพียงพอ ชายหหนุ่มยังขาดบางอย่างไป
ข้าคงต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาและองค์ประกอบพรั่งพร้อม ข้าค่อยกลับมาลองอีกครั้งหนึ่ง หวังเป่าเล่อพักการทดลองเรื่องปฏิสสารกับสสารเอาไว้ ก่อนจะหันไปสำรวจวงแหวนปราณประจำนครอีกครั้ง ในที่สุด หวังเป่าเล่อก็ปลีกตัวไปถือสันโดษเพื่อศึกษาอาวุธเวทต่อด้วยหัวใจที่นิ่งสงบ
หลังจากที่ไปเยือนศูนย์วิจัย หวังเป่าเล่อก็ได้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการหลอมสวรรค์สร้างจากวงจรการหลอมอาวุธเวทเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มตั้งใจจะถือสันโดษและทบทวนข้อมูลใหม่ๆ หลังจากที่กลับมา เขาต้องการทดสอบความเข้าใจของตนเอง ทว่าความตั้งใจนี้ถูกชะลอไว้เพราะความวุ่นวายจากเคล็ดเวทอายุวัฒนะ ขณะนี้เมื่อปัญหาทุกอย่างได้รับการสะสางแล้ว แม้ว่าจะจับตัวการไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าตนกุมความได้เปรียบอยู่ แม่นางน้อยเป็นคนบอกเขาเอง อีกฝ่ายเป็นเพียงข้ารับใช้ต่ำต้อยเท่านั้น
หวังเป่าเล่อปล่อยวางอารมณ์ลง ก่อนจะเริ่มต้นทดสอบความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการหลอมสวรรค์สร้างจากวงจรการหลอมอาวุธเวท
สามวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า การเก็บกวาดหลังจากความวุ่นวายเรื่องเคล็ดเวทอายุวัฒนะยังคงดำเนินต่อไป แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำความสะอาดทุกสิ่งออกไปให้หมดภายในเวลาวันเดียว ยังมีผู้ฝึกตนที่ไม่ได้รับการตรวจสอบหลงเหลืออยู่บ้าง ทำให้ทุกๆ เขตในนครต่างก็ต้องตามหากันต่อไป แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก
มีคำร้องขออพยพครั้งใหญ่มาสู่นครใหม่ และได้รับการรับรองทั้งจากฝ่ายบริหารงานดาวอังคารและสหพันธรัฐแล้ว ไม่นานนัก เรือบินนับสิบก็พาประชากรใหม่มายังนครแห่งใหม่นี้
ประชากรใหม่ส่วนมากมาจากนครหลักบนดาวอังคาร มีส่วนหนึ่งมาจากโลก พวกเขารวบรวมคนมาได้มากถึงเพียงนี้เป็นเพราะฝ่ายบริหารงานดาวอังคารและสหพันธรัฐร่วมมือกันประโคมโฆษณาอย่างหนัก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการมอบทั้งสิทธิพิเศษและทุนช่วยเหลือเพื่อให้การอพยพเป็นไปอย่างราบรื่น
เมื่อประชากรจำนวนมากมาถึง เจ้าหน้าที่ระดับต่ำของสหพันธรัฐก็มาถึงด้วยเช่นกัน เพราะการเพิ่มขึ้นของประชากรครั้งนี้ ทำให้จำนวนเจ้าหน้าที่ระดับต่ำนั้นไม่เพียงพอ คนของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าและกลุ่มอำนาจต่างๆ มีไม่พอ ทำให้ทั้งสหพันธรัฐและฝ่ายบริหารงานดาวอังคารต่างก็ต้องส่งคนของตัวเองมาช่วย
หลี่ซิ่ว…ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาไม่ได้ใช้เส้นสายของบิดาแต่ใช้กำลังและความสามารถของตน ชายหนุ่มติดตามเหล่าผู้อพยพจนมาถึงดาวอังคาร สิ่งแรกที่เขาทำไม่ใช่ไปหาพี่สาวหรือพี่เขย หากแต่เป็นการไปพบหวังเป่าเล่อ
หลี่ซิ่วนั้นรู้จักหลินเทียนหาวอยู่ก่อนแล้ว เป็นเหตุให้เมื่อหลินเทียนหาวเสร็จจากการรายงานสถานการณ์ความวุ่นวายของเหตุเคล็ดเวทอายุวัฒนะให้หวังเป่าเล่อฟังแล้ว เขาได้พูดเบิกทางให้หลี่ซิ่ว
“ท่านเจ้าเมือง ข้ายังจัดการข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะในหลายเขตไม่เรียบร้อยดีนัก คิดว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันจึงจะสามารถรายงานข้อมูลที่แน่นอนได้ นอกจากนั้น…หลี่ซิ่วได้มาถึงดาวอังคารแล้ว เขามาหาข้าเพื่อขออนุญาตเข้าพบท่านขอรับ”
“หลิ่ซิ่วหรือ” สีหน้าของหวังเป่าเล่อแปลกแปร่งเมื่อได้ยินชื่อนั้น แต่เขาก็ยอมให้หลี่ซิ่วเข้าพบ เมื่อหลี่ซิ่วรู้ข่าว เขาก็มาถึงที่พักของหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้นเป็นอันมาก
เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ หลี่ซิ่วก็รีบก้าวเข้ามาหา เขายกมือขึ้นคารวะก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง
“ซิ่วเอ๋อร์คารวะท่านพี่เขย ท่านเจ้าเมือง!”
