กระบี่จงมา 409.1-410.2

 บทที่ 409.1 เวทกระบี่

 

น่าประหลาดมาก ทั้งๆ ที่เหมาเสี่ยวตงก็จากไปแล้ว แต่ตำหนักหลักของศาลบุ๋นกลับไม่เพียงแต่ไม่เปิดให้คนนอกเข้าชม กลับกันยังมีลักษณะของการป้องกันอย่างเข้มงวดอีกด้วย


ตำหนักหลัง นอกจากทวยเทพแห่งศาลบุ๋นกลุ่มใหญ่ที่เผยกายบนโลกด้วยร่างทองซึ่งรวมหยวนเกาเฟิงเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ยังมีแขกสูงศักดิ์และแขกที่หาได้ยากอีกสองกลุ่ม


ฮ่องเต้ต้าสุยที่ปลอมตัวออกจากวัง ด้านหลังของเขามีขันทีผมขาวสวมชุดหม่างสีแดงสดคนหนึ่งยืนอยู่


และยังมีบุรุษอีกสองคน คนหนึ่งคือผู้เฒ่าผมขาวโพลน แม้จะเผชิญหน้าอยู่กับกษัตริย์แห่งโลกมนุษย์และอริยะแห่งศาลบุ๋น แต่พลังอำนาจของเขาก็ยังกร้าวแกร่ง และยังมีบุรุษท่าทางสุภาพอ่อนโยนอายุค่อนข้างน้อยอีกคนหนึ่ง บางทีเขาคงคิดว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติมากพอจะเข้าร่วมกับเรื่องลับครั้งนี้ จึงไปยืนแหงนหน้ามองเทวรูปของเจ็ดสิบสองนักปราชญ์อยู่ในตำหนักหน้า


ผู้เฒ่าไม่ใช่คนของแจกันสมบัติทวีป เขาเรียกตัวเองว่าหลินซวงเจี้ยง เพียงแต่ว่าสามารถพูดภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปและภาษาทางการของต้าสุยด้วยสำเนียงที่ถูกต้องเหมือนคนในท้องที่


หลินซวงเจี้ยงนี้น่าจะเป็นเพียงนามแฝงเท่านั้น นี่ไม่สำคัญ สำคัญที่หลังจากผู้เฒ่าปรากฏตัวในเมืองหลวงต้าสุยแล้ว ก็แสดงให้เห็นว่าวิชาอภินิหารของเขาสูงส่งเลิศล้ำ ขันทีชุดหม่างด้านหลังฮ่องเต้ต้าสุยร่วมมือกับผู้ถวายการรับใช้ของวังหลวงคนหนึ่ง ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถแล้วก็ยังไม่อาจหาวิธีทำร้ายผู้เฒ่าได้แม้แต่เสี้ยวเดียว


หลินซวงเจี้ยงชำเลืองตามองหยวนเกาเฟิงและทวยเทพสายบุ๋นอีกสองท่านที่พร้อมใจกันปรากฎตัวมาโต้คารมกับเหมาเสี่ยวตงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์


สายตาของเขาเคลื่อนย้ายมองไปทางองค์เทพที่มีสถานะเป็นขุนพลผู้มีคุณูปการบุกเบิกแคว้น รวมไปถึงองค์เทพที่ใช้สถานะขุนนางบุ๋น แต่กลับสร้างคุณความชอบบุกเบิกขยับขยายที่ดินให้แคว้นต้าสุยในประวัติศาสตร์ องค์เทพสองกลุ่มนี้มารวมตัวกันอย่างเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งภูเขาของราชสำนักลูกหนึ่งที่เหมือนจะมีเหมือนไม่มีเส้นแบ่งระหว่างฝ่ายของหยวนเกาเฟิงที่มีคนอยู่แค่ไม่กี่หยิบมือ สุดท้ายสายตาของหลินซวงเจี้ยงย้ายไปที่ร่างของฮ่องเต้ต้าสุย “ฝ่าบาท ขวัญกำลังใจของกองทัพ และขวัญกำลังใจของชาวบ้านต้าสุยล้วนสามารถนำมาใช้ได้ ราชสำนักมีหัวใจบุ๋น สมรภูมิรบมีหัวใจบู๊ สถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจะยังเอาแต่กล้ำกลืนความอัปยศต่อไปอีกหรือ? หากพูดว่าตอนที่ลงนามพันธมิตรขุนเขา ต้าสุยไม่อาจต้านทานกองทัพม้าเหล็กของต้าหลี ยากที่จะหนีชะตากรรมแคว้นล่มสลายได้จริงๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ฝ่าบาทจะยังใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เช่นนี้อีกหรือ?”


หลินซวงเจี้ยงหัวเราะหยันเสียงเย็นชา “ต้องการให้คนต่างถิ่นอย่างข้าบอกให้ฝ่าบาทฟังหรือไม่ว่า ช่วงเวลาหลายปีมานี้ ขุนนางในเมืองหลวงต้าสุยที่แขวนตราประทับลาออกจากการเป็นขุนนาง ปัญญาชนที่หลบหนีโลกภายนอกไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขามีกี่ร้อยคน? และการเสื่อมโทรมของโชคชะตาศาลบุ๋นในท้องที่แต่ละแห่งนับจากเมืองหลวงไปถึงต่างจังหวัดร้ายแรงแค่ไหน ยังต้องให้ข้าพูดไหม? บอกว่าเป็นพันธมิตรร้อยปี แม้ฝ่าบาทจะใช้การที่คนคนเดียวถูกด่าในประวัติศาสตร์แลกมาด้วยความสงบสุขของชาวบ้านในแคว้นเป็นเวลาร้อยปี แต่ฝ่าบาทแน่ใจได้อย่างไรว่าต่อให้คนเถื่อนสกุลซ่งต้าหลีรักษาสัญญา ไม่ใช้กำลังกับต้าสุยจริงๆ แต่ต้าสุยของพวกท่านจะมีชีวิตอย่างสงบสุขมั่นคงไปได้ถึงร้อยปีจริงๆ? จากนั้นก็แหงนหน้ามองฟ้าตาปริบๆ รอให้ขนมเปี๊ยะหล่นลงมาจากท้องฟ้า รอให้สกุลซ่งต้าหลีแพ้ภัยตัวเอง แล้วสกุลเกาต้าสุยของพวกท่านค่อยไปเก็บเกี่ยวดอกผลน่ะรึ?”


หลินซวงเจี้ยงสีหน้าเย็นชา “คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง สกุลซ่งต้าหลีมีสันดานอย่างไร คิดว่าฝ่าบาทน่าจะรู้ดี ตอนนี้ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองเป็นผู้สำเร็จราชการ ชาวยุทธกุมอำนาจอยู่ในมือ ตอนนั้นแม้แต่ทวยเทพแห่งห้าขุนเขาที่มีความเกี่ยวพันกับชะตาแคว้นสกุลเกาอย่างแนบแน่น ฮ่องเต้ต้าหลีก็ยังสามารถเล่นงานด้วยการถอดถอนตำแหน่งพวกเขาทิ้งทั้งหมด พันธมิตรแห่งขุนเขาที่ภูเขาตงหัวต้าสุยกับที่ภูเขาพีอวิ๋นต้าหลีจะใช้ได้ผลจริงๆ หรือ? ข้ากล้าบอกเลยว่าไม่ต้องรอถึงห้าสิบปี อย่างมากสุดสามสิบปี ต่อให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีถูกขัดขวางอยู่ตรงแถบราชวงศ์จูอิ๋ง แต่ก็ถูกผู้สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ต้าหลีคนใหม่กับซิ่วหู่ผู้นั้นควบรวมพื้นที่ทางเหนือทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีปไปได้สำเร็จแล้ว สามสิบปีให้หลัง ตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงกองทัพ ไปจนถึงเสมียนขุนนางชั้นผู้น้อย สุดท้ายมาถึงขุนนางคนสำคัญของราชสำนักต้าสุย ล้วนกลายมาเป็นรังที่แสนสงบสุขที่ราชวงศ์ต้าหลีปรารถนาแม้ในยามหลับฝันแล้ว”


หลินซวงเจี้ยงพูดเสียงกร้าว “รอให้ส่วนลึกในใจของชาวบ้านต้าสุยมองแคว้นอื่นเป็นดั่งมาตุภูมิบ้านเกิดของตัวเองเสียก่อนเถอะ ฮ่องเต้ต้าสุยที่สร้างหายนะทำแคว้นล่มจมกับมือตัวเองอย่างท่านจะยังมีหน้าไปพบบรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางอีกหรือ?”


หยวนเกาเฟิงตวาดอย่างเดือดดาล “หลินซวงเจี้ยง เจ้าบังอาจนัก! เรื่องในแคว้นต้าสุยของพวกเรา เจ้าไม่มีสิทธิ์มาพูดจาสามหาวอยู่ที่นี่!”


ขุนนางบุ๋นของต้าสุยที่อาศัยการกำหนดนโยบายแห่งแคว้นรับแคว้นหวงถิงไว้เป็นแคว้นใต้อาณัติเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองด้วยพะยะค่ะ”


หลินซวงเจี้ยงไม่พูดอะไรอีก


ศาสตร์แห่งการเปิดปิดปาก เมื่อเปิดปาก เอ่ยเอื้อนคำพูด เมื่อปิดปาก เงียบงันไม่พูดจา


พูดแล้วเหลือพื้นที่ว่างให้ขบคิด ไม่พูดออกมาตามตรงย่อมได้ผลมากกว่า สามารถล่อลวงใจคนได้ดีกว่า


ในขณะที่ตำหนักหลังตกอยู่ในบรรยากาศเงียบงัน ทางฝั่งของตำหนักหน้า บุรุษสวมชุดตัวยาวที่ให้ความรู้สึกหล่อเหลาอ่อนเยาว์แก่คนมองกำลังไล่มองเทวรูปของเจ็ดสิบสองปราชญ์ไปทีละรูปไม่ต่างจากเฉินผิงอัน


ในที่สุดฮ่องเต้ต้าสุยก็เปิดปากกล่าวว่า “เพราะการตายของซ่งเจิ้งฉุน วันนี้ทั้งสองท่านถึงได้มาเยี่ยมเยือน ถูกไหม?”


หลินซวงเจี้ยงพยักหน้ายอมรับ


ฮ่องเต้ต้าสุยชี้ไปที่ตัวเอง คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นหากวันใดข้าถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งฆ่าตาย หรือไม่ก็ถูกกระบี่บินของจอมยุทธสำนักโม่ที่มีนามว่าสวี่รั่วผู้นั้นแทงตาย จะทำอย่างไร?”


