หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 410-411

 บทที่ 410 เรือเดียวดาย ชุดคลุมสีดำ และไม้พายตะเกียง!

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีบรรยากาศเหนือชั้นที่บรรยายไม่ได้แผ่ออกมาจากแผ่นหลังชายเสื้อฟ้าผมเทา เป็นบรรยากาศที่สูงส่งแต่ก็แฝงไปด้วยความยโส ราวกับมีคุณสมบัติหลากหลายอย่างมาผสมรวมก่อให้เกิดเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่ทำให้ทุกคนเบื้องหน้าต้องก้มหัวให้ด้วยความรู้สึกด้อยค่า


จินตั้วหมิงเองก็รู้สึกเช่นนั้น พอได้พบเจ้าผินฟางก็รีบทำความเคารพในทันที


“หมิงน้อยขอแสดงความเคารพท่านลุงเจ้า” จินตั้วหมิงรีบเอ่ยทักทาย เขารู้ดีว่าชายตรงหน้าไม่ได้พึ่งพาความสัมพันธ์เนื้อคู่แห่งเต๋าในการไต่เต้าขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน ต้องบอกว่าเจ้าผินฟางต่างหากที่มีความสำคัญกับทางสหพันธรัฐจนได้เนื้อคู่แห่งเต๋ามา นอกจากจะมีคุณสมบัติอันเหนือชั้นแล้ว การพัฒนาขั้นตำแหน่งของเขาก็เป็นไปอย่างราบรื่นด้วย


ทว่าหากเปรียบเทียบด้านชื่อเสียงกับเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารแล้ว เจ้าผินฟางนั้นไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่คนทั่วไป มีเพียงเหล่าคนระดับสูงในแต่ละกลุ่มอำนาจเท่านั้นที่จะทราบชื่อเสียงของเขา


หวังเป่าเล่อเองก็อยากกล่าวทักทายเช่นกัน แต่พอได้ยินจินตั้วหมิงเรียกแทนตนเองว่าหมิงน้อยก็แทบจะกลั้นขำไว้ไม่อยู่แม้จะรู้สึกกดดันเมื่อได้เห็นแผ่นหลังของเจ้าผินฟางอยู่ด้านหน้า ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนต้องทำอะไรจึงรีบกล่าวทักทายเจ้าผินฟางตามไปในทันที


“เล่อน้องขอแสดงความเคารพท่านลุงเจ้า”


จินตั้วหมิงเลิกคิ้วสูง เหลือบมองไปทางหวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูด พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายหลังจากเรียกแทนตัวเองว่า ‘เล่อน้อย’ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เตรียมตัวตนเองให้พร้อม


เจ้าผินฟางที่หันหลังมองดูภาพสลักอยู่มีสีหน้างุนงงไปแวบหนึ่ง ทว่าเขาก็สงบใจสำรวมท่าทีก่อนจะค่อยๆ หันกลับมา


เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจนหลังจากที่หันหน้ากลับมา ชายหนุ่มก็ต้องรู้สึกผิดที่คิดว่าตนมีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐ เพราะแม้จะย่างเข้าสู่ช่วงวัยกลางคนแล้ว เจ้าผินฟางก็ยังมีรูปลักษณ์โดดเด่นเหนือชั้นกว่าผู้อื่น เมื่อครั้งยังเยาว์วัยคงจะเป็นชายหนุ่มที่แสนจะละมุนละไมเป็นแน่แท้!


ถึงจะอยู่ในช่วงวัยกลางคนและมีผมสีเทา เขาก็ยังสง่างาม ดูหล่อเหลามากยิ่งขึ้นไปอีก


ที่นี่มีแต่ชายที่สมชาย… หวังเป่าเล่อถอนหายใจ รู้สึกอิจฉาขึ้นมาอยู่ภายใน แต่ก็รีบกลบฝังความรู้สึกไป เขารู้สึกคุ้นหน้าเจ้าผินฟาง แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเจออีกฝ่ายเมื่อใด


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังฉงนอยู่นั้น เจ้าผินฟางก็หันมามองจินตั้วหมิงและหวังเป่าเล่อด้วยแววตาสงบนิ่ง


เขาเลื่อนสายตาผ่านจินตั้วหมิง ให้ความสนใจในตัวหวังเป่าเล่อมากกว่า หลังจากประเมินชายหนุ่มด้วยสายตาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็แค่นเสียงออกทางจมูก


หวังเป่าเล่อตื่นตกใจไป รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่เข้าเกาะกุมหัวใจ เจ้าผินฟางละสายตาจากชายหนุ่มก่อนจะหันกลับไปทางภาพสลักอีกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว


หวังเป่าเล่อรู้สึกกังวลและไม่สบายใจหนักไปกว่าเดิม รีบหันไปมองจินตั้วหมิงด้วยแววตาสงสัยว่าสถานการณ์นี้คืออะไร จินตั้วหมิงกะพริบตา พยายามสื่อสารผ่านสายตาว่าตนก็ไม่รู้เช่นกัน


หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ตรงไหน เขาเริ่มคิดเดาสถานการณ์ในหัว


ทำไมถึงจ้องข้าเช่นนั้น ถึงกับแค่นเสียงทางจมูกใส่อีก…ไม่ใช่แล้ว ต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือว่าจะเป็น… ระหว่างที่หวังเป่าเล่อกำลังไตร่ตรองสถานการณ์ก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว ชายหนุ่มคิดว่าเจ้าผินฟางน่าจะอยากขอรับตนเป็นบุตรบุญธรรมเหมือนกันกับเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขา!


จินตั้วหมิงเห็นหวังเป่าเล่อเริ่มเป็นกังวลอีกครั้งก็หัวเราะและตัดสินใจไม่อธิบายสถานการณ์ให้ฟัง เขายืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ เจ้าผินฟางไม่ได้สนใจสีหน้าเป็นกังวลของชายหนุ่ม เขาจ้องมองภาพสลักอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ เปิดปากขึ้นเอ่ยประโยคแรกหลังจากได้พบชายหนุ่มทั้งสองคน


“พวกเจ้าทั้งสอง เข้ามาใกล้ๆ แล้วบอกข้าว่าเห็นอะไรในภาพสลักนี้”


เมื่อได้ยินเสียงเจ้าผินฟางดังขึ้น จินตั้วหมิงก็ก้าวออกไปยืนจ้องภาพสลักด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งในทันที หวังเป่าเล่อรีบปัดความรู้สึกในใจทิ้งไป ก่อนจะก้าวเข้าไปหยุดเคียงข้างเจ้าผินฟาง จากนั้นก็เงยหน้ามองภาพสลัก


ตอนที่เข้ามาในห้อง เขาได้เหลือบมองภาพสลักอยู่แวบๆ ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังจ้องมองภาพดาวเคราะห์ที่กำลังจะล่มสลาย มองภาพเหล่าวิญญาณที่ลอยออกมารวมตัวเป็นสายธารผสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ภาพสลักนี้ดูแปลกเล็กน้อย แต่เขามองไม่ออกว่าภาพนี้ต้องการจะสื่ออะไร ยิ่งเพราะมัวคิดมากกับสายตาแปลกๆ ที่เจ้าผินฟางจ้องมาก็ยิ่งสติเตลิดไปกันใหญ่ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลือกนิ่งเงียบ ทำเป็นจ้องมองภาพสลักอย่างละเอียดถี่ถ้วน


แต่ยิ่งจ้อง สายตาของหวังเป่าเล่อก็เริ่มหรี่เล็กลง เขาสัมผัสได้ไม่ชัดเจนตอนที่อยู่ห่างออกไป แต่พอมาอยู่ใกล้ๆ และได้จ้องมองภาพสลัก ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่แผ่ออกมาจากภาพนี้…


พลังนั้นบางเบาเสียจนคนอื่นๆ ไม่สามารถจับสัมผัสได้ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่ฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดนั้นกลับรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี ชายหนุ่มเดินตรงไปแตะภาพสลักเพื่อจะยืนยันสัมผัสของตนเอง ทันทีที่มือเขาแตะลงบนภาพสลัก หวังเป่าเล่อก็ตื่นตะลึงไป มั่นใจว่าพลังที่แผ่ออกมาจากภาพสลักคือปราณมืด!


“หมิงน้อย เจ้าว่าก่อน” ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงตื่นตะลึงอยู่ เจ้าผินฟางก็พูดขึ้น


จินตั้วหมิงรีบรับคำ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้ม


“ท่านลุงเจ้า สำหรับข้าแล้ว ภาพสลักนี้มีความหมายลึกล้ำแฝงอยู่ แม้ตัวข้าจะโง่เขลา แต่ก็บอกได้ว่าภาพสลักนี้แสดงให้เห็นถึงความหวัง ยกตัวอย่างเช่น การสูญสิ้นของจักรวาลนี้ และการกำเนิดของเหล่าวิญญาณ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นการสื่อให้เห็นอย่างสุดโต่ง ข้าคิดว่าจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นหากสิ่งต่างๆ เริ่มตึงเครียด ภาพที่นำเสนออย่างสุดโต่งนี้แสดงให้เห็นถึงความหวัง รวมไปถึงโอกาสที่ข้ายังไม่สามารถหยั่งรู้ได้!”