หลินเทียนหาวตกตะลึง หวังเป่าเล่อทำเพียงเลิกคิ้ว มีรอยยิ้มบางๆ ฉาบอยู่บนใบหน้าขณะที่จ้องมองหลี่ซิ่ว ก่อนจะพูดอย่างเนิบๆ
“พูดให้ดีนะ พี่เขยเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าเมือง เขาเป็นนายกเทศมนตรี!”
หลี่ซิ่วไม่ได้ดูเสียหน้าแต่อย่างใด เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะยกมือทุบอก สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติ เขากล่าวอย่างรวดเร็ว
“หลี่ซิ่วผู้นี้รู้จักพี่เขยเพียงคนเดียวเท่านั้น ก็คือท่าน ท่านเจ้าเมือง เจ้าอันธพาลเฉินมู่นั่น ข้าไม่ขอนับญาติด้วย เขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาไม่ได้ดูหล่อเหลาเท่าท่านพี่เขยของข้า เขาไม่ได้กล้าหาญ หรือไม่ได้ผอมเพรียวเท่าอีกด้วย ไหนจะยศถาบรรดาศักดิ์อันต่ำต้อย อายุตั้งปูนนั้นเป็นได้เพียงขุนนางระดับสี่ชั้นรอง ช่างเป็นกากเดนมนุษย์ที่ต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าขยะ!
“ท่านพี่เขยไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้ามาดาวอังคารครั้งนี้ก็เพื่อจะไปประจำอยู่ในเขตปกครองตนเองของเขา ข้าจะจับจาดูเจ้าคนชั่วนั่นอย่างใกล้ชิด ท่านไม่ต้องทำการสิ่งใดแม้แต่น้อย ข้าจะหาโอกาสกำจัดเขาด้วยตัวข้าเอง เจ้าคนบัดซบนั่นควรจะรู้จักส่องกระจกเสียบ้าง หน้าเขาหรือราวกับคางคก กล้าดีอย่างไรจึงจะมาแข่งขันกับท่านพี่เขยเพื่อแย่งพี่สาวข้ากัน!”
หลินเทียนหาวไม่ได้แสดงอาการตอบโต้คำพูดของหลี่ซิ่วแต่อย่างใด เพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อยเท่านั้น เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่หลิวต้าวปินมาถึง…
หวังเป่าเล่อจ้องมองหลี่ซิ่ว เขารู้สึกพึงใจอย่างยิ่ง แม้จะคิดว่าหลี่ซิ่วผู้นี้ยังต้องพัฒนาทักษะอีกหลายด้าน แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีดี ตัวอย่างเช่น ชายผู้นี้เป็นคนพูดความจริง ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์
“นายกเทศมนตรีเฉินก็เป็นเจ้าหน้าที่ของสหพันธรัฐเช่นกัน ข้าคิดว่าไม่เหมาะนักที่เจ้าจะเรียกเขาว่าคนบัดซบ ต่อไปนี้อย่าเที่ยวไปพูดเช่นนี้ท่ามกลางฝูงชน” หวังเป่าเล่อนั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังพึงใจอย่างมากอยู่ภายใน แม้ว่าถ้อยคำจะดูขึงขังก็ตาม
ดวงตาของหลี่ซิ่วเป็นประกาย เขารู้ดีว่าคำยกยอของตนได้ผลดี ก่อนจะรีบพูดข้อเสนอของเขาออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไหนๆ เจ้าก็มีความแค้นส่วนตัวกับนายกเทศมนตรีเฉิน ในฐานะเจ้าเมือง ข้าก็ไม่อาจจะทัดทานได้ ต่อให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นก็คงถูกมองว่าเป็นการขัดแย้งภายใน ข้าเองก็คงทำสิ่งใดไม่ได้มากไปกว่าช่วยไกล่เกลี่ยเท่านั้น” หวังเป่าเล่อพูด พลางจ้องมองหลี่ซิ่วอย่างเปี่ยมความหมาย ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบ
หลี่ซิ่วผู้นี้เป็นคนฉลาด หาไม่แล้วเขาคงไม่มาคารวะหวังเป่าเล่อทันทีที่ถึงดาวอังคาร ชายหนุ่มเข้าใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการจะสื่ออย่างฉับพลัน และรู้ว่าหวังเป่าเล่อตอบรับคำขอของเขา หลังจากที่ได้ใคร่ครวญถ้อยคำของหวังเป่าเล่อเป็นอย่างดีแล้ว หลี่ซิ่วก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดเป็นนัยว่าต้องการการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านเจ้าเมือง พี่เขยของข้า โปรดอย่ากังวล! ข้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเร็วที่สุด!” หลี่ซิ่วยกมือทุบอกอีกครั้ง เขารู้สึกตื่นเต้นและเปี่ยมล้นไปด้วยกำลัง ชายหนุ่มได้คิดวางแผนมาเป็นอย่างดีตั้งแต่ก่อนจะมาถึง เขาจะมาสวามิภักดิ์กับหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าเฉินมู่มากนัก
อย่างไรเสีย เขาก็มีพี่สาวคนเดียว แปลว่าเขาสามารถขายนางได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้ว หวังเป่าเล่อดีกว่าเป็นไหนๆ ความคิดของเขาและบิดานั้นขัดแย้งกัน เหตุการณ์บนดวงจันทร์ทำให้หลี่ซิ่วเคารพหวังเป่าเล่อมากขึ้นโข ความเคารพนั้นก่อตัวจนแทบจะกลายเป็นความคลั่งใคล้เมื่อหวังเป่าเล่อไต่อันดับยศถาบรรดาศักดิ์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
บทที่ 416 เสียงเคาะประตูในตอนกลางดึก!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นว่าความสง่างามของตนทำให้หลี่ซิ่วเข้ามาคารวะด้วยความเคารพ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่า นอกจากจะมีความหล่อเหลาเป็นอันดับหนึ่งในสหพันธรัฐแล้ว เขายังมีคุณสมบัติพิเศษอีกมากมายที่ทำให้ทุกคนต่างก็ต้องการเรียนรู้จากตัวเขา