ฮ่องเต้ต้าสุยชี้ไปที่เหนือศีรษะของตัวเอง แล้วจึงชี้ไปยังตำแหน่งของตำหนักหน้าที่อยู่ด้านหลังของตน “หากสวี่รั่วสังหารกษัตริย์อย่างไร้เหตุจำเป็น ในฐานะผู้ฝึกตน สวี่รั่วก็น่าจะถูกอริยะบางท่านลงโทษ สวี่รั่วเป็นคนสำคัญของสำนักโม่ ป๋ายอวี้จิงที่ก่อนหน้านี้สายรองของสำนักโม่ช่วยสร้างเลียนแบบให้ถูกทำลาย สายหลักของสำนักโม่ในแผ่นดินกลางกลับเปลี่ยนความคิด เลือกหันมาเดิมพันข้างสกุลซ่งต้าหลี มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสวี่รั่วก็คือบุคคลสำคัญ ดังนั้นไม่แน่เสมอไปว่าสวี่รั่วจะยินดี ‘แลกแต้มหมาก’ กับข้า เพราะสำนักโม่จะขาดทุนมากเกินไป แต่หากหลี่เอ้อร์สังหารข้า ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าหากอิงตามกฎบนภูเขาของพวกเจ้า เหล่าอริยะของลัทธิขงจื๊อน่าจะไม่ให้ความสนใจ”


หลินซวงเจี้ยงกล่าวอย่างเฉยเมย “หลี่เอ้อร์ผู้นั้น ขอแค่ยังไม่ถึงขอบเขต ‘เทพมาเยือน’ ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ ข้าสามารถทำให้เขาไม่อาจเข้ามาในเมืองหลวงต้าสุยได้ แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น ศาลบุ๋นของพวกเจ้าต้องให้ความร่วมมือกับข้า ช่วยกันเปิดค่ายกลใหญ่ปกป้องเมืองด้วย”


พูดถึงขนาดนี้แล้วฮ่องเต้ต้าสุยก็ยังไม่หวั่นไหว เขาถามต่ออีกว่า “ไม่กลัวโจรมาขโมย กลัวก็แต่โจรจะคอยนึกถึง ถึงเวลานั้นต้องป้องกันโจรตลอดพันวัน จะป้องกันได้ไหวหรือ? หรือท่านหลินจะอยู่ในต้าสุยตลอดไป?”


หลินซวงเจี้ยงขมวดคิ้ว


และเวลานี้เอง ในทะเลสาบหัวใจของทุกคนก็มีน้ำเสียงอ่อนโยนทุ้มหนักดังขึ้น “หากหลี่เอ้อร์กล้ามาฆ่าคนที่เมืองหลวงต้าสุย ข้าจะเป็นคนรับหน้าที่ออกจากเมืองไปฆ่าเขาเอง ข้าแค่กล้ารับรองในเรื่องนี้ เรื่องอื่นๆ ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก”


หยวนเกาเฟิงหัวเราะเหน็บแนม “ดีนักนะ ผู้ฝึกตนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางช่างร้ายกาจซะจริง สังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง พูดเหมือนกับเด็กบีบคอลูกเจี๊ยบให้ตายอย่างไรอย่างนั้น”


หลินซวงเจี้ยงไม่ได้พูดอะไรมากอีก เพียงกล่าวเสียงหนักว่า “หากท่านฟ่านพูดได้ก็ต้องทำได้”


ฮ่องเต้ต้าสุยยิ้มกล่าว “จริงรึ?”


คนผู้นั้นที่อยู่ในตำหนักหน้ายิ้มบางๆ ตอบรับ “สำนักการค้าสืบทอดต่อกันมา มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นรากฐานในการหยัดยืน”


……


หลี่ไหวที่เล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกตามกติกาของเผยเฉียนพ่ายแพ้เสียยับเยิน


หลังจากยอมแพ้แล้วก็ยังโมโหไม่หาย ใช้สองมือปัดป่ายกระดานหมากที่วางเม็ดหมากไว้จนเต็ม “ไม่เล่นแล้วๆ น่าเบื่อนัก หมากแบบนี้ทำเอาข้าเวียนหัวตาลายท้องหิวไปหมดแล้ว”


ได้ยินเสียงใสกังวานที่เกิดจากเม็ดหมากกระทบกัน


ขนตาของเซี่ยเซี่ยที่ฝึกตนอยู่ตรงมุมหนึ่งของระเบียงที่ปูพื้นด้วยไม้ไผ่มรกตก็สั่นระริกเบาๆ จิตใจไม่ใคร่จะสงบนิ่งนัก จำต้องลืมตาหันหน้าไปชำเลืองมองทางฝั่งนั้น เผยเฉียนกับหลี่ไหวกำลังเลือกเม็ดหมากดำขาวของใครของมัน แล้วโยนใส่โถเก็บเม็ดหมากที่อยู่ข้างกายอย่างไม่ใส่ใจจนเกิดเสียงดังแกร๊กๆๆ


แม้ว่าโถเก็บเม็ดหมากจะเป็นภาชนะที่หลอมจากเตาทางการของต้าสุย มีมูลค่าอยู่หลายสิบตำลึงเงิน แต่เม็ดหมากพวกนั้นต่างหากที่เซี่ยเซี่ยรู้ดีว่ามีมูลค่าควรเมือง


หากเปลี่ยนมาเป็นก่อนหน้านี้ตอนที่ชุยตงซานยังอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้ บางครั้งเซี่ยเซี่ยก็จะถูกชุยตงซานลากให้มาเล่นหมากล้อมด้วยกัน แค่วางเม็ดหมากหนักมือนิดหน่อยก็ต้องถูกชุยตงซานตบจนร่างปลิวคว้างไปกระแทกกำแพง บอกว่าหากนางทำให้เม็ดหมากเม็ดใดแตก ก็เท่ากับว่าทำลายของสะสมของเขาให้ ‘ไม่สมบูรณ์แบบ’ กลายเป็นของมีตำหนิ รูปลักษณ์เสียหาย ต่อให้นางเซี่ยเซี่ยชดใช้ด้วยชีวิตก็ยังไม่พอ


เม็ดหมากบนโลกใบนี้ หากเป็นของครอบครัวคนทั่วไปก็แค่ทำมาจากหินที่งดงามหน่อยเท่านั้น หากเป็นของครอบครัวเศรษฐี โดยทั่วไปจะทำมาจากเนื้อกระเบื้อง แต่ถ้าเป็นของตระกูลเซียนบนภูเขาจะกลึงมาจากหยกที่งดงามมากเป็นพิเศษ


ทว่าเม็ดหมากสองโถนี้ของชุยตงซานมีประวัติความเป็นมาน่าตื่นตะลึง พวกมันคือ ‘หมากเมฆหลากสี’ ที่คนเล่นหมากล้อมทั่วหล้าอิจฉาตาร้อนอยากครอบครอง เมื่อพันปีก่อน ศิษย์น้องของเจ้านครจักรพรรดิขาว เจ้าของหอแก้วหลากสีแห่งนั้นได้ใช้วิชาลับเฉพาะอย่างการ ‘กลั่นหยด’ สร้างมันขึ้นมา เมื่อหอแก้วหลากสีพังทลายลง เจ้าของของมันหายเข้ากลีบเมฆไปนานนับพันปี วิธีการ ‘กลั่นหยดหลอมใหญ่’ ที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษจึงสาบสูญไปนับแต่นั้น เคยมีเซียนของแผ่นดินกลางที่รักการเล่นหมากล้อมดุจชีวิตได้หมากเมฆหลากสีไปหนึ่งโถครึ่ง เพื่อรวบรวมให้ครบถ้วน เขาถึงกับให้ราคาสูงเทียมฟ้า หมากหนึ่งเม็ดจ่ายด้วยเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ


ทว่าเวลานี้เมื่อหมากแก้วหลากสีมาอยู่ในมือของเผยเฉียนกับหลี่ไหว กลับไม่ได้ดีไปกว่าก้อนหินบนพื้นดินเลย


เซี่ยเซี่ยถอนหายใจอยู่ในใจ โชคดีที่ถึงอย่างไรหมากเมฆหลากสีก็เป็นวัตถุที่มีมูลค่า ต่อให้ชายฉกรรจ์ออกแรงเต็มที่ก็ยังไม่สามารถทำให้มันแตกร้าวได้ กลับจะยิ่งส่งเสียงดังกังวานมากขึ้น


หลี่ไหวไม่เต็มใจจะเล่นหมากเรียงไข่มุก เผยเฉียนจึงเสนอการละเล่นจับหินของชาวบ้าน หลี่ไหวเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในทันที เรื่องนี้เขาถนัด ปีนั้นมักจะเล่นกับเพื่อนร่วมห้องในโรงเรียนเป็นประจำ เด็กหญิงผมแกละที่ชื่อว่าสือชุนเจียผู้นั้นก็มักจะแพ้ให้เขา เล่นจับหินกับพี่สาวหลี่หลิ่วตอนอยู่ในบ้านก็ยิ่งไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน!


คนทั้งสองแบ่งกันหยิบหมากในโถของตัวเองขึ้นมาใหม่คนละห้าเม็ด เล่นจบไปรอบหนึ่งก็พบว่าระดับความยากมีน้อยเกินไป จึงคิดจะเพิ่มเป็นสิบเม็ด


เซี่ยเซี่ยได้ยินเสียงเม็ดหมากกระทบกระดานดังกังวานยิ่งกว่าเก่า จิตใจก็สั่นสะท้านน้อยๆ หวังเพียงว่าชุยตงซานจะไม่รู้เรื่องโศกนาฎกรรมในครั้งนี้


บางครั้งยังมีหมากเมฆหลากสีเม็ดสองเม็ดปลิวกระเด็นพ้นจากหลังมือไปตกอยู่บนพื้นหินในลาน จากนั้นก็ถูกเจ้าเด็กสองคนที่ไม่เห็นคุณค่าของพวกมันเก็บกลับมา


เซี่ยเซี่ยไม่มีอารมณ์จะเข้าฌานทำสมาธิอีกแล้ว นางเลือกลุกขึ้นยืนเดินกลับไปอ่านหนังสือในห้องปีกข้างของตัวเองเสียเลย

 

 

 


บทที่ 409.2 เวทกระบี่

 

หลี่เป่าผิงเดินออกมาจากห้องหลัก มานั่งดูการรบระหว่างเผยเฉียนกับหลี่ไหวอยู่ด้านข้าง หลี่ไหวยังคงถูกเข่นฆ่าจนต้องโยนหมวกเหล็กทิ้งเสื้อเกราะ (เปรียบเปรยว่าพ่ายแพ้ยับเยินจนต้องเผ่นหนีไปอย่างกระเซอะกระเซิง)


หลี่เป่าผิงหยิบหมากสีดำห้าเม็ดออกมาจากโถอีกใบหนึ่งและเก็บหมากสีขาวห้าเม็ดใส่กลับเข้าไปในโถเงียบๆ บนพื้นมีหมากขาวและหมากดำอย่างละห้าเม็ด หลี่เป่าผิงพูดอธิบายให้คนสองคนที่หันมามองหน้ากันเองว่า “เล่นแบบนี้ค่อนข้างสนุก พวกเจ้าเลือกกันคนละสี ทุกครั้งที่จับก้อนหิน ยกตัวอย่างเช่นเผยเฉียนเจ้าเลือกหมากสีดำ หากจับหมากขึ้นมาได้เจ็ดเม็ด ด้านในมีหมากสีขาวสองเม็ดก็เท่ากับว่าเจ้าจับหมากสีดำได้แค่สามเม็ด”


 เผยเฉียนกล่าวอย่างขลาดๆ “พี่หญิงเป่าผิง ข้าอยากเลือกหมากสีขาว”


หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ “ได้สิ”


หลี่ไหวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าก็อยากเลือกหมากสีขาวเหมือนกัน!”