หวังเป่าเล่อสนใจคำตอบของจินตั้วหมิงไม่น้อย เขาไม่ได้มองแค่เพียงผิวเผิน แต่ได้ตีความหมายที่แฝงเอาไว้ในภาพสลักอย่างลึกซึ้ง ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าเจ้าผินฟางพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ฟังการตีความดังกล่าว เขาทราบในทันทีว่านี่คือการประเมินรูปแบบหนึ่ง!


พวกคนใหญ่คนโตเจอใครก็คิดจะทดสอบไปหมดเลยหรือไร หวังเป่าเล่อถอนหายใจ กำลังครุ่นคิดว่าจะตอบอย่างไรดี เสียงของเจ้าผินฟางก็ดังขึ้น


“หวังเป่าเล่อ ตาเจ้าแล้ว!”


“ชิ…” หวังเป่าเล่อไม่พอใจ รู้สึกว่าเจ้าผินฟางเลือกปฏิบัติ กับจินตั้วหมิงกลับเรียกแทนว่าหมิงน้อย น้ำเสียงที่พูดด้วยก็ดูอบอุ่น พอเป็นเขากลับเรียกชื่อตรงๆ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีอคติต่อตนอย่างไรอย่างนั้น


แม้ชายหนุ่มจะไม่รู้ว่าอคติของอีกฝ่ายเกิดจากสาเหตุใด แต่ตนนั้นแน่ชัดว่าอารมณ์ตัวเองที่คุกรุ่นอยู่นี้มีที่มาจากไหน ชายหนุ่มหันไปจ้องเจ้าผินฟาง


“ปรมาจารย์เจ้า แต่ละคนนั้นตีความภาพสลักนี้แตกต่างกันไป หมิงน้อยคิดว่ามันสื่อถึงความหวัง ส่วนข้าคิดว่าน่าจะเป็นพิธีกรรมอะไรสักอย่าง แต่ที่แต่ละคนตีความกันนั้นก็เป็นแค่การคาดเดา ข้าเองก็มีการตีความภาพสลักนี้ในแบบของข้า!”


“ภาพสลักนี่มีที่มาจากสุสานอาวุธเทพใต้ดินบนดาวอังคาร!” เจ้าผินฟางมีสีหน้าเฉยเมยตลอดช่วงครึ่งแรก แต่พอได้ยินช่วงครึ่งหลัง เขาก็หันมามองหวังเป่าเล่อในทันที


สายตาที่มองมาไม่ได้เป็นสายตาประเมินค่า แต่เป็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย


“ทำไมถึงว่าเช่นนั้น”


“รู้สึกได้ตามสัญชาตญาณ!” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น ยืนเอามือไพล่หลังพร้อมกพูดขึ้นอย่างใจเย็น พยายามแสดงออกให้เจ้าผินฟางเห็นว่าตนไม่พอใจที่เขาเลือกปฏิบัติเช่นนี้


จินตั้วหมิงกะพริบตาและถอยหลังไป รู้สึกว่าน้ำเสียงที่หวังเป่าเล่อพูดกับเจ้าผินฟางนั้นช่างวอนโดนดีเสียจริง เจ้าผินฟางยังคงมองชายหนุ่มด้วยแววตาสงสัยที่เพิ่มมากขึ้น ความสงสัยในแววตาค่อยแปรเปลี่ยนเป็นการยอมรับ ราวกับว่าพอใจในคำตอบของหวังเป่าเล่อ ขณะที่จินตั้วหมิงกำลังตื่นตะลึงอยู่นั้น เจ้าผินฟางก็หัวเราะขึ้น


“มีคนมากมายจากสหพันธรัฐที่ได้เชยชมรูปนี้ก่อนพวกเจ้า แต่หวังเป่าเล่อ เจ้าเป็นคนแรกที่สามารถบอกแหล่งที่มาของภาพสลักนี้ได้โดยที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน!


“สมกับเป็นเจ้าเมืองนครอาวุธเทพใหม่ที่จัดการสุสานอาวุธเทพใต้ดินได้ เจ้าได้ศึกษาสุสานมาอย่างดีจนช่วยขัดเกลาสัญชาตญาณของตัวเองให้แม่นยำยิ่งขึ้น!