ชายหนุ่มส่งหลี่ซิ่วกลับไปด้วยความลำพองใจ ก่อนจะส่งงานจุกจิกให้นายกเทศมนตรีคนอื่นๆ แบ่งกันไปทำ ตัวเขาเองนั้นแยกมาถือสันโดษเพื่อศึกษาทักษะการหลอมสวรรค์สร้างต่อไป
หวังเป่าเล่อคิดไปถึงข้อมูลเชิงลึกที่เขาได้รับมาจากการไปเยี่ยมชมศูนย์วิจัยก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนั้นเวลามีจำกัดนัก ครั้งนี้ชายหนุ่มตั้งมั่นว่าจะต้องบรรลุทักษะการหลอมสวรรค์สร้างให้จงได้ และในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ลืมฝึกตนไปด้วย หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเขาใกล้บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์เต็มที
ส่วนการหลอมอาวุธเวทภายในกายนั้น หวังเป่าเล่อทำมาต่อเนื่องไม่ได้ขาด ขณะนี้เมื่อเขาสะสางการงานอย่างอื่นเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เข้ามานั่งขัดสมาธิพร้อมทั้งดึงกระบี่เหาะเหินสีแดงและกระบี่สีดำออกมา วินาทีที่เขาดึงอาวุธเวททั้งสองออกมาพร้อมกัน แรงกดดันมหาศาลก็พลันพวยพุ่งออกมา ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่รู้แหล่งที่มาของแรงกดดันนี้ จึงเข้าใจไปว่าเป็นความร้ายกาจของวิญญาณวุธ
ทว่าหลังจากที่เข้าใจทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง หวังเป่าเล่อก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าอาวุธเวทนั้นเป็นเพียงพาหนะเท่านั้น เช่นเดียวกับวิญญาณวุธ แรงกดดันมหาศาลที่เกิดขึ้นและทำให้พลังของอาวุธเวทแข็งแกร่งถึงเพียงนี้มีต้นกำเนิดมาจาก ‘เทพ’ จากเมื่อครั้งบรรพกาล!
เทพที่ว่านี้คงจะเป็นอสูรดุร้ายหรือไม่ก็เคยเป็นผู้ฝึกตนมาก่อนกระมัง…หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิด ขณะที่พึมพำอยู่นั้นเอง เขาก็รู้สึกถึงอาวุธเวททั้งสองขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนว่าชายหนุ่มจะเห็นร่างเงาของเทพทั้งสองที่เคยปกปักษ์คุ้มครองสวรรค์และพื้นพิภพได้รางๆ
แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงจินตนาการของหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็แน่ใจว่าเขามาถูกทางแล้ว ในเมื่อการจะทึกทักถึงดวงจิตของทวยเทพที่อยู่มาก่อนนั้นเป็นเรื่องยาก ทางเดียวที่จะเข้าถึงดวงจิตนั้นได้คือผ่านอาวุธเวททั้งสองชิ้นนี้
ด้วยความคิดดังกล่าว หวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ ปล่อยตัวเองให้ผสานรวมเข้ากับอาวุธเวททั้งสอง เพื่อที่จะหาดวงจิตที่สถิตอยู่ภายในรวมไปถึงสัญญาณแห่งสติปัญญาที่อาจหลงเหลืออยู่ ชายหนุ่มต้องการสัมผัสถึงดวงจิตของทวยเทพขณะที่อยู่ระหว่างพื้นพิภพและสรวงสวรรค์
กระบวนการนี้ทั้งช้าและยาวนาน แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะรู้ดีว่าเส้นทางนี้ถูกต้อง แต่เขาก็ยังต้องการเวลาเพื่อจะบรรลุทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง
ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าจะใจร้อนไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็มั่นใจว่าหากตั้งหน้าตั้งตาฝึกต่อไป ก็จะบรรลุวิชาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นขณะที่เขานั่งสมาธิเพื่อเพิ่มพูนความรู้ เวลาก็ผ่านไปหลายวัน
สามวันผ่านไปไวราวกับโกหก
ในสามวันนั้น หวังเป่าเล่อทิ้งงานเล็กน้อยทั้งหมด ชายหนุ่มถวายทั้งหัวใจและวิญญาณให้กับการเรียนรู้เบื้องลึกของอาวุธเวททั้งสอง ราวกับว่าสติสัมปชัญญะของเขาได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธก็ไม่ปาน หวังเป่าเล่อตอนนี้เหมือนได้ทิ้งนครอาวุธเทพใหม่ไปและล่องลอยอยู่ที่กึ่งกลางระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพของดาวอังคาร ขณะที่ชายหนุ่มล่องลอยอยู่นั้น เขาได้ยินเสียงพูดพึมพำและเหมือนจะเห็นร่างมายาหลายร่าง แถมยังรู้สึกได้ถึงชิ้นส่วนความทรงจำของทวยเทพที่เคยสถิตอยู่บนดาวอังคาร
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความรู้สึกทั่วๆ ไปที่ไม่ได้ลงรายละเอียดชัดเจน หวังเป่าเล่อรู้สึกอยู่เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น และแม้ว่าชายหนุ่มต้องการเข้าใจมันเพียงใด เขาก็ยังทำไม่สำเร็จอยู่ดี ดูราวกับว่าหวังเป่าเล่อเองก็ได้แปรสภาพกลายเป็นดวงจิตที่ล่องลอยไปมาอยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพเช่นเดียวกัน
หลังจากที่ล่องลอยไปมาอยู่ระยะหนึ่ง ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็เกิดสั่นไหวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงดวงจิตที่รุนแรงดวงจิตหนึ่งที่ไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้ล่องลอยอยู่ห่างออกไป!