หลี่เป่าผิงชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง


หลี่ไหวรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “ช่างเถิด หมากสีดำมองแล้วสบายตามากกว่า”


จิตใจของสือโหรวสั่นไหวเล็กน้อย


ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยที่สวมชุดกระโปรงสีแดงผู้นี้มักจะมีความคิดที่มหัศจรรย์เช่นนี้เสมอ เนื่องจากในบรรดาคนทั้งหมด เฉินผิงอันลำเอียงรักหลี่เป่าผิงอย่างเห็นได้ชัด สือโหรวจึงจับตามองหลี่เป่าผิงมากที่สุด นางพบว่าคำพูดและการกระทำของแม่นางน้อยคนนี้ ไม่อาจพูดได้ว่านางจงใจวางตัวเหมือนคนแก่ อันที่จริงนางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างยิ่ง ทว่าความคิดมากมายของนางกลับทั้งอยู่ในกฎเกณฑ์ แล้วก็ทั้งอยู่นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ไปในเวลาเดียวกัน


ในขณะที่สือโหรวแอบมองหลี่เป่าผิงได้ไม่นานเท่าไหร่ ศึกใหญ่ของทางฝั่งนั้นก็ปิดฉากลง เล่นตามกติกาของหลี่เป่าผิง หลี่ไหวแพ้ได้อนาถยิ่งกว่าเดิม


เผยเฉียนโคลงศีรษะ ชั่งน้ำหนักหมากสองสามเม็ดที่อยู่ในมือด้วยการโยนขึ้นเบาๆ แล้วรับไว้ติดต่อกัน “เหงายิ่งนัก แค่อยากจะแพ้สักครั้งต้องยากขนาดนี้เชียวหรือ?”


หลี่ไหวทำท่าทางลับๆ ล่อๆ กลอกตารวดเร็ว อยากจะหาเรื่องอื่นมาทวงคืนหน้าตาที่เสียไปของตน


เผยเฉียนโยนเม็ดหมากทิ้ง หยิบไม้เท้าเดินป่าที่อยู่ข้างเท้าขึ้นมา กระโดดเข้าไปในลานบ้าน “พี่หญิงเป่าผิง หลี่ไหวขุนพลผู้ปราชัย ข้าจะทำให้พวกเจ้าเห็นว่า อะไรที่เรียกว่ามือถือเสายาว บินข้ามบ้านกระโดดข้ามหลังคา ตอนนี้ข้ายังฝึกวิชาได้ไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้แต่บินบนชายคาเดินบนกำแพงเท่านั้น! ดูให้ดีล่ะ! ต้องดูให้ดีนะ!”


เห็นเพียงว่าเผยเฉียนถอยไปอยู่ปลายสุดของกำแพงแถบหนึ่ง หันหน้าเข้าหากำแพงฝั่งตรงข้าม สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วสาวเท้าวิ่งตะบึงออกไป ระหว่างนั้นก็ใช้ไม้เท้าเดินป่าทิ่มลงไปในรอยแยกระหว่างร่องหินของลานบ้านอย่างแม่นยำ เท้าทั้งสองข้างของเผยเฉียนพ้นจากพื้น ไม้เท้ายาวโค้งงอเป็นวงกว้าง และเมื่อไม้เท้าเดินป่าดีดผึงกลับเป็นเส้นตรง เผยเฉียนก็กระโดดขึ้นสูง ร่างเล็กๆ คลายตัวกลางอากาศ ขึ้นไปยืนอยู่บนหัวกำแพงได้อย่างมั่นคง แล้วจึงหันตัวกลับมายิ้มกว้างให้หลี่เป่าผิงกับหลี่ไหว “เห็นแล้วหรือยัง!”


หลี่ไหวมองตาค้างอ้าปากกว้าง ตะโกนโหวกเหวกว่า “ข้าก็จะลองทำดูบ้าง!”


เผยเฉียนกระโดดพลิ้วกายลงมาจากหัวกำแพงอย่างปราดเปรียวดุจแมวป่าตัวน้อย ยามที่เท้าสัมผัสกับพื้นไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดให้ได้ยิน


จากนั้นนางก็ยื่นไม้เท้าเดินป่าส่งให้หลี่ไหวอย่างใจกว้าง


หลี่ไหวเองก็เลียนแบบเผยเฉียน ถอยไปอยู่มุมกำแพง วิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าเร่งร้อนก่อน จากนั้นก็ชำเลืองตามองพื้นดิน แล้วพลันทิ่มไม้เท้าเดินป่าลงไปในร่องแตกของก้อนหิน ตวาดเบาๆ หนึ่งที พอไม้เท้าเดินป่างอตัวเป็นเส้นโค้ง ร่างของหลี่ไหวก็ถูกยกลอยขึ้น เพียงแต่ว่าท่วงท่าและองศาในการส่งแรงช่วงสุดท้ายไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้สองขาของหลี่ไหวกางชี้ฟ้า หัวทิ่มลงหาดิน ร่างเอียงกระเท่เร่ ร้องเฮ้ยๆๆ อยู่สองสามที แล้วก็ร่วงดิ่งลงพื้นในท่านั้น


อวี๋ลู่เป็นเหมือนลมเย็นที่พัดวูบผ่านไป รีบรับตัวหลี่ไหวแล้วประคองให้เขายืนอยู่ในท่าตรง


หลี่ไหวคุยโวอย่างไม่ละอายว่า “ล้มเหลวในขั้นสุดท้าย ขาดอีกแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก”


เผยเฉียนหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นจะให้โอกาสเจ้าอีกสิบครั้งไหมล่ะ?”


หลี่ไหวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้ว่าข้าหลี่ไหวจะมีพรสวรรค์เลิศล้ำ ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธที่พันปียากจะพานพบสักครั้งก็ต้องเป็นแปดร้อยปี แต่ปณิธานของข้าไม่ได้อยู่ที่สิ่งนี้ ดังนั้นข้าจึงไม่คิดจะแข่งขันสูงต่ำกับเจ้าในเรื่องนี้แล้ว”


หลี่เป่าผิงหยิบไม้เท้าเดินป่ามาจากมือของหลี่ไหว แล้วนางก็ลองทำดูรอบหนึ่ง


ผลคือภายใต้สายตาของคนมากมายจับจ้อง แม่นางน้อยชุดกระโปรงสีแดงผู้นี้ไม่เพียงแต่ทำสำเร็จ ยังทำสำเร็จมากเกินไป นางถึงกับบินลอยพ้นไปจากหัวกำแพง


มีเสียงบางเบาส่งมาจากนอกกำแพง


สำหรับหลี่เป่าผิงที่คุ้นเคยกับเรื่องประเภทนี้เป็นอย่างดีย่อมไม่บาดเจ็บ เพียงแต่ว่าตอนร่วงลงพื้นร่างไม่มั่นคงนัก เข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย ยังไม่ทันจะคุกเข่าร่างก็ผงะหงายไปด้านหลัง ก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น


หลี่เป่าผิงลุกขึ้นยืน ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่น้อย


ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งยืนหัวเราะร่าอยู่ห่างไปไม่ไกล “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”


หลี่เป่าผิงยิ้มตอบ “แค่นี้จะเป็นอะไรได้เล่า!”


จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


หลี่เป่าผิงวิ่งฉิวกลับเข้าไปในเรือน


ในฐานะปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล สายตาของจูเหลี่ยนจึงดีเยี่ยมเหนือกว่าคนทั่วไป แน่นอนว่าเขารู้ดีกว่าใครว่าหลี่เป่าผิงไม่มีทางเป็นอะไร เขาถึงไม่ได้ลงมือช่วยเหลือนาง


จูเหลี่ยนเดินเล่นรอบเรือนหลังนี้ต่ออีกครั้ง


ตอนนั้นก่อนที่เฉินผิงอันจะไปจากสำนักศึกษา บทสนทนาระหว่างเขากับหลี่เป่าผิง จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลได้ยินชัด และเฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจงใจปิดบังอะไรเขา


จูเหลี่ยนถึงขั้นรู้สึกเสียดายแทนสุยโย่วเปียนที่ไม่ได้ยินบทสนทนาครั้งนั้น


ก่อนหน้านี้พวกเขาสี่คนในภาพวาดยังไม่ได้แยกย้ายกัน ตอนที่อยู่ร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า ผู้เฒ่าแซ่สวินที่หมายตาใน ‘พรสวรรค์เซียนกระบี่’ ของสุยโย่วเปียนมาตั้งแต่แรกผู้นั้นชอบจะมาเยือนที่ร้านยา มีครั้งหนึ่งที่นั่งดูการประชันหมากล้อมในลานบ้านระหว่างสุยโย่วเปียนกับหลูป๋ายเซี่ยง ผู้เฒ่าได้พูดสองสามประโยคโดยใช้หลักการของหมากล้อมมาบรรยายวิถีแห่งกระบี่


ตั้งขวางตัดสลับ วางหมากลงตรงจุด


ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่คำว่าตัด นี่ก็คือเวทกระบี่


สถานการณ์หมากดีหรือร้าย อยู่ที่สองคำว่ากำหนดขอบเขต ยึดภูเขาตั้งตนเป็นราชา แบ่งแยกดินแดน ภูเขาและสายน้ำกางกั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปณิธานกระบี่


การเล่นจบลง บวกกับการทบทวนกระดาน สุยโย่วเปียนยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน นี่ทำให้ผู้เฒ่าแซ่สวินรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง แถมเขายังถูกเผยเฉียนหัวเราะเยาะอยู่เป็นครึ่งๆ วันว่า ดีแต่ใช้คำพูดคุยโวใหญ่โตหาแก่นสารไม่ได้มาข่มขู่คนอื่น มิน่าเล่าพี่หญิงสุยถึงไม่รับน้ำใจ