“ถูกแล้ว ภาพสลักนี่มาจากสุสานอาวุธเทพใต้ดินบนดาวอังคาร เป็นของที่ค้นพบเมื่อมีการเข้าไปตรวจสอบภายในสุสานเป็นครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน!


“ภาพสลักนี้เป็นของพิเศษ มันเปลี่ยนไปตลอดเวลา เมื่อต้องกับสภาพแสงต่างๆ ภาพที่ซ่อนอยู่อื่นๆ ก็จะปรากฏให้เห็น!” เจ้าผินฟางยกมือขวาขึ้นโบกขณะพูด ทันใดนั้น แสงในห้องวิจัยหมายเลขสามก็แปรเปลี่ยนไป ถ้ำที่อยู่ล้อมรอบเลือนหายกลายเป็นจักรวาลเข้ามาแทนที่!


ราวกับว่าทั้งสามได้ถูกเคลื่อนย้ายมาอยู่ในห้วงอวกาศ ขณะที่พวกเขายืนอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ สิ่งรอบตัวและภาพสลักก็ผสานรวมกัน อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาสู่โลกในภาพสลัก


และเป็นตอนนั้นเองที่รูปวาดในภาพสลักพลันแปรเปลี่ยนไป แม้ดาวเคราะห์จะยังล่มสลายและวิญญาณมากมายยังลอยล่องเป็นสายธาร ที่ปลายสายธารวิญญาณด้านนอกดาวเคราะห์นั้น มีเรือเดียวดายสีดำปรากฏขึ้นในอวกาศ!


บนเรือเดียวดายมีชายชุดคลุมสีดำอยู่คนหนึ่ง ในมือของเขาถือไม้พายแปลกตาที่มีตะเกียงห้อยลงมา


เรือเดียวดาย ชุดคลุมสีดำ และไม้พายตะเกียง!


เส้นทางของเรือเดียวดายนั้นเหมือนจะแบ่งแยกแสงสว่างออกจากความมืด แสงจากตะเกียงเป็นดั่งแสงนำทางจากหอประภาคาร เมื่อชายชุดคลุมดำพายเรือไปด้านหน้า สายธารวิญญาณเบื้องหลังก็ไม่ได้ดูทุกข์ทรมานอีกต่อไป พวกมันเคลื่อนตัวไปอย่างสงบสุข


“มีใครเคยได้ยินเรื่องสำนักแห่งความมืดหรือไม่” เสียงของเจ้าผินฟางที่แฝงไปด้วยความเคารพจากก้นบึ้งของหัวใจดังก้องไปทั่วอวกาศ นั่นไม่ใช่คำถาม เขาเพียงพึมพำกับตนเองเท่านั้น


บทที่ 411 ตำนานของสำนักแห่งความมืด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“สำนักแห่งความมืดเช่นนั้นหรือ” จินตั้วหมิงตัวแข็ง เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยินชื่อนี้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเจ้าผินฟางไม่ได้กำลังพูดถึงสายตระกูลจากบนโลก สำนักแห่งความมืดต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสุสานอาวุธเทพใต้ดินอย่างแน่นอน จากการคาดคะเนของจินตั้วหมิง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสำนักแห่งความมืดต้องเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเป็นแน่!


ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวของจินตั้วหมิง ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตว่านัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า “สำนักแห่งความมืด” ฝ่ายนั้นมีอารมณ์พุ่งพล่านอยู่ในใจ เขาไม่ได้คาดการณ์มาก่อนว่าเจ้าผินฟางจะล่วงรู้เรื่องสำนักแห่งความมืดเช่นกัน!


แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคุมตัวเองได้ดี เขาเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าฉงนอย่างแนบเนียน


“สำนักแห่งความมืดหรือ”


เจ้าผินฟางไม่ได้ใส่ใจจินตั้วหมิงหรือหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย คำพูดที่ออกจากปากเขาอาจฟังดูเหมือนเป็นคำถาม แต่แท้ที่จริงแล้วเขากำลังพูดกับตนเองอยู่ เจ้าผินฟางไม่เชื่อว่าหวังเป่าเล่อหรือจินตั้วหมิงจะรู้เรื่องสำนักแห่งความมืด เพราะอย่างไรเสียมันก็เป็นสายตระกูลลึกลับที่สืบทอดมาแต่โบราณ ขนาดตัวเขาเอง ผู้ซึ่งใช้เวลาไปหลายปีในการค้นคว้าหาข้อมูลก็ยังพบหลักฐานเพียงไม่กี่ชิ้น ทั้งๆ ที่ศึกษาสุสานอาวุธเทพใต้ดินและประวัติศาสตร์ของกระบี่สำริดเขียวโบราณที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนแล้วก็ตามที


“สำนักแห่งความมืด…เมื่อครั้งรุ่งเรืองสูงสุดนั้น มีอำนาจเหนือวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด ปกปักษ์พิทักษ์วิญญาณทั่วทั้งจักรวาล…อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งความตายของจักรวาลนี้!”