ดวงจิตนี้แข็งแกร่งราวดวงตะวันและดูคล้ายเปลวเพลิงเมื่อเทียบกับดวงจิตรูปแบบอื่นๆ แม้หวังเป่าเล่อจะสัมผัสมันเพียงแผ่วเบา ความร้ายกาจของดวงจิตนี้ก็ทำให้เขาตัวสั่น ตอนนั้นเองเสียงกรีดร้องหนึ่งก็ดังก้องอยู่ในใจของชายหนุ่ม
“ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”
เสียงกรีดร้องที่มาจากดวงจิตนี้ช่างโหดเหี้ยม และจิตสังหารที่แผ่ออกมาก็รุนแรงเสียจนอาจทำลายทั้งสวรรค์และพื้นพิภพได้ หวังเป่าเล่อไม่อาจทานทนพลังนั้นได้ ร่างกายเขาสั่นสะท้าน ก่อนจะพ่นเอาโลหิตออกมากองใหญ่ ชายหนุ่มเปิดตาขึ้นทันที เขาหอบหายใจเร็วถี่ หวังเป่าเล่อรีบยกศีรษะขึ้นโดยเร็ว ราวกับว่าสายตาของเขาสามารถมองทะลุกำแพงออกไปเห็นท้องฟ้าบนดาวอังคารได้กระนั้น
ดวงจิตนั้นเป็นของเทพองค์ใดกัน หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขายังอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย ชายหนุ่มค่อยใจเย็นลงได้บ้างหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก แต่เมื่อเขานึกย้อนไปถึงความบ้าคลั่งและดุร้ายของดวงจิตนั้น ก็ยังอดตื่นกลัวไม่ได้
สิ่งที่ข้าค้นพบเมื่อครู่นั้นจะใช่ทักษะสวรรค์สร้างไหมนะ หรือจะเป็นเพียงโรคความจำเสื่อมชั่วคราวในตำนานที่ระบาดในยุคกำเนิดวิญญาณกันแน่ หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ชายหนุ่มไม่สบายใจเอาเสียเลยเมื่อตระหนักได้ถึงอันตรายของทักษะการหลอมสวรรค์สร้าง แต่ขณะเดียวกัน เขาก็สนใจใคร่รู้และอยากจะค้นหาความจริงเกี่ยวกับดวงจิตที่แปลกประหลาดดวงนั้น
หากข้าสามารถหลอกล่อมันมาและสร้างพาหนะให้กับมันได้ละก็…โทรโข่งอาวุธเวทของข้าก็อาจเสร็จสมบูรณ์ขึ้นมาได้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เปี่ยมไปด้วยความหวัง ชายหนุ่มคิดว่าเขาอาจทำผิดขั้นตอนไป เขาควรจะสร้างพาหนะให้สำเร็จเสียก่อน คล้ายกับการสร้างกับดัก…
ไม่ใช่สิ ข้าเป็นเจ้านาย เจตนารมณ์ของข้าจะต้องเที่ยงตรง…สิ่งที่ข้ากำลังจะสร้างนั้นไม่ใช่กับดัก ข้ากำลังจะนำพาทวยเทพแห่งอดีตกาลให้กลับมาปรากฏอีกครั้ง เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้กลับมาเกิดใหม่! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าตัวเขามีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ชายหนุ่มปลาบปลื้มใจในความเฉียบแหลมของตนที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้
หวังเป่าเล่อยุติการถือสันโดษเพราะความภาคภูมิใจในตนเองนี้ ในใจเต็มไปด้วยความคิดเรื่องวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการพาหนะอาวุธเวท วัตถุดิบนั้นควรมีคุณสมบัติสองอย่าง อย่างแรกมันต้องเป็นวัตถุดิบที่ทรงคุณค่า และอย่างที่สองมันต้องมีส่วนผสมของวิญญาณวุธอยู่ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติแรกหรือคุณสมบัติที่สอง ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะหามาได้แม้เขาจะเป็นเจ้าเมืองก็ตาม ขณะที่ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดว่าจะหาสิ่งของเหล่านั้นมาอย่างไรนั้น เขาก็พลันเงยหน้าขึ้นจ้องประตูห้องลับด้วยความตื่นตกใจ
วินาทีที่เงยหน้าขึ้นมอง เขาเหมือนได้ยินเสียงใครสักคนเคาะประตูห้องลับอยู่ เสียงที่ตามมานั้นเจือความเร่งรีบและยังกระทบกับวงแหวนปราณแบบง่ายๆ ที่ชายหนุ่มสร้างปกคลุมที่พักเอาไว้ด้วย
นางมาที่นี่ทำไมกัน หวังเป่าเล่อคิด ชายหนุ่มรู้สึกได้ผ่านวงแหวนปราณของที่พักว่าผู้ที่อยู่ด้านนอกห้องลับคือเพื่อนบ้านของเขา หลี่หว่านเอ๋อร์นั่นเอง