เพียงแต่ว่าคืนนั้นสุยโย่วเปียนกลับปิดด่านทำความเข้าใจกับกระบี่ ไม่ออกมาจากห้องเลยเป็นเวลาหนึ่งวันสองคืน


ตอนนี้สุยโย่วเปียนเดินทางไปยังใบถงทวีปแล้ว นางต้องการไปเยือนสำนักกุยหยกที่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นผู้นำตระกูลเซียน เพื่อเปลี่ยนสถานะไปเป็นผู้ฝึกกระบี่


เว่ยเซี่ยนติดตามชุยตงซานหนีไปแล้ว


หลูป๋ายเซี่ยงต้องการท่องเที่ยวไปทั่วภูเขาและแม่น้ำเพียงลำพัง


จึงเหลือเพียงเขาจูเหลี่ยนที่เลือกจะติดตามอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน


สองครั้งที่เฉินผิงอันลงมือในสวนสิงโต ครั้งหนึ่งคือเล่นงานปีศาจที่ออกอาละวาด อีกครั้งหนึ่งคือรับมือกับหลี่เป่าเจิน อันที่จริงจูเหลี่ยนไม่ได้รู้สึกว่าเฉินผิงอันมีฝีมือโดดเด่นอะไรนัก


แต่พอย้อนมามองบทสนทนาระหว่างเฉินผิงอันกับหลี่เป่าผิง จูเหลี่ยนที่นำกลับมาขบคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ให้เลื่อมใสจากใจจริง


หลี่เป่าเจิน หลี่เป่าผิง หลี่ซีเซิ่ง ตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่


ระหว่างทั้งสี่นี้มีความเชื่อมโยงกันทางสายเลือด ส่วนเฉินผิงอันที่แม้จะถูกหลี่เป่าผิงเรียกว่าอาจารย์อาน้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงคนนอกคนหนึ่ง


เฉินผิงอันจะจัดการกับหลี่เป่าเจินอย่างไรเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง และหากจะคาดหวังให้ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็ล้วนไม่ทำให้หลี่เป่าผิงเสียใจ ก็ยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่ นั่นแทบจะเป็นทางตันที่ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วน ‘ไม่ผิด’ แต่ก็ ‘ไม่ถูกต้อง’ สักอย่าง


หากเฉินผิงอันปิดบังเรื่องนี้หรือเล่าเหตุการณ์ที่เขาพบเจอกับหลี่เป่าเจินที่สวนสิงโตอย่างเรียบง่าย ตอนนี้หลี่เป่าผิงก็คงยังสนิทสนมกับเฉินผิงอันได้เหมือนเดิมโดยไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน


แต่หากวันใดที่เฉินผิงอันสังหารหลี่เป่าเจินที่รนหาที่ตายเอง ต่อให้เฉินผิงอันเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล หลี่เป่าผิงเองก็เข้าใจเหตุผลได้ดี แต่นี่ไม่เกี่ยวกับว่าส่วนลึกในใจของแม่นางน้อยจะเสียใจหรือไม่


นี่จะกลายเป็นปมทางใจ


ดังนั้นจึงมีบทสนทนาครั้งนั้นเกิดขึ้น


จูเหลี่ยนเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้าพลางพึมพำกับตัวเองว่า “นี่ต่างหากถึงจะเป็นเวทกระบี่ในใจของคน ตัดขาดได้แม่นยำยิ่ง”


ตัดขาดอย่างไร?


ครั้งแรกเฉินผิงอันยังไม่ฆ่าหลี่เป่าเจินก่อน เป็นการรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับหลี่ซีเซิ่ง โดยเนื้อแท้แล้วนี่คล้ายคลึงกับการรักษากฎหมาย


จากนั้นก็ใช้วัตถุที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษบนร่างของหลี่เป่าเจินมา ‘รับจำนำ’ กับหลี่เป่าผิงและคนตระกูลหลี่ทั้งตระกูลที่อยู่บนถนนฝูลวี่ นี่เป็นเรื่องของความรู้สึก ความรู้สึกของคนทั่วไป


นี่คือการตัดแบ่งหลี่เป่าเจินคนเดียวออกมาจากคนตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ เหมือนชุยตงซานใช้กระบี่บินวาดพื้นดินให้เป็นพื้นที่ลับบ่อสายฟ้าแล้วกักขังหลี่เป่าเจินไว้ภายใน


หลี่เป่าเจินคือหลี่เป่าเจิน ตระกูลหลี่เบื้องหลังหลี่เป่าผิงและหลี่ซีเซิ่งคือตระกูลหลี่ที่หลังจากเด็ดดึงหลี่เป่าเจินออกมาแล้ว


เฉินผิงอันทำการวาดวงกลมและกำหนดขอบเขต


อีกทั้งยังชี้นำทิศทางการโคจรของเส้นทางในหัวใจให้กับหลี่เป่าผิงอย่างเงียบเชียบ มอบความเป็นไปได้ที่เปิดกว้างว่า ‘ไม่มีใครผิด ถึงเวลานั้นทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง’ วันหน้าเมื่อย้อนกลับมาดู ต่อให้เฉินผิงอันต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับหลี่เป่าเจินจริงๆ ต่อให้หลี่เป่าผิงจะยังเสียใจอยู่เหมือนเดิม แต่จะไม่มีทางเปลี่ยนจากสุดขั้วหนึ่งไปยังอีกสุดขั้วหนึ่ง


นี่ก็คือเวทกระบี่ที่ผู้เฒ่าแซ่สวินผู้นั้นกล่าวถึง


การออกกระบี่ของเฉินผิงอันสอดคล้องกับวิถีนี้อย่างพอดิบพอดี


คือการเล่นชักคะเย่อบนจิตใจคนที่มหัศจรรย์ครั้งหนึ่ง


และวันนั้นเฉินผิงอันเองก็ดูการเล่นหมากล้อมอยู่ในเรือนหลังของร้านยา ได้ยินคำพูดล้ำค่าที่แต่ละคำดุจทองพันชั่งของผู้เฒ่าแซ่สวินเช่นกัน แต่จูเหลี่ยนกล้าพูดเลยว่า ต่อให้สุยโย่วเปียนปิดด่านทำความเข้าใจกับวิถีกระบี่หนึ่งวันสองคืน ต่อให้พรสวรรค์ในการเรียนกระบี่ของสุยโย่วเปียนจะดีแค่ไหน ก็ไม่แน่เสมอไปว่านางจะบรรลุถึงความหมายแท้จริงของคำพูดนั้นได้อย่างเฉินผิงอัน


มหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของแต่ละคนมีแบ่งแยกใกล้และไกล แต่ก็มีความต่างที่ระดับสูงต่ำอยู่เช่นกัน


ยังจำสองประโยคนั้นที่หลี่เป่าผิงสอนเผยเฉียนได้


สะพายหีบไม้ไผ่ สวมรองเท้าสาน ต่อยหมัดล้านรอบ เด็กหนุ่มสะโอดสะองผู้สุขุมเยือกเย็นที่สุด


สะพายกระบี่เซียน สวมชุดคลุมสีขาว เดินทางพันหมื่นลี้ อาจารย์น้อยดีที่สุดในโลก


จูเหลี่ยนพึมพำเบาๆ “เป่าผิงน้อย แม้ว่าตอนนี้อาจารย์อาน้อยของเจ้าจะยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่จิตแห่งเซียนกระบี่นั้นกลับมีเค้าโครงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วกระมัง?”


จูเหลี่ยนพลันหยุดเดิน มองไปยังสุดปลายทางสายเล็กที่ทอดตรงมายังเรือนหลังเล็ก หรี่ตาลง


ตรงนั้นมีชายชราลัทธิขงจื๊อที่มีกวางขาวตัวหนึ่งอยู่เคียงข้างปรากฏตัว

 

 

 


บทที่ 410.1 เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต...

 

ข้างในและข้างนอกร้านอาหารยังคงอึกทึกไปด้วยเสียงของผู้คน


แต่ไหนแต่ไรมาราชวงศ์ต้าสุยก็เป็นราชวงศ์ที่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ประชาชนยินดีจ่ายเงิน แล้วก็กลาใช้เงิน ถึงอย่างไรหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้สุกลเกาเกอหยางที่ครอบครองบัลลังก์มังกรก็สร้างโลกที่สงบสุขมั่นคงอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ให้แก่ชาวบ้านมาโดยตลอด


ตรงหน้าต่างชั้นที่สองของร้านอาหาร เหมาเสี่ยวตงมองไปยังหน้าต่างที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พูดเตือนเฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังว่า “จำไว้ว่าแค่ปกป้องตัวเองให้ดีก็พอ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”


ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าโอสถทอง ผู้ฝึกตนสำนักการหทารขอบเขตประตูมังกร อาจารย์ค่ายกลขอบเขตประตูมังกร ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง


นักฆ่าห้าคน


ไม่ว่าจะมีสถานะอย่างไร หรือจะยืนอยู่ฝ่ายได้ แต่สรุปก็คือทุกคนต่างก็มารวมตัวกัน อำพรางตัวอยู่ในระยะพันจั้งรอบภัตตาคารแห่งนี้


การจัดขบวนรบเช่นนี้ อย่าว่าแต่ล้อมสังหารเซียนดินก่อกำเนิดที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เลย เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบก็สามารถสังหารได้


เฉินผิงอันนึกถึงการกำจัดปีศาจปราบมารเมื่อครั้งที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อี เด็กสาวที่ตรงข้อมือข้อเท้ารัดกระพรวนผู้นั้น ตอนนั้นพวกเขาสองคนเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ได้มาพบกันโดยบังเอิญ นางที่มีฐานะเป็นบุตรสาวของเจ้าเมือง แม้ตบะจะไม่สูง แต่ทุกครั้งที่ลงมือช่วยเหลือล้วนทำได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกดีกับนางอย่างมาก


หลังจากนั้นได้เดินทางผ่านสองทวีปและภูเขาห้อยหัวอีกหนึ่งลูก แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นเขาเฉินผิงอันที่ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเพียงลำพัง หรือไม่พอมีคนสี่คนในภาพวาดมาอยู่เคียงข้าง แต่ทว่าคนที่ตัดสินใจก็ยังคงเป็นเขาเฉินผิงอัน เดินทางมาเมืองหลวงต้าสุยครั้งนี้กลับกลายเป็นว่าเขาเฉินผิงอันต้องทำเพียงแค่ยืนอยู่ด้านหลังเหมาเสี่ยวตงเท่านั้น สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง แต่ลึกๆ ในใจกลับยังคงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัวที่ ‘เหนือศีรษะมีท่านเทพเทวาผู้เฒ่าใช้วิถีสวรรค์คอยสยบกำราบคน’ เมื่อย้อนกลับมาในใต้หล้าไพศาล ตบะของเขาเฉินผิงอันในตอนนี้ยังคงต่ำเตี้ยเกินไป


เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “รอจนเจ้าอายุเท่าข้าแล้วยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ไม่ได้ดิบได้ดี คอยดูเถอะว่าข้าจะด่าเจ้าแทนอาจารย์อย่างไร”


เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวอย่างจนใจ ใช้เสียงในใจบอกกระบี่บินชูอีกับสืออู่ว่าให้คอยเตรียมพร้อมรับมือกับการปรากฎตัวของนักฆ่าตลอดเวลา


ในชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างของชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้น ปลายนิ้วของมือขวาคีบยันต์ย่อพื้นที่เอาไว้ป้องกันการลอบโจมตี ส่วนมือซ้ายถือยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่สามารถใช้ต้านทานศัตรูที่แข็งแกร่งได้


เหมาเสี่ยวตงวางใจได้ไม่น้อย


ไม่เสียแรงที่ศิษย์น้องเล็กเดินทางท่องยุทธภพมาไกลขนาดนั้น


เสียงของเหมาเสี่ยวตงพลันดังขึ้นบนทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน เขาถามว่า “ก่อนหน้านี้เคยมีประสบการณ์เดินผ่านริมตลิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาบ้างหรือไม่? ถูกปราณยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมกดกำราบจนรู้สึกอึดอัดยากจะทนรับยิ่งกว่าอยู่ในศาลบุ๋นก่อนหน้านี้”


เฉินผิงอันใช้วิธีรวมเสียงให้กลายเป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธตอบกลับไป “เคยอยู่สองครั้ง ครั้งแรกตอนอยู่ในเมืองเล็กถ้ำสวรรค์หลีจู ยังไม่ได้ฝึกวรยุทธ ครั้งที่สองตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าเป็นผู้ดึงไป แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ได้มองอย่างน้อยก็เป็นเวลาสองร้อยกว่าปี อีกทั้งลำดับเวลายังมักตัดสลับกลับไปกลับมา ดังนั้นถึงแม้ตอนนั้นข้าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกทรมานอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับตอนถูกคนป้อนหมัดบนภูเขาลั่วพั่วแล้ว รสชาตินั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่เลย”


เหมาเสี่ยวตงยิ้มถาม “ก่อนหน้านี้ตอนที่เล่าเรื่องประสบการณ์ท่องเที่ยวในห้องหนังสือข้า ทำไมไม่รีบพูด วีรกรรมที่ควรค่าแก่การโอ้อวดเช่นนี้ ไม่เอาออกมาเล่าให้คนอื่นฟัง เท่ากับว่าไอ้ที่ต้องทนรับความลำบากนั้นเสียเปล่าแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอย่างข้า ก่อนหน้าที่จะกลายมาเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษาซานหยาก็ยังไม่เคยเห็นทัศนียภาพของแม่น้ำแห่งกาลเวลามาก่อน นั่นเป็นภาพที่ต้องเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบเท่านั้นถึงจะสัมผัสได้”


แสงสว่างผุดวาบขึ้นในหัวของเฉินผิงอัน ทำให้เขาโพล่งเจตนารมณ์สวรรค์ออกมา “เจ้าขุนเขาเหมามีวิชาอภินิหารย้ายขุนเขา สามารถทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นดั่งฟ้าดินขนาดเล็กของสำนักศึกษาได้ชั่วคราวจริงๆ?!”


เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว หลายปีมานี้อาศัยข้ออ้างว่าปกป้องเป่าผิงน้อยเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองหลวงต้าสุย ใช้กลยุทธปิดฟ้าข้ามมหาสมุทรก็เพื่อทำเรื่องลับนี้ให้สำเร็จ บนบ่าแบกควันธูปสายบุ๋นของสำนักศึกษาเอาไว้ ถึงอย่างไรก็ต้องป้องกันคนที่คิดไม่ซื่อบ้าง”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจได้”


เหมาเสี่ยวตงหัวเราะอย่างฉุนๆ “แม้แต่เรียกว่าศิษย์พี่เหมาสักคำเจ้าก็ยังไม่ยอมเรียก ข้ายังต้องการความเข้าใจจากเจ้างั้นหรือ?”


เฉินผิงอันรู้ตัวว่าผิดจึงไม่พูดอะไรอีก


เหมาเสี่ยวตงเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยกขึ้น ใช้นิ้วต่างพู่กัน พริบตาเดียวก็เขียนสี่คำว่า ‘สำนักศึกษาซานหยา’ เสร็จ ทุกขีดอักษรที่ตวัดจบจะต้องมีแสงสีทองไหลรินไปจากนิ้ว และไม่สลายหายไป


เขียนเสร็จแล้ว เหมาเสี่ยวตงก็สะบัดชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฟ้าดินสี่ทิศ!”


ตัวอักษรสีทองสี่ตัวจึงพุ่งวาบหายไปยังสี่ทิศทาง


เหมาเสี่ยวตงหันหน้ากลับมา “นั่งลงดื่มเหล้าต่อเถอะ”


เพิ่งจะขาดคำ ร่างของเหมาเสี่ยวตงก็หายวับไปแล้ว


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ความรู้สึกคุ้นเคยที่สลักลึกลงในใจประดุจกระแสน้ำท่วมทะลักมาถึง เฉินผิงอันเหมือนคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่จู่ๆ กลับต้องมาอยู่ใต้ก้นแม่น้ำ


ฟ้าดินเงียบสงัด


ทั้งบนและล่างภัตตาคารไม่เหลือเสียงความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว


อาจารย์ค่ายกลขอบเขตประตูมังกรคนนั้นกำลังแอบ ‘จัดวางค่ายกล’อย่างลับๆ ล่อๆ เมื่อปราณวิญญาณของทั้งร่างพลันแข็งชะงัก การโคจรลมปราณไม่ราบรื่น เขาก็เงยหน้าขึ้นทันควัน เห็นเพียงว่าคนที่เดินอยู่บนถนนหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน หางตาเหลือบไปเห็นนกที่กำลังบินอยู่บนฟ้าชะงักค้างลอยเติ่ง


อาจารย์ค่ายกลท่านนี้ไม่มัวสนใจแล้วว่าเหมาเสี่ยวตงแห่งสำนักศึกษาซานหยาจะค้นพบร่องรอยของตนหรือไม่ เขาไม่คิดจะอำพรางลมปราณอีกต่อไป ปล่อยให้มันไหลทะลักพรั่งพรู ปลายนิ้วคีบยันต์สีทองไว้แผ่นหนึ่ง เตรียมจะลงมือ


เพียงแต่ว่ามีมือข้างหนึ่งกดลงมาบนไหล่ของคนผู้นี้พร้อมเสียงพูดกลั้วหัวเราะ “ค่ายกลนี้ของเจ้ามีต้นกำเนิดมาจากสายของค่ายประตูมังกรที่ถ่ายทอดมาจากหนิงเฉวียนเจินเต้าจวินของแผ่นดินกลาง ใช่ไหม?”


อาจารย์ค่ายกลตะลึงพรึงเพริด


ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรเขาก็ไม่อาจสลัดมือใหญ่ของคนด้านหลังที่วางไว้บนไหล่ตนให้หลุดไปได้ อาจารย์ค่ายกลหน้าแดงก่ำ หวังว่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านจะมีใครสักคนที่มาช่วยเหลือได้ทันเวลา ช่วยให้ตนหลุดพ้นไปจากสถานการณ์นี้


อาจารย์ค่ายกลท่านหนึ่งจำเป็นต้องยืมใช้พลังฟ้าดินจากค่ายกลที่ตัวเองจัดวางไว้ชักนำมา การหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกตนสำนักการทหารและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแล้วมีความแตกต่างกันไกลโข


ยังดีที่อาจารย์ค่ายกลไม่ได้สิ้นหวังมากนัก


แสงกระบี่พร่างพราวที่มีจุดกำเนิดมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือคล้ายเส้นด้ายสีขาวที่พุ่งพรวดมาถึงอย่างรวดเร็ว จุดที่ปลายกระบี่ชี้ไปก็คือหว่างคิ้วของเหมาเสี่ยวตงที่อยู่ด้านหลังของอาจารย์ค่ายกล


แสงกระบี่นี้เมื่อมาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็ก ทิศทางการโคจรจึงไม่ได้เป็นเส้นตรงอย่างสมบูรณ์แบบ ปลายกระบี่เกิดสั่นสะท้านเล็กน้อย ตัวกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นก็ส่ายสะบัดขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง


ทุกที่ที่กระบี่บินผ่าน เกิดการเสียดสีทำให้ประกายไฟส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ แตกเป็นระลอก สว่างชัดสะดุดตาอย่างถึงที่สุด


นี่ก็คือการปะทะกันระหว่างกระบี่บินที่คมกริบกับฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้


เหมาเสี่ยวตงไม่ได้หลบเลี่ยง ไม่มีร่องรอยการใช้ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นใดๆ ของก่อกำเนิดท่านหนึ่งเลย


กระบี่บินที่อยู่ห่างจากผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่และอาจารย์ค่ายกลไม่ถึงหนึ่งจั้งพลันกระแทกให้เกิดริ้วคลื่นวงหนึ่ง ประหนึ่งโยนก้อนหินลงทะเลสาบ หัวทิ่มผลุบหายเข้าไปในม่านน้ำแล้วไม่เห็นเงาอีก


ขณะเดียวกันเลือดก็ออกจากทวารทั้งเจ็ดของอาจารย์ค่ายกล ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้ การเคลื่อนไหวนี้ของเขาทำให้เกิดการปะทะกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งของฟ้าดินขนาดเล็กอีกครั้ง เลือดยิ่งไหลไม่หยุด จุดที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่เพียงแต่ลมปราณในร่างปั่นป่วนวุ่นวายเท่านั้น ช่องโพรงลมปราณสำคัญทั้งหมดที่หล่อเลี้ยงวัตถุแห่งชะตาชีวิต ห้องหัวใจรวมไปถึงบนประตูช่องโพรงแต่ละแห่งคล้ายถูกหมื่นตะปูตอกตรึงเข้ามา อาจารย์ค่ายกลพยายามอย่างยิ่งที่จะขยับสองนิ้วที่คีบยันต์คุ้มกันชีวิตแผ่นนั้นเอาไว้ นิ้วขยับได้ แต่ลมปราณในร่างกลับเหนียวหนืดราวกับปรอทที่แข็งตัว ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย


เหมาเสี่ยวตงกุมลำคอของคนผู้นี้แล้วเหวี่ยงทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจ


กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเล่มนั้นกระตุ้นให้เกิดน้ำวนลูกหนึ่งด้านหลังเหมาเสี่ยวตง แล้วทิ่มพรวดออกมาอย่างรวดเร็วประหนึ่งแขกมารยาททรามที่พังประตูบุกเข้ามาในบ้านของคนอื่น


ทว่ากลับมาไม่ถึงเสียที


อาจารย์ค่ายกลที่เดิมทีก็เจ็บหนักใกล้ตายขัดขวางเส้นทางของกระบี่บินเล่มนั้นพอดี


ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่อยู่ห่างไปไกลคนนั้นไม่มีท่าทีว่าจะหยุดกระบี่บิน เขาบังคับกระบี่ให้แทงไปที่ร่างของอาจารย์ค่ายกลโดยตรง แล้วก็ใช้จิตควบคุมกระบี่บินให้แทงเหมาเสี่ยวตงต่อ!