“อันที่จริง ข้าคิดว่ามีอีกชื่อหนึ่งที่อาจจะเหมาะกว่า…คือชื่อเต๋าสวรรค์!


“พวกเขาอาจจะเป็นเต๋าสวรรค์ หรืออาจจะเป็นเพียงกายเนื้อของเต๋าสวรรค์ หรือบางทีก็อาจจะเป็นเทวทูตของเต๋าสวรรค์ ผู้ซึ่งมีหน้าที่ปกปักษ์รักษากฎเกณฑ์ของจักรวาลก็เป็นได้!”


“จากบันทึกที่เราพบในชิ้นส่วนกระบี่ บ้างเชื่อกันว่าสำนักแห่งความมืดเป็นเพียงเรื่องเล่า เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ทว่ายิ่งเราพบชิ้นส่วนกระบี่มากขึ้นเท่าใด รวมถึงการค้นพบวัตถุเวทแห่งความมืด ก็มีหลักฐานยืนยันเพียงพอที่จะบอกได้ว่าสำนักแห่งความมืดนั้นมีอยู่จริง ไม่เพียงเท่านั้น…ในช่วงเวลาที่สำนักดำรงอยู่ จุดรุ่งเรืองสูงสุดของสำนักยิ่งใหญ่เกินจิตนาการของคนรุ่นหลังไปไกลนัก!” เจ้าผินฟางพูดด้วยสายตาที่ทอประกายแห่งความเทินทูน เขาพูดรัวเร็ว น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยสำเนียงแห่งความมุ่งหวัง การรอคอย และความเคารพ


“เจ้าลองจินตนาการดูสิ สมาชิกสำนักแห่งความมืดรอนแรมไปทั่วจักรวาล ที่ใดมีความตาย ที่นั่นก็มีคนจากสำนักแห่งความมืดคอยนำทาง…ภาพสลักบนกำแพงนี้เป็นรูปหนึ่งในสมาชิกสำนัก กำลังนำดวงวิญญาณของผู้ตายเดินทางออกจากดวงดาวที่กำลังแตกดับ…


“โชคไม่ดีนัก…ที่ข้าไม่อาจแกะข้อมูลจากเอกสารจำนวนหยิบมือที่พบได้มากเท่าใดนัก…เมื่อนานแสนนานมาแล้ว สมาชิกจากสำนักแห่งความมืดผู้นี้…หายตัวไป เขาอาจจะตาย หรืออาจเพียงเลือกเดินจากไป แต่จะอย่างไรก็ตามแต่ เขาไม่มีตัวตนอีกต่อไป”


“แม้ว่าสำนักแห่งความมืดจะไม่มีอยู่แล้ว…สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลังก็ยังคงอยู่ อาวุธเทพบนดาวอังคารนั้นไม่ใช่อาวุธเทพธรรมดา จากการวิเคราะห์ของข้า มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่มันจะเป็นวัตถุเวทแห่งความมืดที่สำนักแห่งความมืดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง!” เจ้าผินฟางสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าเกลื่อนดาวรายรอบตัวพวกเขาก็หายวับกลับเป็นผนังถ้ำตามเดิม ชายในชุดคลุมสีดำและเรือบนภาพสลักบนผนังถ้ำก็อันตรธานไปพร้อมๆ กัน ทุกสิ่งกลับสู่ภาวะปกติ


ทั้งจินตั้วหมิงและหวังเป่าเล่อต่างก็หายใจหอบถี่ หัวใจเต้นรัวเร็ว สำหรับจินตั้วหมิง สำนักแห่งความมืดฟังดูเหมือนนิทานปรัมปราเท่านั้น ทว่านิทานเรื่องนี้กลับเกี่ยวข้องโดยตรงกับสุสานอาวุธเทพใต้ดินที่อยู่ใต้นครใหม่ ราวกับว่าอดีตกาลอันยาวนานและปัจจุบันได้มาบรรจบกันและซ้อนทับกันอยู่กระนั้น นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายสว่างอย่างประหลาด ความชื่นชมยินดีและความถวิลหาช่วงเวลาในอดีตกาลที่เป็นของสำนักแห่งความมืดก่อตัวขึ้นในใจ