ขณะนี้เป็นเวลากลางดึก ข้างนอกนั้นมืดสนิท การมาเยือนอย่างกะทันหันของหลี่หว่านเอ๋อร์ทำให้หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ขายหนุ่มใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะเพราะเสียงเคาะนั้นดูจะร้อนรนขึ้นอีก หลี่หว่านเอ๋อร์กระทั่งส่งข้อความเสียงผ่านแหวนสื่อสารมาหาหวังเป่าเล่อ ข้อความเสียงนั้นมีเพียงประโยคเดียว
“ช่วยข้าด้วย…”
เมื่อสิ้นประโยค เสียงเคาะประตูก็ขาดหายไป หวังเป่าเล่อมองเห็นหลี่หว่านเอ๋อร์ล้มลงหมดสติผ่านวงแหวนปราณ
ชายหนุ่มตกใจมาก เขาผุดลุกขึ้นยืนทันทีและรีบก้าวออกไปจากห้องลับ หวังเป่าเล่อใช้สมาธิทั้งหมดในการเรียกใช้งานอาวุธเวททั้งสองชิ้น และแจ้งข่าวไปยังองค์รักษ์เต๋าขั้นกำเนิดแก่นในที่เฝ้าอยู่ด้านนอกที่พักก่อนจะเปิดประตูออกไป
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้สึกถึงอันตรายจากภายนอกตอนที่เปิดประตู เขาก็ยังคงเปิดใช้งานอาวุธเวททั้งสองชิ้นอยู่ดี แรงกดดันมหาศาลจากอาวุธทั้งสองแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ
เมื่อหวังเป่าเล่อตรวจดูจนแน่ใจว่าไม่มีอันตราย เขาจึงก้าวเข้าไปใกล้ร่างไร้สติของหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างระแวดระวัง สีหน้าของหญิงสาวซีดเผือดทั้งยังตัวสั่น นางหมดสติไปแล้ว และริมฝีปากก็เป็นสีดำคล้ำ
นางถูกพิษหรือ หวังเป่าเล่อถึงกับผงะ ชายหนุ่มชะโงกหน้าไปมองและทาบฝ่ามือลงบนหน้าผากอีกฝ่าย ทันทีที่แตะโดนผิวนางเท่านั้น นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เบิกโพลง ลมหายใจรัวถี่ เขามีสีหน้าตื่นตะลึง
ชายหนุ่มรีบอุ้มนางเข้ามาในที่พักของตนทันที และรีบแจ้งให้องค์รักษ์เต๋าจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าป้องกันบริเวณภายนอกเอาไว้ จากนั้นก็พาหลี่หว่านเอ๋อร์เข้าไปในห้องลับ
เมื่อเข้าไปถึงห้องลับ หวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เขาขมวดคิ้วขณะจ้องมองหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ไร้สติ
ไม่มีปราณมืดออกมาจากกายนาง แต่ข้ารู้สึกราวกับมีขวดที่เต็มไปด้วยปราณมืดอยู่ภายในกายนาง แถมขวดนั้นก็ใกล้จะแตกเต็มที!
เหตุนี้เองที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสัมผัสถึงปราณมืดจากกายนางเลย แม้แต่ตอนนี้ที่เขากำลังจ้องนางอยู่ เขาก็ยังสัมผัสถึงมันไม่ได้ มมีเพียงการสัมผัสตัวนางและปล่อยพลังปราณของเขาเข้าไปสำรวจเท่านั้นจึงจะรู้สึกได้
ทำไมนางจึงตกอยู่ในสภาพนี้กัน หรือว่านางจะฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ทำไมผลของนางจึงแตกต่างจากคนอื่นๆ คำถามมากมายปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า หลี่หว่านเอ๋อร์เป็นถึงรองเจ้าเมือง และแม้ว่าพวกเขาจะเคยมีเรื่องบาดหมางกัน หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจปล่อยนางตายไปเฉยๆ ได้ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงเรื่องราวที่พวกเขาเคยผ่านมาร่วมกัน
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกมือขวาขึ้นและกดลงไปบนหน้าผากของหลี่หว่านเอ๋อร์ เมล็ดดูดกลืนในกายเขาระเบิดขึ้นและแปรเปลี่ยนเป็นพลังดูดกลืนที่ดึงเอาปราณมืดออกมาจากร่างของหลี่หว่านเอ๋อร์เพื่อให้นางพ้นอันตราย!
บทที่ 417 รักษาอาการบาดเจ็บ…
โดย
Ink Stone_Fantasy
ความหนาแน่นของปราณมืดในกายหลี่หว่านเอ๋อร์ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับตกตะลึง มันเข้มข้นมากเสียจนหากเขาล่าช้าไปอีกนิดเดียว นางคงได้จากโลกนี้ไปเป็นแน่!