อาจารย์ค่ายกลตายตาไม่หลับคาที่ทั้งอย่างนี้


ไหนบอกว่าเหมาเสี่ยวตงออกจากภูเขาตงหัวแล้วก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งอย่างไรล่ะ?


บนเส้นทางการฝึกตน สามลัทธิร้อยสำนัก ทางเส้นใหญ่มีมากมายหลากหลาย หลอมโอสถเก็บสมุนไพร กินอาหารเลี้ยงชีพ เชิญเทพออกคำสั่งภูตผี มองปราณแล้วชักนำมาสู่ตัว หล่อหลอมโอสถใน ป้องกันการแก่ชรา แต่หากก้าวข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่ไปได้ เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง กลายเป็นเทพเซียนในสายตาของคนธรรมดาก็ถือว่ามีหน้ามีตาอย่างไร้ที่สิ้นสุด


ทว่าผู้ฝึกตนที่ขึ้นไปอยู่บนเขาแล้วตัดทางเรื่องทางโลก ไม่สนใจความเป็นไปของโลกก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล


เพราะด้านล่างภูเขาก็มีผู้ฝึกลมปราณที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้


และยิ่งมีสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ


เหมาเสี่ยวตงก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างมาปรากฏห่างจากจุดเดิมหลายสิบจั้ง พอหมุนตัวกลับก็ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ใช้สองนิ้วคีบกระบี่บินที่พุ่งมาถึงที่จุดนี้ได้อย่างพอดิบพอดี


แม้ว่าวีรกรรมที่ใช้สองนิ้วคีบกระบี่บินได้อย่างง่ายดายนี้จะน่าตะลึงพรึงเพริด หากเล่าลือออกไปก็มากพอจะทำให้เซียนดินทั้งทวีปตกใจจนฟันร่วงหมดปาก


แต่ขณะเดียวกันกับที่เหมาเสี่ยวตงเผาผลาญปณิธานกระบี่


อันที่จริงฟ้าดินขนาดเล็กที่เหมาเสี่ยวตงเฝ้าพิทักษ์แห่งนี้ก็เกิดการสั่นคลอนน้อยๆ อย่างที่สังเกตไม่เห็นเช่นกัน


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลผู้นั้นมาอยู่ในฟ้าดินของคนอื่นก็ไม่อาจบังคับลมเดินทางไกลได้อีกแล้ว แต่กลับยังคงพุ่งตะบึงไปได้รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ สุดท้ายพุ่งกระแทกกำแพงสองแถบ ทะลุร้านทั้งร้าน ปล่อยหมัดต่อยเข้าหาเหมาเสี่ยวตง


คนมากมายที่อยู่ในร้านถูกเขาต่อยจนร่างแหลกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย สุดท้ายค่อยๆ ลอยคว้างอยู่กลางอากาศในร้าน


หมัดของคนผู้นี้รวบรวมพายุลมกรดทั้งหมดของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นเอาไว้ ไม่มีเหลือเก็บไว้แม้แต่น้อย ถึงขั้นใช้วิธีการต่อสู้ที่เอาชีวิตแลกชีวิต


เหมาเสี่ยวตงปรับปราณวิญญาณฟ้าดินให้กลายเป็นป้ายศิลาที่มีตัวอักษรสีทองส่ายไหวเบาๆ รวมไปถึงสร้างซุ้มประตูให้โผล่ขึ้นมากลางอากาศ แต่กลับถูกหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลผู้นี้ต่อยจนแหลกเป็นผุยผง


ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดก้าวยาวๆ บุกมาหาด้วยพลังอำนาจที่ใครก็มิอาจขัดขวาง


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอีกคนหนึ่งกระโดดขึ้นบนหลังคา แล้วทะยานมาเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำตลอดทาง ไม่ได้เร็วเท่าผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกล พอพายุลมกรดของร่างทองปะทะเข้ากับแม่น้ำแห่งกาลเวลาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ บนร่างของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็คล้ายมีกองไฟกองใหญ่เผาไหม้ สุดท้ายกระโดดลงมาโฉบเข้าหาเหมาเสี่ยวตงที่ยืนอยู่บนถนน


เหมาเสี่ยวตงที่นิ้วสองข้างถูกกรีดจนเป็นบาดแผลเล็กๆ โยนกระบี่บินที่ถูกกักอยู่ตรงปลายนิ้วไปหาผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนนั้น


เหมาเสี่ยวตงยื่นฝ่ามือออกมาต้านรับหมัดของปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกล


ชายแขนเสื้อใหญ่ของเหมาเสี่ยวตงโบกสะบัดอย่างรุนแรง แม้แต่จอนผมก็ปลิวไสวไปด้วย


มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองและผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเป็นเพื่อนรักกัน เขาจึงไม่สนใจกระบี่บินที่ปลายกระบี่ทิ่มแทงเข้าหาหัวใจ ยังคงบุกเข้าไปสังหารเหมาเสี่ยวตง


แล้วก็จริงดังคาด จิตของผู้ฝึกกระบี่ขยับเคลื่อนไหว พยายามอย่างสุดกำลังในการขยับปลายกระบี่เบี่ยงหลบ เพียงแต่ว่ากระบี่ก็ยังแทงทะลุไหล่ของผู้ฝึกยุทธคนนั้นอยู่ดี


เหมาเสี่ยวตงถูกผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดที่เดิมทีควรจะอ่อนแอที่สุดต่อยเข้าที่หัวใจด้านหลัง


ฟ้าดินขนาดเล็กกระเพื่อมตามไปด้วย


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่หมัดถูกขัดขวาง ทว่าพลังและปณิธานหมัดยังคงกร้าวแกร่งฉวยโอกาสนี้ออกหมัดประดุจรัวกลองอย่างราบรื่น


ลำแสงเปล่งวูบวาบไม่หยุด ร่างของเหมาเสี่ยวตงถอยร่นก้าวแล้วก้าวเล่า บนกล้ามเนื้อแขนสองข้างที่เป็นมัดๆ ของผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลมีเลือดสดซึมออกมาอาบย้อมอาภรณ์ แต่หมัดที่ปล่อยกลับแกร่งกร้าวดุดันมากขึ้นทุกขณะ


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่อยู่ด้านข้างไม่ได้ฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้เข้าโรมรันประชิดตัวเหมาเสี่ยวตงไปพร้อมกับปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกล แต่แค่พยามตามให้ทันฝีเท้าของคนทั้งสอง


ใช่ว่าไม่อยากทำร้ายเหมาเสี่ยวตงให้บาดเจ็บสาหัสในรวดเดียว แต่เขารู้ดีถึงหนักเบาและผลดีผลร้ายของการทำเช่นนั้น


เฉินผิงอันไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิม แต่พุ่งตัวออกจากหน้าต่างขึ้นมายืนบนหลังคาร้านอาหารที่การมองเห็นเปิดกว้าง


เขาเองก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าแทรกการสู้รบครั้งนี้เช่นกัน


หมัดสุดท้ายของผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลต่อยจนเหมาเสี่ยวตงปลิวกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง


ผู้เฒ่ารีบหยุดเดิน อีกทั้งยังถอยกรูดไปด้านหลัง เขาต้องการเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่


ส่วนผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็รีบขยับเท้ามาขวางอยู่ตรงหน้าขอบเขตเดินทางไกล ยืนอยู่บนเส้นเดียวกันระหว่างฝ่ายหลังกับเหมาเสี่ยวตง


แต่กระนั้นก็ยังไม่ปลอดภัยมากพอ


ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าสบโอกาส


กระบี่บินจึงพุ่งฉิวออกไป


ตรงเข้าทิ่มแทงเหมาเสี่ยวตง

 

 

 


บทที่ 410.2 เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต...

 

ความเร็วนั้นถึงขั้นเหนือว่าครั้งแรกที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ปรากฏตัว


นี่เกี่ยวพันกับสาเหตุที่ลมปราณของเหมาเสี่ยวตงไม่มั่นคง เป็นเหตุให้กฎเกณฑ์ของฟ้าดินไม่เข้มงวดมากพอ อีกทั้งผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนี้ยังอาศัยการโคจรกระบี่บินไม่กี่ครั้งในเวลาสั้นๆ ค้นหารอยแยกและทางลัดบางส่วนเจอ แม้ว่าฟ้าดินที่มีอริยะของสามลัทธิเฝ้าบัญชาการณ์จะถูกขนานนามให้เป็นตาข่ายฟ้าตาห่างแต่ไม่มีช่องโหว่ ทว่าต่อให้ตาข่ายของแหปากหนึ่งจะถี่ยิบแน่นหนาแค่ไหน แต่ถ้าแหปากนี้มีการโคจรที่ไม่มั่นคงเกิดขึ้นตอนเวลา สุดท้ายก็ยังต้องหาช่องโหว่ให้มุดลอดออกไปได้อยู่ดี


สามารถกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่กินเงินเทพเซียนเก่งที่สุดในใต้หล้าได้ อีกทั้งยังเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทอง ล้วนไม่มีคนใดที่ธรรมดา


เหมาเสี่ยวตงยื่นมือไปกุมไม้บรรทัดตรงเอวยั้งตัวหยุดยืนให้มั่นคงในทันที


บนหนวดสีขาวหิมะมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนเป็นหย่อมๆ


เผชิญหน้ากับกระบี่บินเล็กบางที่ตามติดดุจหนอนชอนไชกระดูกเล่มนั้น ครั้งนี้เหมาเสี่ยวตงไม่ได้ใช้สองนิ้วยึดตัวกระบี่เอาไว้


เขาม้วนชายแขนเสื้อกว้างใหญ่กักขังกระบี่บินไว้ข้างในโดยตรง


จากนั้นก็เห็นเพียงว่าในชายแขนเสื้อกว้างมีปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ระเบิดออกมา ปากแขนเสื้อส่ายสะบัด ขณะเดียวกันก็มีเสียงแควกของผ้าขาดดังขึ้นเป็นระลอก