ชายหนุ่มปรารถนาที่จะมีพลังอำนาจมหาศาลซึ่งควบคุมได้กระทั่งความตายและการเวียนว่ายตายเกิดบ้าง


หวังเป่าเล่อดูตื่นตกใจไม่แพ้กัน ทว่าความตื่นตกใจที่เขารู้สึกในใจนั้นเกินกว่าที่แสดงออกทางสีหน้าไปมากนัก เพราะตัวเขาเองรู้เรื่องสำนักแห่งความมืดอยู่ก่อนแล้ว และยังฝึกฝนวิชาแห่งศาสตร์มืดอยู่ด้วย บางครั้งชายหนุ่มยังรู้สึกราวกับว่าตัวเขาเองมีความเกี่ยวข้องกับคนจากสำนักแห่งความมืดเสียด้วยซ้ำ


หวังเป่าเล่อยิ่งตกใจเมื่อมาได้ยินเรื่องราวของสำนักแห่งความมืดในสถานะนี้ แม่นางน้อยเองแม้จะเคยเล่าเรื่องนี้บ้างแต่ก็ไม่เคยลงรายละเอียดถึงเพียงนี้


คำพูดของเจ้าผินฟางราวกับเปิดประตูให้หวังเป่าเล่อ ไปสู่ความเข้าใจอันยิ่งใหญ่ครั้งใหม่เกี่ยวกับสำนักแห่งความมืด ชายหนุ่มเข้าใจสำนักแห่งความมืดลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ความต้องการของเขาต่างออกไปจากของจินตั้วหมิง หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าหากเขาฝึกฝนวิชาแห่งศาสตร์มืดต่อไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นสุดยอดของเคล็ดเวทนั้น เขาก็อาจสามารถ…เดินทางท่องไปในจักรวาลได้เช่นกัน


ความคิดนี้ทำให้หัวใจหวังเป่าเล่อเต้นแรง หอบหายใจแรงขึ้น เขาหันกลับไปสบตาจินตั้วหมิง ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปมองเจ้าผินฟาง


เจ้าผินฟางสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เขาหันมา สายตาจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มทั้งสอง ดูเหมือนอยากพูดเรื่องสำนักแห่งความมืดต่อ ทว่าแหวนสื่อสารของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน เจ้าผินฟางก้มลงมองแล้วแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะตัดสินใจจบบทสนทนาและรีบรุดออกไปในทันที


แต่ก่อนที่จะไป เขาเรียกร่างมายาสาวออกมา และให้นางพาทั้งจินตั้วหมิงและหวังเป่าเล่อไปดูห้องทดลองอีกสามห้อง แถมยังอนุมัติการก่อสร้างสถาบันวิจัยขึ้นในนครใหม่อีกด้วย


“ข้าอนุญาตให้สร้างสถาบันวิจัยได้ แต่เจ้าจงจำเอาไว้เสมอว่า สุสานอาวุธเทพใต้ดินนั้นเกี่ยวข้องกับสำนักแห่งความมืด จงระมัดระวังตัวอยู่ตลอด วันหนึ่งเมื่อกำแพงสลายไป พวกเราอาจจะได้รู้เสี้ยวหนึ่งของปริศนาอันลึกลับที่สำนักแห่งความมืดปกปิดเอาไว้มาเป็นเวลานาน!” หลังจากที่พูดจบ เจ้าผินฟางก็หันหลังกำลังจะเดินออกไป มีความวิตกกังวลอยู่ในสายตา ข้อความบนแหวนสื่อสารนั้นต้องสำคัญกับเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็หยุดเดินเมื่อไปถึงประตูทางเข้าของห้องทดลองหมายเลขสาม ก่อนจะหันมามองหวังเป่าเล่อและเอ่ยปากว่า


“หวังเป่าเล่อ ลดขนมและออกกำลังกายให้มากกว่านี้เสียหน่อย เจ้าเป็นถึงขุนนางระดับสามชั้นสูงและเป็นเจ้าเมือง เไม่ควรกินขนมมากถึงเพียงนี้ ดูไม่ควรเอาเสียเลย เจ้าควรหมั่นฝึกปราณให้มากเช่นกันและบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!” เขาจ้องมองหวังเป่าเล่ออีกชั่วอึดใจ ก่อนจะจากไป


หวังเป่าเล่องุนงงเล็กน้อย เขาคิดว่าประโยคสุดท้ายที่เจ้าผินฟางพูดก่อนจะจากกันนั้นแปลกอยู่ไม่น้อย