อาจไม่เหมาะนักหากจะเรียกนางว่าศพ เพราะนางจะกลายเป็นคนตายที่ยังมีชีวิต และเป็นไปได้ว่าจะถูกคนอื่นควบคุมโดยไม่อาจรักษาให้หายได้
ความคิดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที เขาไม่เพียงต้องช่วยหลี่หว่านเอ๋อร์เท่านั้น แต่ยังต้องสืบหาต้นตอของเรื่องนี้อีกด้วย ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ต้องสืบให้รู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพียงครั้งคราวหรือเกิดอยู่บ่อยครั้ง และมันเป็นแผนการต่อเนื่องของผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่
ราวกับว่าความโกลาหลครั้งใหม่เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ครั้งเดิมยังไม่ถูกสะสาง หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเพิ่มพลังเมล็ดดูดกลืนให้รุนแรงขึ้นอีก ทว่าแม้ชายหนุ่มจะทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับการดูดกลืน แต่ปราณมืดในกายหลี่หว่านเอ๋อร์นั้นเข้มข้นเสียจนน่ากลัว สภาพร่างกายของนางอ่อนแอเสียจนไม่อาจทนต่อการดูดกลืนจากเมล็ดดูดกลืนเป็นระยะเวลานานๆ ได้
เพราะเหตุนี้การจะรักษานางภายในระยะเวลาอันสั้นจึงเป็นเรื่องเสี่ยงอย่างยิ่ง ทางเลือกเดียวคือต้องปล่อยให้นางฟื้นตัวหลังการดูดกลืนหนึ่งชุดและค่อยทำต่อในวันถัดไป เขาต้องทำเช่นนี้ไปอีกหลายวันเพื่อขจัดอันตรายในกายนางและฟื้นฟูรากฐานการฝึกตนของนางไปด้วย
แม้หวังเป่าเล่อไม่อาจขจัดปราณมืดทั้งหมดออกได้ในคราเดียว แต่เขาก็ช่วยกู้สติของนางให้กลับคืนมาได้ ผ่านไปห้านาทีหลังจากที่หวังเป่าเล่อใช้พลังดูดกลืนรักษาหลี่หว่านเอ๋อร์ปกติ ร่างของหญิงสาวก็ขยับ ขนตาพริ้มเพราของนางสะบัดไหวเบาๆ ขณะที่นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
วินาทีที่หลี่หว่านเอ๋อร์ลืมตา นางก็เห็นหวังเป่าเล่อ ทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันอย่างมาก และด้วยความที่หวังเป่าเล่อใจจดใจจ่ออยู่กับการช่วยชีวิตนาง เขาจึงไม่ได้คิดถึงสิ่งอื่นและวางตัวหลี่หว่านเอ๋อร์ไว้บนตัก
ดังนั้นเมื่อหญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วเห็นว่าตัวนางและหวังเป่าเล่อใกล้ชิดกันเพียงใด นางจึงสูดลมหายใจเข้าลึก แม้ภายนอกหญิงสาวจะดูปกติดี แต่นางก็ค่อยๆ ดึงตัวลุกขึ้นนั่งและถอยห่างออกไปนั่งอยู่ตรงข้ามกับหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเผยความยุ่งยากใจออกมาทางดวงตา
“เกิดสิ่งใดขึ้นกัน บอกข้าเร็ว” หวังเป่าเล่อจ้องหลี่หว่านเอ๋อร์เขม็ง พลางถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ชายหนุ่มไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจสิ่งอื่นในตอนนี้
หลี่หว่านเอ๋อร์หลุบสายตาลงต่ำเล็กน้อย นางใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะก้มลงมองร่างกายของตัวเองและเริ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น
“ข้าต้องการทดลองเคล็ดเวทอายุวัฒนะ จึงฝึกมันด้วยตนเองอยู่ระยะหนึ่งแล้วก็หยุด ทว่าข้ากลับสามารถบรรลุเคล็ดเวทได้อย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลบางประการ…”
“ข้าฝึกเคล็ดเวทนั้นอยู่เพียงสองวัน แต่กลับบรรลุถึงอีกขั้นหนึ่ง…” หลี่หว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้วอย่างไม่อยากจะเชื่อตนเอง
“อีกขั้นหนึ่งเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อสับสน ชายหนุ่มไม่เคยฝึกเคล็ดเวทนี้ด้วยตนเอง เขาเพียงศึกษาจากบันทึกของคนอื่นเท่านั้น ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่คุ้นชินกับเคล็ดเวทนี้ ต่างจากหลี่หว่านเอ๋อร์ผู้ซึ่งฝึกมันด้วยตนเอง
“เคล็ดเวทอายุวัฒนะส่วนแรกเท่านั้นที่ได้รับความนิยม แต่หากฝึกจนถึงขั้นสูงแล้วก็เป็นไปได้ที่จะบรรลุไปถึงส่วนที่สอง แต่เคล็ดลับการฝึกตนสำหรับส่วนที่สองนั้นไม่เป็นที่ปรากฏ”