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลผลัดเปลี่ยนลมปราณเสร็จแล้วก็กระทืบเท้าลงบนพื้นหนึ่งครั้ง บนถนนพลันเกิดรอยร้าวประหนึ่งใยแมงมุม ปรมาจารย์วิถีวรยุทธท่านนี้ใช้โอกาสที่พันธมิตรสร้างให้มาต่อสู้ประชิดตัวกับเหมาเสี่ยวตงด้วยพลังอำนาจดุจหอบพายุและสายฟ้าอีกครั้ง ไม่ให้โอกาสเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาที่ ‘เลื่อนขั้น’ เป็นขอบเขตหยกดิบอย่างเหนือการคาดการณ์ท่านนี้ทิ้งระยะห่างจนมีโอกาสเผาผลาญพลังให้พวกเขาตายไปอย่างช้าๆ


หากถูกปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลท่านนี้หมายหัวไว้แล้ว


มหาสมุทรลมปราณของผู้ฝึกตนเซียนดินทั่วไปอาจถึงขั้นถูกชักนำจนไม่อาจแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่นได้อีก


ชายร่างกำยำที่สวมเสื้อเกราะสีเงินยวงคนหนึ่งใช้ยันต์ย่อพื้นที่และยันต์ชุดกันฝนที่สามารถอำพรางเรือนกายและลมปราณซึ่งมีระดับสูงล้ำค่าสองแผ่นติดๆ กัน ถึงขนาดหาแถบที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาเปราะบางที่สุดเจอ เป็นเหตุให้เขาทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้า สิบนิ้วของสองมือประสานกันเป็นหมัดที่ทุบใส่ศีรษะของเหมาเสี่ยวตง


ในเสี้ยวเวลาแห่งวิกฤตคับขันนั้นเอง


กระบี่บินเล่มที่ถูกกักขังอยู่ในชายแขนเสื้อของเหมาเสี่ยวตงก็แหวกทะลุชายแขนเสื้อพุ่งพรวดออกมา


หมัดของปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลกำลังจะพุ่งมาถึง


แต่กระบวนท่าสังหารที่อันตรายที่สุดอย่างแท้จริงกลับยังคงเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตประตูมังกรที่สวมเม็ดเสื้อเกราะเป็นเสื้อเกราะคนนั้น


นอกจากอาจารย์ค่ายกลที่ไม่ทันได้ลงมือทำอะไรแล้ว นักฆ่าอีกสี่คนที่เหลือต้องเรียกว่าร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่


ยากที่จะจินตนาการได้ว่าในบรรดาคนทั้งสี่นี้ มีแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าและผู้ฝึกยุทธร่างทองเท่านั้นที่เป็นคนสนิทรู้จักกันมานานแล้ว


ไม้บรรทัดตรงเอวของเหมาเสี่ยวตงหลุดออกไปด้วยตัวเอง


ผู้ฝึกตนสำนักการทหารเหมือนถูกตบบ้องหู ร่างทั้งร่างปลิวกระเด็นไปกระแทกบนหลังคาเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล กระเบื้องแตกพังไปแถบใหญ่


เหมาเสี่ยวตงใช้ปลายเท้าถูพื้นดิน ยกชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ขึ้น ยื่นมือไปทางผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ห่างตนไปไกลมากที่สุด “คืนให้เจ้าก็แล้วกัน”


ทันใดนั้นฟ้าดินพลิกหมุนอีกทั้งยังบิดเบือน


เหมือนกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งถูกเด็กเกเรคนหนึ่งบิดหมุน แต่กลับไม่ได้ขยำเป็นก้อน เป็นความรู้สึกประหลาดพิกลที่บอกไม่ถูก


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนนั้นได้แต่เบิกตากว้างมองเหมาเสี่ยวตงเดินสวนไหล่ตัวเองไป


อีกทั้งเหมาเสี่ยวตงยังเปลี่ยนมาเป็นท่า ‘ยืนกลับหัว’


ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด


แต่กลับห่างไกลเหมือนสุดขอบฟ้า


สิ่งที่ปรากฏบนกระดาษแผ่นนั้นยังมีแต่ตัวอักษรสีทองแน่นขนัด แต่ละตัวใหญ่เท่ากำปั้น คือบทความในคัมภีร์ที่อริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อนำมาอบรมสั่งสอนอาณาประชาราษฎร์


เขาหันหน้าไปคำรามอย่างเดือดดาล “ระวัง!”


มองดูเหมือนเหมาเสี่ยวตงเดินไปอย่างเชื่องช้า แต่พอร่างของเหมาเสี่ยวตงที่อยู่ทางทิศตะวันออกหายไปก็มาปรากฎตัวตรงทิศตะวันตก จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นทิศเหนือ แต่ไม่ว่าจะอยู่ทิศทางใด เหมาเสี่ยวตงก็คอยขยับเข้ามาใกล้เขาและผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองมากขึ้นเรื่อยๆ


ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนนั้นถึงขั้นไม่รู้แล้วว่าตัวเองควรไปหลบอยู่ตรงไหน


แล้วก็ถูกผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่อยู่ดีๆ ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าตบศีรษะแหลกด้วยฝ่ามือเดียว


ส่วนผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตประตูมังกรก็ถูกไม้บรรทัดชนกระแทกเสื้อเกราะรัวๆ ประหนึ่งเม็ดฝนสาดกระทบ


ฟ้าดินขนาดเล็กกลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง


เหมาเสี่ยวตงใช้มือข้างหนึ่งประคองบ่าของร่างที่ไร้หัว ไม่ให้ศพล้มไปกองอยู่กับพื้น มองไปยังผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตเก้าที่ดวงตาแดงก่ำ ถามว่า “ไม่แก้แค้นให้เพื่อนเจ้าหน่อยรึ?”


เหมาเสี่ยวตงพลันสะบัดข้อมือ ศพก็ปลิวลิ่วไปกระแทกผนังของร้านแห่งหนึ่ง กลายเป็นเพียงเนื้อเละๆ กองใหญ่กองหนึ่ง


ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าและผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลต่างก็มองเห็นว่าระหว่างฟ้าดินมีตัวอักษรสีทองขนาดเล็กกว่าเดิมจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันจากสี่ด้านแปดทิศเข้าไปในช่องโพรงของผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่


คนทั้งสองสีหน้าเศร้าสลดระคนฮึกเหิม ในใจแต่ละคนต่างห่อเหี่ยว


แบบนี้จะยังสู้กันต่อได้อย่างไร?


คนทั้งสองมองสบตากัน


ต่างก็มองความเด็ดเดี่ยวในดวงตาของอีกฝ่าย


เหมาเสี่ยวตงกวาดตามองไปรอบด้าน ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีร่องรอยใดๆ น่าจะไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบซ่อนตัวอยู่แถวนี้


นี่ก็หมายความว่านักฆ่าห้าคนที่พร้อมยอมตายเหล่านี้ไม่มีทางหนีทีไล่อีก


เหมาเสี่ยวตงยกชายแขนเสื้อข้างที่ขาดวิ่นขึ้นมามองประเมินอยู่ครู่หนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นแล้วก็กล่าวว่า “ผู้ฝึกกระบี่เอย เซียนดินเอย และปรมาจารย์วิถีวรยุทธอะไรอย่างพวกเจ้านี้ชอบพูดกันนักไม่ใช่หรือว่าผู้ฝึกตนของสำนักศึกษาเป็นแค่หมอนปักลายบุปผาที่ดีแต่ขยับปากพูดเท่านั้น?”


เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “ใช่ พวกเจ้าพูดได้ไม่ผิด”


ผู้ฝึกกระบี่และผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลใจหายวาบ


เหมาเสี่ยวตงก้าวเดินอย่างเนิบนาบผ่อนคลายประหนึ่งบัณฑิตเดินท่องหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ


จากนั้นพื้นที่แถบริมขอบของฟ้าดินแห่งนี้ก็มีกระบี่บินหลายเล่มลักษณะเหมือนวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ลอยหมุนคว้างขึ้นมา


แม้ว่าระดับขั้นของกระบี่บินจะไม่สูง เทียบคร่าวๆ ได้กับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรและขอบเขตประตูมังกรเท่านั้น


แต่จำนวนมากขนาดนี้ ใครยังจะกล้าประมาทอีก?


ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น บนหลังคาของเรือนหลายหลังยังมีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสวมชุดเขียวที่อายุแตกต่างกันมากหลายคนยืนอยู่ บ้างก็หอบตำรา บ้างก็พกกระบี่


ทุกคนต่างก็ตบะไม่สูงเช่นกัน


ชนะได้ที่จำนวนเช่นกัน


ตรอกเล็กถนนใหญ่มีทหารร่างกำยำสวมชุดเกราะเหล็กผุดขึ้นมาหลายต่อหลายกลุ่ม


กระบี่บินที่รูปร่างและขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันเหล่านั้นพากันพุ่งเข้าหาผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง


ส่วนลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อบนหลังคาและทหารสวมเสื้อเกราะบนพื้นก็กระโจนเข้าหาผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล


ตัวเหมาเสี่ยวตงเองขยับมาอยู่ข้างกายของผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่เหน็ดเหนื่อยอยู่กับการรับมือกับไม้บรรทัดเล่มนั้น แต่ไม่ได้ขยับเข้าใกล้ เพียงกล่าวว่า “เจ้ากระมังที่ถึงจะเป็นนักรบเดนตายที่แท้จริง ใช้เม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารมาเป็นตัวอำพรางโอสถทองของผู้ฝึกตนเซียนดินที่อยู่ในตัว ขอแค่เข้าใกล้ข้าได้ก็พร้อมจะพินาศวอดวายไปพร้อมกับข้า ต่อให้ฆ่าข้าไม่ตาย แต่อย่างน้อยก็ถูกเจ้าเอาชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่ง นักฆ่าคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ก็มากพอจะรั้งตัวข้าเหมาเสี่ยวตงไว้ที่นี่ได้แล้ว”


ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรของสำนักการทหารผู้นั้นมีสายตาเด็ดเดี่ยว แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเหมาเสี่ยวตง เพียงแค่ใช้หมัดแล้วหมัดเล่าต้านทานไม้บรรทัดเล่มนั้น ป้องกันไม่ให้เม็ดเสื้อเกราะถูกมันทุบตีจนแหลกสลาย


เหมาเสี่ยวตงยื่นมือออกมาชี้ผู้ฝึกตนคนนั้น


พื้นดินรอบกายผู้ฝึกตนมีอักษรสีทองเป็นชุดๆ ผุดขึ้นมา ประหนึ่งเสาคานของบ้านเรือนที่ผุดขึ้นจากพื้นดิน


สุดท้ายก่อตัวกลายเป็นกรงขังแห่งหนึ่ง


ผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนนั้นยิ้มขื่น ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นดุร้าย จากนั้นเส้นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็เปล่งประกายอยู่ในเรือนกายและช่องโพรงลมปราณของเขา จนกระทั่งร่างทั้งร่างของเขาระเบิดแตกดังโพล๊ะ