ทำไมเขาถึงพูดจาเหมือนเป็นบิดาข้านักทั้งที่ก็ไม่ใช่! อีกอย่างข้าเองก็ผอมเพรียวหุ่นดีอยู่แล้ว จะต้องลดน้ำหนักไปเพื่อสิ่งใดกัน


ด้วยหัวใจที่สงสัยและหนักอึ้ง ทั้งหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงก็เดินตามร่างมายาสาวไปชมห้องทดลองอีกสามห้อง แต่ห้องทดลองทั้งสามนี้ดูเหมือนเน้นไปที่การทำวิจัยและการทดลอง จนทั้งสองดูไม่ค่อยเข้าใจนัก อีกอย่างชายหนุ่มทั้งสองยังคงสับสนกับเรื่องราวของสำนักแห่งความมืดที่พวกเขาได้รับรู้มา จึงไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจการเดินชมห้องทดลองทั้งสามแม้แต่น้อย ในที่สุดร่างมายาสาวก็พาพวกเขาออกมาจากศูนย์วิจัย


เมื่อพวกเขาเข้ามาในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายแล้วหวังเป่าเล่อจึงค่อยสงบจิตใจลงได้บ้าง ชายหนุ่มหันไปมองร่างมายาสาวผู้ซึ่งดูเหมือนแม่นางน้อยไม่ผิดเพี้ยน ก่อนจะหันไปมองศูนย์วิจัยที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งดูเหมือนจะซ่อนความลับเอาไว้นับไม่ถ้วน เขารู้สึกได้ว่า…สหพันธรัฐต้องซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ที่นี่อย่างแน่นอน!


บางทีอาจจะมีผู้อยู่ในขั้นกำเนิดวิญญาณอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ได้ หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่คนเดียว ก่อนจะถูกเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปพร้อมจินตั้วหมิง ความรู้สึกสงสัยยังคงพลุ่งพล่านอยู่ในใจ


เมื่อทั้งคู่มาปรากฏตัวที่นครหลักดาวอังคารอีกครั้ง พวกเขาก็ปล่อยลมหายใจออกมาพร้อมกัน ทั้งคู่ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ในเมืองนาน พากันขึ้นเรือบินและมุ่งหน้ากลับนครใหม่ในทันที


จินตั้วหมิงพึงพอใจกับการไปเยือนครั้งนี้อย่างยิ่ง เขาได้รู้ข้อมูลลับหลายประการ แถมสิ่งสำคัญที่สุดคือคำขอเรื่องการก่อสร้างศูนย์วิจัยของพวกเขาได้รับการอนุมัติ ชายหนุ่มรู้สึกว่าการที่เขาตัดสินใจพาหวังเป่าเล่อไปด้วยนั้นเป็นการเดินหมากที่ชาญฉลาดยิ่ง


จินตั้วหมิงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับหวังเป่าเล่อ แต่เขาได้เคยขอเข้าพบเจ้าผินฟางมาก่อนหน้านี้ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมมาพบ เป็นเหตุให้จินตั้วหมิงกลับมานอนครุ่นคิดอย่างหนัก เมื่อเขาส่งคำขอไปอีกครั้งจึงต้องใช้ชื่อหวังเป่าเล่อบังหน้า


รอบนี้เจ้าผินฟางจึงยอมให้เข้าพบได้


จินตั้วหมิงเตรียมการไว้มากมายหลังจากที่คำขอของพวกเขาบรรลุผล เขาคาดการณ์ไว้กระทั่งว่า หวังเป่าเล่ออาจก่อเหตุน่าอับอายต่อหน้าเจ้าผินฟาง หากเกินเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น เขาคงต้องก้าวเข้ามาแก้สถานการณ์ ปรมาจารย์เจ้าดูไม่ใช่คนประเภทที่จะเหยียบซ้ำคนล้ม


แต่ปรมาจารย์เจ้าเพียงวิเคราะห์ผ่านการจ้องมองเท่านั้น ไม่ได้ทำการอื่นใด…บางทีเขาอาจจะคิดว่าหวังเป่าเล่อไม่เลวนักก็ได้ ไม่น่าเป็นไปได้ แต่หากไม่ใช่เพราะเหตุนั้น ทำไมเขาจึงยอมบอกความลับพวกเรามากมาย แถมยังช่วยหวังเป่าเล่อให้เข้าใจการหลอมอาวุธเวทมากขึ้นอย่างอ้อมๆ อีก…แม้จินตั้วหมิงมีคำถามมากมายในใจ แต่ก็ยังรู้สึกพึงพอใจกับข้อมูลที่ได้มา