“ขณะเดียวกันเมื่อบรรลุถึงส่วนที่สองแล้ว ปราณมืดที่สร้างได้จะถูกซ่อนไว้ภายใน ไม่แสดงให้เห็นความผิดปกติใดๆ…” หลี่หว่านเอ๋อร์อธิบาย เมื่อได้ยินนางพูด หวังเป่าเล่อก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ทำไมจึงไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากข้าช่วยเจ้าช้าไปเพียงนาทีเดียว เจ้าคงไม่ได้มานั่งพูดอยู่เช่นนี้”
หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ตอบคำ
หวังเป่าเล่อจ้องหน้าหลี่หว่านเอ๋อร์ผู้ดื้อดึงก่อนจะทอดถอนใจใหญ่ แม้ว่านางจะไม่ได้ตอบคำ ชายหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าเพราะเหตุใด พวกเขาทั้งสองตอนนี้นอกจากจะห่างเหินกันแล้วยังถือว่าไม่ถูกกันด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว ด้วยนิสัยของหลี่หว่านเอ๋อร์ นางย่อมไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากเขาเด็ดขาด และจะพยายามแก้ไขทุกอย่างด้วยตัวเอง
และความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่คิดขอความช่วยเหลือจากหวังเป่าเล่อ ทางหนึ่งนางคิดจะใช้ระดับปราณของตนยับยั้งสิ่งที่เกิดขึ้น และอีกทางหนึ่งนางก็อาจใช้วัตถุเวทที่หวังเป่าเล่อทำขึ้นขจัดปราณมืดออกจากร่างด้วยตัวเอง
ทว่าหลังจากที่พยายามอยู่หลายวัน นอกจากนางจะทำไม่สำเร็จแล้ว สถานการณ์โดยรวมกลับย่ำแย่ลงอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนนี้ เมื่อหลี่หว่านเอ๋อร์พยายามจะขจัดปราณมืด นางกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังล่อลวงนางให้ตามไป!
ความรู้สึกนั้นไม่ชัดเจนนัก เหมือนกับนางเสียการควบคุมร่างกายตนเองไป แต่ด้วยความเด็ดเดี่ยวของหญิงสาว ทำให้นางฝืนตัวเองไว้ได้ แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายตอนนี้ของตนเหมือนถุงใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำกรด น้ำกรดที่กัดเซาะอวัยวะภายในและส่งผลให้นางอ่อนกำลังลงอย่างมาก ขณะเดียวกัน หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ไม่อาจแก้ปัญหานี้เองได้ ในภาวะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนั้น นางจึงไม่เหลือทางเลือกนอกจากขอความช่วยเหลือจากหวังเป่าเล่อ
ด้วยความที่นางเป็นคนดื้อดึง การขอความช่วยเหลือจึงทำได้ยากยิ่ง หลี่หว่านเอ๋อร์รู้สึกอับอายที่จะตอบคำถามของหวังเป่าเล่อ นางจึงนิ่งเงียบเสีย ทว่านางก็รู้ขีดจำกัดของตนเอง จึงตัดสินใจยอมปริปากหลังจากที่เงียบมาระยะหนึ่ง
“ก่อนที่ข้าหมดสติไปนั้น ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังล่อลวงข้า ตอนที่ข้ายังมีสติอยู่ ข้าส่งคนไปยังสถานที่ที่ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นมา แต่ข้ารู้ทิศทางเพียงเลาๆ เท่านั้น และไม่แน่ใจว่าคนของข้าหาที่นั่นพบหรือไม่”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องนั้น เจ้ารักษาตัวให้หายก่อนเถิด” หลังจากที่หวังเป่าเล่อได้ฟังรายละเอียด เขาก็จัดแจงส่งคำสั่งผ่านแหวนสื่อสาร ก่อนจะหันกลับมามองหลี่หว่านเอ๋อร์อีกครั้ง
“เจ้าบาดเจ็บหนัก ข้าไม่สามารถรักษาเจ้าได้ภายในวันเดียว คงต้องใช้เวลาราวครึ่งเดือน เอาละ มาต่อกันเถอะ”
“…ขอบคุณ” หลี่หว่านเอ๋อร์ก้มหน้าลงและพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
หวังเป่าเล่อเริ่มต้นรักษาต่อไป ก่อนหน้านี้หลี่หว่านเอ๋อร์มีอาการสาหัสแถมยังไม่ได้สติและไม่รู้สึกสิ่งใดเลย กลับกันตอนนี้นางรู้สึกตื่นตัว หญิงสาวหน้าแดง แถมร่างกายยังสั่นเทา หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน
ปราณมืดนั้นไม่เพียงปะปนอยู่ในร่างของนางเท่านั้น แต่ยังหลอมรวมเข้าไปในเลือดเนื้อจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน หวังเป่าเล่อจำต้องสัมผัสทุกส่วนบนกายของหลี่หว่านเอ๋อร์ เพื่อให้การรักษานั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพื่อให้เมล็ดดูดกลืนกำจัดปราณมืดออกจากเลือดเนื้อของนางด้วย…
การสัมผัสนั้นจำกัดอยู่บนเสื้อผ้า แต่ไม่ช้า ภายใต้ความเงียบสงบในห้องลับ ลมหายใจอันถี่เร็วที่หลี่หว่านเอ๋อร์พยายามข่มไว้ก็ดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็อดใจเต้นรัวไม่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ทั้งสองต้องห่มอุ่นไอของกันและกันในถ้ำของผู้ฝึกตนนอกรีตครานั้น