แม้จะฆ่าเหมาเสี่ยวตงไม่ได้ แต่เขาก็ยังคิดจะทำลายไม้บรรทัดอันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สำคัญชิ้นนั้นให้ย่อยยับไปด้วยกัน


เพียงแต่ว่าการฆ่าตัวตายของผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง บวกกับการระเบิดแตกของโอสถทองหนึ่งเม็ด แม้ว่าจะทำให้กรงขังสีทองที่เป็นอักษรของอริยะปราชญ์พังพินาศไม่มีเหลือ


แต่ไม้บรรทัดเล่มนั้นกลับยังปลอดภัยดี มีเพียงตัวอักษรที่สลักไว้ด้านบนเท่านั้นที่หม่นแสงลงไปเล็กน้อย


มันลอยกลับเข้ามาอยู่ในมือของเหมาเสี่ยวตงเบาๆ


เหมาเสี่ยวตงเอามาแขวนไว้ตรงเอว


แม้ว่าจะมีอันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน แต่กลับไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้า


ผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลก็ยิ่งเปิดฉากสังหารไปสี่ทิศ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อและทหารเสื้อเกราะที่เข้ามาใกล้ในระยะสามจั้งล้วนร่างแหลกสลาย อีกทั้งลมพายุหมัดพัดกระโชกยังหอบเอาปราณวิญญาณที่แฝงอยู่ในตัวหุ่นเชิดเหล่านั้นมาสร้างเป็นปราณขุ่นมัวทำให้เหมาเสี่ยวตงไม่อาจบังคับพวกหุ่นเชิดทั้งหลายได้ชั่วคราว


เหมาเสี่ยวตงสีหน้าไร้อารมณ์ ปล่อยให้นักฆ่าสองคนสุดท้ายเผาผลาญปราณวิญญาณและลมปราณที่แท้จริงในร่างของตัวเองจนหมดช้าๆ


ถึงอย่างไรปราณวิญญาณในฟ้าดินก็มีจำกัด


นี่เกี่ยวพันกับระดับความมั่นคงและช่วงเวลาในการประคับประคอง ‘สำนักศึกษาซานหยา’ แห่งนี้


ดังนั้นฟ้าดินแห่งนี้จึงหดเล็กเข้ามาในรัศมีสี่ร้อยจั้งโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว


หากอยู่ที่ภูเขาตงหัวอันเป็นที่ตั้งที่แท้จริงของสำนักศึกษาซานหยา และเป็นเหมาเสี่ยวตงที่ลงมือเช่นกัน เกรงว่าตอนนี้คงยังรักษาขอบเขตฟ้าดินในระยะแปดร้อยจั้งเอาไว้ได้


นี่ไม่ใช่เวทลับย้ายขุนเขาของระบบสืบทอดดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อที่แท้จริง การที่เหมาเสี่ยวตงเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้ในก้าวเดียว ข้อบกพร่องนั้นอยู่ที่ว่ารูปลักษณ์และจิตวิญญาณของสำนักศึกษาซานหยาแห่งนี้ไม่ครบถ้วน รากฐานยังคงอยู่ที่ภูเขาตงหัวแห่งนั้น


แต่ปัญหาข้อนี้ไม่ใหญ่นัก


ขอแค่ไม่มีคนนอกช่วยเหลือ นักฆ่าที่เหลือเพียงแค่สองคนก็ยังต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่อยู่ดี


ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้เหมาเสี่ยวตงสลายวิชาอภินิหารนี้ไปตอนนี้ มอบภูเขาตงหัวให้กับก่อกำเนิดแซ่เหลียงที่เฝ้าประตูใหญ่สำนักศึกษาดูแลชั่วคราว


สังหารศัตรูนั้นยาก แต่รักษาชีวิตกลับไม่ใช่เรื่องยาก


แต่หากเกิดสถานการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ ก็ไม่รวดเร็วฉุกละหุกขนาดนั้น


เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว


กระบี่บินเล่มหนึ่งเหมือนรวงข้าวสีทองพลันพุ่งพรวดเข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้


หลังจากหยุดลอยอยู่กลางอากาศสูงแล้ว ปลายกระบี่ก็ตวัดขึ้นแล้วตวัดลง ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา


เหมาเสี่ยวตงไม่พูดไม่จาก็สลายวิชาอภินิหารนี้ทันที ตบะ ‘ถดถอย’ กลับไปที่ก่อกำเนิด


ส่วนเฉินผิงอันที่ยืนชมศึกอยู่บนหลังคาก็ไม่จำเป็นต้องให้เหมาเสี่ยวตงใช้เสียงในใจบอกกล่าว


เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง ชูอีกับสืออู่ก็พุ่งพรวดออกมา


ยันต์ย่อพื้นที่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันพลันติดไฟเผาไหม้ เขาไม่ได้เลือกเล่นงานผู้เฒ่าขอบเขตเดินทางไกลคนนั้น แต่ย่อพื้นที่ตรงเข้าหาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าที่พลังสังหารน่ากลัวกว่าในเวลาเพียงเสี้ยววินาที


หากมีคนชมศึกอยู่ด้วยก็คงจะรู้สึกว่าเฉินผิงอันเลือกคู่ต่อสู้ผิด


ขณะเดียวกัน ‘ร่างจริงที่มีสติปัญญา’ ของเทพท่องทิวาและเทพท่องราตรีที่สูงหนึ่งจั้งสององค์ก็ร่วงลงมาจากฟากฟ้าด้วยพลังอำนาจที่น่ากริ่งเกรงยิ่งกว่าของผู้ฝึกตนสำนักการทหารก่อนหน้านี้ ก่อนที่เฉินผิงอันจะลงมือ พวกเขาก็ร่วงดิ่งเข้าหาปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นก่อนแล้ว


เทพท่องทิวาสวมเสื้อเกราะสีทอง รัศมีแสงสีทองสาดส่องจากทั่วร่าง มือทั้งคู่ถือขวาน


ส่วนเทพท่องราตรีนั้นสวมเสื้อเกราะสีดำสนิท มือถือง้าวเล่มใหญ่


เหมาเสี่ยวตงหัวเราะอย่างเข้าใจ


เขาเองก็ตบไม้บรรทัดตรงเอวแล้วกระโจนเข้าหาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าเช่นกัน


ตอนที่เหมาเสี่ยวตงสร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมา ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่ตัดสินใจว่าจะตายอยู่ที่นี่ไม่รู้สึกหวาดกลัวที่ต้องต่อสู้


แต่รอจนเหมาเสี่ยวตงสลายวิชาอภินิหารนี้ทิ้งไปอย่างรีบร้อนด้วยสาเหตุใดไม่รู้ได้ ตามหลักแล้วขอแค่เขากับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองร่วมมือกันอย่างจริงใจ ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสชนะอยู่บ้าง


แต่ในขณะที่สถานการณ์พลิกกลับมาดีขึ้น พวกเขาไม่ต้องตกอยู่ในทางตันอีกต่อไป ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลผู้นี้ที่ลังเลอยู่ชั่วขณะกลับทะยานร่างขึ้นจากพื้น หลบหนีไปทันที


ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ถอยกรูดหนีไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นกัน


เหมาเสี่ยวตงเปิดปากเอ่ย “ในเมื่อไม่ได้ยึดครองความได้เปรียบอย่างมั่นคงก็อย่าบีบบังคับศัตรูที่อับจนหนทางเลย”


เห็นเพียงว่าเฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งอยู่นานแล้ว ไม่มีท่าทีว่าจะไล่ตามไปเลยแต่น้อย แต่ก็ไม่ได้เรียกเทพท่องทิวาราตรีสององค์กลับมาทันที ปล่อยให้เงินเทพเซียนไหลพรวดๆ ออกไปจากกระเป๋าเงินอยู่อย่างนั้น


เหมาเสี่ยวตงมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “รอข้าพักสักครู่แล้วจะพาเจ้ากลับสำนักศึกษา”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยังคงใช้ตาดูหูฟังสี่ด้านแปดทิศ แม้แต่มือที่เอื้อมผ่านไหล่ไปกุมด้ามกระบี่ด้านหลังก็ยังไม่คลายนิ้วทั้งห้าออก


ปล่อยให้ฝ่ามือถูกเผาไหม้แสบร้อน เลือดซึมเปรอะเลอะ


อายุยังน้อย แต่มีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชน


สหายสนิทของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าคนนั้นตายอยู่ที่นี่ จิตสังหารของเขาย่อมรุนแรงมากกว่า


ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเลือกคนผู้นี้เป็นเป้าหมายในการเข่นฆ่า


ส่วนผู้เฒ่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่ยังพอมีทางให้ถอยหนี ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าเขาจะต้องหนีไปอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยเมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว ความเป็นไปได้ที่คนผู้นี้จะทอดทิ้งพันธมิตรหนีไปจากพื้นที่อันตรายเพื่อเอาตัวรอดกลับมีมากกว่า


เหมาเสี่ยวตงสลายฟ้าดินขนาดเล็กในเวลาเพียงเสี้ยววินาที


เฉินผิงอันเองก็ตัดสินใจทำเช่นนี้ในชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเช่นกัน


แล้วก็เพราะเหตุนี้


การกระทำนี้ถึงทำให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลเกิดความกริ่งเกรงและการคาดเดา เช่นว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้เลือกที่จะลงมือกับผู้ฝึกกระบี่ที่อันตรายมากกว่า เพราะคิดจะรวบแหเก็บแล้วจริงๆ หรือ? หรือเป็นเพราะยังมีหลุมพรางอะไรรอพวกเขาอยู่อีก?


เฉินผิงอันคลายมือที่กุมด้ามกระบี่ออก ขณะเดียวกันก็เก็บองค์เทพที่แผ่บารมีฟ้าซึ่งหาได้ยากสององค์กลับเข้ามาในยันต์ร่างจริงแผ่นนั้น


ฟ้าดินกลับคืนมาเป็นปกติ รอบด้านมีเสียงหวีดร้อง เสียงอุทานแตกตื่นตกใจดังระงม


เฉินผิงอันชำเลืองมองจุดที่ห่างไปไม่ไกล ตรงนั้นมีศีรษะของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองกำลังกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น


ตายไปสาม หนีไปสอง


เป็นๆ ตายๆ ถึงท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเหตุผลของใครของมัน


“เตรียมกลับกันเถอะ”


เหมาเสี่ยวตงยื่นมือมาคว้าไหล่เฉินผิงอัน พูดเพียงประโยคเดียวว่า “เรื่องบางอย่างของคนอื่น ไม่จำเป็นต้องรู้ รู้แล้วจะทำอะไรได้?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)