ฝ่ายหวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกว่าได้ข้อมูลมามากเช่นเดียวกัน เขาได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของสำนักแห่งความมืด แถมยังได้เรียนรู้ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างอย่างทะลุปรุโปร่ง


ประวัติศาสตร์นั้นขยายขอบเขตความรู้ของหวังเป่าเล่อ ในขณะที่ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างช่วยเพิ่มพูนทักษะของเขาซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาการหลอมอาวุธเวทอยู่


แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าสายตาที่เจ้าผินฟางจ้องมองเขาและคำพูดสุดท้ายนั้นออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย เขายังคิดไปถึงการที่จินตั้วหมิงชวนให้เขาไปด้วย หวังเป่าเล่อรู้สึกตงิดใจว่าจินตั้วหมิงใช้ประโยชน์จากตัวเขาในการเข้าพบเจ้าผินฟางและเพื่อการได้รับอนุมัติคำร้องอีกด้วย


เมื่อคิดได้เช่นนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลิกคิ้วขึ้น พลางเอื้อมมือไปแตะบ่าจินตั้วหมิงเบาๆ เป็นเชิงเรียก ก่อนพูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า


“ลูกพี่จิน เจ้ารู้ไหมว่าช่วงนี้ข้ากำลังหัดหลอมอาวุธเวทอยู่ แต่ว่ามีตัวอย่างอาวุธเวทไม่เพียงพอ ข้าจะขอยืมจากเจ้าสักห้าสิบชิ้นจะได้หรือไม่”


จินตั้วหมิงผู้ซึ่งกำลังอารมณ์ดี ตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ


“เจ้าคิดจะปล้นข้าหรืออย่างไร ข้าดูเหมือนคนที่ถือครองอาวุธเวทไว้มากมายเพียงนั้นเชียวหรือ ไม่มีทาง!”


“จริงหรือ ที่จริงแล้วข้าคิดว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องตั้งศูนย์วิจัยที่นครใหม่เลย แถมข้ายังคิดว่าปรมาจารย์เจ้าเองดูจะเข้าใจข้าผิดไปบ้าง แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าค่อยไปคุยกับท่านเจ้านครว่าเราจะระงับโครงการศูนย์วิจัย” หวังเป่าเล่อพูดเนิบๆ พลางยิ้มเยาะอยู่ภายใน ชายหนุ่มคิดถึงการที่จินตั้วหมิงวางแผนยืมความโด่งดังของเขาเพื่อให้ได้ทำโครงการที่ตนต้องการ แล้วทำไมเขาจะต้องยอมโอนอ่อนหากไม่มีข้อแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันเล่า


ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ จินตั้วหมิงก็ยิ้มแหยๆ ออกมาในทันที ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่าหวังเป่าเล่อกำลังแสดงความไม่พอใจ ฝ่ายนั้นต้องการผลประโยชน์จากเรื่องนี้เช่นกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


“ข้าให้เจ้าชิ้นหนึ่งก็ได้ ข้าสาบาน…ข้ามีอาวุธเวทอยู่กับตัวเพียงสองชิ้นเท่านั้น ตระกูลมอบให้ข้ามาเพียงเท่านี้ ข้าให้เจ้ายืมได้เพียงชิ้นเดียว!”


“เจ้าจะให้ข้ายืมชิ้นหนึ่งเชียวหรือ อาจจะไม่เป็นการเหมาะควรเท่าใดนักกระมัง อาวุธเวทยิ่งมีราคาแพงอยู่ แต่เอาเถอะเห็นแก่ความจริงใจของเจ้า ข้าจะขอรับไว้ก็แล้วกัน ไม่อยากให้เจ้าเสียน้ำใจ ข้ายอมรับของกำนัลนี้ไว้ก็ได้ แต่ครั้งเดียวพอนะ” หวังเป่าเล่อตบพุงและยักไหล่ พลางแสดงความไม่สบอารมณ์ออกมาทางสีหน้า


จินตั้วหมิงแทบจะเสียสติ เขาบอกว่าจะให้ยืม ไม่ใช่ให้เป็นของกำนัล…นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสความไร้ยางอายของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มไม่อาจทำใจยอมเสียอาวุธเวทไปได้ แต่ก็รู้ดีว่าหากหวังเป่าเล่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เขาจะทำสิ่งชั่วร้ายเช่นการส่งข้อความเสียงไปหาเจ้านคร จินตั้วหมิงขอบคุณสวรรค์ที่หวังเป่าเล่อไม่รู้ความจริง หาไม่แล้วเขาจะต้องร้องขอมากมายกว่านี้เป็นแน่…ชายหนุ่มกัดกรามแน่น


“ก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)