ขณะนี้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งกว่า เพราะอย่างไรเสีย ในถ้ำของผู้ฝึกตนนอกรีตคราก่อนก็มืดสนิท ทว่าในห้องลับของหวังเป่าเล่อนั้นสว่างไสว…
เมื่อเห็นหลี่หว่านเอ๋อร์หลับตาลงและร่างกายสั่นเทา หวังเป่าเล่อก็กะพริบตาปริบเพราะหัวใจเต้นระรัว ความคิดสกปรกผุดขึ้นมาในใจอย่างควบคุมไม่อยู่…
หลี่หว่านเอ๋อร์ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งจึงลืมตาขึ้นมาอย่างฉับพลัน นางกัดริมฝีปาก พลางจ้องมองมาทางหวังเป่าเล่ออย่างบูดบึ้ง
“หวังเป่าเล่อ เจ้า…”
“เงียบนะ! ห้ามพูดระหว่างการรักษา” หวังเป่าเล่อจ้องนางเขม็ง ก่อนจะตบลงไปที่สะโพกของนางเต็มแรง ชายหนุ่มรู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นของมัน
เมื่อถูกหวังเป่าเล่อตีและดุ หลี่หว่านเอ๋อร์ผู้ที่คิดจะเตือนอีกฝ่ายไม่ให้ฉวยโอกาสก็ถึงกับตกตะลึง ขณะที่นางยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่นั้น หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ก่อนยกมือขึ้นโบกและดับไฟในห้องลับจนมืดสนิท
“ข้าหวังว่ามันจะช่วยให้เจ้าสงบจิตใจลงได้บ้าง ข้ากำลังพยายามรักษาเจ้าอยู่นะ!” หวังเป่าเล่อเป็นคนหน้าทน แม้ว่าหัวใจเขาจะเต้นแรงและในศีรษะเต็มไปด้วยความคิดอกุศล เขาก็ยังคงสีหน้าขึงขังเอาไว้แม้ว่าแสงไฟจะมืดดับไปแล้วก็ตาม
อาจเป็นเพราะความมืดหรือความตกใจที่นางได้รับจากหวังเป่าเล่อก็ไม่ทราบได้ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ตัดสินใจที่จะเงียบเฉยเสีย แม้ว่าลมหายใจของนางจะถี่ขึ้น นางก็ไม่ได้พูดสิ่งใดออกไป ราวกับว่าทำใจให้สงบลงได้ในระดับหนึ่ง…
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนเป็นสุภาพบุรุษผู้มั่นคงในคุณธรรม เขายังคงตั้งหน้าตั้งตารักษานางต่อไปอย่างเจาะลึกทุกรายละเอียด และเพราะขั้นตอนการรักษานั้นใช้เวลาอยู่สักหน่อย ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่าตนนั้นจริงจังและมีความรับผิดชอบ เขารักษาหลี่หว่านเอ๋อร์โดยการสัมผัสไปทั่วกายนางต่อไปอีกราวหนึ่งชั่วโมง
ระหว่างที่หวังเป่าเล่อรักษาหลี่หว่านเอ๋อร์อยู่นั้น ผู้ฝึกตนที่พวกเขาส่งไปก็ค้นจนทั่วบริเวณที่ถูกสั่งมา แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเพิ่มเติม
ทว่าอีกด้านหนึ่ง ในเขตปกครองตนเองของเฉินมู่ ในสถานที่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มีผู้คนนับพันยืนนิ่ง สีหน้าไร้อารมณ์ ไม่มีปราณมืดหลั่งไหลออกมาจากกายของพวกเขา แต่หากหวังเป่าเล่ออยู่ที่นั่นและสัมผัสร่างของพวกเขาเพื่อสำรวจเข้าไปภายใน ชายหนุ่มจะรู้ได้ทันทีว่าทุกคนในที่นี้เป็นเช่นหลี่หว่านเอ๋อร์ พวกเขามีปราณมืดอยู่ในร่างมากมายจนราวกับเป็นระเบิดปราณมืดก็ไม่ปาน!
บนพื้นเบื้องหน้าพวกเขามีรอยวาดวงแหวนปราณขนาดใหญ่ ชายในชุดคลุมสีดำที่ยืนอยู่ข้างๆ วงแหวนพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“มาเริ่มกันเลย!”
วินาทีที่เขาพูดออกมา ผู้คนไร้อารมณ์นับพันก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน สายตาว่างเปล่าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่ง แต่ละคนค่อยๆ ก้าวเข้าไปบนวงแหวนปราณอย่างช้าๆ วงแหวนปราณดูดกลืนร่างของพวกเขาจนเหลือเพียงความว่างเปล่า…
เมื่อผู้คนนับพันหายตัวเข้าไปในวงแหวนปราณหมดแล้ว แสงสีน้ำเงินก็ส่องเรืองขึ้นมาตรงใจกลางของวงแหวนปราณ
เมื่อมองดูใกล้ๆ แสงเรืองเรื่อนั้นดูเหมือนเมล็ด!
ชายในชุดคลุมสีดำหยิบเมล็ดขึ้นมาพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่ เขาดูผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ยังยิ้มออกมาได้
ช่างน่าเสียดายที่มีเวลาไม่มากนัก ข้าจึงสร้างได้เพียงเท่านี้ แต่ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำลายบุตรแห่งความมืดได้…
ขั้นต่อไปก็แค่ หาบุคคลผู้เต็มใจยอมปฏิบัติภารกิจนี้…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น